<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 214560 ครั้ง)

ออฟไลน์ wews

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-0
ชอบภาษาที่ลื่นไหล เนื้อหาบีบหัวใจให้ลุ้นเป็นช่วงๆ(แต่ชอบที่ไม่ได้จากไป) :hao5:
และชอบมากๆคือฉากหวานๆ(ไม่เลี่ยน) :-[
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆให้ทุกคนได้อ่าน
 :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2015 23:27:25 โดย wews »

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75
«ตอบ #271 เมื่อ01-02-2015 20:33:28 »

บทที่ 75 เมื่ออดีตและปัจจุบันบรรจบกัน(1)

เป่ยชางอ๋องมาเยือน  เหลียนอ๋องนำเหล่าขุนนางต้อนรับถึงหน้าประตูเมือง 
การที่เป่ยชางอ๋องมาเยือนด้วยตัวเองทำให้ชาวเหลียนที่ขบคิดตลอดมาว่าตัวเองถูกลดระดับลงไปเป็นเพียงเมืองเล็กเมืองน้อย  รู้สึกน้อยใจตลอดมาว่าเพราะเชื้อสายที่แตกต่างจึงถูกละเลย  เปลี่ยนเป็นรู้สึกมีหน้ามีตานัก  แน่นอนว่าแคว้นเหลียนสามารถเตรียมต้อนรับได้อย่างอลังการเช่นนี้  ฉีเซี่ยงหยวนย่อมมิได้ใช้วิธีมาถึงหน้าบ้านค่อยเคาะประตูบอก  แต่ใช้วิธีเดินทางใกล้ถึงก็แจ้งบอกก่อน

“คารวะต้าอ๋อง  คารวะท่านลุง” ปีนี้เหลียนอ๋องอายุสิบแปดประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม  เวลาผ่านถึงหกปีได้พบพานอีกครั้ง  คนที่เคยเป็นองค์ชายสี่ตอนนี้กลับเป็นถึงต้าอ๋องที่น่าครั่นคร้ามที่สุดในแผ่นดิน  ส่วนท่านลุงของเขาที่เข้าใจว่าคงยากจะได้พบกันอีกเวลานี้กลับดูไม่ค่อยแก่ขึ้นเท่าไหร่เลย  ยังคงดูสูงศักดิ์และสุภาพนุ่มนวลเช่นเดียวกับวันที่จากไป

ระหว่างพูดจาทักทายตามธรรมเนียม  เหลียนอ๋องยังได้พบว่าลูกพี่ลูกน้องที่รู้จักกันผิวเผินในวัยเยาว์ก็กลับมาด้วยเช่นกัน  เมื่อหกปีก่อนพระมาตุลากับบุตรชายถูกพาตัวไป  ราชสำนักแคว้นเหลียนล้วนคาดเดาได้ว่าแคว้นเป่ยชางจงใจโดดเดี่ยวเหลียนอ๋องวัยเยาว์เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม   เพราะถัดจากเหลียนอ๋องคนที่พอจะรับตำแหน่งต้าอ๋องแคว้นเหลียนได้ก็คือเหลียนอันสุ่ย  มองแง่หนึ่งคือภัยคุกคามบัลลังก์  มองในอีกแง่หากเหลียนอันสุ่ยสามารถขึ้นเป็นเหลียนอ๋องหรือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักมากเข้าคิดควบคุมเขาย่อมยากยิ่งกว่าควบคุมเด็กน้อยเยาว์วัยมากนัก  ดังนั้นหากคิดควบคุมแคว้นเหลียนให้ง่ายต้องกำจัดบทบาทในราชสำนักของพระมาตุลาเสีย

ตอนนี้เหลียนอ๋องอายุสิบแปดแล้ว  เข้าใจว่าสามารถขออิสรภาพให้ท่านลุงได้ใช้ชีวิตที่บ้านเกิดและเข้าใจว่าเป่ยชางอ๋องคงจะทรงอนุญาต  หาคาดไม่ว่าเมื่อกล่าวออกไปสถานการณ์กลับเหมือนชะงักค้างอยู่กลางอากาศ  เงียบกริบโดยถ้วนหน้า  คนที่ตั้งใจสังเกตยังเห็นว่าสีหน้าของเป่ยชางอ๋องถึงกับแปรเปลี่ยนไป

ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ  สายตาทั้งนิ่งทั้งเย็น  กล่าวเสียงราบเรียบว่า
“เหลียนอันสุ่ยเคยรับปากข้าว่าจะพัฒนาโรงหมอของแคว้นเป่ยชาง  ตอนนี้งานยังไม่สำเร็จไหนเลยสามารถคืนคำได้”
“กราบทูลต้าอ๋อง  กระหม่อมทราบดี  ทำงานยังไม่สำเร็จลุล่วง  ไม่ขอกลับคืนแคว้นเหลียน”
ได้ยินเหลียนอันสุ่ยประสานมือกล่าวเช่นนี้  สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนจึงค่อยผ่อนคลายลง
“ประเสริฐยิ่ง  นับว่ายังรักษาคำพูด” ...ท่านยังคงรักษาคำพูดที่ว่าจะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป
เหลียนจิ้งเต๋อที่รับฟังอยู่ด้านข้างกลอกตา  ทราบดีว่าชั่วชีวิตต้าอ๋องจอมบงการนั่นไม่มีทางยอมปล่อยบิดาเขาหรอก

หลังจากนั้นเหยียบเข้าท้องพระโรงดูเหมือนทั้งเป่ยชางอ๋องทั้งลูกพี่ลูกน้องที่เป็นเหลียนอ๋องของเขาจะเริ่มเปิดประเด็นเกี่ยวกับบ้านเมือง  เหลียนจิ้งเต๋อชิงประสานมือการทูลก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งลงกล่าวถึงราชกิจอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่าเขาขอตัวไปเยี่ยมท่านตาที่นอกวัง
 
เหลียนอันสุ่ยใจหนึ่งแม้อยากทราบความเป็นไปของแคว้นเหลียน  อีกใจกลับไม่ต้องการออกความเห็น  เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวพันหลายฝ่าย  หากเขายังนั่งอยู่ที่นั่นเกรงว่าคงถูกถามสองสามคำถาม  จึงตัดสินใจตัดไฟตั้งแต่ยังไม่ได้จุดขอตัวออกมาพร้อมกับบุตรชาย
---------------------
ท้องฟ้ากระจ่าง  นกการ่าเริง  แต่เหวินเถียนกลับไม่รู้สึกรื่นรมย์ซักเท่าไหร่  ถูกล่ะ  การที่ได้เจอหน้าหลานรักเป็นสิ่งที่ดีมาก  การที่หลานรักยังมีใจคิดถึงตาแก่ๆคนนี้ยิ่งเป็นเรื่องชวนปลาบปลื้มตื้นตัน  แต่ปัญหาคือหลานรักของเขากลับหนีบเอาบิดาที่เป็นลูกเขยของเขามาด้วย

ลูกเขยคนนี้มาถึงก็ทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม  เหวินเถียนแม้ยังคงไม่ชอบขี้หน้าแต่เห็นว่าเรื่องราวผ่านมาหลายปี  ประกอบกับอยู่ต่อหน้าหลานชายจึงพยักหน้ารับไปคราหนึ่ง  ทีนี้เรื่องก็ยากเมื่อหลานชายของเขาเห็นว่าผู้เป็นตามิได้มีท่าทางเย็นชาจัดก็ตาเป็นประกาย  รีบทำตัวเป็นคนกลางหวังฟื้นฟูสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับท่านตาทันที

คำพวก ‘ท่านพ่อตั้งใจเอามาฝากท่านตา  ท่านพ่อคิดถึงท่านแม่มาก’ ถูกกล่าวออกมาไม่ขาดปาก  ส่วนลูกเขยของเขากลับนั่งรับคำยิ้มๆ  หนอย  คิดจะใช้บุตรชายตัวเองเป็นเครื่องมือล่ะสิ  แต่ว่า... เหลียนจิ้งเต๋อหน้าตามีเค้าของเหวินจีมากเกินไป  เหวินเถียนยิ่งฟังก็ยิ่งจนปัญญาจะรับมือ  คิดไม่ถึงตาแก่วัยปลดเกษียณที่ไม่ต้องเข้าราชสำนักเช่นเขาก็ยังมีเรื่องให้วุ่นวายใจ

ความจริงเรื่องมันก็นานมากแล้ว  อีกอย่างเหลียนอันสุ่ยมีเพียงบุตรสาวของเขาคนเดียวมาตั้งหลายปี  กระทั่งชายารองก็ไม่เคยคิดจะแต่งตั้ง  ใจของเหวินเถียนรู้สึกแก่ชราเกินกว่าจะไปเกลียดชังเป็นจริงเป็นจังอีก 

ทว่าจะให้เขายอมรับออกไป...นี่กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
---------------------
ต้นท้อใหญ่ยืนต้นอย่างเดียวดาย  เหลียนอันสุ่ยยังคงจำได้ดียามใบร่วงโรยจนเหลือแต่ดอกบานสะพรั่ง  และยามที่ดอกร่วงโรยจนเหลือเพียงกิ่งก้านเปล่าดาย  วนเวียนหมุนเปลี่ยนกี่ครั้งครา  เข้าใจว่าคนจะยังคงคงเดิม  ทว่าในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  ไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่หลายปีก่อน

ฉีเซี่ยงหยวนมองเงาหลังสูงโปร่งที่แม้จะยืนอยู่เบื้องหน้าเขา  แต่กลับคล้ายจมหายไปในความทรงจำ  เหลียนอันสุ่ยกำลังอยู่ในอดีต  อดีตที่ไม่มีเขา  นั่นเป็นพื้นที่ที่เขาไม่อาจแตะต้องได้  และไม่ควรแตะต้อง  เขาควรจะให้เหลียนอันสุ่ยได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองซักพัก  ...ได้ใช้เวลาอยู่กับ ‘นาง’ ซักพัก
“ข้าจะไปดูความคืบหน้าในราชสำนักต่อ  ส่วนท่านอยู่ที่นี่เถอะ”

เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า  ไม่ได้ตอบคำ  สายตายังคงตรึงอยู่ที่ต้นท้อที่มิได้เห็นมานาน  กลางฤดูร้อนดอกท้อไม่หลงเหลืออีกแล้ว...
เหลียนอันสุ่ยมองนาง  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนมอง ‘เขา’  มือใหญ่เอื้อมไปตบบ่าสูงโปร่งเบาๆ  คล้ายกับปลอบประโลม  และคล้ายกับให้กำลังใจ  ทว่าในใจของฉีเซี่ยงหยวนยามหันหลังจากไปกลับเป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด
 
อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีมาโดยตลอดว่าความรักที่เหลียนอันสุ่ยมีให้เขากับความรู้สึกที่เหลียนอันสุ่ยมีต่ออดีตชายาไม่เหมือนกัน  จะเหมือนกันได้อย่างไร ในเมื่อหนึ่งความสัมพันธ์เริ่มต้นอย่างบริสุทธิ์สะอาด  ส่วนอีกหนึ่งความสัมพันธ์กลับเริ่มต้นที่แผนการสกปรก  เป็นความรักที่เริ่มต้นมาจากความใคร่  หลายครั้งที่ฉีเซี่ยงหยวนหวังให้จุดเริ่มต้นระหว่างพวกเขาแตกต่างออกไป  แต่สิ่งที่คนที่ไม่ว่ามีอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้คืออดีต  เขาแก้อดีตไม่ได้  ให้มันเริ่มต้นสวยงามกว่านี้ไม่ได้  ที่เขาทำได้คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด  ฉีเซี่ยงหยวนหวังว่าตลอดชีวิตของเขาจะไม่ทำให้เหลียนอันสุ่ยต้องร้องไห้อีก

ร่างสูงใหญ่จากไปไกลแล้ว  ไม่ว่าคนคุ้มกันหรือบ่าวรับใช้ล้วนถอยห่างออกไปเช่นกัน  เปิดโอกาสให้เหลียนอันสุ่ยได้อยู่กับอดีตชายาของเขาตามลำพัง

“เขาโตมากแล้วนะ  ตอนนนี้จิ้งเอ๋อไม่ใช่เด็กตัวน้อยๆที่ต้องให้พวกเราคอยดูแลอีกแล้ว” เหลียนอันสุ่ยเอ่ยเบาๆ  แต่ดวงตากลับฉาบไว้ด้วยความเศร้าซึมหม่นหมองของการหวนรำลึก
ก้มหน้าลงพึมพำว่า
“ความจริงแล้วข้าไม่มีหน้ามาพบกับเจ้า  ...วันคืนที่ข้ามีเจ้าข้ามีความสุขนัก  เจ้าดีต่อข้าเหลือเกิน  ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใด...เหตุใด  ทั้งๆที่ข้าควรจะรักมั่นแต่เจ้าแต่หัวใจของข้ากลับมีเขา  เหวินจี  ข้าก็อยากให้มันถูกต้อง  แต่ข้าทำไม่ได้  ข้าไม่ควรรักเขา  แต่ข้าทำไม่ได้  ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขาความจริงแล้วข้าสมควรมีต่อเจ้า  แต่ข้าก็ทำไม่ได้  ก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่ข้าทำไม่ได้  ข้าปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้  ยื้อชีวิตเจ้าเอาไว้ไม่ได้  ข้าทำได้แค่สำนึกเสียใจ” เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ที่เป็นดั่งตัวแทนของนาง 

“หากเรื่องราวที่ทอดต่อหลังความตายมีจริง  ไม่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้อย่างไรข้าจะชดใช้ให้เจ้าทุกอย่าง  ข้ามาเยือนแคว้นเหลียนครั้งนี้ความจริงตั้งใจจะมาลาเจ้า  ข้าคงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว  เป็นอิสระจากข้าเถิดนะเหวินจี  ...ความจริงชีวิตเจ้าไม่น่าต้องมาเจอกับข้าเลย” หากมิได้เจอข้าวันนี้คงยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่แย้มยิ้มให้กับโลกหล้าด้วยความจริงใจ

ส่วนต้นท้อที่เป็นหน่อของท้อต้นนี้  ข้าจะขอเก็บมันเอาไว้ข้างตัว  เหมือนกับความทรงจำระหว่างเราที่ข้าจะไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป  ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง  ขอบคุณจริงๆ

สายลมพัดแรง  เสียงใบไม้ลู่ลมฟังคล้ายเสียงพึมพำอื้ออึง  ในเสียงเสียดสีของธรรมชาติกลับมีสิ่งที่อยู่ไม่ถูกที่ถูกทางปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน  ใบไม้แห้งถูกลมหอบปลิวมาตกลงบนบ่า  เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าไปปัดออก  หางตากลับเหลือบเห็นประกายของคมมีดที่สะท้อนแสงแดดจนเจิดจ้า

ไวเท่าความคิดร่างสูงโปร่งกระชากตัวหลบ  คนร้ายที่หมายเอาชีวิตจึงแทงพลาดถลาเฉียดผ่านข้างกายเขาไป  มีดที่ยาวประมาณดาบสั้นคมกริบปักลึกเข้าไปในผิวต้นท้อ  จังหวะที่คนร้ายกระชากดึงออกมาเปิดโอกาสให้เหลียนอันสุ่ยร้องตะโกนเสียงดัง  ดังนั้นตอนที่คนร้ายหันกลับมาอีกที  ที่อยู่ตรงหน้าเขาจึงมิได้มีแค่เหลียนอันสุ่ย  แต่มีร่างสูงตระหง่านของหวังเชียนด้วย  ในบรรดาข้ารับใช้ที่ถอยห่างออกไปทั้งหมดหวังเชียนอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด  เสียงเรียกของเหลียนอันสุ่ยจึงทำให้เขาปรากฏตัวทันท่วงที

คนร้ายยังคิดทำเรื่องให้บรรลุจุดประสงค์  กุมมีดไว้มั่นแล้วพุ่งเข้าหาเหลียนอันสุ่ยอีกครั้ง  แต่กลับถูกหวังเชียนถลันเข้ามาแทรกกลาง  แทงดาบสวนกลับไป  จนมือสังหารต้องถอยหลบเพื่อรักษาชีวิต 
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา  ขณะที่สถานการณ์อุตลุดขึ้นทุกที  คนร้ายถูกแทงไปสองแผลคว้าข้อมือหวังเชียนไว้มั่น  ขณะที่อีกมือพยายามปักมีดลงบนร่างกายศัตรู  หวังเชียนแก้ปัญหาด้วยการถีบร่างมือสังหารลงกับพื้น  ฝ่ายมือสังหารจึงยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่นให้ทั้งแรงและน้ำหนักตัวกระชากให้อีกฝ่ายล้มตามลงมา  ขณะล้มลงหวังเชียนก็พลิกปลายดาบ  เสียบแทงมือสังหารได้อีกแผล  มือเท้าที่ทั้งว่างและไม่ว่างต่อสู้ยันกันดุเดือดจนผู้อื่นไม่อาจสอดมือเข้ามา 

หวังเชียนคิดจับเป็นคนผู้นี้  ดังนั้นทุกครั้งที่แทงดาบจงใจให้อีกฝ่ายสูญเสียความสามารถในการป้องกันตัวเองแต่ไม่ยอมให้บาดเจ็บถึงตาย  มีแต่จับเป็นคนร้ายจึงสามารถสาวลึกไปถึงตัวการใหญ่  ถอนรากถอนโคนให้หมดสิ้น  ทว่าคนหนึ่งคิดจับเป็น  ในขณะที่อีกคนคิดฆ่าเขา  เรื่องราวทุกอย่างจึงไหลไปในทางที่เกินความควบคุม

มีเสียงร้องดังขึ้นพร้อมกันสองเสียง  จากนั้นหยาดเลือดก็สาดกระเซ็น

หวังเชียนสามารถกระแทกคนร้ายหมดสติไป  แต่ตัวเขากลับถูกแทงเข้าอย่างถนัดถนี่  เลือดไหลทะลักอาบปากแผลไม่หยุด  เหลียนอันสุ่ยเห็นเข้าถึงกับหน้าซีด  เพราะตำแหน่งที่คนร้ายปักสุ่มไปแทงโดนกลับเป็นตำแหน่งของหลอดเลือดใหญ่ที่ลำคอ !
ร่างสูงโปร่งรีบเข้าไปห้ามเลือด  สั่งให้ทหารอารักขาคนอื่นแบกร่างหวังเชียนเข้าไปข้างใน  มือสังหารถูกจับมัดแน่นหนา

“ไปตามหมอหลวงใหญ่มา”เหลียนอันสุ่ยออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“นายท่าน  ไม่เป็นไร  ข้า...” หวังเชียนพยายามเอ่ยวาจา  เหลียนอันสุ่ยรีบหันไปสั่งเขา
“เจ้าไม่ต้องพูด  หายใจลึกๆ  เจ้าต้องพยายามหายใจ...”
“นายท่าน  อึก  ข้า  ข้ากลัวว่าถ้าไม่พูด  คงไม่ได้พูดแล้ว  คนร้ายนั่นยังไม่ตาย  ท่านสามารถ...สามารถ...” หวังเชียนยิ่งพยายามพูด  เลือดยิ่งไหลออกมาจากปากแผลของเขามากขึ้นทุกที

“ข้ารู้แล้วว่าข้าสามารถสืบสาวเรื่องราวจากเขา  แต่ตอนนี้ต้องเอาเจ้าให้รอดก่อน  เจ้าหยุดพูดเสียทีแล้วพยายามหายใจ”
หวังเชียนมองท่าทีที่แทบจะเป็นออกคำสั่งของอีกฝ่าย  นานๆครั้งนายท่านจะเป็นแบบนี้  ดูเหมือนเขา...คงยากจะรอดแน่แล้ว  ลมหายใจถี่กระชั้น  รู้สึกว่าเลือดไหลออกจากร่างกายไปเรื่อยๆ  ความรู้สึกนึกคิดพร่าเลือนไม่ชัดเจน
หวังเชียนพยายามดิ้นรนรวบรวมสติกลับมา  เค้นเสียงอย่างยากลำบากว่า
“นายท่าน  นี่เป็นข้าชดใช้คืนให้ท่าน  ท่านไม่ต้อง...ไม่ต้องรู้สึกผิด  ทั้งหมดนี้ข้าก็แค่  ก็แค่...ข้า...” วูบหนึ่งที่เกิดความลังเล  หลังจากนั้นแม้พยายามพูดก็พูดไม่ออกอีก  สติเลอะเลือนมึนงง  ขณะที่เรียวปากยังคงพยายามขยับเป็นคำบางคำที่ปราศจากเสียง
“หวังเชียนเจ้าต้องมีสติไว้  อย่ายอมแพ้เด็ดขาด  เข้าใจหรือไม่” เสียงจริงจังร้อนรนดังแทรกเข้ามา
เหมือนเหลือเกิน  เหตุใดทุกอย่างจึงดูราวกับวนซ้ำรอยเดิม  ดวงตาของหวังเชียนเลื่อนลอย  สติจมลึกลงในสายธารแห่งความทรงจำอันยาวไกล...อดีตที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง
---------------------
รถม้าคันหนึ่ง  มือสังหารบาดเจ็บที่กำลังหลบหนีผู้หนึ่ง
หวังเชียนซ่อนตัวอยู่ในรถม้า  เงี่ยหูฟังความปั่นป่วนวุ่นวานที่เขาเป็นคนก่อเบื้องนอก  ภารกิจสังหารขุนนางชั่วที่ข่มเหงราษฎรสำเร็จลุล่วง  ปัญหาเฉพาะหน้าคือต้องทำอย่างไรจึงจะหลบหนีไปจากที่นี่ได้  ด้านนอกทหารเต็มไปหมด  ต่างแตกตื่นกับงานเลี้ยงที่ถูกเขาแปรสภาพเป็นงานนองเลือด

ประตูรถม้าถูกเปิดออก  แสงโคมจากด้านนอกลอดเข้ามา  หวังเชียนเลื่อนมือไปกุมด้ามดาบ  รอคอยเวลา
มุมด้านในของรถม้ายังคงอยู่ในความมืดที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง  บ่าวรับใช้คิดยื่นส่งโคมเข้ามาส่องที่ทางให้  แต่เจ้าของรถม้ากลับขยับกายเข้ามาเสียก่อน  แสงโคมถอยห่างไป  ประตูรถม้าปิดลง  ผู้มาใหม่มิได้สังเกตเห็นเขา  แล้วรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกอย่างแช่มช้า 

หวังเชียนนึกขอบคุณรัตติกาลที่แผ่ปกคลุมแผ่นฟ้าอยู่เบื้องนอก  รวบรวมเรี่ยวแรง  สติและความเฉียบคนทั้งหมด  ผุดลุกขึ้นในคราวเดียวก็พาดดาบสั้นกับลำคอของเจ้าของรถม้า
“ถ้าท่านร้องออกไป  ข้าจะฆ่าท่านเดี๋ยวนี้”
คนที่ถูกเขาใช้ดาบพากคอมีท่าทีตกใจ  หันกลับมามอง  แต่ความมืดอำพรางจนอีกฝ่ายไม่สามารถเห็นเขาถนัดชัดตา  มีเสียงรายงานดังมาจากด้านนอก
“คุณชาย  พวกทหารมาขอตรวจค้นรถม้า  พวกเขากำลังพยายามตามจับคนร้ายที่ก่อเรื่องในงานเลี้ยงเมื่อครู่”
หวังเชียนโน้มร่างไปกระซิบเสียงเบาอย่างข่มขู่
“บอกเขาว่าไม่ต้องค้น  ไม่อย่างนั้นชีวิตท่านก็ไม่ต้องเก็บเอาไว้อีกแล้ว”
คิดไม่ถึง ‘เหยื่อ’ ผู้นี้จะให้ความร่วมมือยิ่ง  เสียงสงบราบเรียบเสียงหนึ่งตอบกลับไป
“รถม้าของข้ายังจำเป็นต้องค้นด้วยหรือ  ข้ามีเรื่องรีบด่วนต้องไปทำ  บอกทหารพวกนั้นว่าอย่าได้ขวางทางข้า”
มีเสียงตอบโต้กันอยู่พักหนึ่ง  สุดท้ายทหารเหล่านั้นกลับไม่กล้าตรวจค้นจริงๆ  หวังเชียนลอบขอบคุณสายตาตัวเองที่เลือกรถม้าถูกคัน  เท่านี้เขาก็สามารถฝ่าออกไปได้อย่างราบรื่น

รถม้ากลับมาแล่นอีกครั้ง  หัวใจตื่นเต้นเครียดเกร็งของหวังเชียนก็ค่อยๆกลับมาสงบลง
“เจ้าคือคนที่สังหารใต้เท้าเจี่ยในงานเลี้ยง ? ” เหยื่อที่สงบปากสงบคำจู่ๆก็ถามขึ้น
“เป็นข้าแล้วทำไม  ไม่ใช่ข้าแล้วทำไม  ไม่ต้องพูดมาก”
รถม้าแล่นไปเรื่อยๆ  พ้นห่างจากความวุ่นวายของงานเลี้ยงไปทุกที
“เจ้าต่างหากที่ไม่ควรพูดมาก แล้วก็อย่าเปลืองแรงพากคมดาบข่มขู่ข้าเลย  ทหารพวกนั้นรับรองว่าไม่กล้าตามมาขวางทางรถม้าข้าอีก” คำกล่าวสงบราบเรียบยิ่ง  ราวกับผู้กล่าวมิได้มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
“ทุกคนที่ข้าฆ่าล้วนสมควรตาย ส่วนท่านถ้ายังปากมากอีก  จะให้กลบฝังไปพร้อมกับคนแซ่เจี่ย”
รถม้าตกอยู่ในความเงียบ
หวังเชียนได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเอง  หัวใจเต้นถี่แรงจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย  บ้าจริง!  เขาเสียเลือดมากเกินไปจนสติชักจะมึนงงแล้ว
“ฟังจากเสียงหายใจ   ดูเหมือนเจ้าจะบาดเจ็บ  ทั้งยังบาดเจ็บไม่เบาอีกด้วย  เหตุใดต้องพยายามถือดาบข่มขู่ข้าอยู่อีก  เจ้าวางใจเถอะ  ข้าไม่เรียกทหารมาหรอก  ความจริงใต้เท้าเจี่ยตายไปเช่นนี้ราชสำนักอาจจะสะอาดขึ้นมาบ้างก็ได้”
หวังเชียนคิดจะบอกให้เหยื่อพูดให้น้อยกว่านี้  แต่สมองของเขาเลือนรางจนประกอบเป็นคำไม่ได้  โดยไม่รู้ตัว  เขากลับสิ้นสติไป...

การมีชีวิตรอดกลับมาจากความตายทำให้หวังเชียนได้รู้ว่าคุณชายผู้นั้นพาตัวเขาเข้ามารักษาในวัง  วังหลวงทหารมากมายกว่าในงานเลี้ยงเป็นสิบเท่า  วิธีจัดการของอีกฝ่ายช่างยอดเยี่ยมเสียจริง  หวังเชียนขบคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

หวังเชียนหาอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ในตัว  แต่กลับพบว่าถูกคนจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเรียบง่ายที่สะอาดสะอ้านชุดหนึ่ง  ยังดีที่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นอาวุธคู่ใจถูกวางไว้ที่หัวเตียง  หวังเชียนตกลงใจจะนอนลงไปเพื่อรอคอยเวลาเอาตัวรอด  คนที่พาเขาเข้ามาต้องเป็นคนพาเขาออกไป !

ดังนั้นเมื่อเหลียนอันสุ่ยเพิ่งเดินเข้ามาไม่กี่ก้าวก็ถูกทักทายด้วยดาบเล่มเดิมที่หันปลายดาบใส่เขาอย่างข่มขู่
“เจ้าคนไม่รู้คุณคน  คุณชายรักษาเจ้าทั้งคืน  เจ้ากลับตอบแทนเขาเช่นนี้หรือ!” เสียงของหญิงรับใช้ที่ยกผ้ากับน้ำติดตามเข้ามาด้วยร้องขึ้น  หลังจากนั้นนางก็ด่าเขาอีกชุดใหญ่  ด่าจนเขามึนงงขบคิดไม่ออกว่าเหตุใดเด็กหญิงที่อายุเพียงสิบเอ็ดขวบจึงมีวาจาที่ร้ายกาจเช่นนี้
“อิ๋งฮวา” ยังดีที่เหลียนอันสุ่ยออกปากปราม  นางจึงยอมหยุดปาก  กระแทกอ่างทองเหลืองลงบนโต๊ะ

หลังจากวันนั้นหวังเชียนจึงได้ทราบว่านายบ่าวคู่นี้ที่แท้อาศัยอยู่ในวังหลวง  ผู้เป็นนายแม้ถูกเรียกเป็นคุณชายแท้จริงกับเป็นเชื้อพระวงศ์  หวังเชียนไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากมาย  บุญคุณที่เขาติดค้างเหลียนอันสุ่ยได้แต่ใช้การติดตามรับใช้เป็นการตอบแทน
เหลียนอันสุ่ยช่วยเขาไว้หนึ่งชีวิต  ดังนั้นหนึ่งชีวิตนี้มอบคืนกลับไม่เห็นจะเป็นไร 

เพียงแต่ว่า...เหลียนอันสุ่ยช่วยคนไว้มากมายสุดคณา  บ่าวรับใช้ในตำหนักพระมาตุลามีกว่าครึ่งที่ติดค้างบุญคุณนายท่านผู้นี้  เช่นนี้แล้ว  การตอบแทนบุญคุณของเขาจะนับเป็นความสลักสำคัญอันใด  ...ก็เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ไม่เคยบอกออกไปในใจเขาจะนับเป็นความสลักสำคัญอันใด

หลายปีที่ข้าเฝ้ามองความอ้างว้างจากการสูญเสียชายาของท่าน  หลายปีที่ข้าเฝ้ามองอวี้เฉียนหลงใหลท่าน  และอีกหลายปีที่ข้าเฝ้ามองท่านยิ้มให้แก่ ‘เขา’  ตอนนี้ข้าคงไม่อาจอยู่ปกป้องท่านได้อีกแล้ว  ทว่าก็ไม่เป็นไรแล้วเช่นกัน  เพราะตอนนี้ท่านมีเขา...ข้าวางใจอย่างยิ่ง 

ตอนมีชีวิตข้าเพียงอยู่ในเงาของท่าน  หลงจากที่ข้าตายไปข้าหวังเพียงตัวเองสามารถผนึกเป็นเงาของท่าน  แม้การอยู่เคียงข้างของข้าจะปราศจากความหมายใดต่อท่าน  แม้การอยู่เคียงข้างของข้าจะไม่อาจเติมเต็มความอ้างว้างในใจของท่าน  แต่ก็ขอให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านเถอะ

นายท่าน  อย่าเสียใจ ...และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด  เพราะชีวิตของข้าเป็นของท่านนานแล้ว 
...มือสังหารตายเพราะมือสังหารใยมิใช่ยุติธรรมอย่างยิ่ง 
---------------------
เหลียนอันสุ่ยทรุดกายไปด้านหลังอย่างหมดแรง  หมอหลวงใหญ่ไม่ทันมาถึง  ลมหายใจของคนกลับจางหายไปก่อน  ในช่วงตอนท้ายหวังเชียนไม่ได้รับรู้อะไรอีก  ลมหายใจแผ่วตื้นและค่อยๆจางหายไปเองดุจใบไม้ปลิดขั้วเมื่อฤดูหนาวมาเยือน
คำพูดที่หวังเชียนพยายามขยับปากแต่ปราศจากเสียงเป็นคำสารภาพประโยคหนึ่งที่มีเพียงสามคำ
‘ข้ารักท่าน’
ดวงตาของหวังเชียนปิดไม่สนิท  เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือไปปิดเปลือกตาให้กับเขา  พึมพำว่า
“ข้ารู้” รู้มาโดยตลอด  ขอโทษด้วยที่ข้า...ไม่อาจตอบแทนความรู้สึกของเจ้าได้  ขอโทษด้วยที่ข้า...ทำเป็นไม่ทราบมาโดยตลอด
หลังหมอหลวงมาถึงไม่นาน  เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็มาถึง  เหลียนอันสุ่ยยังคงนั่งอยู่ที่เดิม  มองคนที่ใช้ชีวิตตัวเองแลกกับชีวิตเขา  มือใหญ่วางลงบนบ่าของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  บีบเบาๆคล้ายบอกว่าไม่เป็นไร  ได้ยินเหลียนอันสุ่ยพึมพำว่า
“มีคนตายเพื่อข้าอีกแล้ว” เหวินจี  อวี้เฉียน  หวังเชียน  แล้วยังท่าน  เหลียนอันสุ่ยยืนขึ้นช้าๆ หันหน้ากลับไปมองผู้มาใหม่  ...ท่านก็ด้วย

ดวงตาดำสนิทลึกล้ำของฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายนิ่ง  มือโอบรอบเอว  พยุงร่างอีกฝ่ายเอาไว้  สายตาของเหลียนอันสุ่ยมีแววเหม่อลอย  ส่วนสายตาของฉีเซี่ยงหยวนเบนไปมองร่างไร้ลมหายใจบนเตียงที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด 

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยทราบหรือไม่  แต่ในบางช่วงเวลาแววตาที่หวังเชียนใช้จับจ้องมองเขาแฝงปนความรู้สึกหนึ่งเอาไว้  อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนมองออกนานแล้วว่าบ่าวรับใช้ที่ติดตามคุ้มกันมาตั้งแต่แคว้นเหลียนผู้นี้หลงรักนายท่านของตัวเอง มันอาจเป็นสัญชาตญาณของคนสองคนที่จับจ้องจดจ่ออยู่ที่คนๆเดียวกัน 

น่าแปลกที่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยหึงหวงหวังเชียน  เพียงรู้สึกสงสารอยู่บ้าง  เพราะหวังเชียนไม่เคยวางตัวเป็นคู่แข่งของเขา  ในโลกของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีเรื่องใดไม่สามารถลองพยายามดู  แต่ในโลกของหวังเชียนกลับมีเรื่องเช่นนี้อยู่  และพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็คือหนึ่งในนั้น

บางทีตลอดชีวิตหวังเชียนคงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคู่ควร  เพียงแอบรักเงียบๆ  พอใจจะปกป้องเงียบๆ  และเอาความรักนั้นกลบฝังไปกับเขาด้วย

ฉีเซี่ยงหยวนไม่เข้าใจว่าในเมื่อรักคนผู้หนึ่งเหตุใดจึงไม่อาจลองพยายามดู  แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็เข้าใจว่าหวังเชียนมิใช่ตัวเขา  และตัวเขาก็มิใช่หวังเชียน  ไม่มีสิทธิ์เอามุมมองของตัวเองไปตัดสินผู้อื่น  อย่าว่าแต่ในเรื่องเช่นนี้หามีถูกผิด  มีแต่ทางที่ได้เลือกเดินแล้ว
ทั้งหวังเชียน  อวี้เฉียน  และตัวเขา  ต่างกำหนดทางเดินที่แตกต่างให้กับตัวเอง  แม้จะรักคนๆเดียวกัน  แต่กลับใช้วิธีที่แตกต่างกันมารักเหลียนอันสุ่ย

สายตาของฉีเซี่ยงหยวนเปลี่ยนจากอ่อนโยนมาเป็นเยียบเย็นเมื่อคิดถึงที่มาที่ไปของเหตุปองร้าย  ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมันจะเป็นใคร  แต่ในเมื่อมันกล้าทำร้ายเหลียนอันสุ่ยเขาจะให้มันชดใช้แน่นอน !
---------------------
ตอนนี้เปิดเผยความลับที่ถูกปกปิดมานาน  จริงๆสามารถใช้ชื่อตอนว่าหวังเชียน 
หากยังจำกันได้เคยมีอยู่ตอนหนึ่งชื่อว่า 'สุดเอื้อมแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้' 
ความจริงประโยคนี้คือคนสองคน  คือฉีเซี่ยงหยวนและหวังเชียน

ปล.ตอนนี้ยาวเพราะสองสัปดาห์ข้างหน้าผู้แต่งสอบอย่างหนักหน่วง  คงไม่ได้มาอัพนะคะ
ส่วนคนที่สงสัยว่าเรื่องนี้ใกล้จบรึเปล่า  ใช่ค่ะตอนนี้อยู่ในช่วงสุดท้ายของเรื่องแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-02-2015 21:48:53 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ ghostreader

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอลุ้นว่าใครเป็นคนสั่งให้มาลอบสังหาร
...เข้ามารออ่านทุกวันเลย ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ใครนะช่างกล้ามาก ให้อภัยคงไม่ได้แล้ว 

ชอบเรื่องนี้มากค่ะ อ่านหลายรอบมาก แต่เพิ่งได้เม้นท์ รอตอนต่อไปนะคะ  :3123:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ใครกันกล้าลอบทำร้ายเหลียนอันสุ่ยเนี่ย

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1
สงสารหวังเชียนจัง อ่านแล้วน้ำตาจะไหลเลย

ใครจะลอบทำร้ายกันเนี่ย เพื่ออะไรอีก

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 75
«ตอบ #276 เมื่อ01-02-2015 22:52:50 »

แอบเศร้าออะ จริงๆ เราว่าเหลียนๆนี้แอบใจร้ายเป็นบางมุมจริงๆนะคะ รู้ว่าใครมีใจให้ไม่เคยให้ความหวังแต่ก็ไม่ได้บอกให้ตัดใจ
หวังเซียนน่าสงสารอะ  :hao5:ตายแทรเหลียนๆ แบบนี้เท่มากเลย ยกให้เป็นพระรองชัวคราว 55
  เบื้องหลังนี้ใช่องค์หญิงจินผิงหรือป่าวเนี่ย แหมม
อยากให้ฉีเซียงหยวนจัดการให้หนักเลยนะ อย่ายั้งมือละ  :z6:
 อยากให้เหลียนๆหยุดให้อภัยบ้างไรบ้างนะ ใจดีเกินไปก็ไม่ดีน๊าา
ปล สอบแล้วก็ขอให้ได้คะแนนเยอะนะคร้า ^.^ /

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
 เหวินจี  อวี้เฉียน  หวังเชียน ต่างรักเหลียนๆของเราหมดใจ และทั้งสามก็ได้ตายเพราะเหลียนๆ
(เราว่าอวีเฉียนน่าสงสารสุด หวังเชียน กับ เหวินจี ยังได้มีช่วงเวลายาวนานที่ได้ดูแลและอยู่ใกล้คนที่เรารัก)

ตอนเหลียนอันสุยบอก มีคนตายเพื่อข้าอีกแล้ว  มันคงเจ็บมาก และรู้สึกผิดมากๆเลย ยิ่งเป็นคนฉลาดแล้วก็ชอบไม่ให้อภัยตัวเองอีก มันเศร้าแต่หวานซึ้งมากๆเลย

ฉีเซี่ยงหยวนช่วยปลอบเหลียนๆในแบบของท่านที ขอร้องหละ


ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
ตามจับต้นตอให้ได้นะ ลุ้นๆ
คิด ๆ แล้วท่านอ๋องนี่แน่จริง ๆ ที่มาจนถึงขนาดนี้ได้ เหลียน ๆ นี่ไม่ธรรมดาเลยนะ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ฮือออออ หวังเชียนนนน นายช่างเป็นพระรองที่แสนดีอะไรอย่างนี้  :sad4: ทำไม ทำไม ทำม้ายยยยต้องตายด้วย เจ็บปวดสุดๆเลยอ่าาาา :z3:
คนที่เป็นผู้บงการ จงใจลงมาที่เหลียนๆ หรือจะเป็นผู้หญิงคนนั้น(ลืม นานมาก จำชื่อไม่ได้ละ 555)
รอตอนถัดไป ตั้งใจสอบนะคะ สู้ๆ

 :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 76
«ตอบ #280 เมื่อ21-02-2015 14:26:21 »

บทที่ 76 เมื่ออดีตและปัจจุบันบรรจบกัน(2)

ในวังแคว้นเหลียนกำลังจะเกิดคลื่นม้วนเป็นระลอกใหญ่  ในใจคนผู้หนึ่งกลับไม่เคยสงบมาตั้งนานแล้ว  ทุกๆวันครุ่นคิดจมอยู่กับความคั่งแค้น  ทุกๆคืนนอนไม่หลับยังคงกล่อมตัวเองด้วยความชิงชังพยาบาท
องค์หญิงจินผิงกระวนกระวายใจจนนอนไม่หลับมาตั้งแต่ได้ยินว่าเหลียนอันสุ่ยจะกลับมาแคว้นเหลียน  นางทั้งดีใจทั้งเดือดดาล  บางครั้งหัวเราะ  บางคราวร่ำไห้  บางคราเกรี้ยวกราดอาฆาต  ในที่สุดสวรรค์ก็เห็นใจนาง  ส่งศัตรูที่หลุดพ้นเงื้อมมือนางไปกลับมาให้นางแก้แค้น
หลายปีมานี้นางขบคิดแผนการเอาไว้เป็นพันๆหมื่นๆแผนการ  นางได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกไม่บ่อยนัก  ดังนั้นเวลาทั้งหมดนางจึงได้แต่ขบคิดเท่านั้น  ขบคิดว่าจะแล่เนื้อเถือหนังเหลียนอันสุ่ยอย่างไรจึงจะสาสม  ในตอนที่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยจะมานางก็เลือกเอาหนึ่งแผนการในพันๆหมื่นๆแผนการนั้นออกมา

นางชรามากแล้ว  ไม่มีเวลารอดูความทรมานของคนอื่นอีก หากนางไม่กำจัดเหลียนอันสุ่ยก่อนนางจะตาย  ถ้านางตายไปผู้ใดจะจัดการเขา  ดังนั้นนางจะต้องให้เขาตายก่อนนาง

องค์หญิงจินผิงรู้ว่ามีอยู่ที่หนึ่งที่เหลียนอันสุ่ยจะอยู่คนเดียว  นั่นคือข้างกายชายาของเขา  ข้างต้นท้อต้นนั้น  ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยจากไปตำหนักพระมาตุลาก็เกือบจะร้าง  ส่งนักฆ่าเข้าไปซ่อนตัวไว้รอจังหวะคนหนึ่งพอจะกระทำได้ไม่ยากนัก  ขอเพียงนางสามารถจัดหานักฆ่ามา  นางจะให้เหลียนอันสุ่ยตายต่อหน้าชายาของเขา

ยอดเยี่ยม!  ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง  ชายาของเขานางเป็นคนฆ่า  เหวินจีตายต่อหน้าเขา  ส่วนคราวนี้นางก็ฆ่าเขาต่อหน้าชายาเขา  ให้เขาตายหน้าต้นท้อต้นนั้น  สะใจยิ่ง  สะใจจริงๆ  จากนั้นบุตรชายของเหลียนอันสุ่ยก็จะได้เห็นบิดาตัวเองนอนตายใต้ต้นท้อของมารดาที่จากไป  เด็กน้อยที่น่าสงสารเปลี่ยนเป็นกำพร้า  ส่วนทั้งพ่อทั้งแม่ของเด็กที่มีสายเลือดเลวทรามนั่นก็ถูกนางฆ่าเอง
คนที่เจ็บปวดที่สุดคือคนที่คงอยู่  นางน่าจะคิดวิธีนี้ได้ตั้งนานแล้ว  ต้องให้เหลียนจิ้งเต๋อเหลือเป็นคนสุดท้ายสิเหลียนอันสุ่ยถึงจะเจ็บปวดที่สุด ต่อให้เป็นผีมันก็ต้องเฝ้ามองบุตรชายของมันเศร้าโศกเสียใจ  ต่อให้เป็นผีมันก็ไม่มีวันได้อยู่สงบ  เหมือนกับที่นางได้แต่เศร้าเสียใจกับบุตรชายที่จากไปมาเป็นสิบปี!
---------------------
 ต่อให้ที่นี่เป็นแคว้นเหลียน แต่การสืบหาที่มาที่ไปของเรื่องราวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉีเซี่ยงหยวน  สายของเขาที่ประจำสังเกตการณ์ที่นี่มีมากมาย  อย่าว่าแต่มือสังหารก็ยังมีชีวิตอยู่  ที่ยากที่สุดสำหรับฉีเซี่ยงหยวนคือกดอารมณ์ลงไปแล้วใคร่ครวญ  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้มีโทสะระดับนี้มานานมากแล้ว  เรื่องมือสังหารที่เกือบจะฆ่าเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ปรากฏในใจเขาเป็นอารมณ์อำมหิตเลือดเย็น 

ชีวิตในสมรภูมิของเขา  เส้นทางสู่บัลลังก์ของเขา ฉีเซี่ยงหยวนฆ่าคนมามากมาย  แต่ในผู้คนเหล่านี้มีจำนวนเพียงน้อยมากที่เขาอยากจะให้ตายจริงๆ  การที่มีคนคิดฆ่าเหลียนอันสุ่ยฉุดดึงส่วนที่ดำมืดที่สุดในกมลสันดานของเขาออกมา

ส่วนที่ดำมืดที่สุดในกมลสันดานของมนุษย์คือการดิ้นรนเอาชีวิตรอด  และในคนบางคนส่วนที่ดำมืดที่สุดในกมลสันดานจะปรากฏออกมาในตอนที่คนสำคัญที่สุดของเขาถูกหมายเอาชีวิต

คิ้วหนากดมุ่น  สูดลมหายใจลึกยาว  บังคับให้ตัวเองใช้สติไม่ใช่ใช้อารมณ์  สิ่งที่ได้จากอารมณ์คือความสะใจ แต่สิ่งที่ได้จากสติคือความรอบคอบและความสมบูรณ์แบบ  ไม่แผนการแผนไหนปราศจากช่องโหว่ได้ถ้าคนคิดไม่มีสติ  กับเรื่องคราวนี้เขาจะต้องจัดการทุกคนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน  และต้องไม่ให้มีผลกระทบมาถึงเหลียนอันสุ่ยเด็ดขาด
---------------------
คืนนั้นมีงานเลี้ยงอีกแล้ว  แต่ไม่ว่าใครล้วนคิดไม่ถึงว่าอาหารเลิศรสจะกลายมาเป็นฝืดคอจนยากจะกลืนลง  นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังคำเปรยประโยคหนึ่งของเป่ยชางอ๋อง
“ข้าเพิ่งจะทราบ  ว่าในวังแคว้นเหลียนกลับมีนักฆ่าปะปนเข้ามาง่ายดายถึงเพียงนี้  ทั้งเป้าหมายยังเป็นเชื้อพระวงศ์  ใช่อุกอาจเกินไปหรือไม่  เพียงแต่ไม่ทราบว่านักฆ่าผู้นี้ยังมีจุดประสงค์ต้องการจะฆ่าข้าด้วยรึเปล่า”
น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนสงบราบเรียบมาก  ดูไม่ได้ให้ความสลักสำคัญอะไรมากนัก  แต่ทุกคนในงานเลี้ยงกลับทำได้แค่ถือตะเกียบค้างไว้  หันไปมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก  ต่อให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง  แต่คำพูดจากปากเป่ยชางอ๋องย่อมไม่อาจมองข้ามได้

เหลียนอ๋องรีบวางจอกสุรา  กล่าวว่า
“นี่เป็นไปไม่ได้  เมืองเหลียนเฉิงจงรักภักดี  ทั้งระหว่างเราก็มีความสัมพันธ์อันดีกันมาโดยตลอด  ข้าได้ยินว่ามีนักฆ่าหวังฆ่าท่านลุง  แต่อย่างไรคาดว่าน่าจะเป็นความขัดแย้งที่มีมาตั้งแต่เก่าก่อนในแคว้นเหลียน  ไม่มีทางเกี่ยวพันไปถึงต้าอ๋องเด็ดขาด  ยิ่งไม่มีทางกำเริบเสิบสานขนาดกล้าปองร้ายต้าอ๋องด้วย” ข้อหานี้แคว้นเหลียนไม่อาจรับไว้  หาไม่แล้วเกรงว่าผลสุดท้ายคงเลวร้ายสุดคณา  เหลียนอ๋องนึกเสียใจที่พระมาตุลาไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงด้วย  ไม่เช่นนั้นคงแจกแจงได้ง่ายกว่านี้

“เหลียนอ๋องพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจ  แต่จะอย่างไรก็ควรสืบต้นสายปลายเหตุให้กระจ่าง  หากข้าสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเองเกรงว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างสองแคว้น  เช่นนี้แล้วกัน  ถ้าผลเป้ฯความเข้าใจผิด  ข้ายินดีชดเชยให้แคว้นเหลียนโยการลดส่วยลดภาษีที่ต้องจ่ายในรอบนี้เป็นอย่างไร”

จุดประสงค์ของฉีเซี่ยงหยวนคือต้องการรวบอำนาจในการสืบสวนมาไว้ในกำมือทั้งหมด  คิดยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องที่จัดเป็นเรื่องภายในแคว้นของผู้อื่นจำเป็นต้องมีทั้งศิลปะและวิธีการ  ขุนนางที่จัดหานักฆ่าให้องค์หญิงจินผิงเป็นถึงขุนนางคนสำคัญของแคว้นเหลียน  หากให้แคว้นเหลียนสืบสาวเรื่องราวเอง  เกรงจะมีการปกปิดทำลายหลักฐานเกิดขึ้นในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง
 
เงื่อนไขที่ถูกเสนอขึ้นมานี้ทำให้เหลียนอ๋องนิ่งงัน  แม้จะไม่อยากให้อีกฝ่ายยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในมากเกินไป  แต่เงื่อนไขลดส่วยและภาษีไม่ใช่ว่าจะมีมาบ่อยๆ  เหลียนอ๋องย่อมไม่ทราบว่านี้เป็นแผนการเดิมที่จะลดภาษีเพื่อกุมใจชาวเหลียนที่ถูกฉีเซี่ยงหยวนเอามาใส่ประโยชน์ส่วนตัวเข้าไปด้วย 

หลังพยายามใคร่ครวญหาหนทางที่ดีที่สุดให้แคว้นเหลียนอยู่นาน  เหลียนอ๋องก็กล่าวว่า
“ตกลง  เพื่อความสบายพระทัยของต้าอ๋อง  ข้ายินดีมอบอำนาจในการสืบสวนให้กับท่าน”

คำพูดนี้เท่ากับพิพากษาชะตากรรมของเหล่าผู้เกี่ยวข้องเอาไว้ล่วงหน้า  เพราะฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจจะขุดออกมาทุกอย่าง  เมื่อหลักฐานความผิดพร้อมต่อให้ใครอยากช่วยใครก็ไม่อาจดำเนินการได้ทั้งสิ้น !
---------------------
การสืบสวนดำเนินการอย่างละเอียด  ระหว่างนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็ไปเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเหยียบเท้าเข้าไปมาก่อน...นั่นคือตำหนักเบญจมาศ

กับตัวการหลักผู้นี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะใช้วิธีการธรรมดาๆมาจัดการนาง  เพราะข้อแรกนางอันตรายเกินกว่าจะทิ้งไว้รอให้หลักฐานปรากฏหมดสิ้นแล้วค่อยจัดการ  ข้อที่สองคือระหว่างนางกับเหลียนอันสุ่ยมีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนยิ่ง

เหลียนอันสุ่ยไม่ใช่ไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องไปหาองค์หญิงจินผิง  เนื่องจากมือสังหารสารภาพออกมาหมดสิ้นตั้งแต่ก่อนฉีเซี่ยงหยวนจะเอ่ยปากกับเหลียนอ๋องด้วยซ้ำ  ทว่าเหลียนอันสุ่ยไม่อาจออกปากขัดขวางได้อีก  ยังคงจำได้ดีว่าเมื่อหลายปีก่อนพวกเขาเคยมีข้อตกลงอะไรระหว่างกัน  ฉีเซี่ยงหยวนยอมละเว้นองค์หญิงจินผิงเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว  ทุกข้อตกลงระหว่างพวกเขาเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน  เป็นความเชื่อถือตลอดหลายปีที่ผ่านมา  เหลียนอันสุ่ยแม้แน่ใจว่าฉีเซี่ยงหยวนสามารถอ่อนข้อให้เขาอีกครั้ง  ทว่าเป็นเหลียนอันสุ่ยเองที่ทำไม่ได้  การปล่อยปละละเว้นนางในครั้งนั้นกลับส่งผลถึงตายต่อชีวิตหวังเชียน  เหลียนอันสุ่ยไม่อาจปล่อยให้นางทำร้ายผู้คนไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนเดินตัดผ่านข้างแปลงเบญจมาศ สายตาของเขาสงบราบเรียบสงบราบเรียบกระด้างเย็นชา  ทว่าสีหน้าท่าทางเช่นนี้กลับไม่ได้ทำให้องค์หญิงจินผิงหวาดกลัว  ตอนนางเห็นเขานางเพียงหัวเราะเสียงเยาะหยัน  ไม่ได้คารวะและไม่คิดจะก้มหัวให้แม้แต่น้อย
“ท่านก็คือเป่ยชางอ๋อง ? ”
ฉีเซี่ยงหยวนยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่ผ่ายผอมแห้งเหี่ยวจนดูราวกับรากไม้ปีศาจผู้นี้จะมีพิษสงสามารถก่อเรื่องราวครั้งแล้วครั้งเล่า มองดวงตาที่เคียดแค้นเย้ยหยันของนาง  ขณะได้ยินเสียงแหลมสูงถามว่า
“ท่านก็ดูน่าจะฉลาด  เหตุใดถึงไปหลงเสน่ห์จอมปลอมของมัน  กล้ำกลืนรับของเหลือใช้จากอวี้เฉียนด้วย” ในบรรดาคำพูดเหยียดหยามที่ชวนระคายหูทั้งหมด  คำพูดนี้นับว่ากล่าวออกมาได้อย่างน่าระคายหูที่สุด

ฉีเซี่ยงหยวนกลับยิ้มออกมา กล่าวช้าๆว่า
“อาศัยปากของเจ้าก็คู่ควรจะเอ่ยถึงเขาหรือ  อีกอย่างการอยู่กับเขาข้าไม่เห็นต้องใช้ความกล้ำกลืนซักนิด”

 “ที่แท้เป่ยชางอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กลับมีรสนิยมชมชอบวิปริตเช่นนี้เอง  เรื่องน่าอดสูกลับพูดออกมาได้ไม่อายปาก  ช่างน่าขยะแขยงนัก  น่าขยะแขยงเช่นเดียวกับคนดีจอมปลอมแบบมันจริงๆ  ข้าไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดจึงอยู่ด้วยกันได้  นับว่าสวรรค์สาปส่งมาได้อย่างเหมาะเจาะ”
มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนยังคงมีรอยยิ้มเย็นชา  ไม่ได้เกรี้ยวกราดเดือดดาลไปตามคำพูดของนาง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสมเพช
ฝ่ายเดือดดาลจึงกลายมาเป็นองค์หญิงจินผิง  นางอยากจะควักดวงตาคู่นั้นออกมาเหลือเกิน  แต่นางไม่กล้าเข้าใกล้เขามากเกินไป ผู้ชายคนนี้แม้ยืนเฉยๆแต่กลับให้ความรู้สึกอันตราย  ในดวงตาเย็นชามีกลิ่นอายของความเหี้ยมโหด

“เรื่องข้ากับเขาเป็นอย่างไรใยต้องสนใจคำวิจารณ์ของผู้อื่น  ข้ารักเขาที่เป็นอย่างนี้  ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเดือดเนื้อร้อนใจแทน” เสียงทุ้มสงบราบเรียบ
ดวงตาขององค์หญิงจินผิงทอประกายคั่งแค้น  เหตุใดจึงเป็นแบบนี้อีกแล้ว  มีแต่คนรักมัน  เชื่อถือมัน  เห็นมันเป็นของล้ำค่า  ช่างน่าขย้อนของเก่าออกมาเหลือเกิน
“ทำไม  ท่านมาที่นี่คือจะมาจัดการข้าแทนมันหรือ  หรือว่าท่านไม่รู้สึกตัวซักนิดว่าถูกมันหลอกใช้มาตั้งแต่ต้นจนจบ  มันหลอกใช้คนทำเรื่องสกปรกมานับไม่ถ้วน  ในขณะที่มือของมันยังคงขาวสะอาดไม่แปดเปื้อนต่อไป  ล้วนมีแต่ตัวโง่งมทั้งนั้นที่ไปหลงใหลมัน”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ
“ต่อให้เขาหลอกใช้ข้าก็เต็มใจให้เขาหลอกใช้  อีกอย่างเขาใยต้องหลอกใช้ข้า  แค่พูดมาคำเดียวก็พอแล้ว  ครั้งที่แล้วเขาขอไม่ให้ข้าฆ่าเจ้า  ข้าแม้อยากฆ่าเจ้าแทบตายสุดท้ายก็ยังไม่ได้ลงมือ”

“เสแสร้งแกล้งทำกันเหลือเกิน  มันเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ก็แค่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง  ใช่แล้ว ข้านี่แหละที่ส่งคนไปข้ามัน  ท่านอยากฆ่าข้าก็ลงมือเถอะ  ฆ่าผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งไปคงสมศักดิ์ศรีต้าอ๋องของท่านมากทีเดียว” องค์หญิงจินผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี  นางหาได้พรั่นพรึงต่อความตาย  เพราะนางตายมานานแล้ว  ตายมาตั้งแต่สิบแปดปีก่อน

ฉีเซี่ยงหยวนกลับกล่าวว่า
“ข้าได้ยินว่าแคว้นเหลียนนิยมตั้งป้ายวิญญาณ  ฉางเฟย  หาป้ายวิญญาณของบุตรชายนางให้กับข้า  ตำหนักนี้กลิ่นอายอัปมงคลเข้มข้นนัก  เก็บป้ายวิญญาณไว้ที่นี่ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่”
องค์หญิงจินผิงได้ยินถึงกับกรีดร้อง  นางไม่กลัวความตาย  แต่จะพรากลูกไปจากนางไม่ได้
“เจ้าอย่าแตะต้องลูกข้านะ  เอามือสกปรกของพวกเจ้าออกไป  เจ้าพวกสารเลว  เจ้าฆ่าข้าได้แต่จะเอาลูกของข้าไปจากข้าไม่ได้ !”  ยื้อยุดไว้สุดความสามารถ  แต่สุดท้ายก็ถูกแย่งชิงไป

ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มเย็น  สั่งหลิวฉางเฟยว่า
“ป้ายวิญญาณป้ายนี้ต้องเก็บให้ดีหน่อย  ปกติแคว้นเหลียนพิธีฝังศพฝังไม่เผา  แต่คนผู้นี้ยามมีชีวิตกดขี่ข่มเหงผู้อื่น  อาละวาดระรานราษฎร  ไม่สมควรได้นอนหลับอย่างสงบ  เอาไว้ข้าขุดกระดูกของเขาขึ้นมาเผาจนเป็นเถ้า  จากนั้นค่อยให้คนส่งมาอยู่ข้างกายเจ้าแทนป้ายวิญญาณที่เย็นชืดป้ายนี้ดีหรือไม่” ประโยคสุดท้ายหันไปถามคู่กรณี

องค์หญิงจินผิงชี้หน้าอีกฝ่ายปากคอสั่น
“เจ้าคนโหดเหี้ยม  เจ้าถึงกับ  ถึงกับ...จะเผาเขา  เจ้ามันชั่วช้า!  พวกเจ้ามันไม่ใช่คน!”

“ข้าไม่ใช่คนหรือ  แล้ววิธีการที่เจ้าใช้แต่ละวิธีโหดเหี้ยมน้อยกว่านี้หรือไม่  เจ้าฆ่าชายาของเหลียนอันสุ่ย  เหลียนอันสุ่ยสลักนามนางเอาไว้บนผิวต้นท้อ  ใช้เปลือกไม้ท้อต่างป้ายวิญญาณ  เจ้าก็ส่งนักฆ่าไปที่นั่นหวังจะฆ่าเขาต่อหน้านาง  เจ้าใช้เหวินเถียนมาเหยียดหยามเขา  ทั้งๆที่เรื่องอัปยศอดสูทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเจ้าที่จัดฉากอยู่เบื้องหลัง  ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก  เพราะถ้าสังหารเจ้าเหลียนอันสุ่ยจะไม่สบายใจ  แต่คนสำคัญของเขาเจ้าทำร้ายมาครบทุกคน  ใยไม่คิดบ้างว่าคนสำคัญของเจ้าก็มีหนทางถูกผู้อื่นทำร้ายได้เช่นกัน”
องค์หญิงจินผิงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
“ข้าจัดฉากหรือ  แล้วคนที่ทำให้มันเป็นไปตามที่ข้าจัดฉากมิใช่ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่หรือไร  เจ้าเองก็ช่วยข้าทำลายเขา  ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี”
“ไม่ผิด  ข้าเองก็ทำร้ายเขา  เรื่องนั้นข้าชดเชยให้เขาวันหลังได้  แต่วันนี้ข้าต้องจัดการเจ้าก่อน  ฉางเฟย  ไปคุมตัวคนสนิทของนางมา  หญิงรับใช้ผู้นี้ช่วยเหลือนางก่อกรรมทำชั่ว  ต้องพาตัวไปรอรับโทษ”
“นายหญิง  ไม่  บ่าวไม่ไป นายหญิง  ช่วยด้วย...”
“จะเอาผิดอะไรก็มาลงที่ข้านี่!  นางไม่ผิด  ลูกของข้าก็ไม่ผิด  เขาตายไปแล้ว  พวกเจ้ากลับไม่ปล่อยปละละเว้นเขา  ข้าจะฆ่าเจ้า  ข้าจะฆ่าเจ้า!” ถลันตัวเข้าไป  แต่องครักษ์รอบกายฉีเซี่ยงหยวนไหนเลยยอมให้นางได้เข้าใกล้เป่ยชางอ๋อง

 ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนนิ่งเย็นขณะมองท่าทีทุรนทุรายของนาง  หันหลังกลับเดินจากไปอย่างไม่ใยดี  ได้ยินเสียงนางกรีดร้องว่า
“เจ้าพวกคนชั่ว  เอาลูกข้าคืนมา  พวกเจ้าจะเอาเขาไปไม่ได้...”

“ตำหนักเก่านี้กลิ่นอายอัปมงคลรุนแรงนัก  ปิดไว้ซักพักก็แล้วกัน  กักบริเวณไม่ต้องให้นางออกไปเพ่นพ่านที่ไหนอีก” ฉีเซี่ยงหยวนสั่งขณะก้าวข้ามธรณีประตู  ทหารยามที่ล้วนเป็นคนของเขารับคำโดยพร้อมเพรียง

ประตูตำหนักปิดลง  แต่หนึ่งเสียงโหยหวนยังไม่จางไป  เสียงนั้นคล้ายกรีดร้องซ้ำๆเป็นคำว่า

‘เอาลูกข้าคืนมา’
---------------------
หลิวฉางเฟยสังเกตสีหน้านายเหนือหัวอย่างระมัดระวังขณะถามว่า
“ต้าอ๋อง  เรื่องขุดสุสาน...”
“คนๆนี้ยามมีชีวิตก่อกรรมทำชั่วไว้ไม่น้อย  เจ้าก็บอกไปว่าเป็นการชำระสุสานตามวิธีของชาวเป่ยชาง  เพราะปกติพวกเราก็ฝังบ้างเผาบ้างอยู่แล้ว  ทำตามใจในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้  ต่อให้มีคนข้องใจก็ไม่มีทางกล้ายื่นมือเข้ามาสอดเรื่องของข้า”
“ขอรับ”
ชาวเหลียนเชื่อว่าการเผาศพเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย  เท่ากับชาติภพหน้าจะไม่มีทางเกิดมาสมบูรณ์  ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนแม้ลงมืออย่างอำมหิต  แต่กลับขบคิดมาอย่างรอบคอบ  หลิวฉางเฟยเห็นว่าต้าอ๋องให้ความสำคัญกับความรู้สึกของพระมาตุลาไม่น้อยเลย  เฮ้อ  ความรัก  ช่างยุ่งยากลำบากแท้
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนหาตัวเหลียนอันสุ่ยพบในห้องหนังสือ  ร่างสูงโปร่งถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง  แต่ท่าทางแค่ดูก็รู้แล้วว่ากำลังเหม่อลอย
ดึงหนังสือออกมาจากมือคู่นั้น  เหลียนอันสุ่ยถึงเงยหน้าขึ้นมามอง  ถามว่า
“ท่านไป...ตำหนักเบญจมาศมาหรือ”
ฉีเซี่ยงหยวนม้วนหนังสือวางลงบนชั้น  รับคำว่า
“ใช่” จากนั้นเบนสายตาลงมาจับจ้องคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้  ถามช้าๆว่า
“ท่านโกรธข้า ? ”
คิ้วเรียวงามของเหลียนอันสุ่ยกดลงสะท้อนจิตใจที่ไม่อาจผ่อนคลาย  แต่กลับส่ายหน้ากล่าวว่า
“ต้องมีใครซักคนหยุดนาง...ขอโทษด้วย  ที่ทำให้มือของท่านต้องแปดเปื้อนกับเรื่องแบบนี้” ทั้งๆที่ทั้งหมดต่างควรเป็นความแปดเปื้อนของข้า  ใช้สองมือกุมมือใหญ่ไว้  มองฝ่ามือแกร่งกร้านอย่างเสียใจ  สีหน้าท่าทางเศร้าซึม

ฉีเซี่ยงหยวนใช้มืออีกข้างไล้ผิวแก้มเนียน  หัวเราะเบาๆพึมพำว่า
“ท่านมันพวกคิดมาก  ให้ท่านลงมือไม่รู้อีกกี่ปีจะเลิกจมกับความรู้สึกผิด  ข้าจัดการนั่นแหละดีแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสับสน
“ท่านมักจะ  มักจะ...เป็นเช่นนี้อยู่เสมอเลย  หรือไม่รู้สึกว่าข้าเอาเปรียบท่าน...ยืมมือท่านไปทำเรื่องไม่ดี”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเสียงดัง
“เรื่องไม่ดีที่ข้าทำเองยังเลวร้ายกว่านี้มากนัก  แต่ว่าท่านตื้นตันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน  ไม่ทราบสำหรับเรื่องคราวนี้ท่านจะตอบแทนข้าอย่างไร” รวบผมอีกฝ่ายไปไว้ข้างหนึ่ง มือหยาบกร้านวางลงที่ต้นคอขาวเนียนที่เผยออกมาใช้แรงเบาๆ  บังคับให้ใบหน้าหมดจดเงยขึ้นมาสบตา
“ท่านต้องการให้ข้าตอบแทนอย่างไร”
“ข้าต้องการให้ท่านเลิกซึมกับเรื่ององค์หญิงจินผิงเสียที  ข้าเห็นแล้วรู้สึกหดหู่”
“นี่กลับ  นี่กลับ...ค่อนข้างจะยาก”
ได้ยินน้ำเสียงไม่มั่นใจฉีเซี่ยงหยวนก็หรี่ตาลง  ออกคำสั่งว่า
“ถึงยากก็ต้องทำให้ได้!”
---------------------
ตอนนี้เปิดเผยตัวร้าย  เห็นหลายคนเดาถูก 
ในคอมเมนท์มีคนบอกว่าเหลียนๆร้ายบางมุม 
สงสัยตอนที่แล้วจะเขียนให้หวังเชียนรันทดไปหน่อย555  แต่อันนี้บอกว่าเหลียนอันสุ่ยร้ายไม่ได้นะ 
อย่าลืมว่าหวังเชียนไม่เคยสารภาพรักเหลียนอันสุ่ยเลย  แล้วจะให้เหลียนเหลียนไปปฏิเสธเขาได้ยังไง
 
จริงๆเหลียนอันสุ่ยไม่เคยให้ความหวังหวังเชียนนะคะ 
ถึงแม้จะทำเป็นไม่รู้  แต่การกระทำของเหลียนอันสุ่ยชัดเจนมาก 
ชัดเจนจนหวังเชียนไม่กล้าอาจเอื้อม
ระหว่างนายบ่าวคู่นี้ไม่ได้มีแต่ความรักที่เก็บซ่อนไว้  แต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่าบุญคุณ 
การที่หวังเชียนทำงานให้เหลียนๆเป็นการตอบแทนบุญคุณ 
และถือเป็นชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องฆ่าฟันที่เหลียนอันสุ่ยมอบให้แก่เขาด้วย 

คนที่ท่านเหลียนร้ายด้วยจริงๆคืออวี้เฉียน รายนั้นคือให้ความหวังของจริงและไม่มีทางสมหวังแน่ๆของจริง 
แต่ครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะพฤติกรรมที่อวี้เฉียนทำตัวเองด้วย 
ในบรรดาคนที่หลงรักเหลียนอันสุ่ยทั้งหมดคนที่ผู้แต่งสงสารที่สุดคือหวังเชียน  แต่ถ้าถามว่าใครรันทดที่สุดคนๆนั้นคืออวี้เฉียน  ใครที่เสียน้ำตาให้หวังเชียน  ถ้าเจอตอนที่ผู้แต่งเขียนให้อวี้เฉียนอาจน้ำตาหมดเป็นปี๊บได้555



ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
คนอย่างองค์หญิงชะนีจินผิง สมควรแล้วจะโดนตอบโต้แบบนี้ เหลียนเหลียนเชื่อฉีฉีเถอะ อย่าไปซึมเพราะชะนีตนนี้เลย วิธีการแต่ล่ะอย่างโหดเหี้ยมทั้งนั้น  :beat:  ชอบเวลาฉีฉีปลอบเหลียนเหลียน ไม่ว่าจะนุ่ม จะขรึม แต่มันก็จะแฝงไปด้วยความรักเสมอ  :-[

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
เรื่องความเด็ดขาดที่ติดจะโหดไม่มีใครเกินเป่ยชางอ๋อง  :katai2-1:

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เพิ่งตามอ่านจนครบถึงตอนนี้ ชอบจัง ให้อารมณ์นิยายแปลจีนเลย คนเขียนเก่งฝุดๆ
รวมเล่มเมื่อไหร่ดีคะ ?เก็บตังรอนะ ชอบมากต้องเอาเป็นเล่มมมาเก็บให้ได้55555

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
ต้าอ๋องพึ่งพาได้ที่สุดฮ่ะ วิธีนี่เข้าขั้นโหดเลย คือทำอะไรนางไม่ได้ไง ก็บีบเอาจนนางดิ้นได้ สงสารที่อยู่กับความแค้นอะไรจะขนาดนี้ เสียดายไม่มีจิตแพทย์ช่วยบำบัดให้

ออฟไลน์ beery25

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 808
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +130/-0
อยากตอนของอวี้เฉียนขึ้นมาทันที ท่านแม่ทัพจะเป็นคนยังไง

ออฟไลน์ GUNPLAPLASTIC

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
อย่าเพิ่งจบเลยนะค่ะ ขอคู่ลูกอีกคู่เถอะค่ะนี้ลุ้นคู่รัชทายาทนานมากนะค่ะ
เห็นใจเเม่ยกอย่าเราด้วยนะค่ะ พลีสสสสสส

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สปอยมาแบบนี้ อยากอ่านของอวี้เฉียนขึ้นมาเลย

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ม่ายยยหวังเฉียน คนนี้เป็นคนโปรดเราเลย

ชอบใครกี่เรื่องตายหมด  :ling2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ monster_narak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แต่ในที่นี้ที่อ่านมาอวี้เฉวียนน่าสงสารจริงๆคะน่าสงสารสุด

ถูกให้ความหวังแล้วก็รู้ว่าไม่สมหวัง ตอนที่จะตายก็มาหาเหลียนๆที่วังเลยถูกพ่อพระเอกฆ่า

ไม่รู้ว่ามาทำไมแต่ที่แน่ๆถ้ามีมาให้อ่านนี้น้ำตาท่วมแน่ค่ะ

ความจริงใครมารักเหลียนๆนี่ชอกช้ำทุกคนแต่พ่อพระเอกชีถึกสุดเลยได้ใจไป55555

ให้กำลังใจคะนี่ตามมาจากเดกดีและจะเปนกำลังใจให้ต่อไปอิอิ


ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
จินผิงร้ายกาจจริงจังนะเนี่ย

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 77
«ตอบ #292 เมื่อ02-03-2015 21:48:04 »

บทที่ 77 ชะตาไม่ปล่อยปละละเว้นคน

กลางท้องพระโรงอันเลิศหรูของแคว้นเหลียนกลับเป็นที่ที่ใช้พิพากษาความเป็นความตายของคน
ขุนนางใหญ่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นหวนคิดไปถึงวันที่องค์หญิงจินผิงส่งหญิงรับใช้ของนางมาพยายามติดต่อกับเขา  ไม่ควรเลย...ไม่ควรไปหานางเลย

‘ท่านปฏิเสธเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร  บุญคุณใหญ่หลวงที่สวามีข้ามีต่อท่านหรือว่าลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว ! ’

เขาย่อมมิได้ลืมเลือน  แต่การช่วยนางจัดหานักฆ่ามาทำร้ายเชื้อพระวงศ์เช่นนี้ออกจะเป็นการสุ่มเสี่ยงเกินไป

‘สวามีข้ามีลูกชายคนเดียว  แต่ลูกชายคนเดียวของเขากลับถูกเหลียนอันสุ่ยฆ่าตาย  ท่านว่าข้าไม่สมควรแก้แค้นหรือ’

ในสายตาของเขาท่าทางของนางคลุ้มคลั่งยิ่ง  คล้ายกับถูกความเคียดแค้นเคี่ยวกรำจนสาหัส  เขาไม่ต้องการรับปาก  แต่นางถึงกับชักมีดออกมา  ข่มขู่ว่าหากเขาปฏิเสธจะยินยอมตายอยู่เบื้องหน้า  นางเป็นเหมือนพี่สะใภ้ของเขา  แม้ตอนนี้จะดูคลุ้มคลั่งอาฆาต  แต่เห็นแก่พระคุณของพี่ใหญ่เขาไม่อาจปล่อยให้นางตาย  สุดท้ายเขาจัดหานักฆ่าให้นางคนหนึ่ง  หาทางส่งเข้าไปตามที่นางต้องการ  บุญคุณที่เขาติดค้างพี่ใหญ่ถือว่าหักกลบลบล้างกันไป

เขาเข้าใจว่าอาศัยฐานะยิ่งใหญ่ของตัวเองต่อให้เรื่องถูกเปิดโปงก็ไม่มีวันสาวมาถึง  แต่เขาเข้าใจผิดแล้ว...ผิดอย่างใหญ่หลวง
เหลือบมองขึ้นไปด้านบน  เห็นร่างองอาจสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำมองลงมาด้วยสายตาเย็นชัด  คิดไม่ถึง  คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนสืบสาวเรื่องราวจะกลับกลายมาเป็นเป่ยชางอ๋อง  การเงยหน้าครั้งนี้เขาเห็นเหลียนอ๋องเช่นกัน  ดวงตาของเหลียนอ๋องก็เย็นชาไม่แตกต่าง  เขาทราบ  แม้เขาจะเป็นขุนนางเหลียน  แต่เหลียนอ๋องจะไม่ออกปากขอละเว้นโทษให้กับเขาเด็ดขาด  เพราะความผิดที่เขาทำคือการพยายามปองร้ายเชื้อพระวงศ์
---------------------
ประมุขตระกูลซุยคิดปองร้ายเชื้อพระวงศ์  ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เหลียนอ๋องมีต่อตระกูลซุยจางหายไปตลอดกาล  ป้ายลายพระหัตถ์คำว่า ‘คุณธรรม’ ที่ตระกูลซุยเคยได้รับพระราชทานมาตั้งแต่รัชกาลก่อนถูกเรียกกลับคืน  ลูกหลานตระกูลซุยถัดไปสี่รุ่นถูกปลดจากตำแหน่งขุนนาง  ประมุขตระกูลต้องโทษประหาร  แต่ที่ทำให้เขาเสียใจที่สุดคือเกียรติยศที่บรรพชนสั่งสมมากลับถูกทำลายลงในรุ่นของเขา

ประมุขตระกูลซุยไม่ยอมให้การซัดทอดองค์หญิงจินผิง  ก้าวสู่ความตายด้วยความรู้สึกผิดต่อบรรพชนและลูกหลาน
 
คนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเกียรติยศ  ฉีเซี่ยงหยวนพรากเกียรติยศไปจากเขา  คนที่ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมและพรากจาก  ฉีเซี่ยงหยวนทำให้พวกเขาพรากจากกันตลอดกาล  การพิพากษาครั้งนี้สะบั้นชีวิตคนไปไม่มาก  แต่ไม่อาจบอกได้ว่าไม่อำมหิต  ...เพราะการมีชีวิตบางครั้งยากลำบากกว่าตาย  เหลียนอันสุ่ยทราบดีทุกอย่างแต่ไม่อาจตำหนิ  ฉีเซี่ยงหยวนละเว้นโทษตายให้คนตระกูลซุย  ฉีเซี่ยงหยวนละเว้นโทษตายให้องค์หญิงจินผิง  ทั้งหมดล้วนเพราะเห็นแก่เขา  ขบคิดแทนเขา

เรื่องราวคล้ายกำลังจะจบลง  ทว่าก่อนฉีเซี่ยงหยวนจะให้คนขุดกระดูกบุตรชายองค์หญิงจินผิงขึ้นมา  เรื่องไม่คาดฝันเรื่องหนึ่งก็เกิดขึ้นก่อน

องค์หญิงจินผิงกลายเป็นบ้าแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะไม่มีใครทราบว่านางกดดันตัวเองด้วยความแค้นมาถึงสิบแปดปีเต็ม  ยิ่งไม่มีผู้ใดทราบว่าเมื่อเร็วๆนี้นางได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวง

นางมิได้คลุ้มคลั่งแค่บางเวลาอย่างแต่ก่อนอีก  ชั่วขณะนี้ช่วงที่นางพูดจารู้เรื่องยังน้อยยิ่งกว่าช่วงเวลาที่นางเกรี้ยวกราดอาละวาด  บางทีร้องไห้เสียใจอย่างหนักหน่วง  ถัดมาก็หัวเราะพูดคุยกับคนที่ไม่มีอยู่จริง  หลังจากหัวเราะก็คิดฆ่าคน  บางครั้งบ่าวรับใช้ยังพบว่านางพยายามทำร้ายตัวเอง  ไม่ว่าบ่าวรับใช้คนไหนล้วนไม่ต้องการถูกส่งไปที่ตำหนักเบญจมาศ  ขนาดองครักษ์ที่มีหน้าที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักยังอดไม่ได้ต้องจับจ้องมองไปข้างในด้วยความรู้สึกขนหัวลุก

ตอนเหลียนอันสุ่ยได้ยินข่าวสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด  พึมพำว่า
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”

ดังนั้นสุดท้ายแล้วฉีเซี่ยงหยวนจึงไม่ได้ขุดกระดูกของบุตรชายนางขึ้นมา  เพราะนางไปอยู่ในโลกที่เขาไม่อาจทำร้ายได้อีกแล้ว  หลังจากนี้ที่ทำร้ายนาง...มีแต่ตัวนางเอง

“ท่านตำหนิข้า ? ” ฉีเซี่ยงหยวนถามเหลียนอันสุ่ยขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้มองหน้าเขา  คล้ายจมอยู่ในความคิดของตัวเอง  พึมพำว่า
“ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องราวจะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้  ดังนั้นมันมิใช่ความผิดของท่าน” คนสติดีผู้หนึ่งไหนเลยสามารถถูกคำพูดไม่กี่คำคุกคามจนเป็นบ้าได้  เหลียนอันสุ่ยนึกภาพไม่ออกว่าตลอดหลายปีมานี้ความเคียดแค้นกัดกร่อนทำลายนางไปอย่างไรบ้าง 
นิ่งไปพักใหญ่เหลียนอันสุ่ยก็กล่าวขึ้นว่า

“วันนี้ข้าไปเยี่ยมอาจูที่เป็นบ่าวรับใช้ของนางมา  เพิ่งทราบว่าที่แท้องค์หญิงจินผิงมีอาการทางจิตประสาทมาซักพักหนึ่งแล้ว  ...ท่าน...ส่งบ่าวรับใช้คืนให้นางไปเถอะ  นางในตอนนี้ทำร้ายใครไม่ได้อีกแล้ว” บ่าวคนอื่นล้วนไม่เต็มใจจะดูแลนาง  นี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาพอจะทำให้นางได้แล้ว

“ตกลง” ฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้ารับคำ

ทว่าคำพูดของเหลียนอันสุ่ยผิดพลาดแล้ว องค์หญิงจินผิงยังมีความสามารถที่จะทำร้ายคน !

ในความเงียบของตำหนักเบญจมาศเสียงแหลมสูงดังขึ้นมาอย่างน่ากลัว
“เจ้าเป็นใคร!  หรือว่า...เจ้าก็คือเหวินจี  ใช่แล้ว  เจ้าก็คือเหวินจีที่ข้าฆ่าไป  ทำไมจะตามมาเอาชีวิตข้าหรือ” จบประโยคด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“นายหญิง  ข้าคืออาจู...” คิดก้าวเข้าไปหา แต่องค์หญิงจินผิงกลับถอยหลังตวาดออกมา
“หุบปาก!  เจ้าไม่ใช่อาจู  เจ้าคือเหวินจี  เมื่อวานเจ้าอาฆาตว่าจะมาล้างแค้นข้า  ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก  ตอนเจ้ามีชีวิตข้าฆ่าเจ้าได้  ตอนเจ้าตายกลายเป็นผีข้าก็แค่ฆ่าเจ้าอีกครั้ง” กล่าวจบก็ชักมีดเล่มหนึ่งออกมา
อาจูถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นผู้เป็นนายพุ่งเข้ามา  ตะเกียกตะกายหลบหนี  แต่ถูกคว้าตัวไว้มั่น
“นายหญิง  อย่า!” ถัดจากเสียงนี้ก็เป็นเสียงกรีดร้องที่ปนไปกับเสียงคลุ้มคลั่งสะใจขององค์หญิงจินผิง
“ข้าจะฆ่าเจ้า  ฆ่าเจ้าให้ตาย  ฆ่าเจ้าให้ตาย” คมมีดเสียบแทงครั้งแล้วครั้งเล่า  ตอนทหารด้านนอกได้ยินเสียงวิ่งเข้ามาก็สายเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด
บ่าวผู้ซื่อสัตย์ทำได้เพียงมองนายหญิงของตัวเองด้วยความหวาดกลัวน้ำตานองหน้า  พึมพำด้วยเสียงอ่อนระโหยว่า
“นายหญิง  อย่า  บ่าวคือ...อาจู  บ่าวคือ...” คล้ายกับเสียงอ่อนระโหยนี้ฉุดดึงสติใยสุดท้ายขององค์หญิงจินผิงกลับมา  ดวงตาคลุ้มคลั่งของนางถูกแทนที่ด้วยสีหน้าสับสนทำอะไรไม่ถูก  ก้มลงมองคนที่อยู่ใต้คมมีด
“เจ้าก็คือ...อาจู  ทะ ทำไมเจ้าเลือดออกเยอะอย่างนี้!”

อาจูไม่ได้ตอบ  เพราะนางไม่อาจตอบอีกแล้ว...ชั่วนิรันดร์

‘เคร้ง’ มีดหลุดจากมือ  จ้องมองมือที่เปื้อนเลือดสั่นระริกของตัวเอง  ตัวนางก็สั่นสะท้านเช่นกัน  กรีดร้องว่า
“อาจู  เจ้าจะตายไม่ได้  อาจู  อย่าทิ้งข้าไป  ไม่!” ยกมือปิดหน้าร้องไห้ออกมา  พึมพำซ้ำว่า “ข้าฆ่าเจ้าไปแล้ว  ข้าฆ่าเจ้าไปแล้ว” เงยหน้าเห็นทหารที่อยู่รายรอบองค์หญิงจินผิงก็ถอยกรูด

“พวกเจ้า  พวกเจ้าก็คือทหารของเป่ยชางอ๋อง  พวกเจ้าจะทำร้ายข้า  ไม่  นั่นพวกเจ้า...พวกเจ้าพาใครมา  พวกเขาล้วนเป็นคนตาย  พวกเขาล้วนเป็นคนตาย” ในสายตาขององค์หญิงจินผิงเบื้องหลังทหารเหล่านั้นยังมีเงาของบุคคลที่นางเคยฆ่า  นางกระเสือกกระสนไปด้านหลัง  พึมพำว่า

“อย่าเข้ามา...อย่าเข้ามา” ขดตัวเองอยู่กับพื้นตัวสั่นสะท้าน “ลูกแม่  ช่วยแม่ด้วย  อาจู  ช่วย  ช่วยข้าที  เอาพวกมันออกไป  บอก...บอกให้พวกมันไปคิดบัญชีกับเหลียนอันสุ่ย  ใช่แล้วเป็นเหลียนอันสุ่ยที่ผิด  ข้าไม่ผิด  อย่าเข้ามา...”
 ---------------------
ข่าวการตายของอาจูทำให้เหลียนอันสุ่ยแทบล้มทั้งยืน  ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น  เขาคิด...คิดว่าพวกนางนายบ่าวอยู่กันมาเนิ่นนานไม่สมควรเกิดเรื่องใด  เขาก็แค่หวังดี  แต่ความหวังดีของเขากลับเป็นการทำลายองค์หญิงจินผิงอย่างเลือดเย็น 

เหลียนอันสุ่ยทำได้เพียงมองมือของเขา  มองอยู่นานก็มีมือใหญ่คู่หนึ่งเอื้อมมากุมข้อมือเขาไว้
 “ท่านเหนื่อยแล้ว” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าเขาเหนื่อยแล้วจริงๆ  เหนื่อยล้ากับความแค้นและชะตากรรมที่โยงใยกันจนยุ่งเหยิง  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยหลับลงช้าๆ  ในใจทราบดีว่าคนผู้หนึ่งจะอยู่กับเขา 

ท่านเอย  บางครั้งชะตากรรมก็ไม่ยอมปล่อยปละละเว้นคน  บทลงเอยที่ชวนสลดพวกนี้จะไม่มีวันมาถึงเลย  หากพวกเขามิได้ช่วยกันก้าวที่ละก้าว

...ทุกก้าวที่ก้าวไปแล้วไร้เส้นทางหวนคืน
---------------------
ท้องนภากว้างใหญ่ไพศาล  ปัญหาของคนดูแล้วเล็กน้อยจนไม่คู่ควรจะเอ่ยถึง

ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยมองท้องฟ้ากว้าง  จิตใจกลับค่อยๆสงบลง  ฉีเซี่ยงหยวนบอกว่าเขาชอบคิดมาก  ชอบแบกเรื่องหนักๆเอาไว้กับตัว  บางทีอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ 

องค์หญิงจินผิงมิใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา  แต่กลับเป็นปัญหาที่เวลาเขาหวนคิดแล้วรู้สึกเหนื่อยใจได้มากที่สุดปัญหาหนึ่ง  เขาเข้าใจว่าตัวเองสามารถปล่อยวางได้นานแล้ว...ที่แท้กลับยังคงแบกรับมันอยู่  เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้  เพราะความหม่นหมองของเขาจะทำให้คนอีกผู้หนึ่งพลอยไม่สบายใจเช่นกัน

‘...ท่านเลิกซึมกับเรื่ององค์หญิงจินผิงเสียที  ข้าเห็นแล้วรู้สึกหดห

วันหนึ่งๆฉีเซี่ยงหยวนเผชิญกับปัญหามากมาย  เขาไม่ควรทำตัวเองให้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาของอีกฝ่ายไปด้วย
หากเป็นแต่ก่อนปิดบังอิ๋งฮวา  ปิดบังจิ้งเอ๋อ  ทำตัวเป็นปกติก็สามารถผ่านพ้นไป  แต่การเสแสร้งเป็นปกติของเขาไม่อาจปิดบังฉีเซี่ยงหยวนได้แน่  ช่างรับมือยากเสียจริง  ที่แท้เวลามีคนผู้หนึ่งเข้าใจท่านกระจ่างเกินไปก็เป็นเรื่องยุ่งยากชนิดหนึ่ง

มุมปากของเหลียนอันสุ่ยปรากฏรอยยิ้มบางๆ  บางทีข้าควรทำให้ได้อย่างท่าน  เรื่องบางอย่างสมควรวางได้แล้ว  การเข้าไปยุ่งเกี่ยวรังแต่ทำให้ชะตากรรมระหว่างเขากับนางยุ่งเหยิงกว่าเดิม  สานต่อความติดค้างนี้ต่อไปยิ่งทำให้ต่างติดค้างต่างต้องชดใช้  นานแล้วที่เหลียนอันสุ่ยไม่กลัวอะไร  ทว่าชะตากรรมที่ผูกพันระหว่างเขากับองค์หญิงจินผิงทำให้เขากลัวจริงๆ
ทุกอย่างคล้ายกับเป็นเรื่องที่เกินความควบคุม  และคาดเดาไม่ได้

นางแค้นลึกล้ำเกินไป  เขาถอยให้ก้าวแล้วก้าวเล่าก็ยังไม่อาจช่วยเหลือ  ยิ่งทำดีต่อนางกลับยิ่งทำให้นางยิ่งถลำลึกกว่าเดิม  ทำร้ายทั้งนางทำร้ายทั้งตัวเอง  เขาเปลี่ยนแปลงหลันเซียงได้  แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนาง  เขาควรจะยอมรับเสียที...

“วันนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยถามอิ๋งฮวาที่ยืนอยู่หน้าห้อง  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยก็อ่อนโยนลง
มีหลายเรื่องที่เขาทำไม่ได้  และมีหลายเรื่องที่เขาทำได้  ...ข้าจะไม่ทำตัวเองเป็นเรื่องน่าเหนื่อยใจของท่าน

“วันนี้นายท่าน...” อิ๋งฮวาพูดไม่ทันจบเสียงอบอุ่นนุ่มนวลก็แทรกเข้ามาก่อน
“ท่านอยากรู้ว่าข้าเป็นอย่างไร  ใยไม่ถามข้าโดยตรงเล่า” เจ้าของเสียงปรากฏตัวที่หน้าประตู  รับเสื้อคลุมเต็มยศที่อีกฝ่ายถอดออกมาพาดไว้กับท่อนแขน
“...” ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบเสื้อคลุมตัวเองจากแขนเหลียนอันสุ่ย  ยัดใส่มืออิ๋งฮวา  คล้ายกับบอกว่างานบ่าวรับใช้ท่านไม่ต้องทำ มือใหญ่กุมมือเรียวให้เดินเข้าไปด้วยกัน

“แม่ทัพหลิวให้คนยกรายงานมาที่นี่ตั้งแต่ก่อนต้าอ๋องจะมาถึง” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางพยักปลายคางไปทางโต๊ะทรงงานที่ฉีเซี่ยงหยวนสั่งให้คนเพิ่มเข้ามา  หลิวฉางเฟยมักสามารถจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่ฉีเซี่ยงหยวนจะต้องการใช้ก้าวหนึ่งเสมอ
ห้องหนังสือของเหลียนอันสุ่ยเหลือของไม่มาก  ตอนที่ได้ข่าวว่าท่านลุงจะมาเหลียนอ๋องก็ให้คนจัดการให้ตำหนักดูคล้ายสภาพเดิมมากที่สุด
ฉีเซี่ยงหยวนมองรายงานกองใหญ่  แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวฝั่งตรงข้ามเฉย  ไม่คิดจะเริ่มลงมือจัดการแต่อย่างใด  เหลียนอันสุ่ยมองท่าทีที่แฝงความเหนื่อยล้าและท่าทางเกเรอยากแผลงฤทธิ์ของคนตรงหน้า  รับผ้าชุมน้ำหมาดๆจากมืออิ๋งฮวา  ค่อยๆเช็ดโครงหน้าคมชัดอย่างเอาใจใส่

คนเป็นเป่ยชางอ๋องหัวเราะ
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าทำเองก็ได้” ทว่าพอเหลียนอันสุ่ยทำท่าจะชักมือกลับไป  ฉีเซี่ยงหยวนก็เกิดเปลี่ยนใจคว้ามืออีกฝ่ายไว้เสียก่อน  กล่าวว่า “ให้ท่านทำให้ดีกว่า”
คล้ายกับมีเสียง ‘ฮึ’ เบาๆดังมาจากอิ๋งฮวาที่ล่าถอยออกไป  แน่นอนว่าฉีเซี่ยงหยวนหาใส่ใจไม่  เรื่องความหน้าหนานี้เขาฝึกฝนมาจนช่ำชอง

เช็ดจนเรียบร้อยเหลียนอันสุ่ยก็บอกบุรุษที่หลับตาพริ้มตรงหน้าว่า
“เสร็จแล้ว  สดชื่นขึ้นแล้วก็ทำงานของท่านเถอะ”
“ข้านึกว่าท่านจะช่วยข้าผ่อนคลายมากกว่านี้...” มือใหญ่เอื้อมมาคิดจะคว้าตัวอีกฝ่าย  แต่เหลียนอันสุ่ยชิงเบี่ยงตัวหลบ หันหลังเดินเอาผ้าไปพาดไว้ที่ขอบอ่าง

ดวงตาคมของฉีเซี่ยงหยวนกวาดมองตามร่างสูงโปร่งคล้ายกำลังรอให้อีกฝ่ายเดินกลับมาเอง  และก็คล้ายกำลังพิจารณาท่าทีว่าสภาพเป็นปกตินี้ใช่เกิดจากการเสแสร้งแกล้งทำขึ้นหรือไม่

ทว่าเหลียนอันสุ่ยไม่สนใจเขา  พาดผ้าเสร็จก็เดินต่อไปที่โต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง  นั่งลงหยิบม้วนหนังสือที่เลือกไว้มาคลี่กาง
“นี่มันลายมือท่านนี่” เสียงทุ้มดังใกล้ตัวทำให้เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้น  เห็นร่างสูงใหญ่ไม่ทราบมายืนใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดจ้องตัวหนังสือที่เขาอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์

“นี่เป็นบันทึกเก่าที่ข้าเคยจดสมัยเริ่มศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรที่มีกลิ่น” เหลียนอันสุ่ยอธิบาย  อดรู้สึกไม่ได้ว่าฝีเท้าอีกฝ่ายช่างแผ่วเบาอย่างยิ่ง  หากฉีเซี่ยงหยวนคิดฆ่าเขา  คมมีดคงถึงตัวก่อนกระมังจึงจะรู้สึก
“เดี๋ยวนี้ท่านไม่ฝึกยิงธนูแล้ว?” คนบางคนยังไม่เลิกทำตัวขี้สงสัย
“ข้าฝึกไปแล้วเมื่อเช้า  ต้าอ๋อง  งานของท่านก็ไม่น้อยสนใจงานของท่านก่อนเถอะ” กล่าวจบก็ก้มหน้าลงสนใจบันทึกของตัวเองต่อ
ดวงตาคมเลื่อนจากอักษรมาที่คน  เหลียนอันสุ่ยดูปกติยิ่ง  มิได้ดูหม่นหมองคิดมากอีก  ท่านเป็นเช่นนี้ข้าก็วางใจ 
สำหรับฉีเซี่ยงหยวนเรื่องขององค์หญิงจินผิงเป็นผลสะท้อนที่น่ากลัวเรื่องหนึ่ง  นางติดค้างเหลียนอันสุ่ยมากเกินไป  ช่วงชิงเอาจากเขาไปมากเกินไป  ทำให้แม้เหลียนอันสุ่ยจะส่งอาจูไปให้ด้วยความหวังดี  เมื่อไปถึงมือนางผลจงกลับกลายเป็นเลวร้าย  ฉีเซี่ยงหยวนถึงกับมีลางสังหรณ์ว่าถึงแม้เขาจะไม่สอดมือเข้ามานางยังคงต้องชดใช้ให้กับเหลียนอันสุ่ยอยู่ดี  บางครั้งชะตากรรมกลับมีความยุติธรรมในแบบของมันเอง

มือใหญ่ไล้ช้าๆไปตามเส้นผมละเอียดที่อีกฝ่ายปล่อยลงมา 
ตอนแรกคล้ายจะจัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้  แต่ผ่านไปซักพักกลับไม่ยอมละจากไป  เดือดร้อนเหลียนอันสุ่ยต้องเอียงศีรษะหนี  กล่าวว่า
“ต้าอ๋อง  ผมท่านเองก็ยาว...”
“ตอนนี้ข้ามัดขึ้นทั้งหมด” อีกอย่างผมของท่านนุ่มกว่าของข้า  ฉีเซี่ยงหยวนพูดต่ออย่างใจกว้างว่า “เอาไว้ท่านอยากเล่นผมข้าบ้างก็ได้นะ  ข้าไม่ถือสา”
แต่ข้าถือสา  ท่านเล่นผมข้าแบบนี้ข้าอ่านหนังสือไม่ได้ !

------------------
คนแต่งเชื่อว่าคนที่ทำร้ายผู้อื่นมากๆสุดท้ายที่ทำร้ายต้องเป็นตัวเขาเอง 
อาภรณ์ที่สวมใส่ไม่สบายที่สุดในโลกคืออาภรณ์ที่เรียกความเคียดแค้นเกลียดชัง 
สองสัปดาห์หน้าคนแต่งไม่อยู่คงไม่ได้มาอัพให้นะคะ 
ปล.ข่าวเรื่องรวมเล่มจะแจ้งหลังแต่งจบแต่ชัวร์ว่ามีรวมเล่มแน่ๆค่ะ


ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ต้าอ๋องนี่เป็นคนที่รับมือด้วยยากจริงๆ  :katai2-1:

รอรวมเล่มนะคะ ชอบมาก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ต้าอ๋องนี่ มีบทจะเด็ก ก็เด็กจริงๆ เลยน๊า

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
รอรวมเล่ม ๆ  :man1:

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
อ่านคนเขียนทอร์คแล้ว ไม่อยากอ่านเรื่องของอวี้เฉียนเลยอ่ะ คือเราแซดแน่ๆ ตายตั้งกะไม่มีบทพูด แถมชีวิตชีวิตรักก็ร้าวรันทดอีก :ling1:
องค์หญิงจินผิง นี่เรียกกรรมสนองเลยแฮะ ทำร้ายคนอื่นไว้เยอะ จิตใจดำมืดเพราะความแค้น ทุกอย่างเข้าตัวหมด
ส่วนท่านเป่ยชางอ๋อง นี่ไม่หลงใหลถอนตัวไม่ขึ้นแล้วจะให้เรียกอะไร กะเหลียนเหลียนนี่ มันช่าง ช่าง ช่างก๊าวววววววว นิดๆหน่อยๆ ตลอดดดดด  :hao3: ชอบตอนโมเม้นเช็ดหน้ามาก อ่านแล้วจิกหมอน 5555
 
ปอลิง แอบขอร้องแบบเอาแต่ใจนิดๆ อยากให้คนเขียนหาหนุ่มให้อิ๋งฮวาหน่อยสิคะ อยากเห็นแม่สาวห้าวคนนี้มีโมเม้นมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งเขินอายบ้างอ่ะ คงน่ารักน่าดู :hao7:

ให้คนเขียน :กอด1:

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
ก็น่าสงสารและเห็นใจองค์หญิงจินผิงนะ แต่นางก็ทำตัวเองและทำร้ายคนอื่นด้วยโดยเฉพาะอดีตภรรยาของเหลียนเหลียน นางก็สมควรรับกรรมที่ทำไว้ สงสารคนรับใช้ต้องมาตายเพราะน้ำมือนาย :hao5:  แต่ยังดีมีบทฟุ้งฟิ้งมาให้มุ้งมิ้งเลยลืมดราม่าไปเลย ต้าอ๋องนี่เด็กจริงๆเรียกร้องความสนใจจากเหลียนเหลียนทุกอย่าง อิจฉากระทั่งหนังสือที่อ่านเลยไปลงกับผมเหลียนเหลียนซะจนอ่านไม่ได้เลย  :laugh:

ออฟไลน์ monster_narak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักกกกกมากกตอนเล่นผม

เหลียนๆนี่มุ้งมิ้งกะพ่อต้าอ๋องจิงจิงงงง

อ่านแล้วก็กระชุ่มกระชวย ขอให้สองคนนี้อยุ่ด้วยกันจนแก่เลยนะคะ

รอรวมเล่มค่ะ

ภาษาสวยน่าเกบมาก

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
เข้ามาตามอ่านด้วยคนค่ะ
ใช้เวลาสองวันเต็มกวาจะตามทัน
เรื่องสนุกมากๆ คนเขียนทำการบ้านมาดีจริงๆค่ะ ข้อนี้ต้องยอมรับ
ทั้งการผูกเรื่อง และการบรรยาย
การดึงตัวตน บุคลิกและนิสัยของตัวละครแต่ละตัวให้ออกมาเด่นชัด
และยึดโยงคาแร็คเตอร์นั้นให้อยู่มาได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง จนถึงตอนนี้ถือว่าเก่งมากจริงๆ
ตัวละครมีการพัฒนาอย่างคอยเป็นค่อยไป แต่สะท้อนห้วงความคิดและอารมณ์ในแต่ละตอนชัดเจน
ไหนจะแทรกมุกตลกๆ ให้อมยิ้มกันไป พอถึงบทโศกนี่ก็ยอมรับเลยว่ากลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ
ทรมานแทนทั้งสองคน  คนเขียนเก่งมากค่ะ ยอมรับเลย แล้วยิ่งเท่าที่เห็นคนเขียนเป็นวัยใกล้เคียงกับเราแล้วยิ่งแบบ ว่า
เห้ย คือดีงามมากอะ 55555555

ขอบคุณคนเขียนมากจริงๆค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด