<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 214372 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
มาติดตามน้าาา :katai2-1:

ออฟไลน์ pure_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ตามมาเป็นกำลังใจค่ะ  ขอบอกเรื่องนี้ดีมาก จนอยากให้โด่งดังเลื่องลือในเล้าเป็ด

พระมาตุลากับต๋าอ๋อง  ต้องระบือนามในเล้าเป็ดให้ได้นะค่ะ

สุดยอดมากๆๆ  เรื่องนี้  รับรองอ่านแล้วทุกคนจะต้องหลงรักพระมาตุลาแล้วชังน้ำหน้าต๋าอ๋องเหมือนที่เราเป็น 55555


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องนึกว่าตาฝาด  :laugh: ยินดีต้อนรับค่ะ

ฝากความคิดถึงท่านต้าอ๋องด้วยนะคะ ดิชั้นคิดถึงคนเจ้าแผนการ :hao7:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 8
«ตอบ #33 เมื่อ19-07-2014 20:59:34 »

บทที่ 8 โทสะ

‘เขาจะไม่มาจริงหรือ’ ฉีเซี่ยงหยวนคิดกลับไปกลับมาขณะมองพระจันทร์ที่ค่อยๆเคลื่อนขึ้นสูง ไม่มีกะใจจะนั่งลงทำตัวเยือกเย็นอีก  แววตาปวดร้าวของเหลียนอันสุ่ยย้อนกลับมาหาเขา  ไม่สิ  ถ้าเพื่อเหลียนจิ้งเต๋อ เหลียนอันสุ่ยต้องมาที่นี่  แววตาของฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆเยือกเย็นลง  อาจเป็นการเห็นแก่ตัว แต่เขาจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆเช่นนี้
---------------------
อิ๋งฮวามองอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าใครมา  แต่นางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว  ซ้ำยังเดินเข้าไปขวางเอาไว้  กล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“นายท่านรู้สึกไม่ค่อยสบาย  ไม่พบใครทั้งนั้น  ต้องขออภัยแก่ท่านอ๋องน้อยด้วย”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  จ้องนางนิ่ง  แต่สาวใช้ของพระมาตุลาผู้นี้แม้ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม  แต่เท้าไม่ขยับไปที่ใดทั้งสิ้น  ยังคงยืนขวางเขาเอาไว้เช่นเดิม
“อย่างนั้นหรือ  ตามหมอมาตรวจหรือยัง”
“ตามแล้วเจ้าค่ะ  ขอบคุณท่านอ๋องน้อยที่เป็นห่วง” หนึ่งเฉยชา  หนึ่งนอบน้อมแต่แฝงความเย็นชา  หลิวฉางเฟยชมดูจนขนลุกเกรียว  นี่เป็นครั้งแรกที่มีบ่าวรับใช้กล้าขวางทางท่านอ๋องน้อย  อาจบางทีนางไม่รักชีวิตแล้วกระมัง  หรือไม่ก็มั่นใจว่าฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ลดตัวลงมาจัดการกับนาง

“แม้แต่ข้าก็พบไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“คุณชายน้อยเล่า”
“...คุณชายน้อยเข้านอนไปแล้วเจ้าค่ะ” นางดูเหมือนจะชะงักไปครู่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงคุณชายน้อย  คล้ายกับสังหรณ์ได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมาไม้ไหน
“งั้นก็พบไม่ได้เหมือนกันสินะ” ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มแล้ว  แต่แววตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย
“เจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าแค่ฝากคำพูดไปให้นายท่านของเจ้าได้ใช่หรือไม่”
“...แน่นอนเจ้าค่ะ”
“บอกเขาว่า  เขาผิดสัญญาก่อน  ดังนั้น...ข้าจะไม่ทำอย่างที่ข้าเคยพูดแล้วนะ” ฉีเซี่ยงหยวนเน้นย้ำทีละคำ  คล้ายต้องการให้คนข้างในได้ยินครบถ้วน
“...บ่าวจะรายงานตามนี้เจ้าค่ะ” แต่ไม่ทันจะหมุนตัวเข้าไปรายงาน  บานประตูก็เลื่อนเปิดเสียก่อน 
เจ้าของตำหนักกล่าวแค่ว่า
“ท่านเข้ามาเถอะ” จากนั้นก็หมุนตัวเดินหายเข้าไป 
ฉีเซี่ยงหยวนทิ้งหลิวฉางเฟยเอาไว้ด้านนอก ตัวเองเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป
ใต้แสงโคมไฟเห็นเหลียนอันสุ่ยเพียงสวมชุดนอนตัวเดียว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะไปตำหนักรับรองแต่อย่างใด  ทำให้แววตาของฉีเซี่ยงหยวนเริ่มปรากฏเค้าของโทสะ

“วันนี้ข้ารู้สึกเพลียอยู่บ้าง  กำลังจะให้คนไปบอกท่านว่าข้าคงไม่ไปแล้ว” เหลียนอันสุ่ยมิใช่ไม่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย  แต่ก็ยังคงเดินไปที่โต๊ะ  เก็บม้วนกระดาษที่เพิ่งคัดลอกเสร็จให้เรียบร้อย
“ความหมายของท่านคือ  ข้าควรจะ ‘รอ’ อยู่ที่นั่นต่อไป”
“ข้าทราบว่าปรกติท่านไม่ค่อยต้องรอผู้อื่น  แต่ก็ทราบว่าท่านเป็นผู้มีความอดทนรออย่างยิ่งเช่นกัน  ไม่เช่นนั้นหนานเหมินอ๋องคงไม่เสียรู้ท่านแน่”
“ท่านมองออกอีกแล้ว  แต่ท่านก็สมควรมองออกว่ากับเรื่องพรรค์นี้ข้าไม่มีความอดทนรอเท่าใดนัก  และก็มิใช่ผู้ชมชอบเก็บ ‘ความลับ’ ด้วย” พูดพลางฉุดดึงร่างอีกฝ่ายเข้ามาใกล้  เหลียนอันสุ่ยชะงักค้างไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘ความลับ’ ทำให้เสียหลักถูกฉีเซี่ยงหยวนกักตัวเอาไว้
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นช้าๆ  สบสายตาที่วาวโรจน์ด้วยไฟโทสะนิ่ง  แววตาอ่อนล้าของอีกฝ่ายทำให้ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป  เขาไม่เคยเห็นเหลียนอันสุ่ยยินยอมปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอ  แต่ภายใต้แสงอ่อนจางของโคมกระดาษ  สายตาของพระมาตุลาผู้เข้มแข็งผู้นี้กลับมีแววสับสนระคนหมองเศร้า  แสงไฟส่องต้องเส้นผมดำสนิท  ไล้แผ่วเบาไปตามอาภรณ์เบาบาง  ทำให้เขาดูไปเปราะบางกว่าเดิม
“ท่าน...” ยังไม่ทันจะพูดจบ เหลียนอันสุ่ยก็ดันเขาออก  กลับคืนสู่บุคลิกสูงศักดิ์เยือกเย็นดุจเดิม  หันหลังให้  กล่าวว่า
“วันนี้สาวใช้ข้าเสียมารยาทต่อท่าน  ต้องขออภัยแทนนางด้วย  นางก็แค่...ทำเกินหน้าที่ไปหน่อยเท่านั้น”
“อ้อ... งั้นหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนลากเสียงยาว  ยังไม่ลืมว่าใครเป็นคนซ้ำเติมให้อารมณ์เขาเลวร้ายเช่นนี้
“นางดูจะทำหน้าที่เกินไป ‘มาก’ เลยนะ”
“ท่านคงไม่ได้ถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กระมัง” น้ำเสียงแปลกใจของเหลียนอันสุ่ย  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองออกจะเอามาเป็นอารมณ์มากไปซักหน่อย จึงกระแอมเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“นั่นท่านเขียนอะไร” นิ้วชี้ไปที่ม้วนตำราที่เหลียนอันสุ่ยเพิ่งคัดลอกเสร็จ 
เจ้าของห้องออกจะประหลาดใจที่โทสะของอีกฝ่ายสงบลงเร็วเช่นนี้  ความจริงเหลียนอันสุ่ยแอบหวังให้ฉีเซี่ยงหยวนทำตัวเลวร้ายมากๆ  จะได้ทำใจให้ไม่ชอบอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น  แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เพิ่งมีโทสะอยู่หยกๆ กำลังไล้มือไปตามแผ่นกระดาษบนโต๊ะอย่างสนใจ  ดวงตาเป็นประกาย  คล้ายเด็กเจอของเล่นใหม่  เอ่ยถามว่า
“นี่คืออะไร  มันดูจะ...อืมม์ ซึมหมึกได้ดีกว่า  แล้วก็เบากว่าผ้าไหมกับซี่ไม้ไผ่ด้วย”
“นั่นเรียกว่ากระดาษ  ทำจากเยื่อไม้กับกาว...ท่านไม่เคยเห็นจริงๆหรือ”
“ก็ไม่เชิงไม่เคยเห็น  แต่ที่ข้าเคยเห็นคุณภาพแย่กว่านี้  ดูใช้ไม่ค่อยได้จริงเลย...  นี่ท่านเขียนตำราแพทย์หรือ”
“ข้าแค่กำลังคัดลอกเพื่อเรียบเรียงหมวดหมู่ของมันใหม่เท่านั้น”
“ลายมือท่านสวยมาก  ตอนท่านคัดอักษรต้องดูดีมากแน่ๆ”
เห็นฉีเซี่ยงหยวนเปิดย้อนไปส่วนเก่าๆที่เขาเคยคัดลอกไว้  เหลียนอันสุ่ยก็นิ่งไป  ถามอย่างคลางแคลงใจว่า
“ท่านมิใช่...มีโทสะอยู่หรือ”
“ข้ากำลังคิดว่า  กระดาษนี่ต้องทำให้พวกบัณฑิตหลวงดีใจมากแน่ๆ  เพราะพวกเขาสามารถหอบตำรากลับไปศึกษาที่บ้านได้วันละหลายตั้งกว่าเดิม” ฉีเซี่ยงหยวนยังคงสนใจกระดาษในมือ  ราวกับลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ท่านคงอยากได้ช่างทำกระดาษ...” เหลียนอันสุ่ยยินดีเปลี่ยนเรื่องไปกับเขา

“อืมม์  เพียงแต่หากเอาไปมากๆแคว้นเหลียนคงขาดช่าง  เอาแค่ไม่กี่คนที่พอจะไปสอนงานได้ก็พอ  ส่วนที่เหลือ ไว้ข้าจะส่งนายช่างของเป่ยชางมาเรียนรู้ที่แคว้นเหลียนเอง” ยิ่งมาอยู่แคว้นเหลียนนานวัน  ฉีเซี่ยงหยวนก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมหนานเหมินอ๋องถึงดูถูกแคว้นเป่ยชางนัก  ถ้าเทียบกับแคว้นเหลียน  แคว้นเป่ยชางก็นับว่า ‘ล้าหลัง’ จริงๆนั่นแหละ
“เป่ยชางอ๋องมีทายาทที่สายตายาวไกลเช่นนี้  เขาก็สมควรจะภูมิใจได้แล้ว”
“...พระบิดาไม่ภูมิใจในตัวข้าหรอก  เขากริ่งเกรงในตัวข้า” ฉีเซี่ยงหยวนตอบช้าๆพลางม้วนเก็บตำราในมือ
“...เพราะท่านมีความสามารถมากเกินไป  คนอื่นย่อมกริ่งเกรงเป็นธรรมดา”
“แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถเท่าไหร่  บางครั้งก็ทำเรื่องไม่ค่อยสมเหตุสมผล  ข้าเคยรู้สึกว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ได้ดีพอสมควร  แต่พอมารู้จักกับท่าน...ข้ากลับรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ”
“...” แววตาของเหลียนอันสุ่ยทอแววแปลกประหลาดระคนกับไม่เข้าใจ
“คิดๆ ดูแล้ว  คนที่ควรจะโกรธสมควรจะเป็นท่านมากกว่า  เพราะข้าใช้วิธีขี้โกงบีบท่านมาตั้งแต่ต้น  ความจริงท่านสมควรจะโกรธข้ากลับสิ  เหตุใดกลายเป็นว่าท่าน...  ท่านใจกว้างเกินไปแล้ว  ใจกว้างอย่างยากที่จะเข้าใจว่าทำได้ได้อย่างไร”
เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายอย่างงงงัน  นี่คล้ายกับเปิดเผยเกินไปกระมัง  ถึงกับยอมรับว่าตัวเองใช้วิธีขี้โกง  ความจริงเหลียนอันสุ่ยไม่คิดจะโกรธเกลียดอะไรฉีเซี่ยงหยวนอยู่แล้ว เพราะสำหรับเขา  การโกรธเกลียดใครเป็นการเพิ่มภาระให้จิตใจตัวเองไม่สบายเปล่าๆ  ซ้ำยังเหมือนการโยนความผิดให้ผู้อื่น
“ข้ายังมีโทสะอยู่  ...เพียงแต่ไม่มีปัญญาไประบายกับท่านเท่านั้นเอง”สีหน้ามีแววหงุดหงิดอยู่บ้าง  จนเหลียนอันสุ่ยอดรู้สึกขันไม่ได้  จึงตบกระดานหมากที่เล่นค้างเอาไว้เบาๆ กล่าวชวน
“ถ้าเช่นนั้น  ระบายกับกระดานหมากนี่ก็แล้วกัน”
ฉีเซี่ยงหยวนมองตามไป  แล้วก็เลิกคิ้วถามว่า
“ท่านเล่นกับใคร”
“แค่เล่นกับตัวเองฆ่าเวลาน่ะ”
“...” วูบนั้นคล้ายกับเห็นความเปลี่ยวเหงาที่ซ่อนอยู่ในเงาหลังสูงโปร่ง
“แต่ส่วนใหญ่  ถ้าไม่มีแขก  ก็จะเล่นกับจิ้งเต๋อแล้วก็อิ๋งฮวา” ได้ยินคำพูดนี้ฉีเซี่ยงหยวนก็ขมวดคิ้ว  อิ๋งฮวา นั่นชื่อผู้หญิงมิใช่หรือ
“นางเป็นใคร”
“ท่านก็พบนางแล้วนี่  ตอนนี้นางก็ยังยืนรออยู่ข้างนอกนั่น  เป็นหัวหน้าหญิงรับใช้ของข้า” พูดพลางพยักเพยิดไปทางประตู 
อ้อ  ที่แท้นางชื่ออิ๋งฮวา  ฉีเซี่ยงหยวนคิดพลางหน้าบึ้งตึงลง
“ท่านเดินก่อนสิ” เสียงของเหลียนอันสุ่ย เรียกสติของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางกลับมา
---------------------
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปช้าๆ  ไม่ว่าใคร ทั้งฉีเซี่ยงหยวนหรือเหลียนอันสุ่ยต่างก็ไม่คิดว่ามันจะดำเนินไปเช่นนี้  ถึงแม้ตอนแรกจะเริ่มต้นด้วยโทสะกับความสับสน  หากสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าทั้งคู่สนทนาเหมือนกับเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมาแสนนาน

“ท่านเดินหมากเก่งมาก” เหลียนอันสุ่ยกล่าวพลางมองดูหมากของตัวเองที่อยู่ในสภาพล่อแหลม
“คำพูดนี้คงต้องขอคืนให้ท่าน  เพราะดูเหมือนข้าก็ไม่เคยต้อนท่านจน” ฉีเซี่ยงหยวนหลับตา พักสายตาขณะรอให้อีกฝ่ายวางหมากตัวต่อไป  นอกจากมู่ซางฉีเซี่ยงหยวนก็แทบไม่ได้เจอคู่มือที่สูสีมานานแล้ว  ส่วนหลิวฉางเฟย...รายนั้นรู้ไส้รู้พุงกันดีจนเกินไป  หลังจากเล่นกันมาสิบกว่าปี  กระทั่งจะวางหมากต่อไปตรงไหนยังคาดเดาได้  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนเลิกเล่นกับหลิวฉางเฟยไปนานแล้ว  แต่จากสถิติฉีเซี่ยงหยวนก็นับว่ายังเหนือกว่าอีกฝ่ายล่ะนะเพราะเขาเจ้าเล่ห์กว่าอยู่เล็กน้อย

ปลายนิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยไล้หมากในมือเล่น  มองคนทอดตัวตามสบายที่นั่นตรงข้าม  รู้สึกว่าถ้าเป็นแค่เพื่อนกับฉีเซี่ยงหยวนก็คงจะดี  เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้เดินหมากอย่างจริงจังมานานพอสมควรแล้ว  เหวินจีเคยกระตือรือร้นจะเรียนกับเขา  แต่ฝีมือนางยังด้อยกว่าเขาช่วงใหญ่  ส่วนเหลียนจิ้งเต๋อกับอิ๋งฮวาถ้าจะเล่นกันจริงๆเหลียนอันสุ่ยก็มักจะต้องต่อให้อีกฝ่ายหลายตัว
เสียงหมากกระทบกระดานเบาๆ  แต่คนที่นั่งหลับตาก็ยังคงไม่ลืมตาขึ้น  คล้ายกับเผลอหลับไปแล้ว  นี่คืออ๋องน้อยที่ใครต่อใครต่างเกรงกลัว  เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกว่าช่างแตกต่างเหลือเกิน  บุรุษที่ทรงอำนาจกับชายที่ปล่อยตัวตามสบายตรงหน้า  อันที่จริงคนผู้นี้ออกจะหล่อเหลาด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีแววตาที่เย็นเยียบจนน่ากลัว  กับรอยยิ้มเหยียดที่มุมปาก  ...บุรุษที่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม  เชื่อมั่นจนน่าหวาดกลัว  คล้ายกับไม่ว่าใครก็ไม่มีปัญญาหนีพ้นเงื้อมมือเขาไปได้  แต่ความจริงสิ่งที่เหลียนอันสุ่ยกลัวที่สุดกลับเป็นการที่ตัวเองถูกความเชื่อมั่นนั้นดึงดูด...

“ท่านอ๋องน้อย...”
“...” ไม่มีเสียงขานตอบ  เหลียนอันสุ่ยเหลียวมองจันทร์นอกหน้าต่าง  ตัดสินใจพยุงอีกฝ่ายเข้าไปนอนให้เรียบร้อย  แต่เมื่อจะขยับตัวออกมากลับถูกมือใหญ่ฉุดดึงจนเสียหลักทาบตัวลงไปบนร่างสูง
 “นี่มันเตียงท่าน  จะไปไหนหรือ” ในความอ่อนจางของแสงโคม ส่องต้องดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเป็นประกายวาว  ไหนเลยมีเค้าความง่วงงุน  สองมือของเขารั้งเอวเหลียนอันสุ่ยไว้ไม่ยอมปล่อย  ซ้ำยังฉวยโอกาสหาตำแหน่งที่เหมาะมือที่สุด
“ท่าน...ที่แท้ท่านไม่ได้...”

“ใจคอท่านคิดให้จะให้ข้านอนคนเดียวจริงๆ หรือ” พูดพลางพลิกกายเปลี่ยนเป็นทาบทับอยู่ด้านบนโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว  เพิ่งรู้สึกว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายบางอย่างยิ่ง  เบาบางจนเขาแทบจะรู้สึกถึงผิวกายอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า
เหลียนอันสุ่ยขยับตัวอย่างตื่นตระหนก เมื่อฝ่ามืออีกฝ่ายปะป่ายไปทั่วร่าง  แทบไม่รู้สึกว่าตัวเองสวมเสื้อผ้าอยู่เลย ลอบตำหนิตัวเองที่ไม่สวมเสื้อคลุมให้เรียบร้อยเสียก่อนเปิดประตู

“ฝีมือการทอผ้าตัดเย็บเสื้อของแคว้นเหลียนยอดเยี่ยมอย่างยิ่งจริงๆ” น้ำเสียงคล้ายพ่อค้าที่เจอผ้าถูกใจ  ปลายนิ้วลากไล้แล้วก็ขยี้เบาๆ ราวกับจะทดสอบคุณภาพของเส้นใย  เพียงแต่ปัญหาคือมันสวมอยู่บนร่างของผู้อื่นน่ะสิ
“ปละ  ปล่อย...ข้าไม่” ริมฝีปากร้อนผ่าวนาบลงบนสาบเสื้อ อาภรณ์เบาบางแทบจะถ่ายทอดความร้อนผ่าวของมันอย่างครบถ้วน  เหลียนอันสุ่ยหอบหายใจ  ฝ่ามือยกขึ้นคล้ายคิดจะผลักไสอีกฝ่ายออกห่าง
“ท่านไม่อะไร  หืมม์” ปลายนิ้วสากแตะลงบนเรียวขา  ค่อยๆเลื่อนขึ้นไปถึงต้นขา ขยี้แผ่วเบา  คราวนี้กระทั่งผ้าบางๆก็ไม่ได้คั่นเอาไว้  เหลียนอันสุ่ยสะดุ้ง ฝ่ามือใหญ่กลับไปไล้ช้าๆอีกครั้ง  ผิวกายแทบจะรู้สึกได้ว่าฝ่ามืออีกฝ่ายมีรอยด้านตรงไหนบ้าง
“ตระ  ตรงนั้น ไม่  อ๊ะ” ปลายนิ้วของอีกฝ่ายจาบจ้วงขึ้นทุกที  แม้ยังไม่ได้ล่วงล้ำ  แต่ก็ฟ่อนเฟ้นไปทุกตารางนิ้ว  ผิวกายของเขาไว  ไวจนเกินไป กระทั่งชุดที่เคยนุ่มลื่นสวมใส่สบาย ยังสร้างความทรมานเมื่อเสียดสี  คล้ายกับว่าฉีเซี่ยงหยวนยังรู้จักร่างกายของเขาดีกว่าตัวเขาเอง...
---------------------
“ท่านอายุสามสิบเอ็ดแล้วจริงหรือ” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนแหบพร่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะไล้ผ่ามือไปตามแผ่นหลังเรียบเนียนที่สั่นสะท้าน  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ตอบเขา พูดให้ถูกคือไม่มีปัญญาตอบ  มีแต่เสียงหอบครางทุกคราที่เขาล่วงล้ำ
ทุกครั้งหลังถูกเขาเคี่ยวกรำมาตลอดทั้งคืน  การควบคุมตัวเองที่เป็นปราการแน่นหนาถูกปลดลงจนหมดสิ้น  เหลียนอันสุ่ยจะแปรเปลี่ยนเป็นหวานล้ำจนแทบจะเป็นหยาดเยิ้ม  เรื่องนี้มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนที่ทราบ  และมีแต่เขาที่มีสิทธิ์ตักตวงความหอมหวาน 
รู้สึกถึงความผ่าวร้อนที่เนียนละเอียด  เรือนกายสูงโปร่งเปิดรับเขา  ปลายนิ้วเรียวยาวจิกลงบนบ่ากว้าง ร่างทั้งร่างพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ฉีเซี่ยงหยวนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง  ค่อยๆ ละเลียดผลลัพธ์ที่อดทนรอมาตลอด  ตามเหตุผล เหลียนอันสุ่ยที่ไม่ช่ำชองไม่ควรจะมีความสามารถทำลายการยับยั้งชั่งใจของเขาได้  แต่ตลอดคืนฉีเซี่ยงหยวนกลับต้องคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอด ให้ค่อยๆ ปลดกำแพงการควบคุมอารมณ์ตัวเองของอีกฝ่ายลงทีละชั้น  มีแต่ทำเช่นนี้เขาถึงจะได้สัมผัสตัวตนจริงๆของเหลียนอันสุ่ย  และมีแต่ทำเช่นนี้เขาจึงบรรลุแผนการที่วางไว้  นั่นแทบจะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นบ้าตาย

ผ่ามือแข็งแรงไล้ไปตามใบหน้าหมดจด  อารมณ์สงบลงช้าๆ  หากเป็นไปได้  ท่านตั้งใจจะซุกซ่อนความต้องการอันรุนแรงที่เกิดจากความเปลี่ยวเหงาเอาไว้ใต้ท่าทีสงบอ่อนโยนนั่นตลอดไปเลยงั้นหรือ  พระมาตุลาผู้งดงาม  พระมาตุลาผู้โดดเดี่ยว...
---------------------
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกตัวช้าๆ  เหม่อมองแสงที่ส่องผ่านกระดาษบุหน้าต่างลงมาบนเตียงใหญ่
‘เขา...ไปแล้ว’ ร่างเครียดเกร็งค่อยๆผ่อนคลายลงทีละน้อย  แม้จะรู้สึกวางใจขึ้น  แต่กลับเกิดความรู้สึกเงียบเหงาว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก  นี่เขากำลังรู้สึกอะไร  เหลียนอันสุ่ยสวมเสื้อช้าๆ  บังคับให้ตัวเองเลิกรู้สึกในสิ่งที่ไม่สมควรรู้สึก
---------------------
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวตอนเช้าเสร็จ  พระมาตุลาแคว้นเหลียนก็กลับมานั่งคัดลอกตำราต่อ ก็เหมือนกับทุกวัน  ...เสแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  จมูกสูดลมหายใจลึก  เขาควรจะเลิกคิดถึงมันซักที
ในหัวเปลี่ยนเป็นคำนวณวันเงียบๆ  วันนี้... คนผู้นั้นสมควรกลับมาได้แล้วกระมัง

อิ๋งฮวาเดินเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าที่พับวางซ้อนกันจนสูง  นางกล่าวคำขอโทษเรื่องเมื่อวานไปเจ็ดแปดรอบแล้วสำหรับเช้านี้  แต่ผู้เป็นนายกลับส่ายหน้าอย่างไม่ถือเป็นเรื่องโกรธเคือง  ครั้งนี้นางมาพร้อมข่าวที่ต้องรายงาน

“หวังเชียนให้คนส่งข่าวมาว่า งานที่นายท่านให้ไปจัดการล้วนเรียบร้อยหมดแล้ว  เขาจะกลับถึงประมาณเที่ยงเจ้าค่ะ” คนฟังพยักหน้ารับ สายตาเหลือบไปเห็นพับผ้าโดยไม่ตั้งใจ  ใบหน้างดงามถึงกับเปลี่ยนสีในทันใด
“อิ๋งฮวา  ....นี่ก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว  อากาศก็หนาวขึ้นทุกที  หลังจากนี้ชุดทั้งหมดของข้าเปลี่ยนเป็นตัวที่ตัดเย็บด้วยผ้าชนิดหนาทั้งหมด”
 “เจ้าค่ะ” อิ๋งฮวารับคำสั่งที่ดูจริงจังแปลกๆของนายท่านอย่างมึนงง



=======
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ 
ปลื้มปริ่มกับทุกคนที่ตามมาเชียร์กัน :L1:(แสดงตัวกันชัดเหลือเกินอยู่ฝ่ายเหลียนเหลียน) 
ตอนแรกเห็นหลี่ยั่วถงนึกว่าตาฝาด กรี๊ดดด  แอดมินมาเชียร์เอง   :impress2:
(สำหรับความคิดถึงที่ฝากมาฉีเซี่ยงหยวนคงยินดีรับแน่ 
ตอนนี้หมอนี่กำลังต้องการกำลังใจ  เจ้าแผนการก็จริงแต่ชักจะใช้ไม่ออกละ นายเอกไม่เล่นด้วย555) 

สุดท้ายนี้ยินดีต้อนรับนักอ่านรายใหม่ทุกคนค่ะ :pig2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2014 18:50:29 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 9
«ตอบ #34 เมื่อ21-07-2014 16:15:42 »


บทที่ 9 ขุนนางผู้น่าสงสาร

“ท่านใจกล้าเกินไปแล้ว” เสียงบ่นขรมที่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนชักจะอยากเอามืออุดหู  ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานแล้ว  เรื่องมันเริ่มขึ้นจากตอนที่เขากลับจากตำหนักพระมาตุลา  กำลังจะก้าวเท้าเหยียบเข้าไปในห้องโถงของตำหนักรับรอง  พบจางจื่อหยูดักรออยู่...

“ท่านอ๋องน้อย  ฟ้ายังไม่ทันสาง  เหตุใดท่านกลับไปอยู่นอกตำหนัก” เสียงเย็นทักขึ้น  แววตาจับผิด ส่อแววตำหนิติเตียน
“เหตุใดข้าไม่อาจไปอยู่นอกตำหนัก  ตำหนักรับรองยามค่ำคืนออกจะเงียบเหงาไปบ้าง  ข้าจึงออกไปหาความรื่นรมย์ให้กับตัวเอง” ฉีเซี่ยงหยวนย้อนถามเสียงเรียบเฉย
“ตำหนักแห่งนี้ออกจะเงียบเหงาเกินไปจริงๆ  แต่ตำหนักพระมาตุลาก็มิใช่ที่ที่ชวนรื่นรมย์”
ฉีเซี่ยงหยวนยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี ถามว่า
“ผู้ใดว่าข้าไปตำหนักพระมาตุลา”
“เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ผู้ใดผู้หนึ่ง  ท่านอ๋องน้อยนี่มิใช่เรื่องเล่นๆ ท่าน...”
“ท่านไปฟังข่าวไร้สาระเช่นนี้มาจากไหนกัน”  ฉีเซี่ยงหยวนตัดบท  เดินหนีไปราวกับขี้เกียจจะได้ยิน  แต่ดูเหมือนจางจื่อหยูจะมีความมั่นใจยิ่ง  ไม่เพียงไม่สนใจการปฏิเสธบอกปัด  แววตายังคงเป็นเช่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน
“นี่มิใช่เรื่องไร้สาระ  ท่านก็รู้แก่ใจดี” จางจื่อหยูกล่าวพลางเดินตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหนีไปไม่ลดละ
“ดึกดื่นป่านนี้  ท่านมาทำอะไรที่ตำหนักข้า”

“ข้าย่อมมีเรื่องสำคัญมาหารือกับท่าน  แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ท่านทำตามใจตัวเอง”  หารือเรอะ  เรียกว่ามารอจับผิดมากกว่า  ทำไมฉีเซี่ยงหยวนจะมองจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่ออก  ในใจนึกอยากจะฆ่าเจ้าคนที่ปากเปราะไปบอกคนตรงหน้าเป็นกำลัง  สายตาหันไปทางหลิวฉางเฟย
“เป็นเจ้าหรือ”
หลิวฉางเฟยเห็นสายตาของผู้เป็นนายก็รู้สึกสยอง

“ย่อมมิใช่เขา  แม่ทัพหลิวจงรักภักดีต่อท่านอย่างยิ่ง ถ้าเขายินยอมบอกข้าเรื่องคงจบไปนานแล้ว” น้ำเสียงมีแววพาดพิงตำหนิไปถึงหลิวฉางเฟยด้วย  แต่คนที่ถูกพาดพิงยังคงเฉย  ถ้าเขาบอกออกไปจริง  แม้อาจเป็นผลดีต่อเจ้านายตัวเองอย่างที่จางจื่อหยูกล่าว  แต่ต้องไม่เป็นผลดีต่อชีวิตของเขาแน่  ตั้งแต่มาเป็นคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน  หน้าที่ของหลิวฉางเฟยก็คือปิดปากให้สนิทก่อนเป็นอันดับแรก

“หากเขาไม่บอกหรือข้าจะไม่รู้จักทราบเอง  ท่านเป็นอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชาง  ทุกคนในแคว้นเหลียนล้วนจับตามองท่านเป็นตาเดียว  ท่านเข้าใจว่าเรื่องเช่นนี้จะปิดบังได้นาน ? ”  ฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่คิดว่ามันจะปิดบังได้นานหรอก  เพียงแต่ว่า...จางจื่อหยูเป็นคนสุดท้ายที่เขาอยากจะให้ทราบ!

น่าเสียดายที่จางจื่อหยู วันๆสุมหัวกับเหล่าขุนนาง  ทุกเรื่องราวขอเพียงมีรั่วไหลออกไป  ประสาทสัมผัสพิเศษของคนผู้นี้ไม่มีทางคัดกรองผิดพลาด  ความจริงนี่สร้างข้อได้เปรียบให้ฉีเซี่ยงหยวนเสมอมา  แต่ตอนนี้...ฉีเซี่ยงหยวนกลับหวังให้อีกฝ่ายหูหนวกตาบอดจึงประเสริฐ

“ท่านเข้าใจว่าจะหยุดข้าได้”
จางจื่อหยูได้ฟังแล้วแทบจะเป็นลม  สตรีทั่วแคว้นเหลียนมีมากมาย  ...ต่อให้เป็นบุรุษก็มีมากให้เลือกเฟ้น  แล้วเหตุใดจึงต้องเจาะจงมาเอาคนที่ไม่สมควรเลือกที่สุด !
“ท่านอ๋องน้อย! ...ศักดิ์ฐานะของเหลียนอันสุ่ยแทบจะสูงกว่าเหลียนอ๋องด้วยซ้ำไป  ความจริงต่อให้น้องสาวของเขาไม่แต่งงานกับเหลียนอ๋ององค์ก่อน  เขาก็เป็นเชื้อพระวงศ์ลำดับสูงมากอยู่ก่อนแล้ว”
“อ้อ” ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว  แต่ไม่ได้มีท่าทีสนใจจริงจัง  เพราะก่อนหน้านี้เคยทราบประวัติโดยละเอียดของเหลียนอันสุ่ยจากสายข่าวมา
“มารดาของเขาเป็นลูกสาวคนเดียวของเหลียนอ๋องรัชกาลก่อนๆ  เนื่องจากไม่มีทายาทชาย เหลียนอ๋ององค์ที่แล้วจึงถูกคัดมาจากญาติที่ลำดับห่างกันมาก  ทำให้ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยจะเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกัน  แต่ในความเป็นจริงศักดิ์ศรีของเขายังสูงกว่าอีกฝ่ายอีก  ดังนั้นเหลียนอ๋ององค์ก่อนจึงแต่งงานกับน้องสาวของเขาเพื่อรวมอำนาจในแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียว  และไว้หน้าเหลียนอันสุ่ยสามส่วนตลอดมา  เหลียนอ๋ององค์ปัจจุบันก็เจ็ดแปดส่วนเข้าไปแล้ว  แต่ท่านกลับไปล่วงเกินเขา...” 
ฉีเซี่ยงหยวนตัดบทว่า
“ท่านนี่ล่วงรู้ไม่น้อยเลยจริงๆ  แต่ล่วงเกินก็ล่วงเกินไปแล้ว  ใช่จะแก้ไขอย่างไรได้”
“ท่านอ๋องน้อย ! ” จางจื่อหยูตะเบ็งเสียงจนคอแหบคอแห้ง  แต่นายเหนือหัวยังคงทำตัวไม่เดือดไม่ร้อนอยู่เช่นเดิม  เห็นชัดๆว่าไม่คิดจะแก้มากกว่า
“แทนที่จะเอาเวลามาบ่นข้า  เอาเวลาไปคุมข่าวให้เงียบน่าจะดีกว่านะ”
จางจื่อหยูฟังคำแนะนำแล้วเหลือกตา  จะคุมข่าวได้ยังไง  ถ้าคนทำให้เกิดข่าวมันยังไม่หยุดเช่นนี้ 

การไปพบปะที่บ่อยจนผิดปรกติ  ทำให้มีเสียงซุบซิบไปต่างๆนานา  ดีที่ส่วนใหญ่เพียงคาดเดากันอย่างคลุมเครือ  ไม่ว่าใครก็ไม่แน่ใจว่าฉีเซี่ยงหยวนทำอะไรลงไปจริงหรือไม่  มีแต่จางจื่อหยูที่รู้ว่าไม่มีเรื่องใดที่ท่านอ๋องน้อยผู้นี้ไม่กล้าทำ  แล้วถ้าไม่จริงก็คงไม่กลับดึกดื่นจนค่อนเช้าเช่นนี้  หลักฐานมันก็เห็นๆ กันอยู่  อย่าว่าแต่จางจื่อหยูยังได้ข่าวที่เชื่อถือได้มา

“ท่านใจกล้าเกินไปแล้ว  ท่านเข้าใจว่าแคว้นเหลียนจะทนทานความอัปยศเช่นนี้ได้ง่ายๆหรือไร”

“ใต้เท้าจาง” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนเย็นลง  แววตาเริ่มมีเค้าที่ไม่ล้อเล่นขึ้นมา  จางจื่อหยูเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็หุบปากฉับ  ทราบว่าไม่มีสิทธ์วิจารณ์การกระทำของนายเหนือหัว  และก็ทราบว่าตัวเองทำเกินขอบเขตไปแล้ว  แต่เรื่องคราวนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง  เห็นทีเขาต้องเอาไปปรึกษาหลี่กวงเว่ยเพื่อหาทางออก  เพียงแต่กลัวว่าจะไม่มีทางแก้ไขน่ะสิ

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองขุนนางเก่าแก่รุ่นราวคราวเดียวกับพระบิดาตัวเองคารวะแล้วจากไป  ฉีเซี่ยงหยวนกล้าพนันได้เลยว่าอีกฝ่ายต้องตรงไปหาหลี่กวงเว่ย  ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่ทราบว่าเรื่องราวคราวนี้หนักหนาอยู่  เพียงแต่ต้องการให้จางจื่อหยูทราบว่าตัวเองมิใช่มารดาของเขา  ไม่เช่นนั้นนับวันจางจื่อหยูจะทำตัวคล้ายเป็นมารดาของเขาขึ้นทุกทีแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนกล้าบอกได้ว่าขนาดแม่นมตู้ที่เลี้ยงเขามากับมือยังไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายมากเกินขอบเขตถึงเพียงนี้  ส่วนพระมารดาจริงๆ ก็จากไปเสียนานแล้ว

“ข้าไม่คิดว่าเรื่องมันจะจบหรอกนะขอรับ” หลิวฉางเฟยกล่าว  พลางมองตามเงาหลังของจางจื่อหยูไป  ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ  แน่นอนว่ามิใช่แค่หลี่กวงเว่ย  ทันทีที่กลับไปถึงแคว้นเป่ยชางเมื่อไหร่  น่ากลัวมู่ซางกับฝงเป่าก็ต้องทราบเรื่องด้วย  เพราะหากให้จางจื่อหยูไม่บอกออกไป  เขาคงอัดอั้นตันใจตายเพราะไม่มีที่ระบายความกลัดกลุ้มเป็นแน่
---------------------
จางจื่อหยูพกพาความกลัดกลุ้มไปหาหลี่กวงเว่ย ที่กำลังคัดกรองตำราที่จะให้คนคัดลอกเพื่อนำกลับไปที่แคว้นเป่ยชางอยู่ที่หอตำราหลวง

หลี่กวงเว่ยเป็นบัณฑิตที่ฉีเซี่ยงหยวนชุบเลี้ยงไว้เป็นที่ปรึกษา  แต่หลี่กวงเว่ยมีฐานะแตกต่างจากที่ปรึกษาคนอื่นมากมาย  เพราะนอกจากจะได้รับความเชื่อถือไว้วางใจเป็นพิเศษจากฉีเซี่ยงหยวน  ยังเป็นบัณฑิตคนเดียวที่มาหาฉีเซี่ยงหยวนด้วยตัวเอง  ทั้งยังมีอำนาจในการตัดสินใจสูงยิ่ง 

ปรกติทุกคนในสังกัดของฉีเซี่ยงหยวนจะมีหน้าที่ในส่วนรับผิดชอบของตนชัดเจน  มีแต่หลี่กวงเว่ยที่ครอบคลุมของคนอื่นไปกว่าครึ่ง  เพราะความสามารถของหลี่กวงเว่ยคือการบริหารคน  ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู  ขอแค่เป็นคนก็ใช้ได้แล้ว  บางครั้งกระทั่งคนตายยังกลายมาเป็นลูกน้อง ช่วยเหลือหลี่ กวงเว่ยทำงานด้วย!

จางจื่อหยูมีความนับถือเลื่อมใสในตัวที่ปรึกษาผู้นี้อย่างยิ่ง  ทุกครั้งที่เห็นหลี่กวงเว่ย  จางจื่อหยูมักรู้สึกว่าตัวเองชราแล้ว  คลื่นลูกหลังสามารถไล่กลบคลื่นลูกหน้าได้จริงๆ  ดังนั้นปัญหาที่คนอื่นหาทางออกไม่ได้  หลี่กวงเว่ยสมควรมีวิธีแก้ไข

แต่หลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป  แววตาที่เปี่ยมด้วยประกายปัญญามีแววชะงักงัน  แล้วค่อยๆ แปลกประหลาดขึ้นทุกที  จางจื่อหยูเคยชื่นชมบุคลิกใจเย็นของอีกฝ่าย  แต่ตอนนี้กลับหวังว่าหลี่กวงเว่ยจะหยุดนิ่งงันเช่นนี้โดยเร็ว

หลี่กวงเว่ยเป็นบุรุษที่มีกลิ่นอายตำรา แต่ไม่เข้มข้นจนคร่ำครึ  รูปร่างผอมแต่ไม่เตี้ยเล็ก  บุคลิกโดยรวมดูใจเย็นเป็นที่สุด  ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังไม่แตกตื่นตกใจ  ดวงตาทั้งคู่ทอประกายปัญญาจะเปลี่ยนเป็นแหลมคมขณะขบคิดเรื่องที่ซับซ้อนเป็นพิเศษ  เรื่องในวันนี้ก็สมควรจะเรียกได้ว่าซับซ้อนเป็นพิเศษ  ทำไมดวงตาของหลี่กวงเว่ยดูไปดูมาไม่เพียงไม่แหลมคมขึ้น  ยังสลัวลงทีละน้อย  สุดท้ายเปลี่ยนเป็นคล้ายๆกับ...ปลงตก

“เรื่องนี้ไม่มีทางแก้”
หา  จางจื่อหยูมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ  หลังจากนั่งรอคำตอบมาครึ่งค่อนวัน  เหตุใดกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“กับเรื่องนี้ ทั้งท่าน ทั้งข้า ต่างไม่มีปัญญาแก้ไข  ท่านทำตามที่เขาบอกเถอะ”
“ทำ...ทำอะไร” จางจื่อหยูยังคงมึนงง
“คอยจัดการให้ข่าวรั่วไหลน้อยที่สุด เพราะหากเรื่องนี้รั่วไหลออกไป สถานะของท่านอ๋องน้อยที่แคว้นเป่ยชางจะมีปัญหา และอาจเป็นชนวนทำให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นได้  กับเรื่องนี้ต้องพึ่งท่านแล้ว” พูดจบก็หันไปเดินเลือกตำราต่อ 
อะ อะไรนะ  ใต้เท้าจางตะกุกตะกักว่า
“ท่าน  ท่านสมควรไปเกลี้ยกล่อม  ท่านอ๋องน้อยฟังคำท่านที่สุด”
หลี่กวงเว่ยนิ่งไป หันมาจ้องหน้าคนพูดแล้วจึงกล่าวว่า
“นั่นเป็นเพราะข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของท่านอ๋องน้อยมาก่อน”
“นี่ไม่แค่ปัญหาส่วนตัว  ถ้ามันลุกลามบานปลาย...”
“ถ้าท่านไม่ต้องการให้มันลุกลามบานปลาย  ก็ต้องควบคุมไม่ให้ข่าวรั่วไหลออกไป  จนกว่าท่านอ๋องน้อยจะเปลี่ยนเป้าหมายใหม่”  หลี่กวงเว่ยพูดง่ายๆ แค่นั้น  แล้วก็ก้มหน้าทำงาน เป็นความหมายว่าไม่คิดจะสนทนาเรื่องนี้ต่ออีก
เปลี่ยนเป้าหมายใหม่งั้นรึ  มันก็จริงว่าท่านอ๋องน้อยก็เปลี่ยนคนพอใจไปเรื่อยๆ  เพียงแต่ว่า...แล้วมันเมื่อไหร่กันล่ะ!  แค่คิดคำนวณดู จางจื่อหยูก็รู้สึกว่าสมองตัวเองพองโต  เวลานี้เขาต้องการใครก็ได้มาฟังเขาโอดครวญ...
--------------
สวนกว้างใหญ่  เงาไม้ร่มรื่น สายลมฤดูร้อนที่ยังหลงเหลือถูกสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดกวาดเข้าแทนที่  กลิ่นอายสงบเศร้าสร้อย อ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศ  ทางเดินยาวทอดจากสวนไปจรดสะพาน  สะพานยาวเหยียดตัวแตกแขนงค้ำอยู่เหนือผิวน้ำเชื่อมถึงเก๋งหกเหลี่ยม  ในเก๋งกลางน้ำมีเงาของคน

“ใต้เท้าจางมาหาข้า  ไม่ทราบมีเรื่องราวอันใด” เสียงแผ่วทุ้ม นุ่มนวลน่าฟังดังสะท้อนผิวน้ำที่อีกไม่นานคงเต็มไปด้วยใบไม้สีส้มทองของฤดูชิวเทียน
“ข้า เอ่อ ข้าได้ข่าวมาว่าพระมาตุลามีความรู้ด้านการแพทย์  ระยะนี้หลังข้าปวดๆ...”
“ท่านก้มบ่อยรึเปล่า”
“ก็บางที  แต่พอก้มแล้วมันจะปวดมาก  หลังๆมานี่เลยไม่ค่อยได้ก้มแล้ว” ตอบพลางมองรูปโฉมอันสบายตาของคนตรงหน้าอย่างใจลอย  จางจื่อหยูมิใช่ไม่เคยพบพระมาตุลาผู้นี้  แต่ไม่เคย ‘สัมผัส’ ในระยะใกล้ขนาดนี้มาก่อน 

เมื่อได้พบเหลียนอันสุ่ยคำขอร้องต่างๆนานาก่อนหน้านี้กลับถูกกลืนลงท้องไปจนหมดสิ้น  เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหักใจกล่าวออกไปได้จริงๆ  ตอนแนะนำตัวจางจื่อหยูเพียงกล่าวพาดพิงถึงฉีเซี่ยงหยวนสองประโยค ก็เห็นความหม่นหมองในแววตาสงบอ่อนโยน

หากจะให้จางจื่อหยูเปรียบเปรย  สมควรบอกว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นหยกที่งดงามที่สุดของแคว้นเหลียน  แต่ดวงชะตากลับพานเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง จึงต้องมาเจอหัวขโมยใจคด...ไม่สิ  สมควรใช้คำว่าเอาแต่ใจตัวเองจึงจะถูกต้อง  แน่นอนว่าการให้หัวขโมยไม่แตะต้องชิ้นหยก  ก็ยากพอๆกับให้แมวไม่แตะต้องปลานั่นแหละ

จางจื่อหยูลอบพิจารณาเสี้ยวใบหน้าที่หมดจดคมคายของอีกฝ่าย  ต้องลอบทอดถอนใจอีกครั้ง  หากเขามีบุตรี จะต้องยกให้บุรุษผู้สุภาพอ่อนโยนผู้นี้แน่  ฉีเซี่ยงหยวนแม้โดดเด่นแต่เยาว์วัย  แต่นิสัยบางด้านกลับอันตรายยิ่ง  โดยเฉพาะกับอิสตรี  การยกบุตรีให้ท่านอ๋องน้อยสามารถกล่าวว่าเป็นโศกนาฏกรรมได้  เพราะจางจื่อหยูสามารถบอกได้ล่วงหน้าว่านางก็คงไม่แคล้วหลงรักฉีเซี่ยงหยวนจนหมดหัวใจ  ในเวลาเดียวกับที่ฉีเซี่ยงหยวนเริ่มเบื่อหน่ายนาง

คนผู้นี้ดีเกินไป  ที่จะมาเป็นแค่ ‘ของเล่น’ ให้ท่านอ๋องน้อย   ก่อนนี้จางจื่อหยูถึงกับเคยวาดภาพเหลียนอันสุ่ยเป็นมารปีศาจที่ล่อลวงให้อวี้เฉียนลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น  ตอนนี้กลับรู้สึกละอายจนอยากจะกระโดดลงไปชดใช้ความผิดในสระบัว   

จางจื่อหยูไม่จำเป็นต้องเดาว่าท่านอ๋องน้อยใช้วิธีการอันใดเข้าใกล้พระมาตุลาผู้นี้  เพราะวิธีการของฉีเซี่ยงหยวนรวบรัดได้ผลเสมอมา  และสามารถใช้ได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตัวเองต้องการ  คิดมาถึงตรงนี้อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอีกครั้ง
---------------------
ทันทีที่ลับร่างจางจื่อหยูอารมณ์ของฉีเซี่ยงหยวนก็ดีขึ้นทันตาเห็น  ขณะกำลังจะออกไปเดินดูโรงช่างของแคว้นเหลียน  ก็พอดีเจอเป้าระบายโทสะ  จึงเปลี่ยนกำหนดการกะทันหัน
“ท่านอ๋องน้อยเรียกข้ามา  ไม่ทราบมีอันใดให้รับใช้” เฉินเสียกล่าวพลางประสานมือคารวะอย่างยิ้มแย้ม 
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ  กล่าวเสียงราบเรียบว่า
“ใต้เท้าชมชอบทำงานขาดทุนถึงเพียงนี้เลยหรือ”
คนฟังชะงักไป  แต่ก็ยังพยายามยิ้ม  กล่าวด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า
“ขอเพียงได้รับใช้ท่านอ๋องน้อย  ต่อให้เป็นเรื่องขาดทุน  ข้าก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถ”
“ดีมาก  ความจริงงานนี้ไม่ขาดทุนเท่ากับที่ใต้เท้าเคยทำหรอก  ข้าแค่ต้องการให้ท่าน...หุบ-ปาก-ให้-สนิท” ตอนท้ายย้ำช้าๆทีละคำ 
เฉินเสียหน้าเจื่อนไป  เพราะพอเดาได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไร
“เรื่องของท่านอ๋องน้อย  ข้าย่อมปิดปากสนิทอย่างยิ่ง”
“อ้อหรอ  เหตุใดข้าคล้ายกับได้ยินว่ามันรั่วไหลออกไป  ...ใต้เท้า บางครั้งปากคนเราก็สำคัญอย่างยิ่ง  ปากสามารถทำให้นักโทษประหารกลายเป็นคนเป็น  แต่ก็สามารถทำให้คนเป็นกลายเป็นคนตายได้เหมือนกัน” เสียงของฉีเซี่ยงหยวนเย็นจนคนฟังหน้าซีด
“ท่านอ๋องน้อย  ข้าไม่เคย...ไม่เคย...”
“ท่านไม่ต้องกลัวไป  ที่ข้าเรียกท่านมาวันนี้ก็เพราะรู้สึกว่าท่านเอาแต่ทำเรื่องขาดทุนจนน่าเป็นห่วง”
“ขาด  ขาดทุน ? ” สีหน้าเปลี่ยนเป็นมึนงง
“ย่อมต้องขาดทุนยิ่ง  ท่านเพียงเล่าเรื่องที่ท่านเคยมี ‘บุญคุณ’ กับข้าออกไปเพื่อแลกกับการได้หน้านิดๆหน่อยๆ ทรัพย์สินเล็กๆน้อยๆ   แต่กลับต้องชดใช้ด้วยชีวิตมันออกจะไม่คุ้มกันนะ”
“...” เฉินเสียหน้าซีดปากสั่น เมื่อเห็นแววตาเย็นเยียบของฉีเซี่ยงหยวน

“ที่ข้าบอกว่าท่านชมชอบทำเรื่องขาดทุน  นั่นก็เพราะ เพื่อสร้างความพอใจให้ข้ากลับขายคนที่ไม่สมควรขาย  ทำการค้าที่ไม่มีทางได้กำไร  ถ้าข้าไม่พอใจ ‘เขา’ ท่านย่อมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แน่  และถ้าข้าพึงพอใจ ‘เขา’ ท่านใยไม่คิดบ้างว่าตัวเองจะลำบาก”
“ท่าน...คงไม่  คงไม่...”

“ท่านเข้าใจว่าสามารถใช้เรื่องนั้นมาขู่ข้าได้หรือ  ประการแรก ข้าสามารถทำให้ท่านไม่มีปัญญาพูดออกไปก่อนท่านจะทันเอ่ยปาก  ประการที่สอง ถึงเรื่องผิดเพี้ยนเช่นนี้ อาจทำให้ฐานะข้าในเป่ยชางมั่นคงน้อยลงบ้าง  แต่บรรดาลูกน้องของข้าก็สามารถจัดการได้ไม่มีปัญหา  ประการสุดท้าย ต่อให้มันเป็นเรื่องร้ายแรงจนถึงขั้นมีศึกสงคราม  ทำไมท่านไม่คิดบ้างว่าชาวเหลียนจะฆ่าใครเป็นอันดับแรก...ยังมิใช่ต้นเหตุที่มอบความอัปยศให้พวกเขาหรอกหรือ”

เฉินเสียตัวสั่นงันงก  ขนาดยืนยังยืนไม่มั่นคงแล้ว  ต้องคุกเข่าลงกับพื้น  ฉีเซี่ยงหยวนยังพูดไม่หมด  เขาล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน  ขายคนที่ไม่สมควรขาย  ไม่ถูกตามคิดบัญชีก็เป็นเรื่องแปลกมากแล้ว  อย่าว่าแต่ทั้งสองคนล้วนเป็นบุคคลที่เฉินเสียไม่มีปัญญารับมือได้

“ความจริงท่านสมควรขอบคุณ ‘เขา’   ท่านเข้าใจว่าเหลียนอันสุ่ยมองไม่ออกหรือว่าท่านเป็นตัวการ  เขาเพียงแต่ไม่ต้องการจัดการกับท่านจึงไม่ได้เอ่ยถึงอีก  แต่ถ้าท่านยังเที่ยวเอาเรื่องนี้ไปโพทะนา  เกรงว่าต่อให้เหลียนอันสุ่ยไม่บอกออกไป  ทุกคนยังคงทราบอยู่ดี”

เฉินเสียโขกศีรษะกล่าวคำ ‘ข้าน้อยผิดไปแล้ว’ ซ้ำๆ  รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองโง่เขลาเบาปัญญายิ่ง  เมื่อฉีเซี่ยงหยวนชี้ให้เห็น จึงมองออกว่าการพูดออกไปที่ทำร้ายสาหัสที่สุดก็คือตัวเอง
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนตรงหน้าอย่างเย็นชา  รอให้อีกฝ่ายโขกศีรษะจนเลือดซึมแล้วจึงกล่าว
“ครั้งนี้ข้าเพียงเรียกท่านมาสนทนา  หวังว่าคงไม่ต้องมีครั้งที่สองอีก  ท่านไปได้แล้ว”

“ขอบคุณท่านอ๋องน้อย  ขอบคุณท่านอ๋องน้อย” พูดจบก็รีบจากไปเหมือนได้คำสั่งละเว้นโทษตาย
หลิวฉางเฟยมองเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง  นี่นับเป็นโทษที่กรุณามากแล้วสำหรับคนที่กล้าเอาความลับของท่านอ๋องน้อยไปขาย  สมควรบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนลดโทษให้เฉินเสียชั่วคราวเพราะยังมีประโยชน์ให้ใช้สอย  ไม่ต้องห่วงว่าเฉินเสียจะไม่ช่วยปิดข่าวอย่างเอาเป็นเอาตาย  ดีไม่ดีหลังจากนี้คงนอนไม่หลับอีกแล้ว 

และหลิวฉางเฟยยังมองออกอีกว่าจุดประสงค์หลักของท่านอ๋องน้อยมิใช่ระบายโทสะให้ตัวเอง  แต่เป็นต้องการระบายโทสะแทนผู้อื่น  คราวนี้เฉินเสียนับว่าขายคนที่ไม่สมควรขายจริงๆ
---------------------
“นายท่าน  ใต้เท้าเฉินเสียจากกรมพิธีการขอเข้าพบเจ้าค่ะ”  พระมาตุลาเงยหน้าขึ้นมาจากรายงานที่ให้คนสนิทไปรวบรวมเอามาทันทีที่ได้ยินเสียงอิ๋งฮวา  ตอบว่า
“เดี๋ยวข้าจะออกไป” จากนั้นหันไปกล่าวกับบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เจ้าทำดีมาก”
คนผู้นี้เป็นผู้ติดตามของพระมาตุลา  มีนามว่าหวังเชียน  รูปลักษณ์ภายนอกเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่  ผิวกายค่อนข้างคล้ำกว่าชาวเหลียนทั่วไป  เครื่องหน้าคมชัด  คิ้วดกหนา  สายตาสงบเยือกเย็น  นิสัยพูดน้อย  ไม่ชมชอบกล่าววาจาไร้สาระ  ครึ่งเดือนมานี้ไปตระเวนเก็บข่าวความเสียหายที่เกิดจากศึกสงครามตามที่ต่างๆ จึงไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้านาย

ทันทีที่เดินออกจากห้อง  เหลียนอันสุ่ยก็ได้ยินเสียงคุกเข่าโขกศีรษะดังอย่างต่อเนื่อง  คนมารอพบพูดซ้ำไปซ้ำมากับคำ ‘ข้าน้อยผิดไปแล้ว  ขอพระมาตุลาไม่ถือสาเอาความ’

“ใต้เท้าเฉิน  นี่มันเรื่องอะไรกัน  ท่าน...หยุดก่อน” เหลียนอันสุ่ยพูด  ดวงตาทอแววแปลกใจ 
เฉินเสียเงยหน้า ตั้งใจจะทำหน้าตาให้น่าสงสารที่สุด  สายตากลับเหลือบไปเห็นหวังเชียน  หัวที่เพิ่งโงขึ้นกลับไปโขกกับพื้นใหม่ทันที
“เรื่องที่ข้าทำผิดต่อท่าน  ใช้ชีวิตนี้ชดใช้ก็ไม่พอ  ขอได้โปรด...” สวรรค์  จะไม่ให้ทางรอดเขาบ้างเลยหรือ  ขนาดหวังเชียนยังมาแล้ว  บ่าวไพร่ตำหนักนี้ขึ้นชื่อเรื่องรักเจ้านายประดุจชีวิต  หากหวังเชียน ทราบเรื่องแล้วไม่ฟันเขาเป็นสิบเจ็ดสิบแปดท่อนก็แปลกมากแล้ว
เหลียนอันสุ่ยรีบก้มลงประคองอีกฝ่าย
“ใต้เท้าเฉิน  เรื่องที่ผ่านไปแล้วข้าไม่ถือสาเอาความ  ท่านไม่ต้องโขกศีรษะแล้ว”
“แค่ไม่ถือสายังไม่พอ  วิงวอนท่านช่วย...” แต่เมื่อเห็นสายตาคมกริบของหวังเชียน คำพูดที่จะกล่าวก็กล่าวไม่ออก  ตอนแรกเฉินเสียคิดจะใช้ความเมตตาของเหลียนอันสุ่ยให้เป็นประโยชน์  แต่ดูท่าหากพูดออกไปอาจกลายเป็นการค้าขาดทุนอีกรายหนึ่ง

เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  ทวนคำ
“ให้ข้าช่วย ? ”
“ไม่มีอะไร  ข้าหมายถึงในวันหน้าหากมีเรื่องที่ข้าสามารถช่วยท่าน  ให้ข้าได้ชดใช้เถอะนะ”
เหลียนอันสุ่ยรับปากอย่างงงๆ  นี่ไม่คล้ายนิสัยเดิมของเฉินเสียเลย  เฉินเสียก็ไม่กล้าอยู่นานรีบขอตัวจากไป
“นายท่าน  นี่...” หวังเชียนขมวดคิ้วถาม
“ไม่มีอะไร  ...ไปพักเถอะ  เจ้าเพิ่งเดินทางกลับมา” คนเป็นนายกล่าว  สายตายังคงมองตามทางที่เฉินเสียจากไป  คาดเดาได้ทีละน้อยว่าทำไมเฉินเสียที่หลีกเลี่ยงการพบหน้าตั้งแต่ ‘วันนั้น’ จึงพลันบากหน้ามาขอโทษ   คนที่สามารถข่มขู่ให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งหวาดกลัวได้ขนาดนี้ต้องเป็น ‘เขา’ แน่
แต่ว่าเขา...  ทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใดกัน

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
 o13
หลงรักเรื่องนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น
ภาษาลื่นไหล
เนื้อเรื่องสนุกมาก


พระมาตุลา งื้ออออ ทำไมท่านจึงน่าเพ้ออย่างนี้ ไม่แปลกใจเลยที่คนมาลุ่มหลงท่าน
 :-[

ออฟไลน์ loveatalltime

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :hao5:คนเขียน รักเรื่องนี้มากมาย คิดถึงเหลียนเหลียน
มาต่อีกเรื่อยๆน้า
 :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 10
«ตอบ #37 เมื่อ23-07-2014 16:08:49 »


บทที่ 10 อดีต

ตกเย็นอีกแล้ว  ในใจของเหลียนอันสุ่ยยังคงมีคำถาม  ยังคงมีความไม่เข้าใจ  แต่กลับกลัวที่จะหาคำตอบอยู่บ้าง  ขณะเดินเหยียบพรมทอมือหรูหราวิจิตรที่ทอดผ่านทางเข้าของตำหนักรับรอง  สถานที่ซึ่งไม่นานมานี้มาเยือนบ่อยจนคุ้นชิน  หวังเชียนที่ติดตามมาถูกทิ้งไว้ด้านนอก 
สายตากวาดมองเข้าไป  เห็นอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางนั่งรออยู่ตรงนั้น  บนโต๊ะเก้าอี้ชุดเดิม  ท่าทางยังผ่อนคลายสบายอารมณ์จนน่าหมั่นไส้อีกด้วย 

 “วันนี้มีคนสองคนไปหาข้า  คนแรกเป็นใต้เท้าจาง  ส่วนคนที่สองเป็นใต้เท้าเฉิน  ไม่ทราบว่าท่านมีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยราบเรียบ  คาดเดาไม่ได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด
“สาเหตุที่ใต้เท้าจางไปหาท่านเป็นเพราะใต้เท้าเฉิน  ส่วนสาเหตุที่ใต้เท้าเฉินไปหาท่านเป็นเพราะข้า  ดังนั้นความผิดที่ใต้เท้าจางทราบเรื่องไม่ใช่ของข้า  ส่วนความดีความชอบที่ใต้เท้าเฉินไปขอขมาท่านเป็นของข้า”
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้ามองคนที่อวดอ้างความดีความชอบหน้าตาเฉย  ถามเสียงราบเรียบว่า
“ความดีความชอบ  ท่านให้คนโขกศีรษะจนหัวแตกเป็นความดีความชอบ ?”
คนฟังยักไหล่ตอบว่า
“ทราบว่าท่านไม่คิดเอาผิดเขา  แต่ข้าต้องการระบายโทสะแทนท่าน  และประการสำคัญคือใครใช้ให้เขาเอาเรื่องของข้ากับท่านไปขาย” มิหนำซ้ำยังขายให้กับคนที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่อยากให้รู้ที่สุด

เหลียนอันสุ่ยเงียบไป  ระบายโทสะแทนเขาอย่างนั้นหรือ  เหลียนอันสุ่ยพอจะคาดเดาได้ว่าทำไมจางจื่อหยูซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งของเป่ยชางอยู่ดีๆจึงมาขอพบ  ซ้ำยังลอบพิจารณาเขาพลาง ถอนหายใจพลาง ท่าทางกลัดกลุ้มกังวลอย่างยิ่ง  แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเกี่ยวข้องกับเฉินเสีย  มิน่าเล่าเฉินเสียจึงลนลานถึงเพียงนั้น

จากนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็สนทนาเลยไปถึงเรื่องบ้านเมือง  เกี่ยวกับปัญหาขัดแย้งที่เกิดเพราะวัฒนธรรมที่แตกต่าง  อยากให้เหลียนอันสุ่ยช่วยคิดวิธีที่จะให้แคว้นเหลียนยอมรับประเพณีของแคว้นเป่ยชาง  เนื่องจากไม่ว่าอย่างไรหากคิดจะลดความรู้สึกแบ่งแยกก็ต้องเริ่มต้นที่จุดนี้

คืนนี้เป็นคืนที่ยุ่งวุ่นวายเพราะมีเรื่องมากหลายต้องสะสาง  แสงจันทร์นวลเย็นเป็นประกายลึกลับ  คล้ายอาภรณ์เลือนรางที่ห่มคลุมทุกความลับเอาไว้ใต้ม่านแห่งนภาราตรี  จันทร์ยังคงเป็นจันทร์ดวงเดิม  แต่ความรู้สึกของคนใต้แสงจันทร์เริ่มเปลี่ยนไป...
---------------------
ณ อีกฝั่งฟ้านอกกำแพงวังไกลออกไป  แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเข้ามาดูไปเลือนรางเป็นพิเศษ  ซ้ำยังแฝงความเยียบเย็นไร้น้ำใจ ทอดจับบนทองคำสุกปลั่งกองหนึ่ง  ทองคำหลายตำลึงนี้กองอยู่เบื้องหน้าสายตาที่เย็นชากระด้าง  เจ้าของมันกำลังครุ่นคิด  ตัวเองใช่จะมีวันได้ใช้ทองคำเหล่านี้หรือไม่

แผนการทุกอย่างพร้อมพรักแล้ว  กระทั่งจังหวะเวลาก็ถูกกำหนดไว้เรียบร้อย  ทุกคนในแผนการล้วนไม่มีหนทางหันหลังกลับอีก  นี่เป็นงานที่เขาคุ้นชินชำนาญ  ใช้ชีวิตตัวเองช่วงชิงชีวิตของผู้อื่น  และก็ใช้ศีรษะผู้อื่นแลกกับเงินทอง  กับมือรับจ้างสังหารที่ไร้ญาติขาดมิตรผู้หนึ่งเช่นเขา  ตายไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร

เพียงแต่ราคาคราวนี้ออกจะแพงไปบ้าง  แพงจนน่าเป็นกังวล  ถึงเขาจะเป็นคนต่างแคว้น  แต่ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเป้าหมายครานี้มา  อ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนมิใช่คนที่จะจัดการได้โดยง่ายแน่นอน!
---------------------
ทางเดินในตำหนักพระมาตุลาจุดโคมทุกหัวเสา  สาดส่องให้สว่างดุจกลางวัน  ดึกดื่นถึงเพียงนี้  คงเหลือแต่ทหารยามลาดตระเวนเป็นกะเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว  เหลียนอันสุ่ยกลับมาถึงตำหนักของตัวเอง  สีหน้าคล้ายมีความในใจอันใด

อิ๋งฮวาหลังเข้ามารับเสื้อคลุมตัวนอกไปจากมือเจ้านายก็ออกไป  เมื่อเดินกลับมาอีกครั้งเห็นเขาหลับตานิ่งสีหน้าปวดร้าวจนบอกไม่ถูก  จึงร้องเรียกด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วง
“นายท่าน”
ได้ยินเสียงเรียกเหลียนอันสุ่ยก็ชะงักไป  ลืมตาขึ้นช้าๆ  ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า
“เจ้าชอบแคว้นเหลียนหรือไม่”
“แคว้นเหลียน...อ้อ  นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง  ความเสียหายที่เกิดขึ้นย่อมต้องฟื้นฟูได้ในเร็ววัน  เพราะนายท่านร่างแผนการไว้แล้ว  เหลือแค่ให้พวกเขาไปจัดการก็พอ” นางเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงรายงานความเสียหายที่เหลียนอันสุ่ยนั่งคิดวิเคราะห์มาตั้งแต่เช้า

กล่าวถึงเรื่องนี้นางทั้งเลื่อมใสทั้งซาบซึ้ง  นายท่านทุ่มเทความคิดมากมายเพื่อร่างแผนฟื้นฟูเมืองหลังภาวะสงครามให้เสร็จ  งบประมาณทั้งหมดล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา  วิธีการของนายท่านไม่เคยไม่ได้ผล  นางแทบจะเห็นรอยยิ้มที่คืนกลับมาของชาวเหลียนในวันข้างหน้าแล้ว

“ไม่ใช่  ข้าหมายถึงเจ้าชอบแคว้นเหลียนรึเปล่า”
อิ๋งฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย  แต่ก็ยังตอบว่า
“...บ่าวเกิดที่นี่  โตที่นี่  ย่อมไม่มีทางจะไม่ชอบแคว้นเหลียน”
“...ดีแล้ว  ถ้าไปอยู่ที่อื่นเจ้าคงทุกข์ทรมาน”  ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเป็นประกายอ่อนโยน  แต่อิ๋ง ฮวากลับมีลางสังหรณ์แปลกๆ
“นายท่าน...หรือว่าท่านจะไปไหน”
เหลียนอันสุ่ยนิ่งไป  เมื่อเห็นสายตาคาดคั้นก็ทราบว่าปิดบังไม่ได้
“ข้าอาจต้องไปเป่ยชางเร็วๆนี้”
“นายท่าน !” อิ๋งฮวาร้องอย่างตื่นตระหนก  ไม่มีใครเข้าใจความสำคัญที่แคว้นเหลียนมีต่อนายท่านมากว่านาง  จริงอยู่ที่นางรักแคว้นเหลียน  แต่ยังไม่ได้ครึ่งของที่นายท่านทุ่มเทให้แคว้นเหลียนไป
“ท่าน  ทำไมท่าน  ...หรือว่าอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางผู้นั้น...”
“มิใช่  แต่คุณชายน้อยของเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของเขาแล้ว  ย่อมต้องติดตามเขาไป  ส่วนข้าแค่ไม่ไว้ใจให้เขาไปคนเดียว”
“นี่มันเล่นลูกไม้ชัดๆ  เขาจงใจบังคับให้ท่านต้องไป” ขนาดนางยังดูออก  เป็นไปไม่ได้ที่นายท่านจะดูไม่ออก  เพียงแต่นายท่านก็ยังคงไม่ถือสาคนสารเลวผู้นั้นเหมือนเคย
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปเป่ยชาง  แต่เจ้า...”
“ไม่  บ่าวจะติดตามท่านไป  นายท่านได้โปรดให้บ่าวติดตามท่านไป” แววตานางเด็ดเดี่ยว  ไม่ยินยอมถอยเด็ดขาด  ทำให้เหลียนอันสุ่ยที่คิดเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมต้องถอนหายใจยาว
วันนี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ทำอะไรเขา  เพราะเจ้าตัวมัวยุ่งกับการวางแผนจัดแจงเรื่องต่างๆในแคว้นเหลียน  ข้อนี้เหลียนอันสุ่ยต้องขอบคุณอย่างสวรรค์  หากฉีเซี่ยงหยวนยังแตะต้องเขาอีก  เขาคงไม่อาจทนทานรับได้แล้ว 
แต่นั่นก็ทำให้เห็นลางเลาๆว่าฉีเซี่ยงหยวนคิดจะกลับเป่ยชางเร็วๆนี้  จึงต้องรีบจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย

ความจริงนี่ไม่มีปัญหาใด  ก่อนหน้านี้แม้ชาวเหลียนส่วนใหญ่จะเคยรู้สึกว่า ชาวเป่ยชางเป็นพวกป่าเถื่อน ดุร้าย ชอบวางอำนาจ  จนถึงขั้นไร้อารยธรรม  แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่ามันไม่จริงด้วยการผ่อนปรนหลายๆอย่างให้แคว้นเหลียน  ทำให้ความรู้สึกส่วนใหญ่ของชาวเหลียนต่อเป่ยชางพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น  และด้วยความช่วยเหลืออย่างลับๆของเหลียนอันสุ่ย ทำให้การเจริญสัมพันธไมตรีเป็นไปอย่างราบรื่น  เพราะมีแต่เหลียนอันสุ่ยที่ทราบกระจ่างว่าผู้ใดไม่อาจไม่เกลี้ยกล่อม  ผู้ใดได้มาแล้วจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง

แต่ว่ายิ่งทุกอย่างใกล้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่  ยิ่งแสดงถึงเวลาในแคว้นเหลียนที่เหลือน้อยลงเท่านั้น

ความผูกพันที่เหลียนอันสุ่ยมีต่อแคว้นเหลียนลึกซึ้งจนยากบ่งบรรยาย  เวลา 31 ปีเพียงพอจะสร้างพันธนาการผูกมัดคนไว้จนชั่วชีวิต  วิญญาณของเขาแทบจะหลอมกลืนเข้ากับแผ่นดินผืนนี้  เหลียนอันสุ่ยเคยคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆมากมาย  เคยคิดกระทั่งว่าตัวเองอาจอายุไม่ยืน  เพราะชีวิตความจริงเป็นเรื่องไม่แน่นอน  แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวัน...ที่ต้องไปจากแคว้นเหลียน
ฉีเซี่ยงหยวนมีการจัดแจงของเขา  เหลียนอันสุ่ยก็จัดการเรื่องราวต่างๆไว้เช่นกัน  เพราะทราบ...ว่าตัวเองคงไม่มีวันได้กลับมาที่นี่อีก...
-------------------
กระทั่งราตรีที่ค่อนข้างเยียบเย็นในแคว้นเหลียนยังมีคุณค่าความหมาย  สายลมแห้งจัดในฤดูชิว เทียนบอกลางถึงฤดูหนาว  เหลียนอันสุ่ยมิได้นอนหลับ  ถึงแม้ตลอดวันจะครุ่นคิดจนเหน็ดเหนื่อย แต่หัวถึงหมอนกลับนอนไม่หลับ  บนร่างของเขาสวมเสื้อคลุมกันลมฝีมือประณีต  ในมือถือโคมที่เรื่อแสงนวลใย  ดูไปคล้ายภาพวาดที่แฝงความโศกเศร้า เงียบเหงาจนบอกไม่ถูก 
อิ๋งฮวาแอบหลบมุมลอบมองดูเขา  ดวงตาของนางมีประกายน้ำตา   เห็นเขามือซ้ายถือโคม  มือขวาไล้ช้าๆไปตามรอยไม้บนต้นท้อใหญ่

ตอนดอกท้อบาน งามล้ำจนแทบจะฉุดดึงทุกลมหายใจไปกับมัน  แต่ดอกท้อจะไม่บานอีกแล้ว  ...อย่างน้อยในใจอิ๋งฮวาก็หวังว่ามันอย่าได้บานอีกเลย  ความจริงดอกท้อบานมีความหมายอันเป็นมงคล  แต่ทุกครั้งที่ดอกท้อบานนางจะเห็นความเจ็บปวดในแววตาของนายท่าน

หลายวันมานี้นางเห็นนายท่านเหม่อมองต้นท้อหลายครั้งผ่านบานหน้าต่าง  แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ วันนี้นายท่านทาบมืออยู่บนเปลือกไม้ของต้นท้อใหญ่  ในเงาหลังกลับมีความรู้สึกผิดเข้มข้น  จนนางหัวใจแทบแหลกสลาย  นายท่านของนางทำอะไรผิด เหตุใดสวรรค์จึงใจร้ายต่อเขาถึงเพียงนี้

นางจำได้ว่าครั้งแรกสุดที่ท้อต้นนี้บาน เป็นวันที่พระชายาสิ้นลม  คล้ายกับว่าการเบ่งบานของมันฉุดดึงลมหายใจของนายหญิงไปด้วย
แต่อิ๋งฮวาเพียงล่วงรู้หนึ่ง  ไม่ล่วงรู้ถึงสอง  ต้นท้อต้นนี้เป็นเหวินจีปลูกเองกับมือ  แต่ครั้งแรกสุดที่ดอกท้อบาน  เจ้าของของมันกลับไม่มีวาสนาได้เชยชม
นี่เป็นส่วนที่เงียบสงบที่สุดของสวน  และเป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจิตใจของเหลียนอันสุ่ย  หลายวันมานี้ เขาจึงไม่กล้าเข้ามาทำให้มันแปดเปื้อน  เพราะความแปดเปื้อนของเขา ไม่ว่าชะล้างอย่างไรก็ไม่มีทางหมด
‘ข้าผิดต่อเจ้า  ผิดอย่างไม่อาจแก้ไข...ขอโทษด้วย’ 

เหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่านางจะฟังคำขอโทษนี้หรือไม่  เพราะเขาผิดต่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า  อิ๋งฮวาทราบแค่นายหญิงสุขภาพทรุดโทรมจนเสียชีวิต  แต่ในความเป็นจริงสุขภาพของเหวินจีมิได้ย่ำแย่ถึงเพียงนั้น  เหลียนอันสุ่ยมีความรู้ทางการแพทย์ทำไมจะดูไม่ออก การตายของนางเป็นเพียงแค่การสังเวยให้กับความขัดแย้งจากอิทธิพลอำนาจเท่านั้น  ส่วนเขา...แค่ผู้หญิงคนเดียวกลับไม่มีปัญญาปกป้องเอาไว้

เขายังจำได้ว่า  แววตาของเหวินจีมักมีเค้าเอียงอาย แต่ก็มักจะแอบมองเขา  ใช้ทั้งหมดของหัวใจมารักเขา แต่เขากลับเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ดวงตาของนางไม่อาจลืมขึ้นอีกแล้ว
การเห็นหน้าเฉินเสียกวนตะกอนของความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมา  เหลียนอันสุ่ยเคยนึก...ว่าอีกฝ่ายเลิกราไปแล้ว  แต่ดูเหมือน ‘นาง’ จะยังคงเคียดแค้นอาฆาตเขาอยู่

มาคิดๆดูแล้วจึงเข้าใจกระจ่าง  นั่นสินะ  ขนาดเหลียนอันสุ่ยยังไม่เชื่อว่าเฉินเสียได้ยานั่นมาได้อย่างไร  คงเป็น ‘นาง’ ที่มอบมันให้กับเฉินเสีย   เพราะไม่ว่าอย่างไรสองคนนั้นก็มีไมตรีคบหากันไม่เลวอยู่  ต้นความคิดเหลวไหลอาจเป็นเฉินเสียเอง แต่หากไม่มีคนยุยงส่งเสริมเฉินเสียไหนเลยจะกล้าถึงเพียงนั้น
ความคิดของเหลียนอันสุ่ยเยือกเย็นลง  อาจบางที ‘นาง’ คงไม่ได้คิดว่าฉีเซี่ยงหยวนจะตามตอแยเขาไม่เลิกรา   นางเพียงต้องการยัดเยียดความอัปยศเช่นนี้มาให้เขาเท่านั้น

จำได้ว่าตอนเหวินจีตายไป เขาเคยคิดจะให้ ‘นาง’ ชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ความเคียดแค้นรุนแรงเพียงใด กระทั่งตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขนาดนั้น  จากนั้นจึงรู้สึกถึงสิ่งแท้จริงที่นางต้องการ  นางเพียงต้องการให้เขาเคียดแค้นชิงชังเช่นเดียวกัน เพราะความเคียดแค้นที่ลึกซึ้งรุนแรงสามารถทำให้คนสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง  กระทั่งแสงตะวันก็จะไม่งดงามเช่นเดิมอีกต่อไป  ชีวิตดุจตายทั้งเป็น
แต่เขาจะไม่ตายทั้งเป็นไปกับนาง  และรู้สึกเป็นครั้งแรกว่านางช่างน่าสงสารนัก  ถูกความเคียดแค้นกลืนกินวิญญาณไปจนหมดสิ้น 
เรื่องราวคราวนี้เขาก็จะไม่โทษว่านาง  ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ถ้าหากเขาไม่พาตัวเองไปเกี่ยวข้อง  เขาเลือกทางของเขาเอง  และถ้าเขาจะเจ็บปวดเพราะฉีเซี่ยงหยวน  ...ก็ต้องเป็นเพราะควบคุมจิตใจตัวเองไม่ดีพอ
เพียงแต่ว่า...เหลียนจิ้งเต๋อไม่ควรต้องมาเจอความอัปยศเช่นนี้  และเหวินจีก็ไม่คู่ควรจะถูกบุรุษที่นางรักทำผิดต่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้เลย...
---------------------
เช้าแล้ว  เหล่าสกุณากู่ร้องเสียงแหลมสดใส  สวนที่โศกเศร้ามืดมนคล้ายกลายเป็นอดีตไป  แสงอันอบอุ่นขับไล่ไอหนาวของต้นฤดูใบไม้ร่วงไปช้าๆ  ดวงตาแวววาวสุกใสของเด็กน้อยผู้หนึ่งกวาดไปทางซ้ายที  ขวาที  ครั้นพบเห็นเงาร่างสูงโปร่งของบิดาก็ถลาเข้าไปหา
“ท่านพ่อ” เสียงลากยาวมาแต่ไกลฉุดดึงความคิดของเหลียนอันสุ่ยให้เข้าที่เข้าทาง  แต่เมื่อหันไปมองคนตัวเล็กกว่าแววตาก็ยังอดมีแววเจ็บปวดที่ข่มไม่มิด  ขณะถูกเด็กชายวัยสิบขวบกอดหมับเข้าให้
“เจ้าตื่นเช้าเช่นนี้  สงสัยฝนคงตกในไม่ช้า” คนเป็นพ่อกล่าว
“การตื่นเช้าย่อมเป็นกำไรของชีวิต” เหลียนจิ้งเต๋อเอาคำพูดของบิดามาพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงขึงขัง  เหลียนอันสุ่ยก้มลงกอดคนสำคัญที่สุดในชีวิตเอาไว้ในอ้อมแขน  เก็บซ่อนแววตารู้สึกผิดขณะเหลียนจิ้งเต๋อเอาคางเกยกับไหล่ของเขา  ฝืนกล่าวว่า
“ทำตัวเป็นเด็กๆ  หรือว่า...  เจ้าไปทำผิดอันใดมา”
“ข้า  ข้าเปล่านะ  ท่านไปได้ยินมาจากที่ใด  ข้าถูกปรักปรำ” เด็กชายละล่ำละลักโอดครวญ  จนคนฟังอดหลุดหัวเราะด้วยความขำไม่ได้  เมื่อหยุดขำก็เห็นเหลียนจิ้งเต๋อจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ
“ท่านหัวเราะแล้ว  ดีจัง  พักนี้ข้าไม่ค่อยได้พบหน้าท่านพ่อเลย  ความจริงท่านหัวเราะแล้วดูดีออก”
เหลียนอันสุ่ยชะงักไป  แววตาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนจนสับสน  เมื่อมองเหลียนจิ้งเต๋อ  เหลียนอันสุ่ยก็จะเห็นเค้าใบหน้าของเหวินจี  มิใช่ไม่อยากไปหา  แต่เป็นไม่กล้าสู้หน้าต่างหาก
“ข้าว่าข้าไปเรียนดีกว่า” พูดจบก็ผละออก  ประคองมือคารวะ  ขาไปยังไวกว่าขามา  มองขาสั้นๆที่ซอยถี่เร็วแล้วเหลียนอันสุ่ยอดหัวเราะกับตัวเองเบาๆไม่ได้
---------------------
“นี่พี่อิ๋งฮวา ทำไมพักนี้ท่านพ่อเห็นหน้าข้าแล้วชอบทำหน้าเจ็บปวดจัง” เหลียนจิ้งเต๋อถามอย่างกลัดกลุ้ม
อิ๋งฮวาที่เดินตามหลังรู้สึกขมไปทั่วทั้งปาก ตอบฝืนๆว่า
“บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“แต่พี่เยี่ยนจื่อบอกว่าพี่รับใช้ท่านพ่อใกล้ชิดที่สุด  ถ้าพี่ยังไม่ทราบก็ไม่มีใครทราบแล้ว”
ฟังคุณชายน้อยพึมพำแล้วคนเป็นบ่าวได้แต่ฝืนยิ้ม  ในใจก่นด่าบรรพบุรุษของเจ้าคนชั่วช้าที่เป็นต้นเหตุนั่นสิบแปดรุ่น
ความจริงเหลียนอันสุ่ยก็คิดถูกแล้วที่ไม่ได้บอกเรื่องเฉินเสียกับอิ๋งฮวา ไม่เช่นนั้นไม่แน่ว่าเฉินเสียอาจต้องประสบเหตุเภทภัยเพราะมีดทำครัวของหัวหน้าหญิงรับใช้ผู้นี้เข้าซักวัน
---------------------
แสงแดดยามสายส่องกระทบตัวดาบเป็นประกายแวววาว  เสียงดาบกระทบกันกังวานกระชั้น  มีเสียงคนปรบมือ  ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อที่ซ้อมดาบอยู่ต้องเหลียวหันไปมอง  ส่วนอิ๋งฮวาที่ยืนหลบมุมอยู่ก็มีสีหน้านิ่งขึงไปทันที  อาจารย์ดาบหวังรีบค้อมหัวทำความเคารพ
วันนี้อิ๋งฮวามาเฝ้าคุณชายน้อยแทนเยี่ยนจื่อที่ป่วยเป็นไข้  ส่วนหน้าที่ติดตามนายท่านก็กลับคืนสู่เจ้าของเดิมของมัน หวังเชียน  นับเป็นการผลัดเวรที่ประจวบเหมาะจริงๆ  ไม่เช่นนั้นหากเปลี่ยนเป็นเยี่ยนจื่อ  คงไม่มีปัญญารับมือกับความร้ายกาจของฉีเซี่ยงหยวนเป็นแน่

“ฝีมือดาบยิ่งฝึกฝนยิ่งก้าวหน้า ยิ่งประมือยิ่งแหลมคม” หลังเสียงปรบมือตามด้วยเสียงชื่นชม
“ท่านพ่อบุญธรรม” เหลียนจิ้งเต๋อเรียกขานด้วยอย่างกริ่งเกรงอยู่บ้าง  หลังจากเห็นปฎิกิริยาของท่านพ่อที่มีต่อคนผู้นี้  ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อไม่ค่อยกล้าพูดคุยกับพ่อบุญธรรม  ด้วยกลัวท่านพ่อจะไม่พอใจหลังทราบเรื่องเข้า
“เจ้าขยันฝึกปรือเช่นนี้  ไม่นานคงมีฝีมือเหนือกว่าข้า  เหนือกว่าท่านพ่อของเจ้า”
“ท่านผิดแล้ว  ดาบของท่านพ่อเน้นการป้องกันที่รัดกุม  ข้าไม่มีทางชนะท่านพ่อไปได้”

คนฟังเลิกคิ้ว  นี่เรียกว่าดาบแสดงจิตใจคน  เหลียนอันสุ่ยมิใช่คนที่ชอบเอาชนะคะคาน  ทำให้มีคนน้อยกว่าน้อยเคยเห็นฝีมือของเขา  นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินคนพูดถึงฝีมือดาบของพระมาตุลาผู้นี้
“แต่ถ้าเป็นท่าน...อาจชนะท่านพ่อก็ได้” เพราะเหลียนจิ้งเต๋อยังไม่เคยเห็นใช้ดาบได้เชี่ยวชาญกว่าพ่อบุญธรรม  กระทั่งหวังเชียนยามสะบัดดาบยังดูน่ากลัวน้อยกว่าอยู่บ้าง  ตั้งแต่เห็นวิธีที่ฉีเซี่ยงหยวนเอาชนะอาจารย์ดาบหวังซึ่งเป็นบิดาของหวังเชียน  เหลียนจิ้งเต๋อก็ลอบนับถือเลื่อมใสในฝีมือของพ่อบุญธรรมผู้นี้ตลอดมาจนอดเอ่ยปากไม่ได้

“แล้วท่านพ่อของเจ้าจะยอมประมือกับข้าหรือ”  ฉีเซี่ยงหยวนถามขณะก้าวลงจากขั้นบันได  พยายามไม่สนใจสายตาของอิ๋งฮวาที่จิกกัดเขามาตั้งแต่ต้น
“ท่านสนใจเอาชนะวิชาดาบของท่านพ่อไปใย  ที่ท่านพ่อเชี่ยวชาญที่สุดคือวิชาธนูต่างหาก”
ฉีเซี่ยงหยวนกระพริบตา  รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง  ในความคิดของเขาเหลียนอันสุ่ยกับพู่กันดูจะเป็นคู่ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว  นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังอาจใช้ธนูได้เหนือกว่าพู่กันเสียอีก

“ท่านอ๋องน้อยโปรดชะงักเท้า  คุณชายน้อยกำลังเรียนอยู่  ไม่ควรเข้าไปรบกวนนะเจ้าคะ”นี่ย่อมเป็นอิ๋งฮวาที่เข้ามาขวางไว้  ฉีเซี่ยงหยวนอดนับถือความภักดีของนางไม่ได้  ตอนนี้ไม่มีเหลียนอันสุ่ยคุ้มหัว  ยังจะกล้ามาล่วงเกินเขาอีก 

ฉีเซี่ยงหยวนยินยอมชะงักเท้าลง  ไม่ก้าวเข้าไปใกล้กว่าเดิม  กล่าวกับเหลียนจิ้งเต๋อว่า
“เจ้าฝึกฝนดาบต่อไปเถอะ  เอาไว้คราวหน้าข้าจะมาขอรับทราบความก้าวหน้า” คราวนี้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายยอมถอยเพราะมีธุระต้องไปทำ  ตามกำหนดการ วันนี้ควรเริ่มที่การดูระบบชลประทานของแคว้นเหลียนเพื่อเอามาปรับใช้กับแคว้นเป่ยชางในวันข้างหน้า  ทว่าเมื่อไปถึงกลับมีคนผู้หนึ่งไปถึงก่อนแล้ว...

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0

บทที่ 11 นายท่านผู้ลึกลับ

“ปีที่แล้วฝนตกมากเป็นพิเศษ  หากมิใช่นายท่านให้สร้างทำนบกั้น  น่ากลัวพืชผลล้วนต้องเสียหายสิ้น”
“ใช่แล้ว  ใช่แล้ว  บุญคุณใหญ่หลวงไม่อาจไม่ทดแทน  ข้าน้อยไม่มีอะไร  มีแต่บุตรีที่รู้จักเอาใจนางหนึ่ง  ต่อไปข้าน้อยขอมอบนางให้ติดตามปรนนิบัตินายท่าน...” ยังไม่ทันพูดจบก็โดนชายชราคนแรกใช้ศอกกระทุ้งจนต้องหุบปากไป
คู่สนทนามองยิ้มๆ  มิได้ปฏิเสธ  แต่ก็มิได้รับคำ
“นายท่านคาดการณ์ประดุจเทวดา  ข้าน้อยนับถือเลื่อมใสนัก” ชายวัยกลางคนอีกคนกล่าว
“คาดการณ์อันใด  ฝนก็ตกทุกปี  น้ำก็เอ่อล้นตลิ่งทุกปี  หากไม่จัดการให้เหมาะสมย่อมต้องท่วมแน่” บุรุษที่ถูกเรียกหาเป็นนายท่านอยู่ทุกคำไม่ยินยอมรับคำเยินยอ
“ไม่ว่าอย่างไร  วันนี้ทั้งเฒ่าหลี่และข้าต่างมีของมาตอบแทนท่าน  นี่เป็นส่วนหนึ่งของพืชผลรอบแรกของข้า” พูดพลางชี้ไปยังกองผลไม้ที่คัดอย่างดี  ทุกลูกอวบใหญ่  ไม่มีตำหนิแม้ซักเล็กน้อย  เริ่มฤดูใบไม้ร่วง ฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว  ชาวนาชาวสวนต่างยินดีปรีดาเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่รอคอย
“นี่จะได้อย่างไรกัน  ท่านเล่นเอาของที่ดีที่สุดมายกให้ข้า  แล้วท่านจะเหลืออะไรไว้ขาย  ขออภัย  แต่ข้ารับไม่ได้” คนฟังปฏิเสธอีกครั้ง  ด้วยทราบว่าพืชผลแต่ละลูกล้วนมาจากความอุตสาหะตรากตรำตลอดทั้งปี
“นายท่าน แต่...”
“ปีนี้หมู่บ้านเรียกระดมคนมาขุดคูคลองหรือยัง  หากปล่อยให้ตื้นเขิน  นอกจากเรือจะแล่นไม่ได้  ยังไม่มีที่รองรับน้ำ” คนเป็นนายท่านหันไปคุยกับชายชราคนแรกที่น่าจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
“ยัง แต่ว่า...”
“ถึงแม้ปีนี้ราชสำนักน่าจะมีนโยบายลงมา  แต่เราก็ไม่อาจไม่ป้องกันไว้ก่อน...”
ขณะผู้อื่นปรึกษากัน  ชายอีกคนด้านข้างรีบฉุดดึงคนที่เพิ่งกล่าวยกบุตรีให้ผู้อื่นออกมา  กระซิบกระซาบตำหนิว่า
“ท่านไปเที่ยวยกลูกสาวให้เขาได้อย่างไร”
“ทำไมจะไม่ได้  เราเฒ่าหลี่คิดตอบแทนใครย่อมต้องตอบแทนอย่างหมดจด  ต่อให้นายท่านไม่ต้องการตบแต่งภรรยา  ก็สมควรมีหญิงรับใช้เพิ่มขึ้นซักคน”
“ท่านเข้าใจว่าเขาเป็นคุณชายมีทรัพย์ ?”
“ไม่ใช่คุณชายมีทรัพย์แล้วจะเป็นอะไร  ก่อนหน้านี้สวนของเหล่าโหมวถูกน้ำท่วมเสียหาย  ใครเป็นคนควักกระเป๋าจ่ายค่าเช่าที่นาให้เหล่าโหมว  ทั้งยังจ่ายโดยไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย  เห็นได้ชัดว่าต้องมีทรัพย์สินปานท้องพระคลัง”
“ค่าเช่าที่นาความจริงไม่นับว่าแพงเท่าใด  แต่ท่านก็พูดไม่ผิด  เขามีทรัพย์สินปานท้องพระคลังจริง  แต่มิใช่ประเภทที่ท่านจะซี้ซั้วยกบุตรีให้เขาได้”
เฒ่าหลี่เริ่มรู้สึกแปลกๆ
“เขาเป็นใคร”
“ท่านรู้แล้วเหยียบเอาไว้เลยนะ  คนผู้นี้เป็น...” จากนั้นเสียงกระซิบก็แผ่วเบาลง  ได้ยินแต่เสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกของผู้เฒ่าแซ่หลี่
“เขา !  แล้วเหตุเขาจึงมา...”
“ท่านเข้าใจแล้วหรือไม่  ว่าบุตรีของท่านกระทั่งจะเป็นหญิงรับใช้ให้เขายังไม่คู่ควร”

ฉีเซี่ยงหยวนฟังทั้งสองคนสนทนากัน ในใจอดเห็นด้วยไม่ได้  เพราะความจริงแค่บ่าวไพร่ในตำหนักพระมาตุลาก็ถูกเลือกสรรมาอย่างเข้มงวด  เนื่องจากเหลียนอันสุ่ยนับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีลำดับศักดิ์สูงสุด  ใช่แล้ว  นายท่านผู้นี้  ความจริงมีฐานะสูงเลิศลอย  ที่น่าแปลกคือ เหตุใดเหลียนอันสุ่ยต้องปกปิดที่มาของตัวเอง  มาเยือนแบบไม่เป็นทางการ  ซ้ำนี่ยังมิใช่ครั้งแรกเสียด้วย

“ท่านอ๋องน้อย  ท่าน  ท่านคิดจะไปดูเขื่อนก่อนหรือว่า...”เจ้าเมืองซินเฉิงลอบปาดเหงื่อตะกุกตะกัก  เมื่อเห็นท่านอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางอยู่ๆก็ลงจากรถม้า  ซ้ำยังแอบยืนนิ่งฟังกลุ่มชาวบ้านสนทนากัน
“เขื่อนอยู่ที่ใด” ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็หันมาให้ความสนใจเจ้าเมืองซินเฉิง
“ก็เป็นตามทางที่ชาวบ้านพากันเดินเข้าไปนั่นแหละขอรับ”
“ประเสริฐมาก  งั้นเราไปดูเขื่อนก่อน”

เจ้าเมืองซินเฉิงอดลอบถอนหายใจไม่ได้  ไม่ชินกับการรับมือคนใหญ่คนโต  ได้ยินมาว่าคนผู้นี้ไม่เพียงเป็นคนใหญ่คนโต  ยังเป็นคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้เด็ดขาด  ดังนั้นทุกคำพูดจึงระมัดระวังยิ่ง  กลัวตอแยบุรุษผู้น่ากลัวผู้นี้มีโทสะ
“ตรงนี้เป็นเขื่อนใหญ่  หลายปีมานี้ทางการให้ความสนใจพัฒนาไปไม่น้อย  ทำให้ปัญหาน้ำล้นตลิ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง และจัดให้มียามเฝ้า...” ขณะเจ้าเมืองซินเฉิงกำลังร่ายสิ่งที่อุตสาห์ไปท่องจำมา  ฉีเซี่ยงหยวนก็พอคาดเดาได้ว่าเหตุใดราชสำนักจู่ๆก็ให้ความสนใจ  ไม่แน่ว่าคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอาจเป็น ‘เขา’ เอง   พระมาตุลา  ท่านนี่ชอบทำให้ข้าประหลาดใจเสียจริง...
---------------------
ปีนี้น้ำในเขื่อนยังอยู่ในระดับปรกติ  คนควบคุมระดับน้ำอดหาวหวอดอย่างง่วงงุนไม่ได้  แต่วันนี้มิอาจหลับไปเป็นอันขาด  เพราะจะมี ‘บุคคลที่สำคัญยิ่ง’ มาเยือน  จึงต้องลากตัวเองมายืนรออยู่ตั้งแต่ตรงทางเข้า  หากเมื่อกวาดสายตาผ่าน สีหน้าง่วงงุนก็เหือดหายไปทันที  รีบคารวะจรดพื้น
“พระมาตุลา  เหตุใดเป็นท่านไปได้” ในเสียงอุทาน  คนถูกเรียกหาเป็นพระมาตุลาก็มาถึงเบื้องหน้าคนกล่าวแล้วยิ้มบางๆให้
“เหตุใดไม่อาจเป็นข้า”
“ท่านมิใช่  เพิ่งมา...”
“ครานั้นข้ามาดูว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องต่อเติมเขื่อนเพิ่ม  ส่วนครั้งนี้ข้ามาเพราะความสงสัย...  งบประมาณก็อนุมัติไปแล้ว  เหตุใดยังไม่เริ่มกันอีก”
คนฟังเฉไฉว่า
“ท่านแน่ใจว่างบประมาณอนุมัติไปแล้ว?  ไม่แน่ว่าถูกดึงไปฟื้นฟูบ้านเรือนหลังสงคราม”

“นี่เป็นเงินส่วนตัวของข้าเอง  จะผิดพลาดได้อย่างไร  เมื่อเช้าข้าถามชาวบ้านมา  แต่พวกเขาก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าทางการยังไม่ได้ลงมือทำอันใด  ถ้าไม่ป้องกันไว้ก่อน  ต่อให้ฟื้นฟูทรัพย์สินที่ชำรุดเสียหายเสร็จแล้ว  ถึงฤดูฝนชาวบ้านก็จะไม่มีกินเหมือนเดิม  ถ้าน้ำท่วมรุนแรงก็ต้องฟื้นฟูกันใหม่อีกรอบ  ท่านเข้าใจว่าถ้าไม่เริ่มสร้างตั้งแต่ตอนนี้จะเสร็จทันฤดูฝนหรือ”

คนฟังถึงกับเถียงไม่ออก  พูดเสียงอ่อยว่า
“ข้าน้อยคิดว่าวันนี้จะเป็นคนอื่นมาซะอีก  เหตุใดท่านจึงรีบร้อนจัดการถึงเพียงนี้”
...เพราะข้าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วน่ะสิ  เหลียนอันสุ่ยตอบให้ในใจ  แต่ปากกลับเปลี่ยนเรื่อง  ถามว่า
“ใครจะมา ? ”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่า  วันนี้ท่านอ๋องน้อยแคว...”
“ข้าเอง” เสียงทุ้มกังวานดังมาจากด้านหลัง  ทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงัก  นิ่งงันไป
---------------------
สายน้ำบิดเกลียวไหลเอื่อยๆ  ผิวน้ำในเขื่อนสงบราบเรียบ  สายตาคนมองก็สงบราบเรียบ  วันนี้เหลียนอันสุ่ยเพียงสวมเสื้อป่านหยาบๆ  แต่กลับไม่อาจบดบังบุคลิกเหนือธรรมดาของเขาได้  เนื้อผ้ายิ่งสามัญธรรมดาเท่าไหร่  ยิ่งขับเน้นความสูงส่งตามธรรมชาติของเขาเท่านั้น
บรรดาผู้ติดตาม  ทั้งหวังเชียน คนติดตามของเหลียนอันสุ่ย  หลิวฉางเฟย คนติดตามของฉีเซี่ยงหยวน  รวมถึงเจ้าเมืองซินเฉิงคนนั้นล้วนอยู่ห่างออกไป  ไม่กล้าเข้ามารบกวน

เจ้าเมืองซินเฉิงหลังทราบว่าคนผู้นี้เป็นถึงพระมาตุลาก็ตาลีตาเหลือก  ทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนที่สูงศักดิ์ถึงเพียงนั้นจึงมาที่นี่  และไม่ทราบว่าขณะที่ตัวเองนั่งๆนอนๆอยู่ในจวนเจ้าเมือง  คนผู้นี้ทำอะไรไปแล้วโดยตัวเองไม่รู้  เห็นได้ชัดว่าขนาดคนดูแลเขื่อนยังรู้จักมักคุ้นกับเหลียนอันสุ่ยเลย  สวรรค์ เหตุใดพระมาตุลาผู้นี้จึงไม่ยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการว่าจะมาชมดู

คนสองคน  หนึ่งสูงศักดิ์อ่อนโยน  หนึ่งเยือกเย็นทรงอำนาจ  ยิ่งมองดู  เจ้าเมืองซินเฉิงก็ยิ่งไม่เข้าใจ  ว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องมาดูเขื่อนธรรมดาๆนี่  เพียงหวังว่าสองคนนั้นจะไม่หันมาเล่นงานคนรับผิดชอบอย่างตน

“เจ้าเมืองผู้นั้น  นับว่าถูกท่านขู่ขวัญจนหน้าซีด  ...เหตุใดท่านไม่เคยให้เขารู้ว่าท่านมาที่นี่” ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามคนข้างกาย
“ข้าเพียงต้องการรับทราบปัญหา  ไม่ได้ต้องการการต้อนรับอย่างเอิกเกริก  ให้เขารู้ทำไมกัน”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนเงียบไป
เหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“ท่านมาที่นี่คงต้องการทราบเรื่องระบบชลประทาน  นี่เป็นเขื่อนแรกสุดที่ใช้เก็บกักน้ำของแคว้นเหลียน  น้ำจะมาถึงที่นี่ก่อน  ดังนั้นหากจะคิดเรื่องการจัดการน้ำก็ต้องเริ่มจากเขื่อนนี้  ถ้าเกิด...”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังอีกฝ่ายอธิบายเงียบๆจนจบจึงเอ่ยปากว่า
“ท่านยังทราบปัญหามากว่าเจ้าเมืองซินเฉิงผู้นั้นเสียอีก”
“จำได้ว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนมีน้ำท่วมครั้งใหญ่  ตอนนั้นเพราะไม่มีเขื่อนกั้น  ชีวิต ทรัพย์สิน ไม่ทราบต้องสูญเสียไปเท่าไหร่  ข้าเพิ่งมาให้ความสนใจกับปัญหานี้อย่างจริงๆจังๆตั้งแต่ตอนนั้นเอง”
“...เหตุใดท่านจึงไม่เป็นเหลียนอ๋อง  หากท่านเป็นเหลียนอ๋อง  แคว้นเหลียนต้องเจริญมั่นคงยิ่งกว่านี้  ไม่แน่ว่ากระทั่งข้าก็ไม่อาจมีชัยเหนือแคว้นเหลียนได้”
“ข้าทำทุกอย่างที่ตัวเองพอจะทำได้แล้ว  ต่อให้เป็นเหลียนอ๋องหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน  ส่วนการที่ท่านมีชัยเหนือแคว้นเหลียน...ความจริง  ท่านไม่ควรจะสงสัยในความสามารถของตัวเองเลย” พูดจบก็หันหลังเดินจากไปเพื่อดูเขื่อนอีกฟาก

ฉีเซี่ยงหยวนมองตามเงาหลังสูงโปร่ง  ยิ่งมาก็ยิ่งรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นสมบัติของแคว้นเหลียน  ทุกสิ่งที่อีกฝ่ายทำล้วนเป็นไปเพื่อชาวเหลียน  ทั้งไม่ต้องการออกหน้า เพราะนั่นไม่จำเป็น  เหลียนอันสุ่ย เพียงต้องการเห็นแคว้นเหลียนมีสภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น  อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนไม่ควรพรากพระมาตุลาผู้นี้ไปจากแผ่นดินแคว้นเหลียนเลย...
-----------------------
เบื้องหน้ามีรถม้าสองคันจอดเตรียมพร้อม  เบื้องหลังมีทหารอารักขา  บุคคลผู้มีฐานะสูงส่งสองคนกำลังจะจากไป  เจ้าเมืองซินเฉิงเดิมคิดตามส่ง  แต่เมื่อได้ยินคำปฏิเสธชัดเจนจากของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง  ก็ได้แต่ยิ้มแย้มรับคำ  หากเมื่อหันหลังไปพบคนดูแลเขื่อน  ตาคู่เดียวกันก็เปลี่ยนเป็นถลึงใส่  จดบัญชีที่อีกฝ่ายเก็บงำเรื่องของพระมาตุลาไว้ไม่ยอมรายงานขึ้นไป 
เหลียนอันสุ่ยเกรงว่าคนที่ถูกถลึงตาใส่จะเดือดร้อนจึงออกปากไกล่เกลี่ย  ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนสั่งให้คนดูแลเขื่อนเก็บงำเรื่องการมาของเขาไว้เป็นความลับ  เจ้าเมืองซินเฉิงจึงต้องยอมเลิกราไป

ความจริงเหลียนอันสุ่ยก็มีรถม้าของตัวเอง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนยืนกรานจะให้กลับด้วยกัน  รถม้าที่ติดตามอยู่ด้านหลังจึงเป็นคันเปล่าๆ  ส่วนเจ้าของรถนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกับอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง  หวังเชียนติดตามอารักขาเจ้านายอยู่ไม่ห่าง  ครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นผู้ติดตามของพระมาตุลาก็กวาดตามองมือที่กุมดาบคู่นั้น  ในใจทราบทันทีว่าคนผู้นี้มิได้ใช้ดาบเป็นแค่งานอดิเรกแน่นอน

ในรถม้ามีเจ้านายสองคน  ด้านนอกมีคนสนิทอีกสองคนตามติด  รายล้อมย่อมเป็นคนคุ้มกันจำนวนมาก  สามารถใช้คำว่าเอิกเกริกได้  แต่ทุกคนฝีเท้าเงียบกริบ  เดินทางเป็นระเบียบอย่างยิ่ง  ขนาดคนเป็นสารถียังบังคับม้าด้วยความจดจ่อ  สายตามั่นคงมีสมาธิ  เพียงฝีมือในการฝึกทหารเช่นนี้  เหลียนอันสุ่ยก็ทราบว่าแคว้นเหลียนไม่มีทางจะเป็นคู่มือแคว้นเป่ยชางได้
ตลอดทางมีป่ารกครึ้ม  ขณะรถม้ากำลังเลี้ยวหลบมุมเหลี่ยมเขา  พลันมีเหตุคาดไม่ถึงอุบัติขึ้น !

คนจำนวนมากไม่ทราบโผล่ขึ้นมาจากที่ใด  แต่ละคนปิดบังหน้าตา  ในมือกุมดาบเปลือยฝัก  เพิ่งปรากฏตัวก็เข้าทำร้ายคน 
ดวงตาของหลิวฉางเฟยเยือกเย็นอย่างยิ่ง  ไม่ได้ตะโกนบอกให้คุ้มกันท่านอ๋องน้อย  เพราะทราบว่าไม่จำเป็น  องครักษ์คุ้มกันพวกนี้ทุกคนล้วนทราบหน้าที่ของตัวเอง  เพียงเห็นเรื่องผิดปรกติ  แต่ละคนล้วนขยับไปอยู่ในที่ๆตัวเองควรอยู่โดยพลัน

เสียงศัตรูในชุดดำตวาดขึ้นว่า
“สุนัขเถื่อนแคว้นเป่ยชางมอบชีวิตมา!”
ในเสียงตะโกน  พระมาตุลาในรถมีสีหน้าเปลี่ยนไป  ส่วนคนที่ถูกเรียกเป็นสุนัขยังมีกะใจหันไปกล่าวกับคนข้างตัวว่า
“ใช้น้ำเสียงเช่นนี้เรียกหาผู้อื่นเป็นสุนัขเถื่อน  ไม่ทราบว่าใครกันแน่ที่ขาดการอบรมสั่งสอน  ข้าว่าเขาเพียงแค่ต้องการแสดงความป่าเถื่อนของตัวเองออกมา”  ในชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนเคยเจอการลอบสังหารมาไม่รู้กี่ครั้ง  สำหรับคนที่อยู่ในสมรภูมิจนเคยชิน  การลอบสังหารในลักษณะนี้เป็นแค่ภาพย่อของสงคราม  น้ำเสียงราบเรียบที่กล่าวยังไม่เบาอีกด้วย  เพียงพอจะได้ยินครบถ้วนทุกตัวคนโดยไม่ผิดพลาด

คนตะโกนแค่นเสียงอย่างโกรธจัด  ในใจกระวนกระวายหาโอกาส  เพราะในพวกที่มาด้วยกัน  ยังไม่มีใครมีปัญญาเจาะแนวป้องกันเข้าไปเฉียดตัวรถม้าได้แม้แต่ก้าวเดียว    หากในวินาทีถัดมาก็ต้องเบิกตากว้าง อึ้งไปอึดใจใหญ่ๆ  เมื่อตัว ‘เป้าหมาย’ กลับเป็นฝ่ายเดินลงมาจากรถเสียเอง! 
ทันทีที่ได้สติรีบตะโกนว่า
“เจ้าคนชั่วชดใช้ชีวิตท่านแม่ทัพมา!” ในเสียงตะโกน  คนลงมือกลับเป็นคนที่อยู่อีกฟาก  ยิงเกาทัณฑ์ที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อออกไป  วิธีหลอกซ้ายจู่โจมขวาเช่นนี้เด็ดขาดได้ผลตลอดมา

เกาทัณฑ์โลหะสามดอกพุ่งตรงเข้าหาฉีเซี่ยงหยวน  แต่สายตาคนเป็นเป้ากลับเฉยชาอย่างยิ่ง  ทันใดนั้น  คมดาบของหลิวฉางเฟยก็ฟันลงมา  ประกายไฟแลบกระจาย  หัวของเกาทัณฑ์ทั้งสามดอกล้วนเบนปักพื้นหมดสิ้น  คนร้ายที่รายรอบมองเกาทัณฑ์ที่สิ้นฤทธิ์อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา  เห็นหลิวฉางเฟยโยนดาบบิ่นในมือทิ้งไป  ดึงดาบเล่มใหม่ออกมาจากฝัก จึงได้รู้สึกตัว  ร่ำร้องว่า ‘ฆ่า!’

การสังหารเริ่มต้นอีกระลอก  แต่เหล่าคนร้ายยังคงถูกกันไว้รอบนอก  อาณาเขตเก้าเชียะรอบรถม้ากลายเป็นเขตแดนต้องห้าม  ศัตรูที่ก้าวล้ำเข้ามาล้วนต้องจบชีวิตลง  หลิวฉางเฟยยืนคุ้มกันอยู่ด้านซ้าย  หวังเชียนคุ้มกันอยู่ด้านขวา  ต่างคนต่างจับจ้องมองสถานการณ์ตาไม่กระพริบ

จู่ๆกลับมีคนร้ายสองคนหลุดรอดสายตากลิ้งออกมาจากใต้รถม้า  แต่ละคนเลือดอาบ  หากยังไม่เสียชีวิต  คาดว่าพวกมันแสร้งทำตัวเป็นศพ  แล้วอาศัยจังหวะไม่ทันระวังลอดใต้รถม้ามา  เนื่องจากรถม้าฝั่งนั้นไม่มีประตู  จึงมีการคุ้มกันที่หละหลวมกว่าอยู่เล็กน้อย
หวังเชียนกับหลิวฉางเฟยขณะจะลงมือ  พลันพบว่ามีคนร้ายอีกสองคนเสี่ยงตายพุ่งเข้ามา  เพราะเหล่าผู้ก่อการต่างทราบ  ถ้าพลาดโอกาสนี้ก็ไม่มีทางฆ่าฉีเซี่ยงหยวนได้  ดังนั้นกระทั่งชีวิตก็ไม่เสียดายแล้ว

หากคนที่ลอดใต้รถม้ามาคนแรกยังไม่ทันลุกขึ้น  เหลียนอันสุ่ยก็ดึงดาบจากฝักขององครักษ์ข้างตัวจ่อเข้าที่คอเขาผู้นั้นก่อนแล้ว  เมื่อเหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมา  ก็พอดีเห็นภาพอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางยื่นมือซ้ายคว้ากุมแขนคนร้ายคนที่สองบิดเบาๆจนอีกฝ่ายต้องปล่อยดาบในมือ  มือขวาคว้าด้ามดาบที่กำลังร่วงหล่นเสียบเข้าไปในท้องคนร้ายจนมิดด้าม  การเคลื่อนไหวของฉีเซี่ยงหยวนต่อเนื่องตามกัน  ไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ซักน้อยนิด  ใบหน้ายังคงเรียบเฉยขณะกระชากดึงดาบกลับคืน  ตอนนั้นการต่อสู้รอบข้างล้วนยุติลงหมดแล้ว

หวังเชียนจับคนที่ถูกเหลียนอันสุ่ยเอาดาบจ่อคอมัดอย่างแน่นหนาไม่ให้คนร้ายมีปัญญาได้ฆ่าตัวตาย  ส่วนคนตะโกนบงการที่คาดว่าเป็นหัวหน้า ถูกหลิวฉางเฟยฆ่าตายไปขณะรีบร้อนจะไปช่วยเจ้านายในยามคับขันนั้น 

มือเกาทัณฑ์ถูกคร่ากุมได้เช่นกัน  ส่วนมือสังหารคนอื่นถูกฆ่าตายหมด  ในขณะที่องครักษ์ของฉีเซี่ยงหยวนตายไปแค่สองคน  บาดเจ็บอีกเจ็ดคน  ที่ค่อนข้างสาหัสมีสามคน  ถูกเหลียนอันสุ่ยใช้ให้คนพยุงขึ้นรถม้าคันที่ว่างเปล่าของตัวเองไปแล้ว
 
“ในรถม้าข้ามีอุปกรณ์ทำแผล” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อหลิวฉางเฟย  สายตาพินิจมองคนยิงเกาทัณฑ์ที่ถูกจับมัดอยู่แทบเท้า  กล่าวว่า
“ถ้าข้าเป็นเจ้า  ข้าจะแสร้งทำตัวเป็นศพ  รอให้จังหวะเหมาะกว่านี้  สามารถเข้าใกล้เป้าหมายกว่านี้แล้วค่อยลงมือ  เจ้าดู  ตอนนี้มิใช่เหมาะสมหรอกหรือ” ตอนนี้ทหารทุกคนต่างมีหน้าที่ของตน  บ้างพยาบาลคนเจ็บ  บ้างเดินตรวจศพว่าตายหมดสิ้นหรือไม่  คนข้างกายฉีเซี่ยงหยวนมีเพียงเล็กน้อย
คนฟังไม่มองตาม  กระชากเสียงว่า
“เรื่องนี้บิดาไม่ต้องให้พวกไม่มีอารยธรรมอย่างเจ้ามาชี้แนะ”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าคำพูดกับน้ำเสียงย่อมบอกลำดับชั้นของคนอยู่” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนผ่อนคลาย  คล้ายเมื่อครู่ไม่ได้เกิดเรื่องใดขึ้นมาเลย  หันไปกล่าวกับคนข้างตัวว่า
“พระมาตุลา  คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาท่านจะรวดเร็วอย่างยิ่ง” พลางคิดถึงท่าทีชักดาบออกจากฝักโดยไม่ลังเลของอีกฝ่าย
เหลียนอันสุ่ยไม่สนใจ  นิ้วเรียวยาวชี้ศพคนที่เป็นหัวหน้าที่ถูกลำเลียงมาเบื้องหน้า  กล่าวถามว่า
“ท่านทราบหรือไม่คนผู้นี้เป็นใคร”
“ข้าจำได้ เขาคือแม่ทัพคู่ใจของอวี้เฉียน” คำพูดนี้เป็นหลิวฉางเฟยเอ่ย
เหลียนอันสุ่ยผงกศีรษะ  ปากพูด
“ใช่แล้ว  ดังนั้นไม่ว่าใครต่างคิดว่านี่ต้องเป็นฝีมือของพวกกระด้างกระเดื่องในแคว้นเหลียน”
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนกลายเป็นอ่านไม่ออกขณะถาม
“นี่มิใช่ฝีมือของแคว้นเหลียน ? ”
“ข้าต้องการจับเป็นคนผู้นี้  เพราะเมื่อครู่เขาหลุดภาษาสำเนียงต่างถิ่นออกมา” เหลียนอันสุ่ยชี้ไปยังคนที่ยังอยู่ในมือหวังเชียน
ดวงตาฉีเซี่ยงหยวนจึงมีแววเข้าใจช้าๆ  กล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“และที่ข้าต้องการจะบอกท่านคือ  คนที่มาลอบสังหารท่านนอกจากคนที่เป็นหัวหน้าแล้ว  ทุกคนล้วนมีสำเนียงต่างถิ่น  ทุกคนล้วนไม่ใช่ชาวเหลียน”
“...ดังนั้นถ้าที่อยู่เบื้องหลังเป็นแคว้นเหลียนจริง  เหตุใดไม่ใช้ชาวเหลียนมาดำเนินการ” ฉีเซี่ยงหยวนต่อให้จนจบประโยค  ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักใหญ่  สุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนก็หันหลังเดินกลับขึ้นรถม้าไป

เหลียนอันสุ่ยมองตามร่างสูงใหญ่ ดวงตายังคงติดภาพขณะฉีเซี่ยงหยวนกำจัดมือสังหารผู้นั้น...  ฝีมืออันรวบรัดได้ผล  ท่วงท่าที่เป็นสามัญธรรมดายิ่ง  คล้ายทำจนคุ้นชิน  จนไม่อาจคุ้นชินไปกว่านี้
 
ผู้คนมักได้ยินคนกล่าวขาน  หยงเซี่ยเป็นเทพสงคราม  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนเป็นจอมทัพผู้ปราดเปรื่อง 
บางครั้งแค่ฝ่ามือคนเราก็บอกอะไรได้มากมาย  คนกุมดาบจะเป็นลักษณะหนึ่ง  คนเชี่ยวชาญธนูก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง  ฝ่ามือของฉีเซี่ยงหยวนด้านอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะตรงอุ้งมือที่ใช้กุมด้ามดาบ  มิหนำซ้ำยังด้านทั้งสองข้าง  แสดงว่าก็ชมชอบใช้ทวนที่ต้องคว้ากุมด้วยสองมือ  อาจบางทีมีอาวุธไม่กี่ชนิดที่ไม่เคยผ่านมือคนผู้นี้มา  เหลียนอันสุ่ยเข้าใจ  ไม่ว่าอาวุธใดๆในยามสงคราม  ขอเพียงสามารถนำมาเอาตัวรอดก็ต้องใช้ให้เป็นไว้
 
คำที่คนกล่าวขาน  อาจบางทียังไม่จริงแท้เท่ากับมือคู่นั้นเลย...
---------------------
เหลียนอันสุ่ยไม่ยินยอมให้คนฉวยโอกาสใช้การลอบสังหารครั้งนี้เป็นเหตุปลุกปั่นให้ชาวเหลียนที่แอบมีใจต่อต้านเป่ยชางลุกฮือขึ้นมา  เบื้องหลังการลอบสังหารต้องการป้ายความผิดให้แคว้นเหลียนอยู่แน่ชัด  ความจริงตั้งแต่เห็นเกาทัณฑ์นั่นคนเป็นพระมาตุลาก็ลอบตัดสินใจ  ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาชีวิตฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้ให้ได้!

เกาทัณฑ์อาบยาพิษ  แต่ไม่ว่าพิษร้ายแรงแค่ไหน  เหลียนอันสุ่ยก็ไม่เชื่อว่าหมอทั้งแคว้นเหลียนจะไม่มีปัญญาจัดการ  นอกจากงานฝีมือแล้ว การแพทย์ของแคว้นเหลียนก็นับเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน

เพราะเขาไม่อาจปล่อยให้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นอะไรไปเป็นอันขาด  นี่ขนาดแผนการล้มเหลว  ชาวเหลียนกับชาวเป่ยชางยังอดระแวงกันเองไม่ได้  สัมพันธภาพที่เพียรสร้างขึ้นมาเริ่มส่อเค้าพังทลาย  หากฉีเซี่ยงหยวนตายไปเรื่องจะกลายเป็นไม่มีทางแก้ไข  เป่ยชางจะไม่ยินยอมรับความสูญเสียนี้  ทหารใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวนก็จะไม่ยินยอมอยู่เฉย  สงครามจะเกิดขึ้นแน่  และเป็นสงครามที่ส่อเค้าหายนะรุนแรงอย่างยิ่ง

ผู้ใดจะได้ประโยชน์ ?

เหลียนอันสุ่ยครุ่นคิด  ฉีเซี่ยงหยวนก็ครุ่นคิด  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนครุ่นคิดเร็วกว่าเล็กน้อย  หลังลับร่างสูงโปร่งของเหลียนอันสุ่ย ก็เอ่ยกับหลิวฉางเฟยว่า
“เจ้าไปเค้นถามเบื้องหลังมือสังหารมา  ไม่แน่ว่าจะเป็นคนของโหยวเฉิง  ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือหนานเหมินอ๋อง...และก็ไม่แน่ว่า...อาจเป็นฝีมือพี่รองข้าเอง” กล่าวพลางยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก  แต่ดวงตาเยียบเย็น  คล้ายกำลังมองเห็นเรื่องราวบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว  หลิวฉางเฟยรับคำ

ฉีเซี่ยงหยวนอดรู้สึกขอบคุณพระมาตุลาคนนั้นไม่ได้  ตอนนี้สิ่งใดก็ไม่สำคัญไปกว่าเบาะแส  และเบาะแสที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่ถูกคร่ากุมได้นั่นเอง  เมื่อมีคนถูกจับเป็นถึงสองคนก็ไม่ต้องกลัวทั้งคู่ไม่กล่าวความจริง  เพราะหากคำบอกเล่าไม่ตรงกันจะสามารถจับโกหกได้อย่างง่ายดาย  เรื่องนี้นับว่าสะดวกดายกว่าเดิมไม่น้อยจริงๆ...
---------------------

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0

บทที่ 12 งานเลี้ยงอำลา

ท้องฟ้าเริ่มถูกฉาบทาด้วยสีน้ำหมึกบอกเวลาเย็นย่ำ
ผู้อื่นหลังถูกลอบสังหารมาย่อมต้องหวาดระแวงจนนอนไม่หลับ  กระสับกระส่าย กระวนกระวายใจ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับกำลังเอนหลังผ่อนคลายอยู่ในอ่างอาบน้ำ  ในมือถือจอกเหล้า  ละเลียดช้าๆ แต่มิได้คิดกรอกให้ตัวเองเมามาย  สมองค่อยๆคิดไล่เรียงเรื่องต่างๆ
ฉีเซี่ยงหยวนทราบดีว่าต้องเยือกเย็นจึงจะเกิดสติปัญญา  และใช้ความเฉียบคมที่สุดจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น  นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคนที่จะอยู่เหนือคนนับหมื่น  และก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคนที่จะเป็นศัตรูกับหนานเหมินอ๋อง
ตัวการใหญ่คราวนี้อาจมิใช่หนานเหมินอ๋อง  แต่เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นต้องมีส่วนแน่  เพราะสิ่งที่หนานเหมินอ๋องเชี่ยวชาญที่สุดคือการแทรกแซงแผนการที่จะให้ประโยชน์กับตัวเองฝ่ายเดียว  ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนเป็นเช่นเดียวกัน!

พอเขาจะกลับเป่ยชาง  ก็รีบลงมือเลยเชียวนะ...
---------------------
แต่ผลการลอบสังหารคราวนั้นกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่หลายๆคนคาด  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงไม่ถือสาแคว้นเหลียน  ยังสั่งให้ทุกคนปิดปากให้สนิทห้ามพูดถึงอีก  และบอกว่ามือสังหารสารภาพว่าเป็นคนต่างแคว้นที่ต้องการป้ายความผิดให้แคว้นเหลียนเพื่อให้เป่ยชางกับแคว้นเหลียนระหองระแหงกัน  ดังนั้นจึงห้ามมิให้ทุกคนเป็นไปตามการยุแยง  ความสัมพันธ์ที่ควรจะแย่ลงจึงแปรเปลี่ยนเป็นดีขึ้น

แคว้นเหลียนยังกลัวฉีเซี่ยงหยวนจะเอาผิด  เพราะอย่างน้อยหัวโจกของมือสังหารก็เป็นชาวเหลียน   เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นในแคว้นเหลียน  ไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้  จึงมีท่าทีอ่อนน้อมเป็นพิเศษ  ส่วนชาวเป่ยชางก็ไม่กล้าพูดมากความ  เพราะท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนชัดเจนอย่างยิ่งว่าจะเอาผิดคนที่พูดถึงเรื่องนี้

พวกที่คิดจะลองก็ไม่กล้าลองอีกแล้ว  เมื่อเห็นฉีเซี่ยงหยวนขนาดมิได้เตรียมการมาก่อนยังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน  ส่วนตัวเหลียนอันสุ่ยเองกลับไม่คิดว่าแปลกอะไรนัก  เพราะหากฉีเซี่ยงหยวนถูกลอบสังหารได้ง่ายดายทั้งๆที่มือสังหารแสดงตนประเจิดประเจ้อถึงเพียงนั้น  ก็คงถูกฆ่าตายไปเป็นสิบครั้งแล้ว
---------------------
ดูเปลือกนอกเหมือนฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ได้ดำเนินการใดทั้งสิ้น  แท้จริงชุดทหารองครักษ์ล้วนถูกสับเปลี่ยนใหม่  จำนวนคนไม่เพิ่ม  แต่ฝีมือผิดกันมากนัก 
จากการรีดความจริง  พบว่ามือสังหารกลุ่มนี้  แต่ละคนต่างถูกจ้างมาจากชนกลุ่มน้อยตามตะเข็บชายแดน  เห็นได้ว่าคนที่ว่าจ้างป้องกันการสาวความผิดมาถึงตัว แต่ละคนต่างไม่รู้จักกัน  แค่ดำเนินตามแผนการที่วางไว้  ส่วนคนออกคำสั่งเป็นบุคคลลึกลับที่พวกเขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ  เค้นต่อไปก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่านี้ 

ความจริงนี่สมควรหมายถึงเบาะแสสิ้นสุดแล้ว  แต่หลิวฉางเฟยทราบ  ยังมีร่องรอยอีกมากให้สืบสาว  เช่น  ค่าจ้างเป็นเงินจากแหล่งใด  อาวุธแต่ละคนจัดหาเองหรือมีคนจัดหามาให้  ถ้าจัดหามาให้  จัดหาจากแหล่งใด  ห้องพักที่พักมีความเกี่ยวข้องหรือไม่  กำหนดการเยือนเขื่อนของฉีเซี่ยงหยวน  แม้มิใช่ความลับสุดยอดอะไร  แต่คนที่ทราบก็ยังอยู่ในวงจำกัด  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของหลิวฉางเฟยที่ต้องไปสืบสาวเอามา

หากตัวของฉีเซี่ยงหยวนเองกลับใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสงบราบรื่นยิ่ง  ไม่สิ  ไม่สงบราบรื่น  การไปเยือนตำหนักพระมาตุลาสิบครั้ง ต้องเผชิญการขัดขวางของอิ๋งฮวาเสียแปดครั้ง  อีกสองครั้งตามด้วยเสียงบ่นงึมงำของจางจื่อหยู  แต่ไม่ว่าจะอย่างไรฉีเซี่ยงหยวนก็ยังไปเยือนตำหนักพระมาตุลาอย่างสม่ำเสมอ

“ท่านกำลังจะกลับแคว้นเป่ยชาง  สมควรมีงานยุ่งจึงจะถูกต้อง  เหตุใดมีเวลาว่างมากมายปานนี้”
ฉีเซี่ยงหยวนเหลือบมองคนถามที่สวมชุดลำลองแต่ก็ยังเปี่ยมสง่าราศี  นั่งจรดพู่กันเขียนตำราแพทย์อยู่บนโต๊ะ  แล้วตอบให้ในใจ  ก็งานบริหารยกให้หลี่กวงเว่ย  การพูดคุยเจรจายัดเยียดให้จางจื่อหยู ส่วนหน้าที่ตระเตรียมกำลังพลก็โยนให้หลิวฉางเฟยไป  เขาย่อมมีเวลาว่างมากมาย

เหลียนอันสุ่ยเห็นคนฟังไม่ตอบคำ  แต่เดินมาชะโงกหน้าดูกระดาษที่บนโต๊ะ  ซ้ำยังคล้ายไม่เจตนา  แต่ใช้วิธีเดินมาถึงเบื้องหลังแล้วยื่นหน้าข้ามไหล่คนอื่นไป  เหลียนอันสุ่ยหรี่ตาลง  นับวันยิ่งรู้สึกว่าอ๋องน้อยผู้นี้มีลูกไม้มากมายยิ่งนัก  สามารถสร้างสถานการณ์เอื้อต่อการเอารัดเอาเปรียบร้อยแปดพันประการ

“ท่านสนใจการแพทย์ถึงเพียงนี้  เหตุใดจึงไม่ไปเป็นหมอ” ฉีเซี่ยงหยวนถามขึ้น
“...ใครจะกล้าให้ข้ารักษา  ข้าเป็นพระมาตุลานะ” กล่าวย้ำเตือนความจำ
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไปเล็กน้อย  จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจขณะกล่าวว่า
“อืมม์  แต่ท่านก็ทำเพื่อวงการแพทย์ไว้ไม่น้อยนี่” เท่าที่ฉีเซี่ยงหยวนทราบ  เหลียนอันสุ่ยอยู่เบื้องหลังการให้ทุนเปิดโรงหมอหลายแห่ง  และสนับสนุนการจัดเก็บตำราแพทย์ให้เป็นระบบ
คนฟังยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า
“สิ่งที่ข้าทำเทียบไม่ได้กับที่ท่านอ๋องน้อยทำเพื่อแคว้นเป่ยชางไปหรอก” ข้าทุ่มเทเงินทอง  แต่ท่านทุ่มเทชีวิต
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะแล้ว
“ข้าน่ะหรือทำเพื่อเป่ยชาง  เพื่ออำนาจ  เพื่อตัวเองมากว่า”
“เป่ยชางเป็นแคว้นใหญ่  อำนาจในแคว้นกระจัดกระจาย  หากไม่รวบไว้ด้วยกัน  ย่อมยากจะพัฒนาทุกส่วนไปพร้อมกัน  อย่าว่าแต่หากพวกท่านทำตัวอ่อนแอย่อมถูกแคว้นอื่นฉวยโอกาสรุกราน”
“มีคนคิดแบบท่าน  แต่เขาคือหลี่กวงเว่ยไม่ใช่ข้า  สำหรับข้าก็แค่ไม่เชื่อว่าแคว้นเป่ยชางเกิดมาเพื่อคานอำนาจกับอีกสองแคว้นที่เหลือ  อำนาจที่กระจัดกระจายในเป่ยชางเป็นเพียงอุปสรรคหนึ่งที่ข้าต้องจัดการเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้” กล่าวอย่างไม่ใส่ใจพลางคิดว่าจะเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายอย่างไรดี  สายตาคมวาวกวาดไปตามลำคอ  เลื่อนขึ้นไปที่ใบหูได้รูป...
เหลียนอันสุ่ยหัวเราะเบาๆ  กล่าวว่า
“ข้าสามารถบอกได้ว่าท่านก็คำนึงถึงบ้านเมืองและราษฎร  เพียงแต่ท่านไม่ใช่พวกชอบอวดอ้างถึงเท่านั้น”
“ท่านนี่มองข้าในแง่ดีจริงนะ”
ขณะเหลียนอันสุ่ยจะตอบคำ  ก็พบว่าริมฝีปากอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาประชิด  เสียดสีไปตามความโค้งของใบหู  ฝ่ามือใหญ่วางหมับลงบนหัวไหล่ทั้งสองข้าง...
“นายท่าน  รับน้ำชาหรือไม่เจ้าคะ”
ทุกอย่างชะงักกึก  ฉีเซี่ยงหยวนเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ  นาง...กะจะไม่ให้เขาได้กำไรบ้างเลยหรือไง
หลังอาทิตย์ตกดิน  เหลียนอันสุ่ยเป็นของเขาจริง  แต่ก่อนหน้านั้นมักมีเหตุ ‘บังเอิญ’ มาขัดจังหวะอยู่ร่ำไป  จะถือสานางมากก็ไม่ได้  เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้เหลียนอันสุ่ยมองเขาเป็นคนใจคอคับแคบ  และนางก็ดูเหมือนจะขยันใช้ข้อได้เปรียบนี้จนคุ้มเสียเหลือเกิน
เหลียนอันสุ่ยสลัดหลุดจากอีกฝ่าย  เดินเข้าไปรับกาน้ำชามาจากมืออิ๋งฮวาด้วยตัวเอง
“นี่เป็นชาอย่างดีจากหุบเขาทางตอนเหนือของแคว้นเหลียน  ท่านลองเปรียบเทียบกับของเป่ยชางดู”  กล่าวพลางรินออกมาสองถ้วย  ยื่นให้อ๋องน้อยแคว้นเป่ยชาง
ฉีเซี่ยงหยวนรับน้ำชามาด้วยความหงุดหงิด  ในใจเริ่มวางแผนตอบโต้  ใคร่ครวญว่าควรเลิกทำตัวเป็นคนใจกว้างซะดีไหม
---------------------
ที่หน้าประตูตำหนักพระมาตุลา
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เดินออกมาส่งด้วย  จึงมีแต่อิ๋งฮวาที่รับหน้าที่
 “ท่านอ๋องน้อยจะกลับแล้วหรือเจ้าคะ” คนต่ำศักดิ์กว่ากล่าวถามอย่างนอบน้อม  แต่ฉีเซี่ยงหยวนทราบ  ในใจนางหวังว่าเขายิ่งรีบไปยิ่งดี
สตรีอื่นแม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง  แต่ก็มักจะแอบมองเขาตาปรอย  หากสำหรับหัวหน้าหญิงรับใช้ของพระมาตุลาผู้นี้  ทั้งไม่หวาดกลัว  ทั้งไม่แอบมอง  นางแม้หลุบตาต่ำ  แต่คล้ายไม่ต้องการเห็นขี้หน้าเขามากกว่าอย่างอื่น
ฉีเซี่ยงหยวนเชิดใบหน้าขึ้นช้าๆ  แต่หรี่ตาลงต่ำ  กล่าวเสียงราบเรียบว่า
“เจ้าอย่าลืมว่ามีแต่ข้าที่ช่วยจือหลันได้” คำพูดแผ่วเบา  แต่ชัดเจนทุกคำ
อิ๋งฮวาเม้มปากแน่น  มองตามเงาหลังคนที่ศักดิ์สูงกว่าไปอย่างเกลียดชัง
---------------------
เพื่อเป็นการเตือน วันนี้อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางจึงจงใจไปตรวจดูบรรดาสตรีเป็นเครื่องบรรณาการโดยเฉพาะ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้  อิ๋งฮวาต้องแอบด่าว่าเขาใช้แผนสกปรกข่มขู่คน  แต่นางอย่าให้เขาลงมือเลยจะดีกว่า  เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำให้อิ๋งฮวามาคุกเข่าอ้อนวอนอยู่แทบเท้าไม่ได้  การข่มขู่นับเป็นวิธีที่เบาที่สุดแล้ว   คิดขณะกวาดสายตาผ่านใบหน้าของโฉมสะคราญที่คุกเข่าหลุบตาต่ำอยู่เบื้องหน้าทั้งร้อยนาง 

ผู้คนมักบอกว่า  สิ่งที่เลิศล้ำที่สุดของแคว้นเหลียนมีสามอย่าง  การช่าง การแพทย์และหญิงงาม  ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าได้รับทราบแล้ว  สตรีเหล่านี้ไม่ว่าคนไหนล้วนสามารถจัดเป็นหญิงงามที่หาได้ยาก  แคว้นเหลียนกลับมีสตรีเช่นนี้ถึงร้อยนาง  คนมองมิอาจไม่ยอมรับ  สตรีแคว้นเหลียนงามเลิศล้ำสมคำร่ำลือ  นี่สมควรเป็นเครื่องบรรณาการที่ล้ำค่าที่สุดที่ฉีเซี่ยงหยวนเคยได้มา

มีดวงตาบางคู่เหลือบมองมาอย่างใจกล้า  ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าพวกนางกำลังสร้างโอกาสให้กับตัวเอง  เพราะหากได้รับการเหลือบแลจากเขานับเป็นเครื่องรับประกันสถานะในวันหน้า  ผู้ใดไม่อยากปีนป่ายขึ้นที่สูง ?

แต่ตัวผู้ถูกเหลือบมองเองกลับรู้สึกขาดความกระตือรือร้นอยู่บ้าง  เขาเคยชอบสาวงาม...พูดให้ถูกคือตอนนี้ก็ยังชอบอยู่  แต่พวกนางกลับขาดเสน่ห์ดึงดูดใจไปเลยเมื่อเทียบกับเหลียนอันสุ่ย  อาจเป็นไปได้ว่า เพราะเหลียนอันสุ่ยได้มายากกว่า  ฉีเซี่ยงหยวนสังหรณ์ว่าพระมาตุลาผู้นี้อาจเป็นกรณีที่ยากที่สุดเลยทีเดียว
---------------
โต๊ะไม้ประดู่ดำขัดเป็นมันเงา  มุมโต๊ะทั้งสี่แกะเป็นลายโปร่งรูปหงส์เหิน ฝังมุกจนเลื่อมพราย  จอกบนโต๊ะแกะจากหยกล้ำค่าทั้งก้อน  เขียวใส งามประณีต  ตะเกียบเป็นตะเกียบเงินอย่างดี  วางพาดบนที่วางตะเกียบซึ่งทำจากหยกขาวเคลือบขอบด้วยทองคำ  แคว้นเหลียนเป็นแคว้นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีรสนิยมอันสูงส่ง  ความเลอเลิศของอารยธรรมสะท้อนออกมาจากข้าวของทุกชิ้นในห้องโถงอันกว้างใหญ่กลางตำหนักฟ่งเฟิน  ที่ว่าราชการของผู้ปกครองแคว้นเหลียนทุกยุคทุกสมัย

วันนี้เป็นงานเลี้ยงส่งที่เหลียนอ๋องจัดขึ้นให้อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางโดยเฉพาะ  บรรยากาศจึงเลิศหรูกว่ายามปรกติอีกสิบเท่า  โคมทั้งงานถูกเปลี่ยนใหม่เป็นตัวโคมที่ทำจากทองคำ  ดิ้นที่ปักลงบนผ้าล้วนเป็นด้ายทองปักเป็นรูปหงส์สยายปีก  ฝีมือประณีตบรรจง  ดุจจะผายเรียวปีกโบยบินจากไปได้ทุกเมื่อ

เหลียนอ๋องนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เลิศหรูที่สุด  ข้างๆเขาเป็นฉีเซี่ยงหยวนที่นั่งเสมอกัน  แสดงการให้เกียรติอย่างสูง  พระมาตุลานั่งทางฝั่งซ้ายมือของเหลียนอ๋อง  ในมือถือตะเกียบดื่มกินเงียบๆ  ฉีเซี่ยงหยวนแม้รับการคารวะสุราจากเหลียนอ๋องอย่างยิ้มแย้ม  แต่สายตากลับเหลือบไปมองด้านซ้ายของเหลียนอ๋องอยู่บ่อยครั้ง

เหลียนอันสุ่ยสวมชุดผ้าไหมสีเขียว  บนศีรษะสวมรัดเกล้าทองคำ  ปล่อยผมครึ่งศีรษะให้ตกระเสื้อตัวในสีขาว  แขนเสื้อยาวหลวมกว้าง  ทำให้ต้องใช้มืออีกข้างยึดไว้ขณะยกตะเกียบเงิน  แต่ท่วงท่ากลับน่าดูและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
นี่เป็นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ  เหลียนอันสุ่ยจึงสวมชุดที่ตัดเย็บอย่างเลิศหรู  เมื่อประกอบกับตัวตนของเขา  ดูไปประดุจเสียงพิณยี่สิบห้าสายที่บรรเลงในวังของเทพเซียน  ฉีเซี่ยงหยวนแทบจะวาดภาพออกว่าน้องสาวของเขาที่เป็นพระชายาในเหลียนอ๋ององค์ก่อน ต้องเป็นสตรีที่มีความงามเลิศล้ำชนิดยากหาผู้เปรียบติด

 เหลียนอ๋องปีนี้อายุสิบสองปี  แม้ยังเยาว์อยู่  แต่ก็รู้ความมากแล้ว  ดูประหม่าเกร็งอยู่บ้างเมื่อต้องมานั่งข้างท่านอ๋องน้อยแห่งเป่ยชางที่บุคลิกน่าเกรงขามกว่าเขาหลายเท่า  ดีที่มองไปทางซ้ายยังมีท่านลุง  ความมั่นใจจึงยังไม่คลอนแคลน  วางท่าผ่าเผย กล่าวขึ้นว่า
“ข้ายินดีอย่างยิ่งที่ท่านอ๋องน้อยให้เกียรติมา  และให้โอกาสข้าได้เลี้ยงส่งท่าน  ไม่ทราบว่าการตระเตรียมการเดินทางของท่านเป็นไปโดยเรียบร้อยหรือไม่”
“ต้าอ๋องให้ความสนใจ  ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่ง  คาดว่าสัปดาห์หน้าคงเรียบร้อยพร้อมเดินทางพอดี” ฉีเซี่ยงหยวนตอบ
“เช่นนั้นข้าขอดื่มอวยพรล่วงหน้า ให้ท่านเดินทางกลับถึงเป่ยชางโดยสวัสดิภาพ  แคว้นเหลียนจะยินดีต้อนรับการมาเยือนของท่านเสมอ” พูดจบก็ยกสุราในจอกขึ้นดื่ม  ฉีเซี่ยงหยวนรอให้เหลียนอ๋องดื่มจนหมดแล้วจึงกล่าวว่า
“ข้าคิดว่าเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองแคว้น  ข้าใคร่ขอเชิญพระมาตุลาไปพำนักที่เป่ยชางซักระยะ” คำพูดนี้เรียกเสียงฮือฮา  ทุกคนต่างทราบ  นี่ไม่ต่างกับไปในฐานะตัวประกันทางการเมือง 
เหลียนอ๋องขมวดคิ้ว  ขณะจะกล่าวแย้ง  กลับได้ยินเสียงแผ่วทุ้มของคนที่เงียบมาตลอดดังขึ้นว่า
“กราบทูลต้าอ๋อง  ข้ายินดีไปพำนักที่แคว้นเป่ยชาง”
เหลียนอ๋องหันไปมองหน้าญาติสนิทของตัวเอง ก็พบสายตาจริงจังมั่นคง  เสียงฮือฮาเงียบไป  ทุกคนต่างรอฟังคำตัดสินใจของเหลียนอ๋อง
“...ตกลง  ถ้าท่านน้าเต็มใจไป  ข้าจะขอตามส่งพวกท่านถึงนอกเมือง”...
---------------------
ข่าวการจะจากไปพร้อมกับพระมาตุลาของอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง แพร่สะพัดไปทั่วแคว้นเหลียน  ทุกคนล้วนแปลกใจว่าเหตุใดจึงเป็นเหลียนอันสุ่ย  มีคนเศร้าโศกเสียใจ มีคนโล่งอก  และก็มีคนยินดีปรีดา  ส่วนตัวคนที่ถูกโจษขานตอนนี้กำลังเข้าเฝ้าต้าอ๋องแคว้นเหลียนเป็นการส่วนตัว
“ท่านลุง  ความจริงท่านไม่สมควรไปเลย  ข้าได้ยินมาว่ามีคนคัดค้าน...”
เหลียนอันสุ่ยยิ้งบางๆ คล้ายกับรู้ทัน  กล่าวว่า
“พวกเขาไม่คัดค้านหรอก”
ทุกคนต่างกลัวว่าคนที่ฉีเซี่ยงหยวนจะพาไปจะเปลี่ยนมาเป็นเหลียนอ๋องแทน  เพราะพวกแคว้นใหญ่มักมีธรรมเนียมเรียกร้องตัวประกันทางการเมืองเพื่อสัมพันธไมตรี  เหลียนอ๋องอายุยังน้อยสามารถใช้เป็นข้ออ้างพาตัวไปจนกว่าอายุเหมาะสมแล้วค่อยให้กลับแคว้น  จากนั้นทางแคว้นใหญ่ก็จะส่งคนของพวกเขามาควบคุมดูแลบัลลังก์ที่ว่างลง  นี่ไม่ต่างกับการปลดทางอ้อม  หรืออาจถึงขั้นปลดคนเดิมแต่งตั้งคนใหม่ก็มี

โชคดีที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดปลดเหลียนอ๋องทั้งทางตรงและทางอ้อม   ขุนนาง ราษฎรชาวเหลียนล้วนสำนึกขอบคุณเขา  ขุนนางบางคนยังยินดีที่ได้กำจัดเหลียนอันสุ่ยออกไป  เพราะมีพระมาตุลาอยู่การควบคุมชักใยเหลียนอ๋องอายุเยาว์กลายเป็นเรื่องยากลำบาก
“แต่ข้าคัดค้าน  ท่านลุง คนไปควรเป็นข้า  แคว้นเหลียนต้องการท่าน”
“แคว้นเหลียนต้องการเจ้ามากกว่า” รอยยิ้มของเหลียนอันสุ่ยอ่อนโยน
“แต่ว่า...”
“แคว้นเหลียนไม่มีพระมาตุลาได้  แต่ไม่อาจขาดเหลียนอ๋อง ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องเป็นต้าอ๋องที่ดีได้แน่”
“ข้ายังเด็กอยู่มาก...” พูดถึงตรงนี้ก็พูดต่อไม่ได้อีก  เพราะแววตาของเหลียนอันสุ่ยมั่นคงเหลือเกิน  ในนั้นมีความเชื่อมั่นในระดับที่เหลียนอ๋องแทบจะเบือนหน้าหนี  น้ำหนักภาระกดลงบนบ่า...ท่านลุงเชื่อมั่นในตัวเขามากกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำไป 
“ข้า...  กอดท่านได้ไหม...” ทุกครั้งที่เห็นเหลียนจิ้งเต๋อกอดบิดา  เหลียนอ๋องได้แต่ก้มมองตัวเองอย่างโดดเดี่ยว  พระบิดาพระมารดาล้วนจากไปตั้งแต่เขาอายุยังน้อย  อย่าว่าแต่ขนาดตอนพวกท่านยังอยู่ก็ให้ความรู้สึกห่างเหินเหลือเกิน

เหลียนอันสุ่ยไม่ว่าอะไร  ก้มตัวลงกอดเด็กชายวัยสิบสองขวบที่อยู่เหนือคนทั้งแว่นแคว้น  เหลียนอ๋องหลับตาลง  ท่านลุงทำให้เขาคิดถึงพระมารดา...ไม่สิ  ต่างกัน  ถึงแม้พระมารดากับท่านลุงจะมีเค้าหน้าคล้ายคลึงกันหลายส่วน  บรรยากาศรอบตัวคนทั่งคู่กลับไม่เหมือนกัน  บุคลิกของพระมารดาแม้จะอ่อนโยน  แต่ความอ่อนโยนกลับไม่เคยปรากฏอยู่ในแววตาคู่งาม คิดถึงตรงนี้ก็กอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น  เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียญาติสนิทคนสุดท้ายไปในไม่ช้า  ความรู้สึกโดดเดี่ยวเคว้งคว้างทำให้เหลียนอ๋องยึดกุมอ้อมกอดอบอุ่นเอาไว้ไม่ยอมคลาย

เหลียนอันสุ่ยมองคนในอ้อมแขนอย่างเวทนา  เหลียนอ๋องอายุมากกว่าเหลียนจิ้งเต๋อสองปี แต่กลับต้องแบกรับภาระที่หนักหนาสาหัสกว่ามากนัก  เด็กคนนี้ตั้งแต่เด็กก็ต้องแบกรับความคาดหวังจากผู้อื่น  ศักดิ์ฐานะทำให้บิดามารดาค่อนข้างห่างเหิน  จึงกลายเป็นเด็กพูดน้อย 

จำได้ว่าแต่ก่อนเด็กคนนี้เห็นเด็กคนอื่นเล่นกัน  แววตาแม้อยากเล่นด้วย  แต่เท้ากลับบังคับให้ตัวเองเดินห่างออกมา  เพราะเขาไม่อาจเป็นเช่นเด็กคนอื่น  ยิ่งอยากใกล้ชิด  แต่กลับยิ่งพยายามวางท่าทีห่างเหิน  กับคนประเภทนี้เหลียนอันสุ่ยทราบ  การพยายามชดเชยให้ไม่ต่างกับการดูถูกอย่างร้ายกาจ แม้อายุเพียงสิบสองปีแต่ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้โต  มีแต่คนเข้ามาเพราะต้องการหาประโยชน์  บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เหลียนอ๋องพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆออกมา...
---------------------
ฤดูกาลสับเปลี่ยน  กลางวันหมุนสู่กลางคืน  ทุกประการล้วนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา  แต่บางครั้งความธรรมดาของมันกลับทำร้ายผู้คนมากหลาย  มีบ้างหวังให้เวลาเดินช้าอีกหน่อย  มีบ้างหวังให้เวลายิ่งเดินไวยิ่งดี  แต่ไม่ว่าอย่างไรกระแสแห่งเวลาก็ยังคงไหลไปตามปรกติของมัน

พระมาตุลาแคว้นเหลียนหลังจากกลับมาจากเข้าเฝ้าเหลียนอ๋องก็ยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนชุด  นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานนิ่งนาน  คล้ายกำลังขบคิดอันใด  สั่งให้บ่าวรับใช้จากไปไม่ต้องเฝ้า

หวังเชียนล่าถอยออกมาด้านนอก  พบอิ๋งฮวายืนเฝ้าอยู่ข้างบานประตู  จึงกระซิบบอกคำสั่งของนายท่าน แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินจากไป
หากเดินมาถึงครึ่งทางอิ๋งฮวาก็ขมวดคิ้ว ทิศทางที่นางกำลังเดินไปคือห้องครัว  เหตุใดหวังเชียนจึงยังติดตามมา ?
“พี่หวัง ?”
คนถูกเรียกถามเสียงราบเรียบแต่จริงจังว่า
“เจ้าต้องบอกข้า  มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่  ทำไมนายท่านจึงต้องไปเป็นตัวประกัน  ท่านอ๋องน้อยกับนายท่านสนิทกันมิใช่หรือ”
เขาติดตามนายท่านไปมาหาสู่กับท่านอ๋องน้อยอยู่บ่อยๆ  ทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้  ตัวประกันทางการเมืองต่อให้ได้รับเกียรติก็ยังเป็นความอัปยศ หากแคว้นใหญ่ต้องการยัดเยียดการดูถูกเหยียดหยาม  บางคราวถึงกับมีฐานะไม่ต่างกับข้าทาสทั้งๆที่ความจริงมีฐานะสูงส่ง
“คือ...เรื่องนี้ข้า  เอ่อ  ข้าก็ไม่ทราบ”
หวังเชียนจ้องสตรีตรงหน้านิ่งอย่างจับผิด 
“...เจ้ากำลังโกหก” หวังเชียนรู้สึกได้
“ข้าไม่ทราบจริงๆ” อิ๋งฮวาหวังว่าอีกฝ่ายจะหยุดถามต่อ นางมิใช่ไม่ทราบ  แต่เป็นบอกไม่ได้ต่างหาก  จึงจำเป็นต้องยืนกรานเช่นนี้  เท้าตระเตรียมก้าวหนีไป
“เจ้ากำลังปิดบังอะไรไว้กันแน่”
“ข้าไม่ได้กำลังปิดบังอะไรทั้งนั้น” อิ๋งฮวากล่าวพลางเดินหนีออกมา  หวังเชียนหรี่ตามองตามเงาหลังของนางไปอย่างไม่เชื่อถือ...
---------------------
คนภายนอกร้อนรนสงสัย  คนภายในห้องกลับนั่งเงียบอย่างครุ่นคิด  เหลียนอันสุ่ยกำลังเรียบเรียงสิ่งที่เขาทำไปแล้ว  และสิ่งที่จำเป็นต้องทำทั้งหมดก่อนจากแคว้นเหลียนไป 

อย่างแรกสุดคือทรัพย์สินส่วนตัวของเขา  ส่วนใหญ่เขาจะทิ้งไว้ที่นี่  เพราะบางชิ้นเอาไปไม่ได้  หลายชินก็ไม่จำเป็นต้องเอาไป  นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลียนอันสุ่ยจะทำเพื่อแคว้นเหลียน  เขาไม่ได้ยกเงินทั้งหมดเติมใส่ท้องพระคลัง  แต่ใช้วิธีกระจายไปตามที่ต่างๆ  เพราะเป็นวิธีที่ได้ผลและมั่นใจได้มากกว่าว่าจะถึงมือราษฎร

ที่ดินของเขามีมาก  การทิ้งไว้เปล่าๆรังแต่ลดมูลค่าของมันไปอย่างน่าเสียดาย  สู้สร้างบางสิ่งที่เป็นประโยชน์กว่าไม่ได้  การสร้างเขื่อน  สร้างโรงหมอ  สร้างสถานศึกษาล้วนต้องใช้เงิน  เงินที่เหลือสามารถเก็บไว้เป็นทุน  แบ่งกันไปเก็บรักษาและใช้ให้เกิดประโยชน์  ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการฟื้นฟูแคว้นหลังสงครามเขาก็จัดการไปแล้ว  ที่เหลือก็แค่รอเวลา...

“ท่านพ่อ” คนส่งเสียงเรียกผลุนผลันเข้ามา  เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นเห็นแววตาแตกตื่นของเหลียนจิ้งเต๋อ
“มีอะไรหรือ ?”
เหลียนจิ้งเต๋อวิ่งมาหยุดหน้าโต๊ะบิดา  กล่าวถาม
“เราต้องไปแคว้นเป่ยชางจริงๆหรือ”
คนเป็นพ่อนิ่งไป แต่ก็พยักหน้ารับ  พลางถามว่า
“เจ้าไม่อยากไป ?”
“ท่านพ่อเพราะข้าไปรับปากเป็นลูกบุญธรรมของเขาใช่มั๊ย ข้ากับท่านถึงต้องไป...” น้ำเสียงร้อนรนทำอะไรไม่ถูก 
“แคว้นเป่ยชางไม่ได้น่ากลัวเหมือนถ้ำผีซักหน่อย  ทำไมเจ้าต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้”
“ท่านพ่อ  ท่านรักแคว้นเหลียนมาก  แล้วท่านก็รักท่านแม่มาก ท่านคงไม่อยากไปจากที่นี่  แล้วทำไมท่านถึงไปรับปาก...” คราวนี้ชักจะเป็นกล่าวหา  หากน้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยยังคงใจเย็น  ขณะตอบว่า
“ถ้าพ่อไม่รับปาก  คนที่ต้องไปจะเปลี่ยนเป็นเหลียนอ๋อง  เจ้าว่าพ่อไม่สมควรรับปากหรือ”
“...เหลียนอ๋อง?  หมายถึงเขาต้องไปคนเดียว”
“อืมม์”
คนเป็นลูกนิ่งไปทันทีที่ได้ยินคำตอบ  ก้มหน้าลงครุ่นคิด  สุดท้ายเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“เขาต้องรู้สึกแย่มากๆที่ต้องไปคนเดียว...ถ้าอย่างนั้นข้าไปแทนดีกว่า  อย่างน้อยข้าก็ยังมีท่านพ่อ”
คนเป็นพ่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ...

========
กำลังจะไปแคว้นเป่ยชางแล้วนะคะ  :bye2:
เนื้อเรื่องมันจะค่อนข้างมีการเมืองนิดนึง  อาจจะเข้าใจยากหน่อย   :really2:
แต่ตัดออกไม่ได้จริงๆเพราะตัวเอกสองตัวนี้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องเกี่ยวพันกับการเมืองอย่างลึกซึ้ง 
และมีแต่เขียนจากทางด้านนี้จึงสามารถมองเห็นตัวตนพวกเขาชัดเจนที่สุด 

สิ่งที่ยากกว่าการเมืองคิดว่าเป็นเรื่องชื่อ(ฮา) 
เข้าใจว่ามันจำลำบากเพราะเป็นชื่อจีน 
ไว้เดี๋ยววันหลังจะเอาลิสต์รายชื่อตัวละครมาแปะให้น้าาา

ปล.รักคนอ่านทุกคนนะขอบอก  มีอะไรติชมบอกได้ฮ้าบบบบบ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 12
« ตอบ #39 เมื่อ: 27-07-2014 18:44:29 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
«ตอบ #40 เมื่อ29-07-2014 20:25:54 »


บทที่ 13 ประลองฝีเท้าม้า

ข่าวคราวพัดพามากับสายลม  หายลับเข้าไปในตำหนักแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไป  ด้านหน้าตำหนักปลูกดอกเบญจมาศบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ  แต่ส่วนลึกภายในกลับเงียบเหงาอยู่บ้าง  นางกำนัลที่เคยเดินกันขวักไขว่ลดจำนวนลงกว่าครึ่ง  แม้แต่โคมใหญ่บนหัวเสาก็ไม่ได้เปลี่ยนใหม่นานแล้ว

บานหน้าต่างที่เห็นแปลงเบญจมาศได้ชัดที่สุดถูกเปิดออก  คนในห้องเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังมีเค้าความงามในวัยสาว  แต่กลับถูกบางสิ่งบางอย่างเคี่ยวกรำจนมองดูแล้วน่าหวาดหวั่น  คล้ายกับรอยเหี่ยวย่นแต่ละรอยสลักลึกจารจำความแค้นเอาไว้
“เจ้าว่า ‘เขา’ จะไปเป็นตัวประกัน” เสียงแหลมสูงของนางดังขึ้น
“เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ขานตอบ
“ท่านเพิ่งทราบหรอกหรือ  ข้างนอกเขาลือกันให้แซด” นี่เป็นเสียงของเฉินเสีย  มืออวบอูมยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม  พูดต่อว่า “ข้าก็เลยมาฉลองอยู่นี่ไง  ท่านก็สมควรมาดื่มกับข้าซักจอก”
คนฟังทำเสียงเหมือน ‘เหอะ’ ในลำคอ  กล่าวว่า
“คนควรดื่มเป็นข้า  แต่ท่านยังนับว่าดีใจเร็วเกินไป”
“ว่าไงนะ”
“ท่านเข้าใจว่าตัวเองรอดพ้นชะตากรรม? ...ต่อให้เขาไม่อยู่ถ้าเรื่องแดงขึ้นมาท่านก็ยังคงเป็นคนแรกที่เดือดร้อนอยู่ดี”
เฉินเสียอึ้งไป  พอรู้สึกตัวก็ลุกขึ้นชี้นิ้วด่า
“...ท่านมันนางปีศาจ!  ท่านทราบแต่แรก  แต่ก็ยังยุยงให้ข้าทำ!”
นางกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“นี่ข้ากำลังเตือนท่านด้วยความหวังดี”
“หึ  ต่อให้ข้าต้องชดใช้จริง  ยานั่นท่านเป็นคนจัดหามา  หรือท่านไม่ต้องชดใช้ด้วย ?”
“ท่านอย่าพยายามลากคนลงน้ำ  ผู้ใดจัดหายาให้ท่าน ?”
เฉินเสียได้ยินก็หน้าเขียวคล้ำ  เรื่องนี้มีเพียงเขากับนางที่รู้  หากนางไม่ยอมรับ  ผู้ใดก็ไม่มีปัญญาไปให้นางชดใช้
“วันนี้ข้านับว่าได้ทราบใจคอนางมารท่านแล้ว  แต่คนที่ต้องชดใช้ให้เหลียนอันสุ่ยมากกว่าข้ายังคงเป็นท่าน  เพราะที่ท่านทำกับเขายังมากกว่าข้าเป็นร้อยเท่า !”

“หากท่านยังต้องการความช่วยเหลือ ก็เก็บปากหยาบคายของท่านเอาไว้ดีๆ” น้ำเสียงของนางยังคงราบเรียบไม่แยแสอยู่เช่นเดิม
“ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนางปีศาจเช่นท่าน!” กล่าวแล้วสะบัดหน้าจากไป

สตรีเจ้าของตำหนักหรี่ตามองตาม  แน่ใจว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอีกฝ่ายก็ต้องซมซานมาขอร้องนาง  เฉินเสียเป็นบุคคลเอนลู่ตามลม  ซ้ำยังขี้ขลาดจนน่ารังเกียจ  หากก็เพราะขี้ขลาดอย่างยิ่ง  เหลียนอันสุ่ยจึงไม่ได้ระแวงป้องกันเฉินเสียเท่าที่ควร  มุมปากบางแค่นยิ้มอย่างเย็นชา  เอาล่ะ อย่างน้อยเฉินเสียที่น่ารังเกียจนั่นก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง 

แต่ตอนนี้เฉินเสียไม่ใช่ตัวหมากที่มีประโยชน์อีกต่อไป  แต่กลายมาเป็นภาระ  ไปซะพ้นๆก็ดี  จะได้สบายหูสบายตาขึ้นบ้าง  อย่าว่าแต่นางมั่นใจ หากเฉินเสียยังมีประโยชน์นางก็มีวิธีทำให้เขากลายเป็นหมากของนางอีกครั้ง
“นายหญิง  บ่าวเกรงว่าถ้าท่านอยากจัดการกับ ‘เขา’ ด้วยตัวเอง  ท่านต้องรีบลงมือในเร็วๆนี้ก่อนเขาจะไปเป่ยชาง”
“เจ้าก็รู้ว่าข้ามิใช่ไม่ลงมือ...” น้ำเสียงเย็นชามีแววขุ่นเคืองที่ไม่มีปัญญาระบายออก
 
นิสัยของเหลียนอันสุ่ยนางทราบดีกว่าใคร  คิดลงมือกับเขา  ไม่สู้ลงมือกับเหลียนจิ้งเต๋อ  แต่ไม่ว่าพยายามแค่ไหน  นางยังคงแตะต้องเด็กคนนั้นไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ 

เหลียนอันสุ่ยแม้ยินยอมอภัยให้ทุกเรื่องราว  แต่กลับไม่ยินยอมให้ใครมีโอกาสทำร้ายเหลียนจิ้งเต๋อเป็นอันขาด  กำแพงรอบตัวเด็กคนนั้น  น่ากลัวยังมากมายกว่าของเหลียนอันสุ่ยอีก

หญิงรับใช้มองหน้านายหญิงของตัวเองแล้วก็ก้มหน้าลง  ความจริงนางเป็นสาวใช้ที่เข้มแข็ง  แต่ครั้งนี้ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง  นางไม่เหมือนนายหญิงที่ถูกความแค้นครอบงำจนไม่เห็นอะไรอย่างอื่น 

เวลาถึงสิบสองปี  ...สิบสองปีเต็มๆ  พวกนางกระทั่งทราบยังไม่ทราบขอบเขตของอำนาจพระมาตุลา  อำนาจของเขาเหมือนสายน้ำไร้สภาพที่แทรกซึมไปทั่วทุกที่  นางทราบดีว่านายหญิงทำอะไรลงไปบ้าง  แต่ความพยายามทั้งหมดคล้ายก้อนหินที่ทุ่มลงไปในทะเลสาบใหญ่  เนิ่นนานยังคงสร้างได้เพียงระลอกเล็กๆ ที่จะกลับสู่ความสงบโดยไร้ร่องรอย
ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคือ ฝ่ายตรงข้ามยังไม่เคยตอบโต้กลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว !
---------------------
เวลาค่อยๆผ่านไปวันแล้ววันเล่า  ดอกเบญจมาศเบ่งบานแล้วก็ร่วงโรยดอกแล้วดอกเล่า  หากไม่มีดอกใดสามารถเบ่งบานเข้าไปในจิตใจของผู้เป็นเจ้าของ  ในที่สุดก็ถึงวันที่ฉีเซี่ยงหยวนจะเดินทางกลับเป่ย ชาง  และก็จะพาคนที่นางแค้นที่สุดจากไปด้วย 
ตำหนักยังคงเป็นตำหนักเดิม  ผู้คนยังคงเป็นผู้คนเดิม  ทอดสายตาผ่านหน้าต่างบานเดิมออกไปจรดหมู่เมฆบนท้องฟ้า  ในใจไม่ทราบขบคิดอันใด...
น่าเสียดายที่ความทรงจำอาจเลือนรางได้  แต่ความแค้นกลับไม่ยินยอมเลือนหายไป  มันเพียงรอเวลา...รอคอยจังหวะอย่างเงียบงัน...
---------------------
ธงทิวนับสิบสะบัดพัดพลิ้ว  ท้องฟ้าค่อยๆฉายแสงจ้าขึ้นทุกขณะ  ขบวนรถม้ากว่าร้อยคันทอดเป็นแถวเหยียดยาว  กำแพงเมืองสูงใหญ่เปิดประตูปล่อยสะพานลง  กำลังพลจำนานมากเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบระเบียบ  ทหารม้าพ่วงพี  ทหารราบพร้อมพรัก  เหลียนอ๋องติดตามส่งห้าสิบลี้แล้วจึงล่าถอยกลับเข้าเมือง

เหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่ในรถม้า  มือลูบผมเหลียนจิ้งเต๋อที่นอนเอาหัวหนุนตักเขาแผ่วเบา  ค่อยๆเข้าใจทีละน้อยว่าเวลาสามสิบเอ็ดปีที่ผ่านมากำลังจะหลงเหลือเพียงภาพในความทรงจำ  ขณะเหม่อมองกำแพงเมืองที่เลือนรางลงทุกที  ราวกับอดีตที่ผ่านพ้นห่างออกไป  ความรู้สึกสูญเสียที่อธิบายไม่ได้ประดังเข้ามา    ก้มลงมองบุตรชายที่จะเป็นปัจจุบันและอนาคตของเขา  เค้าใบหน้าที่ละม้ายคล้ายมารดาของเหลียนจิ้งเต๋อทำให้ปลายนิ้วของพระมาตุลาชะงักค้างไปชั่วขณะ

‘เหวินจี  ข้า...จะไปแล้วนะ  ข้าสัญญา  จะดูแลเขาให้ดี’
---------------------
แสงแดดร้อนระอุ  ถนนหนทางเริ่มกลายเป็นป่า  สองฟากข้างไม่มีวี่แววของบ้านเรือน
“นายท่าน  เหตุใดจึงต้องรีบร้อนเดินทางถึงเพียงนี้” หวังเชียนควบม้าเข้ามาถาม  เขาคอยอารักขาพระมาตุลาใกล้ชิดที่สุด  อิ๋งฮวากับเยี่ยนจื่อคอยรับใช้คุณชายน้อยที่กลับไปอยู่ในรถม้าคันถัดไป  สายตาของคนเป็นบ่าวมองขบวนซึ่งเคลื่อนที่โดยไม่หยุดพักมาตั้งแต่เช้า 
การเดินทางแม้จะไม่เร็วนักเพราะเกรงรถบรรทุกสัมภาระหนักจะเคลื่อนตามไม่ทัน  แต่ก็เคลื่อนไปอย่างสม่ำเสมอยิ่ง  ไม่มีการผ่อนจังหวะเชื่องช้าลง  โชคดีที่ม้าที่คัดมาล้วนเป็นม้าพันธุ์ดีจากทางเหนือ  วันๆหนึ่งวิ่งได้หลายร้อยลี้  มีความอดทนอย่างยิ่ง  ไม่เช่นนั้นคิดจะเดินทางเช่นนี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนม้าแล้ว

แววตาเลื่อนลอยที่เจือความหมองเศร้ามาตั้งแต่เช้าของเหลียนอันสุ่ยเป็นประกายขึ้นทีละน้อย  เพ่งมองการเคลื่อนขบวนนอกหน้าต่าง  เรียวคิ้วมุ่นลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด  ครู่หนึ่งจึงตอบว่า
“บางทีอาจมีเรื่องรีบด่วนต้องไปจัดการที่เป่ยชาง...  ไม่แน่ว่าขุมอำนาจที่เป่ยชางเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงกันแล้ว” ดวงตาคู่งามที่มีประกายแจ่มชัดเหมือนผิวน้ำคล้ายกำลังมองทะลุถึงบางสิ่ง
หวังเชียนรู้สึกว่าเรื่องราวบางอย่างที่ใหญ่โตกำลังจะเกิดขึ้น...ความจริงขอเพียงเกี่ยวข้องกับขุมอำนาจในแคว้นเป่ยชางอันเป็นหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ก็สมควรมิใช่เรื่องเล็กแล้ว  ไม่ทราบแคว้นเหลียนจะถูกดึงเข้าไปในมรสุมครานี้หรือไม่ !
---------------------
เมื่อหวังเชียนบ่ายหน้าม้าควบห่างออกไป  เหลียนอันสุ่ยยังคงครุ่นคิดต่อ  ได้ยินว่าเป่ยชางอ๋ององค์ปัจจุบันมีบุตรชายห้า ธิดาอีกหนึ่ง
บุตรคนโตที่เป็นรัชทายาทเพิ่งตายไปเมื่อสี่ปีก่อน  ทิ้งไว้เพียงบุตรชายที่อายุยังน้อยกับตำแหน่งรัชทายาทที่ว่างเปล่า  บุตรชายคนที่สามเจ็บป่วยเสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย  ตอนนี้จึงเหลือบุตรชายอยู่เพียง 3 คน  ในบรรดาทั้งหมด เป่ยชางอ๋องรักใคร่โอรสองค์สุดท้ายที่สุด  เพราะเกิดกับสนมที่เป็นที่โปรดปราน  น่าเสียดาย  เพราะนางถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย จึงเป็นเหตุให้ถูกประทานยาพิษ  ความโปรดปรานจึงย้ายกลับมาที่บุตรคนรองที่เคยเป็นที่โปรดปรานก่อนหน้านี้

ส่วนฉีเซี่ยงหยวนซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สี่  ได้ยินว่าเกิดจากสตรีที่แต่งงานทางการเมืองมา  จึงไม่เคยเป็นที่โปรดปรานแต่แรก ภายหลังอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  สถานภาพของเขากับพระบิดาจึงกลายเป็นกริ่งเกรงซึ่งกันและกัน
การกลับมาของฉีเซี่ยงหยวนคราวนี้มาพร้อมกับชัยชนะเหนือแคว้นเหลียน  หากปล่อยให้เขากลับถึงแคว้นอำนาจจะยิ่งทวีขึ้นอีก  ไม่แน่ว่ากระทั่งเป่ยชางอ๋องก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย  มีผู้คนมากมายต้องไม่ยินดีแน่  ดังนั้นเหลียนอันสุ่ยจึงสังเกตได้ตั้งแต่จัดขบวนก่อนออกเดินทางแล้วว่าบรรยากาศของทหารที่อยู่โดยรอบค่อนข้างเคร่งขรึมระมัดระวัง เจือความตึงเครียดอยู่จางๆ  ทุกผู้คนล้วนเตรียมพร้อมกับทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

เหลียนอันสุ่ยยังคงใคร่ครวญต่อไป  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังกริ่งเกรงผู้ใดกัน ?
พระบิดาตัวเอง...พี่ชายคนรองที่ได้ยินว่ามีอำนาจอยู่ไม่น้อย...หรือจะเป็นน้องชายคนที่ห้าซึ่งเก็บตัวเงียบหลังพระมารดาดื่มยาพิษเสียชีวิต  ความจริงกระทั่งเด็กที่เป็นบุตรของรัชทายาทที่ตายไป ถ้ามีขุนนางทรงอำนาจหนุนหลังคิดใช้แทนหุ่นชักใย  ฉีเซี่ยงหยวนก็ต้องระวังเด็กคนนี้ด้วย 

ดูไปดูมา  ความซับซ้อนของขุมอำนาจในแคว้นเป่ยชางนับว่าซับซ้อนจนสับสนได้จริงๆ  นี่ยังไม่รวมการแทรกแซงของแคว้นอื่น  ซึ่งต้องไม่ยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนขยายอำนาจออกไปเรื่อยๆ  แผนการมากมายต้องถูกทุ่มเทออกมาขัดขวาง
เกรงว่าเมื่อฉีเซี่ยงหยวนเดินทางถึงแคว้นเป่ยชาง ภยันอันตรายต่างๆคงคอยท่าเขาอยู่ก่อนแล้ว...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเดินทางกลับเร็วกว่ากำหนดหนึ่งเดือน  ตัวเขานั่งอยู่บนรถม้าคันหน้าเหลียนอันสุ่ย  ดวงตาคมกริบสาดประกายอำนาจที่ชวนให้ผู้คนย่นระย่อ ขณะฟังคำรายงานจากทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่ง  มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม  ถามขึ้นว่า
“เจ้าว่าพี่รองเคลื่อนไหวแล้ว ?”
“ขอรับ  องค์ชายรองพอได้ยินว่าท่านเคลื่อนพลจึงมีการเคลื่อนไหวทหาร”
“...ได้ยินว่าข้าเคลื่อนพล  ได้ยินว่าข้าเคลื่อนพล” เสียงพึมพำกับตัวเอง  รอยยิ้มเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ “ข่าวสารของเขารวดเร็วยิ่ง”
คนฟังก้มหน้าลง  ฝ่ามือค่อยๆชื้นเหงื่อ  ความรู้สึกชวนกดดันของฉีเซี่ยงหยวนในตอนนี้ มากกว่าปรกติเป็นสิบเท่า  ดีที่ฉีเซี่ยงหยวนโบกมือเป็นความหมายอนุญาตให้จากไป  นายทหารผู้นั้นรีบทำความเคารพแล้วจากไปโดยไว
“ฉางเฟย เจ้าว่าข่าวของพี่รองได้มาจากที่ใดกัน” ถามคนสนิทที่ควบม้าอยู่ไม่ไกล โดยไม่หันไปมอง
“บรรดาขุนนางของเป่ยชางที่มาแคว้นเหลียนมีไม่น้อย  คงยากระบุตัวคน”

“เจ้าผิดแล้ว  คนที่จะส่งข่าวได้ไวขนาดนี้ต้องมีระบบส่งข่าวอันยอดเยี่ยม  ไม่ใช้สถานีเหยี่ยวก็ต้องใช้ม้าเร็ว  ดังนั้นจึงไม่ใช่ขุนนางที่ตอนนี้ไม่มีกำลังพลอยู่ในมือพวกนั้นเด็ดขาด” ความหมายคือ คนทรยศอาจเป็นขุนนางสายทหารใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวนเอง  เพราะข่าวจะกลับแคว้นเพิ่งประกาศให้ทราบโดยทั่วกันเพียงสัปดาห์เดียวก่อนออกเดินทางเท่านั้น
“ท่านอ๋องน้อย ข้ามีข่าวจากมู่ซางมารายงาน”
คนเป็นนายเหนือหัวหันไปจ้องหน้าคนสนิทตัวเองนิ่ง  สายตาสองคู่สบกัน  ฉีเซี่ยงหยวนเห็นความนัยบางอย่างในแววตาอีกฝ่าย...
--------------
ตกเย็น ฉีเซี่ยงหยวนมีคำสั่งให้ตั้งค่ายพักแรมที่ริมน้ำ  ทหารหมื่นกว่านายต่างยุ่งวุ่นวายกับการกางกระโจม  ก่อกำแพงค่าย  หุงหาอาหาร  จัดแบ่งเวรยาม  ค่ายใกล้ตั้งเสร็จ  ความตึงเครียดจางๆอันเป็นมาตลอดวันค่อยๆ ผ่อนคลายลงทีละน้อย
หลิวฉางเฟยนำคำเชื้อเชิญจากนายเหนือหัวมาถึงเหลียนอันสุ่ย
“ท่านอ๋องน้อยเชิญพระมาตุลาไป ‘ขี่ม้าสำรวจลำน้ำ’ ”
เมื่อคนถูกเชิญไปถึงก็พบเจ้าของคำเชิญรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำปลอด  ตัวเขาสวมชุดลำลองสีดำไม่ได้สวมเกราะ  แต่ก็ยังให้ความรู้สึกกดดันตามธรรมชาติ  โดดเด่นเป็นหนึ่งไม่มีสอง
“อาชาชั้นเยี่ยมคู่กับจอมทัพผู้ปราดเปรื่อง  นอกจากท่านอ๋องน้อยคงไม่มีใครคู่ควรกับอาชาตัวนี้อีกแล้ว  ได้ยินว่าชาวเป่ยชางมีชีวิตบนหลังม้า  ก่อนเด็กจะเดินคล่องต้องขี่ม้าเป็นก่อน  ม้าของพวกท่านก็เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน  นับว่าไม่ผิดจริงๆ” เหลียนอันสุ่ยกล่าวขณะควบม้าขึ้นมาเคียงข้าง
“ม้าอันดับหนึ่งในแผ่นดินเป็นของชนเผ่าซีเฮ่อต่างหาก  แต่ก็ใช่  หลังๆมานี้ม้าของพวกเราก็เทียบชั้นชนเผ่าซีเฮ่อได้แล้ว” ทั้งสองยิ้มให้อย่างรู้กัน 
“ม้าของท่านก็ไม่เลว” ฉีเซี่ยงหยวนพูดพลางก้มมองม้าสีน้ำตาลของอีกฝ่าย
“ถ้าเทียบกับตัวที่ท่านขี่อยู่ยังจัดว่าห่างไกลนัก  ม้าของท่านจึงเป็นอาชาดีหนึ่งในหมื่นอย่างแท้จริง”
“เจ้าตัวนี้น่ะรึ  กว่าจะขี่มันได้ก็พยศเอาการอยู่เหมือนกัน...ข้าเพิ่งทราบว่าพระมาตุลามีความสามารถในการดูม้า”
“ข้าไม่ได้มีความรู้มากมาย  เพียงแต่ยังพอแยกม้าชั้นดีกับม้าชั้นเลวได้อยู่  ม้าของท่านขนเป็นมันเงา  ท่วงท่างามสง่าพ่วงพี  เห็นชัดว่าได้รับการดูแลที่ดียิ่ง  การดูแลเช่นนี้หากเป็นม้าทั่วไปย่อมไม่อาจได้รับ”
ฉีเซี่ยงหยวนมองคนพูดแล้วค้านในใจ  ม้าทางเหนือได้รับการยกย่องว่าดีที่สุด  ม้าของเหลียนอันสุ่ย เองก็เป็นม้าทางเหนือ ซ้ำยังเป็นพันธุ์หายาก  หากมิใช่คนที่มีความรู้ทางด้านนี้  คงไม่ทุ่มเทเงินทองจำนวนมากเพื่อซื้อมัน 
การดูม้าเป็นความรู้ประการหนึ่ง  และเป็นประการที่ชาวเป่ยชางให้ความสำคัญยิ่ง  คิดไม่ถึงในแคว้นเหลียนจะมีคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้ด้วย 
ตอนให้หลิวฉางเฟยไปเชื้อเชิญ  ฉีเซี่ยงหยวนจงใจไม่คัดเลือกม้าให้ไปด้วยเพราะต้องการเห็นม้าประจำตัวของเหลียนอันสุ่ย  สำหรับผู้มีอำนาจม้าเป็นสมบัติที่ขาดไม่ได้  บางคนถึงขนาดซื้อม้าชั้นดีไว้เป็นคอกๆเพื่ออวดอ้างบารมีตน  แต่คนที่ซื้อไว้อวดโอ่กับซื้อไว้เพราะความชมชอบส่วนบุคคลย่อมแตกต่าง  เพียงฟังพวกเขาพูดถึงม้าจะสามารถแยกแยะคนสองประเภทนี้ออกจากกัน 
สำหรับเหลียนอันสุ่ยนับเป็นประเภทหลัง  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนไม่สามารถใช้คำว่าชมชอบได้  เพราะเขาเป็นชาวเป่ยชาง  ซ้ำยังเป็นขุนนางสายทหาร  มันมิใช่แค่ความคลั่งไคล้  แต่สิ่งเหล่านี้สมควรไหลเวียนอยู่ในสายเลือดเขาไปแล้ว

“ฉางเฟย  เจ้าตามอารักขาห่างๆก็พอ  พระมาตุลา เชิญ” พูดพลางผายมือ  มืออีกข้างกระตุกสายบังเหียน  ม้าสองตัวพุ่งออกไปดุจลูกธนู  กวดไล่กันเลียบลำน้ำห่างไกลออกไป  จนหลิวฉางเฟยแทบควบตามไม่ทัน
เมื่อมาถึงยอดเนินแห่งหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็กระตุกสายบังเหียนรั้งม้าไว้  แส้ในมือชี้ไปข้างหน้า  กล่าวว่า
“ถ้าเราเดินทางด้วยอัตราเร็วเท่านี้ไม่เกินสองวันจะทะลุป่าออกไป  เดินทางเฉียงไปทางตะวันตกเล็กน้อยอีก 7 วันจะถึงเมืองชั้นนอกของเป่ยชางและอีก 12 วันจะบรรลุถึงเมืองหลวง”
“12 วัน ?  เมืองชั้นนอกกับเมืองชั้นในห่างกันถึงเพียงนี้เลยหรือ” เหลียนอันสุ่ยถามขณะหยุดม้าเช่นกัน
“ย่อมไม่ได้ห่างไกลขนาดนั้น  แต่เมื่อเข้าเขตเมืองแล้วไม่ควรเดินทางเร็วเกินไปนัก”
เหลียนอันสุ่ยมองหน้าคนพูดนิ่ง  บนใบหน้าฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้มเล็กน้อย  แต่ไม่คิดอธิบายเพิ่มเติม
“อันตรายถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางฟังแล้วเลิกคิ้ว  สีหน้าเหนือความคาดหมายเล็กน้อย  ขณะตอบว่า
“ระมัดระวังไว้จะดีกว่า” เพราะข้ายังไม่รู้ว่าพี่รองเตรียมลูกไม้อะไรไว้บ้าง
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ถามต่อ  เพราะคาดเดาได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนก็ต้องมีแผนการของเขา  จึงเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“ฝีมือขับขี่ของท่านทำให้ข้าเลื่อมใสนัก”
ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่าย  รู้สึกว่าคนที่ควรจะแปลกใจสมควรเป็นตัวเขามากกว่า  เพียงแค่เห็นท่าทางกุมบังเหียน  ก็สามารถคาดเดาความสามารถในการบังคับม้า  มิหนำซ้ำฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งสังเกตว่าม้าของเหลียนอันสุ่ยไม่ได้สวมอาน  การขี่ม้าอานเปล่ายังยากกว่าการขี่ม้าแบบมีอานมากนัก  แต่พระมาตุลาแคว้นเหลียนมือกุมบังเหียนอย่างปลอดโปร่ง  ไหนเลยมีเค้าของความลำบากยากเย็น
“มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้บ้างเนี่ย”
คนเป็นพระมาตุลาเลิกคิ้วให้กับคำถามนั้น  สุดท้ายตอบว่า
“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าอยากทำ  แต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้”
“อะไรหรือ”
คนถูกถามยิ้มเล็กน้อยตอบว่า
“ทำให้ม้าของท่านวิ่งเต็มฝีเท้า”
ฉีเซี่ยงหยวนอึ้งไปครู่หนึ่ง  จากนั้นก็หัวเราะดังๆ
“ข้าปิดท่านไม่ได้อีกแล้วสิ”
เมื่อครู่ม้าทั้งสองตัวแม้กวดไล่กันเร็วปานลมกรด  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับดูออกว่าม้าสีดำของฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ได้วิ่งเต็มฝีเท้า  ทั้งยังเปิดโปงว่าอีกฝ่ายยั้งความเร็วม้ามาโดยตลอด  นับเป็นฝีมือขับขี่อันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
การบังคับม้าให้พอดีกับม้าอีกตัวก็เป็นเรื่องยากพอแล้ว  ต้องทั้งไม่ล้ำหน้าออกไป  และไม่ชักช้ากว่าแม้เพียงเล็กน้อย  แต่การยั้งความเร็วม้าขณะวิ่งด้วยความเร็วระดับนั้นแทบเป็นไปไม่ได้   เพราะฝืนสัญชาติญาณของม้าอย่างรุนแรง  ไม่เพียงม้าต้องผ่านการฝึกมาอย่างดี  ผู้ขับขี่ยังต้องเชี่ยวชาญในระดับที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยพบเห็นมาก่อน 
“ข้าจับได้เพราะตอนท่านเกือบถึงยอดเนิน  ท่านผ่อนการควบคุมลง  ทำให้ม้าของท่านไปถึงยอดเนินก่อนข้าก้าวหนึ่ง” เหลียนอันสุ่ยเฉลย
“นั่นเพราะใจข้ากำลังคำนวณวัน  ...แม่น้ำสายนี้เรียกว่าอะไร” ถามพลางมองลงไปยังลำธารเบื้องหน้า
“แม่น้ำสายนี้เรียกว่าเหอสุ่ย  เพราะต้นน้ำมีดอกบัวป่าจำนวนมาก  ถ้าท่านขี่ทวนลำน้ำขึ้นไปท่านจะเห็น  เพียงแต่หากไปเป่ยชางคงเลียบแม่น้ำไปแค่ครึ่งสายก็ต้องผละออก  เพราะนั่นเป็นทางที่สั้นที่สุด”
“มา  ท่านกับข้าลองควบต่อไป  ดูว่าจะไปถึงต้นน้ำที่ว่านั่นรึเปล่า...” ฉีเซี่ยงหยวนพูดไม่ทันจบม้าของเหลียนอันสุ่ยก็ชิงล้ำหน้าไปก่อนแล้ว
พระมาตุลาแคว้นเหลียนควบม้าไปได้พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากวดกระชั้นเข้ามา  เมื่อหันไปมองก็พอดีเห็นอาชาสีดำเหยียดขาควบผ่านเลยไป  เมื่อม้าของฉีเซี่ยงหยวนวิ่งเต็มฝีเท้า  สภาพของทั้งม้าทั้งคนหลอมกลืนเป็นเงาสีดำอันปราดเปรียว  เหินทะยานไปตามแนวหญ้า  แซงหน้าล้ำม้าสีน้ำตาลไปไกล
ความจริงม้าของเหลียนอันสุ่ยก็เป็นม้าพันธุ์ดีฝีเท้าจัด  แต่ม้าสีดำตัวนั้นกลับเป็นยอดอาชาที่ยากพบเห็น  ฉีเซี่ยงหยวนกับมันคล้ายเกิดมาเพื่อกันและกัน  แม้กระทั่งตอนนี้มันก็ยังไม่ยอมให้ผู้อื่นขี่โดยง่ายดาย  เพียงไม่พยศกับฉีเซี่ยงหยวนคนเดียว
ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ควบไปไม่ถึงต้นน้ำ  ฉีเซี่ยงหยวนหยุดม้าคอยก่อนได้พักหนึ่งแล้ว  ส่วนเหลียนอันสุ่ยกำลังควบม้าเหยาะๆตามมา  สายตามองลำน้ำแล้วก็ทอดยิ้มบางๆ  เอ่ยขึ้น
“ข้าก็บอกแล้ว ว่าเราไปไม่ถึงต้นน้ำหรอก  แค่ครึ่งสายนี่ก็ไกลมากแล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันมองคนพูดที่ใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าออกไป  ผิวหน้าของเหลียนอันสุ่ยมีหยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ทำให้ผมเคลียกรอบหน้าเปียกลู่กอปรเป็นเส้นสายอันอ่อนโยน  เพราะไม่ได้มัดรวบไว้  เส้นผมดำขลับจึงขยับพลิ้วไปกับสายลมเช่นเดียวกับหญ้าหมางที่ไหวโอนเอน  อาภรณ์สีขาวตัดกับขนอาชาสีน้ำตาลจนดูราวทอจากหิมะที่ไม่แปดเปื้อนธุลีดิน
เหลียนอันสุ่ยพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยอิริยาบถคล่องแคล่วนุ่มนวล  หันไปมองคนที่อยู่ข้างเคียง  ถามว่า
“ท่านจะไม่ลงจากม้าหน่อยหรือ”
ฉีเซี่ยงหยวนจึงค่อยหลุดจากภวังค์  พลิกกายลงมาจากหลังม้าเช่นกัน  ทั้งสองต่างไม่คิดจะผูกม้าเพราะแน่ใจว่ามันจะไม่หนี  ม้าที่ถูกฝึกมาดีต่างรู้จักและจดจำนายของมันได้
“เราจะกลับกันเลยรึเปล่า” เหลียนอันสุ่ยถาม  ขณะเงยมองท้องฟ้าที่เย็นมากแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนมองตามไป  สีหน้าคล้ายกำลังคำนวณเวลา กล่าวตอบว่า
“รออีกซักครู่  ให้หลิวฉางเฟยตามมาทันก่อน  ท่านจะพักซักหน่อยก็ได้” พูดจบก็เดินไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  เลือกมุมเหมาะๆนั่งพิงลงไป  หลับตาพักเหนื่อย  สูดลมหายใจอย่างผ่อนคลาย
ความจริงที่ฉีเซี่ยงหยวนออกมาควบม้าเล่น  นอกจากเพื่อสำรวจเส้นทางเดินทัพแล้ว  ยังต้องการผ่อนคลายความเคร่งเครียดที่เกิดจากการเร่งรีบเดินทาง  พอดีนึกถึงเหลียนอันสุ่ยจึงชวนอีกฝ่ายออกมาด้วยกัน  หากการควบม้าเล่นๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นประลองฝีเท้าม้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้  คนรับบทหนักจึงกลายเป็นหลิวฉางเฟย  ที่นอกจากต้องควบตามพวกเขาให้ทันแล้ว  ยังต้องคอยเก็บข้อมูลเส้นทางที่ผ่านมาอีกด้วย  ดีที่หลิวฉางเฟยพาคนติดตามมาด้วยอีกสี่คน  งานจึงยังไม่ล่มแต่อย่างใด  คิดถึงตรงนี้ก็ต้องลืมตาขึ้นอย่างตื่นตระหนก  มีเสียงม้าร้องเบาๆ  เป็นม้าสีดำของเขาไม่ผิดแน่ !
“ท่านอย่า...” แววตาตื่นตระหนกแปรเป็นตะลึงลาน 
ฉีเซี่ยงหยวนกำลังจะส่งเสียงร้องเตือนให้อีกฝ่ายอย่าแตะตัวมัน  แต่กลายเป็นว่าเหลียนอันสุ่ยไม่เพียงแตะไปแล้ว  ม้าของฉีเซี่ยงหยวนยังยอมให้อีกฝ่ายแตะอีกด้วย  ใบหน้าของมันก้มต่ำ  ส่งเสียงร้องเบาๆ  ยินยอมให้เหลียนอันสุ่ยใช้มือสางไปตามขนที่แผงคอ  และดูเหมือนว่ามันจะ...พอใจ
นี่สามารถจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้  ม้าตัวนี้คนที่แตะตัวมันถูกมันใช้ขาดีดกระเด็นจนเกือบถึงตายมาหลายคนแล้ว  ยังไม่นับรวมคนที่พยายามปราบพยศมันมาก่อนหน้าฉีเซี่ยงหยวน  ขนาดตัวฉีเซี่ยงหยวนเองกว่าจะขี่มันได้ก็ฟกช้ำไปหลายตำแหน่ง  ส่วนหลิวฉางเฟยถ้าเป็นไปได้จะอยู่ห่างจากมันซักสิบห้าก้าวเป็นอย่างต่ำ
ความจริงม้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว  เวลามันพยศ ฟัน ขา กีบเท้า  แต่ละส่วนล้วนสามารถใช้เป็นอาวุธ  เพียงแต่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นม้ามาตั้งแต่อายุยังน้อยจึงดูเป็นเรื่องปรกติไป  ส่วนพระมาตุลาผู้นี้...เขาไม่รู้จักกลัวหรือสมควรว่าสิ่งมีชีวิตทั้งโลกต่างเป็นมิตรกับเขากัน !
คนที่ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนขอบเหวที่หวุดหวิดจะเจ็บตัวถามขึ้นด้วยดวงตากระจ่างเป็นประกาย 
“ม้าของท่านมีชื่อรึเปล่า”
“...มันเรียกว่าร้อยราตรี  เพราะหากให้มันวิ่งใช้เวลาเป็นร้อยราตรีก็กวดตามไม่ทัน  ม้าท่านเล่า”
ได้ยินคำถามนี้เหลียนอันสุ่ยก็ยิ้ม  กล่าวตอบว่า
“ม้าข้าชื่อเหรียญทอง  เพราะเพื่อซื้อมันไม่ทราบต้องเสียเงินไปกี่ตำลึงทอง  เวลาเรียกจะได้ย้ำเตือนตัวเองว่าต้องใช้เจ้านี่ให้คุ้ม”
ฟังที่มาของชื่อม้าเหลียนอันสุ่ยแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนก็หัวเราะออกมา
การสนทนาดำเนินไปอีกเล็กน้อย  หลิวฉางเฟยก็ขี่ม้าตามมาจนทัน  ทั้งคู่จึงพากันพลิกตัวขึ้นหลังม้า  เพื่อควบกลับค่ายที่ตั้งเสร็จเรียบร้อย
โชคร้ายเป็นของเหล่าผู้ติดตามทั้งสี่ที่ได้แต่โอดครวญกับสวรรค์  กว่าจะไล่ตามท่านอ๋องน้อยทันก็เป็นงานที่หนักหนามากแล้ว  ทุกคนต่างทราบ  ม้าร้อยราตรีของท่านอ๋องน้อยมีฝีเท้าจัดถึงเพียงไหน  นี่ไม่ทันได้จะได้พัก  ก็ต้องเริ่มการกวดตามอีกแล้ว!  ...ท่านอ๋องน้อยเข้าใจว่าม้าของพวกเขามีกี่ขากัน  เพียงแต่จะไม่ควบตามก็ไม่ได้  ไม่เช่นนั้นโทษฐานอารักขาหย่อนยานจากแม่ทัพหลิวต้องเป็นของพวกเขาแน่

=======
ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวาย  บางวันอาจมาอัพให้ไม่ได้นะคะ(บอกไว้ล่วงหน้าถ้าหายไปจะได้ไม่ตกใจ)

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
«ตอบ #41 เมื่อ29-07-2014 22:35:33 »

เอากำลังใจมาให้ต้าอ๋อง ถึงจะเป็นผู้ชายเจ้าแผนการ แต่ที่ทำทั้งหมดเพราะรัก  :กอด1:

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
«ตอบ #42 เมื่อ29-07-2014 22:56:55 »

 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
«ตอบ #43 เมื่อ29-07-2014 23:55:10 »

สนุกมากๆ
 :-[
หลงรักเรื่องนี้ซ้ำๆ
อ่านซ้ำไปมารอเวลาอัพ

ออฟไลน์ pasallatel

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 13
«ตอบ #44 เมื่อ30-07-2014 21:00:17 »

เป็นกำลังใจให้ค่ะ เรื่องนี้แต่งได้ดีมาก :m1:
สำนวนเหมือนนิยายแปลเลยค่ะ น่าติดตามแต่ในขณะเดียวกัน
ก็สำนวนนิยายจีนเต็มเรื่องจริงๆ  :m4: แต่มันก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบดีค่ะ
สำนวนของนิยายแต่ละภาษาต่างก็มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันเลย
อันนี้ต้องนับถือคนแต่งนะคะ เอากลิ่นอายแบบจีนมาได้อย่างลื่นไหลมากๆ
แถมเนื้อเรื่องก็น่าลุ้น เหมือนกำลังดูหนังจีน  :impress2: เรื่อง
ศึกชิงบัลลังก์วังนม.......เอ้ยยยย!!...วังทองค่ะ (พูดผิดแบบตั้งใจนิดๆ :m12:)

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 14
«ตอบ #45 เมื่อ31-07-2014 19:36:44 »


บทที่ 14 ชมค่าย

แสงตะวันยามพลบค่ำส่องลอดแผงไม้ที่ผูกเป็นรั้วค่ายเป็นเงาสูงๆต่ำๆ ยาวเหยียด  ควันที่เกิดจากการหุงหาอาหารลอยกรุ่นขึ้นเป็นสาย  บิดเกลียวหายลับไปในฟากฟ้าสีส้มจัด  นายทหารต่างคนต่างหาที่สวาปามชามข้าวในมือ

ตกดึกบรรยากาศก็ยิ่งครึกครื้น  แม้สุราจะเป็นสิ่งที่ห้ามเด็ดขาดในค่าย  แต่ผู้คนที่เคร่งขรึมเดินทางด้วยความระมัดระวังมาตลอดทั้งวันเริ่มพูดคุยหยอกล้อ  และก็เริ่มมีเสียงหัวเราะ  หากหัวเราะได้ไม่ทันไรก็ต้องผุดลุกขึ้นเหมือนถูกไฟลนก้น  เมื่อเห็นผู้บัญชาการตัวเองออกมาเดินตรวจพล  ข้างหลังของท่านผู้บัญชาการยังติดตามด้วยบุรุษรูปงาม  บุคลิกประดุจสายลม ตัวตนประดุจสายน้ำอีกผู้หนึ่ง
คนผู้นี้ย่อมเป็นเหลียนอันสุ่ย  หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ  ท่านอ๋องน้อยก็ใช้ให้คนไปเชิญเหลียนอันสุ่ยมา ‘เดินเล่นย่อยอาหาร’ ด้วยกัน  แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ  แต่เหลียนอันสุ่ยก็ตอบรับคำเชิญ  ตอนนี้ความไม่เข้าใจกำลังทวีขึ้นเรื่อยๆ  ขณะมองเหล่าทหารที่นั่งๆนอนๆอยู่ผุดลุกขึ้นราวระลอกคลื่นสูงๆต่ำๆ เพื่อทำความเคารพนายเหนือหัว 

เหลียนอันสุ่ยเห็นเช่นนี้มาตลอดทาง  เพราะท่านอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางเล่นพาเขาตะลอนไปทั่วค่าย  เหนือจรดใต้  ตะวันออกจรดตะวันตก  ไม่มีที่ใดได้รับการยกเว้นแม้แต่ที่เดียว  สมควรบอกว่าทุกตารางนิ้วในค่ายอันใหญ่โตแห่งนี้  ล้วนถูกเหลียนอันสุ่ยเห็นจนหมดสิ้น  การตรวจตราของฉีเซี่ยงหยวนละเอียดถี่ถ้วน  เหลียนอันสุ่ยจึงพลอยได้รับรู้ทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วนไปด้วย
นี่ใช่วางใจเกินไปหรือไม่  หรือไม่กลัวเขาเอาความลับไปขาย  อย่างน้อยเขาก็มีเลือดในกายทุกหยดเป็นชาวเหลียน  หากให้เลือกแคว้นเหลียนกับแคว้นเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยก็ต้องเลือกแคว้นเหลียนโดยไม่ต้องสงสัย

หลังจากเดินทางสร้างความลำบากให้ลูกน้องตัวเองต้องลุกๆนั่งๆอยู่พักใหญ่  คนเป็นผู้บัญชาการยังมีหน้ามาถาม
“ท่านว่าค่ายที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”
“...ข้าแม้จะไม่ค่อยมีความรู้ทางทหาร  แต่เท่าที่ดูก็รอบคอบรัดกุมดี” ไม่เพียงแค่รอบคอบรัดกุม  ยังสามารถเรียกได้ว่าปราศจากช่องโหว่  ต่อให้เป็นแค่หนูตัวเล็กๆก็อย่าหมายเล็ดลอดปลอมปนเข้ามา
ยิ่งชมดูเหลียนอันสุ่ยยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดอวี้เฉียนจึงพ่ายแพ้แก่คนผู้นี้  ทั้งการจัดวางกำลังพลและวินัยทหาร  แคว้นเหลียนฝึกอีกเป็นปีก็ไม่อาจเทียบเปรียบกับกองทัพของฉีเซี่ยงหยวนกองทัพนี้ได้
เมื่อเห็นคนเดินนำยังไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะพาเดินต่อ  เหลียนอันสุ่ยจึงรีบเอ่ยทัดทานว่า
“ข้าชมดูมาพอแล้ว ท่านอ๋องน้อยท่านไม่จำเป็นต้อง...”
ฉีเซี่ยงหยวนหันมากล่าวว่า
“นี่จะได้อย่างไร  ข้ายังไม่ได้ให้ท่านเห็นกองกำลังส่วนตัวของข้าเลย”
“กองกำลังส่วนตัว ?   ข้าว่าข้าไม่สมควร...”
“กองกำลังส่วนตัวที่ข้าอยากให้ท่านเห็นเป็นหน่วยพิเศษที่ข้าฝึกมากับมือ  มีทั้งหมดห้าร้อยคน  ทุกคนล้วนเป็นมือดี  ผ่านศึกน้อยใหญ่  ไม่หวั่นเกรงพวกมากกลุ้มรุม...”
เหลียนอันสุ่ยมองคนที่สาธยายอย่างละเอียดลออ  น้ำเสียงมีแววภาคภูมิใจคล้ายเด็กที่กำลังอวดโอ่ผลงานชิ้นเอกของตัวเอง แล้วก็ได้แต่ครางในลำคอ  ท่านอ๋องน้อยผู้นี้ไม่รู้สึกตัวเลยหรือ ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่ขาดความระมัดระวังอย่างยิ่ง!
---------------------
กระโจมในส่วนนี้เป็นระบบระเบียบกว่าที่อื่น  นี่มิใช่หมายความว่าส่วนอื่นเละเทะหย่อนยาน  หากคนในกระโจมเหล่านี้มีวินัยเป็นพิเศษ  แต่ละคนรูปร่างแข็งแรงกำยำ  มีสัญชาตญาณในการระวังภัย  การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วมีพลัง  เห็นพวกเขาในยามพักผ่อน  เหลียนอันสุ่ยก็พอจินตนาการได้ว่า ในสมรภูมิพวกเขาต้องเป็นทหารชาญศึกอันน่าเกรงกลัว

กองกำลังเช่นนี้มีเพียงห้าสิบคนก็รับมือทหารได้เป็นร้อย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับสามารถคัดเลือกฝึกฝนไว้ถึงห้าร้อยคน  กระโจมเหล่านี้รายรอบกระโจมใหญ่ของผู้บัญชาการ  มุมทั้งสี่เป็นที่พักของแม่ทัพสี่คน  หากมีคนคิดลอบสังหารฉีเซี่ยงหยวนในยามค่ำคืนเท่ากับฝันไปตื่นใหญ่

“ความจริงที่ข้าอยากให้ดูยังมีคอกม้า...” เมื่อหันมาเห็นสีหน้าคนฟังแล้วจึงชะงักคำ  เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ท่าน...ไม่กลัวว่าข้าจะขายความลับพวกนี้ออกไปหรือ” ทั้งการจัดวางกำลังพล  จำนวนทหาร  การอารักขา  เวรยาม  ตำแหน่งกองเสบียง  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับทางทหารที่สำคัญยิ่ง 

“ท่านจะขายออกไปอย่างไร...พิราบสื่อสารหรือว่าม้าเร็ว ?” อ๋องน้อยแห่งเป่ยชางถามยิ้มๆ  ไม่รอให้ตอบคำก็กล่าวต่อว่า
“อ้อ  ข้ายังไม่ได้พาท่านไปดูหอธนูสินะ  ทหารยามที่นั่นล้วนมีสายตาในการมองกลางคืนดียิ่ง  ฝีมือในการยิงธนูแม่นยำ  อย่าว่าแต่คน  ต่อให้เป็นนกพิราบหรือเหยี่ยว  ถ้ามีตัวที่ออกจากค่ายจะถูกยิงเก็บทันที  มีทั้งหมด 6 หอ  จริงๆปรกติจะมี 8 หอ  ประจำ 8 ทิศ  แต่คราวนี้ไม่ได้ยกทัพมาแบบเต็มอัตราศึก  แค่ 6 หอจึงเหลือเฟือ”

“...ท่านอ๋องน้อย  ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“ข่มขู่ท่านละมั๊ง” พูดทั้งๆที่ยังมีรอยยิ้ม  เห็นได้ชัดว่ากำลังอารมณ์ดี...
“ท่านประมาทไปแล้ว” คำพูดนี้ของเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนยอมยุติภารกิจเที่ยวชมค่าย  เท้าเปลี่ยนเป็นก้าวช้าๆ  ปากตอบว่า
“มิใช่ประมาท  แต่เป็นมีความมั่นใจ  อีกอย่างข้าทำอย่างนี้กับท่านคนเดียว”
“มั่นใจว่าข้าจะไม่ขายท่าน ?” คิ้วเรียวงามยังคงขมวดมุ่น
“นั่นก็ใช่  และข้าก็ไม่คิดว่าท่านจะมีหนทางขายข้าได้  ที่สำคัญก็คือถึงแม้จะถูกท่านขายออกไป  ข้าก็มั่นใจว่าตัวเองคงไม่ถึงกับพ่ายแพ้”
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้โต้แย้งอีก  เพราะทุกประการล้วนเป็นความจริง  โอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋องผู้นี้ นับเป็นนักการทหารที่น่าหวั่นเกรงของทุกแว่นแคว้น  ประการสำคัญคือปากของฉีเซี่ยงหยวนแม้กล่าวอย่างอหังการ  แต่เวลากระทำกลับสุขุมรอบคอบ  คนเช่นนี้จึงน่ากลัวที่สุด  เพราะเขามีคุณสมบัติจะกล่าวอย่างอหังการจริงๆ
---------------------
บนหอสูงริมขอบรั้วกำแพง  บุคคลสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเพิ่งไปถึง  คนผู้นี้สวมชุดหรูหราราคาแพง  บนศีรษะประดับรัดเกล้าแสดงศักดิ์ฐานะเหนือธรรมดา  เบื้องหลังตามติดด้วยคนสนิทอีกสามคน

“คนของเรายังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือ” คนในชุดหรูหราถามขึ้น  น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่แฝงลักษณะเย่อหยิ่งเย็นชา
“ยังไม่มีขอรับ” คนดูแลหอกล่าว  ที่แท้ที่นี่เป็นหอนก  ใช้สำหรับรับส่งข่าวสารที่ผูกติดกับขาเหยี่ยวหรือพิราบ
“องค์ชายรอง  การเดินทัพขององค์ชายสี่เข้มงวดตลอดมา  ไม่ว่านกพิราบหรือเหยี่ยวต่างไม่มีปัญญาบินออกจากค่ายของเขาได้  แต่แบบนี้ยิ่งยืนยันแน่นอนว่าองค์ชายสี่เคลื่อนทัพแล้ว”  คนสนิทหนึ่งในสามคน นามหลู่เอ้อเอ่ย
คนเป็นนายเงียบไป  สายตาจ้องเลยออกไปนอกขอบกำแพง  จากมุมนี้เมื่อมองลงไปสามารถเห็นหลังคาของบ้านเรือนเป็นร้อยๆพันๆหลังทอดตัดด้วยแนวถนนอยู่ลิบๆ  ก้มหน้าลงอีกหน่อยจึงเป็นขอบรั้วกำแพงวังกับแถวตึกจำนวนมาก  แบ่งแยกส่วนของวังหลวงไว้อย่างชัดเจน
 
สายตาคู่นั้นทอดไปหยุดอยู่ที่ตำแหน่งวังตะวันออกของรัชทายาทที่ปราศจากนายมานาน...  ค่อยๆเลื่อนช้าๆไปจับตำหนักที่ใหญ่โตที่สุด  กินอาณาบริเวณกว้างขวางที่สุด...ตำหนักส่วนพระองค์ของเป่ยชางอ๋อง  ...รอยยิ้มค่อยๆผุดขึ้นช้าๆ  สายตาทอแววมุ่งมาดปรารถนาอย่างมีเลศนัย

‘น้องสี่  เจ้าไม่มีทางคาดเดาออกว่าใครขายเจ้าให้กับข้า  อีกไม่นาน...  ทุกอย่างจะกลายเป็นของข้าแล้ว  รีบๆกลับมาซักทีเถอะ น้องรัก’
-----------------------
เหลียนอันสุ่ยกลับถึงกระโจมตัวเองได้ไม่นาน  เพิ่งอาบน้ำผลัดเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ก็ต้องออกไปอีกแล้ว  คราวนี้หัวข้อเป็น ‘ปรึกษาเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างแคว้น’   
เหลียนจิ้งเต๋อหน้าม่อย  ตั้งแต่ออกจากแคว้นเหลียน  ทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นสิ่งไม่คุ้นเคย  หลักที่เหลียนจิ้งเต๋อยึดไว้ก็คือบิดา  แต่ท่านพ่อกลับมีงานยุ่งอย่างยิ่ง  ส่วนอิ๋งฮวาหน้าเขียวคล้ำไปแล้ว  นายท่านเพิ่งมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็ถูกเรียกไปพบอีกเป็นครั้งที่ 3 แล้ว  อ๋องน้อยนิสัยเสียผู้นั้นตั้งใจจะทดสอบขีดความอดทนของนางหรือยังไง  นายท่านของนางมิใช่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขานะ  จึงต้องถูกเรียกไปรายงานตัวอยู่ตลอดเวลา
---------------------
กระโจมผู้บัญชาการของฉีเซี่ยงหยวนมิได้ใหญ่โตไปกว่ากระโจมอื่นๆ  และก็มิได้หรูหรากว่ากระโจมอื่นด้วย  ของภายในกระโจมมีน้อยชิ้น  ทุกชิ้นเรียบง่าย เน้นใช้งานได้จริงขนย้ายสะดวกเป็นหลัก  เจ้าของกระโจมกำลังยืนพิจารณาแผนที่แผ่นใหญ่ซึ่งทำจากหนังสัตว์  ขณะเหลียนอันสุ่ยแหวกกระโจมเข้ามา

“ท่านดู  เมื่อพ้นจากป่านี้ก็จะเข้าเขตแคว้นเป่ยชาง  หลังจากนี้ถ้าใช้คนมาถางป่าทำทาง การขนส่งค้าขายระหว่างแคว้นเหลียนกับเป่ยชางจะเป็นไปโดยราบรื่น” ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้น  แต่เหลียนอันสุ่ยมีความรู้สึกว่าใจของฉีเซี่ยงหยวนกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น  เพราะแค่การถางทางมิใช่เรื่องที่ต้องขมวดคิ้วขบคิดอย่างจริงจังถึงเพียงนั้น

ฉีเซี่ยงหยวนดึงตัวเองออกมาจากปัญหายุ่งยากที่กำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย  หันกลับไปมองคนที่ตัวเองเชิญมา  กล่าวถามขึ้น
“ตลอดทางมานี่  ท่านได้รับความลำบากอะไรรึเปล่า”
“ข้าสบายดี  ขอบคุณท่านอ๋องน้อยที่เป็นห่วง”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามอง  ยังจำแววตาสุดท้ายที่เหลียนอันสุ่ยหันไปมองกำแพงเมืองได้แม่นยำ  แววตาคู่นั้นเลื่อนลอยคล้ายคนที่กำลังสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากไป  ถึงแววตาอีกฝ่ายในตอนนี้จะสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ  หากนั่นมิใช่ข้อยืนยันของคำว่าสบายดี 
ยิ่งรู้จักพระมาตุลาผู้นี้  ฉีเซี่ยงหยวนยิ่งพบว่าเหลียนอันสุ่ยเป็นคนเก็บอารมณ์ความรู้สึกได้มิดชิดอย่างยิ่ง ไม่ว่าดีใจหรือเสียใจล้วนสามารถเก็บไว้ใต้เค้าหน้าสงบประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ  รอยยิ้มที่บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องเก็บงำตัวตนถึงเพียงนั้น 
ฉีเซี่ยงหยวนยอมรับว่าตัวเองก็มีความสามารถในการปั้นหน้า  เพราะทุกคนที่จะเล่นการเมืองล้วนใส่หน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องปรกติ  แต่เรื่องที่ขี้เกียจทนเขาก็จะไม่ทน  ด้วยตำแหน่งของเหลียนอันสุ่ยเอง  ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องทนเก็บความรู้สึกขนาดนั้นเลย
“...ท่านสบายดีจริงหรือ”
เหลียนอันสุ่ยมิได้หลบตา  เลิกคิ้วถามว่า
“ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าจะไม่สบายเล่า” พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปมองแผนที่ซึ่งกางไว้บนโต๊ะแปดเหลี่ยม  พินิจพิจารณาอยู่เป็นนาน  ส่วนเจ้าของแผนที่กลับพินิจพิจารณาฝ่ายตรงข้าม  หาร่องรอยว่าอีกฝ่ายใช่กำลังกลบเกลื่อนอยู่หรือไม่
เขา...ไม่เจ็บปวดแล้วจริงหรือ
เหลียนอันสุ่ยตัวแข็งเมื่อถูกโอบกอดจากด้านหลัง
“กฎของค่ายเคร่งครัด  หรือว่าท่าน...คิดแหกกฎที่ตัวเองตราขึ้น”
ความจริงฉีเซี่ยงหยวนมิได้มีเจตนาจะลวนลามอะไรอีกฝ่าย  แต่พอได้ยินคำพูดนี้  เจตนาจึงเปลี่ยนเป็นไม่บริสุทธิ์ขึ้นมาทันที  แกล้งจรดจมูกลงกับเส้นผมนุ่มลื่นซึ่งเพิ่งแห้งหลังอาบน้ำได้ไม่นาน
“ผมของท่านหอมยิ่ง”
ขณะเหลียนอันสุ่ยตกอยู่ในอาการทำอะไรไม่ถูก  ก็เลื่อนจมูกไปที่หัวไหล่
“อืมม์  ตัวท่านก็หอม” กลิ่นหอมอ่อนๆที่ให้ความรู้สึกสงบผ่อนคลาย  ไม่คล้ายกลิ่นแป้งหอมฉุนจมูกของบรรดาสตรีทั้งหลายที่เขาคุ้นชิน
“...” เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก  มือเรียวงามพยายามแกะมืออีกฝ่ายออกพัลวัน  แต่ยิ่งขัดขืนกลับกลายเป็นว่ายิ่งถูกกอดรัดแน่น
“ทำยังไงดีน้า  วินัยทัพก็เคร่งครัด  แต่ท่านก็ยั่วใจข้าจนเกินไป” คราวนี้ชัดเจน  อีกฝ่ายจงใจแกล้ง  เหลียนอันสุ่ยจึงเลิกเคลื่อนไหว  เตือนด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นอย่างไม่เล่นด้วยว่า
“ท่านอ๋องน้อย”
คนฟังเลิกคิ้ว  รู้สึกประสบความสำเร็จอยู่บ้างที่ตอแยจนอีกฝ่ายมีโทสะได้  ถึงแม้จะเป็นแค่โทสะเบาบางก็จัดเป็นของหายากสำหรับบุคคลที่ใจเย็นอย่างยิ่งอย่างเหลียนอันสุ่ย  จึงหัวเราะเบาๆ  กล่าวว่า
“ก็อย่างที่ท่านว่า  ตั้งกฎเอง ละเมิดเอง มันก็ดูน่าเกลียด  ในค่ายข้าไม่ทำอะไรท่านก็ได้  อีกอย่าง...ข้ายังอยากมีเพื่อนไปขี่ม้าเล่นด้วยกัน” คำพูดที่มองเผินๆไม่มีอะไร  แต่เพราะชาญฉลาดเกินไป  ทำให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนหน้าแดงเรื่อ  ไม่อาจทำเป็นฟังไม่ออก 
ถ้าฉีเซี่ยงหยวนทำจริงๆ  มิใช่แค่ขี่ม้าไม่ได้  กระทั่งนั่งรถม้าที่โคลงเคลงหน่อยยังมีปัญหา  คน  คนผู้นี้นี่มัน...

ฉีเซี่ยงหยวนมองผิวหน้าที่แดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ  เมื่อสายตาเลื่อนไปที่แผนที่บนโต๊ะก็ตัดสินใจยุติการแกล้งไว้เท่านี้ก่อน  คลายมือออก ก้าวเข้าไปประชิดโต๊ะ
“ที่ข้าพาท่านชมดูค่ายนอกจากไว้วางใจท่านแล้ว  ความจริงยังมีจุดประสงค์”

เหลียนอันสุ่ยรีบเก็บชิ้นส่วนของอารมณ์ที่กระจัดกระจายเมื่อครู่มาต่อใหม่โดยไว  เงยหน้าขึ้น  สบตาอีกฝ่ายเป็นเชิงถาม
“ข้าต้องการให้ท่านวางใจว่า สามารถวางแคว้นเหลียนไว้ในมือข้าได้”
“มือท่าน?” เหลียนอันสุ่ยเริ่มรู้สึกแปลกๆ  คำพูดนี้ความจริงสมควรเป็นของเป่ยชางอ๋อง
“ใช่  มือข้า  พี่รองของข้าเริ่มเคลื่อนไหวทหารแล้ว  ความจริงเขาก็หาจังหวะมาตลอด  ขอเพียงข้าไม่อยู่ที่เป่ยชางก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่...ตำแหน่งรัชทายาทว่างเปล่ามานานเกินไป  ทันทีที่ข้าเหยียบแคว้นเป่ยชาง  ทุกอย่างจะเปิดฉากขึ้น”
คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นลง
“นี่  ท่าน...รู้อยู่แล้ว  แต่ก็ยังจงใจเปิดโอกาสให้เขาเคลื่อนไหว”
ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนมีแววสบใจ เมื่ออีกฝ่ายช่างเข้าใจอะไรง่ายเสียจริง  ปากตอบว่า
“ใช่  เพราะข้าไม่ต้องการให้เขาไปหาโอกาสเอาเอง  แบบนั้นมันกะเกณฑ์อะไรยากกว่า”

การยกทัพบุกแคว้นเหลียนที่เป็นเรื่องใหญ่โต  ที่แท้เป็นเพียงผลพลอยได้จากแผนการก้าวแรก     ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ล้วนไม่มีปัญหา  จุดประสงค์หลักคือเปิดโอกาสให้องค์ชายรองแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหมิงเคลื่อนไหว  จากนั้นแผนการก้าวหลังๆจะตามมา  ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยยังมองก้าวต่อไปของฉีเซี่ยงหยวนไม่ออก  แต่...

  ขนาดส่วนแรกยังส่งผลมากมายถึงเพียงนี้   แล้วโครงหลักของแผนการจะใหญ่โตถึงเพียงไหน !  อำนาจ...กำลังถ่ายเท
 
“พี่ชายของท่านต้องการตำแหน่งรัชทายาทอย่างนั้นสิ” 
ความจริงนี่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก  ในบรรดาบุตรชายทั้งสามที่เหลืออยู่  ฉีเซี่ยงหยวนกับพี่ชายคนรองฉีเซี่ยงหมิงมีอำนาจมากที่สุด  แม้ฉีเซี่ยงหยวนจะมีอำนาจมากกว่า  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉีเซี่ยงหมิงมีขุมกำลังน้อยกว่า  เพราะเขาได้รับการสนับสนุนจากเป่ยชางอ๋องที่เป็นบิดา  และบรรดาเครือญาติฝั่งมารดาที่เป็นขุนนางใหญ่มาหลายชั่วอายุคน

มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้ม  ขณะกล่าวตอบ
“ข้าเกรงว่าสิ่งที่เขาต้องการจะเป็นตำแหน่งเป่ยชางอ๋อง”
เหลียนอันสุ่ยมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ  ความใหญ่โตของเรื่องราวยังยิ่งกว่าที่คิด  มันมิใช่การถ่ายเทอำนาจ  แต่เป็น...การเปลี่ยนมือ!
ฉีเซี่ยงหยวนอธิบายต่อว่า
“เพราะพี่รองเริ่มโยกทหารเข้าเมืองหลวงแล้ว  ถ้าพี่รองยกทัพใหญ่เข้าไปเมื่อไหร่  จะกลายเป็นไม่มีทางถอยกลับ  พระบิดาสนับสนุนเขาจริง  แต่จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อให้เขาคานอำนาจกับข้า  ส่วนเครือญาติฝั่งมารดาของพี่รองกลับหมายมั่นปั้นมือในตำแหน่งเป่ยชางอ๋องมานานแล้ว พวกนั้นต้องทำทุกวิถีทางให้พี่รองยกทัพใหญ่เข้าเมืองหลวง  เพื่อบีบให้พี่รองไม่อาจหยุดแค่ตำแหน่งรัชทายาท...บางทีอาจอาจขู่เขาว่าหลังจบเรื่องนี้พระบิดาต้องไม่ปล่อยปละละเว้นเขาแน่”

นี่เรียกว่าต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมาย  เป่ยชางอ๋องต้องการรักษาบัลลังก์จึงส่งเสริมให้ลูกคานอำนาจกันเอง  ตอนนี้คานที่ควรจะตรงกลับเริ่มเอียง  เพราะฉีเซี่ยงหยวนมีอำนาจมากเกินไป  การยึดแคว้นเหลียนทำให้ทุกอย่างเลวร้าย  ฉีเซี่ยงหมิงจึงเป็นหมากกลที่ใช้ดึงอำนาจกลับมา  เพียงแต่ถ้าฉีเซี่ยงหมิงกำจัดฉีเซี่ยงหยวนทิ้งไปได้  ฉีเซี่ยงหมิงจะกลายเป็นตัวอันตรายสืบแทน  ถึงตอนนั้นเป่ยชางอ๋องก็ต้องลิดรอนอำนาจฉีเซี่ยงหมิง  ในเมื่อยังไม่สามารถเล่นงานเขาโดยตรง   จึงต้องเริ่มที่บรรดาขุนนางทรงอิทธิพลรอบตัวบุตรชาย
 
ส่วนขุนนางที่สนับสนุนฉีเซี่ยงหมิง  ถ้าฉีเซี่ยงหมิงได้เป็นเป่ยชางอ๋องพวกเขาก็จะได้ประโยชน์  แต่หากฉีเซี่ยงหมิงหยุดแค่ตำแหน่งรัชทายาท  พวกเขาก็จะกลายเป็นเป้าถูกลิดรอนอำนาจ  เพราะรองลงมาจากฉีเซี่ยงหยวน ที่เป่ยชางอ๋องกริ่งเกรงที่สุดก็คือขุนนางกลุ่มนี้เอง  พวกเขาจึงต้องผลักดันให้ฉีเซี่ยงหมิงขึ้นเป็นต้าอ๋องให้ได้

ส่วนองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง  อย่าได้คิดว่าเขากลายเป็นหมากถูกคนสองกลุ่มผลักไปทางนู้นทีทางนี้ทีแล้วจะน่าสงสาร  แท้จริงผู้ได้ประโยชน์เต็มๆก็คือเขา  เพราะเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างยื่นเงื่อนไขเพื่อโน้มน้าว  ทำให้ฉีเซี่ยงหมิงสามารถใช้ทั้งสองฝ่ายคานอำนาจกันเอง  ผลักดันให้ตัวเขาได้ประโยชน์สูงสุด...สร้างฐานอำนาจเพื่อต่อกรกับฉีเซี่ยงหยวน !

โครงสร้างอำนาจของเป่ยชางค้ำยันกันจนสับสน  นี่เป็นสภาพของแคว้นใหญ่ทุกยุคทุกสมัย  บางครั้งตัวเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจึงชมชอบขยายอำนาจออกไปมากๆ  เพราะความจริง  แคว้นยิ่งใหญ่ยิ่งมากปัญหาโดยแท้




ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 15
«ตอบ #46 เมื่อ03-08-2014 09:27:02 »


บทที่ 15 ความไว้วางใจ

“ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟัง” เหลียนอันสุ่ยกล่าว
“จำเป็นสิ  เพราะไม่ว่าอย่างไรด้วยสติปัญญาของท่านก็ต้องมองออกในไม่ช้า  นี่เป็นการชิงลงมือก่อนเพื่อสร้างความรู้สึกดีให้กับฝ่ายตรงข้ามก่อนเสนอเงื่อนไข  ให้ท่านเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดๆ  จะได้ตัดสินใจถูก” ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้น  แต่เหลียนอันสุ่ยมีความรู้สึกว่าสาเหตุหลักยังคงเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนไว้วางใจเขา
“เงื่อนไขอะไร” คนเป็นพระมาตุลาถามขึ้น
“ก็อย่างที่บอกไป  ข้าต้องการให้ท่านวางแคว้นเหลียนไว้ในมือข้า  ข้าต้องการคำมั่นว่าพวกท่านจะไม่ลอบติดต่อกับทั้งพี่รองและพระบิดา” เพราะตามหลักเหตุผล  การเกาะเกี่ยวผลประโยชน์ไว้ทั้งสองทางเป็นสิ่งที่แคว้นเล็กกว่ามักกระทำอยู่เสมอ เพื่อหาทางถอยให้กับตัวเอง
“ก่อนการแย่งชิงอำนาจทางเป่ยชางจะรู้ผล  ข้าอยากให้แคว้นเหลียนวางตัวเป็นกลาง  ข้ารับรองว่าถึงแม้ข้าจะพ่ายแพ้  แคว้นเหลียนจะไม่ถูกดึงเข้ามาในมรสุมครั้งนี้  เพื่อให้ท่านมั่นใจ ข้ารับปากว่าจะไม่เรียกร้องความช่วยเหลือใดๆจากแคว้นเหลียน  ทั้งทางเปิดเผยและทางลับ” ที่ฉีเซี่ยงหยวนต้องการคำรับปากนี้  เป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนใดๆ 

ก่อนการทำศึกสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือจำแนกมิตรศัตรู  สำหรับกับฉีเซี่ยงหยวน  ประการนี้ต้องทำอย่างรอบคอบยิ่ง  เพราะความผิดพลาดไม่ว่าเล็กน้อยถึงเพียงไหนสิ่งที่จ่ายออกไปคือชีวิต!  แม้ส่วนมากมิใช่ชีวิตของเขาเองแต่มันก็สำคัญ

เหลียนอันสุ่ยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง  สิ่งที่แคว้นเหลียนต้องการคือเวลาสำหรับฟื้นตัว  กับข้อตกลงนี้นับว่าดีและเหมาะอย่างยิ่ง
“ข้าขอเป็นตัวแทนของแคว้นเหลียนรับปากเงื่อนไขนี้กับท่าน  วันรุ่งขึ้นข้าจะให้คนส่งจดหมายลับถึงเหลียนอ๋อง” ในใจเหลียนอันสุ่ยกะส่งออกไปสองฉบับ  ฉบับหนึ่งถึงเหลียนอ๋อง  อีกฉบับถึงผู้บัญชาการกองกำลังรักษานคร  ขอเพียงคนผู้นี้จับตาดู  จะไม่มีเหตุผิดพลาดใดๆ

ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจจะซักไซ้วิธีการทำตามข้อตกลงของเหลียนอันสุ่ย  เพราะทราบอีกฝ่ายต้องมีวิธี  ตำแหน่งพระมาตุลาของเหลียนอันสุ่ยมิใช่ได้มาโดยเลื่อนลอย  ถึงแม้พระมาตุลาแคว้นเหลียนจะมิใช่คนชอบอวดโอ่อำนาจ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนแทบจะบอกได้เลยว่าเรื่องราวในแคว้นเหลียน  มีไม่กี่เรื่องที่เหลียนอันสุ่ยจัดการไม่ได้หากเจ้าตัวคิดจะทำจริงๆ

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง  ข้ายังต้องการความไว้วางใจจากท่านด้วย”
“ข้าก็รับปากไปแล้วอย่างไรเล่า” เหลียนอันสุ่ยกล่าว  น้ำเสียงงงๆไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ข้าหมายถึงตัวท่าน  ข้าต้องการให้ท่านอยู่ข้างเดียวกันกับข้า”
คนเป็นพระมาตุลาฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ  กล่าวว่า
“ถ้าท่านเข้าใจว่าข้าจะมีประโยชน์เหมือนตอนที่อยู่แคว้นเหลียนท่านก็คิดผิดแล้ว  บอกท่านตามตรง  การทหารเป็นด้านที่ข้าไม่ถนัดที่สุด  หากให้ข้าวางแผนยังพอเป็นไปได้  แต่หากให้ข้านำทัพ...รังแต่เป็นการทำลายกระบวนทัพของท่านเปล่าๆ”
ฉีเซี่ยงหยวนก็พลอยหัวเราะไปด้วย  พึมพำ
“ที่แท้ท่านก็มีเรื่องที่ไม่ถนัด  แต่ท่านวางใจ  ข้าต้องการแค่คนที่สามารถวางใจพูดคุยด้วยได้เท่านั้น  การระแวงอยู่ตลอดเวลามันน่าเหนื่อยเกินไป”
“ทำไมต้องเป็นข้า ?”
ฉีเซี่ยงหยวนมีท่าทีคิดเล็กน้อย
“อืมม์  อาจเพราะนิสัยเราเข้ากันได้กระมัง”
คนฟังนิ่งไป...เข้ากันได้จนน่าแปลกใจ  เข้ากันได้จนน่ากลัว...กลัวว่าซักวันตัวเองจะ...  พระมาตุลาแคว้นเหลียนเม้มริมฝีปาก  สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยินยอมให้มันเกิดขึ้น ขณะได้ยินฉีเซี่ยงหยวนกล่าวว่า

“ศัตรูของข้าเพิ่มขึ้นทุกวัน  ในขณะที่มิตรสหายกลับค่อยๆเหินห่างออกไป  คนที่ข้าไว้วางใจได้เหลือน้อยลงทุกทีแล้ว  การอยู่เหนือผู้อื่นมันก็ไม่ดีเช่นนี้เอง” ฉีเซี่ยงหยวนหันมายิ้มให้อีกฝ่าย  ไม่ได้มีท่าทีเจ็บปวดเสียใจ  แค่กำลังบอกเล่าความจริงข้อหนึ่ง
เหลียนอันสุ่ยกลับนิ่งอึ้งไป  คล้ายกำลังเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง  สิ่งที่ตามหลังความไว้วางใจคือความเข้าใจ  หากท่านไม่ไว้วางใจใคร  ก็จะไม่มีผู้ใดเข้าใจท่านแม้แต่ผู้เดียว

สภาพของฉีเซี่ยงหยวนเป็นความเหมือนที่แตกต่าง  เหลียนอันสุ่ยแม้เข้าใจทุกผู้คน  แต่คนที่เข้าใจเขาจริงๆกลับแทบไม่มีอยู่เลย  เพราะไม่ต้องการให้มีคนต้องเจ็บปวดเป็นกังวลเพื่อเขา  จึงไม่วางใจให้ผู้ใดทราบเรื่องราวของเขาทั้งหมด

ส่วนฉีเซี่ยงหยวน  ด้วยตำแหน่งของเขาไม่อนุญาตให้มีคนมาเข้าใจเขาได้  เพราะมันทำให้เขามีอันตราย  ต้นตอแห่งอันตรายต้องถูกกำจัดทิ้ง  เช่นนี้จึงจะไม่มีคนที่คาดเดาความคิดเขาออกตลอดกาล

“ข้ารับปากท่าน” เสียงแผ่วเบาลอดออกมาจากปากเหลียนอันสุ่ย  ขณะมองอีกฝ่ายเดินไปด้านหนึ่งของกระโจมซึ่งวางเบาะหนังเอาไว้กับพื้น  ปูทับด้วยพรมขนจิ้งจอกอันเป็นหนึ่งในของฟุ่มเฟือยไม่กี่ชิ้นในกระโจมหลังนี้
“ขอบคุณ” พูดพลางทรุดตัวนั่งลงบนพรมหนานุ่ม  ตบที่นั่งข้างตัวเป็นความหมายให้อีกฝ่ายมานั่งข้างๆ  แต่เมื่อเหลียนอันสุ่ยจะทรุดตัวลงนั่ง  กลับถูกฉุดดึงจนเสียหลัก  กลายเป็นนั่งบนตักคนตัวโตกว่าแทน  ใบหน้าคมซบลงกับไหล่ของคนที่กำลังตื่นตระหนก
“ท่านคิดกลับคำหรือ!”
“ท่านเห็นข้าเป็นคนไม่มีสัจจะขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร” เสียงบ่นงึมงำ 
เหลียนอันสุ่ยกลั้นลมหายใจ  แต่จมูกโด่งหลังจากเสียดสีไปตามผิวคอแล้ว ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอื่นอีก
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจเบาๆ  หลับตาลง  รู้สึกว่าตัวเองครุ่นคิดจนสมองเหนื่อยล้าไปหมด  กลิ่นกายอ่อนจางจากร่างสูงโปร่งกลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด  ขับไล่ความคิดที่วุ่นวายสับสนออกไป

“ขอข้าอยู่แบบนี้ซักพัก” พูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่  เมื่อเหลียนอันสุ่ยยุติการขืนตัว  ท่อนแขนแข็งแรงจึงเปลี่ยนเป็นยึดเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ
พระมาตุลาแคว้นเหลียนเหลือบมองคนที่เอาศีรษะพิงกับบ่าของเขา  ที่เนิ่นนานยังไม่ขยับตัว  อดรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายอยู่บ้างไม่ได้  คนผู้นี้แม้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง  แต่กลับไม่เคยมีครอบครัว 

เหลียนอันสุ่ยยอมรับว่าตัวเองก็ไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์อะไรนัก  แต่ยังไม่เคยลิ้มรสสภาพที่ถูกทั้งบิดาทั้งพี่ชายรวมหัวกันรุมกำจัดมาก่อน

การที่คนเราจะมีอะไรเกินกว่าคนอื่น  เราก็ต้องสูญเสียบางอย่างไปพร้อมๆกับมัน  ผู้สูงศักดิ์ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้  คนที่ยิ่งมีเกินกว่าคนอื่นมากเท่าไหร่  สิ่งที่พวกเขาต้องจ่ายออกไปก็จะยิ่งแพงเท่านั้น  ฉีเซี่ยงหยวนแม้มีทุกอย่างที่คนทั่วไปไม่มี  แต่สิ่งที่คนทั่วไปต่างมีกัน  เขากลับไม่เคยได้รับเลย...เหลียนอันสุ่ยหรือมิใช่เช่นกัน ?

ท่ามกลางความเงียบงันมีแต่เสียงลมหายใจที่ทอดอย่างสม่ำเสมอของฉีเซี่ยงหยวน  กับลมหายใจที่ผ่อนคลายลงทีละน้อยของเหลียนอันสุ่ย  คล้ายมนต์ขลังบางอย่างกำลังถักทอท่ามกลางความว่างเปล่า  พันธนาการเส้นบางๆที่มองไม่เห็นนับร้อยนับพันสายค่อยๆถักทอตัวเองขึ้นทีละสาย  ทั้งที่ไม่ควรจะเป็น  แต่ขณะผู้คนไม่ทันระวัง  มันก็ร้อยรัดคนสองคนเอาไว้ด้วยกัน

เพราะความรัก...ไม่เคยสนใจความไม่สมควรใดๆมาก่อน...

เหลียนอันสุ่ยแม้ถูกเงื่อนไขของฉีเซี่ยงหยวนพันธนาการไว้จนดิ้นไม่หลุด  แต่เขากลับไม่ทราบเลยว่าพันธนาการเส้นบางๆที่กำลังเกิดขึ้นนี้ยังแน่นหนากว่าพันธนาการใดๆที่เคยเจอมามากนัก  เพราะโซ่ตรวนอำนาจเพียงพันธนาการร่างกาย  แต่ความรัก...กลับพันธนาการจิตใจ  ...อ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนเองก็ดูเหมือนจะไม่ทราบเช่นกัน...
---------------------
ฝุ่นตามรายทางฟุ้งขึ้นตามจังหวะการก้าวย่างของม้า  วันนี้เป็นวันที่ 7 ของการเดินทางแล้ว อีกเพียง 3 วันจะบรรลุถึงเมืองชั้นนอกของแคว้นใหญ่อย่างแคว้นเป่ยชาง  หลังจากควบผ่านท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยบึงและหนองน้ำ  ทางเดินรถที่ทำหยาบๆ เริ่มปรากฏออกมาให้เห็น
แม้ทางพวกนี้จะพอมีหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่กระจัดกระจาย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนนอกจากหยุดเติมน้ำ ก็ไม่ได้แวะพักที่ใด
‘หมู่บ้านตามชายแดนเล็กๆเช่นนี้  หากทัพใหญ่ของเราหยุดพักรังแต่สร้างความอกสั่นขวัญหายให้กับพวกเขาเปล่าๆ’ เจ้าตัวบอก  แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางต่อไป

ปรกติเหลียนอันสุ่ยจะไม่ค่อยลงจากรถม้าระหว่างเดินทาง เพราะไม่คิดจะทำให้เกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็น  แต่วันนี้อยู่ๆ หลิวฉางเฟยก็มารายงานว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการพบ  จึงต้องย้ายจากรถม้าตัวเองมาอยู่บนรถม้าของท่านอ๋องน้อยแห่งเป่ยชาง
ว่ากันตามจริงอ๋องน้อยเป็นเพียงคำเรียกหาอย่างให้เกียรติ ที่มีนัยแฝงถึงตำแหน่งต้าอ๋ององค์ต่อไป  บรรดาลูกๆของเป่ยชางอ๋องจึงชมชอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเรียกขานด้วยคำนี้  แต่ถ้าจะเรียกกันจริงๆ  สมควรเรียกฉีเซี่ยงหยวนเป็นองค์ชายสี่

ตอนนี้คนเป็นองค์ชายสี่ ทั้งๆที่เรียกผู้อื่นมา แต่ตัวเองกลับยังไม่มีท่าทีว่าจะสนทนาเข้าเรื่องเสียที  เอาแต่พูดเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย
“...ที่เป่ยชางเรา อาหารการกินแม้จะไม่พิถีพิถันเท่ากับแคว้นเหลียน  แต่ก็ดีเยี่ยมกว่าบรรดาอาหารในค่ายอยู่มาก  ถ้าท่าน...”
“อาหารในค่ายเน้นความฉับไว จึงปรุงอย่างง่ายๆ ข้อนี้ข้ารู้   และก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร  ตอนนี้ที่ข้าอยากรู้คือ ท่านมีเรื่องหารืออะไร  จึงให้คนไปเชิญข้ามา”
ฉีเซี่ยงหยวนเหลือบตามอง  จะให้พูดได้อย่างไรว่าที่เชิญมาเป็นเพราะนั่งรถม้านานๆแล้วมันเบื่อ  พอเบื่อก็รู้สึกอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา
เหลียนอันสุ่ยเห็นคนฟังไม่ตอบคำก็ขมวดคิ้ว  ทำท่าจะจากไป...
“ครั้งสุดท้ายที่เรานั่งรถม้าด้วยกันแบบนี้  มีเหตุไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่เลยว่าไหม” ได้ยินคำพูดนี้เหลียนอันสุ่ยจึงเปลี่ยนเป็นนั่งลงใหม่  ถามอย่างระมัดระวังว่า
“กับเรื่องนี้ท่านพอจะได้เบาะแสอะไรรึเปล่า  พอจะ...ให้ข้ารู้ได้บ้างหรือไม่”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  ขอเพียงเป็นเรื่องที่จะโยงไปถึงแคว้นเหลียนได้  พระมาตุลาผู้นี้ต้องให้ความสำคัญตลอด  แต่ปากก็ยินยอมตอบว่า
“ท่านจะเชื่อหรือไม่  ถ้าข้าจะบอกว่าคนบงการคือพี่รองข้าเอง”
เหลียนอันสุ่ยอึ้งไป
“...เขาทำเช่นนี้  ไม่เท่ากับเป็นการทำให้ชาวเหลียนกับชาวเป่ยชางผิดใจกันหรอกหรือ”

“เขาต้องการให้ชาวเหลียนผิดใจกับ ‘ข้า’ ต่างหาก  ตอนนี้สิ่งที่พี่รองกลัวที่สุดคือการที่แคว้นเหลียนจะให้การช่วยเหลือข้า  สร้างเรื่องให้คนของข้ากับแคว้นเหลียนทะเลาะกัน  ตัวเองจะได้ยื่นมือเข้ามาช่วย ‘ไกล่เกลี่ย’ ”
สมควรบอกว่าช่วยกระพือไฟยุยงมากกว่า  เพราะถ้าไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ ฉีเซี่ยงหมิงคิดยื่นมือเข้ามาก็ทำไม่ได้  เพราะแคว้นเหลียนเป็นฉีเซี่ยงหยวนไปยึดมา  สัมพันธไมตรีก็เป็นฉีเซี่ยงหยวนสร้าง  แล้วจะมีช่องว่างที่ไหนให้ฉีเซี่ยงหมิงดึงแคว้นเหลียนเข้าไปเป็นพวกกัน?

เหลียนอันสุ่ยได้ฟังก็ถอนหายใจ  การแย่งชิงอำนาจของแคว้นเป่ยชางช่างน่ากลัว กระทั่งตัวอยู่ห่างไปคนละแคว้นก็ยังยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว  เมื่อแคว้นเหลียนถูกผนวกเข้ากับเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยก็แทบจะมองเห็นความวุ่นวายที่แคว้นเหลียนจะต้องพัวพันในอนาคตแล้ว

“อันที่จริงเรื่องนี้ยังมีคนร่วมผสมโรงอีกคน” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขึ้น
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้ามองคนพูด
“ใคร ?”
“ท่านรู้จักหนานเหมินอ๋องรึเปล่า”
ตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยปรากฏแววตื่นตระหนก  กวาดมองฉีเซี่ยงหยวนขึ้นๆลงๆอย่างไม่อยากจะเชื่อ  กล่าวว่า
“ท่าน...นี่ท่านไปตอแยเขาได้ยังไง”
“ครั้งนี้เป็นเขาตอแยข้าต่างหาก” ฉีเซี่ยงหยวนยังมีกะใจเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง  กล่าวต่อว่า “ข้าเดาว่าในพวกที่รายล้อมอยู่รอบตัวพี่รอง  คงมีคนของหนานเหมินอ๋องอยู่”
นี่มิใช่เรื่องทั่วไป จริงอยู่พวกแคว้นใหญ่ๆ ชอบยื่นมือเข้าไปแทรกแซงแคว้นอื่น และก็แทรกแซงกันเอง  แต่กระทั่งแผนลอบสังหารที่ควรจะเป็นความลับยังถูกล่วงรู้  แสดงว่าคนที่เป็นหนอนบ่อนไส้ต้องมีตำแหน่งสูงยิ่ง  และได้รับความไว้วางใจจากฉีเซี่ยงหมิงอย่างยิ่งด้วย
หนานเหมินอ๋องน่ากลัวจนเป็นที่เลื่องลือ  ฉีเซี่ยงหยวนก็เป็นคนน่ากลัวคนหนึ่ง  ความจริงเหลียนอันสุ่ยสมควรจะคาดเดาได้ว่าสองคนนี้คงมีวันต้องโคจรมาเจอกัน แต่คิดไม่ถึงพวกเขากลับพัวพันกันนานแล้ว
“แล้วท่าน...จะทำอย่างไรต่อไป”
“ก็ไม่ยังไงหรอก  แต่เรื่องในแคว้นเป่ยชาง  ข้าจะให้หนานเหมินอ๋องรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว” ดวงตามองตรงไปอย่างแน่วแน่  ดุจกำลังเอ่ยกับหนานเหมินอ๋องที่อยู่ห่างไกลออกไป

เหลียนอันสุ่ยมองโอรสองค์ที่สี่ของเป่ยชางอ๋อง  อดรู้สึกกังวลแทนอีกฝ่ายอยู่บ้าง  เพิ่งทราบว่าสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนเผชิญหน้าอยู่ตลอดเป็นเรื่องอันตรายถึงเพียงนี้  จากนั้นดวงตาคู่งามก็หยุดชะงัก  หลุบลงต่ำ  มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย

นี่เขากำลังกังวลอะไร  ในหัวประหวัดถึงคำร่ำลือมากมายเกี่ยวกับอ๋องน้อยผู้นี้...คนที่ไม่อาจใช้กฎเกณฑ์ธรรมดาไปตัดสิน
อาจบางทีนี่ต่างหากคือที่ของฉีเซี่ยงหยวน  เบื้องหน้าทหารนับหมื่น  ศัตรูผู้กล้าแข็ง  แผนการที่หวาดเสียวอันตราย  เช่นนี้จึงสามารถเปล่งประกายของเขาออกมา...
---------------------
รอบนอกเมืองของแคว้นเป่ยชาง  ที่ใกล้พรมแดนแคว้นเหลียนที่สุดคือเมืองอู๋เล่ย  เมืองอู๋เล่ยเป็นเมืองหน้าด่านติดชายแดน  มีทหารชายแดนประจำอยู่ไม่น้อย  ทหารเหล่านั้นเมื่อเห็นชัดว่าเป็นธงของใครมา  ก็โห่ร้องอย่างยินดี  เปิดประตูเมืองรับแต่ไกล
เหลียนอันสุ่ยมองการทักทายอย่างสนิทสนม กับแววเคารพเทิดทูนที่เจิดจ้าอยู่ในตาของเหล่าทหารก็ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจึงเป็นขวัญใจพวกเขาอย่างแท้จริง  สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนบทบาททางทหารที่เหนียวแน่นมั่นคง  มิน่าเล่าเป่ยชางอ๋องจึงเกรงกลัวบุตรชายคนนี้นัก

ทันทีที่ทัพทั้งหมดเข้ามาในประตูเมือง  เหลียนอันสุ่ยก็เห็นความกระจัดกระจายเป็นครั้งแรกในทัพของฉีเซี่ยงหยวน  เมื่อผู้บัญชาการประกาศให้แยกย้ายพักผ่อน  ทหารที่เคร่งขรึมพากันกระจายตัวออก  พวกมีหน้าที่อารักขาก็อารักขาไป  ที่ต้องขนย้ายจัดเก็บก็ทำหน้าที่ของตัวเอง  ส่วนพวกที่เหลือก็ตบเท้าเดินเข้าไปเสวนากับเหล่าทหารชายแดน  บางส่วนเกาะกลุ่มกันไปหาความสำราญในเมือง

แน่นอนว่าส่วนที่แน่นหนาที่สุดคือบริเวณที่ฉีเซี่ยงหยวนยืนอยู่  รอบๆตัวเขาเต็มไปด้วยคลื่นมนุษย์ เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเดินเข้าไปในเมือง  คลื่นมนุษย์กลุ่มนั้นก็เคลื่อนตามไปด้วย  สำหรับคนเหล่านี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่เพียงเป็นนายเหนือของพวกเขา  ยังเป็นเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพเทิดทูน

เจ้าเมืองอู๋เล่ยเป็นชายร่างใหญ่  ผิวดำคล้ำเพราะเกิดจาการกรำแดดกรำฝนมานานปี  ออกมาต้อนรับถึงนอกจวน  ฉีเซี่ยงหยวนตบบ่าตบไหล่กับเขาแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างสนิทสนม  ภายหลังเหลียนอันสุ่ยจึงทราบว่า  ฉีเซี่ยงหยวนกับเจ้าเมืองผู้นี้เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา  ตั้งแต่ตอนฉีเซี่ยงหยวนยังเป็นหน้าใหม่ในกองทัพ

ห้องหับที่ดีที่สุดในเมืองย่อมตกเป็นขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยกับฉีเซี่ยงหยวนล้วนได้รับการจัดให้พักอยู่ในจวนเจ้าเมืองแต่คนละฟากของช่วงตึก  ตั้งแต่แยกกันตอนเข้าเมือง  พระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ไม่ได้เห็นหน้าฉีเซี่ยงหยวนไปอีกหลายวัน 
เหลียนจิ้งเต๋อแม้ยังไม่ค่อยชิน  หากก็พอปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้แล้ว  เพราะถึงเมืองอู๋เล่ยจะเป็นเมืองชายแดน  แต่สภาพความเป็นอยู่ย่อมดีกว่าตอนที่อยู่ในค่ายมากนัก 

จนมาถึงคืนที่สามซึ่งเป็นคืนสุดท้ายก่อนจะเดินทางต่อไป  เหลียนอันสุ่ยจึงได้เห็นหน้าองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง...



ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 16
«ตอบ #47 เมื่อ03-08-2014 09:53:56 »


บทที่ 16 อู๋เล่ย (ไร้น้ำตา)

ห้องพักของฉีเซี่ยงหยวนอยู่บนชั้นสอง  เหลียนอันสุ่ยเดินขึ้นบันไดตามหลิวฉางเฟยไปอย่างเชื่องช้า  ในหัวคาดเดาถึงสาเหตุที่ถูกเชิญมาพบดึกดื่นเที่ยงคืน  เหลียนจิ้งเต๋อหลับไปซักพักแล้ว  เหลียนอันสุ่ยนึกโชคดีที่เป็นเช่นนั้น  ไม่ว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการอะไร  เด็กคนนั้นก็จะไม่รู้เด็ดขาด  เพราะที่นี่ไม่ใช่ค่าย  สัญญา...สิ้นสุดลงแล้ว

หญิงรับใช้เลื่อนเปิดบานประตู  เหลียนอันสุ่ยก้าวเข้าไปในห้อง  หลิวฉางเฟยกับหญิงรับใช้ไม่ได้ตามเข้ามาด้วย  บานประตูเลื่อนปิดแผ่วเบา  ห้องชั้นนอกไม่มีร่องรอยของผู้คน  ประตูชั้นในปิดสนิท  มีแสงสลัวรางลอดออกมา  เหลียนอันสุ่ยผลักเปิดมันช้าๆ

เงาร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง  ห้องชั้นในจุดโคมตัวเดียว  ทำให้แสงจันทร์นอกหน้าต่างแจ่มกระจ่างยิ่งกว่า  แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศโดยรวมก็ยังมือสลัวอยู่บ้าง  ในมือของฉีเซี่ยงหยวนมีจอกเหล้า  บนโต๊ะมีสุราหลายป้านส่งกลิ่นหอมชวนมึนเมาจางๆอวลอยู่ในอากาศ

ตั้งแต่เข้ามาในห้องเหลียนอันสุ่ยก็รู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ปรกติ  อ๋องน้อยลำดับสี่แห่งเป่ยชางยังคงสวมชุดลำลองสีดำเช่นเดียวกับวันอื่นๆ  แต่แววตาดำสนิทคู่นั้นกลับลึกล้ำดำมืดยิ่งกว่า  ในความคมวาวมีบางอย่างแปลกไป

ทันทีที่ได้ยินเสียงเลื่อนปิดประตู  ศีรษะที่ก้มพินิจจอกเหล้าในมือก็เงยขึ้น
“ท่านมาแล้ว ?” นี่เป็นคำถามที่ความจริงไม่จำเป็นต้องตอบ  แต่เหลียนอันสุ่ยก็รับคำ
“อืมม์”
“ประเสริฐ” พึมพำพลางวางจอกเหล้าในมือลง  มุมปากคล้ายมีรอยยิ้ม  แต่ดวงตายังคงลึกล้ำดำมืดเช่นเดิม
เหลียนอันสุ่ยหันไปพิจารณาป้านสุรา  คล้ายกำลังคาดเดาว่าอีกฝ่ายดื่มไปมากแค่ไหน  ร่างกลับถูกฉุดดึงจนเสียหลักล้มลงบนเตียง ร่างหนาขยับขึ้นทาบทับ  ริมฝีปากที่เจือกลิ่นสุราประกบลงมา  รสขมฝาดจากปลายลิ้นแพร่ไปจรดลำคอ  เสื้อผ้าถูกฝ่ามือใหญ่ฉีกทึ้งออก  ร่างกายถูกกอดรัดแน่น  ฝ่ามือใหญ่ขยับไปทั่ว  สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนหยาบคายจาบจ้วง

เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากขณะร่างใหญ่รุกเร้าเข้ามาอย่างป่าเถื่อนดุดัน  ถึงแม้ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วเพราะร่างกายยังไม่พร้อม  แต่ผู้ถูกกระทำไม่ได้ขัดขืนผลักไส

อยู่ๆฉีเซี่ยงหยวนก็ชะงัก  คล้ายกับเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป  เงยหน้ามองคนที่ทั้งไม่ส่งเสียงร้อง  ทั้งไม่ผลักไสอย่างไม่เข้าใจ  สายตาของเหลียนอันสุ่ยสงบนิ่ง  มองมาเงียบๆคล้ายจะถามว่า ‘เป็นอะไรไป’

วินาทีนั้นยาวนานราวชั่วกัลป์  ลำคอหนาพลันแห้งผาก  ร่างสูงกำยำรวบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วผละห่าง  ก้าวช้าๆจนชิดริมหน้าต่าง  แผ่นหลังกว้างถูกแสงจันทร์ทอดเป็นเงารางเลือนบนพื้นเยียบเย็น

“ท่านไปเถอะ” คำกล่าวแผ่วเบาโดยไม่หันมามอง  เค้นออกจากลำคอทีละคำ 
เหลียนอันสุ่ยลุกขึ้นนั่งช้าๆ  มือจัดเสื้อตัวในให้เรียบร้อย  แต่ไม่ได้จากไป

ฉีเซี่ยงหยวนมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่เป็นนาน  เมื่อรั้งสายตากลับมา  ตระเตรียมเห็นห้องที่ว่างเปล่า  สายตากลับพบคนที่ควรจากไปแต่ไม่ได้ไป
“ทำไมท่านไม่ไปซะ”
“...”
“หรือไม่กลัวข้าทำตัวหยาบคายกับท่านอีก”
คำตอบยังคงเป็นสายตาที่จ้องมองมาราวกับจะถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’   เห็นสายตาคู่นั้นแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนก็เบือนหน้ากลับไปยังบานหน้าต่าง  เวลาไหลผ่านไปกับความเงียบงัน  มีเสียงพึมพำแผ่วเบา
“ท่านว่าลูกแบบไหนกันที่วางแผนฆ่าพ่อตัวเอง”

“...” ไม่มีคำตอบ  ฉีเซี่ยงหยวนก็คล้ายไม่ต้องการคำตอบ  น้ำเสียงอธิบายต่อราบเรียบ  คล้ายไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับตัวเอง
“พรุ่งนี้พอยกทัพออกจากเมืองอู๋เล่ยก็จะไม่สามารถปกปิดร่องรอยอีก  เมื่อพี่รองรู้ว่าข้ามาประชิดเมืองชั้นนอกแล้ว  เขาจะถูกบีบให้ต้องลงมือกับพระบิดา  และข้า...ก็จะกำจัดเขา  พี่รองมีสายเลือดมีสายเลือดเหมือนข้าแค่ครึ่งเดียว  ยังพอบอกปัดความรับผิดชอบได้  แต่พระบิดา...”
คล้ายกับมีเสียงหึเบาๆ  กับรอยยิ้มวูบขึ้นมาบนเรียวปาก  ต่อจนจบประโยคว่า
“ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือพระบิดาของข้า...”
“มันไม่ใช่ความผิดของท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินก็เหยียดยิ้มกว้างกว่าเดิม  ดวงตาคล้ายมองไปข้างหน้า  แต่ก็คล้ายไม่ได้มองไปที่ใดเลย  กล่าวช้าๆ ว่า
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ก็มันเป็นความต้องการของข้าเอง ...พี่รองไม่ได้คิดฆ่าพระบิดา  แต่ถ้าข้ายังเดินทัพต่อไปเช่นนี้  พี่รองจะเหลือเพียงหนทางเดียว...”

ลงมือกับเป่ยชางอ๋อง...

ประโยคที่ขาดหาย  เหลียนอันสุ่ยแม้ต่อได้  แต่ไม่ได้กล่าวออกไป  รู้สึกเหมือนถูกความเยียบเย็นบางอย่างกรีดเฉือน  คล้ายกับเป็นปลายดาบ  แต่ดาบใดๆคงไม่เยียบเย็นถึงเพียงนี้ 

หากจะมีดาบเช่นนี้อยู่เล่มหนึ่ง  ก็ต้องเป็นดาบแห่งอำนาจ  ดาบที่ไร้น้ำใจที่สุด...เฉือนแบ่งทุกความสัมพันธ์จนเหลือเพียงเศษธุลี  ไม่ทราบมีคนมากมายเท่าใดที่ถูกมันทำร้ายมา

 “ทั้งๆที่รู้  แต่พรุ่งนี้ข้าก็จะยกทัพออกไป  ทำตามแผนการที่วางไว้นานปี  เพราะไม่มีวิธีใดง่ายดายกว่านี้  ไม่มีช่วงเวลาใดเหมาะสมไปกว่านี้อีก...ความจริงตั้งแต่แรกมาข้าก็รอคอยช่วงเวลานี้มาตลอด”

ยืมมือพี่ชายกำจัดเป่ยชางอ๋อง  เพราะไม่ต้องการลงมือเอง  และไม่อาจลงมือเอง  คนที่ฆ่าบิดาตัวเองจะถูกประณามทั้งแผ่นดิน  คนที่ฆ่าเป่ยชางอ๋องจะไม่เป็นที่ต้อนรับของชาวเป่ยชาง  คนตรงหน้าจงใจยัดเยียดบทบาทนี้ให้กับฉีเซี่ยงหมิง  เพียงเท่านี้ก็จะมีข้ออ้างกำจัดพี่ชายตัวเองโดยเปิดเผย  และตัดแรงสนับสนุนจากมวลชนของอีกฝ่ายไป

ช่วงเวลานี้เหมาะสมที่สุดเพราะฉีเซี่ยงหยวนเพิ่งยึดแคว้นเหลียนได้  อำนาจบารมีอยู่ที่จุดสูงสุด มีทัพพร้อมพรักอยู่ในบัญชา  ยิ่งไปกว่านั้น  หนานเหมินอ๋องเพิ่งมีปัญหากับทางแคว้นโหยวเฉิง  สองแคว้นใหญ่จึงไม่อาจยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย ฉกฉวยโอกาสตอนบัลลังก์เปลี่ยนมือได้เต็มที่

แผนการอันรอบคอบ  แผนการอันอำมหิต  แผนครั้งนี้คราเดียวถางอุปสรรคทั้งหมดที่จะมีต่อหนทางสู่บัลลังก์อ๋องจนราบรื่น  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็เข้าใจเรื่องราวทุกประการแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนมองแววตาอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปทีละน้อยจนสิ้นสุด  แล้วจึงถามว่า
“ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
“...อืมม์”
ได้ยินคำขานรับฉีเซี่ยงหยวนก็หันหน้ากลับไป  เงาร่างสูงใหญ่คล้ายเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นกว่าเดิม  น่าพรั่นพรึงกว่าเดิม  หากเหลียนอันสุ่ยมิได้ถอยหนี กลับก้าวเข้ามายืนเคียงกัน

 สายตาสงบราบเรียบของพระมาตุลาไม่ได้จับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง  แต่พิศใบหน้าด้านข้างที่คมคายชัดเจน  มองแนวกรามที่ขบจนเป็นสัน  ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนยังคงสงบนิ่ง  หากฝ่ามือใหญ่บีบขอบหน้าต่างแน่น  ดวงตาดำสนิทซับซ้อนมองเลยดวงจันทร์ออกไป  ในประกายตาเร้นลึกเหมือนมีความปวดร้าวบางประการซุกซ่อนอยู่อย่างมิดชิด  ...กรีดร้อง...โดยไม่มีน้ำตา

...ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือพระบิดาของข้า...

ไม่มีคำพูดใดจะชัดเจนไปกว่านี้  ไม่ว่าก่อนหน้านี้เป่ยชางอ๋องจะปฏิบัติกับฉีเซี่ยงหยวนมาอย่างไร  แต่เป่ยชางอ๋องก็คือบิดาเพียงคนเดียวของเขา  โดยไม่อาจผิดเพี้ยนไปได้

มิน่าเล่าฉีเซี่ยงหยวนจึงดื่มสุรา  เพราะวันพรุ่งนี้เมื่อก้าวออกไปแล้ว...ทุกอย่างจะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม

เสียงถอนหายใจตามด้วยเสียงกล่าวดุจรำพึงกับตัวเอง
“ในสมรภูมิข้าฆ่าคนมามากมาย...ทั้งๆที่รู้ว่าพวกเขาต่างมีญาติพี่น้อง  สุดท้ายก็ยังคงฆ่าไป...แต่พอมาเป็นบิดากับพี่ชายตัวเองกลับทำใจยากขึ้นมา...น่ารังเกียจจริงๆ”
“มันไม่ใช่ความผิดของท่าน” เหลียนอันสุ่ยพูดเบาๆ
“แล้วเป็นของใครกัน ?” เสียงย้อนถามราบเรียบ
“ไม่ว่าจะเป็นของใคร...มันก็ไม่ใช่ของท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหันมามองอีกฝ่ายตรงๆ  ขณะกล่าวช้าๆทีละคำว่า
“ท่านรู้หรือไม่  ข้าจะล้มเลิกแผนการนี้ก็ได้  จะถอยก็ยังได้อยู่  พวกที่สนับสนุนข้า  ข้าก็มีวิธีทำให้พวกเขาไม่ได้รับผลกระทบ  แต่ข้าจะไม่ถอย  ข้าจะไม่รออีก...เพราะทางนี้...ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดิน” ผู้อื่นอาจไม่เข้าใจ  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ 
ชีวิตของคนบางประเภทมีพันธกิจที่แน่นอน  มันมิใช่หน้าที่  แต่เป็นยิ่งกว่าหน้าที่ เพราะมันคือตัวตนของเขา  ที่ของฉีเซี่ยงหยวนอยู่ที่นี่  และเมื่ออยู่ที่นี่เขาก็ต้องก้าวต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง  ทุกประการเป็นเขาเลือกเอง

มีทางเลือก...บางครั้งยังเจ็บปวดยิ่งกว่าไม่มี  เพราะไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายผู้ที่ท่านจะตำหนิได้ก็มีเพียงตัวท่านเอง

“มันไม่ใช่ความผิดของท่าน” คนฟังยังคงย้ำคำเดิม

ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป  มองแววตาของอีกฝ่าย ค้นหาความโกหกหลอกลวงที่แอบแฝงอยู่  แต่แววตาของเหลียนอันสุ่ยก็เป็นเช่นเดียวกับน้ำเสียง...นุ่มนวลอ่อนโยนดุจสายน้ำ  ค่อยๆชะเอาความเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ในวิญญาณของคนออกไปอย่างแผ่วเบา
ฉีเซี่ยงหยวนเคยเห็นประกายตาเช่นนี้ คราวนั้นผู้ได้รับมันคือหญิงบรรณาการนามจือหลัน  แต่ตอนนี้มันเป็นของเขา  ใช่แล้ว  ของเขาคนเดียว  คิดพลางเอื้อมมือออกไปไขว่คว้าโดยไม่รู้ตัว  ฉุดดึงร่างอบอุ่นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด  ใบหน้าคมซบลงกับเรือนผมหนา  หลับตาลง  รู้สึกเหมือนฝันไป  พึมพำว่า
“ท่านต้องใจดีอย่างนี้เสมอเลยหรือ”

คนผู้หนึ่งเมื่อทำความผิดร้ายแรงจนไม่อาจแก้ไข  สิ่งที่เขาต้องการที่สุด คือใครซักคนที่บอกว่า... ‘มันไม่ใช่ความผิดของท่าน’   ปากของฉีเซี่ยงหยวนแม้บอกให้อีกฝ่ายไป  แต่ใจจริงกลับหวังให้อีกฝ่ายอย่าได้ไปเลย  ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง  เขาได้รับมันมาจนพอแล้วจริงๆ

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยหรี่แสงลง เจ็บปวดไปกับอีกฝ่าย เหตุใดผู้คนจึงชมชอบคิด  คนที่อยู่ในอำนาจฆ่าพ่อแม่พี่น้องตัวเองเป็นเรื่องธรรมดา  ความจริงนี่ไม่สามารถเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับใครได้เลย  อำนาจแม้โหดเหี้ยม  แต่คน...แท้จริงไม่ได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น

ครอบครัวของฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่อาจนับเป็นครอบครัว  แต่มันก็เป็นครอบครัวเพียงครอบครัวเดียวของเขา  คนที่อยู่กับอำนาจโดดเดี่ยวอ้างว้างมาแต่เล็ก  แล้วเหตุใดจึงต้องปรารถนาความโดดเดี่ยวยิ่งกว่าเดิมอีกเล่า?

เรื่องราวคราวนี้ความจริงมิใช่ความผิดของฉีเซี่ยงหยวนเลย  หากไม่ทำการให้รวบรัดไปในคราเดียว  ราษฎรจะต้องอกสั่นขวัญแขวนไปอีกนานเท่าไหร่  ความมั่นคงของแว่นแคว้นจะไปอยู่ที่ใด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยแม้แต่คิดจะใช้เรื่องราวเหล่านี้เป็นข้ออ้าง  เพราะสำหรับเขา ไม่ว่าทำเรื่องใดก็เป็นไปเพื่อตัวเองทั้งสิ้น

ประชาราษฎร์มีความสุข  เขาก็มีความสุข  แว่นแคว้นมั่นคงรุ่งเรือง  เขาก็ปิติยินดี  ทำศึกประสบชัย  เขาก็ภาคภูมิใจ  มีศัตรูกล้าแข็ง  ก็เป็นความพึงพอใจในชีวิตของเขาเอง

คนเป็นพระมาตุลาถอนหายใจ  คนผู้นี้เหตุใดจึงไม่ทำเช่นผู้อื่น  ทั้งที่การอ้างถึงบ้านเมืองราษฎรเป็นหนทางที่เจ็บปวดน้อยกว่าแท้ๆ  เรียวปากปรากฏรอยยิ้มขมขื่น  ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเหลียนอันสุ่ยว่าการแบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เองหนักหนาสาหัสเพียงใด
สัมผัสแผ่วเบาที่ผิวแก้ม  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไป  จูบนั้นค่อยๆเลื่อนมาแตะลงบนเรียวปากหนาเบาราวละอองฝนพร่างพรม  ดุจจะปลอบประโลม  ฉีเซี่ยงหยวนจูบตอบ  เปลี่ยนสัมผัสแผ่วเบากลายเป็นแนบแน่นดูดดื่ม  ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นความฝันหรือความจริง  หนึ่งเดียวที่ฉีเซี่ยงหยวนทราบคือตัวเองไม่อาจปล่อยอีกฝ่ายไป  บางส่วนในจิตใจโหยหาความอ่อนโยนเช่นนี้  มือหยาบกร้านโอบร่างผอมบางกว่าแน่น

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงช้าๆ  ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนหลังคอหนาที่แข็งเกร็งคลึงไล้อย่างอ่อนโยน  ริมฝีปากซึมซาบทุกความปวดร้าว  ค่อยๆสลายมันไปช้าๆ  รู้แต่ว่าตัวเองยินดีทำทุกอย่างเพื่อคนผู้นี้  เพราะสำหรับคนเช่นพวกเขา  มีเวลาเจ็บปวดแค่คืนเดียว  ยินยอมให้ตัวเองอ่อนแอเพียงคืนเดียว  พรุ่งนี้ฉีเซี่ยงหยวนจะเป็นจอมทัพที่ไร้ผู้ต่อต้าน  เป็นบุคคลที่ทหารนับหมื่นฝากชีวิตไว้ในกำมือ  ขอเพียงผ่านพ้นคืนนี้ไปก็พอ...

เงาร่างสองสายประสานกันจนเป็นเงาเดียว  แสงจันทร์นอกหน้าต่างดูจะว้าเหว่น้อยกว่าเดิม  อบอุ่นนุ่มนวลกว่าเดิม  ในประกายเรื่อเรืองแห่งรัตติกาล  ฉีเซี่ยงหยวนค่อยๆวางร่างสูงโปร่งลงบนเตียง  สายตาจับจ้องใบหน้าหมดจดนิ่ง  ไม่ได้มีท่าทีจะล่วงเกินอะไรอยู่เป็นนาน  ราวต้องการจะมองเช่นนี้ไปตลอดทั้งคืน

คนถูกมองทาบฝ่ามือขาวลงกับใบหน้าคมที่คร้ามแดด  ไล้ปลายนิ้วไปตามหางคิ้ว  เรื่อยลงมาจนถึงโหนกแก้ม  กล่าวเบาๆว่า
“ทำอย่างที่ท่านอยากทำเถอะ”
คำกล่าวทำให้ฉีเซี่ยงหยวนที่กำลังซึมซับความอบอุ่นจากฝ่ามืออีกฝ่ายต้องชะงัก  เงยหน้ามองคนพูดช้าๆแววตาไม่อยากเชื่อ  แต่แววตาคู่งามที่มองสบมาถ่ายทอดประโยคที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยจนสมบูรณ์
‘ลืมมันไปซะให้หมด  นึกถึงแต่ข้าก็พอ’
ฉีเซี่ยงหยวนจรดจมูกลงกับผิวแก้ม  ค่อยๆสัมผัสอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน  ลืมทุกความเจ็บปวดสับสน  ให้คงเหลือคนเพียงคนเดียว...
---------------------
แสงแดดยามเช้าจากบานหน้าต่างทอดจับขนตา  เหลียนอันสุ่ยลืมตาขึ้นช้าๆ  อากาศแห้งๆที่เจือความเย็นอยู่จางๆของฤดูใบไม้ร่วงพัดแตะผิวแก้ม  เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย  เดินไปหยุดนิ่งที่ริมหน้าต่าง  แต่หันหลังให้กับบรรยากาศเยือกเย็นด้านนอก  ปลายนิ้ววางลงบนขอบหน้าต่าง  สายตาทอดจับใบหน้าของผู้ที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียง
ฉีเซี่ยงหยวนหลับสนิทอย่างที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเห็นมาก่อน  ปรกติถ้าไม่ได้เป็นฝ่ายลุกจากเตียงไปก่อน  ทุกครั้งที่เหลียนอันสุ่ยขยับตัว  ฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้องรู้สึกตัวทันทีต่อให้เผลอหลับไปก็ตาม  นั่นคือสัญชาตญาณระวังภัย  ไม่ว่าจะตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพ นักรบ หรือองค์ชาย  ต่างต้องระวังอยู่ตลอดเวลา  ไม่อาจข่มตาหลับสนิทจนเป็นความเคยชิน

นี่เป็นครั้งแรก  และอาจเป็นครั้งเดียวที่เหลียนอันสุ่ยเต็มใจมอบมันให้กับอีกฝ่าย...เขาไม่เสียใจ

เหลียนอันสุ่ยละมือจากขอบหน้าต่าง  หมุนกายจากไป
---------------------
หลังเหลียนอันสุ่ยจากไปได้ครึ่งชั่วยามฉีเซี่ยงหยวนก็ตื่น  สายตาจับไปตามเพดานอยู่พักหนึ่งเพื่อลำดับเรื่องที่เกิด  จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว  มือยื่นออกไปไขว่คว้าทันทีจนแทบจะเป็นอิริยาบถเดียวกัน  หากคว้าได้เพียงความว่างเปล่า  เหลียนอันสุ่ยไปแล้ว  บนเตียงมีแต่เขาคนเดียว...

ฉับพลันนั้นความรู้สึกสูญเสียรุนแรงก็กระแทกตัวเข้ามา  มือใหญ่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมลวกๆ  ผลุนผลันออกจากห้องไป
“ท่านอ๋องน้อย  ท่านอ๋องน้อย...” เสียงเรียกของหลิวฉางเฟยติดตามไล่หลังมา  ฉีเซี่ยงหยวนชะงักเท้าลง  หันขวับไปถาม
“เขาอยู่ไหน ?”
หลิวฉางเฟยนิ่งงง  ครู่หนึ่งจึงเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร
“พระมาตุลาอยู่ด้านล่าง  กำลังดูคนเก็บของใช้ส่วนตัวของเขาขึ้นรถม้า” เห็นแววตานายเหนือหัว  หลิวฉางเฟยก็รีบเดินนำไปทันทีที่พูดจบ
ที่ด้านล่าง  เหลียนอันสุ่ยยืนอยู่ข้างตัวรถม้า  กำลังก้มหน้าสนทนากับบุตรชาย  เหลียนจิ้งเต๋อหัวเราะ  ส่วนใบหน้าผู้เป็นบิดาประดับรอยยิ้มบางๆ

หลิวฉางเฟยชะงักเท้าลงตามผู้เป็นนาย  เงยหน้าขึ้นมองนายเหนือหัวอย่างแปลกใจ  ฉีเซี่ยงหยวนหยุดยืนมองดูสองพ่อลูกแต่ไกล  สายตาจับอยู่บนร่างของพระมาตุลาแคว้นเหลียนเนิ่นนาน...สุดท้ายกลับแค่หมุนกายเดินย้อนกลับทางเดิม  ไม่ได้เอ่ยทักและไม่ได้เข้าไปหา

สำหรับฉีเซี่ยงหยวน  เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว  หลังจากนี้ก็คือไปทำในสิ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุด...
---------------------
“มีข่าวจากมู่ซางกับฝงเป่าบ้างรึเปล่า” ฉีเซี่ยงหยวนถามถึงลูกน้องคนสนิทอีกสองคนที่ประจำอยู่ที่เป่ยชาง
“มีปัญหาขอรับ  ข่าวทางเมืองหลวงของเราสูญหายไปทั้งหมด”
“...เจ้าหมายความว่าถูกลอบเก็บ ?” ...!
“ขอรับ”
พี่รองเริ่มแล้ว  ข่าวการมาถึงเมืองอู๋เล่ยไม่ใช่ความลับอีกต่อไป...คนทรยศเป็นใคร  เหตุใดจึงสามารถเก็บสายข่าวทั้งหมด !?

=======
อัพทีเดียวสองตอน  ตอนแรกของวันเสาร์  ตอนที่สองของวันจันทร์  ดังนั้นอัพอีกทีวันพุธเลยนะคะ
หลังจากนี้จะอัพทีละสองตอน  อัพแค่วันอาทิตย์กับวันพุธ 
ซึ่งถ้าเฉลี่ยตอนดูจะเห็นว่าอัตรการอัพประมาณเดิม แค่อัพรวบทีเดียว :katai4:

ตอนนี้ใช้เวลาแต่งนานมาก
เป็นตอนที่เกี่ยวกับฉีเซี่ยงหยวนโดยตรง  แต่คนแต่งจะไม่บอกว่าตอนนี้เป็นตอนของพระเอก
เพราะถ้าอ่านดีๆแล้วจะเห็นตัวตนของเหลียนอันสุ่ยผ่านทางฉีเซี่ยงหยวน

ความจริงที่เหลียนอันสุ่ยทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะธรรมชาติของเขาที่เป็นคนเมตตา
แต่เป็นเพราะพวกเขาแท้จริงเป็นคนประเภทเดียวกัน
...เป็นคนที่ไร้น้ำตา

ไม่ว่าเจ็บปวดขนาดไหนก็ได้แต่กลืนมันเอาไว้ในใจ
ทุรนทุรายในส่วนลึกที่สุดที่ไม่มีใครได้ยิน
เมื่อมองฉีเซี่ยงหยวนเหลียนอันสุ่ยเห็นตัวเอง
อาจบางทีเวลาเหลียนอันสุ่ยยื่นมือช่วยเหลือใครๆ
ส่วนหนึ่งในใจเขาเพียงหวังว่าจะมีใครซักคนยื่นมือมาช่วยเหลือเขาเช่นกัน


ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 16
«ตอบ #48 เมื่อ05-08-2014 17:25:47 »

เป็นตอนที่สุดยอดมากๆค่ะ
ถ่ายทอดได้ดีที่สุด

รักเรื่องนี้

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 17
«ตอบ #49 เมื่อ06-08-2014 21:50:00 »

บทที่ 17 ต่างดำเนินแผน

ค่ำคืนในวังควรจะสงบเงียบของแคว้นเป่ยชาง  โกลาหลไปด้วยเสียงทหาร  เสียงเสียดสีของชุดเกราะ  เสียงฝีเท้าย่ำถี่เร็วดุจเดียวกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัว  เสียงอาวุธกระแทกปะทะดังสับสน ทหารที่ถูกโอบล้อมกลุ่มหนึ่งพยายามตีฝ่าออกไปทางประตูวังทิศใต้
ฉีเซี่ยงหมิงบนที่สูงมองการพยายามดิ้นรนต่อสู้ด้วยสายตาเฉยเมย  นี่คือการกวาดล้างอิทธิพลของฉีเซี่ยงหยวนในวังหลวง  เหล่าทหารที่ถูกล้อมล้วนเป็นขุนพลในสังกัดฉีเซี่ยงหยวนที่เหลืออยู่ในแคว้นเป่ยชาง  เป่ยชางอ๋องมีบัญชาให้เข้าประจำในวังเพื่อเสริมความมั่นคง  หลังกองกำลังหนึ่งหมื่นห้าพันนายถูกยาตราไปแคว้นเหลียน

เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน  แปดในสิบของทหารที่ยกไปแคว้นเหลียนจึงเป็นคนในสังกัดของฉีเซี่ยงหยวนทั้งสิ้น  ...และเหตุผลนั่นก็ทำร้ายเจ้าของมันอย่างสาหัสสากรรจ์ทีเดียว  เพราะนอกจากทำให้เหลือคนของตัวเองน้อยเหลือเกินในเมืองหลวง  ยังตอกย้ำความระแวงของพระบิดา  เกรงว่าฉีเซี่ยงหยวนจะหันทหารกลับมายึดอำนาจในแคว้นเป่ยชางไป  การตัดสินใจกำจัดบุตรชายคนที่สี่ที่เคยลังเลอยู่นานปีจึงเปลี่ยนเป็นง่ายขึ้นมา

มีแต่พระบัญชาเป่ยชางอ๋องจึงสามารถรวบรวมขุนพลของฉีเซี่ยงหยวนที่เหลืออยู่มาจนครบ  และเมื่อครบฉีเซี่ยงหมิงจึงมีโอกาสกวาดล้างในคราเดียว !

ฉีเซี่ยงหมิงแทบจะแน่ใจว่าความโกลาหลในคืนนี้จะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาสนทนาในท้องพระโรง  พระบิดาจะหลับตาข้างลืมตาข้างทำเป็นมองไม่เห็นไปซะ  อีกอย่าง... เมื่อขุมกำลังและผู้สนับสนุนทั้งหมดถูกกำจัดในคืนนี้  แล้วพรุ่งนี้ผู้ใดจะกล้าออกปากแทนฉีเซี่ยงหยวนกัน ?

“องค์ชายรอง  แนวป้องกันแข็งแกร่งมาก  เจาะเข้าไปไม่ได้เลย  พวกมันค่อยๆสู้พลางถอยร่นพลางไปทางประตูวังทิศใต้  คาดว่ามีจุดประสงค์จะสมทบกับกำลังอีกสองกลุ่มที่ต่อสู้กับฝ่ายเราอยู่ในเมืองเพื่อรวมตัวกันฝ่าออกไป  ตอนนี้แม่ทัพกั่วจึงสั่งการให้ทหารฝ่ายเราตีให้แตกทีละกลุ่มก่อนพวกมันจะทันรวมตัวกัน” หลู่เอ้อ คนสนิทรายงาน

คนเป็นองค์ชายรองขมวดคิ้ว หลูเอ้อกล่าวไม่ผิด  ทหารฝ่ายตรงข้ามมีความเป็นระบบระเบียบจนน่ากลัว  ทั้งๆที่ถูกตีกระแทกมาจากทุกทิศทางยังรักษาสภาพรวมตัวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น  ทั้งๆที่ถูกโอบล้อมจากรอบด้านเหล่าขุนพลก็ยังสามารถออกคำสั่งได้อย่างเยือกเย็น  นี่จึงเป็นทหารเจนศึกที่รับมือความปั่นป่วนมาทุกรูปแบบ  และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ใครๆต่างหวั่นเกรงฉีเซี่ยงหยวน...ความแข็งแกร่งของกองทัพน้องสี่ไม่สามารถประเมินตามจำนวนคน

“ให้คนสั่งการลงไป  เราจะปล่อยให้พวกมันรวมตัวกัน”
“องค์ชายรอง !”
คนเป็นนายเหนือไม่ฟังเสียงท้วง  หรี่ตามองศัตรูเบื้องหน้า  เหยียดรอยยิ้ม  กล่าวต่อว่า
“เราไม่เพียงจะให้มันรวมตัวกัน  ยังจะปล่อยพวกมันออกจากเมืองด้วย  บอกทหารฝ่ายเราถอยออกมาได้แล้ว  เราจะไม่เสียทหารไปมากกว่านี้  แต่จะพักออมกำลัง...สำหรับกวดไล่”
  “...องค์ชายจะให้พวกเขาชักนำขุมกำลังที่ยังซุกซ่อนอยู่ขององค์ชายสี่ออกมา?” หลู่เอ้อเริ่มพอจะคาดเดาจุดประสงค์ของนายเหนือหัวออก
“ใช่ เพราะฉะนั้นกวดตามตอนแรกอย่าให้กระชั้นเกินไปนัก  ข้าต้องการให้พวกมันเข้าใจว่าตัวเองยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะช่วยพรรคพวกคนอื่นจากไปด้วยกัน  คืนพรุ่งนี้จะต้องไม่มีคนของฉีเซี่ยงหยวนแม้แต่คนเดียวหลงเหลืออยู่ในเมืองหลวง” ฉีเซี่ยงหมิงกล่าวจบก็คร้านจะดูต่ออีก  หมุนกายทำท่าจะจากไป 
“แล้วหลังจากนั้นเล่า ?”

“หลังจากนั้นก็กวดให้มันกระชั้นๆ  ให้บรรดาขุมกำลังรอบนอกของฉีเซี่ยงหยวนออกมาช่วยเหลือ เราจะได้กวาดพวกมันไปรวมตัวอยู่ที่เดียวกัน  ...ถ้าข้าเดาไม่ผิดพวกมันต้องถอยร่นไปที่เมืองสวี  เพราะระยะทางไม่ห่างจากที่นี่มาก  ชัยภูมิเหมาะแก่การตั้งรับ  ที่สำคัญเจ้าเมืองสวีเป็นคนของฉีเซี่ยงหยวน  แล้วเราก็จะล้อมกักพวกมันเอาไว้ทั้งหมด”...!
---------------------
จากเมืองอู๋เล่ยผ่านเมืองรอบนอก  ตามรายทางค่อยๆคึกคักขึ้นทีละน้อย  กลิ่นอายของชีวิตและการเคลื่อนไหวกรุ่นกำจาย  วิถีชีวิตเรียบๆง่ายๆเริ่มหมุนวนซ้ำรอยของวันวาน 

ทัพของฉีเซี่ยงหยวนเลือกทางที่มีคนสัญจรน้อยที่สุด  อ้อมรอบนอก  ไม่ผ่านใจกลางเมือง  บรรยากาศการเดินทัพยังคงเคร่งขรึมดุจเดิม  ผิดธรรมดาสามัญอันควรจะปลอดโปร่งขึ้นเมื่อทราบว่า ‘บ้าน’ ได้มาอยู่อีกไม่ไกล  เพราะในใจเหล่าแม่ทัพนายกองต่างรู้ดี  สิ่งที่พวกเขากำลังย่ำเข้าหามิใช่ ‘บ้าน’ แต่เป็นหลุมพรางแห่งการช่วงชิงอำนาจ  ก้าวพลาดคือชีวิต!

เช้าตรู่ก่อนออกเดินทาง  ท่านอ๋องน้อยเรียกประชุมลับเฉพาะเหล่าแม่ทัพคนสำคัญ  ทุกผู้คนได้รับทราบเรื่องสายข่าวทางเมืองหลวงที่สูญหายไป  ทุกคนต่างจำได้ว่าท่านอ๋องน้อยเคยว่าไว้ ‘อันตรายที่แท้จริงมิใช่การตีแคว้นเหลียน  แต่เป็นหลังจากมีชัยเหนือแคว้นเหลียนแล้วต่างหาก’   แต่เมื่อคำกล่าวนั้นส่อเค้าจะเป็นจริงขึ้นมา  หลายคนยังมีทีท่าไม่อยากจะเชื่อ  พวกเขาเหนื่อยยากทำศึกสงครามเพื่อช่วงชิงแคว้นเหลียนให้กับแคว้นเป่ยชาง  เป่ยชางอ๋องตอบแทนพวกเขาเช่นนี้ได้อย่างไร !

ความสับสนปะปนกับความรู้สึกถูกทรยศหักหลังแตกปะทุ  หากถึงยากจะเชื่อซักเพียงใด  คำ ‘วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน’ หมดประโยชน์แล้วกำจัดทิ้ง   ปรากฏจริงอยู่ทุกยุคทุกสมัยแห่งการช่วงชิงอำนาจ  ในเมื่อแคว้นเหลียนก็ได้มาแล้ว  เป่ยชางอ๋องจะเก็บหนามตำตาเช่นพวกเขาไว้ทำอะไร 

ยิ่งคาดเดายิ่งน่าหวาดหวั่น  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ไม่ว่าความจริงเป็นเช่นไร  พวกเขาต่างไม่อาจทราบเพราะข่าวสารสูญหาย  หนทางเบื้องหน้ากลับกลายเป็นดำมืด  ไม่มีใครรู้ว่ากำลังเดินเข้าไปเจอกับสิ่งใด  ไม่มีใครทราบว่าที่เป่ยชางเกิดอะไรไปแล้วบ้าง   นี่เป็นครั้งแรกกับความรู้สึกเหมือนคนหูหนวกตาบอด  หากทหารทุกกรมกองต่างยังอยู่ในระบบระเบียบของกองทัพ

‘พวกเราจะไม่ทำอะไรกระโตกกระตาก  ยิ่งพวกเขาเข้าใจว่าเรารู้น้อยเท่าไหร่  พวกเขาก็เคลื่อนไหวโดยเปิดเผยได้น้อยเท่านั้น  แต่ในความเป็นจริงทุกคนต้องอยู่ในสภาพพร้อมเผชิญหน้า  จับตาดูท่าทีของขุนพลในกองทัพที่ไม่ใช่คนของเรา  หากพวกเขามีท่าทีจะยืนอยู่ฝ่ายพระบิดาให้คุมตัวไว้  ถ่ายโอนกำลังทหารมา  ข้าต้องการทหารหนึ่งหมื่นห้าพันนายที่เป็นคนของเราทั้งหมด’
คำสั่งของฉีเซี่ยงหยวนถูกยึดถือเป็นประกาศิต  นี่เป็นทัพที่ฝึกมาอย่างดี  ต่อให้เรื่องราวร้ายแรงกว่านี้ก็ไม่อาจทำให้พวกเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ  ทหารทุกผู้เพียงรู้ประการหนึ่ง  หากคนนำหน้าคือท่านอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวน  ต่อให้มีบัญชาให้พวกเขาไปตายพวกเขาก็จะไป  อย่าว่าแต่พวกเขายังเชื่อมั่น  หากผู้บัญชาการคือฉีเซี่ยงหยวน  ชัยชนะขั้นสุดท้ายจะเป็นของพวกเขาแน่นอน !

ฉีเซี่ยงหยวนมีแรงยึดเหนี่ยวอันใด  เหตุใดเหล่าทหารจึงเชื่อมั่นในตัวเขาถึงเพียงนี้ ?

คำตอบของคำถามไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ทราบ  เจ้าเมืองอู๋เล่ยเพียงตอบได้ประการหนึ่งคือแรงยึดเหนี่ยวเช่นนี้ไม่สามารถถูกสถานการณ์ตกเป็นรองทำลายไป  เพราะกว่าจะมีวันนี้ ฉีเซี่ยงหยวนสร้างบันไดของเขาขึ้นมาทีละขั้น  ค่อยๆปลูกต้นไม้ใหญ่ที่มีชื่อว่าความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างอดทน  ทั้งความเชื่อมั่นในตัวเอง...และความเชื่อมั่นที่ผู้อื่นมีต่อเขา...

หลังจากมองกองทัพในมือของตัวเอง  ในใจขององค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนหลงเหลือความกังวลเพียงประการเดียว  คนทรยศเป็นใคร ?  หากก่อนถึงเมืองหลวงฉีเซี่ยงหยวนยังระบุตัวคนผู้นี้ไม่ได้  เขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
---------------------
ตำหนักหรูหราใหญ่โต  ตกแต่งอย่างเลอเลิศขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง  ภายนอกยังคงดูเป็นเช่นปรกติ  แต่ ณ ห้องส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของ  ประตูทุกบาน หน้าต่างทุกช่องถูกปิดมิดชิด  เหล่านางกำนัลประจำต่างกลับไปอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง  ในห้องกว้างใหญ่เหลือเพียงฉีเซี่ยงหมิงกับคนสนิททั้งสาม  เพราะนี่คือการสนทนาที่ทุกอย่างต้องเป็นความลับ

“หลู่เอ้อ  สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” ฉีเซียงหมิงที่นั่งอยู่สูงกว่าผู้อื่นถามขึ้น
“ตั้งแต่องค์ชายสี่ออกจากเมืองอู๋เล่ยเมื่อ 5 วันก่อน  ร่องรอยของเขาก็อยู่ในสายตาฝ่ายเราโดยตลอด  ถึงแม้สายภายในยังไม่มีโอกาสส่งข่าวออกมา  แต่สายที่อยู่รอบนอกก็มีรายงานมาเป็นระยะๆ  อีกไม่นานฝ่ายตรงข้ามจะเข้าเขตเมืองใหญ่  ถึงตอนนั้นการป้องกันข่าวสารรั่วไหลจะยากขึ้น  สายภายในคงสามารถส่งข่าวออกมาได้ภายในสองสามวันนี้”

“ทางพระบิดาเล่า” ฉีเซี่ยงหมิงซักอีก
“ทางเป่ยชางอ๋องมีการเคลื่อนไหวสองครั้งด้วยกัน  ครั้งแรกเป็นตอนฉีเซี่ยงหยวนกรีฑาทัพหนึ่งหมื่นห้าพันนายบุกแคว้นเหลียน  ก็มีพระบัญชาให้แม่ทัพใหญ่หยงเซี่ยตรึงกำลังสองหมื่นอยู่ที่ชายแดนระหว่างสามแคว้นใหญ่  อีกคราวคือเมื่อหลายวันก่อนที่มีพระบัญชาให้คนของฉีเซี่ยงหยวนเข้าประจำในวัง หลังจากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีก” คราวนี้คนตอบคือบุรุษที่อยู่ในชุดขุนนาง
“ขนาดข้าโยกทหารก็ยังไม่เคลื่อนไหว ?”
“ขอรับ”
คนเป็นนายเหนือหัวคลี่ยิ้มอย่างสบใจ
“การโยกแม่ทัพใหญ่หยงไปประจำชายแดน  นอกจากป้องกันการฉวยโอกาสของแคว้นหนานเหมินกับแคว้นโหยวเฉิง  ยังช่วยให้แผนการของเราสะดวกขึ้นอีกมาก  พระบิดาคิดการรอบคอบจริงๆ”

ถึงแม้เป่ยชางอ๋องจะไม่ได้ช่วยเหลือโดยตรง  แต่การออกพระบัญชาแล้วนิ่งดูดายเช่นนี้เท่ากับเปิดโอกาสให้ฉีเซี่ยงหมิงจัดการกับฉีเซี่ยงหยวน  และถ้าจะว่ากันตามจริง...พระบัญชาทั้งสองครั้งแฝงการล้วนเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงทั้งสิ้น 
เพียงแต่...  คนเป็นองค์ชายรองหรี่ตาลง  มิอาจไม่ยอมรับว่ายิ่งขิงแก่ยิ่งเผ็ดร้อน  ทัพของหยงเซี่ยนอกจากมีกำลังพลมากที่สุด  ยังเป็นทัพที่จงรักภักดีที่สุด  มีทัพนี้อยู่  ไม่ว่าฉีเซี่ยงหมิงหรือฉีเซี่ยงหยวนคิดทำอะไรออกนอกลู่นอกทางก็ต้องคิดให้มากเข้าไว้  ประการสำคัญคือหากกำจัดฉีเซี่ยงหยวนลงได้  ท่าทีวางเฉยที่เป็นมาตลอดของเป่ยชางอ๋องยังทำให้สามารถยกความผิดทั้งหมดให้กับฉีเซี่ยงหมิง  ใช้เป็นข้ออ้างลิดรอนอำนาจ  ส่วนเป่ยชางอ๋องก็จะได้อำนาจทั้งหมดคืนมาโดยไม่ต้องเสียทหารแม้แต่คนเดียว !

แต่ก็นั่นแหละ... พระบิดาออกจะมองเรื่องราวง่ายไปสักหน่อย  น้ำไกล...ดับไฟใกล้ได้หรือ ?

ในใจครุ่นคิด  ปากกล่าวถาม
“ทางเมืองสวีเป็นอย่างไรบ้าง”
คราวนี้คนตอบเป็นคนสนิทในชุดทหาร
 “หลังรอพวกที่ถูกเราไล่ต้อนเข้าเมืองไปทั้งหมด  ก็ล้อมไว้ตามคำสั่งองค์ชายรอง”
ฉีเซี่ยงหมิงได้ฟัง ดวงตาปรากฏแววพึงพอใจ  พึมพำว่า
“กำลังในเมืองหลวงที่ถูกต้อนไปแม้มีไม่มาก แต่เมื่อรวมกับบรรดาขุมกำลังรอบนอกและทหารเมืองสวีกลายเป็นหกพันเศษ  ข้าอยากจะรู้นักว่าเสบียงในเมืองสวีจะเพียงพอไปจนถึงเมื่อไหร่”

นี่เป็นแผนต่อเนื่องตามกัน  เริ่มจากกำจัดสายข่าวทั้งหมดของฝ่ายตรงข้าม  เมื่อไม่มีสายข่าวกลุ่มนี้  ฉีเซี่ยงหมิงคิดทำอันใดก็ปราศจากข้อกริ่งเกรงอีก  หลังตัดขาดการติดต่อ โดดเดี่ยวขุมกำลังในเมืองหลวงของฉีเซี่ยงหยวน วันถัดมาเข้าโจมตีศูนย์กลางอำนาจ  มู่ซางกับฝงเป่าแม้สามารถรวมพลฝ่าหนีออกไปตั้งมั่นที่เมืองสวี  แต่หลังจากถูกล้อม  เมืองสวีก็ตกอยู่ในสภาพไม่อาจรับข่าวสารจากภายนอก  ไม่อาจส่งข่าวขอความช่วยเหลือไปยังกำลังหลักที่แคว้นเหลียน  ไม่อาจกระทั่งขนถ่ายเสบียงจากเมืองข้างเคียง  ไม่ต่างอะไรกับเมืองที่ถูกปิดตาย

“แต่การล้อมไว้เช่นนี้ทำให้เราสูญเสียทหารไปส่วนหนึ่งนะขอรับ” หลู่เอ้อแย้ง
“นั่นยังไม่ถึงครึ่งของกำลังพลฝ่ายเรา  อีกอย่าง...ทั้งฝงเป่า  ทั้งมู่ซางต่างอยู่ที่นั่น  การตีเมืองสวีไม่ใช่เรื่องง่าย  รอให้ข้ากำจัดฉีเซี่ยงหยวนก่อน  คนแซ่มู่จะเปลี่ยนเป็นไร้พิษสง  ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าสามารถยึดเมืองสวีได้โดยไม่ต้องเสียทหารแม้แต่คนเดียว”
ฝงเป่ากับมู่ซางเป็นลูกน้องคนสำคัญของฉีเซี่ยงหยวนที่ถูกใช้ให้ประจำอยู่ในแคว้นเป่ยชาง  การนำทหารของฝงเป่า เล่ห์กลของมู่ซาง ต่างเป็นสิ่งที่ลูกน้องทั้งสามของฉีเซี่ยงหมิงได้รับทราบมาอย่างครบถ้วน  โดยเฉพาะมู่ซาง  หลังปิดประตูเมืองงมหาตัวอยู่ครึ่งค่อนวัน  ไปเจออีกทีโน่น...อยู่ที่เมืองสวี  บรรดาทหารที่เสียแรงเปล่าอยู่เป็นนาน  ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน  กระเหี้ยนกระหือรืออยากเข้าตีเมืองสวีตั้งแต่หลายวันก่อน

ลูกน้องทั้งสามหลังฟังคำนายเหนือหัวก็พยักหน้าเห็นด้วย  เมืองสวีมีชัยภูมิเอื้อต่อการตั้งรับ  การตีให้แตกเป็นเรื่องยาก  ยิ่งคนรักษาเมืองเป็นมู่ซางกับฝงเป่า  ถึงแม้อาจตีแตกได้  แต่เจ้าคนแซ่มู่ก็ต้องเรียกค่าตอบแทนคืนจนสาแก่ใจเสียก่อน  ทางที่ดีที่สุดคือล้อมเอาไว้รอจนฉีเซี่ยงหยวนพ่ายแพ้  มู่ซางจะไม่มีทางอื่นนอกจากยอมสวามิภักดิ์

ฉีเซี่ยงหมิงเอนกายพิงพนักอย่างผ่อนคลาย  สายตาเย่อหยิ่งเย็นชาดูอ่อนโยนอย่างประหลาด  แต่สายตาเช่นนี้แหละที่ทำให้คนสนิททั้งสามถึงกับเหงื่อซึม  ฉีเซี่ยงหมิงไม่เหมือนฉีเซี่ยงหยวน  เวลาฉีเซี่ยงหยวนคิดตัดหัวคนจะมีอำนาจเย็นเยียบบางอย่างที่แผ่ออกมาพร้อมกับความกดดัน  แต่เวลาที่ฉีเซี่ยงหมิง คิดตัดหัวคนจะเป็นเวลาที่สายตาฉีเซี่ยงหมิงอ่อนโยนที่สุด  ยิ่งอ่อนโยน...ผลลัพธ์ของคนที่จะถูกตัดหัวยิ่งน่าสยดสยอง

ฉีเซี่ยงหมิงมีความมั่นใจ  แผนการถูกวางทีละชั้นๆ  ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้รับข่าวสารใดทั้งสิ้น  การล้อมเมืองเป็นไปอย่างเงียบเชียบ  เมื่อฉีเซี่ยงหยวนมาถึง  จะเป็นเวลาเดียวกับที่ได้รู้ว่าอำนาจในมือได้หลุดลอยไปตลอดกาล

เพราะนอกจากการล้อมเมืองสวี  ฉีเซี่ยงหมิงยังมีหมากอีกตาที่ร้ายกาจยิ่งกว่า...
--------------
เวลาล่วงเข้าสู่ยามวิกาล  ฟากฟ้าคล้ายผ้าสีดำผืนมหึมาขึงกางไว้  พิราบสีเทากางปีกโบยบินขึ้นไป  แหวกฟากฟ้าสีดำด้วยปลายปีกสีเทาหม่น  ดูไปกลมกลืนจนแทบแยกไม่ออก  ขณะพยายามเพ่งมอง  มันก็โผบินจากไปไกลลิบแล้ว

“ส่งไปเรียบร้อยหรือไม่” คำถามดังมาในความมืด
“เรียบร้อยแล้วขอรับ” คนตอบเป็นบุรุษที่เมื่อครู่เพิ่งปล่อยพิราบในมือไป
“ดี” คนกล่าวเดินออกมาจากเงาชายคา  ชะโงกหน้าออกไปนอกระเบียงยาว  ดูจนแน่ใจว่าท้องฟ้าเหลือแต่ความว่างเปล่า  จึงเอ่ยปากว่า
“เจ้าไปได้แล้ว”
“ยังไปไม่ได้” เสียงคุ้นเคยดังออกมาจากเงามืดอีกฝั่งของระเบียง  คุ้นเคยจนคนออกคำสั่งเมื่อครู่ชะงัก  ส่วนคนปล่อยนกพิราบตัวแข็งทื่อมือชาไปแล้ว  เท้าแม้คิดหลบหนี  แต่เมื่อคนบงการยังไม่ไป  คนเป็นลูกน้องไหนเลยหนีหน้าไปได้

“ดึกป่านนี้ ท่านอ๋องน้อยยังไม่นอนอีกหรือ” เสียงถามราบเรียบ  ที่ไม่คิดหนี  อาจบางทีเพราะทราบ...อย่างไรก็หนีไม่พ้น
“ข้ากลับหวังว่าเจ้านอนไปแล้ว”
คนที่ถูกหวังให้นอนแต่ยังไม่นอน เหลียวหน้ากลับมา...เป็นหลิวฉางเฟย ...!
“...ที่แท้ท่านไม่ไว้ใจข้า  ให้คนจับตาดูไว้” คำกล่าวเฉื่อยชา
“คนสำคัญทุกคนล้วนมีคนคุ้มครอง  และก็ใช่...มีคนจับตาดู  ก่อนการเปิดศึกข้าจะไม่เสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น  ทั้งเรื่องแม่ทัพคนสำคัญถูกลอบฆ่า  และก็เรื่อง...ไส้ศึก”
“ยอดเยี่ยม  แม้แต่ข้ายังไม่รู้ตัว” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากคนกล่าวาจาช้าๆ
“แต่ข้าหวังจริงๆนะ...ว่าจะไม่ใช่เจ้า” ขณะกล่าวทหารจำนวนหนึ่งผุดขึ้นอย่างเงียบเชียบราววิญญาณราตรี  ล้อมทั้งหมดเอาไว้  หลิวฉางเฟยคาดไม่ผิดจริงๆ  ไม่มีทางหนีได้  เพียงฉีเซี่ยงหยวนปรากฏตัว  หลิวฉางเฟยก็รู้...ทุกประการเตรียมพร้อมหมดแล้ว
---------------------
เสียงย่ำกลองเป็นจังหวะ ดังก้องทั่ววังหลวงของแคว้นเป่ยชาง  ความปั่นป่วนวุ่นวายกระจายตัวออก  เมื่อคนสนิทของฉีเซี่ยงหมิงนำคำรายงานมาถึงนายเหนือหัวว่า

‘มู่ซางยังอยู่ในวังหลวง’

ข่าวนี้น่าแตกตื่นอย่างยิ่ง  เพราะเมื่อคราวกวาดล้างอิทธิพลของฉีเซี่ยงหยวนให้หมดไปจากวังหลวง  มีการตรวจค้นไปทั่ววัง แสดงว่ามีคนให้ที่ซุกซ่อนแก่มู่ซาง  และก็ใช้วิธีอะไรซักอย่างหลุดรอดการตรวจค้นไปได้ 
เพียงแต่การซุกซ่อนไม่ตลอดรอดฝั่ง  สุดท้ายกลับมีคนพบเห็น  ฉีเซี่ยงหมิงให้คนสนิทตามรอยไป  สุดท้ายจึงพบพรรคพวกอีกจำนวนมาก  ตอนนี้จึงมีคำสั่งให้ปิดประตูวัง นำคนเข้าจับกุม
---------------------
ทางด้านมุมหนึ่งของวัง ที่กำแพงติดกับรั้ววังตะวันออก  คนผู้หนึ่งกำลังปีนป่ายอยู่บนกำแพง  จ้องเขม็งไปยังหอกลองซึ่งตีระรัว
“ไม่ต้องจ้องแล้ว  รีบลงมาก่อนถูกพบเห็น  เป็นคำสั่งปิดประตูเมือง” คนออกคำสั่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่ยืนอยู่ด้านล่าง  กำลังนิ่วหน้าขณะเงี่ยหูฟังจังหวะกลอง  แต่ดูเหมือนเขาจะมีความคุ้นชินอย่างยิ่ง  เสียงสับสนถึงเพียงนี้ยังสามารถแยกออกว่าเป็นจังหวะสัญญาณอะไร

คนบนกำแพงรีบตะกายลงมา  กล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า
“เมื่อครู่ปิดประตูวัง  ตอนนี้ปิดประตูเมือง  เป็นไปได้อย่างไร  ต่อให้เป่ยชางอ๋องหลับตาข้างลืมตาข้าง  ทั้งสองคำสั่งนี้ก็ไม่อาจมาจากองค์ชายรองเด็ดขาด”
เด็กหนุ่มผู้นั้นหน้าเคร่งเครียดลง  ตอบว่า
“แสดงว่าสถานการณ์อยู่ในสภาพสาหัสที่สุด  ฉีเซี่ยงหมิงกุมอำนาจในวังแล้ว”
“แสดงว่า...แสดงว่า...” เสียงพูดของคนปีนกำแพงสั่นสะท้าน
“ก็แสดงว่าฉีเซี่ยงหมิงมิใช่องค์ชายรอง  แต่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนแล้วไงเล่า”
ในที่สุดสิ่งที่หวั่นเกรงก็มีหลักฐานยืนยันแน่นอนแล้ว  เพียงแต่ถึงแน่ใจก็ไม่มีปัญญาส่งข่าวออกไป  การรักษาการณ์กวดขัน  อันตรายคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ
“ท่านมู่  ฝ่ายเราสมควรทำอย่างไรต่อไป” ลูกน้องคนหนึ่งกล่าวถาม  ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นี้คือมู่ซาง  หนึ่งในห้าลูกน้องคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน  คนอื่นๆที่รายล้อมต่างสีหน้าตื่นเต้นตึงเครียด  มีเพียงมู่ซางที่สงบเยือกเย็นจนแทบไม่ต่างกับอากัปกิริยาปรกติ  ทำสัญญาณให้เงียบเสียงลง  ตัวเองเงี่ยหูแยกแยะเสียงกลองอีกครั้ง

“ฝ่ายตรงข้ามระดมพลแล้ว  อีกไม่นานที่นี่จะถูกตรวจค้นอย่างละเอียดยิบ  ให้คนไปบอกพวกเราที่ซ่อนตัวอยู่ในอุทยาน  ว่าเราจะตีฝ่าออกไป”
“ขอรับ” คนรับคำสั่งรีบรุดจากไป น่าแปลก...ไม่มีใครคัดค้าน  ถึงแม้จะเป็นแผนการที่เสี่ยงอย่างยิ่ง  ซ้ำยังมีท่าทีจะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ  อาจบางทีนี่เป็นหนทางที่ดีที่สุด...

=============
วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน  กระต่ายตายฆ่าสุนัขล่าเนื้อ (อันนี้คือฉบับเต็ม) หมายถึง หมดประโยชน์ก็กำจัดทิ้ง  เหมือนยิงนกหมดป่าแล้วก็ไม่ต้องใช้เกาทัณฑ์อีก  ล่ากระต่ายได้ก็ฆ่าหมาล่าเนื้อ  ถ้าฉบับไทยก็คือเสร็จนาฆ่าโคถึก  เสร็จศึกฆ่าขุนพลนั่นเอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 17
« ตอบ #49 เมื่อ: 06-08-2014 21:50:00 »





ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 18
«ตอบ #50 เมื่อ06-08-2014 22:02:55 »


บทที่ 18 ลูกกตัญญู

“ยังจับตัวไม่ได้อีกหรือ” เสียงฉีเซี่ยงหมิงดังลอยมา
“ขอรับ” หลู่เอ้อรายงาน
ได้ฟังคำคนสนิท  ผู้เป็นนายก็ลุกขึ้นยืน
“แม่ทัพกั่ว  อำมาตย์สือ  บางทีนี่คงได้เวลาไปขอตราอาญาสิทธิ์จากพระบิดาแล้ว”
คนรับคำคือคนสนิทที่คนหนึ่งสวมชุดทหาร  อีกคนใส่ชุดขุนนางตามลำดับ  ขอเพียงได้ตราอาญาสิทธิ์  อำนาจสั่งการทหารของเป่ยชางอ๋องจะกลายเป็นของฉีเซี่ยงหมิง  ฉีเซี่ยงหมิงมิได้พูดผิด ทหารที่ล้อมเมืองสวียังไม่ถึงครึ่ง  เพราะหากรวมทหารของเป่ยชางอ๋องเข้าด้วย  ฉีเซี่ยงหมิงจะมีกำลังพลทั้งหมดเกือบสี่หมื่น !

“หลู่เอ้อ  เจ้าสั่งการเรื่องการจับกุมมู่ซางต่อไป  ...ฉีเซี่ยงหยวนจะมาถึงวันไหน”
“ข่าวล่าสุดบอกว่าภายในสองวันนี้ขอรับ”
“งั้นข้าคงต้องไปเตรียมตัวต้อนรับเขากลับแคว้นเสียหน่อย”
มีเสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา  ฉีเซี่ยงหมิงที่กำลังจะเดินออกไปจึงหันมามอง  กล่าวถาม
“มีเรื่องอะไร”
“พวกมู่ซาง...กำลัง...จะฝ่าออกจากวังแล้วขอรับ” คำรายงานขาดเป็นห้วงๆ จากอาการหายใจหายคอไม่ทัน
“อะไรนะ” สีหน้าที่เรียบเฉยของฉีเซี่ยงหมิงมีแววแปลกใจ  กับการกระทำที่ดูเหมือนจะใช้หัวแม่เท้าคิดนี้
“ข้าว่ามันต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงแน่” คนถูกเรียกเป็นอำมาตย์สือออกความเห็นทันควัน
“ข้าก็อยากรู้ว่าคนแซ่มู่จะมีอะไรแอบแฝงอีก  แต่ตอนนี้เราไปเอาตราอาญาสิทธิ์มาก่อน” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหมิงมีแววรื่นรมย์  แต่ประกายตากลับเย็นชา  ขอเพียงจับตัวได้  มู่ซางจะมีทางเลือกหนึ่งเดียว...ตาย !  เพราะคนผู้นี้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับฉีเซี่ยงหมิงมามากพอแล้ว...
---------------------
ทางกำแพงวังตำแหน่งใกล้กับประตูทิศตะวันออก  องครักษ์วังหลวงกำลังรายล้อมคนจำนวนหนึ่ง  ที่ตอนแรกคงมีเกือบสามสิบคน  แต่ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงยี่สิบคนแล้ว

“คนแซ่มู่ ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ” เสียงดังมาจากเหนือกำแพงวัง  มู่ซางเงยหน้าขึ้นไปก็พบองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงที่กำลังก้าวลงมาช้าๆ  สองข้างตามติดด้วยแม่ทัพกั่วกับอำมาตย์สือ 
“ก็ข้ายังไม่แพ้  จะยอมแพ้ไปทำไม” มู่ซางกล่าวตอบ  ท่าทีปลอดโปร่งราวเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านตัวเอง
 “ข้าแม้ยังไม่แน่ใจว่าน้องสี่มีแผนการจะทำอะไร  จึงส่งพวกเจ้ามาหาที่ตายอยู่ในวังหลวง แต่เมื่อจับเจ้าได้  ก็ไม่กลัวเจ้าไม่คายออกมา  พลธนู” ในเสียงเรียกทหารบนกำแพงยกธนูขึ้นพาดสาย  ธนูทุกดอกเล็งไปยังมู่ซางซึ่งยืนอยู่กลางวงล้อม
“องค์ชายรองต้องการถามข้ามิใช่หรือ  คนตายพูดไม่ได้  ท่านสั่งยกธนูขึ้นพาดสายทำอะไร” หน้าตามู่ซางยังคงเป็นปรกติ  ปากกวนประสาท  แต่ขมับชักจะมีเหงื่อซึม  พวกนั้นมัวทำอะไรอยู่  เหตุใดจึงช้าเช่นนี้!
ฉีเซี่ยงหมิงได้ฟังก็เหยียดยิ้ม  กล่าวว่า
“เจ้าคงไม่อยากรู้ว่าข้าจะทำอะไร  ข้าให้เวลานับหนึ่งถึงสิบ  ถ้าไม่บอกออกมาเจ้าจะได้ตายแบบเม่น  ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รักชีวิต  หลิวฉางเฟยใช่  ฝงเป่าใช่  แต่เจ้าไม่ใช่”
“ในเมื่อองค์ชายรองก็ทราบนิสัยของข้าดี  ดังนั้นสมควรทราบ  ข้าไม่ได้มาหาที่ตายในนี้แน่”
ทันใดนั้นก็มีเสียงรัวกลอง  กับฝีเท้าม้าดังสับสน  ฉีเซี่ยงหมิงขมวดคิ้ว  มีม้าได้ยังไง  เขายังไม่ได้เรียกรวมพลทหารม้า...หรือว่า...
“ตอนท่านมัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับข้า  ทหารม้าก็ลอบเข้าเมืองมา  หากท่านยังไม่ไป ที่นี่จะถูกล้อมแล้ว”
คำเฉลยจากมู่ซางทำให้ฉีเซี่ยงหมิงหรี่ตาลง  ยกมือสั่งการว่า
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้  เก็บชีวิตเจ้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์  ทหาร !...”
มู่ซางรีบกล่าวสวนว่า
“คนผู้นี้คุมขังต้าอ๋อง  ยึดตราอาญาสิทธิ์  ทำตัวเป็นกบฏ  พี่น้องทั้งหลายเหตุใดต้องไปฟังคำสั่งเขา”
“หุบปาก  ทหาร !...”
มู่ซางรู้ว่าจะให้ฉีเซี่ยงหมิงเอ่ยคำว่า ‘ยิง’ ออกมาไม่ได้เป็นอันขาด  โชคดีที่เรื่องการสวนประโยคชาวบ้านนับเป็นงานถนัดของเขา  ฉีเซี่ยงหมิงพูดไม่ทันจบคำก็ถูกสวนว่า
“ท่านจะเอาชีวิตข้าก็ได้  แต่ข้าเป็นห่วงชีวิตท่าน  องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนยกทัพเข้ามาแล้ว  หากท่านมัวแต่ยุ่งอยู่กับข้า  ไม่ไปคุมสถานการณ์  ท่าทางตำแหน่ง ‘ผู้สำเร็จราชการ’ ของท่านจะง่อนแง่นแล้ว” คนผู้นี้พูดจายุยงอยู่ทุกคำ  ทุกประโยคนอกจากส่อไปในแง่ยึดอำนาจมาโดยไม่ชอบของฉีเซี่ยงหมิงแล้ว  ยังเอ่ยถึงฉีเซี่ยงหยวนซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่า  ไม่มีใครในแคว้นเป่ยชางไม่ทราบความน่ากลัวขององค์ชายสี่

“พูดจาเหลวไหล  กว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมาถึงก็อีก 2 วัน  ศพของเจ้าก็เน่าเหม็นพอดี  ทหาร !...”
“ศพผู้ใดในฤดูใบไม้ร่วงเน่าเหม็นภายในสองวัน  ต่อให้ท่านไม่มีปัญญาก็สมควรมีความรู้ขั้นพื้นฐาน”  คราวนี้เป็นยั่วโมโหโจ่งแจ้ง  มู่ซางรู้  ยิ่งโจ่งแจ้งเท่าไหร่ฉีเซี่ยงหมิงยิ่งมีสติเท่านั้น  ฉีเซี่ยงหมิงเป็นคนฉลาด  ความโกรธอาจจะเกิดขึ้นแต่ครอบงำเขาไม่ได้  ตอนนี้สิ่งที่มู่ซางหวังคือฉีเซี่ยงหมิงรีบมีสติโดยไว ขอเพียงฉีเซี่ยงหมิงมีสติ  จะทราบว่ายังไม่ใช่เวลาจัดการมู่ซาง
เสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากดังใกล้เข้ามาทุกที  กดดันให้ฉีเซี่ยงหมิงต้องข่มอารมณ์ลง ถ้าฉีเซี่ยงหมิงไม่ต้องการให้แผนการหลุดจากกรอบที่วางไว้  ก็ต้องไปเดี๋ยวนี้  ไม่อาจกระทำเรื่องราวตามอารมณ์  เพราะการอยู่หรือตายของมู่ซาง  สำคัญน้อยกว่าผลลัพธ์สุดท้ายระหว่างเขากับฉีเซี่ยงหยวนมากนัก  แม้แต่วินาทีเดียวที่เสียไปก็ไม่คู่ควร  มิน่าเล่ามู่ซางจึงบอกว่าไม่ได้มาหาที่ตาย  เพราะมู่ซางมั่นใจว่าฉีเซี่ยงหมิงจะไม่เสียเวลามาจัดการกับเขา

“พวกเรา...ไป”  ฉีเซี่ยงหมิงทราบแล้วว่ามู่ซางเข้าวังมาทำอะไร  ก่อความวุ่นวายเบี่ยงเบนความสนใจ...ลอบเปิดประตูเมือง!  ยังหรอก  ก็แค่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของพวกฉีเซี่ยงหยวนที่เหลืออยู่ในแคว้นเป่ยชาง  ขอเพียงเขากุมสถานการณ์เอาไว้ได้  ยังมีวันตายเหมาะๆให้กับเจ้าคนแซ่มู่อีกหลายวันนัก...
---------------------
เมื่อฉีเซี่ยงหมิงไปถึงประตูวังทิศใต้ สถานการณ์ก็วุ่นวายมากแล้ว  ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักเข้ามาทางประตูวังที่เปิดกว้าง
“ทหาร  ปิดประตูวัง!” คำสั่งออกจากปากฉีเซี่ยงหมิงได้ไม่ทันไร  ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังว่า
“ท่านใช้อำนาจใดปิดประตูวัง”
ฉีเซี่ยงหมิงหันขวับกลับไป  พบเจ้าเด็กตายยากปากไม่ดีนั่นอีกครั้ง
“คนแซ่มู่  มาหาที่ตายอีกแล้วรึ”
“นั่นก็ต้องดูว่าตอนนี้ท่านมีปัญญาทำได้รึเปล่า” ตอนนี้มู่ซางอยู่ท่ามกลางกองทหารม้าแน่นหนา  คิดเข้าถึงตัวเขาไม่ง่ายดายอย่างเมื่อครู่อีกแล้ว
ฉีเซี่ยงหมิงขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย  ร้องสั่งว่า
“ปิดประตูวัง !” แต่ยังไม่ทันที่องครักษ์วังหลวงจะขยับเข้าโจมตีทหารม้าที่ขวางระหว่างประตู  เสียงมู่ซางก็ดังขึ้นอีกว่า
“พวกเจ้ากล้าปิดประตูใส่เลือดเนื้อเชื้อไขของเป่ยชางอ๋องหรือ”
ฉีเซี่ยงหมิงหัวเราะ  ทวนคำ
“เลือดเนื้อเชื้อไข  เลือดเนื้อเชื้อไขใดกัน”
“ข้าเอง” คราวนี้เสียงดังมาจากนอกประตู  คนผู้หนึ่งควบมาสีดำปลอดเข้ามาช้าๆ
“บ้าชัดๆ” คำสบถหลุดออกจากปากองค์ชายรองที่สุภาพระวังคำพูดตลอดมา  ดวงตาของฉีเซี่ยงหมิงเบิกค้าง  มองเงาร่างบนอาชาสีดำที่คุ้นเคยจนบาดตา  เป็นไปไม่ได้  ข่าวสารของเขาผิดพลาดได้อย่างไรกัน  เหตุใดฉีเซี่ยงหยวนจึงมาถึงวันนี้ !
“พี่รอง  ดูท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะ” เสียงที่คุ้นเคยจนบาดหูทัก
ฉีเซี่ยงหมิงกดอารมณ์ให้เยือกเย็นลง  กล่าวเสียงเย็นชาว่า
“ยกทหารเข้ามามากมายปานนี้  คิดจะทำอะไร” ตอนแรกฉีเซี่ยงหมิงยังเข้าใจว่าเป็นกองกำลังที่หลุดรอดอยู่นอกเมืองสวี  แต่พอฉีเซี่ยงหยวนปรากฏตัวก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว  นี่เป็นทัพใหญ่  ทัพเดียวกับที่ยกไปแคว้นเหลียน !
“องค์ชายสี่หลังมีชัยเหนือแคว้นเหลียน  จะยกทัพกลับก็เป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล” เสียงนี้ย่อมเป็นของมู่ซาง
“หึ  ฝ่าเข้ามาแบบนี้เนี่ยนะ ชอบด้วยเหตุผล  องค์ชายสี่คิดกบฏ  ทหาร!”
“ใครกันแน่ที่คิดกบฏ  พวกท่านลงมือกับต้าอ๋อง  ยึดตราอาญาสิทธิ์  เจตนาเป็นที่ชัดแจ้ง  พี่น้องทั้งหลาย  อย่าไปฟังคำสั่งโจรกบฏ” มู่ซางสมเป็นมู่ซาง  ประโยคนี้ทั้งกล่าวหา  ทั้งบอกเล่าสภาพที่เกิดขึ้นให้ฉีเซี่ยงหยวนทราบ
“คิดไม่ถึงน้องสี่จะชุบเลี้ยงคนกล่าวหาผู้อื่นอย่างเหลวไหล ด้วยเจตนาต่ำทรามเช่นนี้เอาไว้” คำพูดนี้อนุญาตให้ฉีเซี่ยงหยวนตอบเพียงคนเดียว  มู่ซางต้องหุบปากไป
“พี่รอง ท่านใช้คำว่ากล่าวหาอย่างเหลวไหลหรือ ?  เหตุใดไม่เชิญพระบิดาออกมาตัดสิน” คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนราบเรียบแต่ร้ายกาจยิ่ง  ทั้งสองฝ่ายต่างทราบ  ฉีเซี่ยงหมิงไม่อาจเชิญเป่ยชางอ๋องออกมาตัดสินเด็ดขาด
“เรื่องทหารเล็กๆเช่นนี้  จำเป็นต้องถึงพระบิดาหรือ  น้องสี่  เจ้าก็ทราบหลายปีมานี้สุขภาพของพระบิดาไม่ค่อยดี  ถ้ามิใช่เรื่องสำคัญจะไม่ออกว่าราชการ” เป็นว่าหากฉีเซี่ยงหยวนยังดึงดันต่อไป  เท่ากับไม่คำนึงถึงสุขภาพพลานามัยของเป่ยชางอ๋อง
“นี่มิใช่เรื่องเล็ก  แต่เป็นเรื่องที่ว่าใครกันแน่เป็นโจรกบฏ” ประโยคนี้ร้ายแรงยิ่งกว่า  เท่ากับระบุชัดๆว่ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นโจรกบฏ  แสดงเจตนาคิดแตกหัก  ไม่ยอมประนีประนอมอีก  เมื่อผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างออกปากว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นโจรกบฏ  ทหารทุกคนก็ทราบว่าเรื่องราวไม่อาจถอยแล้ว  ดาบทวนถูกกุมกระชับมั่น
“แต่เรื่องคราวนี้คงให้พระบิดาตัดสินไม่ได้  เพราะพระบิดาประชวรหนัก  เพิ่งเรียกข้าเข้าพบ  เพื่อรับมอบอำนาจบริหารราชการแทนชั่วคราว  ดังนั้นตอนนี้คนที่มีอำนาจตัดสินใจจึงเป็นข้า ...แต่เกรงว่าเจ้าคงจะไม่พอใจ” คำพูดนี้แก้ประโยคก่อนหน้าของมู่ซางที่ว่าฉีเซี่ยงหมิงกักขังต้าอ๋อง ยึดตราอาญาสิทธิ์  เป็นว่าเขาได้รับมอบอำนาจมาโดยถูกต้อง
“พระบิดาประชวรหนัก ? ...เป็นไปได้อย่างไร  ตอนที่ข้าจากไปพระพลานามัยยังดีๆอยู่เลย” น้ำเสียงมีแววสงสัยระคนเป็นห่วงอย่างจริงใจ ได้ยินก้องอยู่ในหูทหารทุกผู้ที่อยู่รายรอบ
“เรื่องนี้หมอหลวงสามารถอธิบายให้เจ้าฟังได้  ข้าก็กังวล น้องสี่ พระอาการทรุดลงเมื่อเช้า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหมิงก็มีแววกังวลอย่างจริงใจเจืออยู่เช่นกัน  พี่น้องคู่นี้เล่นบทลูกกตัญญูเป็นจริงเป็นจัง  จนมู่ซางบนหลังม้ากลั้นหัวร่อจนแทบตกม้าตาย  มือข้างที่กุมบังเหียนสั่นกระตุกๆอยู่หลายครั้ง  ร่ำๆจะหลุดหัวเราะออกมาอยู่รอมร่อ  แอบตัดสินในใจว่ายกนี้ต้องยกให้องค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงเป็นฝ่ายชนะ

เพราะทุกคนต่างทราบดีว่าเป่ยชางอ๋องโปรดปรานลูกคนรองถึงเพียงไหน  ส่วนฉีเซี่ยงหมิงก็ห่วงใยพระบิดาเป็นที่สุด  ถึงเก้าสิบเก้าส่วนจากร้อยส่วนจะเป็นจะเป็นเสแสร้งขึ้นมาก็เถอะ  แต่ก็นับว่าเสแสร้งมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายยิ่ง  การแสดงครั้งนี้จึงน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนกับพระบิดาค่อนข้างจะห่างเหินกว่า  จึงพ่ายแพ้ไปด้วยประการฉะนี้

“ข้าไม่เชื่อ  ข้าจะเข้าเยี่ยมพระบิดา” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าว  น้ำเสียงไม่ยอมประนีประนอม  ละครฉากนี้ใกล้ปิดฉากเต็มทีแล้ว  ต่างฝ่ายต่างทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร  แต่ก็ยังวกอ้อมเป็นวง  เพื่อสร้าง ‘ความชอบธรรม’ ให้กับตัวเอง  การจะได้มาซึ่งอำนาจจำเป็นต้องมี ‘ความชอบธรรม’  ส่วนวิธีการที่จะได้มากลับเป็นเรื่องรองลงไป 

ประการถัดมาคือเพื่อให้ทหารฝ่ายตัวเองประจำที่เตรียมพร้อม 
ฉีเซี่ยงหมิงกำลังใคร่ครวญสถานการณ์  รู้สึกเหมือนหลงลืมอะไรบางอย่าง  อันเป็นต้นเหตุของเรื่องผิดคาดพวกนี้...ช่างเถอะ  ทัพหนึ่งหมื่นห้าพันของฉีเซี่ยงหยวนยังน้อยกว่าทหารในมือของฉีเซี่ยงหมิงตอนนี้อยู่สามพัน  แต่หากใช้ตราอาญาสิทธิ์เรียกทัพหยงเซี่ยที่ประจำชายแดนกลับมาเสริมทันการณ์  ฉีเซี่ยงหยวนจะไม่มีหวังเอาชัย  ทุกประการจึงสิ้นสุดด้วยคำพูด
 “พระบิดาประชวรหนัก  มีคำสั่งไม่ต้องการพบใคร”
“ถอยไป  ข้าต้องการเข้าเฝ้าพระบิดา” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าว  ทหารม้าข้างกายเขาต่างชักม้าขึ้นหน้าสองก้าว  ความกดดันทวี  สถานการณ์ใกล้แตกประทุแล้ว
“ถ้าเจ้าต้องการเข้าเฝ้า  ก็สมควรเลือกเวลาที่เหมาะสมกว่านี้  เอาทหารของเจ้าออกไป  ส่วนตัวเจ้าจะเข้าเฝ้าได้วันไหน  พระบิดาย่อมมีรับสั่งลงมาเอง”
“วันนี้ถ้าข้าไม่ได้พบพระบิดา  ข้าก็จะไม่เชื่อคำพูดท่าน” ทหารฝั่งฉีเซี่ยงหยวนกุมดาบกระชับทวนเตรียมพร้อม
“เจ้าคิดฝ่าฝืนรับสั่งหรือ !” ทหารฝั่งฉีเซี่ยงหมิงกุมดาบน้าวคันธนูเตรียมพร้อม
“องค์ชายสี่  ทุกประการเรียบร้อยแล้ว” เสียงรายงานดังมาจากนอกประตูวัง  แทรกกลางบรรยากาศตรึงเครียดรอบบริเวณ
ฉีเซี่ยงหมิงจำเสียงนี้ได้  หันขวับไปมอง  พบกับเรื่องเหลือเชื่อเรื่องที่สามของวัน 
 ริมฝีปากของฉีเซี่ยงหยวนปรากฏรอยยิ้ม  กล่าวโดยไม่หันไปมองว่า
“ดี  ฝงเป่าเจ้าเข้ามาใกล้ๆนี่  พี่รองของข้าก็คงอย่างรู้รายละเอียดทางเมืองสวีอยู่เหมือนกัน”
“ทำไม...” ฉีเซี่ยงหมิงเบิกตา  มองร่างกำยำสูงใหญ่ก้าวผ่านประตูเข้ามา
 ฉีเซี่ยงหยวนมองท่าทีฝ่ายตรงข้าม  แล้วก็หัวเราะเบาๆ  อธิบายสั้นๆว่า
“ก่อนข้าจะมานี่  พอดีแวะไปพักที่เมืองสวีมาคืนหนึ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนรู้เรื่องเมืองสวี!  เป็นไปได้อย่างไรกัน  ก็สายข่าว... ฉีเซี่ยงหมิงหันขวับไปมองมู่ซาง  แววตาเข้าใจทีละน้อย  ใช่แล้ว คนผู้นี้เอง  มู่ซางไม่อยู่เมืองสวีเพราะต้องทำหน้าที่ส่งข่างสารให้กับฉีเซี่ยงหยวนแทนหูตาที่ถูกเก็บ  การติดต่อระหว่างฉีเซี่ยงหยวนกับขุมกำลังของเขาที่เป่ยชางไม่เคยขาดอย่างแท้จริงมาก่อนเลย
เจ้าเด็กนั่นวิ่งวุ่นอยู่ในวัง  ไม่ได้แค่รอเปิดประตูเมืองเท่านั้น  ยังทำหน้าที่รักษาอำนาจในเงามืดที่ยังหลงเหลืออยู่ของฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้  และถ้ายังมีคนของฉีเซี่ยงหยวนหลงเหลืออยู่ในเงามืด...มู่ซางก็จะสามารถหาข่าวการเคลื่อนไหวในวังส่งออกไปด้วย  ดังนั้นมู่ซางจึงปล่อยข่าวว่าตัวเองอยู่เมืองสวีเพื่อให้ฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงไม่ทันระวัง  ข้อสำคัญก็คือ หากมู่ซางอยู่เมืองสวี  ฉีเซี่ยงหมิงจะไม่เข้าตีเมืองสวีโดยง่ายดาย

“ข้าน่าจะเฉลียวใจตั้งแต่เห็นเจ้ายังอยู่ในวังหลวง” น้ำเสียงดังลอดไรฟันออกมา
ฉีเซี่ยงหยวนรู้มาตลอดว่าขุมกำลังตัวเองถูกล้อมกักอยู่ที่เมืองสวี  จึงไปคลายวงล้อมที่เมืองสวีก่อน  ภายใต้การกระหนาบทั้งในนอกวงล้อมที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้านทานไม่อยู่  ฝีมือที่เด็ดขาดที่สุดคือไม่มีทหารที่ล้อมเมืองสวีคนไหนมีปัญญาส่งข่าวมาถึงฉีเซี่ยงหมิง  ในที่สุดฉีเซี่ยงหมิงก็ได้ลิ้มรสความร้ายกาจของน้องสี่ ผู้ถูกทุกผู้คนหมายหัวเป็นตัวอันตราย

“ข้าซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงตลอดมา  เข้าวังสองสามวันครั้ง  ไม่เคยไปเมืองสวีเลยซักกะครั้ง  พวกท่านหาไม่เจอกันเอง” ฟังคำพูดนี้แล้ว ฉีเซี่ยงหมิงรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ไม่ยิงเจ้าเด็กปากดีให้กลายเป็นเม่นไปเสียก่อน  เรื่องชักจะสาหัส  เมื่อรวมขุมกำลังเมืองสวีเข้ากับทัพใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวน  ทำให้กำลังพลของฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นมากกว่าทหารฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงที่อยู่ในเมืองหลวง ณ ขณะนี้

แต่ในมือฉีเซี่ยงหมิงมีตราอาญาสิทธิ์  สามารถระดมกำลังทหารจากเมืองรอบนอก  พลิกเป็นฝ่ายกุมชัยขั้นสุดท้าย  ปัญหาคือ...การปรากฏตัวของฉีเซี่ยงหยวนกะทันหันเกินไป  ตอนนี้สิ่งที่ฉีเซี่ยงหมิงต้องการคือเวลา  ฉีเซี่ยงหมิงยังมีความมั่นใจ  ว่าหมากตัวสำคัญที่วางลงไปสามารถช่วยเขาช่วงชิงเวลา  ฉีเซี่ยงหมิงกำลังรอคอยหมากตัวนั้นด้วยความร้อนรุ่มอยู่บ้าง...

“องค์ชาย  ทุกประการเรียบร้อยแล้ว” เสียงของหลิวฉางเฟยดังขึ้น  หากคนพูดกลับปรากฏตัวเคียงข้างฉีเซี่ยงหมิง !  รายงานต่อฉีเซี่ยงหมิง !  มุมปากของฉีเซี่ยงหมิงปรากฏรอยยิ้มโล่งใจ  ดวงตายิ่งอ่อนโยน หมากที่จะช่วยเขาช่วงชิงเวลา...มาแล้ว
แม่ทัพ นายกอง ทุกคนในบริเวณชะงักค้าง  เบิกตากว้าง  ตื่นตระหนกสับสนไปหมด  ฝงเป่าร้องขึ้นเสียงหลง
“หลิวฉางเฟย  นี่เจ้าหมายความว่ายังไง  องค์ชายสี่สั่งให้เจ้าล้อมที่นี่ไว้  แล้วทำไมเจ้า...”
“ข้าก็ว่า ว่าเจ้าหายไปไหน  ที่แท้ได้รับคำสั่งไปล้อมเมือง  ทำได้ดีมาก  เช่นนี้เท่ากับสถานการณ์ตกอยู่ในกำมือเรา” ฉีเซี่ยงหมิงกล่าวกับหลิวฉางเฟยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  ดวงตามีแววสาแก่ใจ  เหลือบมองน้องชายต่างมารดา  คล้ายต้องการเห็นสีหน้าตกตะลึงเจ็บปวด
แต่แววตาของฉีเซี่ยงหยวนนิ่งเฉยจนกระด้างเย็นชา  ไม่ได้จับจ้องฉีเซี่ยงหมิง  แต่มองหลิวฉางเฟย  ริมฝีปากเม้มสนิท  ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
“เจ้า  เจ้าคือคนทรยศ!  หลิวฉางเฟย ทำไมเป็นเจ้า  ท่านอ๋องน้อยไว้ใจเจ้าที่สุด  นับเจ้าเป็นสหาย  แต่เจ้ากลับ...”
“ที่นี่ไม่มีท่านอ๋องน้อย  มีแต่ต้าอ๋องกับนักโทษกบฏ” หลิวฉางเฟยตอบฝงเป่าด้วยคำพูดเรียบเฉยเย็นชา  ฉีเซี่ยงหมิงหัวเราะถูกใจ  เอื้อมมือไปตบบ่าหลิวฉางเฟย  กล่าวว่า
“ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องเป็นเงาของใครอีกแล้ว  เป็นขุนพลคนสำคัญของข้า”
“ขอบพระทัย”
“เจ้าคนไม่รู้จักบุญคุณคน  องค์ชายสี่ให้เจ้าทุกอย่าง  แต่เจ้ากลับทรยศเขา  เจ้า!” ฝงเป่าขุ่นแค้นจนแทบกระอัก  เดิมทีเขาเป็นคนใจร้อนหุนหันอยู่แล้ว  ตอนนี้ยิ่งไม่มีปัญญาเก็บอารมณ์
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เขามาให้อะไรข้า  มีแต่สิ่งที่ได้มาด้วยมือตัวเองจึงมีคุณค่า” สิ้นคำพูดนี้  เสียงตวาดด่าทอเริ่มตามมา  ฉีเซี่ยงหมิงเหยียดยิ้มมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสนุกสนาน  ที่น่าขัดใจมีอยู่อย่างเดียว  จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นท่าทีเจ็บใจของฉีเซี่ยงหยวน  จึงกล่าวว่า
“ตอนนี้สถานการณ์คงชัดแล้วกระมัง  ผู้ใดคิดมีทางรอด  วางอาวุธสวามิภักดิ์ซะ  ข้าจะ...” พูดไม่ทันขาดคำดาบเล่มหนึ่งก็ถูกวางลง  แต่วางลงบนคอของฉีเซี่ยงหมิง !  มองตามปลายดาบขึ้นไป...ดาบเล่มนี้กลับถืออยู่ในมือหลิวฉางเฟย

“คำพูดนั้นข้าคงต้องขอคืนให้ท่าน  พี่รอง ในมือท่านมีตราอาญาสิทธิ์  แต่ไม่มีทางได้ใช้อำนาจของมัน...ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว” คำพูดหลุดออกจากปากฉีเซี่ยงหยวนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ  ฉีเซี่ยงหมิงนิ่งงันไป  ตาเบิกค้าง  คำรามต่ำว่า
“หลิว-ฉาง-เฟย”
“ฉางเฟย เจ้าเชิญพี่รองมาทางนี้” จบคำพูดของฉีเซี่ยงหยวน  ทหารทุกคนได้แต่เบิกตามองหลิวฉางเฟยใช้ดาบจ่อคอ  บังคับให้องค์ชายรองผู้สูงศักดิ์เดินไปยืนอยู่ฝั่งศัตรู  หลู่เอ้อคนสนิทของฉีเซี่ยงหมิง คิดจะเสี่ยงตายเข้าช่วยเจ้านาย  แต่แค่ขยับตัวเล็กน้อย  คมดาบของหลิวฉางเฟยก็กดแนบลงบนคอนายเหนือหัว  จึงได้แต่ชะงักค้างอยู่กับที่มองเหตุการณ์ด้วยความกระวนกระวาย
“สถานการณ์ชัดถึงเพียงนี้  พวกเจ้ายังไม่ทิ้งดาบยอมจำนนอีกหรือ” สิ้นคำของมู่ซาง  ตามมาด้วยเสียงเคร้งคร้างทีละเล็กละน้อย  สุดท้ายทหารของฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงก็วางอาวุธจนหมดสิ้น  ไม่มีใครกล้าขัดขืนอีก 

สำหรับกับฉีเซี่ยงหมิง  ทั้งหมดนี้คล้ายเป็นตอนจบความฝันที่พลิกผันไม่จบสิ้น  รู้สึกตัวอีกทีชัยชนะ เกียรติยศ ความหวัง ทุกประการกลับหลุดลอยไป...

เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง  ทุกผู้คนล้วนดีใจกับชัยชนะที่ได้มาอย่างไม่คาดฝันและงงงวยอยู่บ้าง 

...ตำแหน่งต้าอ๋ององค์ถัดไปแห่งเป่ยชาง  ถูกกำหนดแน่นอนแล้ว...
---------------------
ไกลออกไปที่เมืองสวี  เหลียนอันสุ่ยยืนมองทหารตบเท้าผ่านประตูเมืองเข้ามา  เป็นเหล่าทหารซึ่งถูกส่งออกไปตีไล่ให้บรรดาทหารฝ่ายฉีเซี่ยงหมิงที่เคยล้อมเมืองสวีไว้ถอยร่นห่างออกจากเมืองหลวง  กันการส่งข่าวถึงฉีเซี่ยงหมิง  ตอนนี้ทหารเหล่านั้นกลับมาแล้ว  เสียงโห่ร้องประกาศข่าวชัยชนะดังสะท้อนอยู่ในแสงตะวันยามเที่ยง  ในใจของเหลียนอันสุ่ยปรากฏความปิติยินดีอย่างแท้จริง  ในที่สุด...สงคราม...ความสูญเสียก็ผ่านพ้นไป...
 
พระมาตุลาแคว้นเหลียนมองเลยออกไปใต้ฟากฟ้าสีคราม  ทิศคือเมืองหลวงแคว้นเป่ยชาง  ในหัวของเขามองเห็นชัยชนะอันเด็ดขาดเกิดขึ้นที่นั่น  มองเห็นความรุ่งโรจน์ที่กำลังย่างเท้าก้าวเข้ามา  ยุคสมัยเปลี่ยนแล้วและยุคสมัยที่กำลังจะมาถึงจะเป็นยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวเป่ยชาง

ความจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยเห็นฉีเซี่ยงหยวน  เหลียนอันสุ่ยก็มองเห็นแผ่นดิน  แผ่นดินอันกว้างใหญ่  อิทธิพลที่แผ่ปกคลุมไปทั่วสามแคว้น  แคว้นเหลียนเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับแผ่นดินผืนนั้น  ขณะนี้...ฟากฟ้ากำลังจะเป็นของฉีเซี่ยงหยวนแล้ว


=======
ช่วงนี้อัพทีเดียวหลายตอนเพราะพยายามจะหั่นไม่ให้ค้างนะคะ  เนื้อเรื่องค่อนข้างต่อเนื่องกัน

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 18
«ตอบ #51 เมื่อ07-08-2014 00:35:43 »

เหมือนอ่านนิยายแปลจากนักเขียนแถวหน้าเลยจริงๆ
สุดยอดมากๆ

เป้นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 18
«ตอบ #52 เมื่อ07-08-2014 05:48:35 »

มารอลุ้นต่อ  :katai5:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 19
«ตอบ #53 เมื่อ09-08-2014 09:02:53 »


บทที่ 19 กฎเกณฑ์ของฟากฟ้า

ฉีเซี่ยงหยวน หลิวฉางเฟย มู่ซาง ฝงเป่า  พร้อมกัน ณ ท้องพระโรงอันยึดเป็นศูนย์กลางในการบัญชาการ  คำสั่งทั้งหมดล้วนออกจากที่นี่  โดยมีแม่ทัพนายกองที่ต่ำกว่าลงไปรับไปปฏิบัติ 
คนรับคำสั่งชุดที่ห้าเพิ่งจากไป  ฝงเป่าที่ใจร้อนที่สุดในที่สุดก็อดรนทนต่อไปไม่ไหว  เอ่ยปากถามขึ้น
“หลิวฉางเฟย  นี่มันเรื่องราวใดกัน  ตกลงเจ้าทรยศหรือไม่ทรยศกันแน่”
“...ข้าไม่เคยทำงานให้องค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง  คำตอบนี้น่าจะพอกระมัง”
“แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็มีโทษทำอะไรลงไปโดยพลการ  เจ้าคิดซ้อนแผนพี่รองก็ควรบอกข้าก่อน  อย่าคิดว่าข้าไว้ใจเจ้าแล้วจะทำอะไรก็ได้” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยแทรก  น้ำเสียงมีแววตำหนิ
หลิวฉางเฟยรีบคุกเข่าลงอย่างรู้ความผิด  กล่าว
“ท่านอ๋องน้อยโปรดลงโทษตามระเบียบของกองทัพ  ตอนนั้นเพราะคนทรยศเป็นลูกน้องในความรับผิดชอบของข้า  ข้าก็เลย...”
“เจ้าก็เลยคิดว่าตัวเองต้องรับผิดชอบ  ก็เลยทำอะไรโดยไม่บอกชาวบ้าน  จนท่านอ๋องน้อยเกือบสั่งประหารคนผิด” มู่ซางต่อให้จนจบ
ฝงเป่าเบิกตาโต
“มู่ซางนี่เจ้าก็รู้เรื่อง  ...ทำไมข้าถึงไม่ทราบอยู่คนเดียว” ประโยคไต่ความดังขึ้นเป็นลำดับ
“ข้ารู้เพราะท่านอ๋องน้อยมอบหมายให้ข้าติดตามทุกข่าวสาร  ส่วนเจ้าที่ไม่รู้  เพราะถ้าเจ้ารู้ทุกอย่างต้องพังไม่เป็นท่า  สายตาเจ้าเคยโกหกอะไรใครได้ซะที่ไหน” นี่คือคำตอบของมู่ซาง
“เจ้า !”
“พวกเจ้านั่นแหละทำอะไรชักช้า  จนข้าเกือบกลายเป็นเม่นไป” มู่ซางต่อว่ากลับ  เป้าหมายที่แท้จริงเป็นฉีเซี่ยงหยวน  แต่ฝงเป่าชิงตอบว่า
“ถ้าเจ้าเป็นเม่น  ก็ต้องเป็นเม่นที่เหม็นที่สุด”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ ตอบว่า
“มีเรื่องยุ่งเล็กน้อย เลยล่าช้าไปบ้าง” ขณะพูด  แววตายังครุ่นคิดไปถึงคำกล่าวตอนเดินสวนกันเมื่อครู่นี้ของฉีเซี่ยงหมิง

ฉีเซี่ยงหมิงแม้ถูกคุมตัว ยึดอาวุธ และพ่ายแพ้แล้ว  ใบหน้ายังคงเชิดสูง  บุคลิกเย่อหยิ่งเย็นชาดุจเดิม  เหยียดยิ้มขณะกล่าวเบาๆให้ได้ยินกันสองคนว่า ‘คนที่เจ้าอยากพบนักหนายังมีชีวิตอยู่ในตำหนักข้า  ข้าไม่ได้ฆ่าเขาอย่างที่เจ้าต้องการให้เป็นหรอก’

เมื่อครู่เพิ่งมีคนรายงานว่าพระบิดายังมีชีวิตอยู่  ในใจของฉีเซี่ยงหยวนบังเกิดความรู้สึกอันยากจะบรรยาย  ตัวเขาก็ตอบไม่ได้ว่าลึกๆแล้วตัวเองมุ่งหวังให้เรื่องราวมีตอนจบเช่นไร  ฉีเซี่ยงหยวนทราบ  พี่รองจงใจโยนเรื่องน่าหนักใจมาให้เขา  การที่พระบิดายังมีชีวิตอยู่สร้างความยุ่งยากให้มากทีเดียว  อำนาจสิทธิ์ขาดยังไม่อยู่ในมือฉีเซี่ยงหยวนโดยสมบูรณ์  แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น  ความรู้สึกบางส่วนยังปะปนอยู่กับความโล่งใจ  อย่างน้อยเส้นทางสายนี้ก็ยังไม่ได้อาบย้อมด้วยโลหิตของบิดาตัวเอง  เพราะเมื่อมาถึงจุดนี้การคงอยู่หรือไม่ของเป่ยชางอ๋องก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลสุดท้ายอีกแล้ว  เท่ากับความจำเป็นที่ต้องกำจัดผู้ชายคนนั้นก็ไม่มีแล้วเช่นกัน  ใจที่เตรียมพร้อมจะรับกับความสูญเสีย  แต่สุดท้ายกลับไม่ได้สูญเสียไป  ให้รสชาติที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง  แปลกจนรู้สึกมึนชาอยู่บ้าง 

การคงอยู่ของเป่ยชางอ๋องไม่ค่อยให้ความรู้สึกอะไรต่อฉีเซี่ยงหยวนนัก แต่การสูญเสียผู้ชายคนนั้นไป  กลับก่อให้เกิดความรู้สึกเคว้งคว้าง ตำหนิตัวเอง  ...อาจบางทีไม่ว่าอย่างไร...พระบิดาก็ยังมีสถานะพิเศษในจิตใจเขา

ส่วนพี่ชายคนรอง ฉีเซี่ยงหมิง  ชะตากำหนดให้ต้องสูญเสียอยู่แน่นอน  ความโศกเศร้าใดๆจึงไม่มีประโยชน์  อย่าว่าแต่หากฉีเซี่ยงหมิงเป็นฝ่ายชนะ  พี่รองก็คงไม่เสียเวลาใดๆมารู้สึกสูญเสียอยู่เช่นกัน

น่าแปลก...ในเวลาที่ตัวเองกำลังจะได้ครอบครองทุกอย่าง  ฉีเซี่ยงหยวนพลันบังเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว  ในหัวของเขาเพียงนึกถึงคนผู้หนึ่งซึ่งเขาทิ้งไว้ที่เมืองอู๋เล่ย  ความระหองระแหงในแคว้นเป่ยชางอันส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกำลังสิ้นสุดยุติลงแล้ว  คนผู้นั้นจะดีใจหรือไม่หนอ  ฉีเซี่ยงหยวนพลันอยากทราบขึ้นมา  อย่างน้อยการสนทนากับพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ไม่ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไปนัก
---------------------
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง  เมฆหมอกมรสุมเมื่อวันวานคล้ายผ่านพ้นไปไกลลิบ  หากในความเป็นจริง  มรสุมแห่งการชิงอำนาจกลับไม่เคยลับหายไปจากแว่นแคว้นใดๆได้เลย  ขอเพียงมีแว่นแคว้น  มีความเจริญรุ่งเรือง  ความขัดแย้งก็จะอยู่เป็นของคู่กัน  แคว้นที่ยิ่งใหญ่อย่างเป่ยชางยิ่งไม่มีวันนั้นเป็นอันขาด  เพียงแต่ตอนนี้ทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหวชั่วคราว  เพื่อประเมินขุมกำลังกันใหม่หลังมรสุมโหมกระหน่ำรุนแรงเมื่อหลายวันก่อน

แต่ถึงในใจจะทราบเช่นนั้น  เมื่อพระมาตุลาแคว้นเหลียนเลิกม่านมองออกไป  ก็แทบถูกสภาพคึกคักยินดีปรีดาเบื้องนอกกลบกลืนความคิดในใจไปจนหมดสิ้น  ข่าวการกลับถึงแคว้นพร้อมชัยชนะเหนือแคว้นเหลียนขององค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนแพร่สะพัดไปทั่วเมือง  แต่ที่โด่งดังกว่าคือข่าวก่อกบฏไม่สำเร็จขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงซึ่งได้ฉีเซี่ยงหยวนที่กลับถึงก่อนกำหนดขัดขวางไว้ได้ทันการณ์  ชาวเป่ยชางทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนคราวเคราะห์ผ่านพ้นไปคราหนึ่ง  นึกโชคดีที่เรื่องทั้งหมดจบลงก่อนจะลุกลามบานปลายไปกว่านี้

ฉีเซี่ยงหมิงกักขังต้าอ๋อง  ยึดตราอาญาสิทธิ์  ใช้กำลังทหารควบคุมเมืองหลวง  มีโทษสถานเดียวคือประหารชีวิต  บรรดาผู้สนับสนุนและเครือญาติล้วนไม่ได้รับการละเว้น  กระทั่งพระมารดาที่มีศักดิ์เป็นพระชายารอง  เป่ยชางอ๋องยังมีคำสั่งให้ควบคุมตัวไว้ในตำหนักรอลงอาญา

ฉีเซี่ยงหยวนปลดคำสั่งกักตัวของฉีเซี่ยงหมิง  อัญเชิญเป่ยชางอ๋องกลับสู่พระราชอำนาจ  ทั้งความดีความชอบที่ปราบกบฏและการมีชัยเหนือแคว้นเหลียน  ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนกลายเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจสูงสุดจากเป่ยชางอ๋อง  ตำแหน่งรัชทายาทกลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นต้องระบุตัว  เพราะต่อจากนี้แคว้นเป่ยชาง...จะเป็นของฉีเซี่ยงหยวน

นี่คือชัยชนะ  ผู้ชนะกำหนดสถานการณ์  ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์  ไม่ว่าชัยชนะจะได้มาโดยชอบธรรมหรือไม่  แต่เมื่อได้มาแล้วชัยชนะนั้น...จะกลับกลายเป็นชอบธรรม

ไม่มีครั้งใดที่เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงคำว่าชัยชนะชัดเจนถึงเพียงนี้มาก่อน  มีแต่เหลียนอันสุ่ยที่ทราบ  ทุกคนล้วนเต้นอยู่บนฝ่ามือของฉีเซี่ยงหยวน  นี่คือตอนจบที่คาดเดาได้ตั้งแต่ต้น  ทั้งการก่อกบฏของฉีเซี่ยงหมิง  การสูญเสียอำนาจของเป่ยชางอ๋อง  สงครามที่ประตูวังทิศใต้  กระทั่งการล้อมเมืองสวี  ผู้ชายคนนี้น่ากลัวไปแล้ว  หากฉีเซี่ยงหมิงฆ่าเป่ยชางอ๋องทิ้งไป  ทุกประการแทบจะเป็นไปตามบทประพันธ์ที่วางไว้ล่วงหน้าของฉีเซี่ยงหยวนโดยไม่ผิดเพี้ยน!

เหลียนอันสุ่ยมองเหล่าผู้คนที่มาออชื่นชมขบวนทัพด้านนอกแล้วนึกสะท้อนใจกับตัวเอง  ผู้พ่ายแพ้สูญเสียทุกอย่าง ในขณะที่ผู้ชนะได้ครอบครองทุกสิ่ง  แคว้นเหลียนยังโชคดี  การสูญเสียของแคว้นเหลียนยังน้อยกว่าของฉีเซี่ยงหมิงมากนัก  เพราะกับฉีเซี่ยงหมิง  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนจะทำและมิอาจไม่กระทำคือถอนรากถอนโคน  หลังงานเลี้ยงสิ่งที่ตามมาคือการพิพากษา  และ...ความตาย 

เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  ในใจลึกๆเจ็บปวดกับกฎเกณฑ์ของประวัติศาสตร์  เมื่อจะโบยบินอยู่บนฟากฟ้า  ผู้ใดก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์นี้...

=========

ภาคหลัก
--- เป่ยชาง ---

หนึ่งในสามแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เข้มแข็งเป็นปึกแผ่นที่สุด  และน่าหวาดกลัวที่สุด
น่าแปลก...ที่ความรักที่ลึกซึ้งตราตรึงบทหนึ่งกลับเกิดขึ้นที่นี่

ความรัก...           ทั้งๆที่รู้ว่ายิ่งไขว่คว้ายิ่งเจ็บปวด  แต่ก็ยังคงไขว่คว้า
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรหลงใหล  แต่ก็ยังคงถลำลึก
ทั้งๆที่รักมากขนาดนี้  แต่ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงบทสรุป
...


=========
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ภาคหลักอย่างเป็นทางการ 
(จะโดนถีบมั๊ยถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นแค่เกริ่นนำ แหะๆ  :z6:)
ข้างล่างเป็นรายชื่อตัวละครรวบยอดให้ก่อนขึ้นภาคหลักนะคะ 
หลังจากนี้บางตัวที่ดูไม่ค่อยมีบทจะโผล่มาวาดลวดลายกัน 
บอกไว้ก่อนเลยว่าภาคหลักตัวละครเยอะกว่าช่วงแรกมาก 
ของเก่าก็มาของใหม่ก็เพิ่ม  แต่จำไม่ได้ก็ไม่ต้องซีเรียสกับมันมาก  บทหลักจะอยู่ที่พระเอกนายเอกเหมือนเดิมเน้อ

==========
รายนามตัวละคร (เรียงตามความสัมพันธ์)

แคว้นเหลียน
เหลียนอันสุ่ย = พระมาตุลาแคว้นเหลียน
เหวินจี = ชายาในพระมาตุลาที่เสียชีวิตไปเมื่อ 8 ปีก่อน
เหลียนจิ้งเต๋อ = บุตรชายเพียงคนเดียวของเหลียนอันสุ่ย
หวังเชียน = ผู้คุ้มกันคนสนิทของพระมาตุลา
อิ๋งฮวา = หัวหน้าหญิงรับใช้ของพระมาตุลา
เยี่ยนจื่อ = หญิงรับใช้ที่คอยดูแลเหลียนจิ้งเต๋อ
จือหลัน = นางกำนัลหนึ่งในเครื่องบรรณาการที่พระมาตุลาช่วยไว้
เถี่ยเจิ้ง = นายกองเสบียงชาวเหลียน  คนรักของจือหลัน
อวี้เฉียน = แม่ทัพแคว้นเหลียนผู้พ่ายศึก  มีใจให้พระมาตุลา
เฉินเสีย = ขุนนางแคว้นเหลียนที่วางยาพระมาตุลา
สตรีเจ้าของตำหนักเบญจมาศ = สตรีปริศนาที่เแค้นเหลียนอันสุ่ยจับใจ

แคว้นเป่ยชาง
ฉีเซี่ยงหยวน = โอรสลำดับสี่ของเป่ยชางอ๋อง
หลิวฉางเฟย = ผู้ติดตามและแม่ทัพคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน 
จางจื่อหยู = ขุนนางใหญ่ที่ถือข้างฉีเซี่ยงหยวนมานานปี
หลี่กวงเว่ย = ที่ปรึกษาฝ่ายบริหารของฉีเซี่ยงหยวน
ฝงเป่า = แม่ทัพคู่ใจใต้บังคับบัญชาของฉีเซี่ยงหยวน
มู่ซาง = อัจฉริยะนักวางกลยุทธ์ในกองทัพฉีเซี่ยงหยวน

หยงเซี่ย = แม่ทัพใหญ่ เทพสงครามแคว้นเป่ยชาง
ฉีเซี่ยงหมิง = พี่ชายคนรองของฉีเซี่ยงหยวน
หลู่เอ้อ = คนสนิทขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง
แม่ทัพกั่ว = คนสนิทขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง
อำมาตย์สือ = คนสนิทขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง

หนานเหมินอ๋อง = ต้าอ๋องแคว้นหนานเหมิน  ศัตรูตัวฉกาจของฉีเซี่ยงหยวน


ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 20
«ตอบ #54 เมื่อ09-08-2014 13:19:05 »


บทที่ 20 สุดเอื้อมแต่ไม่อาจไขว่คว้า

เป่ยชาง หนึ่งในสามแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เข้มแข็งเป็นปึกแผ่นที่สุด  และน่าหวาดกลัวที่สุด ผู้คนไม่กล้าล่วงล้ำอาณาเขตของเป่ยชาง  พอๆไม่กล้าล่วงเกินหนานเหมินอ๋อง  กับแคว้นโหยวเฉิงยังดูเจรจากันง่ายกว่า ผ่อนผันมากกว่า และเป็นภัยคุกคามน้อยกว่า  เพราะแคว้นเป่ยชางมีความเฉียบขาดตลอดมา  มิตรของแคว้นเป่ยชางคือมิตร  ส่วนศัตรูของแคว้นเป่ยชางนับว่าก้าวขาพาดผ่านประตูนรกไปครึ่งบานแล้ว 

ไม่มีแว่นแคว้นใดสามารถเทียบความแข็งแกร่งทางกองทัพกับแคว้นเป่ยชางได้  แคว้นเป่ยชางมี หยงเซี่ย  แคว้นเป่ยชางมีฉีเซี่ยงหยวน  เพียงเห็นฉีเซี่ยงหยวนคนเดียว เหลียนอันสุ่ยก็แทบไม่อยากวาดภาพถึงหยงเซี่ยที่ถูกทั้งสามแคว้นขนานนามเป็น เทพสงคราม  สายตาที่ผู้คนมองแคว้นเป่ยชางจึงแฝงความกริ่งเกรงอยู่ส่วนหนึ่งเสมอ  คำร่ำลือถึงความป่าเถื่อนโหดร้ายขจรไกล 
แคว้นเป่ยชางยกย่องนักรบ  นักรบที่มีความสามารถจะได้รับการยกย่องอย่างสูง  ผิดกับแคว้นเหลียนที่ให้ความสำคัญกับโคลงกลอนและบทกวี  ปราชญ์บัณฑิตแคว้นเหลียนมักย่นจมูกให้กับ ‘พวกไม่มีอารยธรรม’ เหล่านั้น   นึกไม่ถึงมาจนวันนี้  โคลงกลอนบทกวีที่ให้ความสำคัญนักหนากลับไม่อาจยื้อไว้กระทั่งเศษเสี้ยวของแว่นแคว้น
 
 ‘ผู้เข้มแข็งจึงอยู่รอด’ หลักเหตุผลเรียบง่ายอันชวนเจ็บปวดใจ  ถึงสงครามจะเป็นเรื่องเลวร้าย  แต่กำลังทหารที่แข็งแกร่งกลับเป็นปัจจัยจริงแท้แน่นอนที่แคว้นหนึ่งๆจะดำรงคงอยู่

ภาพหลายอย่างของเป่ยชางที่ผู้คนวาดไว้ในหัว  ดูจะผิดจากความเป็นจริงเมื่อได้ลองมาสัมผัส  ในความหยาบกร้านแฝงความละเอียดลึกซึ้ง  ฉีเซี่ยงหยวนนับเป็นตัวอย่างอันดี  ทุกคนที่ประเมินแคว้นเป่ยชางต่ำทรามเกินไปต้องไม่มีจุดจบที่ดี  คิดมาถึงตรงนี้เหลียนอันสุ่ยก็ชะงัก ในหัวปรากฏภาพอวี้เฉียน  สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดลง  ถึงแม้อวี้เฉียนจะประเมินฉีเซี่ยงหยวนไว้อย่างสูง  แต่ก็ยังคงต่ำทรามไปอยู่ดี  เมื่อได้มาเห็นฝีมือที่ฉีเซี่ยงหยวนจัดการกับขุมอำนาจในแคว้นเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยก็ทราบ...ต่อให้ย้อนเวลากลับไปอีกซักกี่รอบ  ผู้ชนะจะยังคงเป็นฉีเซี่ยงหยวน  มิใช่อวี้เฉียน  มิใช่แคว้นเหลียนเด็ดขาด  เหลียนอันสุ่ยแม้พอเดาความคิดของฉีเซี่ยงหยวนออก  แต่ความสามารถในการใช้ทหารผิดกันมากมายนัก  กำลังทหารในมือก็ผิดกันมากมายนัก

ทางเดินกว้างสว่างด้วยแสงไฟจากน้ำมันบนเชิงโลหะ  เสาขนาดใหญ่เรียงรายสองข้างค้ำยันขื่อคานด้านบน  ศิลปะของแคว้นเป่ยชางก็เป็นดุจเดียวกับผู้คน  เน้นลักษณะใหญ่โต มั่นคง ทรงอำนาจ  ช่องหน้าต่างแม้ใหญ่  แต่มีไม่มาก  ทำให้บรรยากาศดูทึบตันสลัวเลือน  ต่างจากความซับซ้อน ละเอียดลออโปร่งตาไปด้วยลูกกรงฉลุแบบแคว้นเหลียน

ความรู้สึกไม่เข้าพวกของเหลียนอันสุ่ยทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ  บรรดาทหารในกองทัพของฉีเซี่ยงหยวนต่างคุ้นชินกับชาวเหลียน  มองชาวเหลียนด้วยสายตาปรกติธรรมดา  หากที่นี่ทุกสายตาเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้โดยเปิดเผย  เพราะในใจพวกเขาล้วนทราบ เหลียนอันสุ่ยมิใช่ชาวเป่ยชาง  และก็ไม่มีทางเป็นชาวเหลียนธรรมดาๆเป็นอันขาด  เดิมรูปลักษณ์ของเหลียนอันสุ่ยก็เป็นหนึ่งไม่มีสองอยู่แล้ว  ถึงแม้ประกายในตัวเขาจะเรียบง่าย  แต่บุคลิกกลับยากจะหาผู้เปรียบเทียบได้ทัดเทียม

หากสิ่งที่ทำร้ายเหลียนอันสุ่ยสาหัสที่สุดกลับมิใช่สายตาเหล่านั้น  แต่เป็นกลิ่นอายกดดันทรงอำนาจที่แผ่ครอบคลุมลงมาทุกทิศทุกทาง  กลิ่นอายที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของแคว้นเป่ยชาง  เหลียนอันสุ่ยมิได้หวาดกลัว แต่บรรยากาศเช่นนี้กลับสะกิดอารมณ์เคว้งคว้างเจ็บปวด ความรู้สึกโหยหาอาลัย  ความรู้สึกสูญเสียอัปยศ  ต่อจากนี้จะไม่มีแคว้นเหลียน  สิ่งที่ดำรงคงอยู่มีเพียงเขตปกครองหนึ่งของเป่ยชาง

ถึงเหลียนอันสุ่ยจะเป็นคนมอบแคว้นเหลียนให้ฉีเซี่ยงหยวนกับมือ  แต่กลับมิอาจหักห้ามให้ตัวเองไม่รู้สึกเศร้าหมอง  สิ่งหนึ่งที่ทราบอยู่แจ้งชัด  เขาจะไม่กลับไปอีกแล้ว  เมื่อมาถึงที่นี่...มีเพียงปลายทางสายเดียวให้เดิน...

---------------------
 “ใต้เท้าทุกท่าน ดื่ม !” เสียงยกจอกขึ้นจรดริมฝีปากโดยพร้อมเพรียง
ฉีเซี่ยงหยวนนั่งอยู่ฝั่งด้านใน  ทั้งโต๊ะมีคนนั่งทั้งหมดแปดคน  ขณะที่คนอื่นต่างกรอกสุราจนจอกแห้ง หลี่กวงเว่ยที่นั่งถัดจากหลิวฉางเฟยเพียงยกสุราขึ้นจิบ  หากคนทั้งโต๊ะกลับไม่มีผู้ใดใส่ใจในข้อนี้กระทั่งฉีเซี่ยงหยวนที่เป็นคนเอ่ยปากชักชวน  เพราะทุกคนในโต๊ะล้วนทราบดี  ถ้าเป็นไปได้ที่ปรึกษาผู้มากความสามารถผู้นี้จะไม่แตะต้องสุรา  หลี่กวงเว่ยมักกล่าว
 ‘คนเรามีเวลาสมองไม่แจ่มใสมากพออยู่แล้ว  จะไปเพิ่มความประมาทขาดสติให้ตัวเองอีกทำไม’

เพียงแต่วันนี้นับเป็นวันแรกนับตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนเหยียบแผ่นดินแคว้นเป่ยชางที่ได้ฉลองความสำเร็จจากความเหนื่อยยากมาเป็นแรมปี  หลี่กวงเว่ยจึงยินยอมละเมิดกฎของตัวเองดื่มสุราสังสรรค์

งานเลี้ยงนี้เป็นเพียงนัดดื่มกินอย่างไม่เป็นทางการของฉีเซี่ยงหยวนกับบรรดาคนสนิท  ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะต่างเป็นแขนขาของฉีเซี่ยงหยวน  และต่างได้ทำความดีความชอบใหญ่หลวงในศึกแย่งชิงอำนาจที่ผ่านมา  สองข้างขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางเป็นหลิวฉางเฟยกับมู่ซาง  ถัดจากมู่ซางเป็นขุนนางใหญ่ จางจื่อหยูที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  ต่างจากคราวไล่เบี้ยกับฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนละคน  ข้างจางจื่อหยูเป็นฝงเป่าที่ตัวใหญ่บึกบึน  ถัดจากฝงเป่าเป็นแม่ทัพนายกองอีกสองคน

“วันนี้ ท่านอ๋องน้อยเป็นเจ้าภาพ  ทุกท่านดื่มกินให้เต็มที่” คำพูดราวแขกเหรื่อที่ถือสิทธ์แทนเจ้าภาพของมู่ซาง  ทำเอาคนแช่มชื่นแจ่มใสสายตาเปลี่ยนเป็นเขียวปั๊ด  แต่ก็จนปัญญาจะเอ่ยท้วงเพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยถือสาคำพูดของมู่ซางตลอดมา

“ส่วนจอกนี้ขอดื่มให้กับแม่ทัพฝงเป่าที่ดูแลความเรียบร้อยที่เมืองสวีได้อย่างยอดเยี่ยม” พูดจบมู่ซางก็กรอกสุราใส่ปากตัวเอง  คนได้รับคำยกย่องหรี่ตาลงไม่ค่อยจะเชื่อถือและรู้สึกถึงความไม่จริงใจอย่าง ไรชอบกล...เป็นไปได้ว่าคนแซ่มู่เพียงหาโอกาสดื่มสุรา
“ท่านหลี่เองก็เปลืองสมองขบคิดไปไม่น้อย” คราวนี้หันไปหาหลี่กวงเว่ยที่ตั้งใจจะไม่ดื่มมากไปกว่านี้  เดือดร้อนถึงหลี่กวงเว่ยต้องยกสุราขึ้นจิบอีกรอบ
“พวกท่านเองก็ประสานสอดคล้องได้ดีมาก”
นายกองสองคนที่นั่งตัวเกร็งมาตั้งแต่เมื่อครู่รีบยกจอกรับคารวะ  สายตาเหลือบมองเจ้าภาพตัวจริงที่นั่งหน้าเฉยๆด้วยความกริ่งเกรง
“อา  ใช่แล้ว  ครั้งนี้รบกวนความสามารถยิ่งใหญ่ของใต้เท้าจาง  ในการช่วยหาที่หลบซ่อนให้กับทุกฝ่ายที่อยู่ประจำที่เป่ยชางไว้ล่วงหน้า”
มู่ซางดื่มไปแล้ว  แต่จางจื่อหยูยกจอกค้างไว้ไม่ดื่ม  ตามองฉีเซี่ยงหยวนเขม็ง  จนสุดท้ายเจ้าภาพที่นั่งเงียบๆต้องเอ่ยปากไกล่เกลี่ยว่า
“ท่านดื่มไปเถอะ  สุราอาหารบนโต๊ะนี้ล้วนได้มู่ซางควักกระเป๋าจ่าย  ทุกคนไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
‘คนควักกระเป๋าจ่าย’ ถึงกับสำลักสุรา ร้องว่า
“ท่านอ๋องน้อยร่ำรวยล้นฟ้า  เหตุใดจึงต้องมาเบียดบังเบี้ยหวัดเงินเดือนของขุนนางชั้นผู้น้อยผู้หนึ่ง ?”
“อ้าว เชิญคนนู้นคนนี้ดื่มสุรา  เจ้ามิใช่เจ้าภาพหรอกหรือ” ฝงเป่าเลิกคิ้ว  ถามเสียงสูง  ดุจประหลาดใจเสียเต็มประดา  แต่ปลายเสียงติดหัวเราะด้วยความสะใจ
“ท่านอ๋องน้อย  ข้ากำลังดื่มสุราปลอบขวัญที่เมื่อสี่วันที่แล้วเกือบได้กลายเป็นเม่นไป  เหตุใดท่านต้องขัดขวางด้วย” คำเรียกร้องความเป็นธรรมนี้ มู่ซางเพียงกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวน  ไม่ใส่ใจใยดีเสียงหัวเราะกึกๆของฝงเป่ากับเสียงหึๆในลำคอที่ฟังอย่างไรก็ไม่ ใช่กระแอมไอของจางจื่อหยู

ฉีเซี่ยงหยวนตอบหน้าตายว่า
“ก็เจ้าตกหล่นคนที่มีความดีความชอบใหญ่หลวงที่สุดสองคนคือข้ากับฉางเฟยไป” 
ใจจริงฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้รู้สึกถูกหักหน้าอะไร  ทราบว่ามู่ซางเห็นบรรยากาศเกร็งๆไม่คุ้นชินของนายกองสองคนนั่น  จึงกล่าวกระตุ้นให้บรรยากาศครึกครื้น
 “งั้นจอกนี้มู่ซางขอคารวะท่านอ๋องน้อย  ที่ตัดสินใจวางแผนได้เฉียบขาด  ฝีมือการวางกลยุทธ์ล้ำเลิศ  แต่ที่ล้ำเลิศที่สุดยังคงเป็นการที่ท่านรู้จักใช้ผู้มีความสามารถ”
พูดไปพูดมากลายเป็นชมเชยตัวเอง  คนสำลักสุราจึงเปลี่ยนมาเป็นจางจื่อหยู  ฝงเป่าทำหน้ารับไม่ได้  ส่วนหลิวฉางเฟยสีหน้าส่อแววเอือมระอา  หลี่กวงเว่ยมีสีหน้าเรียบเฉยเป็นที่สุด  ยกจากสุราขึ้นจิบอีกหนึ่งอึก  นอกจากฝงเป่ากับนายกองอีกสองคน  ที่เหลือล้วนฟังออกว่าคำพูดของมู่ซางยังแฝงนัยถึงความสามารถโยนงานให้ลูกน้องตัวเองของฉีเซี่ยงหยวนด้วย
 
  หลิวฉางเฟยนับว่าได้รับทราบมาอย่างลึกซึ้งที่สุด  ตัวเองปั่นงานของเจ้านายตัวเป็นเกลียว  ส่วนเจ้าของงานที่แท้จริงกลับลอยไปลอยมาอยู่แถวๆตำหนักพระมาตุลา  ความเอือมระอานี้ทั้งต่อพฤติกรรมของเจ้านายตัวเอง  และต่อพฤติกรรมของมู่ซาง  แต่นี่คือสภาพปรกติระหว่างฉีเซี่ยงหยวนกับมู่ซาง  ท่านอ๋องน้อยไม่เคยขีดแบ่งกรอบนายเหนือหัวกับผู้ใต้บังคับบัญชากับมู่ซาง  พอๆกับมู่ซางที่รู้ขอบเขตตัวเองดีว่าเกินเลยได้แค่ไหน

แต่คนที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพนี้คือนายกองที่นั่งร่วมโต๊ะอีกสองคนซึ่งได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก  หวาดเสียวเงาหัวของตัวเอง
ฉีเซี่ยงหยวน รินสุราให้ตัวเองอีกจอก  กล่าวขึ้นว่า
“ฉางเฟย  ถ้าให้มู่ซางคารวะสุราเจ้าคงไปกันใหญ่  สุราจอกนี้ข้าขอดื่มให้กับความทุ่มเทและความภักดีที่มีตลอดมาของเจ้า”
หลิวฉางเฟยรีบกล่าว
“ฉางเฟยไม่กล้ารับ  เป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนส่ายหัว  กล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงบังคับ
“ดื่ม” สุดท้ายสุราในมือหลิวฉางเฟยจอกนั้นก็ถูกดื่มลงท้องไป
คนเป็นเจ้าภาพผุดลุกขึ้นยืน  เอ่ย
“นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของข้า...ขอบคุณ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามีในวันนี้  ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้น  ไม่ได้เกิดจากข้าเพียงคนเดียว  แต่เป็นเพราะการทุ่มเทแรงกายแรงใจของทุกคน”
คนฟังมีรอยยิ้มปรากฏบนเรียวปาก  เป็นรอยยิ้มแห่งความสำเร็จ  และเป็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจที่ได้รับใช้นายเหนือหัวผู้นี้  จอกสุราถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง 

แล้วบรรยากาศครึกครื้นก็ดำเนินต่อไป  สุราจอกแล้วจอกเล่า  คำพูดปนกับเสียงหัวเราะประโยคแล้วประโยคเล่า  แต่สุดท้ายคนเป็นเจ้าภาพงานกลับขอตัวออกไปก่อนซะดื้อๆ  คนที่เหลือได้แต่มองหน้ากันงงๆ  หลี่กวงเว่ยที่เยือกเย็นตลอดมายังคงมีท่าทีปรกติไม่แปลกใจ  ส่วนมู่ซางขมวดคิ้วเล็กน้อย  เหลือบมองไปทางจางจื่อหยูที่มีสีหน้ากระวนกระวายรุ่มร้อนกังวล  คล้ายกับคิดเอ่ยปากรั้ง  แต่ไม่กล้า  แล้วแววตาของมู่ซางก็แปรเป็นแฝงเลศนัยประหลาด  ราวทราบถึงสาเหตุที่องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนรีบร้อนจากไป...
-----------
ตำหนักชุนเกอ ตำหนักรับรองแขกต่างแคว้นที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง  ตอนนี้มีเจ้าของชั่วคราวคนใหม่ของมันแล้ว  ฤดูชุนเทียนที่สายลมฤดูใบไม้ผลิกวาดพัดเข้ามา  ปลายหญ้าแทงยอดอ่อนโผล่พ้นจากผิวดิน  ต้นไม้แตกกิ่งทอดรำพัน  สายฝนขับลำนำบนกลีบบุปผา  จะเป็นช่วงเวลาที่ตำหนักแห่งนี้งามล้ำที่สุด  สำเนียงวสันตฤดูขับกล่อมผู้คนจนเคลิบเคลิ้มสมดั่งชื่อชุนเกอ
 
แต่ตอนนี้ความงามความประทับใจล้วนผ่านพ้นไปแล้ว  ราวกับความรักอันสวยงามที่หลงเหลือเพียงอารมณ์ทอดถอนอาวรณ์  แสงจันทร์ไล้แผ่วเบาบนกิ่งก้านที่โดดเดี่ยวว้าเหว่  ทาบเงาเหยียดยาวบนใบไม้ที่ปลิดตัวจากขั้วอย่างโหยหาอาลัย  คล้ายสุดเอื้อมมือแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้

เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหลับมาจากบานหน้าต่าง  แม้พยายามจะไม่ครุ่นคิดถึง  หากในใจกลับไถ่ถาม แสงจันทร์ใช่ทอดเงาดุจเดียวกันที่แคว้นเหลียนหรือไม่หนอ... ‘บ้าน’ ที่เคยอยู่ตลอดมากลายเป็นสุดเอื้อมคว้าไปเสียแล้ว

ครุ่นคิดนิ่งงันอยู่เพียงครู่  พระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ดึงตัวเองกลับมายังสิ่งที่ครุ่นคิดอยู่ก่อนได้เป็นผลสำเร็จ  จังหวะเดียวกับที่อิ๋งฮวาเข้ามารายงานด้วยน้ำเสียงด้วยราบเรียบแผ่วเบา 
“องชายสี่แคว้นเป่ยชางมาเจ้าค่ะ” ใบหน้าของผู้รายงานซีดขาว ปลายเล็บจิกลึกลงบนชายเสื้อที่กำไว้

แววตาของเหลียนอันสุ่ยมีประกายรับรู้  และคล้ายแฝงการตัดสินใจบางอย่าง  มิได้รอให้อีกฝ่ายเข้ามา  แต่เป็นฝ่ายเดินออกไป 
อิ๋งฮวามองตามหลังของนายท่าน  ฟันซี่เล็กๆของนางขบกันจนแน่น  นึกอยากให้ตัวเองมีอำนาจมากมายกว่าที่เป็นอยู่  แต่ก็ทราบว่าต่อให้มีอำนาจมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์  เพราะทั่วทั้งแคว้นเป่ยชาง กระทั่งเป่ยชางอ๋องยังไม่มีปัญญาจัดการกับบุตรชายคนที่สี่ของตัวเอง  นางเกลียด  เกลียดอ๋องน้อยผู้นั้น...และก็เกลียดตัวเองยิ่งกว่าที่ไม่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงสิ่งใด
---------------------
สายตาของฉีเซี่ยงหยวนมิได้ละไปจากร่างของคนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบสัปดาห์เต็ม  เหลียนอันสุ่ยยังคงสวมชุดชาวเหลียน  ถึงแม้ที่ตำหนักรับรองจะมีชุดชาวเป่ยชางตัดเย็บใหม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้ก็ตาม

“องค์ชายสี่” เสียงเรียกขานที่เปลี่ยนไปกับกิริยาค้อมหัวลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ประคองมือคารวะ  ทำให้คนที่รีบร้อนก้าวเข้ามาชะงักไปวูบหนึ่ง  บางอย่างในท่าทีของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนไป...คล้ายกับว่าเจ้าตัวจงใจให้เขารู้สึกถึงความแตกต่าง...ให้เขารู้สึกถึงระยะห่าง
“ไม่มีคนนอก  ท่านเรียกข้าแบบเดิมก็ได้”
คนฟังส่ายหน้า  น้ำเสียงน่าฟังสงบราบเรียบจนดูห่างเหิน
“มันไม่เหมาะสม  และอีกไม่นานคำเรียกขานท่านเป็นองค์ชายสี่...ก็คงไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว”
ฉีเซี่ยงหยวนจ้องท่าทีของอีกฝ่าย  สายตาคล้ายถาม  ท่านทำแบบนี้เพราะข้าจะเป็นต้าอ๋อง  เพราะท่านไม่พอใจวิธีที่ข้าแย่งชิงมันมาจากพี่รอง  หรือเพราะที่นี่คือแคว้นเป่ยชาง ?

“จริงๆท่านไม่ควรมาที่นี่  ไม่ว่าระหว่างเราจะเคยเกิดอะไรขึ้น  แต่มันควรจะจบได้แล้ว  สานต่อรังแต่จะก่อผลเสียทั้งต่อท่าน...และต่อข้า”
ยังไม่ทันจบประโยคดี  คนเป็นพระมาตุลาก็ถูกองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางรวบตัวไปอยู่ในอ้อมกอด
“ท่านหมายความว่ายังไง  ข้าไม่เข้าใจ  ...ข้าเพียงแค่คิดถึงท่าน”

เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  พยายามขืนตัวออก  แต่มือหยาบกร้านทั้งสองข้างยึดร่างเขาเอาไว้แน่น  แกะอย่างไรก็แกะไม่ออก
“ท่านไม่เข้าใจ?  ที่นี่คือแคว้นเป่ยชาง  ท่านกำลังจะได้เป็นเป่ยชางอ๋อง  ท่านจะทำเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ไม่ได้  ท่านต้องการให้ชาวเป่ยชางมองต้าอ๋องของพวกเขาอย่างไร!”

ฉีเซี่ยงหยวนตอบโดยไม่เสียเวลาคิดว่า
“พวกเขาต้องการจะมองอย่างไรก็ให้พวกเขามองอย่างนั้น”
“ที่นี่คือแคว้นเป่ยชาง  มิใช่ที่ๆท่านสามารถหลบหนีจากไป  ท่านคิดจะปิดไว้ได้นานแค่ไหน  ชั่วชีวิตของท่าน  หรือชั่วชีวิตของข้า?” ปลายหางเสียงเจือความขม  ทั้งสองประการล้วนเป็นไปไม่ได้  เมื่อมีไฟซักวันย่อมต้องมีควันเล็ดลอดออกไป  ผ่ามือของเหลียนอันสุ่ยยังคงดิ้นรนผลักไส  ใบหน้าเบือนหนีริมฝีปากที่ชิดเข้ามา  กลิ่นสุราชัดเจนจนสามารถมอมคนให้เมามาย  เหลียนอันสุ่ยพลันทราบสาเหตุที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ยินยอมเข้าใจอะไรเลย

ในที่สุดอาศัยจังหวะเลื่อนมือของอีกฝ่าย เหลียนอันสุ่ยก็สามารถรวบรวมแรงผลักไสร่างสูงใหญ่ออกไปจนได้
ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้วจ้องฝ่ายตรงข้าม  สีหน้าปรากฏแววคล้ายไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงถูกผลักออกห่าง  เอ่ยคำ
“ท่าน...” แต่พูดได้แค่นี้ก็เซไปวูบ  เมามายจนเสียการทรงตัว
“ท่านอ๋องน้อย!” น้ำเสียงเรียกตื่นตระหนก  เมื่อเห็นท่าว่าอีกฝ่ายจะล้มลงไปจริงๆ  มือของเหลียนอันสุ่ยยื่นออกไปยึดไว้ตามสัญชาตญาณ  แรงฉุดพยุงเปลี่ยนทิศทางกลายเป็นล้มมาพิงกับร่างคนที่ตัวบางกว่า  แรงปะทะหนักหน่วงจนเหลียนอันสุ่ยแทบจะล้มลงไปอีกคน
“ที่แท้ท่านดื่มไปมากถึงเพียงนี้  ท่าน...” หากฤทธิ์สุราทำให้ฉีเซี่ยงหยวนสติดับวูบไปแล้ว  แม้ยังรู้สึกตัว  แต่สมองประมวลผลอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น  สุดท้ายเหลียนอันสุ่ยจึงทำได้เพียงพยุงร่างคนเมาไปทิ้งน้ำหนักลงบนเตียง... แต่กลับกลายเป็นว่าถูกคนที่นอนลงไปคว้าติดมือลงไปด้วย

“ข้าคิดถึงท่าน...” เสียงพึมพำดังลอดออกมาจากปากฉีเซี่ยงหยวน
ร่างหนาตะแคงเกยจนเกือบจะเป็นทับกับอีกฝ่ายกักร่างสูงโปร่งเอาไว้ในอ้อมแขน  ใบหน้าคมซบลงพอเหมาะพอเจาะพอดีกับซอกคอหอมกรุ่น  แรงที่โอบรัดไม่ได้มากจนทำให้รู้สึกเจ็บ  แต่ก็พอดีอยู่ในระดับที่ดิ้นไม่หลุด  ริมฝีปากหนาบดเบียดเข้าหากลีบปากนุ่มเนียน  เหลียนอันสุ่ยผงะหนี  แต่ริมฝีปากอีกฝ่ายกลับติดตามมา  การประกบแนบครั้งที่สองลึกซึ้งดื่มด่ำกว่าเดิม  ปลายลิ้นซอกซอนแทรกลึกเข้ามาตามรอยแยกของกลีบปาก  พาเอารสชาติขมฝาดของสุราเข้ามาด้วย  สัมผัสที่เหมือนเป็นการกลืนกินมากกว่าจุมพิต  ทำให้พระมาตุลาแคว้นเหลียนรู้สึกว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ทัน  ศีรษะเบียดติดกับเตียงจนไม่อาจถอยห่างไปกว่านี้  แต่กลับไม่อาจหลบหนีการเบียดเคล้าที่ลึกซึ้งยาวนาน 

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ยินยอมปล่อยให้ริมฝีปากของเหลียนอันสุ่ยเป็นอิสระ  เพิ่งผละออกก็ประกบซ้ำอีก  ส่งผลให้คนที่อ่อนระสบการณ์กว่าสมองมึนเบลอว่างเปล่า  รับรู้แต่กลิ่นของสุรา  รสชาติของสุรา จนคล้ายกับตัวเองกลายเป็นฝ่ายเมามาย  ไม่รู้สึกตัวว่าฝ่ามือใหญ่เลื่อนไปปลดสายรัดเอว  แยกสาบเสื้อตัวในออกจากกัน  จนจังหวะที่ปลายนิ้วสากลากไล้กับโคนขา  เปลือกตาที่หรี่ปรือจึงเบิกกว้าง  ร่างสะท้านเฮือก  ขยับกายหมายหลบเลี่ยง  จุดประสงค์เพียงหวังว่าตัวเองสามารถลงจากเตียง  ขอเพียงลงจากเตียงได้ก็จะพ้นมือคนเมาไม่รู้เรื่อง  ยุติสถานการณ์อันล่อแหลมนี้ 

หากมือใหญ่ขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางคล้ายงอกอยู่บนร่างของเหลียนอันสุ่ย  เพิ่งขยับมาถึงริมเตียงก็ถูกรั้งเอวไว้  ร่างสูงเคลื่อนมาทาบทับแผ่นหลังโปร่ง  ทิ้งน้ำหนักลงมาเพียงครึ่งตัวเหลียนอันสุ่ยก็ไม่มีปัญญาขยับหนีไปไหน  ริมฝีปากร้อนผ่าวคลอเคลียอยู่กับช่วงไหล่เปลือยเปล่าเลื่อนลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง  สาบเสื้อสีขาวร่นไปกองอยู่มุมศอก  ท่อนขาแข็งแรงเบียดแทรกอยู่ระหว่างช่วงขาเรียวยาวทั้งสองข้าง  สะโพกแกร่งอิงแนบกับโคนขาเนียนละเอียดถ่ายทอดอารมณ์ปรารถนาต้องการ
“ข้าคิดถึงท่าน” เสียงพึมพำแผ่วเบามีสำเนียงเมามาย

ความทรงจำของเหลียนอันสุ่ยถอยย้อนกลับไปยังส่วนที่เขาไม่ต้องการรำลึกถึงที่สุด  ตอนนี้คนที่ถูกซ้อนอยู่ด้านล่างเพียงหวังให้มือ ‘คนเมา’ สุภาพเรียบร้อยกว่านี้  แต่ความคิดยังไม่ทันจางหายไปจากศีรษะ  ผ่ามือที่โอบรั้งอยู่ที่เอวก็เลื่อนต่ำลงไป...

“อะ อย่า  ฮ้า” ร่างสูงโปร่งสะท้านไม่หยุด  ริมฝีปากขบเข้าหากันพยายามสะกดกั้นเสียงครางในลำคอ  รู้สึกว่าเรือนกายตัวเองร้อนวูบวาบ  ร่างทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นไร้เรี่ยวแรง  ความรู้สึกรวดร้าวระคนกับสุขสมครอบงำห้วงความคิด  ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งขณะถูกฉุดดึงกลับมาจากริมเตียง

สัมผัสร้อนผ่าวจากผ่ามือแกร่งพรากความสามารถในการต่อต้านขัดขืนของเหลียนอันสุ่ยไปจนหมดสิ้น  สติสัมปชัญญะวนเวียนอยู่ในวังวนของฝันร้อนแรง  จูบที่ปลายคางเน้นย้ำซ้ำๆไปจนถึงซอกหู  ดวงตาหรี่ปรือของฉีเซี่ยงหยวนเป็นประกายเข้มจัด

‘คิดจะไปจากข้าอย่างนั้นหรือ...ฝันไปเถอะ!’

รสสัมผัสดุจต้องการล้างความคิดดังกล่าวออกไปจากหัวพระมาตุลาแคว้นเหลียนให้หมดสิ้น...
---------------------
เมื่อเจ้าภาพไม่อยู่  ในที่สุดงานเลี้ยงก็เลิกรา  ผู้ร่วมโต๊ะทยอยจากไป  จางจื่อหยูเองก็คิดจะจากไป  แต่ถูกมู่ซางที่ยังไม่เลิกละเลียดสุราเรียกรั้งไว้
เมื่อจางจื่อหยูนั่งลงอีกครั้ง  มู่ซางก็ถามขึ้นมาลอยๆ
“ใต้เท้าจาง  ดูเหมือนท่านจะทราบว่าท่านอ๋องน้อยมีเรื่องเร่งด่วนอะไรต้องรีบไปกระทำกระมัง”
เห็นสีหน้าส่อพิรุธชัดเจนของอีกฝ่าย มู่ซางก็ลอบยิ้มกับตัวเอง  กล่าวขึ้นอีกว่า
“ท่านดูลำบากใจที่จะตอบคำถามข้านะ”
“...ท่านอ๋องน้อยแค่ดื่มมากเกินไปจนรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว  ต้องการการพักผ่อน  มันก็เท่านั้นแหละ” คำกลบเกลื่อนที่พอมู่ซางอ้าปากจะแย้ง  จางจื่อหยูก็ผุดลุกขึ้นเหมือนตัวเองมีเรื่องรีบร้อนต้องไปทำอีกคน  กล่าว
“ข้าเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย  ต้องขอตัวแล้ว” กล่าวจบก็ผลุนผลันจากไป
มู่ซางหลุดหัวเราะเบาๆขณะมองตาม  ใครก็รู้ว่า ‘ดื่มมากเกินไป’ ใช้กับท่านอ๋องน้อยไม่ได้  ในบรรดาคนที่นั่งร่วมโต๊ะ  คนที่คอแข็งที่สุดคือฉีเซี่ยงหยวนกับมู่ซาง  ตัวมู่ซางเองกรอกไปมากมายถึงเพียงนี้ยังไม่ใคร่รู้สึกเมา  ส่วนท่านอ๋องน้อยวันนี้ดื่มไปน้อยกว่าจางจื่อหยูด้วยซ้ำจะเมามายได้อย่างไร?

‘ท่านไม่บอก  ข้าก็มีวิธีรู้ของข้าเอง’ มู่ซางคิดขณะยกจอกสุราขึ้นดื่ม
---------------------
ใต้แสงตะเกียงหรี่สลัว  ‘คนเสแสร้งแกล้งเมา’ มองเค้าใบหน้าสูงศักดิ์อ่อนโยนของคนในอ้อมแขน  รู้สึกเหมือนตัวเองจริงๆก็เมามาย  ซ้ำยังเมามายแบบที่ไม่มีปัญญาสร่างเมาด้วย  ใบหน้านี้ไม่ทราบครุ่นคิดคำนึงถึงกี่ครั้งครา  แปลก...เหตุใดจึงตราตรึงอยู่ในความทรงจำถึงเพียงนี้  แววตาของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนโยนอย่างที่ผู้ใดก็ไม่เคยเห็นมาก่อน  แฝงความปวดร้าวอยู่เร้นลึก 

‘หากข้าไม่ใช้โซ่ตรวนแห่งอำนาจพันธนาการท่านไว้...ท่านคงไม่มีทางอยู่ข้างกายข้าสินะ’

เพราะท่านคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าจะจากไป  แต่ข้า...จะไม่ปล่อยท่านไป  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยท่านไป
แสงจันทร์ยังคงไล้แผ่วเบาบนกิ่งก้านที่โดดเดี่ยวว้าเหว่  ทาบเงาเหยียดยาวบนใบไม้ที่ปลิดตัวจากขั้วอย่างโหยหาอาลัย  คล้ายสุดเอื้อมมือแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้

 ...สุดเอื้อมมือแต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้...

ฉีเซี่ยงหยวนหยุดมองเงาไม้...แล้วก็ก้าวเท้าจากไปจากตำหนักรับรองชุนเกอ...

   สายตาคู่หนึ่งวาววาบในความมืด  มือใหญ่กุมดาบในฝักไว้แน่นจนขึ้นข้อขาว  หักห้ามตัวเองมิให้ชักดาบออกจากฝัก  หวังเชียนยืนท่ามกลางสายลมเย็นเฉียบของฤดูใบไม้ร่วงมาช่วงใหญ่แล้ว  เสียงที่เกิดขึ้นในตำหนักมามุมนี้ได้ยินชัดแจ้ง  ถึงแม้จะเป็นเพียงเสียงแผ่วเบา  แต่ไม่มีทางที่หวังเชียนจะลืมเลือนไปในชั่วชีวิต  ผู้มีพระคุณของเขา  นายที่เขาขายชีวิตให้  กลับถูกคนผู้นั้น...  กรามขบแน่นจนฟันแทบแหลกละเอียด  ความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้หวังเชียนยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไปจนเช้า...
---------------------


ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 21
«ตอบ #55 เมื่อ13-08-2014 20:49:32 »


บทที่ 21 ถลำลึก

   สายๆ ตำหนักเสียงวสันต์(ชุนเกอ)ก็มีอาคันตุกะมาเยือน
   “แม่ทัพหลิว” คำเรียกขานของเหลียนอันสุ่ยมีแววแปลกใจ  หลิวฉางเฟยเป็นแม่ทัพคนสนิทของฉีเซี่ยงหยวน  มีตำแหน่งสำคัญยิ่ง  บรรดาองครักษ์ของฉีเซี่ยงหยวนทั้งหมดต่างขึ้นตรงกับเขา  ช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจสมควรมีงานล้นมือจนทำแทบไม่ทัน  เหตุใดจึงเป็นผู้ถือคำสั่งมาด้วยตัวเอง ?
   “องค์ชายสี่มีบัญชาให้ข้าน้อยจัดทหารอารักขาพระมาตุลา” พูดจบก็หันไปพยักหน้าต่อบุรุษในชุดเต็มยศอีกสองคนข้างหลัง  ให้แนะนำตัว
   “ข้าน้อยชื่อหม่าหลง”
   “ข้าน้อยชื่อต้วนจิน”
   “หากพระมาตุลาต้องการอะไรสามารถเรียกใช้สองคนนี้”
   เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  การกระทำเช่นนี้เท่ากับบอกกลายๆว่าเหลียนอันสุ่ยอยู่ในความคุ้มครองของฉีเซี่ยงหยวน  ผู้อื่นแม้ไม่ทราบ  แต่หากล่วงเกินเหลียนอันสุ่ยก็เท่ากับตอแยองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง
   “คนคุ้มกันข้ามีพออยู่แล้ว  ข้าไม่ต้องการพวกเขา” จริงอยู่ การมีสองคนนี้อยู่การดำเนินชีวิตในแคว้นเป่ยชางของเหลียนอันสุ่ยต้องราบรื่นขึ้นอีกมาก  แต่นั่นกลับเป็นการขดรัดพันธนาการที่มองไม่เห็นให้แน่นขึ้นด้วย
หลิวฉางเฟยยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า
“อีกหน่อยท่านก็ต้องการพวกเขา  อีกอย่างนี่เป็นคำสั่งขององค์ชายสี่  ข้ามีหน้าที่แค่เอาคนมาส่งเท่านั้น”
“...ลำบากแม่ทัพหลิวแล้ว” ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธ ก็ได้แต่รับไว้
“ข้าน้อยยังมีคำพูดขององค์ชายสี่ถึงพระมาตุลา” หลิวฉางเฟยรอจนคนอื่นออกไปจนหมด จึงถ่ายทอดคำพูดของฉีเซี่ยงหยวนต่อเหลียนอันสุ่ย
---------------------
“แม่ทัพหลิว” หม่าหลง ต้วนจิน ทำความเคารพเมื่อเห็นหลิวฉางเฟยเดินออกมา
หลิวฉางเฟยกล่าวกำชับว่า
“คุ้มกันพระมาตุลาให้ดี”
ทั้งสองรีบรับคำ
หลิวฉางเฟยกวาดตาผ่านแววตาที่ดูจะแฝงความไม่เป็นมิตรของหวังเชียน คนคุ้มกันเดิมของพระมาตุลาที่ยืนคุมเชิงอยู่อีกฟากของห้อง  แต่ในหัวของหลิวฉางเฟยไม่ได้ครุ่นคิดกังวลเรื่องนี้  ...มีบางคำพูด  แม้ลำบากใจที่จะกล่าว  หากสุดท้ายก็ยังคงต้องกล่าวออกไป  หลิวฉางเฟยถอนหายใจขณะก้าวพ้นกำแพงรั้วของเขตตำหนักเสียงวสันต์...
---------------------
อิ๋งฮวาเหลือบมองนายท่านที่เอาแต่ยืนนิ่งค้างอยู่คนเดียว  ขณะวางน้ำชาลงบนโต๊ะ  แล้วล่าถอยออกจากห้องอย่างเงียบงัน
เหลียนอันสุ่ยแม้พยายามไม่ครุ่นคิด  หากคำพูดของหลิวฉางเฟยยังคงตกค้างอยู่ในหัว

‘หากท่านสามารถปล่อยวางเรื่องของแคว้นเหลียนและเรื่องของเด็กคนนั้น  ท่านก็สามารถจากไป’

ปลายนิ้วเรียวยาวถูกกำแน่นเข้า สั่นระริก  ปล่อยหรือ  หากเขาปล่อยได้ก็คงไม่ยืนอยู่ตรงนี้  คำตอบชัดเจนยิ่ง...ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีวันปล่อยเขาไป
ที่แท้เมื่อคืนฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เมามายจนถึงกับฟังไม่รู้เรื่อง  แต่เป็นไม่ต้องการจะฟัง  คำในวันนี้เท่ากับบ่งบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องการเอ่ยถึงอีก
‘พวกเขาต้องการจะมองอย่างไรก็ให้พวกเขามองอย่างนั้น’
เหลียนอันสุ่ยคาดเดาไม่ผิด  เพียงแต่มองเรื่องราวง่ายดายเกินไป  การที่ฉีเซี่ยงหยวนส่งคนมาทำหน้าที่คุ้มกัน  มิได้ขดรัดพันธนาการให้แน่นเข้า  เพราะพันธนาการนี้แท้จริงดิ้นไม่หลุดมาตั้งแต่ต้น
หากฉีเซี่ยงหยวนไม่อนุญาต  เหลียนอันสุ่ยจากไปได้หรือ ?

เหลียนอันสุ่ยต้องการให้ฉีเซี่ยงหยวนเบื่อหน่ายเขาโดยเร็ว  แต่ถ้าฉีเซี่ยงหยวนเบื่อหน่ายเขาจริง  เช้าวันนี้เหลียนอันสุ่ยจะไม่ได้เห็นหลิวฉางเฟย  เนื่องจากธุระเรื่องความเป็นอยู่ของเหลียนอันสุ่ย คนที่มีตำแหน่งเช่นหลิวฉางเฟยไม่จำเป็นต้องลงมาจัดการด้วยตัวเอง ท่าทีเมื่อคืนยิ่งเพิ่มเติมความสิ้นหวัง

‘ข้าคิดถึงท่าน’  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการเขา  ต้องการมากมายอย่างยิ่ง
ทุกผู้คนมักหวังจะเป็นที่โปรดปราน  แต่ความเป็นที่โปรดปรานกลับทำร้ายเหลียนอันสุ่ยอย่างลึกล้ำ  เพราะยิ่งฉีเซี่ยงหยวนโปรดปรานเขา  ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานะที่เขาไม่ต้องการจะนึกถึง 

เขามิใช่ตัวประกัน  มิใช่หมากที่มีคุณค่าให้ใช้สอย แต่เป็น ‘ของเล่นบนเตียง’

รอยยิ้มขมปรากฏบนเรียวปาก  ก็เลือกเองมิใช่หรือทางเดินนี้  เหตุใดจึงเพิ่งมารู้สึก  ความรู้สึกไร้ค่า  ความรู้สึกความปวดร้าว  เข้มข้นจนต้องชะงัก  มันไม่ควรจะเจ็บปวดขนาดนี้  ความหวาดกลัวแทรกขึ้นมาแทนที่  ไม่  รักไม่ได้  ภาพของบุตรชายผุดขึ้นมาในมโนความคิด  ฉับพลันความรู้สึกผิดก็เอ่อท้นจนแทบสำลัก  รีบระงับความคิดที่กำลังไหลบ่าตามมา  มือสั่นสะท้านกุมพนักเก้าอี้แน่น  เหลียนอันสุ่ยรู้เพียงหากยังครุ่นคิดต่อไป...แค่ความคิดก็สามารถฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น !
---------------------
ณ ห้องหับใหญ่โตในอาณาเขตที่พักพิงขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง  คนซึ่งตอนนี้มีสถานะไม่ต่างจากองค์รัชทายาทขาดเพียงคำสั่งแต่งตั้งกับการย้ายเข้าวังตะวันออกในมือพลิกเปิดเอกสารจากกรมกองต่างๆ แต่หูกลับเงี่ยฟังอย่างตั้งใจ

 “...รายละเอียดทั้งหมดก็ประมาณนี้  หม่าหลงกับต้วนจินจะส่งรายงานมาอีกรอบตอนพระอาทิตย์ตกดิน”
ที่แท้คนคุ้มกันทั้งสอง นอกจากต้องอารักขาความปลอดภัย  ยังต้องรายงานทุกเรื่องราวมายังฉีเซี่ยงหยวน  ถึงแม้นั่นออกจะเป็นรุกล้ำสิทธิผู้อื่นอยู่บ้าง  แต่องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางก็ทำใจไม่ได้จริงๆที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ห่างหูห่างตา  นับวันอาการกึ่งๆจะประสาทนี้มีแต่จะทวีความหนักข้อขึ้น  หลิวฉางเฟยที่รับทราบทุกอย่างได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง  หากไม่กล้าเอ่ยคัดค้านอะไร  ด้วยเกรงภายภาคหน้าอาจไม่เหลือหัวไว้ให้ส่าย
“ตอนนี้เขาอยู่หอตำรา ?” คนเป็นนายเอ่ยถาม
“ขอรับ” หลิวฉางเฟยรับคำ
“ดี  อยู่ที่นั่นเขาจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน  เขาจากบ้านมาไกล คงรู้สึกไม่ค่อยดี” คำพูดตอนท้ายคล้ายรำพึงกับตัวเอง

หลังจากเข้าไปทำหน้าที่คุ้มกันได้ไม่นาน  หม่าหลงกับต้วนจินก็เสนอตัวพาพระมาตุลาไปเยี่ยมชมหอตำราหลวง  หากเบื้องหลัง คำเชิญนี้กลับมาจากฉีเซี่ยงหยวน  มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนที่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ย ชมชอบอ่านตำราถึงเพียงไหน  และก็มีแต่คำอนุญาตจากฉีเซี่ยงหยวน พระมาตุลาต่างแคว้นจึงสามารถเข้าไปอ่านตำราในหอตำราหลวงของแคว้นเป่ยชาง

ระเบียบการใช้หอตำราแคว้นเหลียนกับแคว้นเป่ยชางแตกต่างกัน  ที่แคว้นเหลียนบัณฑิตและเชื้อพระวงศ์ทุกคนสามารถเข้าใช้หอตำราหลวง  ตำรับตำราล้ำค่าล้วนถูกคัดลอกจนแพร่หลายไปทั่ว  มีเพียงเอกสารบางส่วนซึ่งไม่อนุญาตให้เผยแพร่ที่จะจัดเก็บแยกไว้ในหอตำราลับ  ส่วนแคว้นเป่ยชางเอกสารตำราแต่ละชิ้นมิใช่อนุญาตให้เผยแพร่โดยง่ายดาย  หอตำราหลวงจัดเก็บเอกสารสำคัญกับบรรดาจดหมายเหตุหลายฉบับที่มีเพียงหนึ่งเดียวไว้รวมกับตำราโบราณอื่นๆ  คนที่มีสิทธิ์เข้าใช้จึงมีเพียงเป่ยชางอ๋องกับพระญาติใกล้ชิด  พวกขุนนางบัณฑิตจะใช้หอตำรากลางซึ่งคัดลอกเอกสารส่วนน้อยที่อนุญาตให้เผยแพร่ออกไปอีกทอดหนึ่ง 

“พ่อครัวเล่า ?”
“เรื่องนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว  คนแรกเป็นพ่อครัวประจำตำหนักพระมาตุลาที่แคว้นเหลียน  ส่วนอีกคนที่ส่งไปคัดจากพ่อครัวในจวนท่านอ๋องน้อย” หลิวฉางเฟยรายงาน  ท่านอ๋องน้อยเป็นคนละเอียดรอบคอบ  แต่การเอาใจใส่คนผู้หนึ่งถึงเพียงนี้กลับผิดธรรมดา  ใช่ พ่อครัวเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะอาหารทำพิษให้คนเราได้ง่ายๆ  โดยเฉพาะคนที่มีตำแหน่งสูงๆ  แต่ประการอื่นนอกเหนือจากการระวังป้องกันคือฉีเซี่ยงหยวนเกรงว่าพระมาตุลาแคว้นเหลียนกับบุตรชายจะไม่ชินกับอาหารที่ปรุงแบบชาวเป่ยชาง  จึงให้พ่อครัวจากแคว้นเหลียนติดตามมาด้วยคนหนึ่ง

 ...ทั้งที่เอาใจใส่ถึงเพียงนี้  เหตุใดคำพูดที่ฝากไปถึงจึงโหดร้ายนักเล่า  หลิวฉางเฟยไม่เข้าใจ  หากปากก็ยังคงรายงานต่อ
“ทางด้านพระอาจารย์ของเหลียนจิ้งเต๋อก็จัดส่งไปแล้วขอรับ”
ฉีเซี่ยงหยวนรับคำเสียงอืมม์  แล้วโบกมือเป็นความหมายให้อีกฝ่ายจากไป  สายตาคมเหลือบออกไปข้างนอก  ตะวันยามบ่ายยอแสงลง  ยามเย็นกำลังจะมาถึง  ขอเพียงจัดการงานกองนี้เสร็จ  เขาจะไปหาพระมาตุลา  ความคิดนั้นก่อให้เกิดกระแสอบอุ่นจางๆพัดเข้ามาในใจ...
---------------------
ท้องฟ้าเรื่อแสงสีชมพูจางทอดกลืนไปกับเมฆสีส้มเข้ม  น่าแปลกที่เฉดสีฉูดฉาดถึงเพียงนี้กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า  สายลมพัดใบไม้แห้งสีเดียวกับท้องฟ้าเป็นเสียงกรอบแกรบ  กระซิบความปวดร้าวว่างเปล่าระคนหม่นหมอง  ชายอาภรณ์สีม่วงอ่อนซึ่งถูกแสงสีส้มไล้จนเป็นสีแปลกตาทอดลงกับพื้นทางเดิน  ด้วยผู้เป็นเจ้าของย่อกายลงเพื่อไล้ปลายนิ้วกับต้นไม้ที่ไม่ได้สูงกว่าเอวต้นหนึ่ง

ฉีเซี่ยงหยวนมองดูอยู่แต่ไกล  ทราบในทันทีนั้นว่านั่นคือต้นท้อ...หน่ออ่อนของต้นท้อ  ต้นไม้แห่งสายสัมพันธ์  ความอบอุ่นที่รู้สึกก่อนหน้านี้กระจัดกระจายไปในความเวิ้งว้าง  ความรู้สึกซึ่งไม่เคยประสบชนิดหนึ่งแล่นพล่าน  ฉีเซี่ยงหยวนทราบแต่ว่าตัวเองไม่ต้องการจะมองภาพนี้ต่อไปอีกซักวินาทีเดียว 

เสียงก้าวเท้าที่คนก้าวไม่สนใจจะเก็บให้เงียบกริบอีกต่อไป  ทำให้คนที่ย่อตัวอยู่กับพื้นตัวตรงขึ้นมา  รีบลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไป
“องค์ชายสี่”
ท่าทางแบบนั้นอีกแล้ว  คำเรียกหานั้นอีกแล้ว !
“ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเรียกข้าคำนี้” คำพูดเผด็จการเย็นชาผิดคาด ทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงัก  แต่ก็ไม่ได้สะท้านหวาดกลัว  รอยยิ้มอ่อนจางแตะลงบนเรียวปาก  ถามว่า
“ท่านเป็นองค์ชายสี่  ไม่ให้เรียกท่านเช่นนี้แล้วให้เรียกเป็นอะไร”
ฉีเซี่ยงหยวนกวาดตามองดวงตาอีกฝ่าย  รอยยิ้มของอีกฝ่าย  ความรู้สึกสูญเสียพลันฉายขึ้นมาในแววตาคมปลาบ
เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหนี  รู้สึกเจ็บแปลบในใจ  ใช่ เขาผลักอีกฝ่ายออกไปโดดเดี่ยวอีกครั้ง  เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ควรจะเป็นเช่นที่เป็นอยู่
“ข้าคัดอาจารย์ให้เหลียนจิ้งเต๋อแล้ว  วันพรุ่งนี้เขาจะมาถวายการสอนที่นี่” สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนสงบอย่างยิ่ง  สงบจนยากจะคาดเดาอารมณ์
เหลียนอันสุ่ยเหลือบมองคนพูด  แล้วก็เสไปมองทางอื่น  กล่าวขอบคุณเบาๆ
 “ไม่ต้องขอบคุณข้า เขาเป็นลูกบุญธรรมของข้า  ข้าย่อมต้องดูแลเรื่องต่างๆของเขา...เข้าไปข้างในเถอะ  ข้างนอกลมแรง” คำพูดราบเรียบ  ฝ่ามือหนายื่นมากุมมือเรียว 
ปฏิกิริยาแรกของเหลียนอันสุ่ยคือพยายามชักมือออก  แต่แรงยึดที่แน่นขึ้นทำให้เขาได้สติ  ยินยอมให้จับกุมแต่โดยดี  รู้สึกเหมือนแต่ละย่างก้าวกำลังก้าวเข้าแดนประหาร  เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการจะอยู่กับฉีเซี่ยงหยวนสองต่อสอง  หากกลับไม่มีทางเลือกอื่น

พระมาตุลาแคว้นเหลียนเพียงหวัง...ตัวเองอย่าได้ถลำลึกกว่านี้เลย 
---------------------
ควันสีขาวลอยกรุ่นขึ้นมาจากสายน้ำร้อนที่ทิ้งตัวลงกระแทกใบชาในป้านดินเผาให้ค่อยๆคลี่ออกจากกัน  ฉีเซี่ยงหยวนเพ่งมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าจดจ่อกับใบชา  ไม่ยินยอมเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับเขาดีๆ  เหมือนโลกทั้งใบสิ่งที่สำคัญที่สุดคือชากานี้เท่านั้น
“ท่านโกรธข้าหรือ...ที่ขังท่านไว้ที่นี่”
คำพูดขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางทำให้มือเรียวงามที่กำลังแง้มฝากาเพื่อเติมน้ำลงไปอีกครั้งชะงัก
“ท่านไม่ได้ขังข้า  เป็นข้าที่พะวักพะวงถึงสิ่งอื่นมากเกินไปเอง...” เงียบไปพักหนึ่งพระมาตุลาแคว้นเหลียนจึงกล่าวต่อ “องค์ชายสี่  ท่านไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับข้าจนเกินไปนัก  หม่าหลง ต้วนจิน สองคนนั้นกลับไปเป็นคนคุ้มกันของท่านเช่นเดิมจะเหมาะกว่า”
“อ้อ... พวกเขาทำให้ท่านโมโหหรือ  ได้  ข้าจะให้คนลงโทษพวกเขาเอง”
เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมาทันทีอย่างตกใจ
“ท่านอ๋องน้อย !”
“ในที่สุดก็ยินยอมเรียกข้าแบบเดิม”
“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด  ท่านจะลงโทษพวกเขาไม่ได้” คำกล่าวเจือกระแสเสียงร้อนรน
“พวกเขาทำให้ท่านไม่พอใจไม่ใช่หรือ  ท่านจึงไม่ต้องการพวกเขาอีกแล้ว  อีกอย่างทำหน้าที่ไม่สำเร็จลุล่วงก็สมควรถูกลงโทษ  นั่นเป็นกฎ” ฉีเซี่ยงหยวนเหมารวมหน้าตาเฉย  น้ำเสียงไม่ได้มีแววใส่ใจ  ดวงตายังคล้ายมีแววสนุกอีกด้วย
“ท่าน...ไปเอานิสัยเกเรเช่นนี้มาจากที่ใดกัน”
“เอามาจากที่ใดไม่สำคัญ  ตกลงท่านต้องการคืนพวกเขาให้ข้ารึเปล่า  ถ้าท่านคืนพวกเขาให้ข้า  ก็นับเป็นคนของข้า  ข้าจะลงโทษอะไรคนของข้า  ท่านไม่มีสิทธิ์ออกหน้านะ”
ฟังแล้วคนเป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียนได้แต่สั่นศีรษะ ถอนหายใจ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก  ยกกาน้ำชารินชาเมฆเจ็ดสีอันสูงค่าใส่จอกเคลือบสีขาวละเอียดลออราวเปลือกไข่ ซึ่งผ่านการลวกจอกแล้วทั้งสองจอก

ชาเขียวใสในจอกขาวจัดให้อารมณ์เรียบง่ายแต่พิถีพิถันชนิดหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ยอมดื่มเสียที เอาแต่ไล้ปลายนิ้วกับข้างจอก  ละเลียดไอร้อนผ่าวที่แผ่ออกมาจางๆ
“ในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้  ข้าดื่มชาไม่บ่อยนัก  แต่ดื่มสุรากลับบ่อยกว่ามาก” คำพูดดุจรำพึงกับตัวเอง
“เช่นนั้นข้าจะไปเปลี่ยนเป็นสุรามาให้” ยังไม่ทันที่พระมาตุลาแคว้นเหลียนจะหมุนกายกลับไปทำตามที่พูดก็ถูกยึดข้อมือไว้
“ไม่ต้องหรอก  ปรกติฤดูใบไม้ร่วงข้าจะฝึกทหาร  ดังนั้นส่วนใหญ่ที่ได้ดื่มจึงเป็นสุรา  อีกอย่างท่านก็ตั้งใจชงถึงเพียงนี้...” พูดจบก็ยกขึ้นจิบช้าๆ
“ฤดูใบไม้ร่วงอากาศที่เป่ยชางหนาวเย็นลงเรื่อยๆ  ทำไมท่านต้องฝึกทหารช่วงนี้” เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว สีหน้าไม่เห็นด้วย
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  กล่าวว่า
“ข้าไม่ให้ฝึกทหารกลางฤดูหนาวก็นับว่าปรานีต่อพวกเขามากแล้ว  เป่ยชางเป็นแคว้นนักรบ  อากาศแค่นี้ยังทนทานไม่ได้ก็ไม่สมควรอยู่ในกองทัพของข้า  ท่านอย่าได้ลืมว่าแคว้นเป่ยชางอยู่ทางตอนเหนือ  ปรกติอากาศก็หนาวเย็นอยู่แล้ว  ตอนบุกพิชิตเผ่าที่อยู่เหนือขึ้นไป  อากาศยิ่งร้ายกาจกว่านี้มากนัก”
“...อาณาเขตของแคว้นเป่ยชางยังไม่กว้างใหญ่เพียงพออีกหรือ” ดวงตาอ่อนโยนถูกกลบด้วยประกายหม่นหมองอีกครั้ง เหลียนอันสุ่ยเกลียดสงคราม  ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำใจชอบมันได้ลง
“ยังไม่พอ...ท่านก็รู้ดี” มีแต่ทำลายสภาพสามแคว้นใหญ่ตรึงอำนาจ  สงครามจึงจะยุติ  เพราะสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันแม้เหมือนจะสงบสุข  แท้จริงไม่ต่างกับระเบิดเวลาที่รอการปะทุอยู่ทุกวี่วัน
เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง  ดวงตาทอแววเจ็บปวด  อีกไม่นานแคว้นเหลียนจะเป็นเพียงแผ่นดินผืนเล็กๆแทบปลายเท้าท่าน  ส่วนข้าเอง...ก็คงไม่ต่างกัน

“ท่านเป็นอะไรไปอีกแล้ว” คำถามมาพร้อมกับมือที่คิดจะเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมาสบตา เหลียนอันสุ่ยเบือนหน้าหลบมือใหญ่  ไม่ต้องการเปิดเผยความรู้สึกใดๆที่อาจตกค้างอยู่ในแววตาต่อฝ่ายตรงข้าม  หากสุดท้ายคางยังคงถูกบังคับให้เงยขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามที่เคยดึงดูดเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  เลื่อนลงมาช้าๆตามสันจมูก  หยุดลงตรงเรียวปากบางที่หลุดพึมพำเป็นคำว่า ‘ไม่’  คำๆนั้นกระชากความทรงจำของฉีเซี่ยงหยวนกลับไปยังภาพที่คนตรงหน้าก้มอยู่เหนือหน่ออ่อนของต้นท้อ  ในใจทั้งขมฝาดทั้งเจ็บปวด  ดวงตาคมทอแววเย้ยหยันตัวเอง  ทั้งๆที่ทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร  เหตุใดใจของคนเรามักยังคงหวังถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริง

“ข้าต้องการท่าน” คำกล่าวราบเรียบจนเกือบจะเป็นเย็นชา
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกกว้าง  สุดท้ายจึงหลุบต่ำ  ปากยิ้มบางๆเจือความหม่นหมองอยู่เร้นลึก  ใช่แล้ว  ท่านเพียง ‘ต้องการ’  แค่ความต้องการเท่านั้น
“ท่านสมควรอาบน้ำเสียก่อน” เหลียนอันสุ่ยกล่าว
ขณะพระมาตุลาแคว้นเหลียนหันไปสั่งต่ออิ๋งฮวาและเยี่ยนจื่อ สองหญิงรับใช้ให้ไปเตรียมน้ำอาบ  ฉีเซี่ยงหยวนได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ตัวเองใส่ใจนักหนา  ใต้หน้ากากเรียบเฉยฉีเซี่ยงหยวนถามตัวเอง เหตุใดรอยยิ้มของคนผู้หนึ่งจึงสามารถทำให้หัวใจตนเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ?

ทำไมทุกคราที่ในใจท่านเศร้าโศก  จึงชมชอบปกปิดมันด้วยรอยยิ้ม
---------------------
องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางอาบน้ำเสร็จแล้ว  เหลียนอันสุ่ยรอเขาอยู่ในห้อง
ใบหน้างามละมุนก้มต่ำ  ไม่ทราบครุ่นคิดถึงสิ่งใด  แสงโคมไล้ผิวกายจนดูนวลเนียนกว่าเดิม  อาภรณ์สีม่วงอ่อนบนร่างที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมในแบบชุดฤดูใบไม่ร่วงของแคว้นเหลียนสะท้อนความสูงค่าของมันเมื่อต้องแสงโคม สีแต่ละเฉดไล่บรรจบกันอย่างกลมกลืน ศิลปะการทอระดับนี้แคว้นเป่ยชางสามารถซื้อหา  แต่ไม่มีปัญญาทอขึ้นเอง
“ท่านคิดอะไรอยู่”
เหลียนอันสุ่ยลุกจากเก้าอี้  เดินเข้ามาหา  แต่ไม่ได้ตอบคำถาม
“ท่านอาบน้ำรวดเร็วอย่างยิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนยิ้ม อารมณ์หลังอาบน้ำคล้ายดีขึ้นมาบ้าง ตอบว่า
“มันติดเป็นนิสัย  เวลาอยู่ในค่ายอาบน้ำช้าๆไม่ได้หรอก” พูดจบก็นั่งลงบนเตียงฝ่ามือใหญ่แบออก  ยื่นมาข้างหน้า  คล้ายรอคอยบางสิ่ง
อึดใจหนึ่งมือเรียวงามจึงค่อยๆวางลงบนนั้น  ร่างสูงใหญ่ดึงอีกฝ่ายเข้าไปกอด  เหลียนอันสุ่ยซบใบหน้าลงกับบ่ากว้าง  หลับตาลงช้าๆ  ทราบว่าตัวเองไม่มีปัญญาหนีพ้น  และไม่อาจขัดขืน  แคว้นเหลียนเป็นของท่าน  และข้า...ก็เป็นของท่านด้วย

ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้าที่ซบพิงกับบ่าของเขา  เคลื่อนหน้าไปจนชิด  ใกล้จนสัมผัสไออุ่นจางๆจากร่างสูงโปร่ง  ริมฝีปากแทบแตะสัมผัสถูกกัน  ลมหายใจที่ผ่อนช้ามาตลอดแปรเป็นหนักหน่วงขึ้น  มือใหญ่เชยคางอีกฝ่ายขึ้นช้าๆ  เพราะใกล้เกินไป  ริมฝีปากบางจึงเฉียดผ่านเรียวปากหนาอย่างช่วยไม่ได้  สัมผัสเล็กๆน้อยๆนั่นทำลายความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ  ฉีเซี่ยงหยวนประทับเรียวปากลงอย่างดูดดื่มโหยหา  อารมณ์ท่วมท้นของอีกฝ่ายทำให้ร่างโปร่งบางในอ้อมแขนสั่นสะท้านเบาๆ  เบาจนแทบสังเกตไม่ออก  ไม่อาจปฏิเสธจุมพิต  แต่กลับหวาดกลัวเหลือเกินว่ามันจะนำพาตัวเองไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าที่เป็น
เหลียนอันสุ่ยพยายามย้ำสถานะกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า  ขณะฉีเซี่ยงหยวนเลื่อนจุมพิตไปยังหลังคอ  มือหนาสอดเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มสลวย  เลิกมันให้พ้นต้นคอขาวเนียน  เส้นผมละเอียดค่อยๆทิ้งตัวผ่านซอกนิ้ว  ให้สัมผัสที่ละเมียดละไม  กลิ่นหอมอ่อนจางเข้มข้นขึ้น  ฉีเซี่ยงหยวนจูบเบาๆลงไปที่โคนผม

ร่างของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเป็นขึงเกร็ง  ทุกข์ทรมานกับสัมผัสทะนุถนอมนั่น  เหลียนอันสุ่ยไม่กลัวอีกฝ่ายจะโหดร้ายต่อเขา  เพียงหวาดกลัวความอ่อนโยนลักษณะนี้  ความอ่อนโยนจากคนเช่นฉีเซี่ยงหยวนสามารถทำให้ผู้คนลืมตัว  รู้สึกเหมือนตนเป็นคนสำคัญ  พระมาตุลาแคว้นเหลียนจะไม่แปลกใจเลย  หากบอกว่ามีสตรีมากมายหลงใหลไม่อาจลืมเลือนอ๋องน้อยผู้นี้ไปชั่วชีวิต  เพราะการได้รู้ว่าตัวเองมีคุณค่าความหมายต่อใครซักคนช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษนัก...แม้มันอาจมิเคยเป็นจริงเลยก็ตาม

ปลายนิ้วสากไล้ช้าๆตามขอบปกเสื้อด้านหลังมาจรดสาบเสื้อด้านหน้า  คล้ายตกลงใจไม่ได้ว่าจะแกะขนมที่หอมกรุ่นชิ้นนี้กินจากตรงไหนดี  ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจว่าเขาชอบเสื้อตัวนี้  ยังคงทิ้งไว้บนร่างอีกฝ่ายจะเหมาะกว่า  ท่อนแขนแข็งแรงโอบอีกฝ่ายเข้ามาชิด  มือหนาไล้ช้าๆลงไปตามข้างลำตัวของคนที่นั่งอยู่บนตัก  จรดถึงข้อเท้าทั้งคู่แล้วค่อยๆคืนย้อนขึ้นมา  ชายอาภรณ์ยาวเลิกขึ้นตามตำแหน่งของฝ่ามือใหญ่  ปลายนิ้วเลื่อนไปปลดกางเกงตัวใน  ดึงมันให้พ้นลงมาตามเรียวขา

กลิ่นตัวยาทำให้เหลียนอันสุ่ยซบหน้าแนบกับลำคอหนา  ไม่ต้องการจะเห็น  ไม่ต้องการจะรับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง  มือของฉีเซี่ยงหยวนแตะลงบนกระปุกเคลือบ  มันใส่ขี้ผึ้งอย่างดีกับ ‘อย่างอื่น’ ที่เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเอาไว้ทำอะไร  แต่ไม่สนใจจะรู้ส่วนผสมของมันแม้แต่น้อย

ร่างสูงโปร่งสะท้านเบาๆ  เมื่อปลายนิ้วสากแทรกเข้ามา

ฉีเซี่ยงหยวนขมวดคิ้ว  กล่าวเบาๆที่ข้างหู
“ท่านต้องให้ข้าเข้าไป  ไม่อย่างนั้นข้าอาจทำท่านเจ็บ”
เรียวปากบางขบเข้าหากัน  แต่ก็ยินยอมผ่อนคลายตัวเองลง  นิ้วของฉีเซี่ยงหยวนตรวจตราอย่างละเอียด ระมัดระวังให้แผ่วเบา  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะให้แน่ใจว่าไม่มีอุปสรรคจากเมื่อคืนวาน  ส่วนเหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการให้ปลายนิ้วสากเคลื่อนไหวเบาเท่านี้หรือรุนแรงกว่านี้  เพราะสัมผัสผิวเผินแผ่วเบากลับสร้างความทรมานให้เขาอย่างร้ายกาจ  ร่างสูงโปร่งเครียดเกร็ง  ความขัดแย้งในจิตใจยิ่งมายิ่งสับสน  หากเรือนกายกลับตอบสนองสัมผัสที่อีกฝ่ายปรนเปรอมอบให้  เสียงครางที่เพียรสะกดกลั้นไว้หลุดลอดออกมา 

เดิมทีเหลียนอันสุ่ยก็มีน้ำเสียงที่น่าฟังอย่างยิ่ง  แต่เมื่อมาอยู่บนเตียง  ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง  จินตนาการไม่ออก  ว่าน้ำเสียงแผ่วทุ้มนุ่มนวลชวนให้จิตใจสงบผ่อนคลายจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นหวานล้ำจนแทบคร่าวิญญาณคน  และนั่นก็ยั่วอารมณ์ฉีเซี่ยงหยวนอย่างร้ายกาจ  เพียงแต่ว่า... 
“ท่าน...” ฉีเซี่ยงหยวนพูดไม่ออก  นึกแปลกใจกับความคับแน่นที่ไม่คล้ายคนเพิ่งมีสัมพันธ์รักร้อนแรงไปเมื่อคืนวาน

ฉีเซี่ยงหยวนผ่านผู้หญิงมามาก  อาจบางทีมากจนเกินไป  มากจนไม่ว่าการเสแสร้งแกล้งดัดใดๆเขาล้วนมองออก  แต่พระมาตุลาผู้นี้กลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนประหลาดใจ  บุคลิกสูงศักดิ์กับตัวตนของเหลียนอันสุ่ยคล้ายเป็นหนึ่งเดียวกันจนแยกไม่ออก  กระทั่งในช่วงที่ไม่สามารถควบคุมตัวเอง  อารมณ์ปรารถนาเพียงสามารถเพิ่มเติมเฉดสีเย้ายวนให้กับความสูงศักดิ์นั่น  หากไม่มีปัญญากลบกลืนมัน  เสน่ห์เหล่านี้ไม่สามารถเสแสร้งแกล้งดัดขึ้น  และไม่มีผู้ใดสามารถลอกเลียนแบบได้  เพราะมันเป็นบุคลิกที่ถูกหล่อหลอมมาแต่กำเนิด  เทียบกับเสน่ห์อันจัดเจนช่ำชองยังเป็นธรรมชาติยิ่งกว่า  เย้ายวนใจยิ่งกว่า

เพียงการตอบสนองเล็กน้อยฉีเซี่ยงหยวนก็รู้  ร่างกายของอีกฝ่ายจดจำเขาได้  ถึงเจ้าตัวไม่คิดจะยอมรับและพยายามจะฝืนไว้ เหลียนอันสุ่ยเคยชินกับการสำรวมตัวเองมากเกินไป  วางกรอบตัวเองแน่นหนาเกินไป  บางทีคงเป็นเพราะวัฒนธรรมแคว้นเหลียนไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวปล่อยใจ  หรือไม่ก็เพราะ...เหลียนอันสุ่ยไม่เคยรักเขา

ดวงตาคมที่เข้มจัดด้วยแรงปรารถนาทอแววปวดร้าว  บางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจตัวเอง  ทั้งๆที่ทุกคราที่ข้าแตะต้องท่าน ในใจของข้าจะเจ็บปวดเสมอ  และข้าก็รู้...ท่านก็ปวดร้าว  เพราะข้าเห็นมันในแววตาของท่านเช่นกัน  หากสุดท้ายข้ายังคงไม่มีปัญญาเก็บมือเอาไว้ห่างๆท่านอยู่ดี  อาจบางทีเพราะข้าทราบ...มีเพียงช่วงเวลานี้ท่านจึงเป็นของข้าอย่างแท้จริง
---------------------

ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 20
«ตอบ #56 เมื่อ13-08-2014 20:56:32 »

เรื่องนี้สนุกมากๆๆ เลย ดีใจที่มาโพสที่บอรดนี้นะคะ รออ่านตอนใหม่อยู่ค่ะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
«ตอบ #57 เมื่อ13-08-2014 21:05:52 »

บทที่ 22 สองพี่น้อง

ยามดึกสงัดจวนเจียนจะรุ่งสางอ๋องน้อยฉีเซี่ยงหยวนก็ก้าวออกมาจากห้องด้านใน  ขณะเดินผ่านหม่าหลงกับต้วนจินที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็กำชับแผ่วเบา
“ห้ามคนรบกวนพระมาตุลาจนกว่าเขาจะตื่นเอง”
ก้าวพ้นมาอีกห้าก้าวก็ผ่านหวังเชียน คนคุ้มกันชาวเหลียนของพระมาตุลา
ประกายดายสะท้อนวูบ  ดาบเล่มหนาจ่อประชิดลำคอขององค์ชายสี่แคว้นเป่ยชาง !
ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไปเล็กน้อย  ถามเสียงราบเรียบว่า
“เจ้าทำอะไร”
หม่าหลง ต้วนจิน ถลาเข้ามาเรียกคำ ‘ท่านอ๋องน้อย!’  หลิวฉางเฟยซึ่งเฝ้าอยู่ตรงทางต่อกับห้องโถงปรากฏกายทันทีที่ได้ยินเสียง  ดาบสามเล่มพาดลงบนคอของหวังเชียน  หากไม่ว่าใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ
คนที่กลายเป็นศัตรูของทั้งหมดเค้นเสียงช้าๆทีละคำ  แผ่วเบาราวเสียงกระซิบจากความตาย ใส่หู ฉีเซี่ยงหยวนเป็นความว่า
“หากท่านยังกล้ามาเหยียบที่นี่อีกครั้ง  ข้าจะฆ่าท่าน”
ดวงตาทรงอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนหรี่ลง  มุมปากเหยียดยิ้ม
“...หากเจ้าฆ่าข้า  คนเดือดร้อนจะไม่ได้มีเพียงเจ้า  ข้ารับรองได้ว่าเจ้านายของเจ้าก็หนีความผิดนี้ไม่พ้น”
สิ้นคำของอ๋องน้อยแคว้นเป่ยชางโทสะดำมืดในดวงตาของหวังเชียนพลันสลายไปช้าๆ  สติค่อยๆกลับคืนมา  สิ่งปรากฏวูบบนแววตาคือความเสียใจในความวู่วามของตัวเอง  โอกาสฆ่าฉีเซี่ยงหยวนมีเพียงครั้งเดียว  แต่หวังเชียนทำมันพังตั้งแต่ชักดาบออกมาในตำหนักเจ้านายตัวเอง  หากจะโทษ...ก็ได้แต่โทษว่าความโกรธแค้นที่รุนแรงเกินไปเมื่อจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังประตูบานนั้น !  มือหยาบกร้านกำด้ามดาบแน่นดุจจะบีบให้แหลกคามือ

“ท่านมันน่ารังเกียจ” ปากกล่าวคำ  แต่มือกลับยอมลดดาบลง  เพียงเท่านี้ก็เป็นการกระทำที่โง่เขลามากพอแล้ว  หวังเชียนไม่อาจเสี่ยงให้นายท่านต้องเดือดร้อนไปมากกว่านี้  ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหลับลงช้าๆ รอคอยการสำเร็จโทษจากดาบทั้งสามเล่มอย่างเงียบงัน  มิคาด...

“ปล่อยเขา” คำพูดนี้ถึงกับดังออกมาจากปากของฉีเซี่ยงหยวน
องค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจ้องเข้าไปในดวงตาที่ลืมขึ้นอย่างคาดไม่ถึงของหวังเชียน  กล่าว
“เจ้าคงไม่พอใจที่ไม่สามารถลงมือกับข้าได้  แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้า  พรุ่งนี้จะมีการฝึกทหาร  ปรกติการฝึกทหารจะมีการประลอง  หากเจ้าปรารถนาจะสู้กับข้าอย่างยุติธรรมก็จงมาที่ลานประลอง”

หวังเชียนเบิกตากว้าง  หลิวฉางเฟยเรียก ‘ท่านอ๋องน้อย!’ อย่างตกใจ  ส่วนหม่าหลง ต้วนจินก็นิ่งค้าง  หากคนกล่าววาจาเดินออกจากห้องไปแล้ว  คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนคือประกาศิต  สิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจลงไปแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
---------------------
ลานฝึกซ้อมปูลาดด้วยหินแกร่ง  โคนเสาใหญ่โตปานต้นไม้อายุสักร้อยปียืนไว้ด้วยทหารชาวเป่ยชาง  ทั้งผู้ที่เปี่ยมประสบการณ์และทหารใหม่อายุเยาว์ปะปนกัน  คนเป่ยชางนิยมนักรบ  ลานฝึกซ้อมจึงกว้างใหญ่และถูกให้ความสำคัญเป็นพิเศษ  ทั้งๆที่มันก็เป็นเพียงลานโล่งๆธรรมดา  แต่ไม่ทราบนักสู้ชั้นยอดกี่คนแล้วที่ถือกำเนิดขึ้นที่นี่

ขณะนี้ที่ว่างตรงกลางตกเป็นของบุรุษสองคน  ซึ่งเป็นเหตุอันทำให้ที่ว่างรอบๆเนืองแน่นยิ่งกว่าทุกวัน 

เจ้าหนุ่มจากต่างแดนถึงกับกล้าท้าสู้กับท่านอ๋องน้อย ! 

ทุกคนได้แต่สั่นศีรษะให้กับความไม่เจียมตัวนั่น  หากอาการสั่นศีรษะพลันแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกเมื่อดาบของทั้งสองฝ่ายหลุดจากมือ  นานมากแล้วที่ไม่มีคนมีปัญญาทำให้ดาบของท่านอ๋องน้อยหลุดจากมือ!
การชมดูฆ่าเวลาจึงแปรเปลี่ยนเป็นชมดูด้วยใจจดจ่อยิ่ง  ถึงกับเริ่มมีคนลงขันพนันเงินทอง  เสียงโห่ร้องยิ่งมาก็ยิ่งดัง  การต่อสู้ยิ่งมาก็ยิ่งเร้าใจ  สุดท้ายเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนพอดีหมุนตัวหลบไปในทางที่ดาบตกอยู่  พริบตาต่อมาองค์ชายสี่แคว้นเป่ยชางจึงเป็นฝ่ายกำชัย
“ยอมรับนับถือแล้วหรือไม่” คำถามตามมาหลังรอให้อีกฝ่ายหยุดหอบหายใจ  เทียบกันแล้วฉีเซี่ยงหยวนยังเหนื่อยช้ากว่ามากเพราะคุ้นชินกับการรบติดพันกันเป็นวันโดยไม่หยุดพักในสมรภูมิ
“ทำไมท่านถึงไม่เอาเรื่องข้า” หวังเชียนไม่เข้าใจ  ด้วยฐานะที่เหนือกว่า ฉีเซี่ยงหยวนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
“สำหรับข้า การจงรักภักดีของเจ้าไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ  ไปซะ”
   ได้ฟังคำพูดอีกฝ่าย  หวังเชียนยิ่งไม่เข้าใจหนัก  กล่าวถามเสียงแผ่วเบา
“กระทั่งข้าที่หันดาบใส่ท่าน ท่านยังไม่ถือสา  เหตุใดต้องทำร้าย ‘เขา’  คนที่ไม่เคยแม้แต่จะเกลียดชังท่าน !”
“มันเป็นคนละเรื่องกัน  และคนที่เอาชนะข้าไม่ได้เช่นเจ้า  ไม่มีสิทธ์ตัดสิน” น้ำเสียงราบเรียบทำให้หวังเชียนได้แต่กัดฟันแน่น  เนื่องจากฉีเซี่ยงหยวนพูดถูก  เขาพ่ายแพ้แล้ว  และคนพ่ายแพ้...ไม่มีสิทธิ์ออกปากอันใด

ฉีเซี่ยงหยวนมองอีกฝ่ายจากไป  หูได้ยินเสียงฝีเท้าของหลิวฉางเฟยที่ก้าวเข้ามาใกล้
“ท่านไม่ควรจงใจปล่อยให้ดาบหลุดจากมือ” น้ำเสียงคนสนิทมีแววตำหนิ
“แล้วอย่างไร ?  ผลสุดท้ายก็ไม่เปลี่ยนแปลงมิใช่หรือ  ว่าแต่...เจ้าลงเงินพนันข้างข้าไปบ้างรึเปล่า”
ผู้ต่ำศักดิ์กว่าได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา  เพราะนิสัยเช่นนี้จึงได้เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับตัวปัญหาอย่างมู่ซาง  แต่หลิวฉางเฟยก็อ่านความคิดของนายเหนือหัวออก  หากข่าวที่หวังเชียนสามารถทำให้ดาบของท่านอ๋องน้อยหลุดจากมือกระจายออกไป  หลังจากนี้จะไม่มีใครคิดชุ่ยๆ อยากตอแยพระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นอันขาด

“ท่านทำให้หวังเชียนได้ใจ” หลิวฉางเฟยยังคงหาเรื่องตำหนิ  เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับความเสี่ยงซึ่งไม่จำเป็น
“เปล่าเลย...เขาทราบดีอยู่แล้วว่าข้าจงใจ” ไม่ว่าเชิงดาบหรือมือเปล่า  เขาล้วนทราบดีว่าข้าเหนือกว่าเขา...
---------------------
ถัดจากลานประลอง  ฉีเซี่ยงหยวนก็ตรงดิ่งกลับตำหนัก  มีคนผู้หนึ่งถูกพาตัวมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว  เป็นหมากสำคัญซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่ง  เพราะหมากตัวนี้ไม่เพียงเป็นหนึ่งในสามคนสนิทของพี่รอง  ยังเป็นหมากในแคว้นเป่ยชางของหนานเหมินอ๋อง!
ถูกแล้ว ขณะหลิวฉางเฟยแฝงตัวเข้าด้วยกับฉีเซี่ยงหมิง  ก็ควานหาหมากตัวนี้จนเจอ  และตอนนี้...ฉีเซี่ยงหยวนคิดว่าตัวเองน่าจะต้องการหูตาในแคว้นหนานเหมินเพิ่มอีกซักคนหนึ่ง
---------------------
สายลมเย็นโชยพัด  พาให้จิตใจสงบเยือกเย็น  หากจิตใจของกั่วเหวินโฮ่วที่ทุกคนเรียกเป็น ‘แม่ทัพกั่ว’ หนาวสะท้านอย่างยิ่ง
ว่าที่รัชทายาทแคว้นเป่ยชางใช้สายตาที่ชวนขนหัวลุกชนิดหนึ่งจับจ้องลูกน้องของพี่ชายตัวเอง  ดวงตาสาดประกายอำนาจเข้มข้น  คำพูดแต่ละคำแทบจะเฉือนจิตใจของกั่วเหวินโฮ่วออกเป็นชิ้นๆ

“ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่  โทษของคนขายชาติเป็นเช่นไร...ท่านย่อมทราบดี  พ่อแม่ของท่าน  ภรรยาของท่าน  รวมถึงบุตรธิดาของท่าน  เกรงว่าหลังจากนี้จะ ‘อยู่’ อย่างลำบากสักหน่อย”
ฟังจบแล้วกั่วเหวินโฮ่วแทบเข่าอ่อน  แต่ยังฝืนยืนตรงดุจไม่รู้สึกรู้สาอันใด  หากจะเปรียบคำพูดของฉีเซี่ยงหยวนเป็นใบมีดเล่มหนึ่ง  มีดเล่มนั้นก็ต้องแทงเข้าตรงจุดตายของกั่วเหวินโฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย 

สำหรับกั่วเหวินโฮ่วโทษตายไม่น่ากลัวแต่โทษเป็นกลับเป็นคนละเรื่องกัน  บทลงโทษคนขายชาติของแคว้นเป่ยชางโหดเหี้ยมจนเข้าขั้นอำมหิต  ถ้าแค่ตัวกั่วเหวินโฮ่วเองยังพอทำเนา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับระบุชัดว่าจะใช้โทษเป็นกับบรรดาคนสำคัญทั้งหมดของเขา  ฝีมือลงทัณฑ์ขององค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นที่ทราบดี  ไม่มีนักโทษคนไหนตกถึงมือองค์ชายสี่แล้วมีปัญญาไม่คายความจริง  กั่วเหวินโฮ่วเพียงวาดหวัง อีกฝ่ายอย่าได้เข้ามาควบคุมการลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง

เห็นสายตาที่มีแววหวาดหวั่นผ่านวูบเข้ามาของฝ่ายตรงข้าม  ฉีเซี่ยงหยวนก็ผ่อนคลายความกดดันลง  กล่าวต่อว่า
“แต่ท่านไม่ต้องกังวล  ทุกเรื่องราวล้วนมีทางออก...เพียงท่านทำงานให้ข้าชิ้นหนึ่ง  ตัวท่านและคนสำคัญของท่านจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์นี้”

ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนไม่ละจากใบหน้าอีกฝ่ายเลยจนจบประโยค  และเมื่อเห็นเค้าหวั่นไหวคล้อยตามก็ทราบว่าตัวเองบรรลุจุดประสงค์แล้ว
---------------------
ตกเย็น มีงานฉลองใหญ่ที่ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางจัดขึ้นเพื่อต้อนรับการกลับมาของบุตรชายคนที่สี่อย่างเป็นทางการ  งานเลี้ยงเอิกเกริกยิ่ง  เพราะคนสำคัญผู้หนึ่งมาทันเข้าร่วมด้วย  มิผิด แม่ทัพใหญ่หยงเซี่ย เทพสงครามของแคว้นเป่ยชางซึ่งทุกคนเข้าใจว่าประจำอยู่ที่ชายแดน  ในที่สุดก็กลับเมืองหลวงแล้ว

อันที่จริงหยงเซี่ยมิได้ตั้งใจมาเข้าร่วมงานฉลอง  แต่ยกพลมาเพื่อแก้สถานการณ์หลังข่าวกบฏขององค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงไปถึง  แต่หยงเซี่ยมาช้าไป  ไม่สิ ต้องบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนจัดการเรื่องราวได้รวดเร็วเกินไป  เพราะฉีเซี่ยงหยวนจงใจไม่ให้หยงเซี่ยสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว  หยงเซี่ยเป็นคนของเป่ยชางอ๋อง  จงรักภักดีต่อคนเป็นเป่ยชางอ๋องเพียงคนเดียว  หากหยงเซี่ยมาทันตอนการประจันหน้าในวังหลวง  สถานการณ์จะพลิกเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

คืนนี้เหลียนอันสุ่ยได้เข้าเฝ้าเป่ยชางอ๋อง  ได้เห็นเทพสงครามแห่งยุคกับตาตัวเอง  และได้ร่วมเป็นพยานในเหตุการณ์ที่จะไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต  นั่นเป็นชั่วขณะหนึ่งซึ่งหยงเซี่ยได้คุกเข่าลงตรงหน้าองค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวน

จากปากของหยงเซี่ยทุกคนจึงทราบ แคว้นเป่ยชางเคยตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมจนเสี่ยงต่อการสิ้นชาติ  เพราะทันทีที่ในวังเริ่มมีระลอกไม่สงบ  ทัพใหญ่อันเกิดจากการจับมือเป็นพันธมิตรกันของแคว้นหนานเหมินกับแคว้นโหยวเฉิงพลันปรากฏตัวจ่อประชิดชายแดน !

เหลียนอันสุ่ยหันไปมองฉีเซี่ยงหยวนในวินาทีนั้น  สิ่งที่พบจากแววตาลึกๆของอีกฝ่ายมีเพียงความสงบเยือกเย็น  ฉีเซี่ยงหยวนรู้อยู่แล้ว!  คาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าเมื่อแคว้นเป่ยชางมีปัญหาภายใน  อีกสองแคว้นใหญ่ที่เหลือจะมองเลยความบาดหมางที่มี จับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อกลืนกินแคว้นเป่ยชาง

...นี่คือกฎเกณฑ์ข้อที่สองของฟากฟ้า  ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร  ทุกประการอยู่ที่อำนาจและผลประโยชน์

แต่เพราะความไม่สงบภายในคลี่คลายรวดเร็วเกินไป  พริบตาเดียวแคว้นเป่ยชางก็กลับสู่สภาพเป็นปึกแผ่น  ทัพพันธมิตรสองแคว้นจึงฝันสลาย  ยินยอมล่าถอยไปเมื่อหกวันก่อน  เนื่องจากหนานเหมินอ๋องและโหยวเฉิงอ๋องต่างไม่โง่พอที่จะปะทะกับแคว้นเป่ยชางที่อยู่ในสภาพเป็นปึกแผ่น

สรุปแล้วแคว้นเป่ยชางได้มือของฉีเซี่ยงหยวนช่วยให้พ้นคราวเคราะห์มาคราหนึ่ง  หยงเซี่ยประจำอยู่ชายแดน  ทราบความสาหัสของสถานการณ์ที่สุด  ตอนนี้จึงเป็นตัวแทนของชาวเป่ยชางโขกคำนับต่อฉีเซี่ยงหยวน

...อำนาจเปลี่ยนถ่ายโดยสมบูรณ์แล้ว...

ตั้งแต่วินาทีที่หยงเซี่ยคุกเข่าต่อฉีเซี่ยงหยวน  เป่ยชางอ๋องบนบัลลังก์ก็ทราบว่าตัวเองได้สูญเสียอำนาจไปตลอดกาล  เพราะแม่ทัพใหญ่หยงเซี่ยจะคุกเข่าต่อคนเพียงคนเดียว  นายของหยงเซี่ยเคยมีเพียงคนเดียว  แต่ตอนนี้เขายอมรับคนอีกคนแล้ว
การโขกศีรษะของหยงเซี่ยเป็นยิ่งกว่าตราแต่งตั้งใดๆ  ในใจของชาวเป่ยชางหยงเซี่ยเป็นเทพที่ปกปักรักษาแคว้นเป่ยชาง  ขอเพียงเหตุการณ์นี้แพร่ออกไป  ฉีเซี่ยงหยวนจะมีสถานะไม่ต่างจากเป่ยชางอ๋อง 

สิ่งนี้เองที่ฉีเซี่ยงหยวนรอคอย  ฉีเซี่ยงหยวนรู้มาตลอดว่าถ้าต้องการให้ทุกอย่างเป็นของเขา  จะต้องได้รับการยอมรับจากหยงเซี่ย  และฉีเซี่ยงหยวนก็ทำได้อย่างหมดจดนัก  ตำแหน่งต่อไปของเขาจึงมิใช่รัชทายาท...แต่เป็นเป่ยชางอ๋อง

น่าแปลกที่ในใจของเหลียนอันสุ่ยกลับรู้สึกโหวงเหวงอยู่บ้าง  รอบยิ้มบางๆที่ไร้ความหมายปรากฏบนเรียวปาก  อีกไม่นานคนผู้นั้นจะอยู่ห่างไกลยิ่งกว่าเดิม  ดวงตาคู่งามที่แฝงความปวดร้าวอ่อนละมุนลง 

ข้าเชื่อ...เชื่อจากใจ...ว่าท่าน  ในที่สุดก็ได้อยู่ในที่ที่เหมาะสมกับท่านแล้ว
------------------
ตะเกียงนอกห้องขังสาดผ่านซี่ลูกกรงฉาบเฉดสีแผ่วจางลงบนพื้นหินสีเทาหม่น  ถึงแม้ที่นี่จะเป็นคุกคุมขังนักโทษ  แต่กลับเงียบสงบกว้างขวาง  เป็นสัดส่วนแยกออกจากนักโทษทั่วไป  คนในกรงขังมิได้สนใจใยดีกับเสียงเปิดปิดประตูที่ดังเข้ามา  แต่กลับเงยหน้ามองช่องหน้าต่างบานเล็กด้านบนที่ทาบต่อกับท้องฟ้ายามค่ำอยู่อย่างนั้น  จนกระทั่งเป็นเสียงไขกุญแจเปิดประตูไม้หน้าห้องขังดังเอี๊ยดอ๊าด  ศีรษะที่เงยสูงจึงเบือนกลับมา  เมื่อพบว่าเป็นผู้มาเป็นใคร  หัวคิ้วหนาพลันขมวดมุ่นลง
“เจ้ามาทำไม”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้ตอบคำถามพี่ชายต่างมารดา แต่บงการให้คนใส่กุญแจประตูไม้ไว้ตามเดิม  แล้วค่อยหันมามองคนพูด  กล่าวทัก
“พี่รอง  ท่านดูเป็นปรกติดีนี่”
“ทุรนทุรายมาหลายวันสมควรเพียงพอได้แล้ว  หากเจ้าต้องการมาเยาะเย้ย  สมควรมาให้เร็วกว่านี้” ใบหน้าของฉีเซี่ยงหมิงสงบจนฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง  ในบรรดาบุตรชายทั้งหมดของเป่ยชางอ๋อง  คนที่หมายมั่นปั้นมือกับบัลลังก์อ๋องที่สุดก็คือพี่รอง
“ข้าไม่ได้มาเยาะเย้ยท่าน  แค่มาหาคนดื่มเจ้านี่เป็นเพื่อน” พูดพลางชูป้านสุราในมือ
ฉีเซี่ยงหมิงทำเสียงเหอะในลำคอ  กล่าว
“หากต้องการคนร่วมดื่ม  สมควรไปเสาะหาในงานเลี้ยง  มาที่นี่ทำไม”
คนถูกถามไม่ได้ตอบคำ  แต่ลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งมานั่ง  วางป้านสุราไว้ข้างกาย  จอกสุราที่คว้าติดมือมาจากงานเลี้ยงอีกสองจอก
คนสูงวัยกว่าเหลือบมองอีกฝ่าย  แล้วก็เบนสายตากลับไปยังช่องหน้าต่างตามเดิม  ถามขึ้นว่า
“พระมารดาข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“...พี่รอง  ท่านจะไม่ถามถึงพระบิดาหน่อยหรือ”
ทันทีที่ได้ยินมุมปากของฉีเซี่ยงหมิงก็ปรากฏรอยยิ้มหยัน  กล่าว
“พระบิดาคงอยากจะฆ่าข้าให้ตาย”
“...ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น  พระบิดาโปรดปรานท่านที่สุด”
 “เจ้าผิดแล้ว  ที่พระบิดาโปรดปรานคืออำนาจ  ก่อนหน้านี้พระบิดาอาจเคยโปรดปรานข้า  แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว  ตอนนี้ลูกที่เขาโปรดปรานที่สุดคือน้องห้า”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไป  ไม่ว่าใครต่างรู้  หากไม่เกิดศึกช่วงชิงอำนาจครั้งนี้ ลูกที่เป่ยชางอ๋องรักที่สุดคือองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิง  เหตุใดเจ้าตัวจึงบอกว่าเป็นน้องห้า ?

“เจ้าก็ถูกเขาหลอกหรือ พระบิดาคือเป่ยชางอ๋อง  การที่เป่ยชางอ๋องจะโปรดปรานผู้ใด  ในใจเขาต้องผ่านการคำนวณผลได้ผลเสียต่างๆมาแล้ว  ไม่มีใครเข้าใจพระบิดายิ่งกว่าพระมารดาข้า  ถึงแม้พระอัครชายาจะแต่งเข้ามาก่อน  แต่พระมารดาข้าเป็นคนที่อยู่กับพระบิดามานานที่สุด  ส่วนข้าก็เป็นบุตรชายที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด” นี่เป็นความจริงที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่อาจโต้แย้ง  ฉีเซี่ยงหมิงกล่าวสืบต่อ
“พระบิดาไม่ได้โปรดปรานใครจริงๆมานานมากแล้ว  ถ้าไม่นับน้องห้า  ...เขาเกรงใจพี่ใหญ่เพราะเห็นแก่หน้าพระอัครชายาที่ล่วงลับ  เขาโปรดปรานข้าเพราะมุ่งหวังขุมอำนาจเบื้องหลังพระมารดา  เขาไม่สนใจเจ้าเพราะมารดาเจ้าไม่มีผลประโยชน์ต่อเขาอีกแล้ว”
คำพูดตรงๆทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหน้าชาไป  หากมันก็เป็นความจริงจนน่าเศร้า พระมารดาฉีเซี่ยงหยวนอาจเคยได้รับพระเมตตาเป็นครั้งคราว  แต่ไม่เคยได้รับความรักจากเป่ยชางอ๋องมาก่อน  ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองความจริงก็ไม่แผกกัน
“ส่วนน้องห้า...” รอยยิ้มหยันกลับมาปรากฏบนเรียวปากของฉีเซี่ยงหมิงอีกครั้ง “ยิ่งพระบิดาไม่สนใจน้องห้าเท่าไหร่  ยิ่งแสดงว่าเขารักน้องห้าเท่านั้น  เพราะมีแต่กระทำเช่นนี้  พระบิดาจึงสามารถปกป้องน้องห้าได้”
“...ท่านหมายความว่าอย่างไร ?” ฉีเซี่ยงหยวนเริ่มรู้สึกถึงนัยยะบางประการ
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าพระมารดาของข้ารู้จักพระบิดาดีที่สุด  ในทางกลับกันก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจนางได้กระจ่างกว่าพระบิดา หากพระบิดาไม่โปรดปรานมารดาของน้องห้าปานนี้  ผู้หญิงคนนั้นคงไม่ถูกประทานยาพิษ  เพราะนอกจากความริษยา  พระมารดาข้ายังไม่ต้องการให้ใครมีปัญญามาช่วงชิงบัลลังก์อ๋องกับข้า  ไม่เว้นแม้แต่น้องห้าด้วย”...!

คำกล่าวจากปากของฉีเซี่ยงหมิงเปิดเผยเงื่อนงำของคดีโชกเลือดเมื่อหลายปีก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนแม้เคยสงสัยมา  แต่จนบัดนี้เพิ่งได้ยินคำยืนยันแน่ชัด  พระชายารอง มารดาของฉีเซี่ยงหมิงเป็นสตรีที่ทรงอำนาจที่สุดในวังหลวง  เป็นยิ่งกว่าพระอัครชายาที่ล่วงลับไปแล้วเสียอีก  เพราะตระกูลของนางคือรากฐานอำนาจของแคว้นเป่ยชาง  มีขุนนางรับใช้ราชสำนักมาทุกยุคทุกสมัย

“ตั้งแต่นั้นมาพระบิดาก็เกลียดชังข้ามาตลอด ดังนั้นลูกที่เขาโปรดปรานจึงมิใช่ข้าแน่”
หลังตกตะลึง  ฉีเซี่ยงหยวนก็ก้มลงรินสุราใส่จอก  ยื่นให้อีกฝ่าย
“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะเป็นพวกเดียวกันกับข้า”
ฉีเซี่ยงหมิงรับมาจิบคำหนึ่ง  หัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วจึงเอ่ยปาก
“ข้ามิใช่พวกเดียวกับเจ้า  ...พระบิดากริ่งเกรงเจ้า  หวาดกลัวเจ้า  แต่ลึกๆแล้วเขาภูมิใจในตัวเจ้า  และทุกครั้งที่เขาคิดถึงเจ้า  เขาก็จะยิ่งขัดใจ  ยิ่งไม่ชอบ  เพราะเจ้าเหนือล้ำกว่าเขา  บุตรที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาก่อนกลับเหนือล้ำกว่าเขาไปได้” พูดจบก็หัวเราะออกมา  ท่าทีสาแก่ใจ
“แต่ไหนแต่ไรมา  คนเก่งที่สุดคือพี่รอง ท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนแย้งเสียงราบเรียบ
“เจ้าเป็นว่าที่ต้าอ๋อง  ส่วนข้าเป็นนักโทษประหาร  นี่ยังไม่ชัดอีกหรอว่าใครเหนือล้ำกว่าใคร  ...มาคิดๆดูแล้วข้าเพิ่งเข้าใจ  ที่แท้เจ้ารู้ตัวว่าจะถูกกำจัดตั้งแต่ออกจากแคว้นเป่ยชาง  จางจื่อหยู  หลี่กวงเว่ย  บรรดาที่ปรึกษาในสังกัดเจ้าทั้งหมดจึงถูกส่งตัวไปแคว้นเหลียน  หึ  ข้าเดินตามหลังเจ้าอยู่ทุกก้าว” พูดจบก็ส่ายหัวกับตัวเองพึมพำ
“ตอนเด็กๆข้าเพียงคิดว่าต้องเหนือกว่าพี่ใหญ่  พระมารดาก็เสี้ยมสอนอยู่ทุกวันว่าต้องเป็นที่หนึ่ง  สุดท้ายทั้งข้า ทั้งพี่ใหญ่ต่างสู้น้องสี่เจ้าไม่ได้”
ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบไป  อึดใจใหญ่ๆฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวขึ้นว่า
“พี่สาวของท่านน่าจะไม่เป็นไร  เพราะนางแต่งออกไปแล้ว  แต่พระมารดาของท่าน...”
ฉีเซี่ยงหมิงโบกมือเป็นความหมายให้หยุดพูด กล่าวว่า
“ทุกอย่างเจ้าจัดการไปเถอะ  พระบิดาต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่ เพราะเขาหวังมานานแล้ว...  คิดไปก็น่าขำ  พระบิดารักน้องห้าคนเดียว  เพราะน้องห้ารักพระบิดาอย่างจริงใจ  ไม่สิ  เจ้าก็ด้วยน้องสี่  เจ้าเป็นคนมีน้ำใจ น่าเสียดายที่พระบิดาไม่เชื่อถืออะไรนอกจากอำนาจ  ส่วนข้าเกลียดเขาที่สุด  เกลียดมาตั้งแต่อายุสิบห้า  เพราะมันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย  พวกเราทุกคนต่างรักเขา  ในขณะที่เขากลับไม่เคยรักพวกเราอย่างแท้จริง”

ฉีเซี่ยงหยวนยืนขึ้นช้าๆ ฉีเซี่ยงหมิงคือศัตรู  แต่ฉีเซี่ยงหมิงก็คือพี่ชายของเขา  พี่ชายต่างมารดาเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่  อาจบางทีหากพวกเขามิใช่โอรสของเป่ยชางอ๋อง  คงไม่จำเป็นต้องกำจัดให้อีกฝ่ายหายไปจากโลก  น่าเสียดาย...ความจริงกลับเป็นเช่นนั้น
ในความทรงจำของฉีเซี่ยงหยวน  ฉีเซี่ยงหมิงไม่เคยเข้าถึงได้ง่ายขนาดนี้มาก่อน  คงเป็นเพราะชีวิตเหลืออีกไม่มาก  คนที่ซับซ้อนมีหน้ามีหลังจึงแปรเปลี่ยนเป็นเปิดเผยขึ้น  เพราะทุกประการในโลกนี้กำลังจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว  หากพี่รองก็ยังเป็นพี่รอง  ยังคงเป็นบุคคลที่เย่อหยิ่งเหยียดหยันโลกอยู่เช่นเดิม  ทุกคำพูดล้วนแฝงน้ำเสียงเสียดสี  แต่ในคำพูดเสียดสีเหล่านั้นกลับแฝงความจริงหลายอย่างที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยฟังจากปากใครมาก่อน  ...น่าแปลกที่ก่อนความตายจะพรากจาก  ฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า...เขาเหลือพี่ชายอยู่คนหนึ่ง

พวกเขาอาจเคยหันอาวุธใส่กัน  หวังฆ่ากันมา  หากไม่ว่าอย่างไร...พวกเขายังคงเป็นพี่น้องกัน

=========
อีกสองตอนถัดไปจะอัพในวันจันทร์ที่18นะคะ


ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
«ตอบ #58 เมื่อ18-08-2014 08:10:27 »

หลงรักเรื่องนี้ทุกครั้งที่อ่าน

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 22
«ตอบ #59 เมื่อ18-08-2014 08:33:38 »

+เป็ดให้แล้วนะ
กำลังลุ้นๆ :z3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด