บทที่ 75 เมื่ออดีตและปัจจุบันบรรจบกัน(1)
เป่ยชางอ๋องมาเยือน เหลียนอ๋องนำเหล่าขุนนางต้อนรับถึงหน้าประตูเมือง
การที่เป่ยชางอ๋องมาเยือนด้วยตัวเองทำให้ชาวเหลียนที่ขบคิดตลอดมาว่าตัวเองถูกลดระดับลงไปเป็นเพียงเมืองเล็กเมืองน้อย รู้สึกน้อยใจตลอดมาว่าเพราะเชื้อสายที่แตกต่างจึงถูกละเลย เปลี่ยนเป็นรู้สึกมีหน้ามีตานัก แน่นอนว่าแคว้นเหลียนสามารถเตรียมต้อนรับได้อย่างอลังการเช่นนี้ ฉีเซี่ยงหยวนย่อมมิได้ใช้วิธีมาถึงหน้าบ้านค่อยเคาะประตูบอก แต่ใช้วิธีเดินทางใกล้ถึงก็แจ้งบอกก่อน
“คารวะต้าอ๋อง คารวะท่านลุง” ปีนี้เหลียนอ๋องอายุสิบแปดประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม เวลาผ่านถึงหกปีได้พบพานอีกครั้ง คนที่เคยเป็นองค์ชายสี่ตอนนี้กลับเป็นถึงต้าอ๋องที่น่าครั่นคร้ามที่สุดในแผ่นดิน ส่วนท่านลุงของเขาที่เข้าใจว่าคงยากจะได้พบกันอีกเวลานี้กลับดูไม่ค่อยแก่ขึ้นเท่าไหร่เลย ยังคงดูสูงศักดิ์และสุภาพนุ่มนวลเช่นเดียวกับวันที่จากไป
ระหว่างพูดจาทักทายตามธรรมเนียม เหลียนอ๋องยังได้พบว่าลูกพี่ลูกน้องที่รู้จักกันผิวเผินในวัยเยาว์ก็กลับมาด้วยเช่นกัน เมื่อหกปีก่อนพระมาตุลากับบุตรชายถูกพาตัวไป ราชสำนักแคว้นเหลียนล้วนคาดเดาได้ว่าแคว้นเป่ยชางจงใจโดดเดี่ยวเหลียนอ๋องวัยเยาว์เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม เพราะถัดจากเหลียนอ๋องคนที่พอจะรับตำแหน่งต้าอ๋องแคว้นเหลียนได้ก็คือเหลียนอันสุ่ย มองแง่หนึ่งคือภัยคุกคามบัลลังก์ มองในอีกแง่หากเหลียนอันสุ่ยสามารถขึ้นเป็นเหลียนอ๋องหรือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักมากเข้าคิดควบคุมเขาย่อมยากยิ่งกว่าควบคุมเด็กน้อยเยาว์วัยมากนัก ดังนั้นหากคิดควบคุมแคว้นเหลียนให้ง่ายต้องกำจัดบทบาทในราชสำนักของพระมาตุลาเสีย
ตอนนี้เหลียนอ๋องอายุสิบแปดแล้ว เข้าใจว่าสามารถขออิสรภาพให้ท่านลุงได้ใช้ชีวิตที่บ้านเกิดและเข้าใจว่าเป่ยชางอ๋องคงจะทรงอนุญาต หาคาดไม่ว่าเมื่อกล่าวออกไปสถานการณ์กลับเหมือนชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เงียบกริบโดยถ้วนหน้า คนที่ตั้งใจสังเกตยังเห็นว่าสีหน้าของเป่ยชางอ๋องถึงกับแปรเปลี่ยนไป
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ สายตาทั้งนิ่งทั้งเย็น กล่าวเสียงราบเรียบว่า
“เหลียนอันสุ่ยเคยรับปากข้าว่าจะพัฒนาโรงหมอของแคว้นเป่ยชาง ตอนนี้งานยังไม่สำเร็จไหนเลยสามารถคืนคำได้”
“กราบทูลต้าอ๋อง กระหม่อมทราบดี ทำงานยังไม่สำเร็จลุล่วง ไม่ขอกลับคืนแคว้นเหลียน”
ได้ยินเหลียนอันสุ่ยประสานมือกล่าวเช่นนี้ สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนจึงค่อยผ่อนคลายลง
“ประเสริฐยิ่ง นับว่ายังรักษาคำพูด” ...ท่านยังคงรักษาคำพูดที่ว่าจะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป
เหลียนจิ้งเต๋อที่รับฟังอยู่ด้านข้างกลอกตา ทราบดีว่าชั่วชีวิตต้าอ๋องจอมบงการนั่นไม่มีทางยอมปล่อยบิดาเขาหรอก
หลังจากนั้นเหยียบเข้าท้องพระโรงดูเหมือนทั้งเป่ยชางอ๋องทั้งลูกพี่ลูกน้องที่เป็นเหลียนอ๋องของเขาจะเริ่มเปิดประเด็นเกี่ยวกับบ้านเมือง เหลียนจิ้งเต๋อชิงประสานมือการทูลก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งลงกล่าวถึงราชกิจอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่าเขาขอตัวไปเยี่ยมท่านตาที่นอกวัง
เหลียนอันสุ่ยใจหนึ่งแม้อยากทราบความเป็นไปของแคว้นเหลียน อีกใจกลับไม่ต้องการออกความเห็น เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวพันหลายฝ่าย หากเขายังนั่งอยู่ที่นั่นเกรงว่าคงถูกถามสองสามคำถาม จึงตัดสินใจตัดไฟตั้งแต่ยังไม่ได้จุดขอตัวออกมาพร้อมกับบุตรชาย
---------------------
ท้องฟ้ากระจ่าง นกการ่าเริง แต่เหวินเถียนกลับไม่รู้สึกรื่นรมย์ซักเท่าไหร่ ถูกล่ะ การที่ได้เจอหน้าหลานรักเป็นสิ่งที่ดีมาก การที่หลานรักยังมีใจคิดถึงตาแก่ๆคนนี้ยิ่งเป็นเรื่องชวนปลาบปลื้มตื้นตัน แต่ปัญหาคือหลานรักของเขากลับหนีบเอาบิดาที่เป็นลูกเขยของเขามาด้วย
ลูกเขยคนนี้มาถึงก็ทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม เหวินเถียนแม้ยังคงไม่ชอบขี้หน้าแต่เห็นว่าเรื่องราวผ่านมาหลายปี ประกอบกับอยู่ต่อหน้าหลานชายจึงพยักหน้ารับไปคราหนึ่ง ทีนี้เรื่องก็ยากเมื่อหลานชายของเขาเห็นว่าผู้เป็นตามิได้มีท่าทางเย็นชาจัดก็ตาเป็นประกาย รีบทำตัวเป็นคนกลางหวังฟื้นฟูสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับท่านตาทันที
คำพวก ‘ท่านพ่อตั้งใจเอามาฝากท่านตา ท่านพ่อคิดถึงท่านแม่มาก’ ถูกกล่าวออกมาไม่ขาดปาก ส่วนลูกเขยของเขากลับนั่งรับคำยิ้มๆ หนอย คิดจะใช้บุตรชายตัวเองเป็นเครื่องมือล่ะสิ แต่ว่า... เหลียนจิ้งเต๋อหน้าตามีเค้าของเหวินจีมากเกินไป เหวินเถียนยิ่งฟังก็ยิ่งจนปัญญาจะรับมือ คิดไม่ถึงตาแก่วัยปลดเกษียณที่ไม่ต้องเข้าราชสำนักเช่นเขาก็ยังมีเรื่องให้วุ่นวายใจ
ความจริงเรื่องมันก็นานมากแล้ว อีกอย่างเหลียนอันสุ่ยมีเพียงบุตรสาวของเขาคนเดียวมาตั้งหลายปี กระทั่งชายารองก็ไม่เคยคิดจะแต่งตั้ง ใจของเหวินเถียนรู้สึกแก่ชราเกินกว่าจะไปเกลียดชังเป็นจริงเป็นจังอีก
ทว่าจะให้เขายอมรับออกไป...นี่กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
---------------------
ต้นท้อใหญ่ยืนต้นอย่างเดียวดาย เหลียนอันสุ่ยยังคงจำได้ดียามใบร่วงโรยจนเหลือแต่ดอกบานสะพรั่ง และยามที่ดอกร่วงโรยจนเหลือเพียงกิ่งก้านเปล่าดาย วนเวียนหมุนเปลี่ยนกี่ครั้งครา เข้าใจว่าคนจะยังคงคงเดิม ทว่าในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่หลายปีก่อน
ฉีเซี่ยงหยวนมองเงาหลังสูงโปร่งที่แม้จะยืนอยู่เบื้องหน้าเขา แต่กลับคล้ายจมหายไปในความทรงจำ เหลียนอันสุ่ยกำลังอยู่ในอดีต อดีตที่ไม่มีเขา นั่นเป็นพื้นที่ที่เขาไม่อาจแตะต้องได้ และไม่ควรแตะต้อง เขาควรจะให้เหลียนอันสุ่ยได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองซักพัก ...ได้ใช้เวลาอยู่กับ ‘นาง’ ซักพัก
“ข้าจะไปดูความคืบหน้าในราชสำนักต่อ ส่วนท่านอยู่ที่นี่เถอะ”
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า ไม่ได้ตอบคำ สายตายังคงตรึงอยู่ที่ต้นท้อที่มิได้เห็นมานาน กลางฤดูร้อนดอกท้อไม่หลงเหลืออีกแล้ว...
เหลียนอันสุ่ยมองนาง ส่วนฉีเซี่ยงหยวนมอง ‘เขา’ มือใหญ่เอื้อมไปตบบ่าสูงโปร่งเบาๆ คล้ายกับปลอบประโลม และคล้ายกับให้กำลังใจ ทว่าในใจของฉีเซี่ยงหยวนยามหันหลังจากไปกลับเป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด
อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีมาโดยตลอดว่าความรักที่เหลียนอันสุ่ยมีให้เขากับความรู้สึกที่เหลียนอันสุ่ยมีต่ออดีตชายาไม่เหมือนกัน จะเหมือนกันได้อย่างไร ในเมื่อหนึ่งความสัมพันธ์เริ่มต้นอย่างบริสุทธิ์สะอาด ส่วนอีกหนึ่งความสัมพันธ์กลับเริ่มต้นที่แผนการสกปรก เป็นความรักที่เริ่มต้นมาจากความใคร่ หลายครั้งที่ฉีเซี่ยงหยวนหวังให้จุดเริ่มต้นระหว่างพวกเขาแตกต่างออกไป แต่สิ่งที่คนที่ไม่ว่ามีอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้คืออดีต เขาแก้อดีตไม่ได้ ให้มันเริ่มต้นสวยงามกว่านี้ไม่ได้ ที่เขาทำได้คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ฉีเซี่ยงหยวนหวังว่าตลอดชีวิตของเขาจะไม่ทำให้เหลียนอันสุ่ยต้องร้องไห้อีก
ร่างสูงใหญ่จากไปไกลแล้ว ไม่ว่าคนคุ้มกันหรือบ่าวรับใช้ล้วนถอยห่างออกไปเช่นกัน เปิดโอกาสให้เหลียนอันสุ่ยได้อยู่กับอดีตชายาของเขาตามลำพัง
“เขาโตมากแล้วนะ ตอนนนี้จิ้งเอ๋อไม่ใช่เด็กตัวน้อยๆที่ต้องให้พวกเราคอยดูแลอีกแล้ว” เหลียนอันสุ่ยเอ่ยเบาๆ แต่ดวงตากลับฉาบไว้ด้วยความเศร้าซึมหม่นหมองของการหวนรำลึก
ก้มหน้าลงพึมพำว่า
“ความจริงแล้วข้าไม่มีหน้ามาพบกับเจ้า ...วันคืนที่ข้ามีเจ้าข้ามีความสุขนัก เจ้าดีต่อข้าเหลือเกิน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใด...เหตุใด ทั้งๆที่ข้าควรจะรักมั่นแต่เจ้าแต่หัวใจของข้ากลับมีเขา เหวินจี ข้าก็อยากให้มันถูกต้อง แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่ควรรักเขา แต่ข้าทำไม่ได้ ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาความจริงแล้วข้าสมควรมีต่อเจ้า แต่ข้าก็ทำไม่ได้ ก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่ข้าทำไม่ได้ ข้าปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้ ยื้อชีวิตเจ้าเอาไว้ไม่ได้ ข้าทำได้แค่สำนึกเสียใจ” เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ที่เป็นดั่งตัวแทนของนาง
“หากเรื่องราวที่ทอดต่อหลังความตายมีจริง ไม่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้อย่างไรข้าจะชดใช้ให้เจ้าทุกอย่าง ข้ามาเยือนแคว้นเหลียนครั้งนี้ความจริงตั้งใจจะมาลาเจ้า ข้าคงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว เป็นอิสระจากข้าเถิดนะเหวินจี ...ความจริงชีวิตเจ้าไม่น่าต้องมาเจอกับข้าเลย” หากมิได้เจอข้าวันนี้คงยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่แย้มยิ้มให้กับโลกหล้าด้วยความจริงใจ
ส่วนต้นท้อที่เป็นหน่อของท้อต้นนี้ ข้าจะขอเก็บมันเอาไว้ข้างตัว เหมือนกับความทรงจำระหว่างเราที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณจริงๆ
สายลมพัดแรง เสียงใบไม้ลู่ลมฟังคล้ายเสียงพึมพำอื้ออึง ในเสียงเสียดสีของธรรมชาติกลับมีสิ่งที่อยู่ไม่ถูกที่ถูกทางปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ใบไม้แห้งถูกลมหอบปลิวมาตกลงบนบ่า เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าไปปัดออก หางตากลับเหลือบเห็นประกายของคมมีดที่สะท้อนแสงแดดจนเจิดจ้า
ไวเท่าความคิดร่างสูงโปร่งกระชากตัวหลบ คนร้ายที่หมายเอาชีวิตจึงแทงพลาดถลาเฉียดผ่านข้างกายเขาไป มีดที่ยาวประมาณดาบสั้นคมกริบปักลึกเข้าไปในผิวต้นท้อ จังหวะที่คนร้ายกระชากดึงออกมาเปิดโอกาสให้เหลียนอันสุ่ยร้องตะโกนเสียงดัง ดังนั้นตอนที่คนร้ายหันกลับมาอีกที ที่อยู่ตรงหน้าเขาจึงมิได้มีแค่เหลียนอันสุ่ย แต่มีร่างสูงตระหง่านของหวังเชียนด้วย ในบรรดาข้ารับใช้ที่ถอยห่างออกไปทั้งหมดหวังเชียนอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด เสียงเรียกของเหลียนอันสุ่ยจึงทำให้เขาปรากฏตัวทันท่วงที
คนร้ายยังคิดทำเรื่องให้บรรลุจุดประสงค์ กุมมีดไว้มั่นแล้วพุ่งเข้าหาเหลียนอันสุ่ยอีกครั้ง แต่กลับถูกหวังเชียนถลันเข้ามาแทรกกลาง แทงดาบสวนกลับไป จนมือสังหารต้องถอยหลบเพื่อรักษาชีวิต
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ขณะที่สถานการณ์อุตลุดขึ้นทุกที คนร้ายถูกแทงไปสองแผลคว้าข้อมือหวังเชียนไว้มั่น ขณะที่อีกมือพยายามปักมีดลงบนร่างกายศัตรู หวังเชียนแก้ปัญหาด้วยการถีบร่างมือสังหารลงกับพื้น ฝ่ายมือสังหารจึงยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่นให้ทั้งแรงและน้ำหนักตัวกระชากให้อีกฝ่ายล้มตามลงมา ขณะล้มลงหวังเชียนก็พลิกปลายดาบ เสียบแทงมือสังหารได้อีกแผล มือเท้าที่ทั้งว่างและไม่ว่างต่อสู้ยันกันดุเดือดจนผู้อื่นไม่อาจสอดมือเข้ามา
หวังเชียนคิดจับเป็นคนผู้นี้ ดังนั้นทุกครั้งที่แทงดาบจงใจให้อีกฝ่ายสูญเสียความสามารถในการป้องกันตัวเองแต่ไม่ยอมให้บาดเจ็บถึงตาย มีแต่จับเป็นคนร้ายจึงสามารถสาวลึกไปถึงตัวการใหญ่ ถอนรากถอนโคนให้หมดสิ้น ทว่าคนหนึ่งคิดจับเป็น ในขณะที่อีกคนคิดฆ่าเขา เรื่องราวทุกอย่างจึงไหลไปในทางที่เกินความควบคุม
มีเสียงร้องดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง จากนั้นหยาดเลือดก็สาดกระเซ็น
หวังเชียนสามารถกระแทกคนร้ายหมดสติไป แต่ตัวเขากลับถูกแทงเข้าอย่างถนัดถนี่ เลือดไหลทะลักอาบปากแผลไม่หยุด เหลียนอันสุ่ยเห็นเข้าถึงกับหน้าซีด เพราะตำแหน่งที่คนร้ายปักสุ่มไปแทงโดนกลับเป็นตำแหน่งของหลอดเลือดใหญ่ที่ลำคอ !
ร่างสูงโปร่งรีบเข้าไปห้ามเลือด สั่งให้ทหารอารักขาคนอื่นแบกร่างหวังเชียนเข้าไปข้างใน มือสังหารถูกจับมัดแน่นหนา
“ไปตามหมอหลวงใหญ่มา”เหลียนอันสุ่ยออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“นายท่าน ไม่เป็นไร ข้า...” หวังเชียนพยายามเอ่ยวาจา เหลียนอันสุ่ยรีบหันไปสั่งเขา
“เจ้าไม่ต้องพูด หายใจลึกๆ เจ้าต้องพยายามหายใจ...”
“นายท่าน อึก ข้า ข้ากลัวว่าถ้าไม่พูด คงไม่ได้พูดแล้ว คนร้ายนั่นยังไม่ตาย ท่านสามารถ...สามารถ...” หวังเชียนยิ่งพยายามพูด เลือดยิ่งไหลออกมาจากปากแผลของเขามากขึ้นทุกที
“ข้ารู้แล้วว่าข้าสามารถสืบสาวเรื่องราวจากเขา แต่ตอนนี้ต้องเอาเจ้าให้รอดก่อน เจ้าหยุดพูดเสียทีแล้วพยายามหายใจ”
หวังเชียนมองท่าทีที่แทบจะเป็นออกคำสั่งของอีกฝ่าย นานๆครั้งนายท่านจะเป็นแบบนี้ ดูเหมือนเขา...คงยากจะรอดแน่แล้ว ลมหายใจถี่กระชั้น รู้สึกว่าเลือดไหลออกจากร่างกายไปเรื่อยๆ ความรู้สึกนึกคิดพร่าเลือนไม่ชัดเจน
หวังเชียนพยายามดิ้นรนรวบรวมสติกลับมา เค้นเสียงอย่างยากลำบากว่า
“นายท่าน นี่เป็นข้าชดใช้คืนให้ท่าน ท่านไม่ต้อง...ไม่ต้องรู้สึกผิด ทั้งหมดนี้ข้าก็แค่ ก็แค่...ข้า...” วูบหนึ่งที่เกิดความลังเล หลังจากนั้นแม้พยายามพูดก็พูดไม่ออกอีก สติเลอะเลือนมึนงง ขณะที่เรียวปากยังคงพยายามขยับเป็นคำบางคำที่ปราศจากเสียง
“หวังเชียนเจ้าต้องมีสติไว้ อย่ายอมแพ้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่” เสียงจริงจังร้อนรนดังแทรกเข้ามา
เหมือนเหลือเกิน เหตุใดทุกอย่างจึงดูราวกับวนซ้ำรอยเดิม ดวงตาของหวังเชียนเลื่อนลอย สติจมลึกลงในสายธารแห่งความทรงจำอันยาวไกล...อดีตที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง
---------------------
รถม้าคันหนึ่ง มือสังหารบาดเจ็บที่กำลังหลบหนีผู้หนึ่ง
หวังเชียนซ่อนตัวอยู่ในรถม้า เงี่ยหูฟังความปั่นป่วนวุ่นวานที่เขาเป็นคนก่อเบื้องนอก ภารกิจสังหารขุนนางชั่วที่ข่มเหงราษฎรสำเร็จลุล่วง ปัญหาเฉพาะหน้าคือต้องทำอย่างไรจึงจะหลบหนีไปจากที่นี่ได้ ด้านนอกทหารเต็มไปหมด ต่างแตกตื่นกับงานเลี้ยงที่ถูกเขาแปรสภาพเป็นงานนองเลือด
ประตูรถม้าถูกเปิดออก แสงโคมจากด้านนอกลอดเข้ามา หวังเชียนเลื่อนมือไปกุมด้ามดาบ รอคอยเวลา
มุมด้านในของรถม้ายังคงอยู่ในความมืดที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง บ่าวรับใช้คิดยื่นส่งโคมเข้ามาส่องที่ทางให้ แต่เจ้าของรถม้ากลับขยับกายเข้ามาเสียก่อน แสงโคมถอยห่างไป ประตูรถม้าปิดลง ผู้มาใหม่มิได้สังเกตเห็นเขา แล้วรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกอย่างแช่มช้า
หวังเชียนนึกขอบคุณรัตติกาลที่แผ่ปกคลุมแผ่นฟ้าอยู่เบื้องนอก รวบรวมเรี่ยวแรง สติและความเฉียบคนทั้งหมด ผุดลุกขึ้นในคราวเดียวก็พาดดาบสั้นกับลำคอของเจ้าของรถม้า
“ถ้าท่านร้องออกไป ข้าจะฆ่าท่านเดี๋ยวนี้”
คนที่ถูกเขาใช้ดาบพากคอมีท่าทีตกใจ หันกลับมามอง แต่ความมืดอำพรางจนอีกฝ่ายไม่สามารถเห็นเขาถนัดชัดตา มีเสียงรายงานดังมาจากด้านนอก
“คุณชาย พวกทหารมาขอตรวจค้นรถม้า พวกเขากำลังพยายามตามจับคนร้ายที่ก่อเรื่องในงานเลี้ยงเมื่อครู่”
หวังเชียนโน้มร่างไปกระซิบเสียงเบาอย่างข่มขู่
“บอกเขาว่าไม่ต้องค้น ไม่อย่างนั้นชีวิตท่านก็ไม่ต้องเก็บเอาไว้อีกแล้ว”
คิดไม่ถึง ‘เหยื่อ’ ผู้นี้จะให้ความร่วมมือยิ่ง เสียงสงบราบเรียบเสียงหนึ่งตอบกลับไป
“รถม้าของข้ายังจำเป็นต้องค้นด้วยหรือ ข้ามีเรื่องรีบด่วนต้องไปทำ บอกทหารพวกนั้นว่าอย่าได้ขวางทางข้า”
มีเสียงตอบโต้กันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายทหารเหล่านั้นกลับไม่กล้าตรวจค้นจริงๆ หวังเชียนลอบขอบคุณสายตาตัวเองที่เลือกรถม้าถูกคัน เท่านี้เขาก็สามารถฝ่าออกไปได้อย่างราบรื่น
รถม้ากลับมาแล่นอีกครั้ง หัวใจตื่นเต้นเครียดเกร็งของหวังเชียนก็ค่อยๆกลับมาสงบลง
“เจ้าคือคนที่สังหารใต้เท้าเจี่ยในงานเลี้ยง ? ” เหยื่อที่สงบปากสงบคำจู่ๆก็ถามขึ้น
“เป็นข้าแล้วทำไม ไม่ใช่ข้าแล้วทำไม ไม่ต้องพูดมาก”
รถม้าแล่นไปเรื่อยๆ พ้นห่างจากความวุ่นวายของงานเลี้ยงไปทุกที
“เจ้าต่างหากที่ไม่ควรพูดมาก แล้วก็อย่าเปลืองแรงพากคมดาบข่มขู่ข้าเลย ทหารพวกนั้นรับรองว่าไม่กล้าตามมาขวางทางรถม้าข้าอีก” คำกล่าวสงบราบเรียบยิ่ง ราวกับผู้กล่าวมิได้มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“ทุกคนที่ข้าฆ่าล้วนสมควรตาย ส่วนท่านถ้ายังปากมากอีก จะให้กลบฝังไปพร้อมกับคนแซ่เจี่ย”
รถม้าตกอยู่ในความเงียบ
หวังเชียนได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเอง หัวใจเต้นถี่แรงจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย บ้าจริง! เขาเสียเลือดมากเกินไปจนสติชักจะมึนงงแล้ว
“ฟังจากเสียงหายใจ ดูเหมือนเจ้าจะบาดเจ็บ ทั้งยังบาดเจ็บไม่เบาอีกด้วย เหตุใดต้องพยายามถือดาบข่มขู่ข้าอยู่อีก เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เรียกทหารมาหรอก ความจริงใต้เท้าเจี่ยตายไปเช่นนี้ราชสำนักอาจจะสะอาดขึ้นมาบ้างก็ได้”
หวังเชียนคิดจะบอกให้เหยื่อพูดให้น้อยกว่านี้ แต่สมองของเขาเลือนรางจนประกอบเป็นคำไม่ได้ โดยไม่รู้ตัว เขากลับสิ้นสติไป...
การมีชีวิตรอดกลับมาจากความตายทำให้หวังเชียนได้รู้ว่าคุณชายผู้นั้นพาตัวเขาเข้ามารักษาในวัง วังหลวงทหารมากมายกว่าในงานเลี้ยงเป็นสิบเท่า วิธีจัดการของอีกฝ่ายช่างยอดเยี่ยมเสียจริง หวังเชียนขบคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หวังเชียนหาอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ในตัว แต่กลับพบว่าถูกคนจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเรียบง่ายที่สะอาดสะอ้านชุดหนึ่ง ยังดีที่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นอาวุธคู่ใจถูกวางไว้ที่หัวเตียง หวังเชียนตกลงใจจะนอนลงไปเพื่อรอคอยเวลาเอาตัวรอด คนที่พาเขาเข้ามาต้องเป็นคนพาเขาออกไป !
ดังนั้นเมื่อเหลียนอันสุ่ยเพิ่งเดินเข้ามาไม่กี่ก้าวก็ถูกทักทายด้วยดาบเล่มเดิมที่หันปลายดาบใส่เขาอย่างข่มขู่
“เจ้าคนไม่รู้คุณคน คุณชายรักษาเจ้าทั้งคืน เจ้ากลับตอบแทนเขาเช่นนี้หรือ!” เสียงของหญิงรับใช้ที่ยกผ้ากับน้ำติดตามเข้ามาด้วยร้องขึ้น หลังจากนั้นนางก็ด่าเขาอีกชุดใหญ่ ด่าจนเขามึนงงขบคิดไม่ออกว่าเหตุใดเด็กหญิงที่อายุเพียงสิบเอ็ดขวบจึงมีวาจาที่ร้ายกาจเช่นนี้
“อิ๋งฮวา” ยังดีที่เหลียนอันสุ่ยออกปากปราม นางจึงยอมหยุดปาก กระแทกอ่างทองเหลืองลงบนโต๊ะ
หลังจากวันนั้นหวังเชียนจึงได้ทราบว่านายบ่าวคู่นี้ที่แท้อาศัยอยู่ในวังหลวง ผู้เป็นนายแม้ถูกเรียกเป็นคุณชายแท้จริงกับเป็นเชื้อพระวงศ์ หวังเชียนไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากมาย บุญคุณที่เขาติดค้างเหลียนอันสุ่ยได้แต่ใช้การติดตามรับใช้เป็นการตอบแทน
เหลียนอันสุ่ยช่วยเขาไว้หนึ่งชีวิต ดังนั้นหนึ่งชีวิตนี้มอบคืนกลับไม่เห็นจะเป็นไร
เพียงแต่ว่า...เหลียนอันสุ่ยช่วยคนไว้มากมายสุดคณา บ่าวรับใช้ในตำหนักพระมาตุลามีกว่าครึ่งที่ติดค้างบุญคุณนายท่านผู้นี้ เช่นนี้แล้ว การตอบแทนบุญคุณของเขาจะนับเป็นความสลักสำคัญอันใด ...ก็เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ไม่เคยบอกออกไปในใจเขาจะนับเป็นความสลักสำคัญอันใด
หลายปีที่ข้าเฝ้ามองความอ้างว้างจากการสูญเสียชายาของท่าน หลายปีที่ข้าเฝ้ามองอวี้เฉียนหลงใหลท่าน และอีกหลายปีที่ข้าเฝ้ามองท่านยิ้มให้แก่ ‘เขา’ ตอนนี้ข้าคงไม่อาจอยู่ปกป้องท่านได้อีกแล้ว ทว่าก็ไม่เป็นไรแล้วเช่นกัน เพราะตอนนี้ท่านมีเขา...ข้าวางใจอย่างยิ่ง
ตอนมีชีวิตข้าเพียงอยู่ในเงาของท่าน หลงจากที่ข้าตายไปข้าหวังเพียงตัวเองสามารถผนึกเป็นเงาของท่าน แม้การอยู่เคียงข้างของข้าจะปราศจากความหมายใดต่อท่าน แม้การอยู่เคียงข้างของข้าจะไม่อาจเติมเต็มความอ้างว้างในใจของท่าน แต่ก็ขอให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านเถอะ
นายท่าน อย่าเสียใจ ...และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เพราะชีวิตของข้าเป็นของท่านนานแล้ว
...มือสังหารตายเพราะมือสังหารใยมิใช่ยุติธรรมอย่างยิ่ง
---------------------
เหลียนอันสุ่ยทรุดกายไปด้านหลังอย่างหมดแรง หมอหลวงใหญ่ไม่ทันมาถึง ลมหายใจของคนกลับจางหายไปก่อน ในช่วงตอนท้ายหวังเชียนไม่ได้รับรู้อะไรอีก ลมหายใจแผ่วตื้นและค่อยๆจางหายไปเองดุจใบไม้ปลิดขั้วเมื่อฤดูหนาวมาเยือน
คำพูดที่หวังเชียนพยายามขยับปากแต่ปราศจากเสียงเป็นคำสารภาพประโยคหนึ่งที่มีเพียงสามคำ
‘ข้ารักท่าน’
ดวงตาของหวังเชียนปิดไม่สนิท เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือไปปิดเปลือกตาให้กับเขา พึมพำว่า
“ข้ารู้” รู้มาโดยตลอด ขอโทษด้วยที่ข้า...ไม่อาจตอบแทนความรู้สึกของเจ้าได้ ขอโทษด้วยที่ข้า...ทำเป็นไม่ทราบมาโดยตลอด
หลังหมอหลวงมาถึงไม่นาน เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็มาถึง เหลียนอันสุ่ยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองคนที่ใช้ชีวิตตัวเองแลกกับชีวิตเขา มือใหญ่วางลงบนบ่าของพระมาตุลาแคว้นเหลียน บีบเบาๆคล้ายบอกว่าไม่เป็นไร ได้ยินเหลียนอันสุ่ยพึมพำว่า
“มีคนตายเพื่อข้าอีกแล้ว” เหวินจี อวี้เฉียน หวังเชียน แล้วยังท่าน เหลียนอันสุ่ยยืนขึ้นช้าๆ หันหน้ากลับไปมองผู้มาใหม่ ...ท่านก็ด้วย
ดวงตาดำสนิทลึกล้ำของฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายนิ่ง มือโอบรอบเอว พยุงร่างอีกฝ่ายเอาไว้ สายตาของเหลียนอันสุ่ยมีแววเหม่อลอย ส่วนสายตาของฉีเซี่ยงหยวนเบนไปมองร่างไร้ลมหายใจบนเตียงที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยทราบหรือไม่ แต่ในบางช่วงเวลาแววตาที่หวังเชียนใช้จับจ้องมองเขาแฝงปนความรู้สึกหนึ่งเอาไว้ อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนมองออกนานแล้วว่าบ่าวรับใช้ที่ติดตามคุ้มกันมาตั้งแต่แคว้นเหลียนผู้นี้หลงรักนายท่านของตัวเอง มันอาจเป็นสัญชาตญาณของคนสองคนที่จับจ้องจดจ่ออยู่ที่คนๆเดียวกัน
น่าแปลกที่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยหึงหวงหวังเชียน เพียงรู้สึกสงสารอยู่บ้าง เพราะหวังเชียนไม่เคยวางตัวเป็นคู่แข่งของเขา ในโลกของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีเรื่องใดไม่สามารถลองพยายามดู แต่ในโลกของหวังเชียนกลับมีเรื่องเช่นนี้อยู่ และพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็คือหนึ่งในนั้น
บางทีตลอดชีวิตหวังเชียนคงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคู่ควร เพียงแอบรักเงียบๆ พอใจจะปกป้องเงียบๆ และเอาความรักนั้นกลบฝังไปกับเขาด้วย
ฉีเซี่ยงหยวนไม่เข้าใจว่าในเมื่อรักคนผู้หนึ่งเหตุใดจึงไม่อาจลองพยายามดู แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็เข้าใจว่าหวังเชียนมิใช่ตัวเขา และตัวเขาก็มิใช่หวังเชียน ไม่มีสิทธิ์เอามุมมองของตัวเองไปตัดสินผู้อื่น อย่าว่าแต่ในเรื่องเช่นนี้หามีถูกผิด มีแต่ทางที่ได้เลือกเดินแล้ว
ทั้งหวังเชียน อวี้เฉียน และตัวเขา ต่างกำหนดทางเดินที่แตกต่างให้กับตัวเอง แม้จะรักคนๆเดียวกัน แต่กลับใช้วิธีที่แตกต่างกันมารักเหลียนอันสุ่ย
สายตาของฉีเซี่ยงหยวนเปลี่ยนจากอ่อนโยนมาเป็นเยียบเย็นเมื่อคิดถึงที่มาที่ไปของเหตุปองร้าย ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมันจะเป็นใคร แต่ในเมื่อมันกล้าทำร้ายเหลียนอันสุ่ยเขาจะให้มันชดใช้แน่นอน !
---------------------
ตอนนี้เปิดเผยความลับที่ถูกปกปิดมานาน จริงๆสามารถใช้ชื่อตอนว่าหวังเชียน
หากยังจำกันได้เคยมีอยู่ตอนหนึ่งชื่อว่า 'สุดเอื้อมแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้'
ความจริงประโยคนี้คือคนสองคน คือฉีเซี่ยงหยวนและหวังเชียน
ปล.ตอนนี้ยาวเพราะสองสัปดาห์ข้างหน้าผู้แต่งสอบอย่างหนักหน่วง คงไม่ได้มาอัพนะคะ
ส่วนคนที่สงสัยว่าเรื่องนี้ใกล้จบรึเปล่า ใช่ค่ะตอนนี้อยู่ในช่วงสุดท้ายของเรื่องแล้ว