<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 214362 ครั้ง)

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 32
«ตอบ #90 เมื่อ31-08-2014 11:37:19 »

บทที่ 32 การชดใช้กับความรับผิดชอบ

บุปผชาติงามล้ำ  แต่คนในอุทยานกลับไม่มีผู้ใดที่ปลอดโปร่งแจ่มใส
“ท่านต้องการให้ข้าเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขา?” เสียงของหลันเซียงไม่ค่อยไม่ดังสะท้อนอยู่ในหมู่พฤกษา
“มิผิด  คนที่มีบัญชีติดค้างไม่อาจสะสางกับเจ้าคือข้า  ไม่เกี่ยวกับเขา”
หลันเซียงหัวเราะแล้ว แต่ในเสียงหัวเราะกลับมีแววเย้ยหยันที่ไม่ทราบว่าเย้ยหยันผู้อื่นหรือตัวเอง
“ข้ากลับลืมไปเสียได้  ว่าต้าอ๋องคนใหม่ของพวกเรามีนิสัยเดิมที่ขี้หึงอย่างยิ่ง” ปากกล่าวเช่นนี้  แต่จากพฤติกรรมของนางย่อมมิได้ ‘ลืม’ ไปจริงๆ  ดวงตาคู่งามมีแววเจ็บปวดริษยาเจือความอำมหิตผุดขึ้นมาอย่างเลือนราง

ฉีเซี่ยงหยวนมองผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชมชอบกลับกลายเป็นเช่นนี้  แทบไม่อาจหักใจชมดูต่อไป  เหตุใดความรักจึงน่ากลัวปานนี้  เปลี่ยนคนๆหนึ่งเสียจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม  ...หรือบางทีนางอาจจะไม่เคยเปลี่ยนไป  แต่เป็นตัวเขาเองที่เปลี่ยนแปลง
“หลันเซียง  ทำไมเจ้าต้องทำลายตัวเองเช่นนี้  ข้าคู่ควรให้เจ้าทำลายตัวเองเช่นนี้หรือ?”
“ท่านย่อมไม่คู่ควร!  คนอย่างท่าน...คนอย่างท่านเคยมีหัวใจเสียที่ไหน  เคยรักใครจริงเสียที่ไหน!  ข้าเกลียดท่าน  ทั้งๆที่ข้ารักท่านอย่างยิ่ง  แต่ท่านกลับหักหลังข้าได้อย่างเลือดเย็นเป็นที่สุด  เพราะอะไร  ท่านตอบข้ามาซิ  เพราะอะไรท่านถึงได้ทอดทิ้งข้า!” คำถามที่ถามซ้ำมาเป็นพันหนแต่ไม่เคยได้รับคำตอบถูกถามขึ้นมาอีกคราด้วยเปลวอารมณ์ที่คล้ายกำลังลุกพล่านเป็นเปลวไฟ  หลันเซียงพึมพำกับตัวเองว่า “ท่านเคยชอบข้ามากมิใช่หรือ  เพราะอะไรกัน...”
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวช้าๆว่า
“มิผิด  ข้าเคยชอบเจ้ามาก  แต่ข้าเองก็อยากถามเจ้า ว่าเพราะอะไร  ...ทำไมเจ้าต้องทำเรื่องที่เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไม่มีวันให้อภัย !”
ดวงหน้าของหลันเซียงแปรเปลี่ยนเป็นเผือดขาว  นางไม่เคยเห็นฉีเซี่ยงหยวนโมโหถึงระดับนี้  เขายังคงยืนนิ่ง  แต่แววตากลับเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าลมพายุตอนคลุ้มคลั่ง  ภายในนั้นนางเห็นความผิดหวังร้าวราน  สังหรณ์ร้ายในใจของหลันเซียงร้องเตือนอย่างเร่งร้อน 
“ท่าน...หรือว่าท่าน...รู้ ?” ความลับที่นางปกปิดเขามาตลอด  ความลับที่จะให้เขารู้ไม่ได้เป็นอันขาด
“เจ้าไม่ควรคิดฆ่า ‘นาง’ ”  แต่ละคำที่เค้นออกมากระแทกเข้าไปในจิตใจของหลันเซียง  ทำร้ายนางจนเข่าอ่อนล้มลงไปกองกับพื้น  พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“แม่นมตู้เลี้ยงข้ามา  นางเป็นยิ่งกว่ามารดาข้า  เจ้า...แค่นางไม่ชอบหน้าเจ้า  เจ้ากลับจะให้นางตาย !  เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว  ทำไมเจ้าต้องทำให้ข้าไม่อาจมองหน้าเจ้า  ทำไม...” เสียงพูดแผ่วเบาลง  ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนผิดหวังจนพูดไม่ออก  ความจริงเขาไม่ต้องการจะเปิดเผยเรื่องนี้  คิดจะให้หลันเซียงเดินจากไปในฐานะของ ‘ผู้เสียหาย’  แต่นางกลับบีบบังคับให้เขาต้องพูด ให้เขาทำลายกระทั่งความหวังดีสุดท้ายระหว่างคนทั้งคู่จนขาดสะบั้นลง

ชีวิตของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีบิดา  มารดาก็แทบไม่มีความทรงจำใดๆ  คนเพียงคนเดียวที่พอจะนับว่าหวังดีต่อเขาอย่างแท้จริงคือแม่นมตู้  แต่ผู้หญิงที่เขาพาเข้าบ้านมากลับมีเจตนาทำร้ายนางจนถึงแก่ชีวิต!  ใครกันที่หักหลังผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็นที่สุด 
ฉีเซี่ยงหยวนเบือนหน้าหนี  ยังจำความรู้สึกตอนที่ตัวเองได้รับรายงานเรื่องนี้ได้แม่นยำ

สายลมให้อุทยานโกรกพัดรุนแรงขึ้น  เสียงกิ่งไม้เปราะหักดังแว่วมา  ดุจเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ไม่มีหนทางประสานคืน
มีดสั้นเล่มหนึ่งถูกทิ้งลงบนพื้น  เสียงของฉีเซี่ยงหยวนดังแว่วอยู่ในสายลม
“ถ้าเจ้าแค้นข้านักก็ฆ่าข้าซะ  เหลียนอันสุ่ยไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้  ไม่ต้องดึงเขาเข้ามาพัวพัน”
หลันเซียงมองมีดตรงหน้านางอย่างตะลึงงัน  หัวสมองแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าขาวโพลน  ชั่วขณะนั้นนางกลับไม่ทราบว่าตัวเองสมควรทำอย่างไร  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้จากไปไหน  ยังคงยืนนิ่งรอคอยให้นางหยิบมีดไปแทงให้หายแค้น  ใบหน้าคมคายที่เจือด้วยแรงอารมณ์เมื่อครู่นี้สงบลงจนเป็นเฉยชา 
หนี้รักรายนี้ทำร้ายคนมามากพอแล้ว สมควรจะจบลงเสียที  ฉีเซี่ยงหยวนเคยคิดจะรอให้แผลของหลันเซียงจางลงจนสามารถพูดคุยกันรู้เรื่อง  จนตอนนี้จึงค่อยรู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาดไปอย่างใหญ่หลวง  บาดแผลรายนี้ยิ่งทิ้งเวลา  ก็ยิ่งบาดลึก

น้ำตาของหลันเซียงไหลออกมาไม่หยุด  พูดอะไรไม่ออก  ที่หลุดออกมามีแต่เสียงสะอื้นแผ่วเบาเหมือนจะขาดใจ  เพิ่งจะรับรู้ในตอนนั้นว่าคนที่ทำให้นางสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแท้จริงคือตัวนางเอง  นางไม่ได้ตั้งใจ  นางแค่  แค่อับจนหนทาง  ท่าทีแข็งกร้าวของผู้หญิงคนนั้นบีบให้นาง...  นางอยากจะร้องตะโกนออกไป  อยากจะแก้ตัว  แต่ดูเหมือนว่าฉีเซี่ยงหยวนจะไม่มีวันฟังคำพูดนางอีกแล้ว  ทางที่พวกเขาเดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปเริ่มต้นใหม่  ดวงตาของหลันเซียงไม่เหลือประกาย  ดูราวกับบุปผาที่โรยราดอกหนึ่ง  พึมพำว่า
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน  ไปให้พ้น”
สภาพน่าสังเวชของนางในตอนนี้หลันเซียงไม่ยินดีให้ผู้ใดมาเห็น  แต่เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเก็บมีดแล้วหันหลังจากไปจริงๆ  ...หัวใจนางกลับแหลกสลาย

ดวงตาของหลันเซียงยังคงไม่ละไปจากพื้นที่มีใบไม้แห้งหล่นเกลื่อนกล่น  ในห้วงอารมณ์เหม่อลอยซึมเซา  มีดเล่มนั้นคล้ายยังคงถูกทิ้งอยู่เบื้องหน้า  ค่อยๆแทงเข้าไปในหัวใจของนางอย่างเลือดเย็น  คำบริภาษของตัวเองย้อนกลับมา
‘คนอย่างท่าน...คนอย่างท่านเคยมีหัวใจเสียที่ไหน  เคยรักใครจริงเสียที่ไหน !...’
นางเข้าใจผิดแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนมิได้ไม่มีหัวใจ  ...แต่เขา...แค่มิได้มอบมันให้กับนาง
เจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะหายใจ  รวดร้าวจนกลายเป็นเคียดแค้น  ด้วยระลึกได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนทำทั้งหมดนี้เพียงเพื่อคนผู้หนึ่ง  หึ  นางทำตัวน่าขยะแขยงถึงเพียงนี้มีหรือที่ต้าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จะทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อนาง
เหลียนอันสุ่ย
น่าขำนัก  คนที่เป็นต้าอ๋องถึงกับยอมใช้ชีวิตตัวเองมาปกป้องตัวประกันสงคราม !
---------------------
นั่นเป็นเรื่องของวันก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนมิได้เห็นแววตาสุดท้ายของหลันเซียง  มีเพียงลางสังหรณ์ที่คล้ายกำลังกระซิบกระซาบความใดแก่เขา  น่าเสียดายที่เสียงแผ่วเบาจนจับความไม่ได้ 

ขณะนี้สายลมยามดึกโชยชายเบาๆ พัดผ่านระหว่างคนทั้งคู่  โต๊ะตัวใหญ่กลางห้องเป็นฉีเซี่ยงหยวนจับจองท่ามกลางกองฎีกาที่สะสางไม่หมดไม่สิ้นมาตั้งแต่บ่าย  บนเก้าอี้เอนเป็นเหลียนอันสุ่ยนั่งอ่านตำราแพทย์อยู่เงียบๆ  แสงจากตะเกียงน้ำมันจรดฝีเท้าแผ่วเบาทิ้งเงารางไว้ท่ามกลางบรรยากาศสงบผ่อนคลาย 

ทุกการกระทำเรียบง่ายถึงเพียงนั้น  เป็นธรรมชาติถึงเพียงนั้น  ราวตั้งแต่แรกเริ่มมามันก็สมควรเป็นเช่นนี้...ราวกับแรกเริ่มมาพวกเขาก็สมควรอยู่เคียงข้างกัน  ความจริงแฝงกายแนบเนียนจนยากจะจับสังเกต  อาจบางทีมีเพียงแสงจันทร์นอกหน้าต่างที่แจ่มชัดในความนัย
 “ดึกมากแล้ว  ท่านไปนอนเถอะ” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขึ้นขณะเงยหน้าจากกองฎีกา 
เหลียนอันสุ่ยม้วนเก็บม้วนไม้ไผ่  นวดเปลือกตาเล็กน้อยพลางกล่าวถาม
“ท่านเล่า?”
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ
“ข้ามิใช่ไม่อยากนอน  แต่เกรงว่าพรุ่งนี้หน้าของหลิวฉางเฟยจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวไป”
เหลียนอันสุ่ยคิดถึงท่าทางกลัดกลุ้มกังวลของหลิวฉางเฟยเมื่อกลางวัน  อดมิได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ  สักพักจึงรู้สึกว่าตัวเองเสียกิริยา  ก้มหน้าลง ทำทีเป็นเดินไปเก็บหนังสือใส่ชั้นวาง

ฝ่ายฉีเซี่ยงหยวนกลับมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง  รู้สึกว่าหัวใจตัวเองบีบรัดจนเจ็บปวด  เป็นครั้งแรกที่ฉีเซี่ยงหยวนเห็นเหลียนอันสุ่ยหัวเราะ  เห็นได้ชัดว่าบุรุษตรงหน้าเขาไม่คุ้นชินกับการหัวเราะเอาเสียเลย  นี่จึงเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ฉีเซี่ยงหยวนนึกเกลียดชังวัฒนธรรมที่สงบสำรวมของแคว้นเหลียน  นึกเกลียดชังบรรยากาศในราชสำนักที่ชวนให้ผู้คนหัวเราะไม่ออกเหล่านั้น  ยิ่งเกลียดชังตัวเองที่บีบคั้นคนจนเจ็บปวดหม่นหมอง 

บางทีก่อนเหลียนอันสุ่ยจะเข้าใจความหมายของเสียงหัวเราะก็รู้จักคำว่าสูญเสีย  เหตุใดจึงลืมเลือนไปว่าอีกฝ่ายก็เป็นเช่นเดียวกับเขา  เคยยืนหยัดอยู่ท่ามกลางมรสุมแห่งอำนาจมาโดยลำพัง  คุ้นชินกับการใช้ตัวเองปกป้องคุ้มครองผู้อื่น
ชั่วขณะนั้นความรู้สึกอยากปกป้องอย่างแรงกล้าพลุ่งพล่านรุนแรง  ความเจ็บปวดในอดีตของท่านข้าย้อนกลับไปแก้ไขให้ไม่ได้  แต่หลังจากนี้ภาระที่ท่านแบกรับไว้ข้าจะแบกรับแทนท่านเอง  เพียงแต่ว่า...

“เหลียนอันสุ่ย รับปากข้า  อย่าไปพบกับ ‘นาง’ อีก” น้ำเสียงอ่อนโยนมีแววโน้มน้าววิงวอน 
ดวงตาคู่งามชะงักนิ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนเรียกชื่อเขา?  เพิ่งรู้ที่แท้นามของคนผู้หนึ่งสามารถถูกเรียกให้น่าฟังได้เพียงนี้
“...อืมม์”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินอีกฝ่ายรับคำก็คลี่ยิ้ม  รอยยิ้มที่อบอุ่นแผ่ลามไปจนถึงดวงตา  เพียงเท่านี้ก็สามารถปกป้องเอาไว้ได้แล้ว  มันจะเกิดขึ้นไม่ได้อีกเป็นอันขาด ฉีเซี่ยงหยวนย้ำกับตัวเอง พลางกล่าว
“ท่านไปนอนเถอะ  คืนนี้อากาศหนาว  อย่าลืมห่มผ้าด้วย” พูดจบคนพูดก็ก้มหน้าลงจัดการงานของตัวเองต่อ  สักพักเหลียนอันสุ่ยจึงได้ยินเสียงพึมพำแผ่วๆดังแว่วมาอย่างจนใจว่า
“งานนี้ความจริงมิใช่ของข้า  ไปแย่งชิงตำแหน่งผู้อื่นมา  ตอนนี้ก็ได้แต่ชดใช้แล้ว”
มุมปากของพระมาตุลาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม  เดินเข้าไปหยิบเสื้อนวมตัวหนาออกมาตัวหนึ่ง
“คืนนี้อากาศหนาว  หากต้าอ๋องไม่รังเกียจก็สวมเสื้ออีกชั้นเถอะ”
สายลมโชยชายเฉียดปลายกระเบื้องหลังคาเป็นเสียงครางแผ่วๆ  อากาศหนาวเย็น  แต่ใจคนไม่หนาวเหน็บ
---------------------
วันเวลาผ่านไปหลายวัน  ฉีเซี่ยงหยวนยังคงอาศัยขนงานมาทำที่ตำหนักเสียงวสันต์อยู่เสมอ  ทำงานจนดึกดื่นเที่ยงคืนไม่ยอมนอน  เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะกลัวตัวเองจะเผลอ ‘ทำร้าย’ เหลียนอันสุ่ยอีก  ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งย่อมเป็นเพราะงานของเป่ยชางอ๋องมีมากมายจนเกินไป 

แคว้นอันยิ่งใหญ่  แต่ความรับผิดชอบทั้งหมดกลับขึ้นตรงกับคนเพียงคนเดียว  ความหนักหนาของมันสุดที่ใครจะจินตนาการออกได้  บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็หวังให้ตัวเองยังคงเป็นองค์ชายสี่  ภาระหน้าที่ในตอนนั้นแม้ไม่จัดว่าน้อย  แต่กลับทาบไม่ติดกับตำแหน่งเป่ยชางอ๋อง  มิน่าเล่าในประวัติศาสตร์จึงมีเจ้าแคว้นที่ไม่สนใจการปกครอง  ภาระหน้าที่มหาศาลเหล่านี้  หากต้องการจะทำให้ได้ดี  ไม่เพียงต้องมีความสามารถ  ยังต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจจนเหือดแห้ง  กลางวันปวดหัว  กลางคืนไม่ได้นอน  ลำบากลำบนชนิดต่อให้เป็นคนที่มีปณิธานแกร่งกร้าวก็ไม่แน่จะทนทานรับไหว

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงจับจ้องแสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องชั้นนอกอย่างเหม่อลอย  วันที่เท่าไหร่แล้วที่ยังคงเป็นเช่นนี้  ไม่ทราบเพราะเหตุใดเมื่อคิดว่าคนผู้นั้นเหน็ดเหนื่อยเพื่อแคว้นเป่ยชาง ใจของเหลียนอันสุ่ยก็เกิดระลอกคลื่นที่ไม่สงบ  ผู้คนต่างกล่าวขานถึงฝีมือร้ายกาจของฉีเซี่ยงหยวน  แต่มีซักกี่คนที่ทราบว่าบุคคลที่ไม่ว่าใครต่างไม่มั่นใจว่าจงรักภักดีต่อแคว้นเป่ยชางผู้นี้ทุ่มเททำอะไรไปบ้างเพื่อแผ่นดินที่เขาเกิด

ใจของฉีเซี่ยงหยวนอาจไม่เคยเป็นของใครอย่างแท้จริง  แต่หากจะมีสิ่งหนึ่งที่ผูกมัดเขาไว้ได้ตลอดกาลสิ่งนั้นต้องเป็นแคว้นเป่ยชาง  ความรู้สึกอับจนปัญญามาพร้อมกับความภาคภูมิใจชนิดหนึ่ง  ตัวตนของท่านยิ่งมาก็ยิ่งรัดข้าแน่นจนดิ้นไม่หลุด  ข้าเพียงคาดหวังให้ท่านเป็นเช่นนี้ตลอดไป  อย่าให้เส้นทางที่วกวนทำลายหลักการของท่าน  อย่าให้อำนาจทำลายหัวใจของท่าน  หัวใจที่ด้านชาไม่มีทางหล่อเลี้ยงสิ่งใดให้งอกงาม  แต่ท่านกลับมีหัวใจที่อบอุ่นดวงหนึ่ง  ถึงท่านจะไม่เคยเชื่อว่าตัวเองมีมันอยู่เลยก็ตาม...
---------------------
ปัญหาในราชสำนักบ้างผิวเผินบ้างซับซ้อน  ฉีเซี่ยงหยวนเพียงนึกก่นด่าสาปแช่งพวกที่เรื่องมากเหล่านั้น  ปัญหาบางเรื่องทางออกง่ายดายชัดๆยังจะไปทำให้มันยุ่งยากขึ้นมา  ด้วยความอารมณ์เสีย  เป่ยชางอ๋องจึงทิ้งโต๊ะทำงานชั่วคราว  พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องที่ปราศจากแสงไฟ

ห้องไม่มีแสงไฟ แต่ในห้องมีคนผู้หนึ่ง คนที่อบอุ่นยิ่งกว่าโคมตะเกียงใดๆ เหลียนอันสุ่ยหลับไปแล้ว  บางครั้งฉีเซี่ยงหยวนก็จินตนาการกับตัวเองว่าเหลียนอันสุ่ยรอคอยเขาจนหลับไป  เพราะรสชาติของการรู้ว่ามีคนรอคอยให้กลับไปเป็นความหวานซึ้งชนิดหนึ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยหวังว่าตัวเองจะมี ‘บ้าน’   ‘บ้าน’ ของเขาเป็นแค่แคว้นเป่ยชางก็เพียงพอแล้ว  แต่นึกไม่ถึงว่าตอนนี้กลับมีความคาดหวังขึ้นมา  ซ้ำยังเป็นความคาดหวังที่ละโมบโลภมากต้องการครอบครองตลอดไป คิดพลางกุมมืออีกฝ่ายไว้

“งานของท่านเสร็จแล้วหรือ ?” หนึ่งคำถามดังในความเงียบ  พาให้คนที่จับจ้องผู้อื่นอย่างเคลิบเคลิ้มชะงักไป  ดวงตาที่สงบกระจ่างคู่หนึ่งลืมขึ้นมาจ้องร่างสูงที่ยืนทาบเงาอยู่ข้างเตียง  พลางชันตัวขึ้นนั่ง
“ข้าไม่ควรเข้ามารบกวนท่าน” ฉีเซี่ยงหยวนพึมพำ
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า กล่าว
“ข้ายังไม่หลับ” จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “งานเหล่านั้นทำจนตายก็ไม่หมดไม่สิ้น  ถ้าท่านไม่รักษาสุขภาพตัวเอง  เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาผู้ใดจะสะสางแทนท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งไปครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา  จงใจกล่าวอย่างไม่จริงจังว่า
“หากให้นอนลงไปตอนนี้  เกรงว่าคนที่ไม่ได้พักจะกลายเป็นท่านแล้ว” คำพูดแฝงนัยกรุ้มกริ่มที่ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจว่าเหลียนอันสุ่ยจะต้องรีบดึงมือออกแล้วเลิกสนใจเขาแน่นอน  กลับทำให้มือที่กุมกันอยู่กระชับแน่นเข้า  เหลียนอันสุ่ยกล่าวออกมาเบาๆว่า
“นั่นก็ช่างเถอะ”
ฉีเซี่ยงหยวนรับฟังจนตะลึงลานไป  ส่วนเหลียนอันสุ่ยเมื่อขบคิดอีกครั้งว่าตัวเองกล่าววาจาใดออกไปก็หน้าแดงก่ำ  หากฉับพลันนั้นสีแดงก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวด้วยความเจ็บปวดอับอาย  ไม่มีทางลืมเลือนว่าคืนสุดท้ายตัวเองทำตัวได้น่ารังเกียจขนาดไหน  ดึงมือที่กอบกุมกันไว้ออก  สายตาเบือนหลบไปอีกทาง  ร่างสั่นระริกขึ้นมาโดยห้ามไม่อยู่  ปรารถนาจะสาปตัวเองเป็นก้อนเล็กๆยิ่งกว่าฝุ่นผง  คนน่าขยะแขยงเช่นข้า  ท่านอย่ามองอีกเลย

ฉีเซี่ยงหยวนมองภาพนั้นแล้วรู้สึกเหมือนถูกคนบีบเค้นเลือดทุกหยดออกมาจากหัวใจ  ยังคงเป็นเขาอีกแล้วที่ทำร้ายเหลียนอันสุ่ย  คนที่น่ารังเกียจต่ำช้าคือข้าต่างหาก  ไม่ใช่ท่านเลย  ไม่เคยเป็นท่านเลย
มือใหญ่ประคองใบหน้าของคนที่เบือนหลบไปให้หันกลับมา  ดวงตาทรงอำนาจมีแววเจ็บปวดเสียใจท่านไม่ควรรังเกียจตัวเอง  คนที่ท่านรังเกียจควรเป็นข้า!

ดวงตาหวาดหวั่นขลาดกลัวของเหลียนอันสุ่ยซ้ำเติมจนฉีเซี่ยงหยวนแทบยืนไม่ไหว  เพราะทราบว่าเหลียนอันสุ่ยหวาดกลัวตัวเองที่เปลี่ยนไป  กับคนที่ควบคุมตัวเองตลอดมา  การที่อยู่ๆวันหนึ่งก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไปแล้ว  เป็นบาดแผลที่ฝังลึกจนยากจะลบหาย  ทำอย่างไรดี  ทำอย่างไรจึงจะลบบาดแผลนี้ได้...

“ให้ข้ารับผิดชอบท่าน”
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเบิกค้างอย่างตะลึงลาน
“...ท่าน  ไม่จำเป็นต้อง...” ปฏิเสธไม่ทันจบประโยคก็ถูกแทรกว่า
“มิใช่ไม่จำเป็น  แต่มันเป็นความต้องการของข้าเอง” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนเบา แต่จริงจังหนักแน่น  ยื่นมือออกไปประคองใบหน้าที่ถูกคลอเคลียอยู่ด้วยกรอบของเส้นผม  กระซิบบอกอีกฝ่ายอย่างจริงจังเว้าวอนว่า
“ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต”
ใจของเหลียนอันสุ่ยสับสนว้าวุ่น  เรือนกายกำยำที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ให้ความรู้สึกคล้ายถูกคุกคาม  คล้ายได้รับการปกป้องคุ้มครอง  ราวมีอารมณ์ท่วมท้นบางอย่างกำลังโหมซัดอยู่ข้างใต้  ปากที่อ้าออกกลับไม่สามารถกล่าวคำปฏิเสธออกไป  เผลอไผลรับคำแผ่วเบาไปโดยไม่รู้ตัว 
ฉีเซี่ยงหยวนสูดลมหายใจลึก ใช้วิธีที่เรียบง่ายที่สุดบอกสิ่งที่อยู่ในหัวใจ
ขณะฉีเซี่ยงหยวนจูบเขาเหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าตัวเองกำลังแหลกสลาย  ในห้วงอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนมีเสียงหัวใจที่แข็งแกร่งดวงหนึ่งเต้นเป็นจังหวะอันมั่นคง  ราวกำลังสื่อสารว่า...ข้าไม่มีทางรังเกียจท่าน

รู้สึกตัวอีกคราเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าตัวเองเอนพิงอยู่กับแผ่นอกกว้าง  อ้อมแขนที่มีพลังคู่นั้นโอบประคองอยู่รอบแผ่นหลัง  และพบว่าตัวเองยังมิได้แหลกสลายไป  บางที...สิ่งที่พังทลายลงคงเป็นกำแพงในจิตใจเขา
ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปช้าๆ  บางเรื่องราวกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา  รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจคนๆหนึ่งอย่างลึกซึ้ง  และเชื่อใจคนๆหนึ่งอย่างลึกซึ้ง


===========
ทุกคนต่างกำลังชดใช้ให้กับอดีตของตัวเองอยู่เสมอ
เรื่องที่ท่านต้องพบเจอต้องแบกรับในวันนี้ล้วนเป็นผลมาจากวันวาน
รับผิดชอบเป็นคำของคนที่ตระหนักในสิ่งที่ตัวเองแบกรับ
ส่วนคำว่าข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิตเป็นคำขอแต่งงาน(ฮา)

ขอบคุณทุกคนสำหรับทุกกำลังใจฮ้าบบบบ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2014 13:26:27 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
 :mew1: ต้าอ๋องเหลียนเหลียน


ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Cressent

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ล้ำลึก นุ่มนวล ลงตัว

ถ้ามีรวมเล่มอุดหนุนแน่นอนค่ะ

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 33
«ตอบ #94 เมื่อ03-09-2014 16:55:34 »


บทที่ 33 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางเหมือนเดิม

ประตูใหญ่เปิดกว้าง  เนื่องจากเช้านี้ไม่มีประชุมขุนนาง  ผู้สัญจรเข้าออกราชสำนักจึงบางตากว่าเมื่อวาน  ลึกเข้าไปด้านในผ่านหมู่ตำหนักที่เรียงรายอยู่สองฟาก  หญิงรับใช้ยังคงเดินกันขวักไขว่อยู่เช่นเดิม  แต่ละนางสวมเสื้อผ้าไม่หนาไม่บางท่าทางกระฉับกระเฉง  เหลียนอันสุ่ยก้มลงมองชุดกันหนาวบนร่างตัวเองแล้วยิ้มเล็กน้อย  คนเป่ยชางทนความหนาวเย็นได้ดีกว่าชาวเหลียนจริงๆ 
ขณะนี้แต่ละตำหนักต่างปล่อยม่านซึ่งทำจากซี่ไม้ลงเพื่อกันแดดจ้าสาดเข้ามา  เวรขัดถูทำความสะอาดง่วนอยู่กับหน้าที่ประจำ  คนเพิ่งกลับถึงตำหนักเดินเลยเข้าไปในห้องส่วนตัวของตัวเอง  ใช้ฝีเท้าแผ่วเบาตรวจดูว่าเตาผิงทุกตัวยังคงอุ่น  ป้องกันไม่ให้อากาศหนาวเย็นไปรบกวนคนที่กำลังหลับใหล  จากนั้นเปิดฝากระถางกำยานเติมผงสมุนไพรที่ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลายสองสามชนิดซึ่งหยิบติดมือกลับมาด้วยลงไป 

เหลียนอันสุ่ยแวะไปโรงหมอมาเรียบร้อยแล้วสำหรับเช้านี้  แต่คนบนเตียงยังคงไม่ตื่น ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำเตือนของเขา  มิเช่นนั้นถึงเช้านี้จะไม่มีประชุมขุนนาง  เจ้าตัวก็คงจะดิ้นรนออกไปใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุดอยู่ข้างนอกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง  อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนตื่นมาแล้วรอบหนึ่งเพื่อสั่งงานบางส่วนกับหลิวฉางเฟย  แล้วจึงกลับมานอนต่อชดเชยที่เมื่อคืนกว่าหัวถึงหมอนก็ค่อนสว่าง

เหลียนอันสุ่ยเดินไปเดินมาสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ข้างเตียง  มองแสงสว่างจับลงบนใบหน้าคมคายจนดูชัดเจน  ...ราวกับใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ  หว่างคิ้วที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าผ่อนคลายลงมากแล้ว  แนวคิ้วหนายังคงมั่นคงเด็ดเดี่ยว  แววตาของเหลียนอันสุ่ยอ่อนละมุนลงเมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงหลับลึก  การมองท่านในแสงตะวันเช่นนี้ดูแตกต่างจากโครงหน้าที่สว่างจากตะเกียงน้ำมันในวันอื่น  คิดๆดูแล้วระหว่างเรามักเป็นเช่นนี้เสมอ  ได้อยู่ร่วมเพียงยามราตรี...ดุจเดียวกับความสัมพันธ์กับความในใจที่ทำได้เพียงซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดในเงาจันทร์

‘ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’
เขารู้ตัวรึเปล่าว่าเมื่อวานพูดอะไรออกมา...
ในห้วงความคิดที่พาให้คนเหม่อลอย  เงาซึ่งบดบังลงมาทำให้แนวเปลือกตาของฉีเซี่ยงหยวนขยับเล็กน้อย  เหลียนอันสุ่ยมาสะดุ้งวาบเอาตอนที่ดวงตาเจิดจ้าทรงอำนาจลืมขึ้นมาจับจ้อง

“ที่แท้ก็มีวันที่ท่านแอบมองข้าเวลาหลับ” มุมปากของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้ม  มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาทาบบนโครงหน้ากระจ่าง
“ข้าแค่  เอ่อ  แค่...ดูว่าท่านยังหลับสนิทอยู่หรือไม่” เหลียนอันสุ่ยตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
นิ้วโป้งของฉีเซี่ยงหยวนไล้ผิวแก้มอีกฝ่ายเบาๆ  พลางกล่าว
“ข้าชอบความเป็นห่วงที่สะท้อนอยู่ในแววตาของท่าน”
“...” เหลียนอันสุ่ยพลันไม่รู้จะตอบอะไรดี  ใบหน้าร้อนผ่าว  นึกอยากจะเคลื่อนถอยห่างกว่านี้แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะทราบความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้น
“ท่านตัวร้อน”
“...” ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยร้อนจัดกว่าเดิม
“ข้าจูบท่านได้ไหม ?”
...สวรรค์  ทำไมวันนี้คำพูดของบุรุษตรงหน้าจึงร้ายกาจเป็นพิเศษ  เหลียนอันสุ่ยอ้าปากคิดจะกล่าวอันใด  แต่อ้าอยู่นานก็นึกหาคำพูดไม่ออก  ราวกับสมองจู่ๆก็หยุดทำงานไปเฉยๆ  มือไม้ปั่นป่วนไปหมด  ฉีเซี่ยงหยวนจึงเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายยินยอม  จึงค่อยๆลิ้มรสริมฝีปากเนียนอย่างตั้งใจ  ยิ่งจูบก็ยิ่งลึกล้ำ  ก่อกวนจนเหลียนอันสุ่ยมึนงงตาลาย  ร่างสองร่างยิ่งมายิ่งไม่เหลือระยะห่าง
รอยจูบผละออกอย่างแช่มช้าอ้อยอิ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองคนหอบหายใจที่ทาบทับอยู่บนตัวเขา  รู้สึกว่าตัวเองลืมเลือนความจริงที่สำคัญไปข้อหนึ่ง  มัวแต่กลัวจะทำร้ายอีกฝ่าย  กลับลืมเลือนไปว่าเหลียนอันสุ่ยขาดเขาไม่ได้

ขณะฉีเซี่ยงหยวนพยายามเค้นหัวหาวิธีที่จะให้อีกฝ่ายยอมรับโดยไม่ละอายตำหนิตัวเอง  เหลียนอันสุ่ยก็ดูเหมือนจะนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้เช่นกัน  เท้าคิดจะผละหนี  แต่จนใจที่ฉีเซี่ยงหยวนรั้งเอวเขาเอาไว้ไม่ปล่อย
“สีหน้าเช่นนี้ของท่านใช้มองข้าได้แค่คนเดียวเข้าใจหรือไม่”
ดวงตาที่กำลังจะเจือด้วยแววละอายถูกคำพูดอีกฝ่ายทำจนปรากฏเค้างงงันขึ้นมาแทน
“...เพราะมันยั่วใจคนเกินไป”
เหลียนอันสุ่ยได้ยินแล้วถึงกับทำหน้าไม่ถูก  หัวใจเต้นถี่เร็ว  ในอกเต็มไปด้วยความประหม่าขลาดกลัว  ไม่ทราบสมควรวางตัวอย่างไร  ตัวตนของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายมีความสามารถขุดคุ้ยตัวตนลึกๆที่ขนาดเหลียนอันสุ่ยเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองมีอยู่ออกมา
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ  กล่าว
“ท่านไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดขนาดนี้  ยิ่งไม่จำเป็นต้องตื่นกลัวขนาดนี้  เพราะข้าจะไม่บีบบังคับให้ท่านทำในสิ่งที่ท่านไม่ยินยอม”
“...ข้าไม่ได้ไม่ยินยอม” กล่าวออกไปแล้วเหลียนอันสุ่ยพลันนึกเสียใจ  อยากตะครุบคำพูดกลับคืนมา  แย่แล้ว  ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้น   เขาก็ถูกเล่นงานจนปากกับความคิดไปกันคนละทิศคนละทาง  พูดจาไม่กลั่นกรอง  ทำเรื่องยุ่งเหยิงไปกันใหญ่
“จริงนะ ?”
“ขะ ข้า คือ ข้าว่าท่านหิวแล้ว  ดะ เดี๋ยวข้าจะออกไปให้คนยกอาหารเข้ามา”
“ข้ายังไม่หิว  ตอนนี้ข้าอยากรู้แค่ว่าท่านพูดจริงรึเปล่า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง  ขณะดันไหล่อีกฝ่ายออกห่างเพื่อเพ่งมองใบหน้าหมดจดให้ชัดๆ  ค้นหาคำตอบแท้จริงที่แฝงอยู่ในแววตา
“...” อยากจะหาเหตุผลมากลบเกลื่อน  แต่กลับรู้สึกว่าสายตาตัวเองมิอาจซุกซ่อนปิดบังความจริงอีกต่อไป  เพราะมันมากมายเกินไป  ปิดบังมาเนิ่นนานเกินไป และกำแพงที่เคยก่อมาปิดไว้ก็ไม่คงอยู่อีกแล้ว  เหลือเพียงผ้าบางๆผืนหนึ่งที่ถูกสายตาเจิดจ้าคู่นั้นสาดมองทะลุเข้ามา
ฉีเซี่ยงหยวนจูบแผ่วเบาลงบนเรือนผมดำสนิท  กล่าวเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ผ่อนคลาย  แล้วเชื่อใจข้า”

เหลียนอันสุ่ยขบริมฝีปากอย่างไม่มั่นใจ  รู้สึกว่าแสงตะวันคล้ายกับสว่างจนเกินไป  รู้สึกว่าไม่สมควรปล่อยให้เป็นเช่นนี้  รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ  รู้สึกอีกมากมายหลายอย่าง  แต่ลึกๆแล้วกลับอับจนปัญญา  จะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็ปรารถนาคนผู้นี้ ?
---------------------
วันนั้นกว่าฉีเซี่ยงหยวนจะได้รับประทานอาหารเช้าก็เลยเที่ยงไปแล้ว  อ้อยอิ่งอยู่นานจึงค่อยผละจากตำหนักเสียงวสันต์ไปเพื่อประชุมขุนนางรอบบ่าย  เมื่อเท้าของเป่ยชางอ๋องพ้นประตูไป  พระมาตุลาแคว้นเหลียนที่นั่งตัวเกร็งอยู่ตลอดเวลาจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆด้วยความโล่งอก
 
ปรกติสายตาของฉีเซี่ยงหยวนก็ชวนให้ผู้คนทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว  วันนี้กลับเพิ่มความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างชัดเจนขึ้นมาอีก  ...ราวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม  ใบหน้าของเหลียนอันสุ่ยร้อนวูบวาบ  เพราะรู้ได้ว่าบางอย่างเปลี่ยนไปแล้ว 

ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอ่อนโยนกับเขา  ยิ่งไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายทะนุถนอมเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษ  เหลียนอันสุ่ยมิใช่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้และรู้ด้วยว่าฝ่ายที่ได้รับคือตัวเอง  ไม่ใช่เขา ‘ปรนนิบัติ’ ฉีเซี่ยงหยวน  แต่เป็น...เอ่อ...ตรงกันข้าม  หากสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปกลับเป็นความหมายที่แอบแฝงอยู่ในสัมผัสลึกซึ้งนั่น  คล้ายเป็นพันธะสัญญา  และก็คล้ายเป็นบ่วงพันธนาการคน
ที่ฉีเซี่ยงหยวนสัมผัสไม่ใช่ร่างกายเขา  แต่เป็นวิญญาณเขา  ที่ฉีเซี่ยงหยวนครอบครองก็ไม่ใช่ร่างกายเขา  แต่เป็นวิญญาณเขา  ดูเหมือนเขาจะทำความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ลงไปอีกแล้ว  มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ  ความหมายของมันผิดกันจนไกลลิบ  มิใช่สนองความต้องการทางร่างกาย  แต่เป็น...

‘ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’

เหลียนอันสุ่ยเข่าอ่อน  ดูเหมือนฉีเซี่ยงหยวนจะไม่ใช่แค่พูดไปตามสถานการณ์  แต่คิดจะทำมันจริงๆ !
จากนั้นก็คล้ายสวรรค์กลั่นแกล้งคน  เมื่อเหลียนอันสุ่ยพลันนึกออกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยรวมคล้ายกับอะไร  ส่งผลให้แตกตื่นจนใบหน้าซีดขาว  เพราะมันคล้ายกับ...คล้ายกับ...คืนแรกที่เขาเข้าหอกับภรรยา
ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่น ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน  ตัดสินใจเดินออกไปสงบจิตใจด้านนอก  หากเมื่อเท้าพ้นประตูออกไป  กลับพบอิ๋งฮวาเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาหา
“นายท่าน  บ่าวไม่เข้าใจ  ทำไมท่านยังให้อภัย ‘เขา’ อีก” เสียงของอิ๋งฮวา  ทำให้เหลียนอันสุ่ยสะดุ้งวาบ  หลุดออกจากภวังค์ความคิดที่ชักจะเลยเถิดออกไป  ทวนคำว่า
“เขา ?”
อิ๋งฮวาเห็นนายท่านทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจก็รุ่มร้อนหนัก  ทนเงียบต่อไปไม่ไหว  เมื่อสิ่งที่นางเข้าใจว่าจบไปแล้วกลับทำท่าว่าจะเริ่มต้นใหม่กลับเข้าสู่วงจรเดิม  จึงโพล่งออกไป
“ก็เป่ยชางอ๋องที่น่ารังเกียจผู้นั้นอย่างไรเล่า!  เขาทำเรื่องต่ำช้ากับท่าน  ทรมานท่านครั้งแล้วครั้งเล่า  วันนี้ทำไมท่านยังให้คนจัดเตรียมอาหารให้เขาอีก”
“ทรมานข้า ?” เหลียนอันสุ่ยทวนคำ  เห็นอิ๋งฮวาที่แม้เปลือกนอกจะนอบน้อม แต่แท้จริงกล้าพูดทุกเรื่องราวพลันหน้าแดงก่ำกระดากปากจนพูดไม่ออก  ก็ค่อยๆเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวอะไร  ใบหน้าก็พลอยแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย  อิ๋งฮวาเป็นคนเก็บห้องของเขา  บางทีนางคงเห็นสภาพเตียงจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“เจ้าไม่เข้าใจ  ...มัน...ไม่สามารถอธิบายได้ง่ายๆ อย่างนั้น”
“แต่เขาล่วงเกินท่านอีกแล้ว!” จะอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน  พูดประโยคนี้จบก็ต้องหน้าแดงอีกคำรบหนึ่ง

เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจลึก  หลับตาลง  รู้สึกยากลำบากอยู่บ้างที่จะอธิบายให้นางเข้าใจ  เมื่อลืมตาขึ้นก็กล่าวช้าๆว่า
“เรื่องแบบนั้นคนที่ชอบกันก็ไม่จำเป็นต้องชอบมันเสมอไป  คนที่ไม่ชอบกันก็ไม่จำเป็นต้องไม่ชอบมันเช่นกัน  ไว้เจ้าออกเรือนแล้วก็จะเข้าใจเอง...จริงๆแล้วกับเรื่องนั้นเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับข้ามากมาย    เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจ...แต่ข้ามีความสุขนะอิ๋งฮวา” และที่ข้าเจ็บปวดก็เพราะว่าข้าไม่สมควรมีความสุข

เหลียนอันสุ่ยยอมรับมานานแล้วว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจสัมผัสของฉีเซี่ยงหยวน  ความจริงแล้วฉีเซี่ยงหยวนเป็นคู่นอนที่เอาใจใส่มากคนหนึ่ง  บุรุษผู้นั้นมิได้มีนิสัยชอบตักตวงเอาฝ่ายเดียวแบบทายาทตระกูลใหญ่  สมควรบอกว่าฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเรื่องราวเช่นนั้นคือการมอบให้และรับมา  ที่เหลียนอันสุ่ยรังเกียจคือตัวเองที่นับวันยิ่งปล่อยตัวปล่อยใจ  บางทีเขาควรจะใจกว้างให้ได้ซักครึ่งหนึ่งของฉีเซี่ยงหยวน  ยอมรับว่าเรื่องราวเหล่านั้นคือธรรมชาติของมนุษย์

อิ๋งฮวายังคงมีสีหน้าคลางแคลง  คล้ายคิดเอ่ยแย้ง  แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มเอ่ยแย้งจากตรงไหนดี  เมื่อหลายชั่วยามก่อนเสียงของนายท่านคล้ายทรมานมากและก็คล้ายจะขาดใจ  แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดนางยิ่งฟังก็ยิ่งหน้าแดง  จำต้องเดินหลบออกมาจนไกล  นางทั้งไม่เข้าใจตัวเองและยิ่งไม่เข้าใจนายท่าน
เหลียนอันสุ่ยเห็นท่าทีคลางแคลงของอีกฝ่ายก็ยิ้มบางๆ  พลางกล่าวว่า
“ดูท่าข้าสมควรหาคู่ครองดีๆให้กับเจ้าซักคน”
หา  ตาของอิ๋งฮวาเบิกโต  เหตุใดกลายเป็นวกเข้าเรื่องนี้ได้ !
สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนเป็นจริงจัง  กล่าวว่า
“เจ้าติดตามข้ามานาน อายุก็ไม่น้อยแล้ว ต้องตำหนิข้าเป็นนายเลอะเลือน  ความจริงสมควรหาคนดีๆ...”
อิ๋งฮวายิ่งฟังก็ยิ่งแตกตื่น  คุกเข่าโครมลงกับพื้น  ละล่ำละลักว่า
“บ่างคิดแต่ติดตามนายท่าน  เรื่องอื่นไม่สนใจ  หากไม่มีคนชอบพอก็ไม่คิดแต่งให้กับใคร  วิงวอนนายท่าน  เรื่องหาคู่ให้บ่าวเป็นเรื่องไม่จำเป็น”
เห็นนางแตกตื่นจนหน้าถอดสี  เหลียนอันสุ่ยก็ถอนหายใจ  ตัดสินใจเลิกพูดถึงเป็นการชั่วคราว
---------------------
ล่วงเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง  งานของเป่ยชางอ๋องยังคงมากมายอย่างสม่ำเสมอ  แต่ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองกลับทำงานน้อยลง  นี่มิใช่เพราะว่าเขาเกียจคร้าน  แต่เป็นยิ่งเข้าใจงานก็ยิ่งรู้วิธีกระจายงานออกไปอย่างเหมาะสม  ประกอบกับขุนนางในราชสำนักยิ่งมาก็ยิ่งให้ความร่วมมือ  เพราะต่างก็เริ่มทราบแล้วว่ากับเจ้าแคว้นผู้นี้วิธีการดื้อแพ่งไม่มีประโยชน์ 
หากขณะเหล่าขุนนางค่อยๆยอมรับนายเหนือหัว  ความวิตกกังวลบางอย่างก็ยังวนเวียนอยู่ 

ตำหนักหลังว่างเปล่า  และไม่มีท่าทีว่าจะมีใครมาเติมเต็ม เอาเถอะ บางทีคงยังมิใช่ช่วงนี้  ทุกคนต่างเข้าใจไปเช่นนั้น  หาทราบไม่ว่ามีคนผู้หนึ่งตกลงใจอยู่นานแล้วว่าจะให้มันเป็นเช่นนี้  และคนผู้นั้นก็มั่นใจอย่างยิ่งด้วยว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าว  เพราะคนผู้นั้นคือเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน

ฝ่ายพระมาตุลาแคว้นเหลียนพักหลังๆก็วนเวียนเข้าออกโรงหมอกับหอตำรา  แม้ไม่ได้มีฐานะเป็นหมอ  แต่ก็ช่วยงานอย่างจริงจัง  เหลียนอันสุ่ยทำตามที่รับปากไว้กับฉีเซี่ยงหยวน  มิได้พบเจอกับหลันเซียงอีก  จนกระทั่งมีข่าวเงียบๆ ออกมาว่าอดีตนางบำเรอคนโปรดของฉีเซี่ยงหยวนผู้นี้กำลังจะไปจากแคว้นเป่ยชาง...
---------------------
หอสักการะสูงเสียดฟ้า  บันไดร้อยกว่าขั้นทอดตัวยาวลงมา  แต่ละขั้นใหญ่โตแข็งแกร่งดุจเดียวกับภาพลักษณ์ของแคว้นเป่ยชาง
“นี่เป็นที่แรกที่ข้าได้พบกับเขา  ตอนนั้นเขายืนอยู่บนแท่นประกอบพิธี  เป็นตัวแทนของอดีตเป่ยชางอ๋องสักการะฟ้าเพื่อให้พืชผลบริบูรณ์” ดวงตาของหลันเซียงทอดไปยังวันวานอันแสนไกล

 “แม่นางหลันเซียงจะจากไปจริงๆหรือ?” เสียงอบอุ่นนุ่มนวลดุจลมวสันต์ถามขึ้น
หลันเซียงก้มหน้ารับคำเบาๆ  ดวงตาเหลือบมองบุรุษที่มีบุคลิกเมตตาการุณย์อย่างใจลอย  เอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“ท่านจากไปพร้อมกับข้าดีหรือไม่  อยู่ที่นี่ไปจิตใจรังแต่เศร้าหมอง  อิสระเสรีเป็นสิ่งที่เราต้องไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง  ท่านเคยบอกข้าเช่นนี้ไม่ใช่หรือ”
มุมปากของเหลียนอันสุ่ยปรากฏรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็นขณะมองหญิงงามตรงหน้า  อิสระเสรีแท้จริงคือจิตใจ  ในที่สุดนางก็รู้จักปล่อยวางบ้างแล้ว  คิดพลางส่ายหัวช้าๆ
“ข้าไปไม่ได้  แต่ว่าเจ้าไม่เหมือนกัน  ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี  วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า  เจ้าเองก็มีค่านัก  อย่าทำลายคุณค่าในตัวเอง  ถ้ามีวาสนาคงได้พบกัน...”อีก  คำว่าอีกยังไม่ทันหลุดจากปาก  ร่างของหลันเซียงที่ยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงริมบันไดก็ทำท่าจะร่วงหล่นลงไปแล้ว !
ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  แววตาสงบราบเรียบของหลันเซียงก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดคลุ้มคลั่ง    หัวใจที่แหลกสลายไปแล้ว  เหมือนถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษผง  ไม่ไป?  ภาพของบุรุษหนึ่งสงบนุ่มนวลหนึ่งยิ่งใหญ่ทรงอำนาจที่ยืนเคียงกัน  พาให้สติรับรู้ของหลันเซียงกรีดเสียงร้องอย่างโกรธเคือง  ประเสริฐมาก!  ในเมื่อไม่คิดจะไปเอง  ข้าจะทำให้พวกท่านจากกันตลอดกาล
เท้าของนางขยับเข้าใกล้ริมบันไดก่อนใครจะทันสังเกต  ดวงตาหลุบต่ำสาดแววแข็งกร้าว

‘มองให้ดีเถอะฉีเซี่ยงหยวน  ข้าจะจบทุกอย่างตรงที่มันเริ่มต้นขึ้น  ข้าจะไม่ทิ้งเขาไว้ให้ท่าน  แต่จะพาเขาไปกับข้าด้วย ! ’

เหลียนอันสุ่ยโถมตัวเข้าไปอย่างเร่งร้อน  คว้าร่างบอบบางที่ส่ายโงนเงนตรงหน้าเข้ามาโดยไม่ต้องคิด  หลันเซียงที่คิดจะยกมือดึงฝ่ายตรงข้ามลงไปด้วยกันถูกแรงฉุดคว้านี้ผลักจนถลาไปเกาะกับราวบันไดด้านข้าง  แต่คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นกลับไม่มีปัญญาช่วยเหลือตัวเอง 
หลันเซียงเบิกตากว้าง  มองบันไดแต่ละขั้นกระแทกเข้ากับร่างสูงของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  หัวใจที่เคยคิดว่าแหลกสลายไปแล้วกลับแหลกสลายอีกครา 
ในวินาทีที่อีกฝ่ายร่วงหล่นลงไป  หัวใจของนางเพียงกรีดร้อง...ว่านาง...ไม่อาจสูญเสียเขา
---------------------
พายุใหญ่กระหน่ำซัดจนตำหนักเสียงวสันต์แทบพังทลาย  โทสะของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนผนึกแข็งบรรยากาศในวังหลวง  ขุนนางผู้น่าสงสารส่วนใหญ่ย่อมไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ  ส่วนต้นสายปลายเหตุที่กองรวมอยู่ที่ตำหนักเสียงวสันต์ขณะนี้ย่อมเผชิญคราเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า

“ข้าเคยสั่งแล้วใช่หรือไม่ว่าห้ามเหลียนอันสุ่ยพบกับนางอีก” รังสีอำมหิตเฉียบขาดของบุคคลกลางห้องกดหนักลงบนบ่าของหม่าหลงกับต้วนจินที่พากันคุกเข่าอยู่กับพื้น
ดวงตาทั้งสองคู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาปรากฏแววละอายใจ  ไม่มีคำพูดจะแก้ตัว  มันเป็นความผิดพลาดของพวกเขาที่ไม่เฝ้าพระมาตุลาให้ดี 
หม่าหลงกับต้วนจินไม่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยจะไปพบหลันเซียงที่หอสักการะ  เพื่อการนี้พระมาตุลาแคว้นเหลียนถึงกับใช้แผนการทำให้พวกเขาคลาดสายตาไป  หันกลับมาอีกคราคนก็ไม่อยู่แล้ว  ขณะจะออกตามหากลับได้รับรายงานในเรื่องที่หวั่นเกรง
ฉีเซี่ยงหยวนมิใช่ไม่ทราบว่าคนของตัวเองถูกพระมาตุลาเดินอุบาย  และคนที่เดินอุบายเสแสร้งแสดงละครอย่างสมจริงอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดก็คือหลันเซียง  แต่ด้วยฝีมือของสองคนนี้หากไม่ประมาทความผิดพลาดไม่สมควรเกิดขึ้น
เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่ออย่างแช่มช้าด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“หาก ‘เขา’ เป็นอะไรไป...”
“พวกเราจะขอชดใช้ด้วยชีวิต!” หม่าหลงกับต้วนจินกล่าวโดยพร้อมเพรียงหนักแน่น
---------------------
ส่วนคนที่ทราบว่าเหลียนอันสุ่ยจะไปหาหลันเซียงที่หอสักการะ  ตอนนี้ย่อมโทษตัวเองอย่างหนักหน่วง  หวังเชียนไม่ทราบโฉมหน้าที่แท้จริงของหลันเซียง  สิ่งที่เขาทำไปคือทำตามความต้องการของผู้เป็นนาย  ตอนนี้กลับรู้สึกเสียใจที่ตัวเองไม่เชื่อสัญชาตญาณของอิ๋งฮวาที่เคยบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์ไม่ดี

คนที่โทษตัวเองยังมีพระภาดาหานญื่อหลัวที่รีบรุดมาทันทีหลังเกิดเรื่อง  และแน่นอนว่าก่อนจะได้เห็นหน้าพระมาตุลาพยัคฆ์กับสุนัขป่าก็ต้องเกิดสงครามปะทะคารมไปรอบครึ่ง  ขณะนี้สงบสติอารมณ์รอฟังผลจากหมอหลวงกันอยู่คนละมุมห้อง

“เจ้าบอกว่าเหลียนอันสุ่ยรู้อยู่แล้วว่าหลันเซียงไม่ได้มาดีมาตั้งแต่ต้น ?” คำถามนี้เป็นของฉีเซี่ยงหยวน
“มิผิด  แต่นึกไม่ถึงว่าแม้จะรู้อยู่แล้ว ‘เขา’ ก็ไม่ได้ระวังตัวขึ้นเท่าไหร่เลย” รู้ทั้งรู้ว่าเหลียนอันสุ่ยกำลังเล่นกับไฟ  เขาควรจะห้ามอีกฝ่ายหนักแน่นกว่านี้ถึงจะถูก  หานญื่อหลัวคิดพลางลอบสำนึกเสียใจ
ฉีเซี่ยงหยวนสบถออกมาสองสามคำ  ภัยร้ายนี้เขาเป็นต้นเหตุ  รู้ทั้งรู้ว่าคนผู้นั้นเอะอะเป็นต้องให้อภัยผู้อื่น  ทำไมจึงไม่เฉลียวใจให้เร็วกว่านี้ว่าจะเกิดเรื่อง  ยิ่งคิดถึงผลที่อาจเป็นไปในทางเลวร้าย  เป่ยชางอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ก็นั่งไม่ติดที่
ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว  แต่ช่วงเวลาแห่งความกระวนกระวายกลับผ่านไปอย่างเชื่องช้า...
ในที่สุดหมอหลวงก็เดินออกมา  หลังฟังอธิบายอาการอย่างละเอียด  คนที่ร้อนใจทั้งคู่ก็พอจะสงบลงได้บ้าง
“...ข้าห้ามเลือดกับประคบยาไปแล้ว  อาการไม่มีอะไรอันตรายอีก  ไม่นานพระมาตุลาคงจะฟื้น  ตอนนี้ทางที่ดีอย่าไปรบกวน...เขา” เงยหน้าขึ้นมาอีกครา หมอหลวงอาวุโสก็เห็นเพียงเงาหลังของคนเป็นเป่ยชางอ๋อง
“ฉางเฟยส่งท่านหมอกับพระภาดาด้วย”
คำสั่งไล่หลังมาทำให้หานญื่อหลัวที่กำลังจะรีบก้าวตามไปทั้งฉุนทั้งขัน  มองหม่าหลง ต้วนจินที่ก้าวเข้ามาขวาง  นึกอยากจะต่อยหน้าคนบางคนซักหมัด  ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนนับว่าไวกว่าเขาก้าวหนึ่ง  แต่ก็...  มุมปากของหานญื่อหลัวปรากฏรอยยิ้ม  หากแววตากลับแปลกประหลาด

หมอหลวงอาวุโสมองบุรุษที่มีตำแหน่งไม่ธรรมดาทั้งสอง  อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขณะเดินตามหลิวฉางเฟยออกจากตำหนักไป  ต้าอ๋องที่เยือกเย็นไม่เยือกเย็น  พระภาดาผู้น่าคบหาตอนนี้กลับดูน่าหนีไปให้ไกลเป็นที่สุด  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !

ฝ่ายหานญื่อหลัวมองปราการมนุษย์ที่ขวางอยู่เบื้องหน้า  ทราบดีว่าดึงดันฝ่าเข้าไปมีแต่จะเกิดเสียงดังรบกวนคนเจ็บ  ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง  การกระทำนี้ทั้งสมกับเป็นฉีเซี่ยงหยวนและไม่สมกับเป็นฉีเซี่ยงหยวนเลย  ต้าอ๋องผู้ยิ่งใหญ่  ฉีเซี่ยงหยวนผู้เยือกเย็น  ไม่ทราบหายไปที่ไหนแล้ว  นึกถึงแววตากระวนกระวายของบุรุษผู้นั้น  หานญื่อหลัวก็แทบอยากหัวเราะออกมา  แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกอยากหัวเราะตัวเองมากกว่าอย่างอื่น  ที่อาการก็ดูจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่

นั่งลงช้าๆ  รินชาให้กับตัวเองถ้วยหนึ่ง  บุคลิกค่อยๆกลับคืนสู่ความปลอดโปร่ง  นานๆครั้งหานญื่อหลัวจะทำตัวใจร้อนวู่วาม  แต่เมื่อครู่โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองขาก็ก้าวออกไปก่อนแล้ว  หานญื่อหลัวมองชาในจอก  ไม่สนใจองครักษ์ที่ยืนขวางอยู่หน้าบานประตู  รู้ว่าตัวเองจะเข้าไปแน่  แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้  ดวงตาสีฟ้าที่ปลอดโปร่งเยือกเย็นมีแววขำเจืออยู่ลึกๆ
ฉีเซี่ยงหยวน  จอกนี้ข้าดื่มให้ท่าน  โรคที่ท่านเป็นอยู่เกรงว่าจะหนักหนาสาหัสจนรักษาไม่ได้แน่แล้ว

เพราะต่อให้หมอเทวดาก็ไม่มีปัญญาถอนฤทธิ์ของความรักฝังใจไปจากใจคน
---------------------
ทุกผู้คนต่างไม่ทราบ  คนที่ปวดร้าวใจอย่างลึกซึ้งที่สุดกลับเป็นสตรีที่มีนามว่าหลันเซียง  นางคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเสียงวสันต์เป็นเวลาหลายชั่วยามท่ามกลางสายลมหนาวสะท้าน  เท้าทั้งสองข้างแข็งชาจนขยับไม่ได้  แต่ใจนางกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า  วิงวอนต่อสวรรค์ให้พรากชีวิตของนางไปแทน

ความรักที่นางมีต่อฉีเซี่ยงหยวนเป็นความฝังใจที่ตัดไม่ขาด  ไฟแค้นที่นางมีต่อฉีเซี่ยงหยวนบดบังหนึ่งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ  มิน่าเล่าสิ่งที่นางตัดสินใจจึงมิใช่ฆ่า ‘เขา’ ให้ตาย  แต่เป็นพาเขาไปกับนางด้วย  ที่แท้ในหัวใจของนางกลับมีคนผู้หนึ่งซุกซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว  คนที่นางรักมิใช่ฉีเซี่ยงหยวนมาพักใหญ่แล้ว  แต่นางกลับใช้ความแค้นกับความฝังใจที่เข้าใจผิดว่าเป็นความรักมาทำร้ายบุรุษที่หวังดีต่อนางอย่างแท้จริง
 
‘...ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี  วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า  เจ้าเองก็มีค่านัก  อย่าทำลายคุณค่าในตัวเอง...’
นางนับเป็นบุคคลที่โง่เขลาที่สุดในหล้า  เพิ่งรู้ถึงคุณค่าของความหวังดีในตอนที่กำลังจะสูญเสียมันไป...
---------------------
ตั้งแต่เหยียบเท้าก้าวเข้ามาเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็ปราดไปที่เตียง  คนบนเตียงยังคงยังคงไม่ได้สติ  ศีรษะมีผ้าพันไว้  เหลียนอันสุ่ยหมดสติไปตั้งแต่ถูกช่วยขึ้นมาในสภาพมีโลหิตอาบย้อมไปครึ่งหน้า  แขนข้างซ้ายถูกกระแทกหัก  มีรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว 
ฉีเซี่ยงหยวนมองสีแดงเข้มที่ซึมผ่านทะลุผืนผ้าสีขาวออกมา  สีสันอันจัดจ้านบาดลึกลงในหัวใจเขา  กรีดรอยแผลเป็นทางยาวตั้งแต่มุมหนึ่งไปจรดอีกมุมหนึ่งของหัวใจจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี 

ตกบันไดหน้าหอสักการะสี่สิบกว่าขั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  ถ้าหาก  ถ้าหากบันไดทั้งร้อยกว่าขั้นไม่มีชานพัก  ถ้าหากเหลียนอันสุ่ยร่างกายอ่อนแอกว่านี้  ถ้าหากที่กระแทกมิใช่หัวไหล่ มิใช่ลำตัว แต่เป็นลำคอ...  ฉีเซี่ยงหยวนไม่กล้าคิดต่อ  เป็นครั้งแรกที่หวาดกลัวจนไม่กล้าคิดต่อ  อ้อมกอดที่โอบคนบนเตียงไว้กระชับแน่นเข้า  สั่นสะท้านโดยไม่อาจระงับ

หนี้รักที่เขาก่อขึ้นกลับเป็นเหตุทำร้ายคนสำคัญสองคนของเขาจนเกือบถึงแก่ชีวิต  พอแล้ว  พอแล้วจริงๆ  ฉีเซี่ยงหยวนวิงวอนต่อสวรรค์  หากต้องการให้เขาชดใช้  ขออย่าได้เรียกคืนไปด้วยวิธีนี้  เขาไม่อาจสูญเสียคนผู้นี้ไป  ไม่อาจเด็ดขาด!  เพียงแค่คิดว่าชีวิตหลังจากนี้จะไม่มีคนตรงหน้า  หัวใจทั้งดวงก็เย็นเยือกราวกับหล่นลงไปในหล่มน้ำแข็งแห่งความอ้างว้าง

อ้อมกอดที่กระชับแน่นเข้าปลุกคนที่อยู่ในรอยต่อเลือนรางของการสลบไสลขึ้นมา  เปลือกตาของเหลียนอันสุ่ยกระพริบถี่  ลืมขึ้นมาอย่างแช่มช้า  พอเห็นว่าเป็นใครก็เรียกขานออกไป
“ต้าอ๋อง...?”
ฉีเซี่ยงหยวนได้ยินเสียงอันคุ้นเคยโทสะก็ลุกโหม
“ท่านเคยรับปากข้าว่าจะไม่พบกับนางอีก  แล้วนี่มันอะไรกัน! หานญื่อหลัวบอกว่าท่านรู้แต่แรกว่านางไม่เคยมาดี  แต่ก็ยังไปพบนางอยู่เรื่อย  ท่านต้องการให้คนทั้งหล้าล้วนติดค้างท่านหรืออย่างไร !”  อภัยให้ผู้อื่นครั้งแล้วครั้งเล่า  พาตัวเองไปเดือดร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า  สิ่งที่พระมาตุลาผู้นี้ทำพาให้ฉีเซี่ยงหยวนทั้งปวดหัวทั้งมีโทสะ  ที่น่าขำก็คือตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เหลียนอันสุ่ยให้อภัยมาโดยตลอด
“ท่านเคยคิดถึงเหลียนจิ้งเต๋อบ้างหรือไม่  หากไม่มีท่านเด็กคนนั้นจะอยู่ได้อย่างไร!” น้ำเสียงต่อว่าแต่จิตใจกลับปวดร้าว  อำนาจของข้าแม้เพียงพอจะปกป้องท่าน  แต่ถ้าท่านไม่ให้ความร่วมมือ  ทุบทำลายปราการออกไปเอง  แล้วข้าจะปกป้องท่านได้อย่างไร !
เหลียนอันสุ่ยฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ด้วยความนิ่งอึ้ง  ยังไม่ทันจะรู้สึกตัวตื่นเต็มที่  ริมฝีปากก็ถูกบดขยี้ราวกับคนฝากรอยประทับมีความคับแค้นอันยิ่งใหญ่  อวี้เฉียนคงต้องเคยแทบคลั่งใจตายเพราะบุรุษผู้นี้เป็นแน่  ไม่ว่าใครที่มาหลงรักพระมาตุลาแคว้นเหลียนนับว่าชีวิตถูกลิขิตมาให้เดือดร้อนเป็นกังวล  กับคนที่ดูแลผู้อื่นดีอย่างยิ่ง  แต่กลับไม่ดูแลตัวเองเอาเสียเลย!

“ถ้าครั้งหน้าท่านยังปล่อยให้คนอื่นทำร้ายตัวเองอีก  ดูซิว่าข้าจะลงโทษท่านยังไง !” ถ้อยคำข่มขู่ดังอยู่ข้างหู  ในความงงงันเหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าบางอย่างในตัวเขากำลังสั่นคลอน...
---------------------


ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 34
«ตอบ #95 เมื่อ03-09-2014 17:07:50 »


บทที่ 34 เพียงพอ

หน้าตำหนักเสียงวสันต์
 “แม่นางหลันเซียง  คุกเข่าอยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร  ท่านกลับไปเถิด”
“แม่ทัพหลิว  ‘เขา’ ฟื้นหรือยัง  เขา...เขาจะฟื้นใช่หรือไม่” น้ำเสียงของหลันเซียงเบาหวิว  ดวงตาบวมช้ำเต็มไปด้วยคราบน้ำตามีแววสิ้นหวังเลื่อนลอย  ปราศจากความงามอันสามารถทำให้ผู้คนหลงใหลคลั่งไคล้ราวแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน
หลิวฉางเฟยเห็นท่าทีของหลันเซียง  ใจแม้เวทนาอยู่บ้าง  แต่ก็ทราบว่าสตรีนางนี้อาจมีลูกไม้อื่นอีก  สุดท้ายจึงกล่าวว่า
“ไม่ว่าเขาจะฟื้นหรือไม่ฟื้นก็ไม่มีประโยชน์  ต่อให้เขาฟื้นแล้วท่านก็ไม่มีทางได้พบเขาอีก  กลับไปเถิด”

ดวงตาที่คล้ายแช่แข็งอยู่ในความสิ้นหวังของหลันเซียงค่อยๆมีประกายขึ้นทีละน้อย  สภาพนางในตอนนี้เหมือนคนกำลังจะจมน้ำ  ขอเพียงได้ยินความหวังเพียงใยเดียว ก็จะรีบคว้ากุมไว้โดยไม่สนใจทุกสิ่ง
 “ท่านว่าเขาฟื้นแล้ว? เขาฟื้นแล้วใช่หรือไม่...ข้าจะไปดูเขา!” น้ำเสียงของนางมีแววยินดี  คิดโถมเข้าไป  แต่ขาทั้งคู่ที่คุกเข่าอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นเสียดกระดูกมาเป็นเวลานานกลับทนทานไม่ไหว  ต้องเสียหลักทรุดล้มลงไปกองกับพื้น
สีหน้าของหลันเซียงปรากฏแววร้อนรน  ยังคิดกระเสือกกระสนเข้าไป  แต่กลับถูกองครักษ์คุมตัวไว้อย่างแน่นหนา

“ปล่อยข้า!...ได้โปรด  ข้ารู้พระมาตุลาไม่อยากเห็นหน้าข้า  แต่ข้าต้องเห็นเขา!  ข้าต้องเห็นว่าเขาฟื้นแล้ว  ขอแค่นิดเดียว  แค่นิดเดียว...” น้ำเสียงของนางเจือแววสะอื้น  น้ำตาที่เพิ่งแห้งไปของใหม่ไหลมาทับถมกับของเก่า  ราวตะกอนแห่งความเศร้าเสียใจที่ไม่มีทางจางหายไปกับกาลเวลา 
นางนั่งอยู่กับพื้น  สูญเสียความถือตัวที่เคยมี  ต่ำต้อยและอับจนหนทาง  ในใจมีแต่ความสับสนเจ็บปวด  หลันเซียงหันไปคว้าชายเสื้อหลิวฉางเฟย  กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านว่า
“แม่ทัพหลิว  ข้ารู้  ข้าเป็นผู้หญิงไม่ดี  ข้ามันคนไม่ดี แต่ขอแค่ครั้งเดียว  ให้ข้าได้เห็นเขา  แล้วข้าจะไม่มายุ่งกับชีวิตพวกเขาอีกเลย  ข้าวิงวอนท่าน...วิงวอนท่าน  หลังจากข้าได้เห็นเขาฟื้นแล้วพวกท่านจะฆ่าข้าเลยก็ได้  ให้ข้าทำอะไรก็ได้  แต่ข้าต้องเห็นเขา...ข้าต้องเห็นเขาจริงๆ”
“แม่นางหลันเซียง  มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้  ข้าจะให้คนพาท่านกลับไป”
“ไม่!  ข้าไม่ไป  ปล่อยข้า!  พวกท่านปล่อยข้า  ข้าไม่ไป” ยื้อยุดกันอยู่เช่นนั้น  หลันเซียงดิ้นรนสุดกำลัง  แต่ร่างกายของนางอ่อนแรงจากการถูกลมหนาวพัดโกรกมาหลายชั่วยาม  สุดท้ายทำได้เพียงห่อตัวลง  ซบใบหน้ากับพื้นหินเย็นเฉียบ รู้สึกราวตัวเองเป็นใบไม้ที่แห้งกรอบในฤดูสารท 

นางเพียงหวังตัวเองสามารถเป็นใบไม้  ใบไม้ไม่มีจิตใจ  ไม่มีหัวใจก็ไม่ต้องชิงชัง  ไม่ชิงชังก็จะไม่ทำร้ายผู้อื่น  กับคนที่ไขว่คว้าความรักมาชั่วชีวิต  ตอนนี้นางเพียงอยากตายไปเงียบๆ  เป็นใบไม้ใบหนึ่งที่ไม่มีน้ำหนักพอจะทิ้งรอยจำไว้ในหัวใจใคร  เพราะนางสกปรกเกินกว่าจะทิ้งรอยไว้ในหัวใจของ ‘เขา’
---------------------
ด้านในตำหนักเสียงวสันต์มีบรรยากาศที่เงียบสงบ
ฉีเซี่ยงหยวนมองเหลียนอันสุ่ยที่ซบอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย  โทสะกับความปวดร้าวจางหายไปไม่น้อย  โอบกอดอย่างระมัดระวัง ไม่ให้กระทบให้คนเจ็บระบมหนักกว่าเดิม  ซึมซับเสียงลมหายใจเพียงเพื่อจะย้ำกับตัวเองว่ายังมิได้สูญเสียไป  ในชั่วขณะนั้นฉีเซี่ยงหยวนพลันพบว่าตัวเองไม่ต้องการสิ่งใดอีก  แค่เหลียนอันสุ่ยยังอยู่กับเขา  ยังอยู่ข้างกายเขาก็พอ

อ้อมแขนแข็งแกร่งมั่งคงถ่ายทอดความห่วงใย  ดวงตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนมีแววสับสนน้อยๆ  แต่ก็ยินยอมปล่อยตัวเองให้จมไปในความรู้สึกปลอดภัยนี้ 
‘ข้าอยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’
ไม่จำเป็นหรอก  ไม่จำเป็นเลย  เพียงแค่อ้อมกอดนี้ของท่าน  เพียงแค่ความห่วงใยนี้ของท่าน  ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับมาจนเพียงพอแล้ว

“หลันเซียง  นาง...เป็นอย่างไรบ้าง?”
“...นางไม่ได้เป็นอะไร  ปลอดภัยดี  ตอนนี้ท่านสมควรห่วงตัวเองมากกว่าอย่างอื่น” ท่าทีฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้กรุ่นโกรธเหมือนเมื่อครู่แต่ปลายเสียงยังติดห้วนสั้น  เห็นได้ชัดว่ามีแววไม่ยินดีกับหัวข้อสนทนา

 “ต้าอ๋อง  แต่ข้าไม่สบายใจจริงๆ  นางถึงกับตัดสินใจจะละทิ้งชีวิตตัวเองไปกับข้า  คนต้องเจ็บปวดระดับใดกัน สิ้นหวังระดับใดกัน  จึงตัดสินใจละทิ้งชีวิตตัวเอง” น่ากลัวบาดแผลในใจหลันเซียงยังหนักหนากว่าบาดแผลบนร่างเขามากนัก ยิ่งขบคิดทบทวนเหลียนอันสุ่ยก็ยิ่งแน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุ

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลง  อารมณ์ที่พยายามกดลงไปเพราะไม่ต้องการใส่อารมณ์กับคนตรงหน้าพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างชัดเจน  ไม่บ่อยนักที่ฉีเซี่ยงหยวนจะต้องสะกดคำว่าอดทน  คนที่เขาเกรงใจมีไม่มาก  คนที่เขาใส่ใจยิ่งมีน้อยลงไปอีก  คนส่วนใหญ่เพียงกลัวตอแยเขามีโทสะ  แต่ดูเหมือนจะมีคนไม่หวาดกลัวอยู่ผู้หนึ่ง  และคนผู้นั้นพาลเป็นคนที่เขาใส่ใจยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง
หัวร่อไม่ออกร้องไห้ไม่ได้  หากยังคงไม่อาจใส่อารมณ์กับคนข้างกาย  ได้แต่กล่าวด้วยคำพูดช้าๆชัดๆคล้ายพยายามปลุกให้ใครบางคนตื่นเสียที

“นางใช้ชีวิตตัวเองแลกกับชีวิตท่าน!  จงใจทำให้ข้าดู  ต้องการให้ข้าจดจำไปชั่วชีวิต  ให้ข้าสำนึกเสียใจไปชั่วชีวิต !” ความเจ็บปวดที่หลั่งไหลออกมาจากร่างสูงทำให้เหลียนอันสุ่ยอึ้งงันไป  ได้แต่มองแววตาดำสนิทคู่หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยถ้อยคำนับหมื่นพัน  ปลายนิ้วสากลูบคลำใบหน้าหมดจดสั่นระริกแผ่วเบา  เกือบไปแล้ว  นางเกือบทำสำเร็จไปแล้ว  เหลียนอันสุ่ย  ท่านไม่เข้าใจจริงๆหรือ  ว่าข้า...

น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนสงบราบเรียบ  แต่กลับทำให้ใจของคนฟังรู้สึกราวกับมีเข็มนับพันค่อยๆทิ่มแทงเข้ามาทีละเล่ม 
“ท่านมองด้านนี้ของนางไม่ออกข้าไม่โทษว่าท่าน  ข้อแรกเพราะท่านไม่รู้จักนางเท่าข้า  ข้อที่สองเพราะท่านไม่เห็นแก่ตัว  แต่ทั้งข้าทั้งนางต่างเป็นคนเห็นแก่ตัว  เราทั้งคู่ต่างทราบดีว่าจะทำให้คนที่เราชิงชังเจ็บปวดไปจนวันตายได้อย่างไร” ไม่มีใครซาบซึ้งกับความเหี้ยมโหดของหลันเซียงดีไปกว่าฉีเซี่ยงหยวนอีกแล้ว  การใช้ชีวิตชำระหนี้แค้น  สลักรอยจำที่ลึกที่สุดเอาไว้ในหัวใจคน  สำหรับกับนางแล้วทางเลือกนี้เดินไม่ยากเลย  คุ้มค่าอย่างยิ่ง  เจ็บปวดและเด็ดขาดสมเป็นผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อว่า
“ที่ข้าไม่ให้นางเข้าใกล้ท่าน เป็นเพราะกลัวนางทำร้ายท่าน  เพราะนางต้องทำแน่  ที่นางแค้นคือข้าไม่ใช่ท่าน  ที่นางทำร้ายท่านก็เพื่อทำร้ายข้า  หรือท่านยังไม่เข้าใจว่าตัวเองสำคัญต่อข้าขนาดไหน ?”

เหลียนอันสุ่ยสะท้านขึ้นคราหนึ่ง  ก้มหน้าลง  เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแตกตื่นทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง มองเห็นแต่ความเจ็บปวดของหลันเซียง  แต่กลับละเลยคนๆหนึ่งไปโดยไม่รู้ตัว  เขาไม่ได้คิด  อันที่จริงไม่กล้าแม้แต่จะคิด  ว่าบุรุษตรงหน้ารู้สึกอย่างไรต่อเขากันแน่  ยินยอมปล่อยให้มันคลุมเครือต่อไป  จะได้ไม่ต้องสมหวังหรือผิดหวัง  ไม่ต้องครุ่นคิดกังวลอะไรทั้งนั้น  รู้เพียงตัวเองรู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่ายก็พอ

ฉีเซี่ยงหยวนมองพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ลอบถอนหายใจ  ทราบว่าถ้าหากไม่ให้เหลียนอันสุ่ยพบหลันเซียง  คนที่ชอบเป็นห่วงผู้อื่นคนนี้  ไม่ว่าอย่างไรก็คงยังไม่สบายใจอยู่ดีนั่นเอง ใจแม้ไม่เห็นด้วยแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าจะให้ท่านพบนางก็ได้  แต่เป็นครั้งสุดท้าย  และต้องมีข้าอยู่ด้วย”

เหลียนอันสุ่ยที่ซบอยู่กับบ่าหนาเงยหน้าขึ้นมาทันที  ดวงตาเจือแววยินดีที่ปิดไม่มิด
ฉีเซี่ยงหยวนเบือนหน้าหนี  ไม่ต้องการจะมองแววยินดีที่ไม่ได้มีเพื่อเขา  ทราบว่าตัวเองสามารถถูกความสามารถเฉพาะตัวในการห่วงผู้อื่นแต่ไม่ห่วงตัวเองของเหลียนอันสุ่ยกระตุ้นให้โมโหอีกครา  หลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยงเสียให้มาก  หันไปออกคำสั่ง
“ฉางเฟย  นางยังคุกเข่าอยู่ด้านนอกหรือไม่  ...ให้นางเข้ามา”

“ท่าน...ให้นางคุกเข่าหรือ? ” คำถามของเหลียนอันสุ่ยมีแววไม่แน่ใจ  อากาศในห้องขนาดมีเตาผิงยังเย็นเยือก    อากาศข้างนอกต้องหนาวเหน็บยิ่งกว่าคมดาบ  ผู้หญิงตัวคนเดียวจะทนทานได้อย่างไร !
“ข้าไม่ได้ให้นางคุกเข่า  นางคุกเข่าของนางเอง  ให้คนพาตัวกลับไปก็ไม่ยินยอม  ต้องการจะพบหน้าท่านให้ได้” ฉีเซี่ยงหยวนอธิบายตามตรง ใจเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะใส่ใจด้วยซ้ำว่าเหลียนอันสุ่ยเชื่อถือคำพูดเขาหรือไม่  ...เจ้ายังไม่เหนื่อยอีกหรือหลันเซียง กับการทำร้ายกันและกันเช่นนี้

มือเรียวยาวข้างที่ยังใช้การได้ดีสอดเข้าไปกุมมือใหญ่  เขาไม่ควรถามคำถามเมื่อครู่ บางทีคนที่เจ็บปวดกับเรื่องนี้ที่สุดแต่ไม่เคยแสดงออกเลยคือบุรุษตรงหน้าเขานี่เอง  หลันเซียงทำร้ายคนผู้นี้มากมาย  อาจมากกว่าที่เหลียนอันสุ่ยเคยรู้เสียอีก  ความเคียดแค้นรุนแรงเป็นยิ่งกว่าโรคภัยเรื้อรัง  เมื่อสบโอกาสเป็นต้องกรีดทำร้ายเป้าหมายของมันคราหนึ่ง  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่เคยบอกเล่าหรือบริภาษนางแรงๆให้เขาได้ยินแม้แต่ครั้งเดียว  ...เพราะฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่คนเช่นนั้น  เขาไม่ควรใช้อวี้เฉียนมาตัดสินฉีเซี่ยงหยวน  เพราะคนสองคนนี้แท้จริงไม่เหมือนกันเลย

มือข้างนั้นคล้ายกำลังบอกเบาๆว่า ‘ข้าขอโทษ’   บอกเบาๆให้เขาใจเย็นๆ  แฝงความเชื่อใจบางเบาที่ไม่ได้เอ่ยออกมา  ฉีเซี่ยงหยวนพบว่าตัวเองสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ  มุมปากถึงกับแทบมีรอยยิ้มเมื่อรู้สึกได้ว่าพระมาตุลาผู้นี้มักสามารถใช้วิธีง่ายๆที่ทำให้ผู้คนยกโทษให้กับเขาได้ทุกเรื่องราว  ตอนนี้ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจแล้วว่าตัวเองกำลังเดินซ้ำรอยอวี้เฉียนขุนพลใหญ่แคว้นเหลียนที่เขาฆ่าตายกับมือผู้นั้นหรือไม่  เพราะมันธรรมดาเหลือเกินที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อคนเช่นนี้  คนที่เข้าใจเขาได้อย่างง่ายดาย  คนที่ไม่ค่อยจริงใจกับตัวเองแต่มักจริงใจกับผู้อื่นเหลือเกิน
------------------
 “พระมาตุลา” เสียงสั่นๆของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น
ฉีเซี่ยงหยวนปล่อยตัวเหลียนอันสุ่ย  ยืนขึ้นช้าๆ  ใช้ร่างตัวเองขวางระหว่างหลันเซียงที่อยู่หน้าประตูกับเหลียนอันสุ่ยที่นั่งอยู่บนเตียง
หลันเซียงไม่ได้มองท่าทีปกป้องอย่างชัดเจนของฉีเซี่ยงหยวน  จิตใจนางจดจ่ออยู่กับบุรุษผู้เดียว  หลิวฉางเฟยกับหม่าหลงยึดแขนนางเอาไว้คนละข้างกันนางก่อเหตุอะไรขึ้นมาอีก  ส่วนหวังเชียนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมาโดยตลอดก็เดินตามเข้ามาด้วย  จับตาดูร่างบอบบางด้วยระยะห่างออกไปสองก้าว  เขาจะไม่ผิดพลาดซ้ำอีกเด็ดขาด

ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองผมเผ้ายุ่งเหยิงกับดวงตาบวมช้ำของหลันเซียง  เมื่อพบว่าบนร่างของนางไม่ได้มีบาดแผลอื่นอีกก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง  ถึงแม้สภาพของนางไม่ดีนัก  แต่เหลียนอันสุ่ยก็ทราบว่านี่นับว่าดีมากแล้ว  แววอำมหิตในดวงตาฉีเซี่ยงหยวนเมื่อครู่น่ากลัวอย่างยิ่งจริงๆ จนเหลียนอันสุ่ยเกรงว่าหากสติไม่ได้ยั้งอีกฝ่ายไว้  ไม่ว่าอะไรก็คงถูกกวาดพัดจนพินาศไปทั้งแถบ
ส่วนหลันเซียงกลับเหม่อมองผลงานตัวเองที่ทิ้งรอยไว้เป็นผ้าพันแผลกับรอยฟกช้ำ  จิตใจราวกับถูกฟาดโบยด้วนแส้เส้นหนึ่งที่เรียกว่าความรู้สึกผิด  ชีวิตนางทำเรื่องไม่ดีมาไม่น้อย  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเสียใจกับความเหี้ยมโหดของตัวเอง  หลันเซียงรู้ตัวว่าไม่ใช่คนนิสัยสะอาดบริสุทธิ์  แต่ไม่เคยนึกชิงชังตัวเองเท่านี้มาก่อน  นางนับว่าน่าชิงชังอย่างแท้จริง  สมควรแล้วที่จะไม่มีใครรัก  ...นางเป็นอะไรไปแล้ว  เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?  ทำตัวน่ารังเกียจขนาดนี้ได้อย่างไร ?

หากความรู้สึกผิดเป็นแส้เส้นหนึ่งที่สามารถเรียกสติคน  ความรักก็เป็นแส้เส้นหนึ่งที่ฟาดโบยผลักดันคนๆหนึ่งไปจนสุดปลาย
ดวงตาของหลันเซียงพร่ามัว  ริมฝีปากสั่นระริก
“ท่านฟื้นแล้ว...ดีเหลือเกิน  ดีจริงๆ” ดีจริงๆที่ท่านยังไม่ถูกผู้หญิงต่ำช้าคนนี้คร่าเอาอะไรไป  เรียวปากเหยียดเป็นรอยยิ้ม  หยาดน้ำตาแห่งความยินดีร่วงรินลงมา
ทุกคนในห้องอึ้งงันไปกับท่าทีของหลันเซียง  ไม่แน่ใจว่านางกำลังเสแสร้งอยู่หรือไม่  เพียงแต่รอยยิ้มของนางครั้งนี้กลับไม่น่าดูเลย  มีความโล่งใจ  มีความขมขื่น  มีความพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ทำให้มันดูบิดเบี้ยวไม่สวยงาม  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับสัมผัสความยินดีจากรอยยิ้มของนางได้เป็นครั้งแรก  หลันเซียงแม้เคยยิ้มอยู่หลายครั้ง  แต่รอยยิ้มเหล่านั้นไม่เคยออกมาจากหัวใจ  ความรู้สึกที่แท้จริงบางครั้งก็ไม่สวยงามเท่ากับการเสแสร้งแกล้งดัด  เพียงแต่มันมีความหมายยิ่งกว่า

เมื่อพบว่าสายตาของพระมาตุลายังจับจ้องตัวเอง  ดวงตาของหลันเซียงพลันหลุบลง  ไม่อาจสบตาเหลียนอันสุ่ยอีกต่อไป  ตั้งแต่นางก้าวเข้าใกล้ขอบบันไดก้าวนั้น  หลันเซียงก็รู้ว่าชั่วชีวิตนี้นางไม่มีทางกล้าสบสายตากับเขาอีกต่อไป  ขบริมฝีปาก  ไหล่ห่อลงด้วยความละอาย ราวพยายามปิดบังความน่ารังเกียจในตัวเอง  เขาคงรู้แล้ว  เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ  ตัวตนที่แท้จริงของนาง...

“ท่าน  ท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ใบหน้างามก้มต่ำ  มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ  เมื่อครู่นางตะเกียกตะกายจนเล็บครูดถลอกเลือดออกซิบทั้งมือเพื่อเข้ามาในนี้  แต่ตอนนี้หลันเซียงกลับเหลือเพียงความรู้สึกอยากหนีหน้าไป  พูดต่อด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “ข้าควรกลับไปเสียที...ควรกลับไป...” พูดจบก็หมุนตัวยินยอมให้หม่าหลงพาตัวออกไป

ราวอากาศขาดห้วง  ทุกคนในห้องต่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น  ได้แต่มองตำแหน่งที่เคยเป็นที่ยืนของหลันเซียงซึ่งบัดนี้ว่างเปล่าอย่างตะลึงงัน  หัวใจหนักอึ้งอย่างประหลาด  ราวตะกอนแห่งความเศร้าโศกยังตกค้างอยู่บนนั้น  ไม่มีใครพูดอะไรออกอยู่พักใหญ่
“...คิดไม่ถึง  แค่ได้เห็นหน้าท่านนางก็ยินยอมจากไปจริงๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้น  หานญื่อหลัวที่ใครก็ไม่ทราบว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เป็นคนกล่าววาจา  ท่าทีกอดอกนิ่งเปลี่ยนเป็นเดินเข้ามาหา  ฉีเซี่ยงหยวนคิดเข้าไปขวางไว้  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับเรียกอีกฝ่ายเสียก่อน
“พระภาดา  ท่านก็มาหรือ ?”
“ย่อมต้องมา  อย่างน้อยท่านก็เป็น...เพื่อนข้า” พูดพลางเหลือบมองไปทางร่างกำยำทรงอำนาจที่คล้ายกับมีรังสีไม่เป็นมิตรแผ่ออกมา  ตอนแรกกะใช้คำว่า ‘คนสำคัญ’  แต่ไม่ดีกว่า  หากยั่วโมโหมากเกินไปอาจมีคนสติแตกได้
“ขอโทษที่ทำให้ยุ่งยาก” เหลียนอันสุ่ยพูดอย่างจริงใจ
“จะขอโทษทำไม  คนกันเอง” หานญื่อหลัวพูดพลางยิ้มน้อยๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม  หากหานญื่อหลัวให้ความสนใจฉีเซี่ยงหยวนซักหน่อยจะได้เห็นคนกัดฟันกรอดแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนเริ่มเห็นด้วยกับบุรุษอื่นๆในแคว้นเป่ยชาง  โฉมหน้านี้ของหานญื่อหลัวใช่หล่อเหลาจนเกินพอดีไปหน่อยหรือไม่ !
---------------------
เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั้งตำหนักเสียงวสันต์  ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อออออ!  ท่านบาดเจ็บหรือ  ท่านวางใจ  ท่านต้องไม่เป็นไร  จิ้งเอ๋ออยู่นี่แล้ว!” เสียงดังนำมาก่อน  เจ้าของเสียงตามมาถึงก็พรวดพราดไปทีเดียวถึงขอบเตียง  แม้ท่าทีจะตื่นตระหนก  แต่คำพูดนับว่าคัดลอกมาอย่างถูกต้องทุกกระบวนความ  ทำให้คนบนเตียงที่ชันตัวขึ้นอย่างตกใจอดขำไม่ได้  เห็นได้ชัดว่าบุตรชายเขาจดจำคำพูดเมื่อตอนที่เขาใช้ปลอบตัวเองตอนป่วยไข้ได้แม่นยำทีเดียว

“ท่านพ่อของเจ้าบาดเจ็บ  กระทบกระเทือนมากไม่ได้” เสียงเรียบนิ่งดังมาจากเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล  ทำให้เหลียนจิ้งเต๋อที่กำลังคว้ามือของบิดาขึ้นมาเขย่าชะงักไป  หันขวับก็เห็นบิดาบุญธรรมผู้ทรงอำนาจที่ถูกเขามองข้ามหัวไปโดยสมบูรณ์แบบกำลังนั่งอ่านฎีกาอยู่อีกด้านเงียบๆ  บางทีคงจะเงียบเกินไปเมื่อครู่สายตาเหลียนจิ้งเต๋อจึงเห็นอีกฝ่ายกลมกลืนไปกับเสามุมห้องเสียนี่  เหลียนจิ้งเต๋อรีบยกมือคารวะ  คารวะเสร็จก็ไม่สนใจอะไรอีก  เบียดตัวเองนั่งขึ้นไปบนเตียงสอบถามอาการบิดาอย่างใกล้ชิด
รัชทายาทแคว้นเป่ยชางที่เดินตามหลังสหายเข้ามาเสียอีกที่ชะงักไปนาน  พระบิดาบุญธรรม?  ประคองมือคารวะ  สอบถามอาการคนป่วยสองสามประโยค  จากนั้นรัชทายาทวัยเยาว์ก็ไปยืนสงบรอเพื่อนร่วมเรียนอยู่อีกด้านอย่างรู้มารยาท...อันที่จริงเขาคงไม่สามารถถามได้มากกว่านั้นด้วย  เพราะสหายที่ดีย่อมไม่แย่งสหายกล่าววาจา  ตั้งแต่เหลียนจิ้งเต๋อเข้ามาในห้องก็ถาม ถาม ถาม ไม่หยุด  ท่านพ่อจับตะเกียบสะดวกหรือไม่  ยกกาน้ำชาได้หรือไม่  ขึ้นบันไดลำบากไหม  เปลี่ยนชุดเองยังได้อยู่หรือเปล่า  สารพัดคำถามนู่นนี่  ละเอียดจนคล้ายละเอียดเกินไปแล้ว

ฉีเซี่ยงหยวนรับฟังจนขมวดคิ้ว  คำถามมากมายเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงแต่กลับไม่ครอบคลุมซักนิด  ถ้ายังปล่อยให้ถามต่อไปเรื่อยๆ สามวันสามคืนเกรงว่าไม่หมดสิ้น  เขาไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเหลียนอันสุ่ย  แต่เมื่อเหลือบขึ้นไปเห็นแววตาที่มีความสุขของคนบนเตียงก็ตัดสินใจปล่อยไปอีกซักพัก  ดวงตาทรงอำนาจวกกลับมาสบกับสายตาสงสัยคู่หนึ่งซึ่งลอบจับตามองเขาอยู่นานแล้ว

รัชทายาทวัยเยาว์รีบหลุบตาลงต่ำเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมอง  หากเมื่อความสนใจของพระบิดาบุญธรรมย้อนกลับไปที่ฎีกา  คนลอบมองก็แอบมองอีกครั้ง  คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย  พระบิดากับพระมาตุลาเหตุใดจึง...

เสียงโหวกเหวกดังอยู่ทางด้านหนึ่ง  อีกด้านกลับเป็นการลอบจับสังเกตอย่างเงียบเชียบ  ภาพที่ตัดกันอย่างรุนแรง  ศักดิ์ฐานะที่ตัดกันอย่างรุนแรง  คนเดียวที่รู้ทุกอย่างแต่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจคือฉีเซี่ยงหยวน  ซักพักบุคคลที่ทรงศักดิ์สูงสุดในห้องจึงกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดพวกเจ้ามีเรียนมิใช่หรือ  ยังไม่รีบไปตอนนี้จะสายแล้วนะ” คำเตือนนิ่งๆขณะดวงตาเรียบเฉยยากจะอ่านยังจับอยู่ที่อักษรบนฎีกา  รัชทายาทซึ่งเฉลียวฉลาดตลอดมารีบกระตุกชายแขนเสื้อสหายร่วมอาจารย์เดียวกัน  แล้วเด็กสองคนก็พากันออกไป
ฉีเซี่ยงหยวนเองก็ลุกขึ้น  เขายังมีงานต้องไปทำ  แต่ที่นั่งอยู่คือรอจัดการให้เด็กทั้งสองออกจากห้องไปก่อนจึงจะวางใจ  ดวงตาดำสนิทหันไปมองเหลียนอันสุ่ยพลางกล่าวช้าๆว่า
“เมื่อครู่ข้าไตร่ตรองดูแล้ว  ในเมื่อท่านไม่อยากให้ข้าฆ่านาง  ท่านแขนซ้ายหัก  ก็หักแขนของนางข้างหนึ่งแล้วค่อยปล่อยไปแล้วกัน”
“นั่นจะได้อย่างไร !”
“มีอะไรไม่ได้  นางทำร้ายคนสำคัญของข้าสองครั้งแล้ว  นางสมควรได้รู้ว่านางไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเฉียบขาด
“แต่นางเป็นคนรักเก่าของท่าน”
“หากไม่คิดถึงข้อนั้น  และหากนางไม่ใช่อิสตรี  ข้าให้นางตายไร้ที่ฝังกลบไปนานแล้ว” พูดพลางโน้มใบหน้าจ้องลงไปในดวงตาคู่งาม  กล่าวต่อช้าๆว่า “ข้าไม่ใช่คนสามารถอภัยให้กับคนอื่นได้ง่ายๆเช่นท่าน  เป่ยชางเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน  วิธีลงทัณฑ์เช่นนี้ไม่นับว่าโหดร้าย”
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยไม่มีความหวาดกลัว  เขาเพียงกำลังเจ็บปวดใจเพื่อผู้อื่น  เป็นคนสองคนที่ความจริงไม่สมควรโหดเหี้ยมต่อกันและกันได้ถึงเพียงนี้
“ทำไมระหว่างพวกท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
“ท่านอยากรู้จริงหรือ ?” ท่าทีนิ่งรอของคนฟังทำให้ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อว่า “นาง...คิดฆ่าแม่นมของข้า”
ที่แท้คนสำคัญที่ท่านพูดถึงก็คือ...
“หลันเซียงเข้าใจว่าแผนการไม่ใครล่วงรู้  หาทราบไม่ว่าที่จริงเป็นเพราะข้าทราบอยู่ก่อนจึงไม่เปิดโอกาสให้นางลงมือ”
 “ทำไม...”
“...นางกับแม่นมตู้ไม่ถูกกัน  แม่นมตู้คัดค้านเรื่องนางมาโดยตลอด”
มิใช่ ทำไม...นางจึงขุดหลุมฝังตัวเองเช่นนี้ !  เหลียนอันสุ่ยแทบไม่อาจทนฟังต่อไป  บางที่หลันเซียงคงรู้สึกว่าสถานะของนางไม่มั่นคง  แต่นางกลับไม่รู้เลย...วิธีการเช่นนี้ไม่เพียงไม่ได้มา  ทั้งยังต้องสูญเสียไป

“เมื่อหลันเซียงคิดฆ่าแม่นมของท่าน  ที่นางสูญเสียไปคือท่าน  ที่นางจ่ายออกไปคือความเชื่อถือที่ท่านมีต่อนาง  ครั้งนี้หลันเซียงคิดฆ่าข้า  ท่านเห็นแววตาของนางหรือไม่  ที่นางสูญเสียไปคือตัวนางในสายตาของนางเอง  เซี่ยงหยวน พอเถอะ  ข้าไม่ต้องการให้ท่านเจ็บปวดเพราะนางไปมากกว่านี้  นางเองก็เจ็บปวดไม่น้อยแล้ว  นางทำร้ายท่าน  ท่านทำร้ายนาง  ติดค้างกันไปชดใช้กันมา  เมื่อใดจะจบสิ้น” น้ำหนักของทุกคนที่ท่านฆ่าล้วนแบกรับอยู่ในหัวใจของท่าน  ข้าไม่อยากเห็นท่านเจ็บปวดเพราะนางอีกแล้ว  มือเรียวยาวโน้มใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้  เรียวปากบางเลื่อนขึ้นไปแตะแก้มสากแผ่วเบา  ลมหายใจอุ่นไล้ดวงหน้าเครียดขรึมขณะกล่าว
“ท่านเคยบอกว่าข้าเป็นคนสำคัญของท่าน  ถ้าอย่างนั้น...เห็นแก่ข้าได้ไหม  ปล่อยนางไปเถอะ”

ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งงันไป  สุดท้ายถอนหายใจยาว  ใช้ปลายนิ้วกร้านสางผมนุ่มสลวย
“ท่านมีวิธีได้ในสิ่งที่ท่านต้องการเสมอเลยหรือ” ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าตัวเองพ่ายแพ้ตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘เซี่ยงหยวน’ แล้ว...อยากจะฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นร้อยเป็นพันรอบก็ไม่เบื่อหน่าย
“ก็ได้  ข้ารับปากท่านก็ได้” น้ำเสียงมีแววอ่อนใจ  คิดขึ้นด้วยรู้สึกกึ่งๆประชดประชันกึ่งๆอับจนปัญญา  บางทีหลันเซียงอาจจะรู้สึกผิดจริงๆอย่างที่ว่า    เพราะนางรับรองไม่เคยเจอคนประเภทเหลียนอันสุ่ยมาก่อน  ตัวเองถูกผู้อื่นทำร้ายแท้ๆ  ยังมีกะใจเป็นห่วงผู้อื่นอีก    คนอย่างท่านนี่มัน...  พวกเราคล้ายกับถูกลิขิตมาให้แพ้ทางคนอย่างท่านอยู่เสมอ

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่สำรวมอยู่บ้าง  ใช้วิธีขี้โกงไปเล็กน้อย  แต่ว่า...ถือว่าเห็นแก่ข้าเถิด  เพราะว่าข้ารู้  ว่าถึงจะทำเช่นนั้นไป  ท่านก็ไม่มีทางสบายใจเลย


ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0

หลันเซียงนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางสายลมแห่งกาลเวลาที่พัดผ่านไปอย่างไร้น้ำใจไมตรี 
สิ่งเหล่านี้...ล้วนเพื่ออะไรกัน  เพื่อให้เป่ยชางอ๋องผู้นั้นหันกลับมา?  ย่อมไม่ใช่แน่  พฤติกรรมเช่นนี้สามารถเรียกความรักกลับคืนมาได้เสียที่ไหน  เพื่อทำร้ายเขา  เพื่อให้เขาจดจำนางต่างหาก  แต่นี่นางทำร้ายใครกันแน่  คนที่ถูกทำร้ายจนอเนจอนาถดูเหมือนจะเป็นตัวนางเอง  ยิ่งทำร้ายเหลียนอันสุ่ย  นางก็ยิ่งเห็นความรู้สึกลึกซึ้งที่ฉีเซี่ยงหยวนมีให้พระมาตุลาผู้นั้น...ปกป้องจนออกนอกหน้า  จะให้ผู้ชายที่ไม่มีเยื่อใยให้นางซักนิดจดจำนางไปทำไมกัน  คุณค่าในตัวเองของนางหายไปไหนแล้ว  ...หรือแท้จริงนางไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีมันอยู่เลย  จึงหลับหูหลับตาตะเกียกตะกายคว้าเอามา

นางจะไม่ทำตัวแบบนั้นอีกแล้ว  ความผิดพลาดเช่นนี้ในชีวิตครั้งเดียวก็เกินพอ  หลันเซียงใช้กรรไกรตัดผ้าเช็ดหน้าที่ฉีเซี่ยงหยวนเคยให้นางเป็นชิ้นๆ  ตัดทุกความสัมพันธ์ที่เป็นได้อย่างมากที่สุดก็แค่อดีตทิ้งไป  นางจะไม่เอาตัวเองไปผูกกับคนผู้นั้นอีกแล้ว  และจะไม่ยอมให้ความรู้สึกดำมืดครอบงำบงการอีก

แต่เมื่อเหลือบสายตาไปมองถ้วยชา  นางพลันคิดถึงชาที่อุ่นร้อนถ้วยนั้น  และคิดถึงคนผู้หนึ่ง...เหลียนอันสุ่ย  หัวใจก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกระลอก  ทำอย่างไรดี  กับคนผู้นี้นางไม่อาจลืมเขา และไม่อยากลืม  ความรู้สึกผิดเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจ 

แต่แรกมานางชิงชังพระมาตุลาจนเข้ากระดูก  หากเมื่อรู้จักตัวตนจริงๆของเขานางกลับเกิดความละอายในตัวเอง  นางไม่เคยซาบซึ้งในความหวังดีของเขา  ล้วนรู้สึกว่าเป็นการเสแสร้ง  แต่เมื่อต้องสูญเสียมันไปนางกลับทนทานรับไม่ได้ เคยควานหาความจริงในใจเขา  ต้องการจะทราบว่าแท้ที่จริงฉีเซี่ยงหยวนเป็นอะไรสำหรับเขากันแน่  ปรารถนาจะตีแผ่ว่าเขาและนางแท้จริงไม่แตกต่างกัน  แต่พักหลังๆมานี่นางกลับไม่ต้องการจะรับรู้อีกแล้ว  ลึกๆภาวนาให้พวกเขาไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน  ไม่ต้องพบหน้ากันอีกเลยจึงประเสริฐที่สุด  แต่สวรรค์กลับลงทัณฑ์นางอย่างโหดร้าย

หลันเซียงหวนนึกถึงความทรงจำสุดท้าย  ท่าทีของบุรุษที่นางเคยรักปกป้องคนอีกคนอย่างชัดแจ้ง  ส่วนท่าทีของเหลียนอันสุ่ยในอ้อมกอดของเป่ยชางอ๋องกลับตอบคำถามที่นางสงสัยมานาน  เป็นธรรมชาติเหลือเกิน  เชื่อใจและวางใจอย่างลึกล้ำ  ที่แท้นางไม่ได้มองผิดไป  คนที่อยู่ในใจของพระมาตุลาคือฉีเซี่ยงหยวนจริงๆ หลันเซียงหลับตาลงอย่างเจ็บปวด  รู้สึกราวถูกหักหลัง  ขมขื่นอยู่บ้างที่จะยอมรับความจริงว่าใจของพวกเขานางต่างไม่มีทางได้มา  น่าขำ  เหตุใดนางจึงมักหลงรักคนที่ไม่สมควรรักอยู่ร่ำไป
ตอนนี้พระมาตุลารู้ธาตุแท้ของนางแล้ว  ภายนอกแม้ยังห่วงใยแต่ภายในคงชิงชังนางไม่น้อย  ดังนั้นนางควรจะจากไปได้แล้ว  อย่าอยู่ให้เขาขัดหูขัดตาอีกเลย

หลันเซียงมองใบไม้ใบสุดท้ายที่ปลิดขั้วจากต้น  มือลูบปิดกระดาษที่ตั้งใจซื้อหามา  กระดาษแหละดีแล้ว  ไม่นานก็แห้งกรอบเสียสภาพไปจากความทรงจำ  พระมาตุลาไม่ต้องจำนางหรอก  แค่ให้นางจดจำเขาก็พอ  แต่...จะจดจำอะไรเล่า  จดจำว่าเขารักฉีเซี่ยงหยวนอย่างนั้นหรือ? ...คงต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป  จดจำความหวังดีของเขา  เจ็บปวดละอายเพราะเขา  ก้าวต่อไปกับความจริงที่ว่าเส้นทางของเขาและนางไม่มีวันบรรจบกัน  แต่ยังคงไม่อยากลืมเลือน

ลมหายใจเย็นเยือกพัดมาแต่ความเจ็บปวดอ้างว้าง  ฤดูสารทกำลังจะลาจาก  นางเองก็กำลังจะลาจาก  ลาจากความขมขื่นและความไม่สมหวัง  ลาจากความทรงจำอันสวยงามที่มิใช่ของนาง  พวกเขาต่างมิใช่ของนาง
‘...ใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี  วันเวลาเป็นสิ่งมีค่า  เจ้าเองก็มีค่านัก  อย่าทำลายคุณค่าในตัวเอง...’
นางมิใช่คนมีค่าเลย  แต่...

“ข้ารับปากท่าน” นางจะพยายาม  นางไม่เชื่อถือในความดีงาม  เพราะโลกที่นางเติบโตนอกจากการหลอกลวงและความโหดเหี้ยมก็ไม่มีอย่างอื่นอีก  แต่นางเชื่อเขา  นางอาจไม่มีวันเข้าใจเหลียนอันสุ่ย  ชีวิตนี้ไม่มีทางกล้าพอจะอยู่เคียงข้างเขา  แต่นางจะพยายามใช้ชีวิตของนางให้ดีที่สุด
---------------------
“นางจากไปแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขึ้นในตอนสายของวันหนึ่ง  พลางวางจดหมายฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะข้างเตียง
ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยมองจดหมายฉบับนั้นเป็นเชิงถาม
“จดหมายของนางถึงท่าน  ขอโทษด้วย ข้าแกะอ่านไปก่อนแล้ว” สำหรับฉีเซี่ยงหยวนการระวังป้องกันไม่อาจไม่มี
เหลียนอันสุ่ยเลื่อนมือไปหยิบจดหมายขึ้นมา  ได้ยินเสียงทุ้มกล่าวถามว่า
“โกรธหรือ  ที่ข้าไม่บอกท่านก่อนหน้านี้”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  พลางกล่าว
“ข้ากับนางไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก  พบหน้ากันก็มีแต่กระอักกระอ่วนไม่สบายใจเปล่าๆ”
เปิดจดหมายออก  อักษรเป็นระเบียบก็ปรากฏแก่สายตา

พระมาตุลา
ข้าคงไม่มีคำพูดใดจะกล่าวนอกจากคำว่า ‘ข้าเสียใจ’  ข้าจะไม่ขอให้ท่านยกโทษให้ข้า  ขอบคุณสำหรับความเมตตาที่มีให้ตลอดมา  ข้ารับปากท่าน  ข้าจะพยายามใช้ชีวิตของข้าให้ดี 
สุดท้ายนี้ฝากท่านบอก ‘เขา’ ด้วยว่าไม่ต้องให้คนติดตามข้า  ทุกข้อมูลที่ข้ารู้จะตายไปพร้อมกับข้าและผู้หญิงที่ชื่อหลันเซียงตายไปแล้ว  นางทรยศบ้านเกิด  ทรยศคนที่นางรัก  ไม่มีที่ใดให้กลับไปอีก  มีเพียงร่อนเร่ไปจนสุดหล้า  ใช้ลมหายใจที่คนผู้หนึ่งต่อให้มาให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่นางจะทำได้

หลันเซียง

“ท่านเปลี่ยนนางได้จริงๆ”
เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  กล่าวว่า
“ข้าไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงผู้ใด  เดิมทีนางไม่ใช่คนเช่นนั้น  นางเพียงกลับเป็นตัวของนางเอง” ตอบพลางก้มมองกระดาษในมืออย่างสะท้อนใจ  สตรีที่รู้หนังสือมีไม่มากเลย
ฉีเซี่ยงหยวนเองก็สะท้อนใจ ดวงตาจมดิ่งลงสู่ความทรงจำ

หลันเซียงเป็นสายของหนานเหมินที่ถูกส่งตัวมาอยู่ที่แคว้นเป่ยชาง  เพราะนางมีทั้งความสามารถและกล้าตัดสินใจ  แต่เมื่อนางหลงรักฉีเซี่ยงหยวนความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกลับเปลี่ยนนิสัยของนางจนโหดเหี้ยมอำมหิต    เพราะรักมากเกินไป  ยึดติดมากเกินไป  ความรักจึงทำลายคน 

ความรักที่รุนแรงแต่ไม่รู้จักถนอมวันเวลามีแต่ทำลายคน  ความรักที่หลงลืมคุณค่าในตนเองไม่มีทางเป็นความรักที่ดีกับใครทั้งสิ้น   
---------------------
พยายามจะยัดใส่ตอนที่แล้ว แต่อักษรเกิน เลยมาในสภาพนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2014 18:58:25 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0

บทที่ 35 วีรกรรมเก่าก่อน

พระอาทิตย์ขยับตัวขึ้นสูงอย่างเอื่อยเฉื่อย  เวลาสายกรายเข้ามาอย่างแช่มช้า  ฉีเซี่ยงหยวนเดินฝ่าบรรดาหญิงรับใช้ที่พากันยอบกายคารวะตรงไปหาคนที่ไม่น่าจะยินดีคารวะเขาเท่าไหร่...อิ๋งฮวา
“นายท่านของเจ้าเล่า ?”
อิ๋งฮวาที่ควบคุมการทำงานปัดกวาดของหญิงรับใช้คนอื่นอยู่ขมวดคิ้ว  จำใจต้องก้มหัวคารวะด้วยท่าทีอ่อนน้อม  ตอบ
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
แววตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนหรี่ลง  หญิงรับใช้ผู้นี้นี่นับวันก็ยิ่ง...กำเริบเสิบสาน  แต่เห็นได้ชัดว่าทางที่นางขวางอยู่โดยไม่รู้ตัวคือทางไปห้องหนังสือ
“ห้องหนังสือ ?” รอบนี้ฉีเซี่ยงหยวนเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้างแล้ว “ข้าบอกให้เขาพักผ่อนนี่” พูดจบก็สาวเท้าก้าวเร็วๆเข้าไป 
อิ๋งฮวาเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเหมือนจะไปคิดบัญชีใครความรู้สึกอยากปกป้องนายก็พากันพลุ่งพล่านขึ้นมา  รีบวางงานในมือผลุนผลันตามไปติดๆ  ต้าอ๋องที่น่ารังเกียจผู้นี้ยังจะมาสร้างความลำบากอะไรให้นายท่านของนางอีก  เจ็บตัวไปแล้วยังไม่นับว่าเพียงพออีกหรือไง!
---------------------
ยาในถ้วยเย็นชืด  เนื่องจากคนที่ควรกินมันมันลงไปขณะนี้จิตใจกำลังหมกมุ่นอยู่กับอย่างอื่น  พู่กันในมือขยับรวดเร็วแต่มักติดขัดในลักษณะการขีดแบบเดิมๆ  คนไม่สบายทำอะไรก็ไม่สะดวก  เหลียนอันสุ่ยนับว่าได้รับทราบอย่างลึกซึ้งว่าเหตุใดคนป่วยจึงมักจะหงุดหงิดกับอาการป่วยของตัวเอง  แต่เขายังคงค่อยๆทำ ติดขัดอะไรก็แก้ไขด้วยความอดทนใจเย็น

“ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่  ข้าบอกให้ท่านพักผ่อนมิใช่หรือ ?”
พู่กันในมือเหลียนอันสุ่ยชะงักไป  สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มหนักของเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวน
“ที่จริงแล้วอาการข้าไม่ได้หนักหนาอะไรมาก...” แม้แต่เหลียนอันสุ่ยก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดรูปประโยคออกจะเหมือนคนร้อนตัวเวลาทำอะไรผิดอยู่บ้าง  กล่าวไม่ทันจบคำถามของฉีเซี่ยงหยวนก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ทำไมท่านไม่กินยา” มือใหญ่หยิบถ้วยยาขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้ว “ยานี่ทิ้งไว้นานจนเย็นชืดกินไม่ได้แล้ว  ...เจ้าไปเททิ้งแล้วต้มมาใหม่” พูดพลางยื่นถ้วยยาใส่มืออิ๋งฮวาที่เดินตามหลังมา
หัวหน้าหญิงรับใช้รับถ้วยยามาอย่างงงงัน  ลังเลใจว่าสมควรทำอย่างไร  ใจหนึ่งไม่อยากทำตามคำสั่งของฉีเซี่ยงหยวน  แต่ยาถ้วยนี้นางทนมองมานานมากแล้วจริงๆ  เตือนไปแล้วหลายคราแต่นายท่านกลับจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่มากเกินกว่าจะใส่ใจ
“ยาถ้วยนี้ใช้เงินทองก็ไม่แน่ว่าจะซื้อหามาได้  เททิ้งออกจะสิ้นเปลืองเกินไป ส่งมาให้ข้าเถอะ  เย็นชืดนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก” เหลียนอันสุ่ยพูดพลางยื่นมือออกมา  แต่ก่อนอิ๋งฮวาจะตกลงใจว่าจะส่งถ้วยยาออกไปหรือไม่...

“ท่านสมควรทราบดีกว่าข้าอีกว่ายาที่ตั้งทิ้งไว้สรรพคุณมันจะไม่เหมือนเดิม  ถ้าท่านไม่ต้องการให้สิ้นเปลืองทางที่ดีคือรีบรับประทาน” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างจริงจัง  แล้วจึงหันไปย้ำอิ๋งฮวาให้ไปต้มมาใหม่

อิ๋งฮวากระพริบตา ประหลาดแท้  ต้าอ๋องผู้นี้ก็พูดคำอื่นนอกจากคำข่มขู่เป็นเหมือนกัน  นางเพิ่งเคยเห็นนายท่านจนด้วยคำพูดเป็นครั้งแรก  หันหลังกลับ ยกถ้วยยาออกไป  นางแม้ยังไม่ชอบขี้หน้าฉีเซี่ยงหยวนอยู่เหมือนเดิม  แต่รอบนี้นางเห็นด้วยกับเขา  จะอะไรก็ได้  ขอให้นายท่านกินยาเป็นพอ

ลับหลังอิ๋งฮวาไม่ทันไร  เหลียนอันสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เห็นด้วยว่า
“ยาเทียบนั้นเป็นของท่านหมอลั่ว  หมอประจำพระองค์เป่ยชางอ๋อง  ท่านให้เขามาตรวจข้าได้อย่างไร”
ฉีเซี่ยงหยวนกลับตัดบทว่า
“เลือกหมอที่ดีที่สุดให้กับคนที่ข้ารักมันผิดตรงไหน  ตอนนี้ข้ามีทางเลือกให้ท่านสองทาง  หนึ่งคือให้ข้าพยุงท่านกลับห้อง  สองคือให้ข้าอุ้มท่านกลับห้อง”
น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีแววล้อเล่น  ทำให้เหลียนอันสุ่ยที่นิ่งอึ้งอยู่กับที่ไม่มีเวลานิ่งอึ้งนานนัก  ด้วยเกรงว่าจากมีทางให้เลือกจะกลายเป็นถูกผู้อื่นเลือกให้  จำต้องยินยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนช่วยพยุงแต่โดยดี
ระหว่างทางสายตาลอบมองของหญิงรับใช้ทำให้เหลียนอันสุ่ยเกร็งไปทั้งร่าง  หากไม่กล้าผลักไสคนข้างตัวออกห่าง  ด้วยเกรงว่าจะไปทำให้ไฟโทสะของคนบางคนปะทุขึ้นมา  จึงได้แต่พยายามทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเหล่านั้นสุดความสามารถ  หูได้ยินเสียงทุ้มกล่าว
“ท่านต้องการอ่านอะไรก็ให้หม่าหลงกับต้วนจินยกไปให้ที่ห้อง  แต่อย่าเดินออกมาอีก  ท่านเดินไม่สะดวก  เท้าลงน้ำหนักมากไม่ได้  ห้องหนังสืออยู่ไกลถึงเพียงนี้  คราวหน้าอย่าให้ข้าเห็นว่าท่านเดินมาที่ถึงนี่อีก”

“...อืมม์  ตำราแพทย์พวกนั้นยังเขียนไม่เสร็จดี  ท่านให้คนยกมาด้วยกันเถอะ” เสียงแผ่วเบาสงบนุ่มนวลเหมือนอย่างเคย  ดวงตาใสกระจ่างที่จับจ้องมองมากลับทำให้ฉีเซี่ยงหยวนคิดอยากเอามือกุมขมับ  กล่าวขัดด้วยน้ำเสียงชัดเจนจนไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้
“ไม่ได้  อ่านหนังสือได้แต่ไม่อนุญาตให้เขียน  ท่านบาดเจ็บที่ข้อมือใช้งานมากอาการจะหนักกว่าเดิม ...ดูท่า ข้าสมควรจะใส่กุญแจห้องหนังสือไว้จริงๆ”
พระมาตุลาผู้นี้ก็รู้อาการของตัวเองดี  ยังจะมาต่อรองอีก  มือขวาบาดเจ็บที่ข้อมือไม่สมควรใช้พู่กัน  มือซ้ายเข้าเฝือกอยู่เขียนอะไรก็ไม่ถนัดยังจะดันทุรังเขียนอักษร  ท่าทางคำที่เหลียนอันสุ่ยสะกดไม่เป็นเอาเสียเลยคือคำว่า ‘ห่วงตัวเอง’  ซ้ำยังรู้สึกว่าการไม่สนใจดูแลตัวเองเป็นเรื่องถูกต้องชอบด้วยเหตุผลไปเสียด้วย !
ฉีเซี่ยงหยวนตัดสินใจในตอนนั้นว่านิสัยเช่นนี้ของเหลียนอันสุ่ยสมควรได้รับการปรับแก้อย่างจริงจังเสียที

เมื่อเอาคนป่วยกลับเข้าไปอยู่ในที่ๆเหมาะสมเสร็จเรียบร้อย  ฉีเซี่ยงหยวนก็เอ่ยขึ้นว่า
“ช่วงนี้ไปโรงหมอไม่ได้  ถ้าท่านตำหนิว่าอยู่ว่างจนเกินไป  ข้าจะให้เด็กสองคนนั่นมาทำให้ท่านไม่ว่างเอง” ที่แท้ที่เหลียนจิ้งเต๋อหายหน้าหายตาไปไม่ได้โผล่มารบกวนเท่าที่ควรเป็นเพราะฉีเซี่ยงหยวนจัดการให้อาจารย์ซึ่งถวายการสอนจัดตารางจนแน่นเอียด  มิเช่นนั้นด้วยนิสัยทำอะไรโผงผางของเหลียนจิ้งเต๋อประตูห้องนี้รับรองถูกเหยียบจนสึกไปแต่แรกแล้ว 

ประการสำคัญคือเหลียนจิ้งเต๋อไปทางซ้ายก็ต้องลากคนผู้หนึ่งไปทางซ้ายด้วย  ต่อให้อีกฝ่ายปฏิเสธก็ยังคงลากไปจนได้อยู่ดีนั่นเอง  ดังนั้นเด็กที่จะช่วยมาเหยียบประตูห้องนี้จึงต้องนับรวมบุตรชายของพี่ชายเขาเข้าไปด้วยแน่นอน  ฉีเซี่ยงหยวนทราบดีว่าแม้ตัวเองจะได้ชื่อว่ามีลูกบุญธรรมถึงสองคน  แต่แท้จริงกลับแทบไม่ได้ดูแลเอาเสียเลย  หากถึงอย่างไรก็ไม่คิดยัดเยียดให้เป็นภาระดูแลของผู้อื่น  ยิ่งไม่ต้องการให้เด็กคนนั้นมารบกวนเหลียนอันสุ่ยมากเกินไป  เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ต้องไปคิดอะไรพรรค์นั้นแล้ว  ตอนนี้สมควรหาอะไรมายัดเยียดให้เหลียนอันสุ่ยไม่มีเวลาว่างไปทำให้ตัวเองลำบากกว่านี้เป็นดีที่สุด

“ที่จริงเด็กสองคนนั้นก็ไม่ได้รบกวนอะไร” เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ ดวงตามีแววเอื้อเอ็นดู
ฉีเซี่ยงหยวนสั่นศีรษะ
“นั่นเป็นเพราะว่าท่านโชคดียังไม่เจอพวกตัวแสบ...แบบข้า”
คิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยเลิกขึ้นน้อยๆ
“แบบท่าน ?”
คนเป็นต้าอ๋องหัวเราะหึๆ แววตาท่าทางดูไปกลับคลับคล้ายคนชั่วร้ายที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่หลายส่วน
“ท่านไม่รู้อะไร  ตอนเด็กถ้านับชื่อเสียงความร้ายกาจรับรองไม่มีใครเกินข้า  งานหลักของผู้อื่นคือร่ำเรียนหนังสือเรียนรู้หลักปกครองบ้านเมือง  ส่วนงานหลักของข้าคือหาหนทางกลั่นแกล้งอาจารย์กับเอาคืนพี่รอง”
เหลียนอันสุ่ยพ่นเสียงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง  นับว่าไม่แปลกใจแล้วว่านิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของคนผู้นี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนไหน

ฉีเซี่ยงหยวนลดเสียงลงต่ำขณะบอกเล่าวีรกรรมสารพัดของตัวเองในวัยเยาว์ เหลียนอันสุ่ยเท้าคางมองคนที่พูดออกมาได้เป็นฉากๆ  ดวงตาทอแววเหลือเชื่อ  ปากแทบอ้าค้างไป  หากเหลียนอันสุ่ยนับเป็นบุตรชายตัวอย่างที่ทำตัวอยู่กับร่องกับรอยที่สุด  ฉีเซี่ยงหยวนก็นับว่าหลงออกจากคำๆนั้นไปไกลจนสุดกู่  เกรงว่าคำว่ากรอบกับขอบเขตที่ต้าอ๋องผู้นี้เคยวาดไว้ให้ตัวเองในวัยเยาว์  คงจะเป็นกรอบที่เกินกว่าคนอื่นไปมากมายหลายเท่าตัว 

ฉีเซี่ยงหยวนเอนตัวพิงพนักด้วยท่าทีสบายๆ บุคลิกทรงอำนาจแม้ยังไม่หายไปไหน  แต่ดูไปกลับไม่เหมือนการวางตัวของคนเป็นเจ้าแคว้นแม้แต่น้อย  ประโยคสนทนาง่ายๆที่ออกรสออกชาติเหล่านั้นกลับดึงหัวใจสองดวงเข้าใกล้กันมากกว่าที่เคยเป็น 

ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เล่าหรอกว่าตอนเด็กเขาถูกพี่รองกลั่นแกล้งเหยียดหยามอย่างไรบ้าง  บุตรที่ไม่เคยเป็นที่โปรดปรานและมารดาไม่มีอำนาจเช่นเขาการถูกดูถูกเป็นเรื่องธรรมดา  และไม่ได้เล่าว่าเมื่อเขาเอาคืนพี่รองครั้งแรกถึงกับถูกสั่งให้คุกเข่าสำนึกผิดกลางสายฝนเย็นเฉียบหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ทำให้หลังจากนั้นฝีมือการเอาคืนของเขายิ่งมาก็ยิ่งสูงส่งคือทำอย่างไรก็ได้แต่ต้องไม่เหลือร่องรอย  ...กับอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับฉีเซี่ยงหยวนมันคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเป็นเขา  เขาอาจมิได้ยินดีกับมันนัก  แต่เมื่อหวนคิดถึงกลับมิได้เจ็บปวดขมขื่นเจียนตายอีก  นี่มิใช่เพราะมันเป็นเรื่องเล็กน้อย  แต่เมื่อท่านเติบโตขึ้นและเข้มแข็งพอที่จะมองย้อนกลับไป  มุมมองของท่านจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง 

เพราะความทรงจำสร้างใหม่ได้เสมอ จุดประสงค์ของฉีเซี่ยงหยวนขณะนี้เพียงต้องการได้ยินเสียงหัวเราะของคนตรงหน้า...คนที่มีความหมายต่อเขายิ่งกว่าใคร

ช่วงเวลาทุกช่วงในชีวิตของคนเราไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับทราบดี  ช่วงเวลาที่มีความหมายมีความเป็นนิรันดร์ในตัวมันเองอยู่แล้ว  ขอเพียงท่านรู้จักคว้ากุมไว้ก็พอ...
---------------------
อิ๋งฮวาประคองชามยาอุ่นร้อนเข้ามา  คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากห้องด้านใน  นายท่านไม่ได้หัวเราะมานานมากแล้ว  เป็นต้าอ๋องผู้นั้นหรือที่ทำให้คนซึ่งไม่ช่างหัวเราะอย่างนายท่านหัวเราะได้ ? 

หลังจากนั้น  หากมีเวลาว่างฉีเซี่ยงหยวนเป็นต้องหาเรื่องแวะเวียนมาตรวจดูว่ามีคนหักโหมทำงานโดยร่างกายไม่เอื้ออำนวยหรือไม่  หลังจากยั่วเย้าให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาบ้างจึงยินยอมจากไป  คิ้วของอิ๋งฮวายิ่งมาจึงยิ่งขมวดหนัก  เริ่มพิจารณาอย่างจริงๆจังๆว่านางสมควรมองบุรุษชาวเป่ยชางผู้นั้นใหม่หรือไม่  เสียงหัวเราะของนายท่านสัปดาห์นี้สัปดาห์เดียว แทบจะมากกว่าปีก่อนๆสามเดือนรวมกัน  ยังจะความเห็นอีก  พักนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรนางจึงมักเห็นด้วยกับเป่ยชางอ๋องผู้นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจทุกทีสิน่า

และด้วยความสามารถของฉีเซี่ยงหยวนนิสัยในการชอบหาภาระมาสุมใส่บ่าตัวเองของเหลียนอันสุ่ยนับว่าถูกสะสางจนแผลงฤทธิ์ไม่ได้ไปชั่วคราว  นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบชีวิตสามสิบเอ็ดปีที่เหลียนอันสุ่ยได้พักรักษาตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวหลังเจ็บป่วย
ประตูห้องหนังสือถูกใส่กุญแจ  ส่วนหน้าประตูห้องนอนมีหม่าหลงต้วนจินผลัดเวรกันเฝ้า  เหลียนอันสุ่ยจึงได้แต่อ่านหนังสือกับโต๊ะตัวเล็กที่ถูกยกขึ้นมาไว้บนเตียงอย่างว่าง่าย  เวลานี้เด็กทั้งสองติดเรียนห้องจึงนับว่าได้ความสงบคืนกลับมาพักหนึ่ง  ชุดสีเขียวหยกบนร่างขับใบหน้าที่เคยซีดเซียวดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย  ฉีเซี่ยงหยวนมองสภาพร่างกายที่ค่อยๆฟื้นตัวของเหลียนอันสุ่ยด้วยสีหน้าพอใจยิ่ง  ยิ่งเห็นเหลียนอันสุ่ยนั่งอยู่บนเตียงที่ฉีเซี่ยงหยวนนับไปแล้วว่าเป็นพื้นที่ของตัวเองก็ยิ่งพอใจ

“จะว่าไปแล้ว...ข้าก็เคยฝันอยู่เหมือนกัน ว่าจะขังท่านไว้บนเตียง  ให้ท่านเป็นของข้าแค่คนเดียว”
ลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยสะดุดไปช่วงหนึ่งกับคำพูดที่อยู่ดีๆก็ถูกกล่าวขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย  ร่างแข็งทื่อแต่ทำทีราวไม่ได้ยินสิ่งใด  พยายามเพ่งมองอักษรตรงหน้าสุดความสามารถ    หากมือเรียวงามที่จับม้วนไม้ไผ่กลับสั่นระริกเล็กน้อย
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหน้ามีเลือดฝาดที่เปลี่ยนเป็นซีดขาวของคนตรงหน้า  กับท่าทีที่พยายามทำเป็นไม่ได้ยิน  ดวงตาคมลึกล้ำพลันปรากฏรอยยิ้ม  นั่งลงบนเตียงโอบกอดร่างแข็งทื่อของอีกฝ่ายไว้  เอ่ยช้าๆพลางหลับตาลง
“ท่านนี่แตกตื่นง่ายเสียจริง  ข้าเพียงรู้สึกว่า...มีท่านอยู่ข้างๆเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน”
ร่างแข็งทื่อของเหลียนอันสุ่ยอ่อนลง  นิ่งงันไปพักใหญ่  ปล่อยให้กลิ่นอายเฉพาะตัวอันสุขุมมั่นคงของอีกฝ่ายกลบกลืนตัวเขา  มิผิด  ความรู้สึกที่มีท่านอยู่ข้างๆเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน...
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อชมชอบหอบการบ้านมาทำข้างกายบิดา  โดยเฉพาะวิชาจริยธรรมที่เขาไม่ถนัดเป็นพิเศษ  ท่านพ่อนับเป็นตำราเล่มโตที่เปิดง่ายกว่าม้วนไม้ไผ่ที่มากมายจนล้นชั้นในหอตำราเหล่านั้น  ทั้งยังครบถ้วนสมบูรณ์ถ้ารู้จักงัดแงะให้ถูกทาง  เพียงแต่วันนี้คำตอบดูจะหลุดออกมาง่ายดายเป็นพิเศษจนน่าฉงน

พระมาตุลาแคว้นเหลียนยอมรับว่าตัวเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  เหตุใดคนผู้หนึ่งที่รอบคอบมากแผนการกลับมีด้านที่ตรงไปตรงมาได้ถึงเพียงนั้น 
‘...ข้าเพียงรู้สึก...ว่ามีท่านอยู่ข้างๆเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน’
‘เลือกหมอที่ดีที่สุดให้กับคนที่ข้ารักมันผิดตรงไหน…’
 ‘ท่านเป็นคนสำคัญของข้า’
ไม่ว่าคำพูดไหนๆล้วนหลุดปากออกมาง่ายดาย  ไม่ว่าคำพูดไหนๆล้วนกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง  ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนปากหวานอย่างนั้นหรือ ?  ...ไม่ใช่แน่  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ชมชอบคำประจบ  แม้จะเคยมีคนรักมามากมายแต่คำพูดเอาใจผู้อื่นเหล่านั้นอย่างมากก็เพียงกล่าวเพื่อผลประโยชน์  ที่ฉีเซี่ยงหยวนกล่าววาจาส่วนใหญ่เป็นเพราะเจ้าตัวพึงพอใจจะกล่าว
 
เหลียนอันสุ่ยรู้ดีว่า เขาทำไม่ได้  ตั้งแต่แรกมาสิ่งที่เขาอิจฉาฉีเซี่ยงหยวนมาโดยตลอดคือการซื่อตรงกับตัวเอง  สิ่งนั้นดึงดูดเขาเข้าไป  การแสดงออกที่ชัดเจนของอีกฝ่ายยิ่งต้อนเขาจนจนมุมทีละน้อย  นับวันก็ยิ่งใจอ่อน  นับวันก็ยิ่งคิดถึงจนยากจะเอ่ยปาก
เหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าเยาว์วัยของรัชทายาทแคว้นเป่ยชาง  หลุดถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“พระบิดาบุญธรรมของท่าน ที่แท้เป็นคนเช่นไรกันแน่ ?”
อีกฝ่ายดูราวตกใจที่ถูกถามเช่นนี้  นิ่งไปนานจนเหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบแล้ว  ก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาอย่างแช่มช้าจริงจังว่า
“...พระบิดาเป็นคนปรีชาสามารถ  ใจกว้างแต่คำนึงถึงผิดถูก  เด็ดขาดแต่มีเมตตา  ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะเปรียบเทียบด้วยได้” คำตอบนี้ทำให้เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  ดวงตาที่ว้าวุ่นสงบลง  เหลือบมองบุคคลที่อายุก็ไม่จัดว่ามากเท่าใดแต่ความรอบคอบรู้จักระวังตัวกลับก้าวล้ำไปไกล 
“...อย่างนั้นหรือ”
คำตอบเมื่อครู่พอดีจนถึงที่สุด  ทั้งไม่ยกย่องจนขาดความจริงใจ  ทั้งไม่ใช่คำวิจารณ์ที่ผู้อ่อนวัยกว่าไม่ควรกล่าว  รู้จักวางตัวจนดูราวกับไม่ใช่เด็กอายุเท่ากับที่เขาเป็น  ที่สำคัญคือสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความจริง  เด็กคนนี้มองบิดาบุญธรรมของเขาออกในมุมมองที่ลึกมาก  เพียงแต่เขายังเยาว์วัยเกินกว่าจะงำประกายของตัวเองได้อย่างหมดจด

ดวงตาที่สงบกระจ่างสร้างความรู้สึกยากจะอ่านให้กับรัชทายาทแคว้นเป่ยชาง  ความรู้สึกที่พระบิดาบุญธรรมมีต่อคนผู้นี้ชัดเจนยิ่ง  หลังจากคลุกคลีมาหลายวันเขาก็ยิ่งไม่แปลกใจ  คนที่พระบิดาหลงใหลเป็นคนธรรมดาได้หรือ  ไม่มีทางเด็ดขาด  บุคลิกของอีกฝ่ายทำให้เขานึกถึงต้นไผ่สีเขียวหยก  ในรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากชาวเป่ยชางมีความน่ามองชนิดหนึ่ง  เพียงแต่ว่าความคิดกับสติปัญญาของคนผู้นี้กลับลึกล้ำจนน่ากลัว  เหตุใดคนที่มีความคิดระดับนี้จึงมีบุตรชายที่ใสซื่อตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง  เขาไม่เข้าใจ  และไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเอง

มุมปากของเหลียนอันสุ่ยมีรอยยิ้มบางๆขณะละสายตาจากไป  เด็กคนนี้ระแวดระวังไปเสียทุกด้าน  ฉีเซี่ยงหยวนเอย  บุตรบุญธรรมของท่านคนนี้ทำให้ข้าประหลาดใจเสียจริง  น่ากลัวกระทั่งเหลียนอ๋องก็ยังเทียบเขาไม่ได้
---------------------
หลังจากวันนั้นเหลียนอันสุ่ยก็เอ่ยเรื่องนี้กับฉีเซี่ยงหยวน
“...ข้าว่าท่านให้พวกเขาเรียนด้วยกันคงไม่ค่อยจะเหมาะกระมัง”
“ทำไมเล่า หรือว่าท่านคิดจะอ้างเรื่องศักดิ์ฐานะอะไรนั่นอีก  ขอบอกให้รู้ไว้ว่าลูกบุญธรรมของฉีเซี่ยงหยวนทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน  หากข้ามีอีกคนก็ต้องเอามาเรียนพร้อมกับพวกเขาแน่นอน” ฉีเซี่ยงหยวนชิงตัดบท  เขาไม่ชอบที่สุดเวลาเหลียนอันสุ่ยเอ่ยถึงเรื่องความเหมาะสมอะไรเหล่านั้น  คนที่ทำอะไรตามใจตัวเองเช่นเขาขอแค่มีความชอบธรรมก็นับว่าใช้ได้  เรื่องยุ่งยากมากความอันใดล้วนไม่ต้องเอ่ยถึงเป็นดีที่สุด

เหลียนอันสุ่ยส่ายหน้า  ไม่ทราบเป็นความระอาหรือต้องการปฏิเสธ กล่าว
“ข้าเพียงรู้สึกว่าเอาเด็กคนนั้นมาเรียนพร้อมกับจิ้งเอ๋อจะเป็นการถ่วงความสามารถของเขาเกินไป”ถึงเหลียนจิ้งเต๋อจะเป็นเด็กหัวไว  แต่รัชทายาทแคว้นเป่ยชางกลับมีความคิดอ่านลึกซึ้งกว่าเขามากนัก 

“คิดจะเป็นผู้นำ  ประการแรกคือต้องรู้จักก้าวไปพร้อมผู้อื่นก่อน  ถ้ากระทั่งเรื่องนี้ยังไม่เข้าใจก็มิใช่ลูกชายพี่ใหญ่ข้าแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนตอบง่ายๆ แล้วหยิบรายงานด้านข้างมาพลิกเปิด
เหลียนอันสุ่ยที่ยืนนิ่งค้างรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเข้าใจอะไรบางอย่าง  ถัดมาจึงเป็นความรู้สึกอยากจะหัวร่อ  ก้มหน้าลงมองจึงเห็นว่ามือตัวเองถูกมือใหญ่กุมไว้  ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมา กล่าว
“ความจริงหัวข้อสนทนานี้ก็ไม่เลว  อย่างไรพวกเราก็นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
---------------------

ออฟไลน์ HydrA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-2
ในที่สุดก็ตามอ่านทัน ติดงอมแงมเลย อยากบอกผู้เขียนว่า สนุกมากกกก เลยค่ะ
อ่านแล้วก็เชียร์เหลียนอันสุ่ย อยากเห็นเค้ามีความสุข เค้าทำเพื่อคนอื่นมามาก
พออ่านถึงตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนรู้ตัวว่ารักเหลียนอันสุ่ยแล้วแบบว่ากรี๊ดเลย
อยากให้รักกันๆตลอดไปเลย มาต่ออีกนะค่ะ รออ่านทูู้กวัันเลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 36
«ตอบ #100 เมื่อ08-09-2014 22:19:37 »


บทที่ 36 ปัญหาที่ยังไม่มีข้อสรุป

ท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ของแคว้นเป่ยชางบรรจุขุนนางอำมาตย์จนลานตา  เหล่าขุนนางสำคัญล้วนมากันพร้อมหน้า  ตำแหน่งที่ยืนแบ่งแยกตามกรมกอง สะท้อนความสูงต่ำของศักดิ์ฐานะ  กอปรขึ้นเป็นภาพรวมที่ใช้ขับเคลื่อนแว่นแคว้น  นี่คือประชุมขุนนางของแคว้นเป่ยชาง  กฎถูกตราไว้อย่างเข้มงวดชัดเจน  หากไม่มีเหตุจำเป็นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจขาด  ภาพอันยิ่งใหญ่นี้จึงเป็นภาพอันเจนตาที่ต้องได้เห็นอย่างน้อยสัปดาห์ละสามครั้ง

บนพื้นที่ยกสูงเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเป่ยชางอ๋อง  ฉีเซี่ยงหยวนเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนโต๊ะเตี้ย  แววตาคมปลาบลึกล้ำจนดูไร้ก้นบึ้งจับมองคนปากกล้าเบื้องล่าง  บรรยากาศกดดันพากันถาโถมลงมาราวกับเงื้อมเงาของชายผาอันสูงชัน  บีบคั้นทุกคนในห้องโถงจนหายใจไม่ทั่วท้อง
“ต้าอ๋อง ตำแหน่งพระชายาไม่อาจว่างเปล่า  นี่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของบ้านเมือง  ขอต้าอ๋องทรงพิจารณาไตร่ตรองด้วย” คนปากกล้าคนที่สองแล้ว...  ฝ่ามือใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวนกำแน่นเข้าหากัน  ใบหน้ายังคงเฉยชาสนิท เอ่ยช้าๆ

“ข้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญถึงขนาดจะต้องเอามาเป็นประเด็นถกเถียง  ประเด็นเร่งด่วนเรื่องภัยพิบัติยังไม่มีข้อสรุป เหตุใดพวกท่านจึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากลางคัน  หรือประชาราษฎร์เดือดร้อนเป็นเรื่องที่ละเลยได้  แต่การแก่งแย่งอำนาจในวังหลังไม่อาจไม่มีเด็ดขาด !” เสียงแช่มช้ากระด้างจับจิต  หลี่กวงเว่ยกับมู่ซางที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองกัน  ทราบว่าต้าอ๋องตระเตรียมเล่นงานคนแล้ว
“กระหม่อมไม่บังอาจ  แต่เรื่องนี้ก็เรื้อรังมานานโดยไม่มีข้อสรุปเช่นกัน  เนื่องจากกระหม่อมไม่มีบุตรี  ส่วนได้ใดๆจึงยากจะมีได้  แต่ส่วนเสียกลับมีแน่นอนและผลเสียนี้มิได้เป็นของกระหม่อมคนเดียว  แต่เป็นของประชาราษฎร์ทุกคนในแผ่นดินเป่ยชาง  สุขทุกข์ของพวกเขาล้วนผูกพันอยู่กับความมั่นคงของแว่นแคว้น  พวกเขารอคอย...”

“จางจื่อหยู!” ดวงตานิ่งสงบของฉีเซี่ยงหยวนดูราวจะมีเปลวไฟพลุ่งออกมา  ปัญหากำลังจะจบแต่กลับมีคนเอาคานมาสอดเสียแล้ว  ซ้ำยังสอดอย่างถูกจังหวะบังคับผลักให้สถานการณ์ไปข้างหน้าอย่างยากจะถอยหลังกลับมาประนีประนอม  จางจื่อหยูกำลังใช้ขุนนางทั้งท้องพระโรงนี้มาบีบเขา  ให้เขาต้องชั่งน้ำหนักว่าจะยินยอมสูญเสียอะไรไปกันแน่  ตาแก่นี่เข้าใจว่าเขาไม่กล้าแตกหักอย่างนั้นหรือ

เห็นสถานการณ์กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างต้าอ๋องกับขุนนางคนสนิท  ขุนนางอื่นรีบสงบปากสงบคำชมดูอยู่ด้านข้าง  ต่างคนต่างมีความมุ่งมาดในใจต่างกันไป
ใบหน้าของหลี่กวงเว่ยกลับกลายเป็นเคร่งเครียด  หมากตานี้หักโหมเกินไปแล้ว  จางจื่อหยูถึงกับยินยอมปะทะซึ่งหน้ากับต้าอ๋องก็ต้องพูดเรื่องนี้ให้ได้  หลี่กวงเว่ยทราบดีว่าจะปล่อยให้ต้าอ๋องแตกหักกับขุนนางใหญ่ผู้นี้ไม่ได้เป็นอันขาดไม่เช่นนั้นรากฐานอำนาจที่ยังไม่มั่นคงดีต้องปั่นป่วนแน่  ดังนั้นเขาจึงก้าวออกมาด้านหน้า...
---------------------
“ใต้เท้าจางข้าล่ะนับถือท่านจริงๆ  คำพูดประโยคเดียวกลับเปลี่ยนสถานการณ์กลายเป็นรูปนี้ได้” มู่ซางพูดพลางปรายตาเข้าไปในท้องพระโรง
จางจื่อหยูที่กำลังเดินลงบันไดแค่นเสียงคำหนึ่ง  ไม่สนใจคำพูดที่มีนัยเสียดสีของมู่ซาง  สะบัดหน้าจากไป
หลี่กวงเว่ยที่ยืนอยู่อีกด้านมองท่าทีของจางจื่อหยูแล้วหันไปมองเหล่าขุนนางที่ทยอยกันเดินออกมา  การประชุมจบแล้ว  แต่...
‘ปัญหายังไม่จบ  ทั้งท่านทั้งข้าต่างรู้ดี ‘เขา’ จะหนีจากมันได้นานเท่าไหร่กัน’ คำพูดที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของจางจื่อหยูคล้ายดังอยู่ริมโสต  หลี่กวงเว่ยส่ายหน้าช้าๆ ดวงตามีแววหนักใจ 

เสียงของมู่ซางลอยมาราวกับทราบความในใจของอีกฝ่าย
“ก็แค่คนหัวดื้อสองคน...  ข้ายังเดาไม่ถูกเลยว่าสุดท้ายแล้วใครจะหัวดื้อกว่ากัน” กล่าวพลางยักไหล่เล็กน้อย 
คนผู้หนึ่งติดนิสัยทำอะไรตามใจตัวเอง  ส่วนอีกคนกลับจะลากคนๆนั้นเข้ามาในกรอบเสียให้ได้...ไม่ทะเลาะกันสิแปลก  นี่มิใช่ครั้งแรก  และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย 
---------------------
เสียงโยนม้วนฎีกาลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์  ฉีเซี่ยงหยวนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตาแก่นั่นจงใจทำลายแผนการของเขา  แม้ไม่ถึงกับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง  แต่ก็ประสบผลน้อยลงกว่าที่ตั้งใจไว้ไปโข 

 ‘ท่านคิดจะผัดผ่อนไปจนถึงเมื่อไหร่กัน’  เฮอะ ตาแก่ที่ชมชอบยุ่งมากความเอ๊ย

หลิวฉางเฟยเก็บม้วนฎีกาบางส่วนที่ถูกกระแทกจนตกจากโต๊ะขึ้นมา  เข้าใจอารมณ์ของนายเหนือหัวโดยตลอด  ความจริงหากจางจื่อหยูไม่สอดคำขึ้นมา  ประเด็นเรื่องแต่งตั้งพระชายารับรองไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงไปอีกพักใหญ่ เพราะข้อหามุ่งหวังอำนาจในตำหนักในนับว่าหนักหนาสาหัสอย่างยิ่งจริงๆ  และหนักเป็นพิเศษกับพวกขุนนางที่ทราบดีแก่ใจว่าตัวเองมีเจตนาไม่บริสุทธิ์
“จุดมุ่งหมายของตาแก่นั่นทำไมข้าจะไม่เข้าใจ” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขณะดวงตาที่มีแววไม่พอใจหรี่ลง  อำนาจในแคว้นเป่ยชางไม่มีทางมั่นคงตราบใดที่ฉีเซี่ยงหยวนยังไม่มีบุตรชายเป็นของตัวเอง  เพียงแต่จางจื่อหยูมีความคิดแบบหนึ่ง  ตัวฉีเซี่ยงหยวนเองกลับตกลงใจเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง

‘ถ้าท่านยังไม่คิดมีชายา  สุดท้ายท่านจะปกป้อง ‘เขา’ เอาไว้ไม่ได้’  เสียงของจางจื่อหยูยังตามมาหลอกหลอนเขา  จางจื่อหยูไม่เคยสนับสนุนเรื่องเหลียนอันสุ่ยหากคำพูดนี้กลับเป็นความจริง  ความจริงที่ฉีเซี่ยงหยวนขำไม่ออกเลยซักนิด  ฉีเซี่ยงหยวนรู้แค่ว่าขุนนางแคว้นเป่ยชางคนไหนกล้าแตะต้องตำหนักเสียงวสันต์  มันผู้นั้นรับรองไม่ได้ตายดี !
---------------------
“ท่านอารมณ์ไม่ดี” เสียงน่าฟังกระจ่างเหมือนสายน้ำ  น้ำชาในกาถูกรินลงถ้วยช้าๆ
“ข้าอารมณ์ไม่ดีเพราะท่านไม่ดูแลตัวเอง” พูดพลางจับแขนขวาของอีกฝ่ายไว้  รอยช้ำที่ข้อมือยังไม่จาง  ในขณะที่แขนซ้ายกับขาที่ต้องเข้าเฝือกไม้ไผ่กลับหายดีไปก่อน  ปลายนิ้วโป้งสากไล้เบาๆตรงรอยแดงๆนั้น  หลังจากแขนซ้ายใช้การไม่ได้มือข้างนี้ก็ทำงานไม่หยุดมือ  ที่ควรหายก่อนจึงยังไม่หายสนิทดี  เลื่อนขึ้นไปช้าๆจึงเห็นรอยช้ำเล็กๆที่ยังดูใหม่...  เหลียนอันสุ่ยรีบร้อนดึงมือออก  ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มเล็กน้อย  ยินยอมปล่อยมือแต่โดยดี

“ดูเหมือนเมื่อคืนข้าจะรุนแรงกับท่านไปหน่อย  วันนี้แก้ตัวใหม่แล้วกัน”
เหลียนอันสุ่ยร้อนเห่อไปทั้งหน้า  รีบยกกาน้ำชาหาเรื่องหลบออกจากห้องไปโดยมีเสียงหัวเราะทุ้มๆดังตามไล่หลัง 
ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองนับวันจะยิ่งนิสัยเสีย  เหลียนอันสุ่ยเอย  เหตุใดท่านไม่ถือสาเสียบ้าง  นับวันข้ายิ่งติดใจชมชอบรังแกท่านแล้ว

ในห้องเก็บใบชา  เหลียนอันสุ่ยวางกาน้ำชาลงช้าๆ  สรุปแล้วก็ยังไม่รู้ว่ากาน้ำชาที่ยกออกมาตกลงจะเอาไปทำอะไรกันแน่  สีหน้าสับสนเหม่อลอย  มันเริ่มขึ้นจากตรงไหนกันหนอ...
‘ร่างกายท่านหายสนิทดีหรือยัง ?’ เหลียนอันสุ่ยสะดุ้งเล็กน้อย  จำได้ว่าตอนนั้นเขาตอบไป...ตอบไปว่า
‘ท่านหมอลั่วบอกว่าถอดเฝือกได้แล้ว  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก’
‘อย่างนั้นหรือ’ เหลียนอันสุ่ยเข้าใจว่าจะได้ยินคำอนุญาตให้ใช้ห้องหนังสือ  แต่กลับกลายเป็นว่ามือที่โอบกอดเขาอยู่กลับเริ่มมีการเคลื่อนไหว
‘ท่านหมอลั่วบอกว่าถึงแม้จะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ไม่ควรเคลื่อนไหวมาก’ คำพูดที่กล่าวออกมารวดเดียวอย่างรีบร้อนทำให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกหายใจหายคอไม่ทันอยู่บ้าง  ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆที่ข้างหู  ใบหน้าคมสันซบลงกับซอกคอของเขา  มือใหญ่กลับมาโอบเขาไว้อย่างสงบเช่นเดิม
‘ข้ารอได้  ต่อให้ต้องรอทั้งชีวิตก็รอได้’ ขอแค่ท่านยินยอมพร้อมใจก็พอ
เหลียนอันสุ่ยกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือ เป็นเขาผิดพลาดเอง คำพูดว่า ‘ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง’ ในสถานการณ์แบบนั้น...ฟังยังไงก็เป็นการเชิญชวนผู้อื่นทางอ้อมชัดๆ

แล้วเหลียนอันสุ่ยก็พบว่าอีกไม่กี่วันต่อมาตัวเองก็ใจอ่อนจนได้  อันที่จริงสมควรบอกว่าเขาใจอ่อนไปนานแล้วเพียงแต่ปากแข็งไม่ยอมรับ  คำว่า ‘รอ’ ของฉีเซี่ยงหยวนสุดท้ายก็ไม่ถึงกับต้องรอไปจนชั่วชีวิต...
---------------------
เพราะขาหายดีแล้วพระมาตุลาแคว้นเหลียนจึงออกมาเดินชมอุทยานด้านนอก  บรรยากาศสดชื่นพาให้จิตใจปลอดโปร่ง  สวนของตำหนักเสียงวสันต์แห่งนี้มองไปกลับมีเค้าคลับคล้ายตำหนักเดิมที่แคว้นเหลียนของเขาอยู่หลายส่วน  เป็นความเอาใจใส่ของคนผู้หนึ่ง 
ด้านในตำหนักเป็นฝีมือของอิ๋งฮวา  ส่วนด้านนอก...ในใจเหลียนอันสุ่ยวูบไหวอย่างประหลาด  รายละเอียดเล็กน้อยถึงเพียงนี้คู่ควรให้คนที่มีศักดิ์ฐานะเช่นฉีเซี่ยงหยวนให้ความสนใจที่ไหนกัน

กำแพงของตำหนังเสียงวสันต์อาจเป็นกรงขังที่ยากจะดิ้นหลุด  แต่สิ่งที่มันขังเอาไว้กลับเป็นโลกที่สงบสันติใบหนึ่ง เหลียนอันสุ่ยทราบดีว่าการสร้างโลกเช่นนี้ขึ้นมาแห่งหนึ่งในรั้วกำแพงวังที่มีแต่การใช้ประโยชน์แก่งแย่งชิงดีเป็นเรื่องยากเย็นเพียงใด  ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบมากมายเพียงไหน  รวมถึง...อิทธิพลที่เพียงพอจะกั้นแบ่งฟ้าดิน

เหลียนอันสุ่ยมอบโลกเช่นนี้ให้กับเหลียนจิ้งเต๋อ  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับมอบโลกเช่นนี้ให้กับตัวเขา  สายตาสงบลึกซึ้งมองหม่าหลงกับต้วนจินที่เดินตามอารักขาอยู่ห่างๆ
มันคือการกักขัง  หรือแท้จริงคือการปกป้องคุ้มครอง?  เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบ  ทราบเพียงตัวเขากลับหวั่นไหวนัก

หลายเดือนผ่านไปสร้างสรรค์ต้นท้อจนสูงใหญ่แปลกตา  เหมือนได้ยินเสียงตัดพ้อของเหวินจีดังมา
‘ท่านรักเขา’
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยจับกิ่งท้อกิ่งหนึ่ง  มิได้กล่าวปฏิเสธออกไป  รอยยิ้มของเหวินจีหม่นหมองลงขณะพึมพำ
‘ทั้งๆที่รู้ว่ารักนี้ไม่มีทางยืนยาว แต่ท่านก็ยังรักเขา’
ศีรษะของเหลียนอันสุ่ยผงกน้อยๆ  พึมพำว่า ‘ขอโทษด้วย’   ก้าวผละออกมาช้าๆ  หากเสียงในหัวยังคงไม่จางหาย  และคราวนี้มิใช่เสียงของเหวินจีแต่เป็นเสียงของเขาเอง
‘เหลียนอันสุ่ย  เจ้าก็รู้ดีว่าเจ้าไม่สามารถยอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะรักเขา’
“ถูกแล้ว  ข้าไม่สามารถ...” แต่ข้าก็ไม่สามารถที่จะไม่รักเขาได้เช่นกัน
เมื่อความรักมาเยือนตัวท่าน  หัวใจกลับกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมบงการไม่ได้  ในนั้นไม่มีทั้งความเหมาะสม  ไม่มีทั้งความระแวดระวัง  ไม่สนใจกระทั่งวันพรุ่งนี้  มีเพียงแค่คนผู้หนึ่ง...ครอบครองไว้จนหมดสิ้น
---------------------
ฟากฟ้าไม่มีเมฆหมอก  อากาศหนาวเย็นลงทุกที  ตำหนักเก่ายังคงความสวยงามของมันเอาไว้ราวกับอดีตที่ไม่ยินยอมจางหายไปอย่างเงียบงัน  ขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนอยู่ที่ตำหนักเก่าเนื่องจากอดีตเป่ยชางอ๋องต้องการจะพบเขา
สุ้มเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแช่มช้า
“เจ้าเป็นต้าอ๋องที่ดี  จัดการเรื่องราวต่างๆได้ดียิ่ง” กล่าวพลางเหลือบมองออกไปด้านนอก  กาลเวลาล่วงเลย ใบไม้ร่วงโรยไปจนหมดสิ้น  ทุกอย่างไม่หวนคืนมาแล้ว...

ฉีเซี่ยงหยวนมองสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงของอีกฝ่าย  ใจวูบหายอย่างประหลาด  เวลาเพียงไม่กี่เดือน  คนกลับชราภาพไปมากมาย  อดมิได้ต้องเอ่ยถาม
“สุขภาพของพระบิดาช่วงนี้...”
อดีตเป่ยชางอ๋องตัดบทว่า
“คนแก่ย่อมมีโรคของคนแก่  สุขภาพข้าเป็นเช่นนี้มานานมากแล้ว...” นิ่งงันไปพักใหญ่จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าตำหนิข้าใช่หรือไม่ ที่เมื่อก่อนไม่ค่อยได้ดูแลเจ้า...”
ฉีเซี่ยงหยวนส่ายหน้า  ยังคงเงียบงัน  คล้ายไม่ทราบจะกล่าววาจาใดดี  พวกเขาคือบิดากับบุตร  แต่สภาพการพบหน้าแต่ละครากลับห่างเหินชืดชาจนดูราวคนแปลกหน้า  มันเป็นเช่นนี้มานานเกินไป  นานจนยากจะปุบปับเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าสิ่งต่างๆรอบตัวจะแปรเปลี่ยนไปเป็นเช่นไรก็ตาม

ได้ยินเป่ยชางอ๋องกล่าวต่อ
“ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง  จะย้อนกลับไปแก้ไขก็ไม่ทันแล้ว  แต่ดูที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้ข้าก็วางใจ  ...บางทีคงเป็นสวรรค์ลิขิตมาตั้งแต่ต้นว่าเจ้าเหมาะสมกับภาระนี้  คิดไม่ถึงข้ามีบุตรชายห้าคนสุดท้ายกลับเหลือแค่สอง  ข้าได้แต่หวังว่าหลังจากนี้พวกเจ้าจะอยู่อย่างรักใคร่กลมเกลียวกัน...  ไปเถอะ  ไปทำงานของเจ้าให้ดี  ให้สมกับที่ฟ้ามอบหมาย  ประชาราษฎร์คาดหวัง  ข้าจะคอยมองแผ่นดินเป่ยชางของเจ้า  มันจะต้องดียิ่งกว่าแผ่นดินเป่ยชางของข้ามากมายนัก” พูดจบก็หันหลังกลับไป  จบบทสนทนาลงเพียงแค่นั้น 
ฉีเซี่ยงหยวนมองเงาหลังสูงที่งองุ้มลงบางส่วน  ลมหนาวพัดโกรกเข้าไปถึงหัวใจ  นี่เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกของเขากับพระบิดาหลังจากรับมอบบัลลังก์มา...ข้าเข้าใจแล้ว
ที่แท้ท่านเรียกข้ามา...ก็เพราะเรื่องน้องห้า

ฉีเซี่ยงหยวนหันหลังจากไปช้าๆ  ในเมื่อข้าเป็น ‘ต้าอ๋องที่ดี  จัดการเรื่องราวต่างๆได้ดียิ่ง’  ย่อมไม่สมควรเหี้ยมโหดกับน้องชายในสายเลือด  ที่ท่านชมข้ามาทั้งหมดจุดประสงค์เพียงแค่ขอเมตตาให้กับบุตรชายที่ท่านรักใคร่ห่วงใยคนนั้น 
รู้สึกอยากหัวร่อ  แต่มุมปากกลับแข็งค้าง  เพราะลิขิตสวรรค์แล้วท่านไม่อาจฝืนใช่หรือไม่  ไม่เช่นนั้นบัลลังก์นี้เมื่อไม่มีพี่ใหญ่ก็ต้องเป็นของน้องห้า  ไม่มีทางเป็นข้าอย่างเด็ดขาด    ท่านไม่มีทางเลือกข้าเลย 

ขณะก้าวผ่านธรณีประตูลมเย็นวูบหนึ่งที่กรรโชกมาทำให้ชายเสื้อสีดำปลิวสะบัดขึ้น  พัดพาเอาความหวังที่เกิดขึ้นและตายจากครั้งแล้วครั้งเล่าให้ตายจากไปอีกครั้ง  น่าขำยิ่ง  ที่แท้ลึกๆแล้วข้าก็ยังคาดหวังให้ท่านยอมรับข้าบ้าง  พระบิดาท่านรู้หรือไม่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ท่านชมข้า  แต่ทั้งหมด...กลับเพื่อน้องห้า 

ข้าเข้าใจแล้ว...เข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่ง  ...ท่านไม่เหลือทางเลือกให้ข้าเลย
ตาแก่จางจื่อหยูมองเรื่องราวทะลุปรุโปร่งแต่แรก  สุดท้ายแล้วตัวข้าก็ต้องยอมรับว่าอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารถสั่นคลอนบัลลังก์กลับเป็นน้องชายเพียงคนเดียวซึ่งอายุห่างกันมากกว่าสิบปี  ไม่ผิด  หากนับตามลำดับศักดิ์คนที่ควรเป็นรัชทายาทในตอนนี้คือน้องห้า  แต่พระบิดา...ข้าคงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว  ข้าไม่อาจ ‘รักใคร่กลมเกลียว’ กับน้องห้า  ยิ่งไม่อาจให้ตำแหน่งสำคัญใดแก่เขา  เพราะข้าไม่ต้องการฆ่าเขา

บางครั้งข้าก็อยากถามท่านคำถามหนึ่ง...ว่าหากข้ามีบุตรชายของตัวเองขึ้นมาจริงๆอย่างที่จางจื่อหยูมุ่งหวัง  พระบิดา ท่านจะฆ่ากระทั่งหลานของตัวเองด้วยหรือไม่ 

ท่านจะเคย...นับข้าเป็นบุตรชายบ้างหรือไม่...หรือแท้จริงระหว่างเราเป็นได้แค่คนแปลกหน้าไปตลอดกาล...
ความมุ่งหวังของพระบิดา  ความมุ่งหวังของจางจื่อหยู  ความมุ่งหวังของประชาราษฎร์ทั่วหล้า  และความมุ่งหวังของตนเอง ต่างบีบคั้นเข้ามาทีละก้าว  เส้นทางเบื้องหน้าชัดเจนอย่างยิ่งในจิตใจ  แต่กลับเหนื่อยล้าจนยากจะก้าวต่อ
---------------------
ลมหายใจของฉีเซี่ยงหยวนอวลกลิ่นสุราเข้มข้นจนเหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  ในใจทราบว่าอีกฝ่ายไปกองทัพมา  แม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงต้าอ๋องแต่คนผู้นี้กลับมิได้ละทิ้งกิจวัตรเดิมๆที่ต้องหาเวลาไปซ้อมมือกับเหล่าทหารในกองทัพ  ซ้อมเสร็จจึงค่อยดื่มสุราสรวลเสเฮฮากัน
ทว่าถึงฉีเซี่ยงหยวนจะคอแข็งอย่างยิ่ง  กลับมิได้ชมชอบกรอกตัวเองด้วยสุราปริมาณมากๆ และมิได้ชมชอบการเมามาย  การร่วมดื่มกับแม่ทัพนายกองแต่ละครั้งมีจุดประสงค์เพียงต้องการให้บรรยากาศครึกครื้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีต่อกัน  การดื่มในงานเลี้ยงยิ่งไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดื่มจนขัดขวางการใคร่ครวญไตร่ตรอง  ครั้งเดียวที่เหลียนอันสุ่ยเคยเห็นฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจดื่มสุราเป็นจริงเป็นจังคือคืนนั้นที่เมืองอู๋เล่ย...ที่ฉีเซี่ยงหยวนใช้สุราระงับความเจ็บปวด

ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนสงบอย่างยิ่ง  เค้าท่าทีไม่มีความเมามาย  คล้ายกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง  และก็คล้ายเหนื่อยล้ากับเรื่องราวบางประการ 
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ถามเพราะมีความรู้สึกว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการเอ่ยอะไรทั้งสิ้น  เพียงฝนหมึกให้อีกฝ่ายเงียบๆ  ฝนเสร็จก็จุ่มพู่กันส่งให้  แล้วจึงขอตัวออกมา...
---------------------
เหลียนจิ้งเต๋อหอบตำรามาตามทางด้วยท่าทีคึกคักแจ่มใส  เข้ามาในห้องเจอแต่พ่อบุญธรรมก็ขมวดคิ้ว ถาม 
“พ่อบุญธรรม ท่านพ่อเล่า ?”
“เห็นบอกว่าจะไปดูในครัว” ฉีเซี่ยงหยวนเงยหน้าขึ้นมาตอบ
เหลียนจิ้งเต๋อทำเสียงอ๋อแล้วจัดการวางการบ้านกองใหญ่ที่ตัวเองหอบมาลงบนโต๊ะข้างๆ พลางกล่าว
“ใช่แล้วๆ  ท่านพ่อสัญญากับข้าว่าถ้าข้าตอบคำถามในตำราจริยธรรมได้หมดวันนี้จะเข้าครัวเอง  งั้นพ่อบุญธรรม  การบ้านวันนี้ของข้าคงต้องพึ่งพาท่านแล้ว” พูดจบก็เบียดเข้ามาอีกหน่อย กางม้วนไม้ไผ่ออก  เพราะวันนี้คู่หูไปเยี่ยมมารดา  เหลียนจิ้งเต๋อจึงประสบภาวะขาดคนช่วยทำการบ้าน
ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไป  เข้าครัวเอง?  เสียงอ่านโจทย์ดังๆข้างหูดังกลบความคิดขึ้นมากะทันหัน
“ความเป็นผู้นำ ความเป็นกลาง  ความสามารถ  ท่านว่าสามข้อนี้สำหรับนักปกครองอะไรสำคัญที่สุด”

ฉีเซี่ยงหยวนก้มลงมองเด็กที่ครอบครองทุกอย่างที่เขาไม่เคยมี  ถามขึ้นว่า
“เจ้าอยากเป็นนักปกครอง ?” ...ทราบหรือไม่ว่าการยืนอยู่เหนือผู้อื่นต้องจ่ายสิ่งใดออกไปบ้าง
“ข้าอยู่ของข้าดีๆเหตุใดต้องไปอยากปกครองผู้อื่น  ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหตุใดอาจารย์ถึงจะให้ข้าตอบโจทย์ข้อนี้ให้ได้  ท่านดู  โจทย์มากมายถึงเพียงนี้  ไม่มีคนช่วยทำจะเสร็จได้อย่างไร” พูดจบก็จัดการกางออกมาทั้งหมด  เรียงจนชวนให้คนตาลาย ซ้ำยังเบียดที่ขยับกองฎีกาของฉีเซี่ยงหยวนไปห่างๆอีกด้วย
คำตอบที่ตรงไปตรงมา  ประโยคที่ควรกล่าวและไม่ควรกล่าวล้วนถูกกล่าวออกมาจนหมดสิ้น  ทำให้ใบหน้าที่กระด้างเย็นชาของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายกับมีรอยยิ้ม  น่าแปลกที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่มีแม่ชัดๆ  แต่เด็กคนนี้กลับไม่เคยขาดอะไรเลย  เหลียนอันสุ่ยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“ ‘ช่วยทำการบ้าน’ ประโยคนี้เจ้ากลับกล่าวออกมาได้อย่างคล่องปากยิ่ง”
เหลียนจิ้งเต๋อชะงักไป  รีบเปลี่ยนเป็นกล่าวว่า
“พ่อบุญธรรม ท่านยังไม่ตอบคำถามข้า” คำถามนี้คนอื่นไม่รู้ได้  แต่พ่อบุญธรรมต้องทราบแน่นอน
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนมีแววครุ่นคิด  ตอบอย่างจริงจังว่า
“สำหรับข้าสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักปกครองคือรู้จักแยกแยะ  เมื่อรู้จักแยกแยะจึงสามารถตัดสินใจ  เมื่อรู้จักแยกแยะจึงสามารถวางตัวเป็นกลาง  การแยกแยะอย่างกระจ่างชัดเป็นความสามารถประการหนึ่ง  และการรู้จักแยกแยะเมื่อประกอบกับความเป็นผู้นำจึงสามารถทำให้คนยอมรับนับถือ”

เหลียนจิ้งเต๋อฟังพลางอ้าปากค้างพลาง  สุดท้ายร้องออกมาว่า
“พ่อบุญธรรม...ท่าน...ตอบไม่ตรงคำถามนี่ !”
ฉีเซี่ยงหยวนมองสีหน้าอีกฝ่ายแล้วก็หัวเราะ  ในวันที่ตัวเขาไม่คิดว่าจะหัวเราะได้กลับหัวเราะออกมาในที่สุด
---------------------
“...นักปกครองคือคนที่วางตัวเองอยู่สูงขึ้นไป ในมือกุมความเป็นอยู่ของคนนับร้อยไว้  แต่คนนับร้อยความคิดเห็นมีนับพันนับหมื่น  เจ้าย่อมมิอาจเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งโดยง่าย  ทางที่ดีที่สุดแต่กระทำจริงได้ยากเย็นที่สุดคือวางตัวเป็นกลาง  เช่นนี้จึงได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย  เช่นนี้จึงสามารถได้ยินความเห็นที่แตกต่าง 
สำหรับข้าในใจของนักปกครองทุกคนสมควรมีกระจกอยู่บานหนึ่ง  กระจกบานนี้ไม่ได้ส่องประชาราษฎร์ทั่วหล้าเพราะหากเจ้ามีดวงตาที่ไม่มืดบอดเจ้าย่อมมองเห็นพวกเขาเหล่านั้นอยู่แล้ว  ที่เจ้ามองไม่เห็นคือตัวเอง  แต่ถ้าเจ้าไม่อาจรักษาความเป็นกลางไว้  สุดท้ายเจ้าจะสูญเสียกระจกบานนี้ไป  และหลังจากนั้นสิ่งที่เจ้ามองเห็นจะไม่ใช่ทั่วหล้า  แต่เป็นความเห็นของคนเพียงฝ่ายเดียว”
เหลียนจิ้งเต๋อหน้านิ่วคิ้วขมวด
“นักปกครองมิใช่ต้องตัดสินใจหรือ  แล้วในเมื่อต้องตัดสินใจสุดท้ายก็ต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ดี  แล้วจะเป็นกลางได้อย่างไร”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะหึหึ  ตอบว่า
“เรื่องเช่นนี้ย่อมมีวิธีการอยู่  บางครั้งในใจเจ้าอาจตัดสินใจไปแล้วตั้งแต่ต้น  แต่ภายนอกย่อมมิใช่  รอให้บรรดาขุนนางของเจ้าอภิปรายจนพึงพอใจทั้งสองฝ่าย  สุดท้ายค่อยให้ขุนนางที่เป็นแขนขาของเจ้าผลักดันให้เจ้า ‘ต้อง’ ตัดสินใจ”

“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว  นักปกครองต้องรู้จักสร้างภาพนี่เอง”

ฉีเซี่ยงหยวนสำลักจนต้องกลบเกลื่อนด้วยการกระแอมไอ  รู้สึกว่าตัวเองยิ่งพูดยิ่งเลยเถิด  หากบิดาแท้ๆของเหลียนจิ้งเต๋อมาได้ยินเขาชี้นำบุตรชายตัวเองไปในทางที่ผิดเช่นนี้  ไม่ทราบจะทำหน้าอย่างไร  คิดพลางกล่าวสรุปด้วยสีหน้าที่ปั้นให้เคร่งขรึมจริงจังว่า
“เพียงแต่ถึงจะทำเช่นนี้เจ้าก็ต้องหมั่น ‘ส่องกระจก’ สำรวจตนเอง  เปิดใจรับฟังผู้อื่น  เฉลี่ยการตัดสินใจแต่ละครั้งให้เหมาะสมมิให้ทุกคราล้วนเอียงไปด้านเดียวกันหมด  กับ ‘ความสามารถ’ ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถชดเชยให้เจ้าได้  จำไว้ คนเราทุกคนไม่สามารถเก่งกาจไปทุกด้าน  ส่วน ‘ความเป็นผู้นำ’ ที่เจ้าเอ่ยถึง  หากมีเพียงข้อนี้ข้อเดียว  นำไปทางเดียวอย่างสุดโต่ง  นักปกครองเช่นนี้ไม่มีเป็นดีที่สุด” กล่าวสรุปเสร็จฉีเซี่ยงหยวนก็ก้มหน้าหางานของตัวเองที่เมื่อครู่ถูกมือเล็กผลักไปไกลสุดปลายโต๊ะ

อันที่จริงบิดาแท้ๆของเหลียนจิ้งเต๋อยืนฟังบทสนทนาอยู่นอกประตูนานแล้ว และสีหน้าของเขาก็มิใช่สีหน้าที่คนในห้องจะคาดเดาออกตลอดกาล  มันเป็นความอบอุ่นหวานละมุนชนิดหนึ่ง  ความจริงเหลียนอันสุ่ยตั้งใจจะเรียกคนทั้งสองไปกินข้าว  แต่ความคิดดังกล่าวกลับถูกเสียงหัวเราะของฉีเซี่ยงหยวนชะออกไป...ไว้อีกซักพักเถิด 
“ข้อต่อไปโจทย์คือ...”
“ไม่ต้องอ่านให้ข้าฟัง  ข้อต่อไปเจ้าทำเอง”
“อ้าว  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า!” เหลียนจิ้งเต๋อร้องเสียงหลง
“หากช่วยเจ้าทุกข้อนี่ก็มิใช่การบ้านเจ้าแล้ว  แต่เป็นการบ้านข้า”
เหลียนอันสุ่ยที่นอกประตูหลุดขำออกมา  คำกล่าวนี้นับว่ากล่าวได้อย่างถูกต้องจริงๆ  ดูเหมือนฉีเซี่ยงหยวน...จะไม่เป็นไรแล้ว

ลึกๆแล้วในใจของเหลียนอันสุ่ยมีความเชื่อมั่นว่าบุรุษผู้นี้จะไม่เป็นไรแน่นอน  ความแข็งแกร่งของฉีเซี่ยงหยวนคือการที่เขาสามารถล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ  ไม่จมอยู่ในเงาของอดีต  ไม่กลบฝังตัวเองอยู่ในความล้มเหลว  ไม่ยินยอมให้ความเจ็บปวดขัดขวางหนทางที่ต้องก้าวเดินไป  วางแผ่นดินไว้ในมือคนเช่นนี้ ยังจะมีอะไรไม่วางใจอีก

อาจบางทีในบั้นปลายของชีวิต อดีตเป่ยชางอ๋องก็ไม่อาจหนีไปจากความจริงที่ว่าในบรรดาเรื่องที่ตัวเขากระทำเพื่อแคว้นเป่ยชางทั้งหมด  ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับเป็นการที่เขาให้กำเนิดบุตรชายคนที่สี่... 
บุตรชายที่เขาไม่เคยมองอย่างเต็มตาซักครั้ง  บุตรชายที่เขายึดถือเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้ามาสามสิบเอ็ดปีเต็ม


ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนค่ะ
หลงความคึกคักแจ่มใสของเหลียนจิ้งเต๋อจัง
อ่านกี่รอบก็น่ารักนะตอนช่วยทำการบ้านเนี้ย


ใจจริงแอบจิ้นเหลียนจิ้งเต๋อผู้สดใสร่าเริงสุดใสซื่อกับรัชทายาทผู้ปราดเปรื่องล้ำลึกนั่นจัง หึๆ คู่เล็กก็ดูจะแซบไม่น้อย


สู้ๆค่ะ  อยากบอกว่าเป็นเรื่องที่อ่านวนได้หลายรอบมากจริงๆ
เกือบทั้งเรื่องอ่านเกินห้ารอบแล้ว เชื่อมั้ย

ออฟไลน์ HydrA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-2
อย่านะอย่ามาบีบบังคับให้เลือกชายานะ ขุนนางพวกนี้นี่เดี๋ยวจับตีเลย
ยังไม่อยากเห็นเหลียนอันสุ่ยเสียใจน๊า

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 37
«ตอบ #103 เมื่อ11-09-2014 17:33:18 »


บทที่ 37 ทูตจากแคว้นเหลียน

เสียงกระซิบกระซาบดังเป็นระลอกๆไม่หยุดพักราวกับริ้วน้ำที่กระเพื่อมกระทบฝั่ง  เขตเรือนพักนับเป็นทางระบายออกของหญิงรับใช้ทุกคนที่ทำงานอย่างสงบเสงี่ยมสงบปากสงบคำจนจะช้ำในตายมาตลอดทั้งวัน  อิ๋งฮวาส่ายหัวอย่างจนใจเพราะทราบว่าการปรามของนางสามารถทำให้ลดน้อยลงได้  แต่ก็ไม่มีทางทำให้หายขาดไปอย่างเด็ดขาด

“นี่ๆ พวกเจ้ารู้หรือไม่  ทูตแคว้นเหลียนที่จะมาเยือนคราวนี้เป็นผู้ใด”
เจ้าของคำพูดย่อมเป็นหญิงรับใช้ชาวเป่ยชาง  ในตำหนักเสียงวสันต์แห่งนี้มีหญิงรับใช้ที่เป็นชาวเหลียนทั้งหมดเพียงห้าคน  อิ๋งฮวาชะงักเท้าลงช้าๆ 
“เป็นใต้เท้าเหวิน พ่อตาของพระมาตุลาที่พวกเรารับใช้อยู่อย่างไรเล่า...”
‘เพล้ง’ ชามในมืออิ๋งฮวาร่วงลงสู่พื้น  เสียงชามกระเบื้องกระแทกเข้ากับกรอบประตูจนแตกเป็นเสี่ยงดังสะท้านไปทั่วบริเวณ
---------------------
หลายวันต่อมา
“...ท่านดูเปลี่ยนไปไม่น้อย  เอาเถอะ  เวลาเปลี่ยนผู้คนก็ยากจะคงเดิม  จะมีซักกี่คนที่สามารถเป็นเช่นเดียวกับวันวาน” คำพูดดูราวจะแฝงความหมายล้ำลึกบางอย่าง  ดวงตาของผู้สูงวัยกว่าพิจารณาใบหน้าของ ‘บุตรเขย’ ที่ไม่ได้เห็นมานาน
“ท่านพ่อตาเดินทางมาไกลคงลำบากไม่น้อย  เชิญนั่งเถิด”
เหวินเถียนหรี่ตาลง  มารยาทของบุรุษผู้นี้ไม่เคยบกพร่องมาแต่ไหนแต่ไร  ใช่ สุภาพเรียบร้อย...และปราศจากพิรุธ
เหวินเถียนกล่าวขึ้น
“ที่ข้ามาคราวนี้ความจริงมีทั้งเรื่องบ้านเมืองและเรื่องส่วนตัว  จิ้งเต๋อเล่า ?”
ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเหลียนอันสุ่ยชะงักไปวูบหนึ่ง  ในใจเหมือนมีบางอย่างว่างโหวงขึ้นมาฉับพลัน  เงยหน้ามองผู้มากวัยกว่าช้าๆ...
---------------------
บนทางเดินคดเคี้ยวเคียงสระน้ำใสกระจ่าง  ก้อนกรวดตามรายขับเน้นสนเขียว  สนเขียวขับเน้นเรือนไม้  เหวินเถียนเดินพลางพิจารณารอบข้างของตำหนักเสียงวสันต์ไปพลาง มิได้รีบร้อนจะจากไป  ปากพึมพำว่า
“ถึงแม้ชาวเป่ยชางจะไร้รสนิยม  แต่ที่นี่จัดตกแต่งได้ไม่เลวเลย  แคว้นเป่ยชางนับว่าดีกับเชลยทางการเมืองไม่น้อยทีเดียว”
น้ำเสียงเสียดสีที่เขาใช้ทำให้อิ๋งฮวาที่เดินตามออกมาส่งใจไม่ค่อยดี  มีบางอย่างผิดปกติ  ผิดปกติเป็นอย่างมาก  นี่ไม่เหมือนท่าทีที่ใต้เท้าเหวินมีต่อนายท่าน 

ปกติใต้เท้าเหวินนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา  เอ็นดูคุณชายน้อยอย่างยิ่ง  ถือเป็นญาติสนิทที่สุดของสองพ่อลูก  ไม่มีทางมีท่าทีขุ่นมัวห่างเหินราวกับคนไม่ชอบหน้ากันเช่นนี้เป็นอันขาด  ท่าทีที่ไม่เหมือนเดิมนี้ทำให้อิ๋งฮวาแทบจะไม่เชื่อว่าบุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางจะเป็นใต้เท้าเหวินจริงๆ
เหวินเถียนไม่สนใจท่าทีครุ่นคิดของหญิงรับใช้ที่เดิมตามหลังมา  สายตาเขาไปสะดุดเอากับหญิงรับใช้นางหนึ่งซึ่งเช็ดถูอยู่ริมหน้าต่าง
“นั่นมันเม่ยเอ๋อมิใช่หรือ  อิ๋งฮวา  เจ้าไปบอกพระมาตุลาว่าข้าขอยืมตัวนางสักครู่  ข้าไม่ได้สนทนาเรื่องลูกสาวมานานเหลือเกินแล้ว”
ใบหน้าของอิ๋งฮวาเผือดขาวราวกับกระดาษ  นางก็ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังหวาดกลัวสิ่งใด  ลางสังหรณ์ร้องเตือนอย่างเลวร้ายขึ้นทุกขณะ  อาจบางทีเพราะเรื่องที่ถูกปกปิดไว้มีมากมายจนเกินไป
---------------------
ที่แคว้นเหลียน
ตำหนักเก่าที่ปลูกแต่ดอกเบญจมาศยังคงปลูกแต่ดอกเบญจมาศ  เสียงหัวเราะแหลมสูงที่ฟังดูเสียดหูจนหนาวไปถึงกระดูกเสียงหนึ่งจู่ๆก็ดังขึ้นมา มุมปากของคนในห้องมีรอยยิ้ม  นางรอคอย...ตั้งหน้าตั้งตานับวันรอคอยชมดูความพินาศของคนสองคน  ฝันที่วาดฝันมานานนับว่าใกล้เป็นจริงแล้ว

“เจ้าเป็นกังวลหรือ ?...ไม่เลย  ไม่ต้องกังวลเลย  หากจะมีคนผู้หนึ่งสามารถขุดคุ้ยความลับทุกอย่างจากตำหนักพระมาตุลาได้  คนผู้นั้นก็คือเหวินเถียน” นางเอ่ยกับบ่าวรับใช้และก็คล้ายกำลังเอ่ยเพื่อปลอบประโลมจิตใจเคียดแค้นของตัวเองด้วย

เหลียนอันสุ่ยเมตตาบ่าวไพร่  บ่าวไพร่ในตำหนักล้วนจงรักภักดี  ทุกคนต่างรู้ว่าการจะขุดคุ้ยเรื่องราวเพื่อทำร้ายเขานับเป็นเรื่องลำบากยากเย็น  แต่ทุกคนต่างก็รู้เช่นกันว่าบ่าวไพร่สกุลเหวินที่ติดตามไปรับใช้เหวินจีหลังแต่งงานก็มีไม่น้อยเลยจริงๆ
ดวงตาของสตรีผู้เป็นเจ้าของวาววาบ ปรารถนาใคร่ได้ยินข่าวคราวจากแคว้นเป่ยชางโดยไว  น่าเสียดายที่กว่าข่าวคราวจะมาถึงก็ช้ากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปครึ่งเดือน  ช้าเหลือเกิน นางทนรอแทบไม่ไหวแล้ว...
   ---------------------
หากต้นไม้ในสวนสามารถใช้เป็นเชื้อไฟ  โทสะของเหวินเถียนก็คงแผดเผามันจนกลายเป็นเถ้าไปนานแล้ว  ท่าทีสงบของเหลียนอันสุ่ยทำให้เหวินเถียนมีความหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง  หวังว่าทุกประการจะเป็นเพียงข่าวโคมลอย  แต่ความหวังเพียงวูบเดียวนั้นก็ถูกดับสนิทจนไม่มีเหลือด้วยฝีมือของหญิงรับใช้ที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า  แรงโทสะผลักดันให้เหวินเถียนหันหลังย้อนกลับไป  บุกรุกเข้าสถานที่ที่เมื่อครู่เพิ่งจะก้าวขาออกมา

เสียงกราดเกรี้ยวนำมาก่อน
“เหลียนอันสุ่ย  เสียทีที่ลูกสาวข้ารักท่าน!  ชีวิตของนางท่านปกป้องเอาไว้ไม่ได้  ความรักของนางท่านก็เอามาย่ำยีเช่นนี้เองหรือ!  ที่แท้เรื่องมันก็ไม่ได้ต่างจากที่นางแพศยานั่นพูดแม้แต่น้อย !”
เหลียนอันสุ่ยที่เดินออกมาเพราะได้ยินเสียงความวุ่นวายนิ่งค้างไปอย่างตกตะลึง
เหวินเถียนมองสภาพตำหนักรอบตัวด้วยท่าทีเหยียดหยาม  ขณะกล่าว
“หึ  ตำหนักเชลยที่หรูหราโอ่อ่า  เรื่องพรรค์นี้มันมีที่ไหนกัน!  ความสัมพันธ์สกปรกน่ารังเกียจนี้ไม่ทำให้ท่านนึกรังเกียจตัวเองบ้างเลยหรือ  เหลียนจิ้งเต๋อไม่ควรนับท่านเป็นบิดา  หลานข้าเทิดทูนคนผิดไปแล้ว  ข้าเองก็มองคนผิดไปแล้ว  ท่านไม่คู่ควรกับลูกสาวข้าเลยซักนิด !”
ดวงตาที่แสดงความชิงชังรังเกียจโดยเปิดเผย ทิ่มแทงเหลียนอันสุ่ยจนแทบล้มทั้งยืน 

อิ๋งฮวาที่ถลาเข้ามาได้แต่มองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน  ใบหน้าไม่มีสีเลือดหลงเหลือแม้แต่เฉดเดียว  ต้วนจินที่คิดเข้ามาขวางกลับถูกหม่าหลงกระชากตัวไว้  ไม่ได้!  เรื่องนี้พวกเขาเข้าไปยุ่งแล้วสถานการณ์จะสาหัสกว่าเดิม  ส่วนหวังเชียนกันหญิงรับใช้อื่นๆออกไป  มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยแววตาร้อนรน

“ท่านพ่อตา  ท่านพูดเรื่องอะ...”
เหวินเถียนไม่ฟังคำแก้ตัวตัดบทว่า
“ไม่ต้องมาเรียกข้าเป็นพ่อตา  ท่านรู้หรือไม่ก่อนมานี่หญิงแพศยานั่นเชิญข้าไปพบ  บังคับให้ข้าฟังเรื่องราวสกปรกของพวกท่าน  ตอนนั้นข้าไม่เชื่อ  คิดไม่ถึง  คิดไม่ถึง...” โมโหจนหน้ามืดเลือดลมตีกลับ  น่าชังแทบตายแล้ว  เรื่องพรรค์นี้ยังกระทำออกมาได้! 
เหลียนอันสุ่ยรีบเข้าไปช่วยพยุงแต่กลับถูกเหวินเถียนผลักออกแรงๆอย่างไม่ยินยอมรับไมตรี  แค่นเสียงหนักๆกล่าวว่า

“ท่านจะปฏิเสธก็ได้  แต่ฟ้ารู้ดินรู้  ตัวเองรู้อยู่แก่ใจ  เรื่องราวผิดหลักฟ้าดินเช่นนี้  ไม่เพียงใต้หล้าไม่ยอมรับ  สวรรค์ก็ตำหนิติเตียน  เว้นเรื่องนี้ไม่พูด  ท่านจำไม่ได้หรือว่าฉีเซี่ยงหยวนเหยียบย่ำแผ่นดินแคว้นเหลียนอย่างไร  ที่แคว้นเหลียนกลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะมัน  ซากศพโลหิตที่หลั่งไหลออกไปทั้งหมดก็เพราะมันเป็นต้นเหตุ  แค่ท่านญาติดีกับมันก็เป็นการทรยศแคว้นเหลียนแล้ว !”
“บังอาจ  คำพูดสามหาวเช่นนี้พูดได้หรือ” ต้วนจินทนเงียบไม่ไหวอีกต่อไป
“หวังเชียน  พาตัวต้วนจินออกไป” เหลียนอันสุ่ยออกคำสั่งด้วยไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนทั้งคู่  ในเปลือกนอกที่พยายามควบคุมให้เยือกเย็นมีความร้อนรุ่มเจ็บปวดระคนหวั่นกลัว  เหลียนอันสุ่ยแทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยหวั่นกลัวถึงเพียงนี้เป็นเมื่อไหร่กัน

“ไม่จำเป็น  หากเป็นคำสั่งท่าน  ข้าย่อมต้องออกไปอยู่แล้ว” ต้วนจินกล่าวจบก็เดินออกจากห้องไปด้วยตัวเอง
“คิดไม่ถึง  ทหารแคว้นเป่ยชางจะเชื่อฟังท่านขนาดนี้  ถูกพวกมันหลอมกลืนไปแล้วหรืออย่างไร  คงไม่ต้องให้ข้าย้ำเตือนกระมังว่าท่านเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียน” น้ำเสียงเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้ากรีดซ้ำลงบนความรู้สึกผิดเดิม
 
เหลียนอันสุ่ยหูลั่นอึงอล  คิดจะกล่าววาจา แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะกล่าวออกไป  จนด้วยคำพูดนิ่งงันอยู่เช่นนั้น  และประโยคต่อมาของเหวินเถียนก็ทำให้ความหวาดกลัวของเหลียนอันสุ่ยกลายเป็นความจริง
“ข้าตัดสินใจแน่นอนแล้ว  ท่านจะทำอะไรข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว  พวกเราขาดกัน  แต่หลานของข้าข้าจะพาเขาไป ต้องพาไปแน่นอน  เพราะข้าจะไม่ทิ้งเขาไว้ซึมซับความต่ำช้าไร้ทั้งสำนึกทั้งยางอายของท่านเป็นอันขาด!” ชี้หน้ากล่าวจบก็จากไป ราวไม่ต้องการเห็นหน้าอีกฝ่ายอีกแม้ชั่วครู่ยาม

ไม่  ท่านจะเอาเด็กคนนั้นไปจากข้าไม่ได้  ข้า...
เหลียนอันสุ่ยสั่นสะท้านไปทั้งร่าง  เบิกตามองความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย  พึมพำแผ่วเบาว่า
“ข้าทำผิดไป  เป็นข้าที่ทำผิดไป  ที่แท้ข้า...ทำอะไรลงไปกันแน่...”
“นายท่าน  ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดไป  ความผิดนี้ไม่ใช่ของท่าน  เป็นของผู้หญิงต่ำช้าคนนั้น  เป็นของเป่ยชางอ๋องคนนั้น !  อิ๋งฮวาวิงวอนนายท่าน อย่าโทษตัวเอง  อย่าโทษตัวเองเช่นนี้...”
เหลียนอันสุ่ยก้มลงมองอิ๋งฮวาที่ถลามาเบื้องหน้าเขา  จากดวงตาที่สับสน  สุดท้ายเหลือเพียงรอยยิ้มที่หม่นหมอง

อิ๋งฮวามองสีหน้าเขาด้วยความหวาดประหวั่นพรั่นพรึง  นายท่านไม่เห็นด้วยกับนาง  นายท่านไม่ได้โทษว่าคนพวกนั้น  เขาเพียงโทษว่าตัวเอง  เข่าของอิ๋งฮวาคุกโครมลงกับพื้น
“เป็นอิ๋งฮวาไม่ดี  ไม่ควรปล่อยให้ใต้เท้าเหวินคุยกับเม่ยเอ๋อ” นางก้มลงโขกศีรษะซ้ำๆ  รู้สึกถึงฝ้าน้ำตาที่ค่อยๆก่อตัว  แต่กลับเห็นเท้าของนายท่านเดินจากไป  น้ำเสียงที่ทิ้งไว้ของเขาสงบราบเรียบ
“ลุกขึ้นเถอะ  นางเป็นคนบ้านสกุลเหวิน  ย่อมไม่อาจปิดบังท่านพ่อตา  นี่ไม่ใช่ความผิดของนางและไม่ใช่ความผิดของเจ้าด้วย” ความผิดนี้...เพียงเป็นของข้า
น้ำตาของอิ๋งฮวาทะลักออกจากเบ้า  หัวใจกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ในม่านน้ำตาที่พร่ามัวผืนนั้น  แผ่นหลังสูงโปร่งที่เคยแบกรับทุกเรื่องราวไว้ตลอดมา  คราวนี้กลับดูไม่มั่นคงเช่นดังเดิม

อิ๋งฮวา  ข้าขอโทษ  เจ้าต้องร้องไห้เพราะข้าอีกแล้ว  ...บางคราวข้าก็สงสัย  เพราะข้าไม่อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้ใช่หรือไม่  จึงเป็นเจ้าอยู่ตลอด...เป็นเจ้าที่ร้องไห้แทนข้า
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนได้รับรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว  แต่ตัวเขากลับติดอยู่ระหว่างประชุมขุนนาง  อยากจะรีบรุดไปตำหนักเสียงวสันต์แต่โซ่อันหนาหนักที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งกลับล่ามตัวเขาเอาไว้กับบัลลังก์อย่างแน่นหนา  ลมหายใจที่สงบตลอดมาหนักหน่วงกระวนกระวาย  ความปวดร้าวทรมานในจิตใจเหมือนถูกกักขังอยู่ในเตาอัคคี  เพียรกดความรู้สึกนั้นลงไป  บังคับให้จิตใจจดจ่ออยู่กับแผนการจัดการภัยพิบัติตรงหน้า

เขาไม่อาจไป  ความรับผิดชอบนี้เป็นของเขา  คนเป็นเรือนพันกำลังไม่มีที่อยู่ เจ็บปวดเดือดร้อน  เขาไม่อาจไป  และไม่อาจรีบร้อน  จะให้ขุนนางพวกนี้สนใจการคงอยู่ของเหลียนอันสุ่ยไม่ได้  จะให้ผู้คนเหล่านี้ล่วงรู้ความสำคัญของคนผู้นั้นภายในใจเขาไม่ได้!
‘ไม่เช่นนั้น  ท่านจะไม่มีทางปกป้องเขาเอาไว้ได้อีกเลย’ ราวกับเสียงของจางจื่อหยูกระซิบอยู่แผ่วเบา
---------------------
อากาศแห้งๆแทรกตัวอยู่ในทุกมุมห้อง  ความรู้สึกแห้งผากกลับแทรกซึมล้ำลึกอยู่ในหัวใจ 
เหลียนอันสุ่ยเอย  เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่ เหตุใดสิ่งที่เข้าใจว่าไตร่ตรองดีแล้วจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้  ไม่ยินยอมพร้อมใจใช่หรือไม่  หวาดกลัวที่จะสูญเสียไปใช่หรือไม่  เหตุใดจึงไม่คิดบ้าง...ว่าตัวเจ้าเองมิได้คู่ควรกับสิ่งเหล่านี้เลย  เด็กคนนี้เจ้ายังทำร้ายเขาไม่พออีกหรือ  เพราะทางที่เจ้าเลือกทำให้เขาต้องสูญเสียมารดา  และครั้งนี้ก็เพราะทางที่เจ้าเลือกอีกที่ทำให้เขาต้องสูญเสียบิดา  หากเจ้ายังรั้งเด็กคนนั้นไว้ก็มีแต่ทำร้ายเขามากขึ้นเท่านั้น  ตัดสินใจไปแล้วแต่หักใจทำไม่ลงนี่ไม่คล้ายตัวเจ้าเลย

เสียงเปิดประตูช้าๆ เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  เมื่อลืมตาใหม่อีกคราดวงตาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนก็กลายเป็นเคร่งขรึมเย็นชา
“ท่านพ่อ  เหตุใดพี่อิ๋งฮวาจึงตาแดงๆเหมือนร้องไห้เลยเล่า  ใครกันที่กล้ารังแกนาง  นางออกจะแกร่งขนาดนั้นแท้ๆ...” คำสัพยอกหยอกล้อที่เหลียนจิ้งเต๋อตั้งใจจะเอามาผ่อนคลายบรรยากาศที่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงหนักอึ้งเป็นพิเศษเงียบหายไปกลางคัน...เมื่อเห็นแววตาของบิดา
“เจ้าออกไปเที่ยวเล่นมาอีกแล้ว ?”
เหลียนจิ้งเต๋อเสียวสันหลังวาบ  ร้อนตัวรีบกล่าว
“การบ้านข้ากะทำเย็นนี้อย่างไรเล่า  ท่านพ่อ นานๆครั้งหรอกที่ข้าจะได้มีวันหยุดเรียนกับเขาบ้าง”
เหลัยนอันสุ่ยตัดบทว่า
“เจ้าคุยกับท่านตาแล้วหรือยัง”
“ท่านตา... ท่านพ่อ ข้าไม่กลับแคว้นเหลียนนะ” คำพูดโพล่งออกมาทันทีที่นึกได้
“เหตุใดจึงไม่โตเสียที  เจ้าเข้าใจว่าการได้กลับแคว้นเหลียนเป็นเรื่องที่ง่ายดาย?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าการจะพาเจ้ากลับแคว้นเหลียนต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่  ท่านตาอุตส่าห์มาหาเจ้าถึงที่นี่  เจ้ายังปฏิเสธอีกหรือ”
“ข้า...” เหลียนจิ้งเต๋อเจอคำตำหนิของบิดาเข้าไปถึงกับพูดไม่ออก

“ไปเก็บของได้แล้ว  อีกไม่กี่วันท่านตาก็จะจากไปแล้ว  อย่ามัวเอาแต่เที่ยวเล่น”
“แต่ข้าไม่อยากไปจากท่านพ่อนี่!” เหลียนจิ้งเต๋อพูดออกมาอย่างดื้อรั้น
“เจ้าอายุสิบขวบแล้วยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรอีกหรือ  คิดจะทำตัวดื้อรั้นเช่นนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่  บางทีพ่อคงตามใจเจ้ามากเกินไป  อีกไม่กี่ปีเจ้าก็จะเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวสมควรยืนด้วยตัวเองได้แล้ว  อย่าทำให้พ่อผิดหวังมากกว่านี้  ไปเก็บของซะ” ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยเคร่งขรึมจริงจัง
ลำคอของเหลียนจิ้งเต๋อแห้งผาก  เกิดอะไรขึ้น  ทำไม  ทำไมท่านพ่อเจอหน้าก็จะไล่เขาไป...
เหลียนอันสุ่ยเห็นสีหน้าของบุตรชายก็เบือนหน้าหนี  กลัวตัวเองเผลอใจอ่อนจนทำให้เสียเรื่องขึ้นมา

“ท่านพ่อ...ลูกถามท่านได้หรือไม่ว่าเพราะอะไร...”
“คำถามนี้ความจริงไม่จำเป็นต้องตอบ  มีเหตุผลมากมายที่เจ้าสมควรกลับไป  ไปตั้งใจใคร่ครวญดูก็จะกระจ่างชัด  เหลียนจิ้งเต๋อจำคำพ่อได้หรือไม่  ที่ว่าทุกคนล้วนมีที่ที่ตัวเองควรอยู่  มีหน้าที่ที่ตัวเองควรทำ  ต่อจากนี้เชื่อฟังท่านตา  ตั้งใจฝึกฝนตนเอง  อย่าให้เสียทีที่พ่อตั้งใจเลี้ยงเจ้ามา”

เหลียนจิ้งเต๋อฉุดดึงแขนเสื้อของบิดา  สีหน้าย่ำแย่ ไม่อาจตกลงใจ
เหลียนอันสุ่ยก้มมองมือเล็กที่จับชายแขนเสื้อเขาเอาไว้  ความทรงจำย้อนทวนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน  เด็กชายตัวน้อยในวันวานก็เคยฉุดดึงแขนเสื้อของเขาเช่นนี้...  เหลียนอันสุ่ยดึงชายเสื้อกลับมาช้าๆ เดินเข้าห้องชั้นในโดยไม่กล่าววาจาใดอีก

ฝ่ามือของเหลียนจิ้งเต๋อสุดท้ายก็คว้าไว้ได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า  เด็กชายวัยสิบขวบมองมือข้างนั้น  รู้สึกเหมือนร่างกำลังร่วงหล่นลงไปในหลุมที่ไม่มีวันปีนป่ายขึ้นมา  วินาทีที่ท่านพ่อหันหลังให้เขาโลกทั้งโลกของเหลียนจิ้งเต๋อก็คล้ายกลายเป็นโลกที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป...

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 38
«ตอบ #104 เมื่อ11-09-2014 18:02:07 »


บทที่ 38 คุกเข่า

ร่ำสุรา ชมเบญจมาศ  มีความสุขสุนทรีย์ถึงเพียงนั้น  น่าเสียดายในกลิ่นสุราอ่อนจางกลับมีรสชาติของความแค้นอันเข้มข้น  ความสุขนี้จึงเป็นความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น...

“เหวินเถียนนิสัยตรงเป็นไม้บรรทัดไม่มีทางทนทานรับเรื่องน่าขยะแขยงเช่นนี้ได้อย่างเด็ดขาด  เป็นอย่างไรเล่าตาแก่สกปรก  ลูกไม้นี้ของข้าทำให้ท่านกระอักเลือดด้วยความโมโหไปแล้วหรือยัง” น้ำเสียงที่อ่อนหวานอย่างเสียดสีเต็มไปด้วยความสะใจ  ลูกรัก  คนเลวพวกนั้นกำลังชดใช้ให้เราแล้ว  ชีวิตของเจ้าพวกเขาพรากเอาไป  แม่จะไม่ให้คนเหล่านั้นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเด็ดขาด
“ด้วยนิสัยของพระมาตุลาไม่มีทางรั้งบุตรชายเอาไว้กับเขา หรือเป้าหมายที่แท้จริงของนายหญิงคือ...” ดวงตาของหญิงรับใช้เหลือบมองผู้เป็นนาย  ภายในนั้นสื่อความหมายที่มีเพียงทั้งคู่ที่เข้าใจ
“ใช่  คนที่นิสัยเสียสละไปซะทุกอย่างทำตัวเป็นคนดีจอมปลอมเช่นเขาต้องเลือกที่จะเสียสละอยู่แล้ว  เขาทำให้ข้าสูญเสียบุตรชาย  ตัวเขาก็สมควรได้รู้จักความสูญเสียนี้เช่นกัน”
“บ่าวเกรงว่าเรื่องราวจะไม่ง่ายดาย  นายหญิง ท่านอย่าลืมว่าเหลียนจิ้งเต๋อมีฐานะเป็นบุตรบุญธรรมของเป่ยชางอ๋อง  ถ้าเป่ยชางอ๋องผู้นั้นยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว เรื่องราวไม่แน่ว่าจะลงเอยในแบบที่เราคาด”
จอกในมือของสตรีสูงวัยยื่นออกไปให้หญิงรับใช้เติมสุรา  ดวงตาหรี่ลง  ขณะกล่าวตอบ
“ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง  จริงสิ  ยังมีคนผู้นี้อยู่...  หึ  คิดไม่ถึงคนที่เอาตัวเหลียนอันสุ่ยไปจะกลายเป็นมีตำแหน่งใหญ่โตปานนี้ได้  พระมาตุลานั่นมีเสน่ห์อะไรนักหนา  อวี้เฉียนก็คนหนึ่งแล้วที่ลุ่มหลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น  น้องสาวมันสวยจับใจ  แต่พี่ชายที่รูปโฉมดาษดื่นกลับมีคนต้องการไม่หยุด...” พูดถึงตรงนี้ก็ต้องดื่มสุราลงไปอย่างไม่สบอารมณ์

หญิงรับใช้ที่ด้านข้างแม้เข้าข้างเจ้านายตัวเองเต็มที่ยังมีความรู้สึกว่าประโยคนี้ผิดไปเล็กน้อย สมัยอายุสิบเจ็ดสิบแปด เหลียนอันสุ่ยกับน้องสาวได้รับการขนานนามเป็นคู่พี่น้องหยกสลัก  แม้รูปโฉมของเหลียนอันสุ่ยจะธรรมดากว่าน้องสาวอยู่โข  ก็เกรงว่าจะไม่สามารถนำคำว่า ‘ดาษดื่น’ มาใช้อธิบายได้  เพราะเหลียนอวี้เสวี่ยงดงามเกินไป  งดงามจนสามารถทำให้ผู้หญิงทั้งแคว้นเหลียนกลายเป็นอัปลักษณ์ไปจนหมดสิ้น  ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องราวเก่าก่อนนางก็ได้ยินนายหญิงของตัวเองกล่าวต่อ

“...ข้อนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป  อย่างไรเสียคนดึงดันเช่นเหวินเถียนก็ไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ  กับคนที่รังเกียจยิ่งไม่เคยไว้หน้ามาก่อน  ถ้าความเห็นสวนทางกับเป่ยชางอ๋อง  รับรองว่าตาแก่นั่นสามารถดึงดันทำจนตัวเองถูกประหาร  ...และไม่ว่าสุดท้ายเรื่องจะลงเอยแบบไหนพ่อตาลูกเขยคู่นี้นับว่าไม่มีทางคืนดีกันได้ตลอดชาติ” เหลียนอันสุ่ย  คนที่เคยอยู่เคียงข้างท่าน  ข้าจะพรากมันไปทีละคน
ดอกเบญจมาศสั่นไหวแผ่วเบา  คล้ายกำลังหวาดหวั่นต่อสิ่งที่ได้ยิน 
...เพราะความเคียดแค้นรุนแรงเป็นยิ่งกว่าโรคภัยเรื้อรัง  เมื่อสบโอกาสเป็นต้องกรีดทำร้ายเป้าหมายของมันคราหนึ่ง...ประโยคนี้เหลียนอันสุ่ยนับว่าซาบซึ้งกับมันอย่างยิ่ง
---------------------
“ไม่ต้องพูดแล้ว  ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อนุญาต” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเฉียบขาด  คิ้วหนาขมวดแน่นขณะมองบุรุษตรงหน้า  เหลียนอันสุ่ยดูซูบซีดอิดโรยจนเขาเจ็บปวดใจ  ไอ้บ้านั่นมันเป็นใครกัน  กล้าดีอย่างไรมาใช้วาจาทำร้ายคนของเขา  ยิ่งคิดก็ยิ่งเดือดดาล  ถ้าไม่ติดว่าเหวินเถียนเป็นบิดาแท้ๆของเหวินจี  ฉีเซี่ยงหยวนรับรองว่าจัดการโยนตาแก่กระดูกผุนั่นใส่คุกไปแต่แรก

รสชาติขมจัดที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนฉีเซี่ยงหยวนอีกครั้ง  เป็นความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเขาอีกแล้วที่ทำร้ายเหลียนอันสุ่ย  ฉุดดึงคนที่ไม่เคยทำอะไรต้องละอายต่อฟ้าดินลงมาเกลือกกลั้วกับสายตาไม่ยอมรับของผู้อื่น  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ทุกครา  เรื่องที่เขาเป็นคนก่อชัดๆ  แต่คนรับกรรมกลับเป็นเหลียนอันสุ่ย   ผู้อื่นกริ่งเกรงไม่กล้าล่วงเกินเขา  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับถูกดูถูกเหยียดหยามซึ่งหน้า  ทั้งๆที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเป็นเช่นดั่งเขา ไม่เคยทำอะไรเหลวไหล  ยิ่งไม่ใช้วิธีสกปรกต่ำช้า  คนที่อยู่ในแสงสว่างตลอดมา  บริสุทธิ์สะอาดตลอดมา  จะทนทานรับการถูกปฏิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร 

 ฉีเซี่ยงหยวนยินดีแลกฐานะเป่ยชางอ๋องกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า  คำพูดร้ายกาจเหล่านั้นทำอะไรเขาไม่ได้  คุ้นชินเสียแล้วกับการเผชิญหน้ากับเสียงวิจารณ์ด่าทอ  แต่ในใจของฉีเซี่ยงหยวนเพียงมีคำถามที่ไม่เข้าใจ  ร่ำร้องต้องการคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า  มันเป็นความผิดจริงๆหรือที่พวกเขาจะรักกัน  ความรักเป็นแค่เรื่องของคนสองคนมิใช่หรือ  ผู้คนมากมายเหล่านั้นเกี่ยวข้องอะไรด้วย  ใช้อะไรมาตัดสิน!  มีสิทธิ์อะไรมาตัดสิน!

 “ต้าอ๋อง  แคว้นเหลียนเป็นบ้านเกิดของเด็กคนนั้น  เรื่องที่ข้าปกปิดเขาไม่ทราบปกปิดไว้ได้ถึงเมื่อไหร่  จะให้จิ้งเอ๋อรู้ความจริงไม่ได้  วิธีนี้ดีที่สุดและดีต่อทุกฝ่าย  ขอต้าอ๋องยินยอมอนุญาตด้วย”
ตอนนี้เหวินเถียนแม้จะชิงชังเขาเข้ากระดูก  แต่เหลียนอันสุ่ยทราบว่าเหลียนจิ้งเต๋อจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี  เพราะเหลียนจิ้งเต๋อเป็นหลานคนโปรดของอีกฝ่ายมาโดยตลอด  ใช่แล้ว ชีวิตของเด็กคนนั้นจะต้องดีอย่างยิ่ง  ราบรื่นอย่างยิ่ง  ถ้าเพียงแค่ไม่มีเขา  คนที่ไม่ดีพอจะเป็นบิดาของเจ้าอีกแล้ว

เป่ยชางอ๋องสูดลมหายใจแรง  ดีต่อทุกฝ่าย!  ท่านกล่าวคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร  ทั้งๆที่คนที่เจ็บจนเจียนตายก็คือท่าน  เด็กคนนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของท่าน  ท่านถึงกับยอมสูญเสียไปอีกแล้ว  ไม่ได้  เขาไม่อนุญาต   ฉีเซี่ยงหยวนเบือนหน้าหนี 

แต่เหลียนอันสุ่ยกลับทำในสิ่งที่ฉีเซี่ยงหยวนคิดไม่ถึง  ร่างสูงโปร่งคุกเข่าช้าๆลงกับพื้น
ฉีเซี่ยงหยวนเบิกตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา 
“ข้าขอร้องท่าน  ได้โปรดปล่อยเด็กคนนั้นไป  เหลียนจิ้งเต๋อไม่สมควรอยู่ที่นี่  และไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่  ต่อให้ไม่มีเด็กคนนั้นข้าก็ยินยอมอยู่ข้างกายท่านไปจนวันตาย  ตั้งแต่แรกมาคนที่ท่านต้องการก็มีแค่ข้ามิใช่หรือ  ปล่อยเด็กคนนั้นไปเถิด” อย่าให้เขาต้องถูกคนตราหน้าว่ามีบิดาเช่นข้า อย่าให้เขาทราบสิ่งที่พวกเราปิดบังเขาไปตลอดกาล  เซี่ยงหยวน ข้าวิงวอนท่าน

ความปวดร้าวในแววตาของเหลียนอันสุ่ยทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหายใจไม่ออก ร่างกายสั่นสะท้านจนตัวเองรู้สึกได้  คำวิงวอนที่มั่นคงถึงเพียงนี้  ความโศกเศร้าที่ลึกล้ำถึงเพียงนี้  ทำลายเจ้าของมันไปเท่าไหร่แล้ว  เหมือนสวรรค์กำลังลงทัณฑ์  ฉีเซี่ยงหยวนกลับคิดไปถึงวันที่ตัวเองใช้เหลียนจิ้งเต๋อมาเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่าย  ใช่  เขารู้แต่แรกว่าเพื่อเด็กคนนั้นเหลียนอันสุ่ยยินยอมทำทุกอย่าง  เขาใช้วิธีนี้เองครอบครองสิ่งที่แท้จริงไม่ใช่ของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนทราบดี ‘สูญเสีย’ สองคำนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนถ้าเขาอนุญาตออกไป  เหลียนอันสุ่ยจะไม่ยอมพบหน้าบุตรชายอีก  นั่นไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปตลอดกาล
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวขึ้นช้าๆ
“เหลียนอันสุ่ย  ท่านรู้หรือไม่ว่าการเดินไปข้างหน้าให้อยู่ในลู่ทางทั้งๆที่ตัวเองไม่ทราบหนทางเป็นเรื่องยากเย็นเพียงใด  การล้มและลุกขึ้นมาโดยไม่มีคนจับพยุงแต่ละครั้งต้องใช้ความกล้ามากมายแค่ไหน  เด็กคนนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของท่าน  และท่านก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเด็กคนนั้น  เหลียนจิ้งเต๋อเหลือท่านแค่คนเดียว  ท่านเข้าใจว่าเหวินเถียนสามารถแทนที่ท่านได้อย่างนั้นหรือ?  ข้าสามารถตอบท่านได้ว่า ‘ไม่มีทาง’  ตั้งแต่เกิดมาเหลียนจิ้งเต๋อก็ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าไม่เคยมี  ข้าจะไม่ยอมให้เด็กคนนั้นต้องสูญเสียมันไป” กล่าวพลางทรุดตัวลงประคองร่างที่คุกเข่าอยู่กับพื้นขึ้นมา  พึมพำว่า

“อย่าทำแบบนี้  ท่านคนเดียวเท่านั้นที่ข้าไม่ต้องการให้คุกเข่าเบื้องหน้าข้า  ต้องการอะไรก็แค่เอ่ยปากขอมา  ไม่ต้องทำแบบนี้”
แววตาของเหลียนอันสุ่ยสับสนจนสุดระงับ  การยืนขึ้นล้วนพึ่งพาแรงประคองของฝ่ายตรงข้าม  ศีรษะซบลงกับบ่ากว้าง  หลับตาพึมพำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ข้าสมควรทำอย่างไรดี  ควรทำอย่างไรดี...” ทำอย่างไรจึงจะไม่ผิดพลาด
---------------------
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนสงบเคร่งขรึมขณะเดินออกมา  หากไม่ทันพ้นประตูกลับเจอกับสายตาเกลียดชังที่ลุกวาวคู่หนึ่งของอิ๋งฮวา  ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าหัวหน้าหญิงรับใช้ผู้นี้ชิงชังเขาจับใจ  แต่กลับไม่เคยใช้สายตาเช่นนี้จ้องเขาตรงๆมาก่อน

“ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะท่าน!  ท่านกับผู้หญิงแพศยาคนนั้นดีแต่ทำร้ายนายท่าน  ทั้งๆที่นายของข้าไม่เคยทำอะไรให้พวกท่านแม้แต่น้อย” น้ำเสียงของอิ๋งฮวาชัดถ้อยชัดคำ  ท่าทีอ่อนน้อมที่เคยเป็นตลอดมาสูญหายหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงขมวดคิ้ว
“หญิงแพศยา?  เจ้าหมายถึง...หลันเซียง?”
“หลันเซียงเป็นเภทภัยที่ท่านก่อขึ้น แต่อาศัยนางหรือจะทำอะไรนายท่านได้  ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านไม่รู้จัก ‘นาง’  ท่านมิใช่สนิทสนมกับเฉินเสียลิ่วล้อของผู้หญิงแพศยาคนนั้นหรอกหรือ  บอกข้ามานะ  พวกท่านรวมหัวกันมาใช่หรือไม่ !”
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนลุกวาบ  ได้ยินอิ๋งฮวาพูดต่อว่า
“ผู้หญิงคนนั้นจองเวรนายท่านไม่เลิกรา  ครั้งนี้ยุยงจนใต้เท้าเหวินกับนายท่านแตกหักกัน  พรากคุณชายน้อยไปจากนายท่านจนได้  สาสมใจพวกท่านแล้วสินะ  ท่านเป็นต้าอ๋องเข้าใจว่าตัวเองมีอำนาจยิ่งใหญ่มากกระมัง  แต่อำนาจยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีทางยิ่งใหญ่ไปกว่าฟ้าดิน  ข้าจะรอดูวันที่พวกท่านถูกฟ้าดินลงทัณฑ์ !”

“เจ้าพูดใหม่อีกครั้งซิ  นางเป็นใคร  ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนสาดแววอำมหิต  ที่แท้เรื่องนี้มีเบื้องหลัง
อิ๋งฮวาเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจที่นางใช้คำว่า ‘หญิงแพศยา’  ความเกลียดชังยิ่งมายิ่งเข้มข้นกว่าเดิม
“เฮอะ  ถึงองค์หญิงจินผิงจะเป็นองค์หญิง  แต่พฤติกรรมของนางแม้แต่อสรพิษยังไม่อำมหิตเท่า  นางไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นคนด้วยซ้ำ!”
“...บางทีนางอาจจะเหมาะจะเป็นผีมากกว่า” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนเหี้ยมเกรียมจนคนฟังสะท้านเยือก  อิ๋งฮวาชะงักไป  ไม่ถูกต้อง  เมื่อครู่ต้าอ๋องที่น่าชังนี่พูดอะไรนะ  เห็นฉีเซี่ยงหยวนที่ตอนแรกทำท่าว่าจะจากไปกลับหาที่นั่งนั่งลงเสียตรงนั้น
“เจ้าต้องบอกข้า  ที่แท้เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”
สีหน้าของอิ๋งฮวามึนงง  ลมหายใจกระชั้น  ยามกะทันหันสมองประมวลผลไม่ทัน  นะ นี่  นี่คือ...?
---------------------
“...ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้” การตัดสินใจของฉีเซี่ยงหยวนยิ่งมายิ่งหนักแน่น  เขาจะไม่ให้เหลียนจิ้งเต๋อกลับแคว้นเด็ดขาด  หากเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริง  เหลียนจิ้งเต๋อกลับแคว้นเหลียนโดยไม่มีเหลียนอันสุ่ยเป็นเกราะกำบังเกรงว่าจะมิใช่แค่การพรากจากทั้งๆที่อยู่ในภพชาติเดียวกัน  แต่จะเป็นตายจากไปคนละภพชาติจริงๆ  !

“อันที่จริงมีอีกเรื่องที่แปลกๆ  ต้าอ๋องยังจำเรื่องที่เคยให้ข้าน้อยไปสืบได้หรือไม่  เกี่ยวกับการตายของเหวินจี”
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปจ้องหน้าหลิวฉางเฟย  อิ๋งฮวาไม่ได้บอกทั้งหมดที่นางรู้ให้กับเขา  สาเหตุครึ่งหนึ่งเป็นเพราะถูกเจ้านายกำชับไว้  สาเหตุอีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะยังไม่ไว้ใจเขา  เพียงแต่แค่ได้ชื่อมามีหรือฉีเซี่ยงหยวนจะสืบต่อเองไม่ได้

หลิวฉางเฟยรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจังสงบราบเรียบว่า
“มีบันทึกว่านางตายจากโรคประจำตัว  แต่โรคประจำตัวทำไมจู่ๆจึงกำเริบกลับไม่มีบันทึกเอาไว้”
“เจ้าหมายความว่ามีคนจงใจปกปิดเพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง...เป็นไปไม่ได้  ต่อให้องค์หญิงจินผิงในช่วงมีอำนาจมากที่สุดก็ไม่มีทางมากไปกว่าเหลียนอันสุ่ย  อีกอย่างเหลียนอันสุ่ยมีความรู้ทางการแพทย์ไม่มีทางมองสาเหตุไม่ออก  นอกเสียจากว่า...” คนที่ต้องการให้ปกปิดจะเป็นเหลียนอันสุ่ยเสียเอง

ดวงตาสองคู่มองสบกัน  สุดท้ายฉีเซี่ยงหยวนจึงสรุปว่า
“เช่นนั้นการตายของเหวินจีคงมีเบื้องหลังบางอย่าง”
“เรื่องเบื้องหลังข้าน้อยไม่มั่นใจ แต่องค์หญิงจินผิงผูกใจเจ็บแค้นล้ำลึกกับใต้เท้าเหวินและพระมาตุลาโทษว่าว่าเป็นความผิดของคนทั้งสองมาตลอดที่ทำให้นางสูญเสียบุตรชาย  ส่วนพระชายาเหวินจีกลับเป็นคนสำคัญของคนทั้งคู่  ข้าน้อยเกรงว่าสองเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกัน”
ทุกผู้คนในแคว้นเหลียนล้วนทราบดีถึงข้อบาดหมางระหว่างพระมาตุลากับองค์หญิงจินผิง  สมัยยังมีชีวิตบุตรชายขององค์หญิงจินผิงขึ้นชื่ออย่างมากเรื่องการวางอำนาจบาตรใหญ่  การทุจริตฉ้อโกงยิ่งกระทำอย่างเปิดเผย  ท้าทายอำนาจราชสำนักมาโดยตลอด  หากจะสาวถึงสาเหตุต้องโยงไปถึงสายเลือด  อย่างที่ทุกคนทราบดีเหลียนอ๋ององค์ก่อนคัดมาจากญาติลำดับห่างยิ่งเพราะพระญาติใกล้ชิดล้วนเป็นสตรี  สำหรับสตรีแคว้นเหลียนถือธรรมเนียมว่าแต่งออกไม่แต่งเข้า  ทำให้เหลียนอันสุ่ยที่มีสายเลือดใกล้ชิดเป็นอย่างมากกลับมิได้มีสิทธิ์ในบัลลังก์  บุตรชายขององค์หญิงจินผิงผู้นี้ก็เจอกรณีเช่นเดียวกัน  แม้จะไม่ใกล้ชิดถึงระดับเดียวกับเหลียนอันสุ่ย  แต่ก็ยกตัวเองว่าเหมาะสมจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มากกว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์  สุดท้ายกลับถูกเหวินเถียนเปิดโปงตั้งข้อหา  ร่วมมือกับพระมาตุลายัดเชื้อพระวงศ์ผู้จริงๆไม่นับเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้นี้ใส่ตารางไปคราหนึ่ง
 
สมัยนั้นฐานะในแคว้นเหลียนของเหลียนอันสุ่ยแม้ไม่ถึงกับเรียกลมเรียกฝนได้แต่ก็พอดีจะทำให้ไม่เกิดกรณีช่วยคนชั่วพ้นผิด  การคุมขังครั้งนี้จึงทำครบจำนวนวันโดยไม่มีลดหย่อน  อันที่จริงเหลียนอันสุ่ยนับว่าเห็นแก่องค์หญิงจินผิงมากแล้ว  หากขุดทุกความผิดออกมาจริงๆเกรงว่าชั่วชีวิตบุตรชายคนนี้ของนางคงไม่มีวันได้ออกจากคุก  เจตนาของเหลียนอันสุ่ยกับเหวินเถียนคือสั่งสอนคนให้รู้สำนึกเสียบ้าง  น่าเสียดายที่สองปีหลังจากนั้นเกิดโรคระบาด  สภาพเป็นอยู่ในคุกย่อมมิได้ดีนัก  บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนนั้นของนางติดโรคระบาดภายในคุกเสียชีวิต  หลังจากนั้นองค์หญิงจินผิงก็ไม่เคยร่วมงานเลี้ยงใดๆที่เกี่ยวข้องกับเหลียนอันสุ่ยหรือตระกูลเหวินอีกเลย  กระทั่งงานแต่งงานของเหลียนอันสุ่ยหรือพิธีแต่งตั้งพระอัครชายาในเหลียนอ๋องนางล้วนไม่เข้าร่วมทั้งสิ้น
“ถ้าตัวการเป็นองค์หญิงอะไรนั่นจริง  เหลียนอันสุ่ยจะปกปิดให้นางทำไม” ฉีเซี่ยงหยวนกังขา
มุมปากของหลิวฉางเฟยคล้ายกับมีรอยยิ้ม  ขณะกล่าว
“ต้าอ๋อง ท่านยังไม่เข้าใจพระมาตุลาผู้นั้นของท่านอีกหรือ”

ฉีเซี่ยงหยวนมุมปากกระตุก  ขณะได้ยินหลิวฉางเฟยกล่าวต่อไปว่า
“เท่าที่สืบย้อนดูองค์หญิงจินผิงแม้จะตอบโต้พระมาตุลาอยู่หลายครั้งแต่ข่าวกลับเงียบอย่างยิ่ง  หลักฐานส่วนใหญ่ที่หลงเหลือมีเพียงจำพวกข่าวลือ  ทำให้ในการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดครั้งก่อนถึงกับถูกละเลยไป  หากพระมาตุลาไม่ต้องการปิดเงียบหลักฐานจะหลงเหลืออยู่แค่นั้นได้อย่างไร”

สวรรค์   ปกปิดความผิดให้ศัตรู !...ในใต้หล้านี้คงมีเหลียนอันสุ่ยคนเดียว  ไม่แบกรับความรู้สึกผิดซักเรื่องได้หรือไม่  ไม่อภัยให้ผู้คนซักรายรับรองไม่ทำให้ท่านใจกว้างน้อยลงหรอก  มือของฉีเซี่ยงหยวนกำเป็นหมัดแน่น

ส่วนหลิวฉางเฟยที่มองนายเหนือหัวของตัวเองอยู่ห่างๆก็ทำได้เพียงส่งสายตาเห็นใจ  จำได้ว่าฉีเซี่ยงหยวนเคยวิจารณ์ข้อเสียของคู่ชีวิตดีงามไว้มากมาย  ประการหลักๆคือน่าเบื่อหน่ายเกินไป  ต้องใช้ความรับผิดชอบมากมายเกินไป  นี่เรียกว่าไม่ต้องการอย่างไรแทบจะได้อย่างนั้นทั้งสิ้น  แถมคนที่ฉีเซี่ยงหยวนรักปักใจผู้นี้ถึงกับเป็นเทพเจ้าแห่งความดีงามในผู้คนดีงามทั้งปวง  ฉีเซี่ยงหยวนอาจจะยังไม่รู้ตัว  แต่แค่ท่าทีต่อต้านการแต่งตั้งพระชายาหลิวฉางเฟยก็พอจะมองออกแล้วว่าความรับผิดชอบที่ฉีเซี่ยงหยวนตั้งใจจะให้เหลียนอันสุ่ยนั่นถึงขั้นจะทำตัวเป็นบุคคลตัวอย่างเลยทีเดียว  ...บางทีก่อนหน้านี้ฉีเซี่ยงหยวนคงสร้างวีรกรรมด้านความรักมามากเกินไปกระมัง  สวรรค์จึงคิดจะให้เขาชดใช้คืนชนิดทบต้นทบดอก


ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
 :pig4: นักเขียน ติดตามอยู่นะคะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
วางไม่ลงเลยเรื่องนี้

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 39
«ตอบ #108 เมื่อ12-09-2014 19:03:43 »


บทที่ 39 ความหลังใต้แสงดาว(1)

เพราะเหลียนอันสุ่ยไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆในแคว้นเป่ยชาง  ไม่สะดวกจะเคลื่อนไหว  จึงได้แต่ให้หม่าหลงออกไปสืบข่าว  และในที่สุดข่าวที่หวาดกลัวจะได้ยินก็มีมาจริงๆ  ใต้เท้าเหวินขอเข้าเฝ้าเป่ยชางอ๋องเป็นการส่วนพระองค์ !

หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานก็เห็นอยู่แน่ชัดว่าความคิดเห็นของสองคนนี้ไปกันคนละทาง  ฉีเซี่ยงหยวนไม่มีทางรับปากคำขอของท่านพ่อตา  แต่ที่เหลียนอันสุ่ยหวาดกลัวไม่ใช่จุดนั้นแต่เป็นหลังจากนั้นต่างหาก  เพราะรู้จักความดึงดันของเหวินเถียนดี  จะออกปากขอร้องฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่กล้า  ได้แต่ตกลงใจว่าหากเหวินเถียนต้องโทษใดขึ้นมาค่อยหาหนทางแก้ไข
---------------------
หลังถูกปฏิเสธอย่างหนักแน่น  การเจรจาที่เหวินเถียนเตรียมมาเป็นอันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง  โทสะที่อัดอยู่ในอก  ความเกลียดชังของผู้สูญเสียจึงปะทุออกมา  คำเสียดสีล้วนเฉียดไปมาอยู่กับเรื่องของเหลียนอันสุ่ย  แต่ความเกลียดชังกลับก่อรากมาจากการที่ฉีเซี่ยงหยวนเหยียบย่ำแคว้นเหลียน

ในที่สุดฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบแล้วว่านิสัยโผงผางตรงไปตรงมาของเหลียนจิ้งเต๋อลอกแบบมาจากใคร  ในใจสะกดความอดทนเป็นรอบที่สิบขณะฟังเหวินเถียนพูดจาแบบไม่ไว้หน้า ถ้ามิใช่เพราะกลัวเหลียนอันสุ่ยเป็นกังวล  ตาแก่นี่ต้องได้ไปลองนอนในคุกเล่นซักคืนสองคืนแน่นอน 

หลิวฉางเฟยที่รับฟังอยู่ด้านข้างรับฟังจนปาดเหงื่อ  อดรู้สึกเหลือเชื่อที่นายเหนือหัวยังสามารถข่มใจไม่สั่งให้ทหารด้านข้างลากตัวขุนนางสามหาวผู้นี้ไปตัดหัว  เหวินเถียนยังไม่รู้จักฉีเซี่ยงหยวนดีจึงกล้ากระทำเรื่องที่ไม่ว่าขุนนางตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนในแคว้นเป่ยชางก็ไม่มีวันกล้าคิด  สร้างเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ที่หลิวฉางเฟยต้องจดจำไปอีกนาน

เหวินเถียนสั่งสอนคนจนสาแก่ใจ  มองสีหน้าฉีเซี่ยงหยวนที่เขียวคล้ำลงก็ยิ่งสาแก่ใจ  แต่เมื่อมองอีกครากลับไม่แน่ใจเสียแล้ว  ถูกด่าทอต่อหน้าไปถึงเพียงนั้น  เหตุใดยังนิ่งเฉยได้อีก 

ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนมีแววเยียบเย็นแล่นผ่านขึ้นมาเป็นริ้ว ขณะกล่าว
“เจ้าไม่รักศีรษะตัวเองแล้วกระมังจึงกล้ามาพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า  บุตรบุญธรรมของข้าคนนั้นหากข้าไม่อนุญาตใครก็พาไปไม่ได้!  ถ้าข้าได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้อีกคำหรือกล้ากล่าววาจาล่วงเกินข้าอีกคำ  ความเมตตาที่ข้าเคยมีให้กับแคว้นเหลียนข้าจะพับเก็บไว้”
คนไม่กลัวฟ้าเกรงดินเช่นเหวินเถียนเมื่อเจอคำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่ายสุดท้ายก็จำต้องกลืนวาจาสามหาวเหล่านั้นลงไปในท้อง  อย่างน้อยเหวินเถียนก็ยังพอระลึกได้ว่าตัวเองมาในฐานะทูต...แม้จริงๆก่อนหน้านั้นเขาจะมิได้ทำตัวเหมาะสมกับตำแหน่งทูตเลยก็ตาม
---------------------
“ใต้เท้าเหวินเข้าเฝ้าเสร็จสิ้น  เพิ่งออกจากท้องพระโรงมาเมื่อครู่” เสียงของหม่าหลงทำให้เหลียนอันสุ่ยที่นั่งไม่ติดที่มาตั้งแต่เมื่อครู่รีบผุดลุกขึ้นถาม
“...เกิด...เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่” น้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด  รู้สึกอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกว่าตัวเองปราศจากอำนาจใดอยู่ในมือ  ไม่สามารถควบคุมเรื่องราวใดที่จะเกิดขึ้น
หม่าหลงนิ่งไปอึดใจ  สุดท้ายกล่าว
“...ต้าอ๋องบอกให้ท่านแยกคุณชายน้อยออกจากพ่อตาของท่านบ้าง  นิสัยโผงผางกับฝีปากเหลือร้ายเรียนรู้มากไม่ดีนัก”

เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้งไปพักใหญ่  สุดท้ายค่อยทรุดกายลงนั่ง  ความรู้สึกเหมือนสายธนูที่ถูกขึงตึงจนล้าในที่สุดก็ผ่อนคลายลง  อยากหัวเราะแต่ความรู้สึกตื้นตันบางอย่างกลับจุกแน่นอยู่ในลำคอ  เป่ยชางอ๋องผู้นั้น...เป่ยชางอ๋องผู้นั้น...
“บอกต้าอ๋องว่าเป็นพระกรุณาอันยิ่งใหญ่  เหลียนอันสุ่ยซาบซึ้งยิ่งแล้ว”
นี่มิใช่ครั้งแรกที่มีคนกระทำเรื่องราวเพื่อเขา  เพียงแต่คนผู้หนึ่งที่เคยอดกลั้นต่อทุกเรื่องราว  เมื่อก้าวขึ้นสู่จุดที่ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นต่อสิ่งใดอีกต่อไปกลับอดกลั้นเพราะท่าน  มิใช่เรื่องง่ายดาย 

แววตาของหม่าหลงแปลกประหลาด  พระมาตุลายังไม่ทราบว่าต้าอ๋องไม่เพียงไม่ลงโทษวาจาสามหาวของเหวินเถียน  ยังยินยอมรับฟังจนจบ  โทสะของคนผู้หนึ่งหากอัดแน่นอยู่ในใจ สุดท้ายก็ต้องหาเป้าหมายระบายออกมา  ต้าอ๋องเพียงไม่ต้องการให้เป้าหมายนั้นกลับกลายเป็นบุรุษตรงหน้า
---------------------
คืนนี้ตัวเหลียนอันสุ่ยไม่อยู่ในห้อง  หม่าหลงรายงานว่าพระมาตุลาอยู่ในสวน  หญิงรับใช้ที่ด้านข้างรีบปลดตะเกียงลงมาดวงหนึ่ง  ส่องนำทางอาคันตุกะผู้ยิ่งใหญ่ที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนจุดหมายกะทันหัน

บนทางเดินน้อยสายหนึ่งฉีเซี่ยงหยวนได้พบกับอิ๋งฮวา  ดวงตาที่มีชีวิตชีวาของนางกับชายเสื้อที่กระพือพลิ้วเปลี่ยนบรรยากาศที่เงียบงันวังเวงให้มีสีสันขึ้นไม่น้อย  นางย่อมมิใช่หญิงรับใช้ที่งดงามที่สุด  แต่เป็นหญิงรับใช้ที่จงรักภักดีต่อเหลียนอันสุ่ยอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเท่า  ในเมื่ออิ๋งฮวาอยู่ที่นี่  เส้นทางเบื้องหน้าย่อมต้องมีเหลียนอันสุ่ยอยู่แน่นอน

อิ๋งฮวาถือตะเกียงดวงหนึ่ง  ค้อมหัวกล่าวกับฉีเซี่ยงหยวนว่า
“นายท่านต้องการความสงบ  ขอต้าอ๋องตามมาคนเดียว  บ่าวจะนำทางเอง”

ผู้ติดตามคนอื่นๆจึงได้แต่หยุดเท้าอยู่ตรงนั้น  หลิวฉางเฟยกับหม่าหลงหันไปมองหน้ากัน  นายบ่าวคู่นี้วางอำนาจเกินไปแล้ว  เป่ยชางอ๋องศักดิ์ฐานะสูงส่ง  ไม่มีเหตุผลจะต้องเป็นฝ่ายเดินตามหาด้วยตัวเอง...จากนั้นเสียงถอนหายใจสองเสียงก็ดังขึ้นพร้อมกันอย่างจนใจ  ช่างเถอะ  อย่างไรพวกเขาก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
---------------------
ทางเดินทอดยาวไม่สิ้นสุด  แสงโคมที่นำอยู่เบื้องหน้ากับตะเกียงเล็กๆตามรายทางวูบไหวแช่มช้าราวกำลังนำพาเรื่องราวไปสู่อดีต  ฉีเซี่ยงหยวนหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา 
       ตะเกียงเล็กดวงที่หนึ่ง เหลียนอันสุ่ยที่วางท่าทีต่อต้านเขา 
       ตะเกียงเล็กดวงที่สอง เหลียนอันสุ่ยที่หัวเราะเบื้องหน้าเขา
       ตะเกียงเล็กดวงที่สาม เหลียนอันสุ่ยที่คุกเข่าให้กับเขา...

“นายท่านของเจ้าเป็นเช่นนี้เสมอเลยหรือ  ไม่ว่าใครทำผิดใดต่อเขาล้วนไม่เก็บเอามาใส่ใจ”
อิ๋งฮวาชะงักไปกับคำถามที่จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา  สุดท้ายตอบว่า
“นายท่าน...ชมชอบให้โอกาสผู้อื่น” ให้โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง
ฉีเซี่ยงหยวนเหยียดปากส่ายหน้าเบาๆ พลางกล่าว
“ให้โอกาสผู้อื่น  แต่ไม่ให้โอกาสตัวเอง”
อิ๋งฮวาสะอึก เถียงไม่ออก  นางไม่เคยยินยอมให้ผู้อื่นกล่าวว่านายท่านแต่คราวนี้...ฉีเซี่ยงหยวนพูดถูก  ได้ยินอีกฝ่ายกล่าววาจาต่อไปว่า
“เหลียนอันสุ่ยเองก็เป็นคน  ในเมื่อเป็นคนก็ทำผิดพลาดได้ทั้งนั้น  จะแบกรับความรู้สึกผิดมากมายขนาดนั้นไปทำไม”
“อ้อ  หรือไม่ต้องรู้สึกผิดอันใดเลยเช่นท่านจึงจะดี” อิ๋งฮวาอดไม่ได้ต้องเหน็บแนม

“บังอาจ” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าว  แต่น้ำเสียงไม่มีวี่แววของโทสะ  ดวงตาไม่ได้ให้ความสนใจอิ๋งฮวา  เพียงทอดมองเส้นทางเบื้องหน้า  ทราบว่าอิ๋งฮวาจงใจพาเขาเดินอ้อมเป็นวงใหญ่  และก็ทราบด้วยว่าเส้นทางนี้จะไปบรรจบลงตรงไหน  ความจริงตั้งแต่หม่าหลงรายงานว่าพระมาตุลาอยู่ในสวน  ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบแล้วว่าเหลียนอันสุ่ยอยู่กับ...เหวินจี  ใกล้แล้วสินะ  วันครบรอบวันตายของนาง
“นายหญิงของเจ้าตายเพราะองค์หญิงจินผิงใช่หรือไม่”
อิ๋งฮวาเบิกตากว้าง
“ท่านไปเอา...ไปเอาเรื่องเช่นนี้มาจากที่ใด” สีหน้าของอิ๋งฮวาสับสนงงงวยอย่างเห็นได้ชัด  หรือกระทั่งนางก็ไม่ทราบ  หรือเหวินจีป่วยตายจากโรคภัยจริงๆ ? 
“ถ้าไม่ใช่  แล้วนายหญิงของเจ้าตายได้อย่างไร”
“ตั้งแต่นายหญิงคลอดคุณชายน้อยสุขภาพก็ไม่ดี  พอโรคเก่ากำเริบก็เลย...ก็เลย...” ประโยคตอนท้ายกลืนหายไปในลำคอ  สีหน้าเผือดขาว  เท้าหยุดชะงักไปโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเจ้าหวังดีต่อพระมาตุลาจริง  ทราบอะไรก็พูดออกมา  องค์หญิงจินผิงผู้นี้เลือดเย็นอำมหิต  ไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ  เจ้าอาจไม่ไว้ใจข้า  แต่ขอให้รู้ว่าข้าไม่ยอมให้เหลียนอันสุ่ยเป็นอะไรไปเด็ดขาด”

ดวงตาของอิ๋งฮวาเหลือบมองอีกฝ่าย  คิ้วขมวดนิ่ว  ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่จึงตัดใจเอ่ย
“วันที่นายหญิงจากไป  นางมีไปพบองค์หญิงจินผิงครั้งหนึ่ง  นายหญิงหวังมาตลอดว่าจะสามารถคลี่คลายความแค้นที่องค์หญิงมีต่อนายท่าน  สลายความรู้สึกผิดที่นายท่านแบกรับไว้  แต่บ่าวยืนยันได้ว่านายหญิงไม่ได้ตายจากยาพิษ  หมอหลวงเป็นคนวินิจฉัยเอง  ไม่ผิดพลาดเด็ดขาด” นางไม่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนต้องการทราบเรื่องราวเหล่านี้ไปทำอะไร  แต่นางยินดีจะเดิมพัน  เพราะลึกๆอิ๋งฮวามองเห็นมานานแล้วว่าระหว่างต้าอ๋องผู้นี้กับนายท่านของนางคล้ายมีสายสัมพันธ์บางประการเชื่อมโยงกันอยู่
---------------------
ต้นท้อยังคงอยู่  แต่คนไม่อยู่แล้ว  ขวบปีที่เพิ่มขึ้นของเหลียนจิ้งเต๋อคอยย้ำกับเขาอยู่เสมอว่าเรื่องราวเหล่านั้นผ่านมานานแค่ไหน  อีกไม่กี่วันจะเป็นวันครบรอบวันตายของเหวินจี  การจัดเตรียมทุกประการเรียบร้อยแล้ว  แต่สำหรับเหลียนอันสุ่ยไม่ว่าจะกระทำอันใดล้วนไม่สามารถชดเชยสิ่งที่เหวินจีต้องสูญเสียไปเพราะเขา

ทุกอย่างยังกระจ่างชัดถึงเพียงนั้น  ภาพเหวินจีที่มองเขาอย่างเอียงอายในวันแรกที่พบกัน  ภาพเหวินจีที่แย้มยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนเพลียขณะส่งของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดให้กับมือบอกว่านางตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่าเหลียนจิ้งเต๋อ  นางปักผ้าไม่เก่งแต่อุตส่าห์ไปเรียนกับเยี่ยนจื่ออยู่ช่วงใหญ่เพื่อจะปักปลอกหมอนให้กับเขา  นางรักเขาถึงเพียงนั้น  รักอย่างจริงใจ  แต่สุดท้ายกระทั่งหัวใจ  เขาก็ไม่ได้มอบมันให้นาง...

เหลียนอันสุ่ยหัวเราะอย่างขมขื่น  หากไม่มีฉีเซี่ยงหยวนเขาจะไม่มีวันได้รู้เลย  หากไม่รู้ความจริงข้อนี้จะดีแค่ไหนกันหนอ  เหวินเถียนพูดถูกทุกอย่าง  เขาไม่คู่ควรกับนางแม้แต่น้อย  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ชอบให้เขามองต้นท้อ  คนผู้นั้น...เป่ยชางอ๋องผู้นั้น...เขากลับไม่มีปัญญาลืมเลือนไปจากใจ  เวลาเหวินจียิ้มแย้มกับผู้อื่นเขาเพียงมีความสุขที่เห็นนางยินดี  แต่เวลาฉีเซี่ยงหยวนยิ้มแย้มกับผู้อื่นเขากลับเจ็บปวดใจ  ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ ?

เหลียนอันสุ่ยห่อตัวลง  ลมฤดูเหมันต์ในแคว้นเป่ยชางสะกดจนเขาขยับตัวไม่ได้  อีกไม่นานคงมีหิมะ  หิมะที่หนาวเหน็บเหมือนหัวใจของเขาในคืนที่นางจากไป  ฝันร้ายที่เคี่ยวกรำมานานปีก็ผุดขึ้นมาทีละฉาก...ปกป้องเอาไว้ไม่ได้ 

เหวินจีจากไปในอ้อมแขนของเขา  จากไปโดยเขาไม่มีปัญญาฉุดรั้งไว้  เข้าใจในตอนนั้นว่าอะไรคือไร้ความสามารถ  ความรู้ที่เขามียังคงไม่เพียงพอ  การระแวดระวังป้องกันที่เขามียังคงไม่เพียงพอ  เหลียนอันสุ่ยจำได้ว่านางร้องไห้  นางแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ร้องไห้ด้วยซ้ำแต่กลับฝืนยื่นมือมาปิดตาเขาไว้พึมพำว่า ‘อย่ามอง’  คำพูดไม่เป็นประโยคจากลมหายใจขาดเป็นห้วง  นางไม่อยากให้เขาเห็นสภาพย่ำแย่สุดทนดูของนาง  นางเพียงต้องการให้เขาจดจำภาพที่นางงดงามที่สุด  จนนาทีสุดท้ายนางยังคงรักสวยรักงามอยู่ดีนั่นเอง  จากนั้นเด็กสาวที่รักสวยรักงามเรียบร้อยเอียงอายผู้นั้นก็จากไปตลอดกาล

มีคนน้อยมากที่ทราบว่าเหวินจีแพ้อาหารทะเลอย่างรุนแรง  โชคดีที่แคว้นเหลียนห่างไกลทะเลจึงไม่ค่อยมีคนนำอาหารทะเลเข้ามาขายและไม่นิยมรับประทาน    เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบว่าองค์หญิงจินผิงทราบความลับนี้ได้อย่างไร  แต่อาหารมื้อนั้นของนางกลับมีอาหารทะเล  เหวินจีรับไมตรีเพื่อหวังให้ตัวเขาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับองค์หญิงจินผิง  หาทราบไม่ว่าอาหารมื้อนั้นกลับคร่าชีวิตของนางไป  หลังคลอดร่างกายของเหวินจีก็ไม่แข็งแรง  เจอสิ่งที่ไม่ต่างกับยาพิษสำหรับนางเข้าไปก็ทนทานไม่ไหวต้องจากไปอย่างทุกข์ทรมาน 

หลังการตายของเหวินจีตัวเขาที่เคยแยกขาวดำออกจากกันอย่างชัดเจนก็เปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็นขึ้น  ไตร่ตรองละเอียดรอบคอบมากขึ้น  ผู้คนมักบอกว่าหลังผ่านความสูญเสียผู้คนจะเติบโต  โลกในสายตาของเขาเปลี่ยนไปมากมาย  ความแค้นในสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปมากมาย  ความผิดพลาดทำให้คนเราปรับปรุงตัวเอง 

กล่าวถึงที่สุดวิธีการที่เขาใช้จัดการกับบุตรชายขององค์หญิงจินผิงก็ออกจะขาดความละมุนละม่อมไปบ้าง  ตัวเขาในตอนนั้นยอมหักไม่ยอมงอ  ลืมเลือนไปว่าต่อให้องค์หญิงจินผิงให้ท้ายบุตรชาย  เลี้ยงดูตามใจ  แต่ความห่วงใยของนางก็เป็นความรักที่แม่มีต่อลูก บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ ไม่อาจดูแคลนได้  อย่างน้อยตอนนั้นถ้าเขาอนุญาตให้หมอหลวงไปคอยดูแลอาการบุตรชายของนางตามที่นางร้องขอ  ความสูญเสียทั้งหมดก็อาจไม่เกิดขึ้น...

อดีตทยอยพรั่งพรู ดูราวกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากสายหนึ่ง  ไม่มีปัญญาหยุดยั้งได้  เหลียนอันสุ่ยเพียงหวังว่าการเผชิญหน้ากับอดีตในคราวนี้จะทำให้ตัวเขาสามารถกระจ่างชัดกับตัวเอง  ว่าที่แท้สมควรกระทำอย่างไร
---------------------
โคมดวงน้อยพยายามต้านความมืดมิดที่สาดเทลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน  คนต้านทานความหนาวเหน็บเพียงเดียวดาย  หวังเชียนซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตรงปากทาง ขับเน้นความเดียวดายของเหลียนอันสุ่ยใต้แสงดาวกระจ่าง  บรรยากาศเงียบงันจนคล้ายเวลาสามารถหยุดนิ่งและไหลผ่านไปเช่นนั้นชั่วนิจนิรันดร์

ฉีเซี่ยงหยวนไม่สนใจว่าหวังเชียนล่าถอยออกไปแล้วหรือยังและมิได้ใส่ใจว่าอิ๋งฮวายังคงเดินตามมาหรือไม่  มองร่างสูงโปร่งที่ห่อเข้าหากันเล็กน้อย แล้วจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกคลุมลงบนบ่าที่ชมชอบแบกรับเรื่องราวมากมายคู่นั้น
เสื้อคลุมหนาหนักที่คลุมลงมาสะกิดให้เหลียนอันสุ่ยรู้สึกตัว  กลิ่นของผ้าที่ผ่านการซักล้างอย่างพิถีพิถันเจือกลิ่นของผู้เป็นเจ้าของ  เสื้อตัวนี้...เขารับไว้ไม่ได้

“ไม่ต้องถอด  ข้าชินกับความหนาวเย็นแต่ท่านไม่ใช่” คำพูดดักคอถูกกล่าวออกมาก่อนที่เหลียนอันสุ่ยจะทันมีปฏิกิริยาใด  สายตาของฉีเซี่ยงหยวนจับนิ่งอยู่ที่ต้นท้อ  มือทั้งสองข้างไพล่หลัง  เนิ่นนานจึงถามขึ้นว่า
“ท่านคิดถึงนาง ?”
“...อืมม์” เหลียนอันสุ่ยรับเบาๆ ดวงตามองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย  อดมิได้ต้องถามตัวเองแผ่วเบา  คิดถึงนางหรือคิดถึงผู้อื่น ?
จู่ๆ ฉีเซี่ยงหยวนก็หันกลับมา  สบตาอีกฝ่ายพลางถาม
“ท่านรักนางขนาดนี้  เหตุใดยังปล่อยองค์หญิงจินผิงไว้ ? ”
คำถามนี้ทำให้เหลียนอันสุ่ยสะท้านไปเฮือกหนึ่ง  เบิกตากว้าง  อึ้งไปนานจึงเอ่ย
“...ท่านพูดเรื่องอันใด” การปกปิดนี้ทำได้ไม่แนบเนียนเลย  ท่าทีของเหลียนอันสุ่ยตอบฉีเซี่ยงหยวนไปแต่แรกว่าหลิวฉางเฟยคาดเดาไม่ผิด  การตายของเหวินจีเกี่ยวพันกับองค์หญิงจินผิงจริงๆ
เสียงของฉีเซี่ยงหยวนไม่ดัง  แต่ในสวนที่ไม่มีผู้อื่นกล่าววาจากลับชัดเจนไม่น้อย  ทำให้อิ๋งฮวากับหวังเชียนที่กำลังเดินห่างไปอีกด้านชะงักเท้าลงทั้งคู่
คำถามของฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่หมดสิ้น
“การกระทำของคนเราล้วนมีเหตุผลเป็นของตนเอง  เหลียนอันสุ่ย  เหตุผลของท่านคืออะไร”
“...สายของท่านคือใครกันแน่” เหตุใดกระทั่งเรื่องเมื่อสิบสองปีก่อน...ความรู้สึกตื่นตระหนกค่อยๆครอบงำเหลียนอันสุ่ยอย่างแช่มช้า
“เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางลบหายไปได้อย่างหมดจด”
“ท่านรู้...ทุกเรื่อง ?” สายของแคว้นเป่ยชางในแคว้นเหลียนที่แท้มีจำนวนมากมายขนาดไหน !
“ข้ารู้เรื่องที่ข้าต้องการรู้” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ

เหลียนอันสุ่ยสูดลมหายใจแรง  มองใบหน้าที่ก้มต่ำลงมา    ลืมเลือนไปได้อย่างไรว่าเบื้องหน้าเขาคือบุรุษที่มีอิทธิพลล้นฟ้า  ลืมเลือนไปได้อย่างไรว่าคนผู้นี้อันตรายแค่ไหน  รู้สึกราวถูกจับจ้องทุกฝีก้าวด้วยสายตาคู่หนึ่งซึ่งมองเห็นทุกสิ่ง  หัวใจย้ำกระชั้น ความกลัวคลี่ปีกโผเข้ามาประชิด 
ถลำลึกลงไปได้อย่างไรกับคนที่น่ากลัวขนาดนี้  ความหวาดกลัวครั้งเก่าความหวาดหวั่นครั้งใหม่ผสมปนเปจนเหลียนอันสุ่ยพูดไม่ออก
“มือท่านเย็นหมดแล้ว” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวพลางใช้สองมือใหญ่กอบกุมมือเรียวยาวทั้งสองข้างไว้  สายตามองปลายนิ้วสั่นระริกที่ซีดขาวจนเขียวพลางส่ายหน้าเบาๆอย่างระอา  ต้องเตือนอีกกี่คราท่านจึงรู้จักดูแลตัวเองบ้าง
ความอบอุ่นที่ปลายนิ้วสลายความหวาดกลัวไปช้าๆ  หวนนึกถึงเรื่องของเหวินเถียนเมื่อเช้า  บางทีคงไม่เหมือนกัน...ไม่เหมือนกัน
“คำถามของข้าตอบยากนักหรือ ? ” ฉีเซี่ยงหยวนยิ้มเล็กน้อย  ท่าทีไม่มีแววบีบคั้นบังคับ
เหลียนอันสุ่ยหลบสายตา  กล่าว
“ท่านเก่งกาจขนาดนี้เหตุใดไม่ไปสืบเอาเอง” จากนั้นถอนหายใจยาว  มือที่กอบกุมมือเขาคู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีทางหนีพ้น...อันที่จริงคนเราหรือจะสามารถหนีจากอดีตของตัวเอง “...ความแค้นไม่ก่อให้เกิดอันใดนอกจากความสูญเสีย  แต่สาเหตุที่ข้าปกปิดเรื่องขององค์หญิงจินผิงมิใช่เพื่อปกป้องนาง  แต่เป็น 227 ชีวิตในสกุลเหอ  ข้าไม่อาจทนเห็นอวี้เฉียนโหดเหี้ยมไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

รอยยิ้มของฉีเซี่ยงหยวนสลายไป  ที่องค์หญิงจินผิงแต่งเข้าคือสกุลเหอ   227 ชีวิตคือไม่ละเว้นบ่าวไพร่  คิดไม่ถึงคำตอบของเหลียนอันสุ่ยกลับเป็น...อวี้เฉียน ขุนพลแคว้นเหลียนคนนั้น 

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 40
«ตอบ #109 เมื่อ12-09-2014 19:46:47 »


บทที่ 40 ความหลังใต้แสงดาว(2)

“...ความแค้นไม่ก่อให้เกิดอันใดนอกจากความสูญเสีย  แต่สาเหตุที่ข้าปกปิดเรื่องขององค์หญิงจินผิงมิใช่เพื่อปกป้องนาง  แต่เป็น 227 ชีวิตในสกุลเหอ  ข้าไม่อาจทนเห็นอวี้เฉียนโหดเหี้ยมไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
รอยยิ้มของฉีเซี่ยงหยวนสลายไป  ที่องค์หญิงจินผิงแต่งเข้าคือสกุลเหอ   227 ชีวิตคือไม่ละเว้นบ่าวไพร่  คิดไม่ถึงคำตอบของเหลียนอันสุ่ยกลับเป็น...อวี้เฉียน ขุนพลแคว้นเหลียนคนนั้น

เหลียนอันสุ่ยยังคงพูดต่อไปราวไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย  บางทีในสายตาของพระมาตุลาแคว้นเหลียนสิ่งที่เขามองเห็นในขณะนี้มีเพียงอดีตเมื่อหลายปีก่อน
“ข้ารู้จักอวี้เฉียนตั้งแต่เขาเริ่มรับใช้กองทัพ  เขาก้าวหน้ารวดเร็วเหลือเกิน  โหดเหี้ยมอำมหิตมากขึ้นทุกที  ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงฝังใจในตัวข้าอย่างลึกล้ำ  ยังดีที่อวี้เฉียนเคารพเหวินจี  จึงไม่เคยสร้างความลำบากใจให้พวกเรามาก่อน  แต่ใครที่กล้าล่วงเกินข้าไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนบทสรุปกลับน่ากลัวนัก  หลังจากเหวินจีตายไปข้างกายข้าก็ว่างเปล่ามาโดยตลอด  ผู้คนเข้าใจว่าข้าตัดรักเดิมไม่ขาด  ก็ถูก  ข้าไม่ต้องการแต่งงานใหม่  และแต่งงานใหม่ไม่ได้ด้วย”
เพราะอวี้เฉียนไม่มีทางยินยอมให้มันเกิดขึ้น...ฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจแล้ว  อวี้เฉียนไม่กล้าแตะต้องเหลียนอันสุ่ย  แต่ก็กันไว้เป็นของๆเขาคนเดียว  ส่วนเรื่องที่อวี้เฉียนรู้จักเหลียนอันสุ่ยมานานปีฉีเซี่ยงหยวนพอรู้มาก่อนแล้ว  ฟังว่าตำแหน่งแรกของอวี้เฉียนเหลียนอันสุ่ยเป็นผู้ออกปากให้กับเขา

“ท่านดูถูกข้าใช่หรือไม่ ที่ไม่ยอมปฏิเสธให้เด็ดขาด  ข้ายอมรับว่าข้าไม่กล้า  หลังมีอำนาจอวี้เฉียนแม้ไม่ฟังใคร แต่ยังพอฟังข้าอยู่บ้าง  ข้าไม่อาจเสี่ยงให้อวี้เฉียนกลายเป็นไม่ฟังผู้ใดไปจริงๆ  ไม่เช่นนั้นแคว้นเหลียน... ” พูดถึงแค่นั้นเหลียนอันสุ่ยก็ไม่อาจพูดต่อ
“ท่าทีที่ท่านมีต่อเขาจึงคล้ายมีเยื่อใยคล้ายไร้เยื่อใยมาโดยตลอด?” ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนมีแววที่อ่านไม่ออกขณะกล่าวประโยคนี้  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยเอ่ยถึงอวี้เฉียนให้เขาได้ยิน  แต่ในค่ำคืนนี้อดีตกลับคล้ายหวนคืนมาทั้งหมด   
เหลียนอันสุ่ยพยักหน้ารับเงียบๆ
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ
“คิดไม่ถึงเขารักท่านปานนี้  สุดท้ายกลับกลายเป็นทำร้ายท่าน” รู้สึกถึงมือสั่นสะท้านในอุ้งมือ  มือใหญ่จึงกุมกระชับแน่นเข้า
ดวงตาคู่งามของเหลียนอันสุ่ยมองใบหน้าคมคายใต้แสงดาวที่สงบสุขุม โดดเด่นทรงอำนาจ  สุดท้ายยิ้มบางๆ ส่ายหน้าช้าๆ กล่าวว่า
“ความรักที่เขามีให้ข้า  ที่ทำร้ายมีเพียงตัวเขาเอง...ท่านเข้าใจว่าอวี้เฉียนจงใจมาหาที่ตายในวังหลวงจริงๆหรือ ?” ไม่ทันที่ฉีเซี่ยงหยวนจะตอบคำเหลียนอันสุ่ยก็กล่าวต่อ “เขาเข้าวังมาพบข้า  ความจริงเขาสามารถหลบหนีจากไป  แต่เป็นข้าที่รั้งเขาไว้”
ดวงตาของฉีเซี่ยงหยวนเบิกกว้าง  มองเหลียนอันสุ่ยคล้ายไม่เคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน  พูดอันใดไม่ออก
เหลียนอันสุ่ยยังคงกล่าวต่อ
 “ท่านอย่าได้เข้าใจว่าข้าเป็นคนดี  ข้าเพียงมีวิธีการของข้าเท่านั้น” กล่าวพลางถอดเสื้อคลุมของอีกฝ่ายออกจากบ่า  วางพาดไว้บนโต๊ะหิน  คล้ายคิดจากไปแล้ว

ความคิดของฉีเซี่ยงหยวนวิ่งวนไม่หยุด  มิน่าเล่า เขาถึงสามารถจับตัวอวี้เฉียนได้อย่างง่ายดาย  จำได้ว่ากระทั่งตัวเขาเองยังนึกไม่ถึงว่าเส้นทางที่อวี้เฉียนจะไปไม่ใช่หลบหนีออกนอกเมืองเพื่อซ่องสุมกำลังรอกลับมาใหม่  แต่เป็นหาที่ตายในวังหลวง  เหลียนอันสุ่ยเคยบอกเขาว่าเกลียดสงครามและหมายความตามนั้นทุกประการ !

“...เช่นนั้นข้าก็สมควรขอบคุณท่านที่ช่วยลดทอนเรื่องยุ่งยากไปมากหลาย” ไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายจากไป  สองมือดึงรั้งร่างสูงโปร่งมาข้างกาย  ฉีเซี่ยงหยวนทรุดกายลงนั่ง  บังคับโอบกอดร่างสั่นสะท้านที่ไม่ทราบเป็นเพราะหนาวของอากาศภายนอกหรือเย็นเยือกจากความอ้างว้างภายในใจ  เหลียนอันสุ่ยกำลังขัดขืนเขา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับมีความรู้สึกว่าเหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เปราะบางยิ่งกว่าช่วงเวลาใดๆ 

ท่าทีขัดขืนของเหลียนอันสุ่ยสงบลงช้าๆ  กล่าวคำพูดที่ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรกล่าวออกมาตรงๆ
“ข้ายืมมืออวี้เฉียนเพื่อจัดระเบียบราชสำนักแคว้นเหลียน  ข้าบอกเขาว่าข้าต้องการให้เขามาพาข้าไปเพื่อจะส่งเขาไปตาย  ต้าอ๋องท่านไม่กลัวข้าจะใช้ประโยชน์จากท่านหรือ ? ”
ริมฝีปากของฉีเซี่ยงหยวนกลับขบลงบนซอกคอละเอียด  กล่าวว่า
“คิดจะใช้ประโยชน์จากข้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน...”

ริมฝีปากที่ประกบแนบกับผิวกายเริ่มต้นเนิบช้า แต่ยิ่งมายิ่งดูดดื่ม  เหลียนอันสุ่ยหอบหายใจ  สติและความรู้สึกต่อต้านคล้ายถูกจุมพิตนี้สูบหายไป  มือใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวนเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมาสบสายตากับเขา  เอ่ยอย่างจริงจังว่า
“และถ้าข้าก้าวไปถึงขั้นเลวร้ายจนท่านคิดกำจัดทิ้ง ก็กำจัดเถอะ” สายตาของฉีเซี่ยงหยวนไม่มีวี่แววหวาดกลัว  แต่คนที่หวาดกลัวกลับกลายเป็นเหลียนอันสุ่ย
“ต้าอ๋อง  ท่านอย่าเดิมพันเช่นนี้กับข้า  เพราะข้าทำได้อย่างแน่นอน” ไม่ว่าข้าจะรักท่านหรือไม่  ข้าก็ทำได้อย่างแน่นอน !
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้ม  มุมปากก็มีรอยยิ้ม  ถอนหายใจพลางกล่าว
“ข้าทราบว่าท่านทำได้  คนใจแข็งเช่นท่านข้านับว่าจนปัญญาแล้วจริงๆ...ผู้อื่นบอกว่าท่านนุ่มนวลยิ่งกว่าสายน้ำ  ข้ากลับไม่เคยเห็นใครใจแข็งเท่าท่านมาก่อน  ท่านหลอกใช้อวี้เฉียน  ท่านเจ็บปวดเพราะท่านหลอกใช้อวี้เฉียน  แต่ท่านก็ยังคงหลอกใช้อวี้เฉียน  ข้ารักท่านขนาดนี้  ปิดประตูไม่พบหน้าท่านยังทำได้ลงคอ  เพียงแค่สองประการนี้ผู้อื่นก็นับว่าทำไม่ได้แล้ว”

เหลียนอันสุ่ยนิ่งอึ้ง  ตอนแรกฟังดูเป็นเหตุเป็นผลดี  เหตุใดตอนท้าย...  เป็นครั้งแรกที่เหลียนอันสุ่ยนึกอยากตะโกนบางประโยคออกมาดังๆ
ที่ผู้อื่นปิดประตูใส่ท่านไม่ได้ก็เพราะว่าท่านมีอำนาจล้นฟ้าอย่างไรเล่า !

ฉีเซี่ยงหยวนเห็นสีหน้าที่คล้ายอยากพูดอะไรแต่พูดไม่ออกของอีกฝ่ายก็หัวเราะเบาๆ  หยิบเสื้อคลุมซึ่งเหลียนอันสุ่ยวางพาดไว้กับโต๊ะขึ้นมาห่ม  เหลียนอันสุ่ยที่ถูกท่อนแขนแข็งแรงข้างซ้ายโอบเอวไว้จึงพลอยถูกห่มไปด้วย  จัดการเสร็จเรียบร้อยฉีเซี่ยงหยวนจึงกล่าวว่า
“ข้าไม่รับปากท่านว่าข้าจะไม่ใช้วิธีการของอวี้เฉียนมาจัดการองค์หญิงจินผิง  นางทำร้ายท่านมาหลายครั้งเกินไป  ซ้ำยังกล้าใช้ข้าเป็นเครื่องมือ  บุคคลเช่นนี้สมควรเจอดีเสียบ้าง” สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนยังคงอ่อนโยน  แต่น้ำเสียงที่ใช้พูดกลับชวนหนาวเหน็บยิ่งกว่าบรรยากาศรอบด้าน 
“...ใช้ท่านเป็นเครื่องมือ ?”
“เฉินเสีย” คำตอบที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีความใดต่อท้าย กลับทำให้เหลียนอันสุ่ยก้มหน้าลง พึมพำ
“ที่แท้เรื่องนี้ท่านก็คาดเดาออกแล้ว...” ว่าที่เราเจอกันแท้จริงมิใช่เพราะเฉินเสีย

ฉีเซี่ยงหยวนแนบริมฝีปากเบาๆลงบนหน้าผากเนียน  ดวงตาเจือแววรักเวทนา  ความเคียดแค้นขององค์หญิงจินผิง  ความโฉดเขลาของเฉินเสีย  กลับมอบหยกที่งามละเอียดชิ้นนี้ให้กับเขา  ชะตาในใต้หล้ายากหยั่งคาดได้อย่างแท้จริง
“เซี่ยงหยวน  ข้าเหนื่อยกับความแค้นรายนี้เหลือเกิน  เลิกแล้วต่อกันไม่ดีหรือ  อย่างไรนางก็ไม่มีหนทางทำอะไรในแคว้นเป่ยชางได้อีก  ไม่จำเป็นต้องจัดการแทนข้าหรอก”
“มาอีกแล้ว  เหวินจี เหวินเถียน  เหลียนจิ้งเต๋อ ตัวท่านเอง  นางทำร้ายมาครบทุกคนแล้วท่านยังจะขอร้องให้นางอีก”
ฟังแล้วดวงตาของเหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป  สุดท้ายถอนหายใจออกมา กล่าว
“ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นข้าที่ทำร้ายบุตรชายของนาง  ลากนางเข้าสู่บ่วงแค้นที่สลัดไม่หลุดรายนี้...”
ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านอยากช่วยนาง  แต่ปล่อยให้นางทำร้ายคนต่อไปก็ไม่มีทางมีอะไรดีขึ้น  ข้าเข้าใจท่าน  สำหรับท่านความผิดครั้งหนึ่งต้องแบกรับชั่วชีวิต  เพราะท่านทำลายที่พึ่งในยามแก่เฒ่าของนางไป  เปลี่ยนชะตาของนางไปทั้งชีวิต  แต่การแบกรับไม่จำเป็นต้องทำด้วยวิธีนี้  ขอเพียงใจท่านไม่ลืมเลือน สำหรับข้านั่นเพียงพอแล้ว  การชดใช้ทำพอสมควร  หากทำมากไปสุดท้ายท่านจะติดค้างผู้อื่นอีก”  เหมือนเช่นคราวนี้ที่ท่านเกือบติดค้างเหลียนจิ้งเต๋อ  เขาไม่เกี่ยวข้อง  ท่านอาศัยอะไรผลักไสเขาไปจากบิดา  ข้าไม่อยากให้สุดท้ายท่านต้องมานึกเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

เหลียนอันสุ่ยฟังแล้วจมลงในภวังค์ครุ่นคิด  ขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวต่อ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“อันที่จริงตั้งแต่ตอนท่านสูญเสียเหวินจีหนี้ที่ท่านติดค้างองค์หญิงจินผิงเท่ากับชดใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว  เรื่องที่นางใช้ข้าเป็นเครื่องมือ  ถือว่าข้ายกให้เพราะมันทำให้ข้าได้พบกับท่าน  แต่สำหรับเรื่องบุตรบุญธรรมของข้าคราวนี้นางนับว่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับข้าชัดๆ  ดีที่ยังคงกระทำไม่สำเร็จ  เพียงทำร้ายท่านจนเจ็บปวดสาหัส  ก็ได้ ถือว่าท่านไม่ถือสา  บวกกับนางเป็นผู้หญิง  เป็นญาติท่าน  เป็นแม่ม่ายสูญเสียบุตรชาย คราวนี้ข้าจะแค่ส่งคำเตือนไปให้ก่อน  ถ้ายังมีครั้งหน้าอย่าได้โทษว่าข้าไม่ยั้งมือไว้ไมตรี !”
ฉีเซี่ยงหยวนแบ่งแยกบุญคุณความแค้นกระจ่างชัด  ครั้งนี้ที่เขายอมยั้งมือเพียงไม่ต้องการให้เหลียนอันสุ่ยยึดถือเขาเป็นเช่นเดียวกับอวี้เฉียน  ความโหดเหี้ยมของอวี้เฉียนทิ้งเงาไว้ในจิตใจของพระมาตุลาผู้นี้สาหัสนัก  แต่มิได้หมายความว่าฉีเซี่ยงหยวนยอมรามือ  เพราะฉีเซี่ยงหยวนมั่นใจ องค์หญิงจินผิงไม่มีทางยอมจบแน่  และคราวหน้าเหลียนอันสุ่ยก็จะไม่สามารถออกปากให้กับนางอีกแล้ว  ดวงตาคมกริบหลุบต่ำซ่อนประกายอันน่ากลัวที่ผุดขึ้นมาวูบหนึ่ง 

ฝ่ายเหลียนอันสุ่ยดวงตาปรากฏแววโล่งใจ  ความรู้สึกราวกับมีปมที่ขมวดแน่นในใจสลายคลายไปไม่น้อย  กล่าวไปกล่าวมาฉีเซี่ยงหยวนยังคงไม่ทำอะไรรุนแรง  องค์หญิงจินผิงกับเขาแม้เจอหน้ากันไม่บ่อยนัก  แต่ก็นับเป็นญาติมีลำดับอาวุโสมากกว่าอยู่หนึ่งรุ่น  ความจริงเหลียนอันสุ่ยให้ความเคารพนางมาโดยตลอด  คิดไม่ถึงเรื่องราวในภายหลังส่งผลให้ความสัมพันธ์กลายสภาพเป็นดุจน้ำกับไฟ 

หลายครั้งที่เหลียนอันสุ่ยนึกถึงอดีต  ผลให้มองปัจจุบันด้วยรู้สึกสะทกสะท้อนใจ  ผู้คนที่รู้จักกันในวันนี้ไม่ทราบภายภาคหน้าจะกลับกลายมีสภาพเป็นเช่นไร  ความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นเพียงของเล่นของโชคชะตา  และโชคชะตาคือสิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุด  ใครจะไปนึกว่าเด็กหนุ่มที่เอาจริงเอาจังคนนั้นสุดท้ายกลับพ่ายแพ้จนยับเยิน  ความพ่ายแพ้ที่แท้จริงของอวี้เฉียนมิใช่การทำสงครามกับฉีเซี่ยงหยวน  แต่เป็นการพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ  เป็นการพ่ายแพ้ต่อตัวเอง  อวี้เฉียนพ่ายแพ้อยู่ก่อนแล้ว  ต่อให้ไม่มีฉีเซี่ยงหยวนสุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องล้มลงมา 

เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองฉีเซี่ยงหยวน  บุรุษที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นผู้นี้ใช่จะมีวันเปลี่ยนแปลงเพราะอำนาจ  ใช่จะมีวันพ่ายแพ้เหมือนกันหรือไม่  ความรู้สึกบีบคั้นที่เจ็บปวดกระแสหนึ่งห่อหุ้มหัวใจ  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้ในตอนนั้นว่าความรู้สึกที่ตัวเขามีต่อฉีเซี่ยงหยวนถลำลึกจนไม่อาจเยียวยา  อย่าเปลี่ยนแปลงเพราะอำนาจ  และอย่าเปลี่ยนแปลงเพราะข้า  ข้ายินยอมให้ตัวเองไม่ดำรงคงอยู่ดีกว่าท่านต้องเปลี่ยนแปลงเพราะข้า

เหลียนอันสุ่ยบอกตัวเองว่าฉีเซี่ยงหยวนไม่เหมือนกับอวี้เฉียน  ไม่กระทำเรื่องราวตามอารมณ์โดยโยนสติทิ้งไป  ยิ่งไม่เห็นการฆ่าคนเป็นเรื่องเล็กน้อย...ด้วยสาเหตุอันใดไม่ทราบเหลียนอันสุ่ยกลับสะท้านขึ้นเยือกหนึ่ง 
หลังจากนั้นอีกหลายปีเหลียนอันสุ่ยจึงได้ทราบ...ว่าหากให้อำมหิตฉีเซี่ยงหยวนยังน่ากลัวกว่าอวี้เฉียนเป็นร้อยเท่า  เพราะฉีเซี่ยงหยวนเข้าใจจุดอ่อนของคน
 
คนไม่กระทำเรื่องราวตามอารมณ์มิได้หมายความว่าจะปล่อยผ่านเรื่องราวที่ทำให้เขาไม่พอใจไปง่ายๆ  และคนที่ใจกว้างก็มิใช่สามารถอภัยให้ผู้อื่นได้ทุกเรื่องราว  อย่าว่าแต่เรื่องคราวนี้คนที่องค์หญิงจินผิงทำร้ายเป็นคนสำคัญชนิดที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ของฉีเซี่ยงหยวน

ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางมองอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่เห็นท่าทีที่ผ่อนคลายลง  คางคมสันจึงพยักเพยิดขึ้นไปบนฟ้า
“อย่ามัวแต่นั่งคิด  ท่านดู ดึกขนาดนี้แล้ว  ยังไม่เข้าไปข้างในอีก”
เหลียนอันสุ่ยรีบเงยหน้าขึ้นไป  เอาศีรษะเกยกับบ่าแกร่งโดยไม่รู้ตัว  ถามด้วยน้ำเสียงที่เจือความสนใจอย่างชัดเจน
“ท่านใช้ดวงดาวบอกเวลาหรือ ? ”
“อืมม์  ข้าเป็นต้าอ๋องกระหายสงคราม  ชอบยกทัพต่อยตีกับผู้อื่นเวลากลางคืน  ถ้าดูเวลาจากดาวไม่เป็นก็นัดหมายกันไม่ถูกแล้ว”
ได้ฟังคำตอบคิ้วของเหลียนอันสุ่ยก็กดมุ่นลงเล็กน้อย  แต่แสงดาวคืนนี้สวยงามมากจริงๆ  ไม่มีพระจันทร์  ดาวจึงโดดเด่นจับตา  ครอบแผ่นฟ้า คลุมผืนดิน 

อากาศหนาวเย็นขึ้นทุกทีแต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่อาจหักใจลุกจากไป  ตัวเบียดอยู่ระหว่างแผงอกอุ่นจัดกับเสื้อคลุมที่บุขนแกะ  จิตใจเบาสบายลงทีละน้อยจนคล้ายสามารถล่องลอยไปแตะสัมผัสดวงดาว  บางทีอาจเป็นเพราะฟากฟ้าสวยงามยิ่ง  บางทีอาจเป็นเพราะเสียงทุ้มที่สอนวิธีดูดาวข้างหูเขา  หรือบางทีอาจเป็นเพราะความผิดบาปที่ค้างคาใจมานานได้ถูกกล่าวออกไป
 
เสียงพูดคุยสะท้อนไปมาในความสงัดงันแห่งห้วงรัตติกาล  ในตอนท้ายเหลียนอันสุ่ยได้ยินฉีเซี่ยงหยวนบ่นอุบอิบว่าทำไมจึงต้องมาอยากดูดาวในฤดูหนาว  จากนั้นสัญญาว่าคราวหน้าจะพาไปดูดาวฤดูใบไม้ผลิในที่ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผืนฟ้า  ได้ยินตัวเองหัวเราะแย้งกลับไปเบาๆว่านั่นคงต้องเป็นทะเลทรายแล้ว  จากนั้นเหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้ยินอะไรอีก...
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้วมองคนที่หลับไปดื้อๆ  เมื่อเห็นหว่างคิ้วที่แฝงความเหนื่อยล้าสีหน้าก็อ่อนโยนลง  ดวงตาผุดแววเวทนารักใคร่  ใช้เสื้อคลุมห่อตัวอีกฝ่ายไว้  ค่อยๆโน้มตัวลงไปโอบอุ้มร่างสูงโปร่งขึ้นมา  หลายวันมานี้ความคิดและสติของเหลียนอันสุ่ยขึงตึงจนเหนื่อยล้า  ถูกอุ้มขึ้นมายังคงไม่รู้สึกตัว  ขาของฉีเซี่ยงหยวนก้าวยาวๆไปที่ปากทาง พอเงยหน้าขึ้นมองดีๆก็เห็นอิ๋งฮวากับหวังเชียนที่คล้ายคิดจะหลบแต่หลบไม่ทัน  ฉีเซี่ยงหยวนมิได้พูดอันใด เดินนำไปด้านหน้า  อิ๋งฮวาที่ยืนอยู่นานหนาวเหน็บจนแทบจะขดตัวเป็นก้อนในเสื้อหนาวรีบฉุดดึงหวังเชียน ตามไปติดๆ

ดวงตาของหวังเชียนมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ตรงหน้า...น่าแปลกที่เพียงแค่แผ่นหลังของคนผู้หนึ่งเหตุใดสามารถบันดาลให้เกิดความรู้สึกทรงอำนาจถึงเพียงนี้  ราวกับแผ่นฟ้าที่ปกครองดวงดารานับหมื่นพัน  สายตาเลื่อนลงไปมองร่างในอาภรณ์ที่สีขาวที่อยู่ในมืออีกฝ่าย  เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ช่างชัดเจนอย่างยิ่ง  หวังเชียนคิดว่าเขาเห็น...ความรัก  บุรุษที่ทระนงองอาจผู้นี้คิดไม่ถึงกลับเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความรัก  ดวงตาของหวังเชียนจมลงในม่านหมอก  นี่เองคำอธิบายที่สมเหตุสมผลในการกระทำของฉีเซี่ยงหยวน  เพราะเมื่อมีความรักก็มักไม่มีความสมเหตุสมผลใดๆ  แต่หากเป็นเช่นเมื่อครู่...เขาก็วางใจ

อิ๋งฮวาถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเร่งฝีเท้าตามคนขายาวทั้งคู่ให้ทัน  นายท่านไว้ใจเป่ยชางอ๋องผู้นี้เหลือเกิน  กระทั่งบอกความลับที่ไม่เคยเอ่ยแม้แต่กับนางและหลับใหลไปโดยปราศจากความระมัดระวังเช่นนี้  บางทีนางคงต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีฉีเซี่ยงหยวน  คนที่เข้าใจนายท่านที่สุดก็มิใช่นางอีก  สิ่งที่อวี้เฉียนไม่เคยแม้แต่จะเฉียดใกล้กลับเป็นบุรุษตรงหน้าที่ได้ไปจนหมดสิ้น
ฉีเซี่ยงหยวนเดินผ่านประตูเข้าไปในห้องของเหลียนอันสุ่ย  หวังเชียนหยุดแค่หน้าประตู  ส่วนอิ๋งฮวาตามเข้าไปดับไฟ 

ขณะที่ฉีเซี่ยงหยวนวางร่างเหลียนอันสุ่ยลงบนเตียงก็กล่าวขึ้นว่า
“ข้าจะไม่ค้างที่นี่  พอนายท่านของเจ้าตื่นขึ้นมาก็ฝากบอกเขาด้วยว่าหลายวันหลังจากนี้ข้าจะไม่ค้างที่นี่และจะไม่มีการให้เหวินเถียนเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวอีก  ดังนั้นเรื่องของเหวินเถียนขอให้เขาวางใจ”
อิ๋งฮวารับคำ  เหลือบมองอีกฝ่ายในใจขมวดจนยุ่งเหยิง  คนผู้นี้คล้ายกับทราบอยู่เสมอว่านายท่านคิดอันใด  ไม่สิน่า  จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ?  รอจนร่างสูงใหญ่ออกจากห้องไปนางก็ดับตะเกียง  ห้องจมอยู่ในความมืดสนิทที่สงบง่วงงุน
---------------------
ในแคว้นเป่ยชางอำนาจของฉีเซี่ยงหยวนเพียงพอจะกำหนดกระทั่งอาทิตย์ขึ้นอาทิตย์ตก  คำปฏิเสธอันหนักแน่นเพียงคำเดียวของเขาไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจไม่ปฏิบัติตาม  เหวินเถียนเพียรพยายามจะแอบพาตัวเหลียนจิ้งเต๋อไป แต่ไม่ว่าอย่างไรยังคงไม่สำเร็จอยู่ดีนั่นเอง
เพียงแต่องค์หญิงจินผิงพันคำนวณหมื่นคาดการณ์กลับตกหล่นคนไปคนหนึ่ง  คนๆนี้สลายความดึงดันของเหวินเถียน  แก้ปัญหาตรงต้นเหตุที่มันเกิด  คนๆนี้คือเหลียนจิ้งเต๋อ
“ท่านตา จิ้งเต๋อได้ไปไตรตรองมาดีแล้ว  จิ้งเต๋อไม่ต้องการกลับแคว้นเหลียน” กล่าวพลางคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแน่วแน่  เหวินเถียนเบิกตากว้าง  ชั่วขณะนั้นเหลียนจิ้งเต๋อที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อยที่สนใจแต่เล่นซุกซนคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน

“เจ้ายังเด็กนัก  หรือเจ้าเข้าใจว่าที่เป่ยชางอ๋องพาเจ้ามาที่นี่  รับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมเป็นเพียงเพราะความเอ็นดู?  ตาจะบอกเจ้า  ตั้งแต่แคว้นเหลียนพ่ายแพ้ต่อแคว้นเป่ยชาง  ในสายตาของชาวเป่ยชางเหล่านี้พวกเราเป็นเพียงแค่เชลย  เป็นเพียงข้าทาสที่อยู่ใต้อำนาจบัญชาของเขาเท่านั้น  อยู่ที่นี่ต่อไปไม่มีทางดีต่อเจ้าอย่างเด็ดขาด” ผู้ใดที่เคยเห็นเหวินเถียนด่าทอผู้คนอย่างเผ็ดร้อนล้วนคาดไม่ถึงว่าเขาจะมีด้านที่อดทนใจเย็นต่อหลานรัก  ในการอดทนอธิบายยังมีความหม่นเศร้าของผู้ชรา  กับขุนนางที่ยืนหยัดอยู่ในแคว้นเหลียนมาเป็นเวลานานเช่นเขาการพ่ายแพ้ของแคว้นเหลียนเป็นความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมา

“ข้อนั้นหลานทราบดี  พวกเราเป็นเชลยทางการเมือง  เป็นตัวประกัน  แต่จำได้ว่าท่านตาเคยสอนว่าลูกผู้ชายมีเรื่องที่พึงกระทำและไม่พึงกระทำ  หลานตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับแคว้นเหลียน  อย่างน้อยตอนนี้จิ้งเต๋อก็ไม่อาจอกตัญญูทิ้งท่านพ่อไว้ที่นี่คนเดียว  ยิ่งไม่สามารถจากไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อแคว้นเหลียน”
เหวินเถียนโกรธจนหนวดกระดิก  แทบจะร้องออกไปว่า
‘เจ้ากตัญญู  แต่ไปถามบิดาเจ้าซิ  ว่าทำอะไรเคยคำนึงถึงเจ้าซักคราหรือไม่!  กับบิดาแบบนั้น...บิดาแบบนั้น...ฮึ่ม’ สุดท้ายยับยั้งตัวเองไว้  เพียงกล่าวออกไปว่า
“เจ้าไม่ต้องคำนึงเรื่องมากมายเหล่านั้น  เชื่อว่าบิดาของเจ้าต้องยินดีให้เจ้าจากไปอย่างแน่นอน” ลองไม่ยินดีดูสิ  ถ้ายังกล้าไม่ยินดีอีกอย่าหาว่าเขาไม่คำนึงถึงไมตรีเก่าก่อน
เหลียนจิ้งเต๋อสั่นหัว  กล่าว
“ไม่ว่าอย่างไรหลานก็มีศักดิ์เป็นบุตรบุญธรรมของต้าอ๋องแคว้นเป่ยชาง  มีแต่อยู่ที่นี่จึงสามารถช่วงชิงโอกาสให้กับแคว้นเหลียน  เพาะสร้างความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์  ชาวเป่ยชางจึงจะเห็นแก่หน้าพวกเราบ้าง”

เหวินเถียนมองหลานชายเพียงคนเดียวตาค้าง  เด็กคนนี้โตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  ฉับพลันนั้นเหวินเถียนรู้สึกราวตัวเองแก่ชราลงหลายปี  ความละอายระคนอับจนปัญญากระแทกเข้ามาอย่างจัง  ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเหลียนจิ้งเต๋อกล่าวถูกต้อง  ตัวเขาคิดแต่จะพาตัวหลานชายกลับไปอย่างเห็นแก่ตัว  ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของแคว้นเหลียน  ไม่คำนึงว่าเรื่องราวที่กระทำจะเป็นการยั่วโทสะเป่ยชางอ๋อง  เป็นแค่ความดิ้นรนอยากจะเอาชนะในความพ่ายแพ้  เป็นความโง่เขลาที่ยึดถือเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
 
นึกไม่ถึงว่าคนที่เตือนสติเขากลับเป็นหลานชายอ่อนวัยกว่าหลายสิบปี   เด็กเติบใหญ่แต่ผู้ใหญ่กลับเลอะเลือน  ยึดติดแต่ความคิดของตัวเอง  คนเราเติบโตขึ้นจริงหรือกำลังเดินเข้าสู่กรอบที่เต็มไปด้วยความยึดติดในอีกรูปแบบหนึ่งกันแน่ ? 

มองเหลียนจิ้งเต๋อที่คุกเข่าอยู่กับพื้น  ก้มลงมองดูตัวเอง  มือรวบกำแน่น  สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจ...
---------------------
ทูตแคว้นเหลียนจากไปอย่างเงียบๆ การรายงานเรื่องการเก็บเกี่ยวกับการส่งเสบียงเข้าคลังหลวงแคว้นเป่ยชางเป็นไปด้วยดี บนกำแพงวังมีเพียงแค่เหลียนจิ้งเต๋อที่มาส่งท่านตา  ละทิ้งไปเสียแล้วโอกาสที่จะได้กลับไปที่ ‘บ้าน’  ช่างเถอะ  สำหรับเขาไม่ว่าที่ไหนที่มีท่านพ่อที่นั่นก็คือบ้าน 

อันที่จริงสาเหตุหลักที่เหลียนจิ้งเต๋อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมไปคือท่านพ่อ  เหลียนจิ้งเต๋อสัมผัสได้ว่าท่านพ่อมีปัญหาที่ไม่อาจสะสางแต่ไม่ยอมบอกเขา  มีความเหนื่อยล้าที่เกาะกินไปถึงกระดูก  ตัวเขาแม้ทำอะไรยังไม่ได้มาก  แต่มีเขาอยู่ก็ดีกว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆท่านพ่อกระมัง  หากท่านแม่ยังอยู่ก็คงต้องเลือกเช่นนี้  แต่ท่านพ่อไม่มีท่านแม่แล้วเขาจึงได้แต่กระทำแทน  ครอบครัวพวกเขามีกันอยู่แค่สองคน  ถ้าเขาไปอยู่กับท่านตาท่านพ่อจะยิ่งโดดเดี่ยว  และความโดดเดี่ยวนี่...ก็ไม่ดีเลย

ส่วนคำที่เขาบอกท่านตาความจริงครึ่งหนึ่งเป็นคำโกหก  เหลียนจิ้งเต๋อเกลียดการใช้ประโยชน์จากผู้อื่น  ดังนั้นการคบหากับผู้คนเพื่อหวังผลประโยชน์จึงไม่มีทางอดทนกระทำได้  แต่ที่พูดไปเช่นนั้นเพราะทราบดีว่าหนึ่งเดียวที่สามารถเปลี่ยนความคิดของท่านตาได้มีแต่เรื่องของแคว้นเหลียน  ท่านตารักแคว้นเหลียนเหลือเกิน  ท่านพ่อก็รักแคว้นเหลียนเหลือเกิน  เหลียนจิ้งเต๋อรู้สึกว่าตัวเองก็รักแคว้นเหลียนแต่ไม่ทางได้ครึ่งหนึ่งของพวกเขา

บางทีเมื่อเติบใหญ่ขึ้นกว่านี้เหลียนจิ้งเต๋อจะได้รู้ว่าสิ่งที่ท่านพ่อกับท่านตารักเป็นมากกว่าแผ่นดินผืนหนึ่ง  มันมิใช่เพียงเม็ดดินที่มารวมกัน  มันคือชีวิต  คือความผูกพัน  คือรากฐานและความภูมิใจ  และจะได้รู้ว่าความอดทนบางทีมันก็คุ้มค่า  เมื่อความอดทนของท่านสามารถแลกมาซึ่งความเป็นอยู่ของผู้คนนับร้อย
---------------------
ไม่นานหลังจากนั้นผู้สำเร็จราชการที่ประจำอยู่ที่แคว้นเหลียนก็ถวายผังการปรับโครงสร้างทหารอารักขาในวังต่อเหลียนอ๋อง  การรักษาความปลอดภัยเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งมากขึ้นตามลักษณะมีระเบียบวินัยของแคว้นเป่ยชาง  แต่เชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเป็นการจับตาดู  ที่น่าแปลกก็คือในการปรับครั้งนี้ตำหนักเก่าที่เกือบจะร้างทหารอารักขาเช่นตำหนักเบญจมาศจู่ๆก็เพิ่มจำนวนทหารอารักขาขึ้นมาเฉยๆ  แต่ผู้คนยังคงไม่ให้สนใจอะไรมากนัก  ตำหนักเบญจมาศเป็นเหลียนอ๋ององค์ก่อนๆประทานให้องค์หญิงจินผิง  การเพิ่มลดทหารประจำการไม่มีผลใดๆต่อภาพรวมราชสำนักและเรื่องนี้ก็ถูกกลืนหายในไปทันทีเมื่อประกาศปรับโครงสร้างขุนนางที่อึกทึกครึกโครมยิ่งกว่ามาถึง 

สำหรับการรับขุนนางใหม่แคว้นเป่ยชางกระทำอย่างจริงจังกว่าแคว้นเหลียนมานานแล้ว  ภายใต้อิทธิพลของแคว้นเป่ยชางราชสำนักแคว้นเหลียนจึงถูกปรับสภาพไปไม่น้อย  สรุปได้เป็นสองประโยคง่ายๆ ‘ลดขุนนางเก่า เพิ่มการรับขุนนางใหม่’  ซึ่งในจำนวนนี้ขุนนางที่มีความสามารถโดดเด่นยังได้รับโอกาสเข้ารับราชการในแคว้นเป่ยชางอีกด้วย  แคว้นเป่ยชางในตอนนี้ไม่ต่างกับตะวันกลางฟ้า  ทุกผู้คนล้วนทราบว่านี่เป็นโอกาสที่ได้มาไม่ง่ายดาย  แน่นอนว่ากระแสของการปรับเปลี่ยนย่อมต้องมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ  แต่เกรงว่าคงไม่มีใครมีสภาพเหมือนขุนนางใหญ่เฉินเสียที่เสียวสันหลังเหงื่อตก  เพราะดูไปดูมา นับไปนับมา ขุนนางเก่าที่ถูกปลดไปมีไม่น้อยที่มีความสัมพันธ์กับองค์หญิงจินผิง  เฉินเสียอยากโอดครวญหาความยุติธรรมแต่มีสิบปากก็ไม่กล้าเอ่ย  ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม

ในแผนการส่วนรวมกลับแฝงแผนการส่วนตัวไว้อย่างแนบเนียนสมเหตุสมผล เพิ่มการจับตาดูคือคำเตือนประการแรกของฉีเซี่ยงหยวนที่ส่งถึงองค์หญิงจินผิง  การลดจำนวนคนที่นางสามารถใช้สอยก็คือคำเตือนประการที่สอง  ทั้งสองประการล้วนไม่ต่างกับเชือกที่มัดคนจนไม่อาจลงมือวาดแผนการใดออกมาอีก  ความหมายแฝงกระจ่างชัด...หากฉีเซี่ยงหยวนต้องการเล่นงานคนก็สามารถทำได้อย่างแนบเนียนสมเหตุสมผลเช่นกัน !
======

กลัวคนอ่านค้างเลยรีบมาต่อให้ก่อน 
ยอมรับว่าเรื่องบางช่วงมันเข้าใจยาก  แต่เห็นไม่มีใครถามใครสงสัยเลยไม่แน่ใจว่าเข้าใจกันจริงป่าว555 
ชอบไม่ชอบยังไงบอกได้นะคะ 
รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าสำนวนเรื่องมันจีนไปหน่อย  ถ้าไม่คุ้นจะอ่านลำบาก 
แต่คนแต่งบ้านิยายแปล  รู้สึกว่าถ้าไม่ใช้สำนวนแบบนี้แต่งยังไงมันก็ไม่จีน55 

สำหรับพระเอกนายเอก สองคนนี้ต่างคนต่างมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง  มีอดีตของตัวเอง 
ดังนั้นการจะเดินไปถึงปลายทางที่เรียกว่าความรักความเข้าใจก็ต้องเรียนรู้กันและกันต่อไป ;)


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 40
« ตอบ #109 เมื่อ: 12-09-2014 19:46:47 »





ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
ชอบมาก ติดตามอยู่ตลอด ภาษาสวย อ่านแล้วรู้สึกสนุก ร้อยเรียงเรื่องราวได้อย่าลงตัว มีแง่คิด ^^

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
กลัวจะจบเศร้าจัง สัญญาได้ไหมว่าจะไม่เศร้า ฮ่าๆ

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 41
«ตอบ #112 เมื่อ17-09-2014 23:05:06 »


บทที่ 41 คำบอกรัก

กลิ่นสมุนไพรหลากหลายชนิดลอยปนผสมกันอยู่ในอากาศ  ตู้เก็บสมุนไพรที่สูงจรดเพดานมีคนพาดบันไดปีนขึ้นไปเพื่อเอื้อมหยิบ  ตู้ด้านข้างจัดเก็บเม็ดยาลูกกลอน  ไกลออกไปสองช่วงโต๊ะเป็นเตาที่จัดวางหม้อต้มยา  เวลายังเช้าอยู่มากแต่บางเตากลับมีควันกรุ่นขึ้นเป็นสายแสดงว่าเริ่มใช้งานแล้ว  เด็กต้มยาโบกพัดเพื่อควบคุมระดับไฟในเตาอย่างเอาใจใส่  ตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับมาจากแคว้นเหลียนตู้เก็บยาก็มีการต่อเติมออกไป  ตำรายาแคว้นเหลียนที่ถูกคัดลอกมาวางห่างๆอยู่ในแคร่ไม้ไผ่

เหลียนอันสุ่ยล้างมือเช็ดมือจนแห้ง แล้วจึงเริ่มเดินดึงลิ้นชักเพื่อตรวจสอบสภาพสมุนไพร  ผู้จดบันทึกทะเบียนยารีบเดินตามพร้อมพู่กันจุ่มหมึกหมาดกับม้วนไม้ไผ่ในมือ 

เช้านี้เปิดประตูห้องออกมาก็เจอเหลียนจิ้งเต๋อคุกเข่ายืนยันหนักแน่นว่าที่ไม่กลับแคว้นเหลียนเป็นการไตร่ตรองดีแล้ว  หากท่านพ่อเห็นเป็นความผิดก็ยินดีรับโทษ พลางประคองไม้เรียวยื่นส่งออกมา  เหลียนอันสุ่ยจำได้ว่าเขาใช้สายตาเรียบเฉยมองไม้เรียวอันนั้นพลางกล่าว ‘ยังคงดื้อรั้นไม่เปลี่ยนแปลง...หากคิดจะอยู่ที่นี่ก็ต้องขยันให้มาก  อย่ามองเรื่องราวง่ายดายจนเกินไป  และอย่าให้พ่อเห็นเจ้าเกียจคร้าน’
ดวงตาของเหลียนอันสุ่ยมองสมุนไพรเหล่านั้น  ถอนหายใจ  ไม่แน่ใจว่าตัวเองใจร้ายเกินไปหรือไม่  แต่จะอยู่แคว้นเป่ยชางก็มิอาจไม่เติบโต ภัยอันตรายรอบด้าน  ตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะมีอำนาจเพียงพอจะปกป้องอะไรได้อีก

ไล่มาจนถึงลิ้นชักริมสุด  กลิ่นที่แปลกไปทำให้เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  ม้วนแขนเสื้อขึ้นพลางก้มลงกอบสมุนไพรแห้งจำนวนหนึ่งขึ้นมา
“อบแห้งกันอย่างไร  เหตุใดจึงชื้นจนมีรา” อากาศแห้งถึงเพียงนี้  ตู้ไม้ก็เป็นไม้อย่างดีไม่อมความชื้น  แสดงว่าความผิดพลาดมาจากขั้นตอนการอบแห้งที่กระทำลวกๆ
“เฮอะ  ตอนนี้ถึงขั้นเหิมเกริมวางท่าตำหนิผู้อื่นแล้วหรือ  เข้าใจว่าตัวเองเป็นใครกัน” เสียงไม่พอใจของใครคนหนึ่งดังขึ้น เป็นหย่งเผิงน้องชายของใต้เท้าหย่งนั่นเอง  สมัยเรียนทั้งในสำนักศึกษาและโรงหมอหย่งเผิงต่างทำคะแนนได้ดีเยี่ยม  ตอนนี้ทระนงตนว่ามีประสบการณ์มาก  ในโรงหมอแห่งนี้เกรงใจก็เพียงหมออาวุโสไม่กี่คน  คำว่า ‘วางท่าเหิมเกริม’ ความจริงสมควรเป็นของเขา

“ไม่ว่าของเก่าหรือของใหม่ล้วนต้องทิ้งทั้งลิ้นชัก  เพิ่มยาตัวนี้ในรายชื่อที่ต้องขึ้นเขาไปเก็บด้วย” เหลียนอันสุ่ยหันไปกล่าวกับผู้บันทึก  หย่งเผิงที่กอดอกพูดลอยๆเมื่อครู่หน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ  แม้เมื่อครู่หย่งเผิงจะพูดลอยๆแต่จุดประสงค์ย่อมมิได้ต้องการให้มันเป็นเพียงคำพูดลอยๆแน่  เจ้าคนแคว้นเหลียนกล้าไม่ฟังกระทั่งคำพูดของข้าเชียวหรือ !

‘ปัง’ เสียงกำปั้นทุบลงบนตู้ยาในระยะประชิดทำให้เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นมา  คนจดบันทึกที่ด้านข้างเห็นสถานการณ์ไม่ดีรีบถอยห่างออกไป  หย่งเผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักที่เจือความกรุ่นโกรธระคนถือดีไว้ ว่า
“ข้าไม่สนว่าคนหนุนหลังเจ้าจะเป็นใคร  เจ้าก็แค่คนอ่อนแอชั้นต่ำ  ชาวเหลียนเช่นเจ้าความจริงสมควรเป็นแค่ขี้ข้า  สมควรเจียมตัวเสียบ้าง  ไปบดยาทำงานใช้แรงงานตรงนู้นไป” พยักเพยิดไปที่กลุ่มเด็กฝึกงานที่ก้มตัวใช้หินบดยาอยู่อีกฝั่ง  ทุกคนที่คิดมาร่ำเรียนจากโรงหมอตำแหน่งต่ำสุดก็คือเริ่มจากบดตัวยาง่ายๆตามคำสั่ง  สำหรับหย่งเผิงที่ถือตัวว่าเป็นหมอใหญ่ย่อมห่างไกลจากหน้าที่ดังกล่าวไปจนไกลลิบ

เลี่ยฝูที่เดินมาด้วยกันแทบจะทั้งฉุดทั้งลากให้เจ้าเพื่อนคนนี้ไปกล่าววาจาที่อื่น  เลี่ยฝูเป็นศิษย์คนโปรดของท่านหมอลั่ว แพทย์ประจำพระองค์เป่ยชางอ๋อง  หน้าที่คือติดตามอาจารย์เข้าออกราชสำนักกับตรวจนับทำความสะอาดเข็มประจำตัวอาจารย์ทุกเช้า  วันนี้ยังไม่ทันได้ไปทำหน้าที่เจ้าเพื่อนตัวดีก็หาเรื่องจะเอาหัวไปพาดบนเขียงเสียแล้ว
 
หย่งเผิงหัวดี  ชาติตระกูลก็ดี  นิสัยหยิ่งทระนง  เกลียดเรื่องราวที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอน  ยิ่งเกลียดคนไม่มีความสามารถแต่คิดจะเผยอเทียบเทียมกับเขา  ตั้งแต่เหลียนอันสุ่ยเข้ามาที่โรงหมอก็ไม่ได้เริ่มจากตำแหน่งต่ำแล้วไต่เต้าขึ้นสูง  แม้มิได้มีหน้าที่เป็นหมอตรวจรักษาคนโดยตรงแต่ก็สามารถวินิจฉัยคนไข้ให้คำแนะนำการรักษา  หย่งเผิงเห็นว่าความอวดดีเช่นนี้เกินจะรับไหว  ต่อให้ร่ำเรียนวิชาแพทย์จากแคว้นเหลียนแล้วเป็นอย่างไร  เป็นหมอหรือก็ไม่ใช่  มาที่แคว้นเป่ยชางก็สมควรร่ำเรียนใหม่อย่างต่ำสองปีจึงจะถูก  หาทราบไม่ว่าเลี่ยฝูติดตามหมอหลวงใหญ่ไปๆมาๆทราบแน่ชัดว่าคนผู้นี้ล่วงเกินไม่ได้เป็นอันขาด  เหลียนอันสุ่ยเจ็บป่วยครั้งที่แล้วตอนที่ท่านหมอลั่วถวายการรักษาเลี่ยฝูก็อยู่ที่นั่นด้วย  ส่วนคนหนุนหลัง...สวรรค์  มิใช่แค่พระภาดาหานญื่อหลัวยังมีเป่ยชางอ๋อง !

มิน่าเล่าคราวที่แล้วเด็กฝึกใหม่ทำผิดพลาดแล้วป้ายสีเหลียนอันสุ่ยโดยจงใจ  สุดท้ายกลับกลายถูกจับได้ถูกขับออกจากโรงหมอโดยถาวร  หย่งเผิงเข้าข้างคนแคว้นเดียวกันเห็นว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเพราะเส้นสาย  ความไม่พอใจยิ่งมายิ่งเพิ่มพูน
   ...อันที่จริงหย่งเผิงก็มิได้เข้าใจผิดพลาด  หากเหลียนอันสุ่ยไม่ได้มีเบื้องหลังที่มิอาจล่วงเกิน  คำว่าความยุติธรรมในเรื่องที่พยานรู้เห็นเข้าข้างคนแคว้นเดียวกันบางทีก็เกิดขึ้นได้ยาก 

เหลียนอันสุ่ยมองตามสายตาของหย่งเผิงพลางรู้สึกโชคดีที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าการมีคนคุ้มกันเดินตามเอิกเกริกและขัดขวางการทำงานยิ่ง  จึงไม่ให้หม่าหลงกับต้วนจินติดตามเข้าโรงหมอ  มิเช่นนั้นเรื่องอาจบานปลายใหญ่โตไปโดยใช่เหตุ  ปากเอ่ยช้าๆว่า
“ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก  การบดยาเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้  ต่อให้เป็นหมอที่เก่งกาจก็ต้องเริ่มต้นจากง่ายไปยาก  อย่าว่าแต่หากเป็นตัวยาที่ต้องกะแรงบดให้พอดีกระทั่งหมอใหญ่ๆยังกระทำด้วยตัวเอง”

มียอกย้อน  หย่งเผิงสลัดแขนเสื้อออกจากแรงฉุดลากของอดีตเพื่อร่วมเรียน  หรี่ตาลง กล่าว
“กล่าววาจาเหมือนรู้ดี  ความสามารถไม่แน่ว่ามีเพียงพอ  หากมีคนป่วยเป็นอะไรไปเพราะความอวดฉลาดโดยไม่คำนึงว่าตัวเองมีความสามารถไม่ถึงของเจ้า  ข้าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่  แคว้นเหลียนยกตัวเองว่าการแพทย์เป็นอันดับหนึ่ง  แล้วข้าจะรอดู...”

“พระมาตุลา วันนี้ท่านก็มาเช้าอีกแล้ว” สุ้มเสียงแก่ชราที่ยังสดใสกังวานเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา
เหลียนอันสุ่ยค้อมหัวลง
“ท่านหมอลั่ว  เมื่อวานมีคนบอกข้าว่าท่านอยู่จนดึกดื่น  แต่กลับมาเช้าถึงเพียงนี้  แล้วเหลียนอันสุ่ยจะกล้าเกียจคร้านได้อย่างไร”
“อาจารย์” เสียงเรียกโดยพร้อมเพรียง  ดวงตาของหย่งเผิงผุดแววไม่พอใจ  ไม่เข้าใจ  แต่ก็มิได้กล่าวออกมา  ทักทายผู้เป็นอาจารย์จบก็สะบัดหน้าจากไป
เจ้าของตำแหน่งหมอหลวงใหญ่ถอนหายใจ  ศิษย์คนนี้...  จากนั้นเงยหน้าขึ้นถาม
“การบาดเจ็บครั้งที่แล้วของท่านยังเหลืออาการตกค้างใดๆ หรือไม่”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆพลางส่ายหน้า  ขณะนั้นนางกำนัลผู้หนึ่งก็วิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาในโรงหมอ  ร้องว่า
“ที่ฝ่ายร้องรำฝึกซ้อมท่าต่อตัวมีคนร่วงหล่นลงมา  บาดเจ็บ 6 คน  ท่านหมอ  ท่านรีบไปดูอาการเร็วเข้า!”
ได้ยินคำว่า ‘ฝ่ายร้องรำ’ เหลียนอันสุ่ยจึงรีบกล่าวลาหัวหน้าหมอหลวง  สมทบกับหมออีกสองสามคนรุดไป

สตรีที่เป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นเหลียนส่วนที่เป็นของฉีเซี่ยงหยวนทั้งหมดล้วนยกให้กับฝ่ายร้องรำ  ด้วยความสัมพันธ์ของฉีเซี่ยงหยวนกับเสิ่นชิงอีไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทักท้วงมากความ  เหลียนอันสุ่ยกังวลว่าในหกคนนี้จะมีสตรีแคว้นเหลียนรวมอยู่ด้วย  เมื่ออยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็จำเป็นต้องดูแลกันและกัน  ประโยคนี้หากท่านต้องประสบชะตากรรมพรากจากบ้านเกิดจะเข้าใจกระจ่างชัด
---------------------
ในหกคนที่บาดเจ็บมีสตรีชาวเหลียนสองคน  ดีที่นอกจากฟกช้ำอย่างร้ายแรงที่สุดก็คือกระดูกหัก  เลือกออกไม่มากและมิได้ถึงชีวิต 
“เท่าที่ดูคงไม่เป็นอะไรมากแล้ว  พระมาตุลาเชิญทางนี้เถิด  ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน” เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น 
ราวสายฝนที่พรมโปรยลงบนกลีบบุปผาแรกผลิบาน  พาให้หัวใจคนสดชื่นอ่อนหวานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  รูปโฉมที่งดงามถึงเพียงนี้ทำให้เหลียนอันสุ่ยทราบในทันทีว่านางคือ เสิ่นชิงอี  อันที่จริงตัวเขาก็คิดอยู่ก่อนแล้วว่ามาคราวนี้คงได้พบหน้านาง
 
เสิ่นชิงอีแย้มยิ้มเล็กน้อยพลางเลิกม่านอีกด้านขึ้นเป็นเชิงเชื้อเชิญอีกฝ่าย  จากนั้นเงาหลังงามล้ำก็เดินลึกเข้าไปด้านใน  ที่ติดตามเสินชิงอีคือจือหลันที่เขาไม่ได้เห็นหน้ามานาน  นึกไม่ถึงจือหลันเมื่อเทียบกับเสิ่นชิงอียังถูกแย่งชิงความโดดเด่นไป

เสิ่นชิงอีไม่มีความงามอย่างร้อนแรงเช่นหลันเซียง  แต่กลับสามารถดึงทุกสายตาออกมาจากความโดดเด่นเฉิดฉันนั่น  คล้ายกับเมื่อมีสตรีผู้นี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถมีสายตาไปมองสตรีอื่น  ...เช่นเดียวกับเหลียนอวี้เสวี่ย  เหลียนอันสุ่ยเคยชินมานานกับสายตาตกตะลึงเป็นสิบๆคู่ที่มองตามน้องสาวของเขา  นึกไม่ถึงว่าฉีเซี่ยงหยวนจะมีหญิงงามปานนี้อยู่ข้างกายมาโดยตลอด

“เรื่องที่ข้าอยากพูดกับท่าน  คือไม่ว่าก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ถ้ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับข้าและต้าอ๋อง  ขอพระมาตุลาอย่างเชื่อถือเพราะมันมิใช่เรื่องจริง  ข้ากับเขาเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น”
“...ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านจึงเอ่ยเรื่องนี้กับข้า  แต่ข้า...”
“ท่านเข้าใจ  ข้ารู้ว่าท่านเข้าใจ...ต่อให้ท่านคิดว่าตัวเองไม่เข้าใจก็รับฟังคำของข้าหน่อยเถิด” เสิ่นชิงอีตัดบทด้วยรอยยิ้มน้อยๆ 
เหลียนอันสุ่ยมองลงไปในแววตาที่กระจ่างยิ่งกว่าน้ำค้างฤดูเหมันต์คู่นั้น  ประกายที่คล้ายรับทราบทุกอย่างทำให้เหลียนอันสุ่ยต้องทำทีเป็นมองเลยผ่านไป  กล่าวเปลี่ยนเรื่องว่า
“ขอบคุณแม่นางเสิ่นที่ดูแลพวกนางมาโดยตลอด” เหลียนอันสุ่ยหมายถึงสตรีแคว้นเหลียนเหล่านั้น
“พวกนางล้วนงดงามจนชวนตะลึง  การร่ายรำเฉลิมฉลองปีใหม่คราวนี้ข้าคงได้รับคำชมมาอีก  ดังนั้นคนที่ขอบคุณจึงควรเป็นข้า  อีกอย่างจือหลันก็เป็นเพื่อนคุยที่ถูกใจข้ามาก  ท่านไม่ต้องเป็นห่วง  มีข้าอยู่พวกนางจะได้รับการดูแลอย่างดี”
ก่อนกล่าวลาเสิ่นชิงอียังย้ำว่า
“สำหรับเรื่องจือหลัน  เอาไว้เถี่ยเจิ้งสร้างผลงาน  ต้าอ๋องย่อมมีเหตุผลที่จะประทานนางให้กับเขา  กับเรื่องนี้ท่านก็วางใจได้”
ดวงตาของเสิ่นชิงอีมองตามเงาร่างสูงโปร่งที่จากไปเป็นประกายครุ่นคิด  ถามสตรีข้างตัวเบาๆว่า
“ได้ยินว่าน้องสาวของเขางดงามที่สุดในแผ่นดิน  เทียบกับข้าแล้วเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
คิ้วเรียวงามของจือหลันขมวดนิ่ว
“...พระอัครชายากับท่านล้วนมีรูปโฉมที่โดดเด่น  ยากจะกล่าวว่าใครเหนือกว่าใคร” สำหรับจือหลันครั้งแรกที่นางได้เห็นเสิ่นชิงอีกระทั่งนางยังตกตะลึง  พระอัครชายาคือบุปผาน้ำแข็งบนภูเขาสูง หยิ่งทระนง ล้ำค่า  จือหลันเข้าใจมาตลอดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้เห็นเป็นคนที่สองอีก  คิดไม่ถึง...  ทำได้เพียงถอนหายใจ  นางมิได้กล่าววาจาเพื่อเอาใจแต่ตัดสินไม่ได้จริงๆ ทั้งคู่ล้วนเป็นหญิงงามที่ในแผ่นดินมีจำนวนเพียงนับคนได้

“เจ้าไม่จำเป็นต้องจริงจังถึงเพียงนี้  ข้าเพียงถามดูเพราะอยากรู้  อีกอย่างด้วยศักดิ์ฐานะข้าหรือจะเทียบชั้นกับนางได้” ในใจของเสิ่นชิงอีมิได้สนใจเหลียนอวี้เสวี่ยที่เป็นน้องสาว  แต่เป็นพี่ชายที่สุขุมอ่อนโยนคนนั้น  นี่เองคนที่ฉีเซี่ยงหยวนปักใจรัก  บุคลิกยังเหนือกว่าที่นางคาดเอาไว้อีก  ไม่จำเป็นต้องเอาไปเปรียบเทียบกับใคร  เพราะผู้ใดล้วนไม่อาจเปรียบเทียบกับเขา  เช่นเดียวกับฉีเซี่ยงหยวน  ดูไปแล้วเป็นคนที่น่าทึ่งสองคนจริงๆ
---------------------
หากความคิดถึงคือการสาวไหมพันธนาการตัวเอง  ฉีเซี่ยงหยวนมีความรู้สึกว่าตัวเขาคงเป็นดักแด้ที่หมดหนทางจะดิ้นหลุดเพื่อกลายเป็นผีเสื้อ  ยับยั้งความคิดถึงครั้งแล้วครั้งเล่า  รอคอยให้ตาแก่ปากเสียแคว้นเหลียนเดินทางกลับแคว้นของตัวเองไปเสียก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ต้องการให้เหลียนอันสุ่ยลำบากใจ  ยิ่งไม่ต้องการให้ตาแก่นั่นมีเรื่องไปพ่นวาจาร้ายกาจใส่คนสำคัญของเขา  ฉีเซี่ยงหยวนจึงได้แต่รอคอย  นี่คงเป็นเรื่องที่น่าขบขันที่สุดในหล้า  ต้าอ๋องหนึ่งในสามแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับทำได้เพียงรอคอย  แต่นั่นก็ช่างเถิด หากการรอคอยของเขาสามารถแลกมาซึ่งความสบายใจของคนช่างกังวลคิดมากคนนั้น

บางครั้งคำว่ารักก็สอนให้คนที่ไม่เคยต้องรอใคร รู้จักการรอคอย  สอนให้คนที่เห็นแก่ตัว รู้จักมองคนอื่นก่อน  สอนให้คนที่จิตใจหยาบกระด้างที่สุดเข้าใจความอ่อนโยน  มันก็พิเศษเช่นนี้เอง  ทรมานแต่หวานล้ำเช่นนี้เอง

ในวินาทีที่ฉีเซี่ยงหยวนโอบกอดร่างสูงโปร่งไว้  เขาพลันรู้สึกว่าทุกอย่างที่จ่ายออกไปล้วนคุ้มค่าอย่างยิ่ง
ประตูยังไม่ทันปิดดี  เหลียนอันสุ่ยก็ถูกลำแขนแข็งแรงคู่หนึ่งโอบกอดเอาไว้  กลิ่นอายอันคุ้นเคยทำให้เหลียนอันสุ่ยยื่นมือออกไปหับบานประตูให้สนิท   ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรแต่กลับยินยอมรับความใกล้ชิดเช่นนี้ 

ตำหนักเสียงวสันต์แม้เงียบสงบอย่างยิ่ง  สุขสงบจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกซาบซึ้งกับความทุ่มเทของคนที่อยู่เบื้องหลัง  แต่เหลียนอันสุ่ยเข้าออกตำหนักบ่อยครั้ง  ทำไมจะไม่ทราบว่ามีเรื่องราวใดกำลังเคลื่อนไหว 
ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าที่เกยกับบ่าเขาช้าๆ  ดวงตาคู่งามหลุบต่ำ  ภายใต้ท่าทีสงบเยือกเย็นบางอย่างในอกกลับดิ้นรนจนรู้สึกเจ็บปวด  ดิ้นรนอย่างรุนแรงภายใต้พันธนาการที่เรียกว่า...ความจริง  สิ่งนั้นผลักดันให้เหลียนอันสุ่ยหันกลับไปใช้สองมือกอดร่างสูงใหญ่ไว้  ริมฝีปากกดประทับลึกล้ำกับเรียวปากคู่หนึ่งซึ่งเคยเอ่ยวาจา ‘อยากรับผิดชอบท่านไปชั่วชีวิต’   ข้าทราบ...บุรุษผู้นี้เป็นของแคว้นเป่ยชาง  และข้าจะคืนให้  ขอแค่ชั่วเวลานี้...ให้ข้าได้รักเขา
มันเป็นจูบที่เนิ่นนาน  เนิ่นนานจนคล้ายพวกเขาต้องการจะจูบกันไปจนวันสุดท้ายของโลก 

มือใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวนรวบร่างสูงโปร่งขึ้น  รู้สึกราวกำลังดำรงอยู่ในห้วงฝัน  ริมฝีปากของทั้งคู่ผละห่างในตอนที่แผ่นหลังของเหลียนอันสุ่ยสัมผัสกับเตียง
มือเรียวรั้งใบหน้าคมคายเข้ามาใกล้กว่าเดิม  ชั่วขณะนี้ฉีเซี่ยงหยวนเพียงมองแต่เขา  ชั่วขณะนี้ข้าสามารถหลอกตัวเองได้ว่าท่านเป็นของข้า  มุมปากของเหลียนอันสุ่ยหยักเป็นรอยยิ้มขณะแนบจุมพิตอีกครา  หากว่าข้ามิใช่พระมาตุลาแคว้นเหลียน  และหากว่าท่านมิใช่เป่ยชางอ๋อง...มันจะดีแค่ไหนกันหนอ?  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้คิดต่อ  เรื่องราวพวกนั้นเพ้อฝันเกินจริง  และหลอกลวงตัวเองจนเกินไป  เพราะมันไม่มีวันนั้นเด็ดขาด  เหลียนอันสุ่ยเองก็มิได้หวังให้มีวันนั้นด้วย  ชาวเป่ยชางทุกคนต้องการท่าน  พวกเราต้องการท่าน  ข้าไม่มีทางวางใจวางแคว้นเหลียนไว้ในมือผู้ใดนอกจากท่าน  แต่ความเห็นแก่ตัวบางเบาในหัวใจของข้ากลับปรารถนาท่านนัก  ทำอย่างไรดี...ทำอย่างไรดีหนอ  ที่จะยืดเวลาที่ข้าเหลืออยู่นี้ให้นานที่สุด...

ฉีเซี่ยงหยวนชะงักไปวูบหนึ่งเมื่อพบว่ามีมือข้างหนึ่งแทรกเข้าไปในเสื้อเขา  ริมฝีปากของเหลียนอันสุ่ยยังคงจูบเขา  ขณะมือข้างนั้นเริ่มเลิกคอเสื้อสีดำ...  ฉีเซี่ยงหยวนจูบเรียวปากนุ่มคู่นั้นหนักหน่วงกว่าเดิม
จนจังหวะที่เหลียนอันสุ่ยเปลื้องเสื้อตัวนอกของอีกฝ่ายออกเป็นผลสำเร็จ  ผละออกหอบหายใจ  ใช้ดวงตาคู่งามมองฉีเซี่ยงหยวนผ่านแพขนตาที่หลุบต่ำ  ใบหน้าที่หายใจไม่ทันแดงเรื่อขับเน้นผิวกายขาวละเอียด
เป็นดวงตาคู่นี้ใช่หรือไม่ที่ดึงดูดเขามาตั้งแต่ต้นจนจบ  ดวงตาที่คล้ายซุกซ่อนความในใจเอาไว้นับพันนับหมื่นโดยไม่ยินยอมเอื้อนเอ่ย  เหลียนอันสุ่ยใช้ดวงตาคู่นั้นมองเขา  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับมีความรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นมิได้มองอย่างละเอียดเท่าไหร่  ใจของเหลียนอันสุ่ยต่างหากที่กำลังมองเขา
ริมฝีปากของทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากันอีกครา  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลง  ยินยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสความโหยหาที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ  สัมผัสความรักที่ถูกซุกซ่อนอยู่ลึกยิ่งกว่าความโหยหา  เกลียวคลื่นปรารถนาบิดตัวขึ้นสูง  พัวพันคนสองคนไม่เลิกรา...

 “ข้ารักท่าน” เสียงทุ้มของฉีเซี่ยงหยวนกล่าวเบาๆ  ได้ยินลมหายใจของเหลียนอันสุ่ยสะดุดเล็กน้อยแต่มิได้ตอบคำ  ซุกเข้าไปในอ้อมกอดของเขากว่าเดิม  ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ กล่าว
“ไม่เป็นไร  ต้องมีซักวันสิน่าที่ท่านจะบอกรักข้า”
เหลียนอันสุ่ยพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่นสะท้าน  มีเพียงตัวเขาเองที่ทราบว่าฉีเซี่ยงหยวนจะไม่มีวันได้ยินคำนั้น  เพราะเขาจะไม่มีทางพูดออกมา  คำว่ารักเป็นเพียงบ่วงที่พันธนาการคนจนดิ้นไม่หลุด  ข้าจะไม่พันธนาการท่านไว้กับข้า  ให้เป็นข้า...ให้เป็นข้าคนเดียวเถิดที่เป็นฝ่ายไม่อาจลืมเลือนท่านไปจากใจ
...ข้ารักท่าน  ฉีเซี่ยงหยวน...
---------------------
หิมะค่อยๆผนึกแข็งถนนหนทาง  ฤดูหนาวแสดงอานุภาพของมันอย่างเต็มที่  แต่กลับไม่อาจผนึกแข็งกระแสคึกคักกระแสหนึ่ง  ในที่สุดข่าวการแต่งตั้งพระชายาที่เงียบหายไปพักใหญ่ก็เริ่มมีเค้ารางอีกครา  และคราวนี้เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธบอกปัดอีกแล้ว 

แม้ว่าข่าวการคัดเลือกพระชายาจะแว่วมาจากกรมพิธีการ  แต่บุคคลที่ทุกคนเงี่ยหูฟังจับตาดูกลับเป็น ‘ตู้ฮูหยิน’  ในวังหลวงขณะนี้หากจะมีสตรีที่ทุกคนต้องไว้หน้าสามส่วน  หัวหน้านางกำนัลสิบแปดตำหนักใหญ่เมื่อพบต้องยอบกายคำนับ  คนผู้นี้ต้องเป็นตู้ฮูหยิน  เพราะเป่ยชางอ๋องคนปัจจุบันเป็นนางเลี้ยงขึ้นมากับมือ  นายหญิงตำหนักไป่เหอที่ล่วงลับไปซึ่งเป็นพระมารดาแท้ๆของต้าอ๋องเชื่อถือนางที่สุด  ‘ตู้ฮูหยิน’ เป็นคำที่ทุกคนใช้เรียกนางด้วยความเคารพ
 
ทุกข่าวที่แว่วออกมาต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่านางเป็นคนอยู่เบื้องหลังการคัดเลือกนางกำนัลใหม่และแน่นอนเป็นตัวแปรสำคัญในการคัดเลือกพระชายาด้วย  ชั่วขณะนั้นบรรดาคุณหนูในหอห้องรวมถึงญาติของเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายที่พอจะมีความหวังได้รับคัดเลือกต่างห่วงพะวงอยู่กับข่าวคราวของตัวเอง  คนที่เชื่อเสียงย่ำแย่  ที่พอจะปกปิดได้ก็พยายามกลบฝังให้หมดจด

และนั่นก็คือเหตุผลที่แม้เหวินเถียนจะจากไปพักใหญ่  แต่อาการปวดหัวของฉีเซี่ยงหยวนก็มิได้ดีขึ้น  สุดท้ายขุนนางพวกนั้นก็ไปเชิญอดีตแม่นมของเขาออกมาจนได้  ในบรรดาผู้หญิงในวังหลวงที่เขากริ่งเกรงก็มีแต่นาง  ข่าวล่าสุดที่รายงานมายิ่งทำให้ใบหน้าของฉีเซี่ยงหยวนปั้นยากจนสุดจะบรรยาย  ดูเหมือนขณะนี้บรรดาคุณหนูตระกูลสูงจะเริ่มมีการเข้ามาพบปะเป็นการส่วนตัวกับตู้ฮูหยินแล้ว
“ตู้ฮูหยินเชิญต้าอ๋องไปดื่มน้ำ...”
“หลิวฉางเฟย  เจ้าเงียบไปเลยนะ ! ...บอกนางไปว่าข้าไม่ว่าง” น้ำเสียงของฉีเซี่ยงหยวนหงุดหงิดหนักเมื่อมองดูคนสนิทที่รายงานไปแต่ท่าทางเหมือนกำลังกลั้นยิ้มที่มุมปาก
“ทราบแล้ว  ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้  แต่นางบอกว่าท่านก็ทราบดีว่านางทำเช่นนี้ทำไม” กล่าวจบหลิวฉางเฟยก็เดินออกไป  ดวงตาที่มองนายเหนือหัวมีแววเห็นใจอยู่ลึกๆ  ทราบว่าคราวนี้ต้าอ๋องได้ลำบากใจจริงๆแน่  คำเชิญนี้ถูกปฏิเสธเป็นรอบที่ห้าแล้ว  จะปฏิเสธไปได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้

ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจ  ทำไมทุกคนจึงต้องมาพยายามหวังดีต่อเขา  ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าตู้ฮูหยินเปลืองสมองไปไม่น้อยในการคัดกรองสตรีเหล่านั้น  ที่นางเชิญเข้าไปดื่มน้ำชาเพราะอยากให้เขาได้เห็นหน้า  ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง  วิธีนี้ไม่น่าเกลียดและนางก็ทำอย่างเงียบที่สุด  แต่ปัญหาคือเขาไม่ต้องการผู้หญิงพวกนั้น  ส่วนคนที่เขาต้องการ...นางก็ไม่มีทางเห็นด้วยอย่างเด็ดขาด  และไม่มีทางมีชื่อในรายชื่อยาวเหยียดนั่นด้วย  จะบอกนางได้อย่างไรว่าคนที่เขา...ที่เขาชอบ...กลับเป็น... 

ที่แย่กว่านั้นคือคราวนี้ขุนนางในราชสำนักกลับลอบดำเนินแผนสูงอีกทาง  แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นโหยวเฉิง...อย่าให้เขารู้เชียวว่าตัวบัดซบตัวไหนเป็นคนต้นคิดแผนการนี้!

lookfa

  • บุคคลทั่วไป
ชอบมากๆๆๆๆๆ เลยค่ะ
รอติดตามผลงานนะค่ะ
 :mew1:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 42
«ตอบ #114 เมื่อ17-09-2014 23:41:05 »

บทที่ 42 ล่าสัตว์(1)

ฤดูหนาวค่อยๆล่วงเลย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนยังคงยืนกรานปฏิเสธ  หลบหน้าก็แล้ว  หางานมาสุมใส่ตัวเองก็แล้ว  ในที่สุดก็ยืดเย้อจนใกล้เข้าสู่ช่วงหิมะกำลังจะละลาย  อันที่จริงฤดูหนาวครั้งนี้ก็นับว่าช่วยฉีเซี่ยงหยวนเอาไว้พอสมควร  ลมหนาวที่มาเยือนอย่างดุเดือดทำให้แต่ละบ้านดีที่สุดคือไม่ต้องออกจากประตู  การไปมาหาสู่ลำบากยากเย็น  เรื่องที่ควรจะเสร็จสิ้นไปจึงยังคาราคาซัง
เป่ยชางเผชิญฤดูหนาวที่โหดร้ายยาวนานทุกปี  ดังนั้นการเตรียมตัวรับฤดูหนาวแต่ละครั้งล้วนชำนาญรอบคอบ  สายเลือดอันทรหดอดทน  น้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูล  นับว่าแสดงเด่นชัดในช่วงนี้เอง  เพียงแต่ฤดูหนาวอันโหดร้ายสำหรับฉีเซี่ยงหยวนกลับเป็นฤดูที่อบอุ่นฤดูหนึ่ง  เพราะลมหนาวอาจแช่แข็งราชสำนักให้ขับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า  แต่กลับมอบเวลาที่มากขึ้นให้ฉีเซี่ยงหยวนได้ใช้กับคนสำคัญของเขา  ความรักที่เพาะมาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงจึงเพิ่งมาแตกกิ่งก้านในฤดูหนาวนี้เอง
...แตกกิ่งก้าน  หยั่งรากฝังลึก...
เหลียนอันสุ่ยแม้ยังคงไม่ยอมบอกรักเขาอยู่เหมือนเดิม  แต่ในประกายตา  ในทุกการกระทำ  ฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาได้รับความรักนั้นแล้ว  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าชีวิตช่างสมบูรณ์พร้อมยิ่ง  มีบุตรบุญธรรมสองคน  และมีคนที่เขารักอยู่ข้างกาย  สำหรับฉีเซี่ยงหยวนนั่นเพียงพอแล้วจริงๆ 

เพียงแต่ชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมยากจะรักษาไว้ได้นาน  หลบเลี่ยงมาเนิ่นนานสุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับ ‘ความจริง’  คำๆนี้ไม่เคยสวยงามเลย  แต่ถ้าท่านไม่ยอมเผชิญหน้า  สิ่งที่ท่านคว้าได้ก็เป็นเพียงแค่ ‘ความฝัน’ ตลอดกาล
---------------------
ชีวิตคนเรามิใช่แค่เจอะเจอคนที่รัก  ได้อยู่ร่วม  แล้วจะจบลงอย่างสวยงาม  มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น  การอยู่ร่วมเป็นแค่จุดเริ่มต้น  เมื่อมีคำว่า ‘ความผูกพัน’ คนเราจึงเข้าใจ ‘การพรากจาก’

เหลียนอันสุ่ยพบว่าเมื่อเขาไม่ต่อต้าน  ปล่อยให้ทุกประการเป็นไปตามธรรมชาติ  ความโหยหาที่ร่างกายเขามีต่อฉีเซี่ยงหยวนก็ดูเหมือนจะลดน้อยลง  เพียงแต่ความโหยหาทางกายน้อยลง ความโหยหาทางใจกลับเพิ่มมากขึ้น 

ก่อนหน้านี้เขาพยายามหักห้ามไม่ให้ตัวเองคิด  กลับกลายเป็นยิ่งหมกมุ่นกังวล  หักห้ามไม่ให้ปรารถนา  กลับกลายเป็นคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าสัมผัสของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร  สัมผัสของฉีเซี่ยงหยวนยากลืมเลือนก็จริง  แต่เป็นตัวเขาเองที่ซ้ำเติมตัวเองจนย่ำแย่  โชคดีที่ว่าในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว  แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ  ยิ่งมาเหลียนอันสุ่ยก็ยิ่งรู้สึกว่า ‘การปล่อยมือ’ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก  ฤดูหนาวนี้เพาะสร้างความผูกพันขึ้นมามากมายเกินไป
...แตกกิ่งก้าน  หยั่งรากฝังลึก...
หิมะที่กำลังละลายละลายเอาฤดูเหมันต์ที่สวยงามที่สุดไปกับมันด้วย  ฤดูเหมันต์ที่ไม่มีทางละลายหายไปจากใจเขา  เหลียนอันสุ่ยไม่รู้ว่าไม่เพียงฤดูเหมันต์  ฤดูใบไม้ผลิที่ตามมาก็ยังคงยากลืมเลือน 
...อันที่จริงทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่รักล้วนเป็นช่วงเวลาที่ยากลืมเลือนทั้งสิ้น
---------------------
หิมะละลายลงเป็นธารเล็กๆสายหนึ่ง  ธารเล็กๆสายนี้กลับบรรจุภาพสะท้อนของกองทัพม้าที่ยิ่งใหญ่สง่างาม  อันที่จริงนี่มิใช่การยกทัพทำศึกแต่อย่างใด  เป็นเพียงขบวนไปล่าสัตว์ของต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางเท่านั้น  เพียงแต่ม้าทุกตัวตั้งแต่หัวขบวนจรดท้ายขบวนล้วนมีสัดส่วนปราดเปรียวองอาจ  บุคลิกของนักรบที่มีระเบียบวินัยฉายชัดในตัวเองทำให้ขบวนไปล่าสัตว์ของแคว้นเป่ยชางแม้มิได้หรูหราอลังการ แต่กลับดูน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่

เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ขี่ม้ามาพักใหญ่แล้ว  เพราะสำนึกในฐานะของตัวเองดี  ไม่ต้องการตอแยเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็น  ตั้งแต่มาถึงแคว้นเป่ยชางจึงทำตัวสงบเงียบที่สุด  ไม่ได้ไปขี่ม้าและไม่ได้ออกนอกเขตวังหลวง  ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนยืนกรานว่าให้ติดตามมาด้วย    เหลียนอันสุ่ยทราบว่าอีกฝ่ายหวังดี  แต่ว่าเขา...  ความคิดถูกขัดจังหวะด้วยท่าทีของสิ่งมีชีวิตใกล้ตัว  ฝ่ามือเรียวตบลงข้างคอม้าเบาๆ  สัมผัสนั้นเจือความคิดถึงอยู่บ้าง  มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ  เจ้าเหรียญทองตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ถูกขี่โดยนายของมันอีกครั้ง  หากมิใช่ถูกเหลียนอันสุ่ยปรามให้เงียบไว้คงส่งเสียงร้องอย่างคึกคักออกมาแต่แรก 
เมื่อได้อยู่บนหลังม้าที่คุ้นเคยจิตใจของเหลียนอันสุ่ยก็ปลอดโปร่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว  แววตามีความผ่อนคลายแทรกเข้ามาช้าๆ  อาการบริสุทธิ์สดชื่นที่สูดเข้าไปราวกับมีกลิ่นอายของอิสระและรสชาติของความทรงจำ

ฉีเซี่ยงหยวนอยู่บนม้าตัวโปรดของเขา  เยื้องไปทางด้านหลังย่อมต้องเป็นหลิวฉางเฟยที่ตามอารักขาใกล้ชิด 
หลิวฉางเฟยปวดหัวนิดหน่อยตอนจัดขบวน  จะให้เหลียนอันสุ่ยอยู่ใกล้ต้าอ๋องเกินไปก็ไม่เหมาะ  จะให้อยู่ห่างเกินไปก็คงมีคนไม่ยินยอม  เจ้าของปัญหาซึ่งก็คือคนที่ไม่ยินยอมคนนั้นตกลงใจไม่ได้และตัดสินใจแต่แรกว่าจะไม่ตกลงใจแต่ให้ลูกน้องเป็นฝ่ายปวดหัวแทน  ดังนั้นมันจึงกลายเป็นหน้าที่ของหลิวฉางเฟยที่ต้องตัดสินใจ 

...อันที่จริงหลิวฉางเฟยรู้สึกขึ้นมาตงิดๆว่าหากมิใช่เกรงข่าวจะไปถึงหูเหลียนจิ้งเต๋อ นายเหนือหัวที่ไม่เคยสนใจขี้ปากชาวบ้านมาก่อนคงจัดการเอาเหลียนอันสุ่ยมาผูกติดอยู่กับตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องคิดและตัดสินใจใดๆ
---------------------
ป่าตรงเชิงเขาของเป่ยชางอุดมสมบูรณ์  แฝงกลิ่นอายอันตรายและไม่ต้อนรับอยู่บ้าง  แต่สำหรับชาวเป่ยชางนั่นไม่ใช่ปัญหาและไม่เคยเป็นปัญหา ป่าที่ไม่ใช่ป่าสำหรับพวกเขาล่าสัตว์ไปก็ไร้รสชาติ  ดังนั้นชายป่าแถบตะวันตกจึงถูกฝีเท้าม้าที่เกิดจากการไล่ล่าทำจนปั่นป่วนไปทั้งผืน  นกกาที่อยู่อย่างเงียบสงบมานานโผปีกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก  สัตว์บนผืนพิภพตื่นตระหนกยิ่งกว่าเพราะมันไม่มีปีก  เอาเป็นว่าหลังสร้างความวุ่นวายจนพออกพอใจ  ได้ของติดไม้ติดมือกลับมาจนพออกพอใจ  ก็ถึงเวลาตั้งกระโจมสร้างที่พักพิงชั่วคราวซึ่งปลอดภัยแน่นอนเพราะสัตว์ป่าทั้งละแวกหนีหายไปกันหมดไม่มีเหลือ

เหลียนอันสุ่ยแปรงขนม้าอยู่ที่อีกฟากของคอกที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ  ไกลออกไปเป็นม้าสีดำตัวใหญ่ปราดเปรียวที่ถูกผูกอยู่ตัวเดียวโดดๆ  เพราะเจ้าของที่ควบคุมมันได้ไม่อยู่  เจ้าร้อยราตรีจึงกลายเป็นม้าที่มีอาณาเขตเป็นของตัวเอง  ไม่ว่าครูฝึกคนไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้มันง่ายๆ
ตอนนี้จึงเป็นการล่าสัตว์ของจริงที่ไม่ได้กระทำบนหลังม้า  ม้าเป็นสัตว์ที่ตื่นตระหนกง่ายและเลือกที่จะหนีมากกว่าต่อสู้  ถึงแม้ม้าศึกส่วนใหญ่จะละนิสัยนี้ได้บางส่วนแล้วก็ตาม  แต่ฝีเท้าของมันยังคงดังเกินไปแม้กับดินที่อ่อนนุ่มของฤดูใบไม้ผลิ  นั่นจะทำให้ป่า ‘ตื่น’  ฉีเซี่ยงหยวนต้องการจะล่าสัตว์ใหญ่  ดังนั้นเดินเท้ากลับเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
 
การล่าสัตว์ของเจ้าแคว้นส่วนใหญ่ใช้วิธีให้คนต้อนสัตว์เข้ามาในอาณาเขต  ส่วนคนล่าเพียงกะจังหวะเล็งธนู  ยึดถือเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง  แต่การล่าสัตว์ของแคว้นเป่ยชางกลับทำให้เหลียนอันสุ่ยได้เปิดหูเปิดตาเพราะมันต้องใช้ฝีมือมากกว่านั้น  ใช้ความระมัดระวังและท้าทายกว่านั้น  ตัวเหลียนอันสุ่ยจริงๆเพียงต้องการขี่ม้าเล่น  ไม่ได้พิสมัยการล่าสัตว์  กระทั่งธนูคู่กายก็ไม่ได้หยิบมาด้วย  จึงมิได้ติดตามไป
แสงแดดสาดลงมาไม่แรงนัก  อากาศเริ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย  ลมเย็นถูกไอแดดแผดใส่จนกลายเป็นความพอเหมาะ  ชวนให้ผู้คนรู้สึกเกียจคร้าน  แต่บรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ถึงเพียงนี้คงไม่ทำให้ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางเกียจคร้านไปด้วยแน่  เสียงรายงานผลดังมาแว่วๆ  ฉีเซี่ยงหยวนได้กระต่าย 7 ตัว  กวาง 5 ตัว  หมูป่าอีกหนึ่ง  ส่วนหานญื่อหลัวได้เท่าฉีเซี่ยงหยวนทุกประการเพียงแต่หมูป่าตัวเล็กกว่าและกระต่ายน้อยกว่าอยู่ 2 ตัว  ตรวจนับกันไปได้อีกซักพัก  ไม่ว่าฉีเซี่ยงหยวนจะล่าเพิ่มมาได้อีกกี่ตัว  ระยะห่างยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  เห็นได้ชัดว่ากระต่ายสองตัวเป็นหานญื่อหลัวจงใจเว้นไว้ให้  เพราะหากล่าได้มากกว่าเป่ยชางอ๋องนั่นก็เป็นเรื่องบังอาจมากแล้ว 

เหลียนอันสุ่ยยิ่งฟังก็ยิ่งสั่นหัว  นี่เองสาเหตุที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เลิกราคว้าธนูเข้าป่าไป  คิดไม่ถึงหานญื่อหลัวที่สุภาพมีมารยาทจะมีนิสัยชมชอบเอาชนะถึงเพียงนี้  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนสมควรใช้คำว่าชมชอบเอาชนะมาแต่กำเนิด  ซ้ำยังไม่ยินยอมด้อยกว่าคนที่เหม็นหน้าอย่างเด็ดขาด  เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายหากไม่มีใครยอมแพ้ก็คงไม่จบไม่สิ้น  มันอาจเป็นการปะทะกันของศักดิ์ศรี  หรืออาจเป็นเพราะหานญื่อหลัวจงใจยั่วโทสะของฉีเซี่ยงหยวน  แต่สุดท้ายที่ลงเอยคือความโชคร้ายของสิ่งมีชีวิตในป่าทุกชนิด

“นี่เอง ม้าของพี่สี่” เสียงที่ดังแว่วมาเป็นเสียงที่เหลียนอันสุ่ยไม่เคยได้ยิน  เหลือบตามองไปที่ไกลๆมีคนกลุ่มใหญ่แต่งตัวเห็นชัดว่าฐานะไม่ธรรมดาเดินเข้าใกล้คอกม้าชั่วคราวส่วนตัวของเจ้าร้อยราตรี  คนดูแลม้าที่ด้านข้างรีบเข้าไปรับหน้า  ท่าทีเหมือนทัดทานอะไรบางอย่าง  คิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยขมวดแน่น  หวังให้คนกลุ่มนั้นเชื่อวาจาล่าถอยไปเอง  จากปากของฉีเซี่ยงหยวน เจ้าร้อยราตรีนิสัยอันตรายอย่างมาก  เข้าใกล้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาด  มือของเหลียนอันสุ่ยยังคงใช้แปรงแปรงขนของเจ้าเหรียญทองไปช้าๆ  หูเงี่ยฟังสถานการณ์

“เป็นม้าที่ดี  สัดส่วนดีมาก  น่าเสียดายที่ม้ายิ่งดีเลิศยิ่งยากจะหาเจ้าของที่คู่ควร” วาจาดังในระยะประชิด  เหลียนอันสุ่ยเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่มองม้าของเขาตาเป็นประกาย  และทราบในตอนนั้นว่าถึงแม้ตั้งใจจะไม่ตอแยเรื่องยุ่งยาก  แต่เรื่องยุ่งยากก็เหมือนมีความสามารถที่จะวิ่งมาหาเขาเอง
สั้งหู่ยิ่งมองก็ยิ่งพึงพอใจ  สายตาค่อยวกไปมองคน  กวาดขึ้นลงอยู่ซักพักค่อยทราบว่าตัวเองมองผิดไป  คนที่ม้วนแขนเสื้อทำความสะอาดม้ามิใช่เด็กเลี้ยงม้าอย่างที่เข้าใจในตอนแรก  เมื่อมองใกล้ๆจึงเห็นลายจางๆบนแขนเสื้อของอีกฝ่ายดูเป็นของมีราคา  แต่ว่า...ชาวเหลียน?  ดวงตาพลันปรากฏแววเหยียดหยามขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ม้าตัวนี้เป็นของท่าน ? ”
“ใช่” เหลียนอันสุ่ยตอบเรียบๆ  จากนั้นหันกลับไปสนใจงานที่ทำอยู่เดิม
“ท่านซื้อมาเท่าไหร่” สั้งหู่ตัดสินได้ในตอนนั้นว่าบุคคลตรงหน้าคงเป็นแค่ชาวเหลียนร่ำรวยที่อาศัยความมั่งคั่งซื้อม้าชั้นดีเอาไว้อวดผู้คน  เหอะ  ขี่ยังไม่แน่ว่าจะขี่เป็น
“...ขออภัย  แต่ข้าไม่ขาย” ม้าตัวนี้เหลียนอันสุ่ยเลือกมากับมือตั้งแต่สมัยมันยังเป็นลูกม้า  ยิ่งโตคุณสมบัติยิ่งโดดเด่น  สายพันธุ์ที่ดีเยี่ยมทำให้แม้จะซื้อตั้งแต่ตอนเด็กราคายังคงสูง  แต่ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำเหลียนอันสุ่ยก็ไม่เคยมีความคิดจะขายต่อ

“ข้ายังคงยืนยันคำเดิม  ม้าชั้นดีความอยู่กับเจ้าของทีรู้ค่าของมัน  ส่วนท่าน...” กวาดตามองขึ้นลง แล้วพูดต่อ “ต้องขออภัยที่ข้าต้องพูดตามตรง  แต่ท่านดูแลม้าตัวนี้ไม่ได้หรอก  ท่านเห็นม้าสีดำตัวนั้นหรือไม่ ท่านอาจจะดูไม่ออก  แต่นั่นเป็นม้าชั้นเลิศในม้าชั้นเลิศ  ตัวของท่านยังนับว่าห่างไกล  ท่านเอาไปขายที่อื่นก็ไม่แน่ว่าจะได้ราคางามเท่านี้  ข้านับว่าหยิบยื่นโอกาสให้ท่านอย่างมากแล้วนะ” คำพูดสวยงาม แต่กลับฟังน่าขัดหูจนบอกไม่ถูก  หม่าหลงกับต้วนจินที่ถูกเหลียนอันสุ่ยบอกให้ช่วยแปรงขนม้าตัวอื่นดีกว่าอยู่เปล่าๆรับฟังจนขมวดคิ้ว  เหลียนอันสุ่ยกลับไม่สนใจ  มองตามสายตาของอีกฝ่ายไปยังม้าร้อยราตรี แล้วเอ่ยว่า
“ข้าเห็นพวกท่านมาด้วยกัน  คงรู้จักกับพวกเขาอยู่บ้าง  ม้าสีดำตัวนั้นกำลังหงุดหงิด  ท่านบอกพวกเขาอย่าเข้าใกล้มันจะดีกว่า” กลุ่มเด็กหนุ่มพวกนั้นที่เด็กสุดอายุสิบห้าสิบหก  ที่โตสุดอายุราวยี่สิบปลายๆ  ส่วนบุรุษตรงหน้าเขาสมควรเป็นคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม  บางทีทั้งหมดอาจพอฟังคำพูดของอีกฝ่ายบ้าง

“ม้าตัวนั้นก็ดูหงุดหงิดตลอดเวลาอยู่แล้ว  ม้าป่าที่มากพยศก็เป็นแบบนี้ทุกตัว  ท่านไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวแทนพวกเขาหรอก” ยิ่งฟังวาจาเหลียนอันสุ่ยท่าทีของสั้งหู่เริ่มไม่เก็บงำความเหยียดหยาม “ชาวเหลียนเช่นท่านอาจไม่คุ้นชินกับม้า  แต่พวกเราไม่เหมือนกัน  นั่นเป็นสาเหตุที่ไม่ว่าอย่างไรแคว้นเหลียนก็ต้องพ่ายแพ้ต่อแคว้นเป่ยชางแน่...”
เสียงของสั้งหู่หายไปกลางคัน  เมื่อเสียงร้องโอดโอยที่ดังกว่าแทรกขึ้นมากะทันหัน

“เข้าหาม้าทางสะโพกม้าได้อย่างไร  ต่อให้มันกินหญ้าอยู่ก็ไม่มีทางมองไม่เห็น!” เหลียนอันสุ่ยพึมพำอย่างตื่นตระหนก  คนบาดเจ็บเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดที่ไม่ควรจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถึงเพียงนี้  เพียงแต่บุคคลกลุ่มนี้มีครึ่งหนึ่งเป็นลูกผู้ดีมีอันจะกิน  ต่อให้เป็นชาวเป่ยชางก็ไม่แน่ว่าจะได้คลุกคลีอยู่กับม้าซักเท่าไหร่ 

สั้งหู่ก็หันไปมองอย่างตกใจ  เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าร้อยราตรีส่งเสียงร้องยาวอย่างสะใจ  มันถูกผูกจนรู้สึกหงุดหงิด  แถมเจ้านายของมันยังทิ้งมันไปสนุกคนเดียว  ตอนนี้ได้ทำร้ายคนนับว่าได้แก้แค้น  ค่อยรู้สึกปลอดโปร่ง 
คนที่ถูกดีดกระเด็นออกมาเจ็บปวดจนเลือดขึ้นหน้า  แส้ม้าที่อยู่ในมือสะบัดขวับออกไปก่อนที่ใครจะทันทักท้วง  ฟาดเปรี้ยงลงบนตัวม้า 
เจ้าร้อยราตรีร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด  ท่าทีหงุดหงิดเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว  หันขวับถลาเข้าไป  แต่เพราะติดเชือกที่ล่ามไว้จึงได้แต่กระทืบเท้าตะกุยขาหน้า  ดิ้นรนอยากหลุดออกไปทำร้ายคนที่ทำให้มันเจ็บปวด  ดวงตากราดเกรี้ยว  ถ้ามันหลุดออกไปตอนนี้  ต้องไปกระทืบเด็กอายุสิบเจ็ดคนนั้นจนถึงตายแน่นอน

ความจริงตั้งแต่มันมาอยู่กับฉีเซี่ยงหยวนนิสัยพยศดุร้ายก็ลดทอนลงไปมากแล้ว  เมื่อครู่ที่มันดีดคนเป็นเพียงการระบายอารมณ์เล่น  แต่ไม่ได้กะให้ถึงตาย  แต่คราวนี้มันนับว่าเลือดขึ้นหน้าแล้วจริงๆ  ขนาดฉีเซี่ยงหยวนตอนฝึกมันยังไม่เคยใช้แส้ทำร้ายมันมาก่อน  เพราะฉีเซี่ยงหยวนทราบว่ากับม้าตัวนี้ยิ่งลงแส้ก็ยิ่งดุร้าย  ม้าตัวอื่นเจอสิ่งน่ากลัวจะหลบไป  แต่ม้าตัวนี้หากมันโกรธเกรี้ยวอยู่ไม่ว่าอะไรมันก็พุ่งเข้าใส่
เหลียนอันสุ่ยตัดสินใจในตอนนั้น  ทิ้งแปรงในมือ  เหวี่ยงตัวขึ้นบนหลังม้า  เจ้าเหรียญทองถูกนายของมันสะกิดทีเดียวก็กวดฝีเท้าพุ่งออกไป  ยามพุ่งตัวรวดเร็ว  หมุนเลี้ยวยิ่งปราดเปรียว  แต่เวลาถูกสั่งให้หยุดก็หยุดได้โดยทันทีเช่นกัน  เหลียนอันสุ่ยพลิกตัวลงจากหลังม้า  อิริยาบถที่ต่อเนื่องตามกันโดยไม่สะดุดนี้หยุดลงเมื่อร่างสูงโปร่งประจันหน้ากับม้าสีดำสนิท  ทุกคนในบริเวณล้วนอึ้งงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

แต่พอเหลียนอันสุ่ยก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง  คนฝึกม้าที่ถลาเข้ามาทันทีที่เกิดเหตุก็รีบฉุดรั้งไว้  ส่ายหน้าเป็นความหมายว่าอย่าเข้าไปในรัศมีของมัน  เหลียนอันสุ่ยไม่ได้มองคนฝึกม้า  สายตาสงบกระจ่างของเขาจับนิ่งอยู่ที่ดวงตาสีดำที่สาดแววกรุ่นโกรธคู่นั้น  กล่าวเสียงเรียบชัดเจนว่า
“ร้อยราตรี  พอได้แล้ว”
เจ้าร้อยราตรีดูเหมือนจะจำไม่ได้  แม้ว่าช่วงเดินทางกลับแคว้นเป่ยชางเหลียนอันสุ่ยจะพอใกล้ชิดกับมันอยู่บ้าง  แต่ตั้งแต่ถึงแคว้นเป่ยชางเหลียนอันสุ่ยก็ไม่ได้เจอมันอีก  เท้าหน้าของมันยังคงย่ำตะกุยอย่างข่มขู่

หนึ่งม้าหนึ่งคนยืนจ้องตากันอยู่นานมาก  จนหม่าหลง ต้วนจินและสั้งหู่วิ่งตามมาถึงแล้วก็ยังคงจ้องกันอยู่อย่างนั้น  เห็นท่าทีของเจ้าร้อยราตรีสงบลงเล็กน้อย  สายตากวาดไปรอบตัวอย่างไม่กระโตกกระตาก  ทุกคนที่กลั้นหายใจดูอยู่คล้ายกับผ่อนลมหายใจออกมาเป็นจังหวะเดียวกัน  แต่ผ่อนได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องชะงัก เบิกตาค้าง  เพราะเหลียนอันสุ่ย...เดินเข้าไปแล้ว
เหลียนอันสุ่ยเดินเข้าหามันตรงๆ  มือทั้งสองข้าไม่มีอาวุธใดๆ  ฝีเท้ามั่นคง  ไม่ช้าแต่ก็ไม่รวดเร็ว
“พระมาตุลา!” หม่าหลงกับต้วนจินตะโกนเป็นเสียงเดียวอย่างร้อนใจ  จะเดินเข้าไปรั้งไว้  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับเอ่ยว่า
“ไม่ต้อง  ถ้าพวกเจ้าเข้ามาข้าจะมีอันตราย” ตอนนี้เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการให้ม้าตรงหน้าเกิดความระแวงใดๆทั้งนั้น  ม้าที่เพิ่งถูกทำร้ายมีความระแวงที่สูงพออยู่แล้ว  แต่ตอนนี้ในใจคนคุ้มกันชาวเป่ยชางทั้งสองเพียงไม่ต้องการให้บุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าเป็นอะไรไป  ทั้งคู่ต่างลอบกลืนน้ำลาย  เข้าไปดี...หรือไม่เข้าไปดี?  ถ้าพระมาตุลาบาดเจ็บขึ้นมาหัวพวกเขาได้หลุดจากบ่าแน่คราวนี้

เจ้าร้อยราตรีเอียงคอน้อยๆ  คล้ายพยายามเพ่งมองให้ชัดขึ้น    ...ทุกคนในบริเวณสูดลมหายใจเข้าไปเป็นเสียงเดียวกัน
จังหวะที่มันพ่นลมหายใจออกมาพรืดหนึ่ง  ...ใจของทุกคนก็ไปกองรวมกันอยู่ที่ตาตุ่ม

ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ  เพราะหลังจากนั้นม้าที่พยศจนมีชื่อเสียงโด่งดังกลับยืดคออกไปข้างหน้า  สูดจมูกเบาๆ  แล้วแตะจมูกกับมือของเหลียนอันสุ่ยที่ยื่นออกมา  ...อาการพูดไม่ออกมาเยือนทุกคนในบริเวณโดยพร้อมเพรียง

เหลียนอันสุ่ยยิ้มออกมาอย่างโล่งอก  มือลูบไปตามใบหน้าและลำคอของมันช้าๆ  คนที่โล่งอกกว่าคือหม่าหลงกับต้วนจิน  หม่าหลงก้าวขึ้นหน้าทำท่าจะเดินเข้าไป  แต่เจ้าร้อยราตรีหันขวับ  ดวงตาแวววาวจ้องร่างสูงใหญ่ของคนคุ้มกันชาวเป่ยชางเขม็ง  ทำให้หม่าหลงจำต้องหยุดอยู่แค่นั้น
เจ้าร้อยราตรียืนนิ่งๆให้เหลียนอันสุ่ยลูบอยู่ครู่หนึ่งก็สะบัดศีรษะไปด้านหลัง  คล้ายจะบอกให้อีกฝ่ายแก้เชือกให้มันหน่อย  เหลียนอันสุ่ยหัวเราะเบาๆบอกว่า ‘ไม่ได้’  เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น  เป็นเจ้าเหรียญทองที่ยืนดูอยู่นานเดินเข้ามา  เหลียนอันสุ่ยเห็นมันจึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังแปรงขนให้ม้าของตัวเองไม่เสร็จ  แต่จะผละไปเจ้าร้อยราตรีกลับไม่ยินยอม  มันกวาดมองไปรอบตัวอย่างไม่ไว้ใจ  คล้ายกับบอกว่าให้เหลียนอันสุ่ยอยู่กับมันก่อน
“ไม่เป็นไรแล้ว  คนพวกนี้ไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เจ้าร้อยราตรีพ่นลมหายใจออกมาพรืดหนึ่ง  คล้ายไม่เชื่อถือ...บางที  เหลียนอันสุ่ยคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ได้หมายความแบบนั้นก็ได้  ไม่เช่นนั้นมันก็ออกจะฉลาดเกินไปหน่อย
=======
Happy ending รึเปล่า?
แหมคำถามนี้แอบตอบยาก 
เพราะจบแฮปปี้ของแต่ละคนคำจำกัดความมันไม่เหมือนกัน555 
เอาเป็นว่าสุดท้ายสองคนนี้สมหวังในรักละกัน 
แต่แน่นอนว่าคำว่าสมหวังไม่ได้หมายความว่ามันสมบูรณ์พร้อม 

ยังไม่ได้เขียนตอนจบ แต่คิดไว้คร่าวๆแล้ว  แต่ถ้าใครเขียนนิยายจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนจนกว่าจะพิมพ์ออกมา :katai4:
เอาเป็นว่าลุ้นไปพร้อมกันละกันนะคะ :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2014 23:44:28 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ขอแค่ให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในตอนจบก็พอค่ะ

ขอแค่นี้จริงๆ อิอิ

ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
นิยายเรื่องนี้คือ......เลอค่าาาาา
อ่านมาตั้งแต่เช้า เป็นสำนวนการเขียนที่สุดยอดมากๆค่ะ
อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ เสียน้ำตาไปก็หลายฉาก คือรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของตัวละครค่ะ
บางตอนอ่านแล้วก็อยากจับพระมาตุลามาตีก้น ใจร้ายบ้างก็ได้ค่าาาา
ขอเป็นแฟนคลับและติดตามเรื่องนี้อีกคนนะคะ ><

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 43
«ตอบ #117 เมื่อ22-09-2014 16:38:31 »


บทที่ 43 ล่าสัตว์(2)

ศึกระหว่างคนกับม้าจบลงอย่างมึนงง  แต่เรื่องระหว่างคนกับคนดูคล้ายจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

เมื่อครู่ทุกคนล้วนถูกเจ้าร้อยราตรีกับคนที่หยุดมันสะกดเอาไว้  ตอนนี้เรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว  บุรุษชาวเป่ยชางกลุ่มนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า อดไม่ได้ต้องตวาดโดยยกฐานะเข้าข่ม
“บังอาจ!  เมื่อครู่กล้าใช้คำว่า ‘คนพวกนี้’ เรียกองค์ชายห้าเชียวหรือ  เจ้า...” พูดไม่ทันจบก็ถูกสายตาคู่หนึ่งปรามหนักๆ
เจ้าของสายตายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า

“ที่แท้ท่านคือพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ข้าชื่อฉีเซี่ยงอวิ๋น  ขอบคุณที่ช่วยเพื่อนร่วมเรียนที่ไม่รู้ความของข้าไว้” คนกล่าววาจาเป็นเด็กหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม  แต่เขากลับเป็นผู้นำของทั้งหมด  น้องชายเพียงคนเดียวของฉีเซี่ยงหยวน...องค์ชายห้า
 
เค้าใบหน้าขององค์ชายห้าไม่ค่อยเหมือนฉีเซี่ยงหยวนนัก  เหลียนอันสุ่ยเคยเห็นองค์ชายรองฉีเซี่ยงหมิงจากที่ไกลๆก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าลานประหาร  เทียบกันแล้วฉีเซี่ยงหยวนยังเหมือนฉีเซี่ยงหมิงมากกว่า  บางทีอาจเป็นเพราะเด็กคนนี้เพิ่งอายุแค่สิบหกปี  ฉีเซี่ยงอวิ๋นมีใบหน้าที่อ่อนโยนกว่าฉีเซี่ยงหยวน  ดูเป็นมิตรกว่าท่าทีเด็ดขาดทรงอำนาจชวนครั่นคร้ามของพี่ชาย  จมูกที่เป็นสันตรงแบบเดียวกันเมื่ออยู่บนใบหน้าของฉีเซี่ยงหยวนดูยากตอแยแต่โดดเด่น  แต่พอมาอยู่บนใบหน้าฉีเซี่ยงอวิ๋นกลับให้ความรู้สึกกลมกลืนแต่แฝงความดื้อรั้นน้อยๆ

สรุปแล้วเหลียนอันสุ่ยไม่แน่ใจว่าสายตาของเขามีปัญหาหรือมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ  ฉีเซี่ยงอวิ๋นมีรูปลักษณ์ที่ดูดีกว่าฉีเซี่ยงหยวนชัดๆ  แต่ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกถึงคำว่า ‘ทาบไม่ติด’ อย่างหนึ่ง

บางครั้งบุคลิกก็เป็นสิ่งที่ยากอธิบาย  มันไม่เกี่ยวกับว่าหน้าตาหล่อเหลาหรือไม่  มันเพียงเป็นผลจากประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้ท่านเป็นท่าน !
---------------------
กระโจมใหญ่ถูกเลิกขึ้น  เสียงคนในกระโจมดังลอดออกมา
“ตามหมอมาดูคนเจ็บแล้วใช่หรือไม่  บอกให้เขารีบพักรักษาตัว  อาญาจะตามมาแล้ว  เขาไม่ควรลงมือกับม้าของพี่สี่เลย...สั้งหู่เล่า?” ฉีเซี่ยงอวิ๋นเอ่ยถามเมื่อกวาดมองทั่วๆแล้วหาคนไม่พบ
ทุกคนสั่นศีรษะเป็นความหมายว่าไม่ทราบ
“ข้าเห็นเขาหงุดหงิดถือธนูออกไป  คาดว่าคงไปหาที่ระบายอารมณ์” คนผู้หนึ่งตอบ
พวกเขากำลังดื่มชาดับกระหายในกระโจมชั่วคราว  แน่นอนว่าส่วนหนึ่งใช้เพื่อสาดรดชำระล้างความรู้สึกเสียหน้าครั้งใหญ่ภายในใจด้วย
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่พอใจ  แต่อย่าให้ข้าเห็นใครไปตอแยเชื้อพระวงศ์ชาวเหลียนผู้นี้” จู่ๆฉีเซี่ยงอวิ๋นก็ใช้น้ำเสียงเด็ดขาดที่ไม่เข้ากับใบหน้าของเขาเอ่ยขึ้นมา
“เหอะ แคว้นก็สิ้นไปแล้ว  ยังจะเป็นเชื้อพระวงศ์อะไรอยู่อีก  เราไม่เห็นต้องเกรงใจ...”

“บิดาของเจ้าอำนาจยิ่งใหญ่นักหรือ?  หรือเจ้าไม่เห็นว่าคนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาคือหม่าหลงกับต้วนจิน?”
บรรยากาศชะงักค้างไปวูบหนึ่งกับคำพูดขององค์ชายห้าแห่งแคว้นเป่ยชาง  คนส่วนใหญ่ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อหม่าหลงกับต้วนจินมา  แต่มีไม่มากที่เคยเห็นหน้าและจดจำได้
“ดังนั้นอย่าให้ข้ารู้ว่าใครกล้าขัดคำสั่ง  เพราะข้ายังไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเป่ยชางอ๋อง” ฉีเซี่ยงอวิ๋นกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย  พลางดื่มน้ำชาในมือลงไป  สีหน้าท่าทางไม่ได้ใส่ใจนัก  แต่เนื้อหาในคำพูดกลับสะกดคนทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
---------------------
บางทีอาจเป็นโชคชะตากำหนดมาแล้วว่าต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น  สั้งหู่ที่อารมณ์เสียอย่างหนักเดินเข้าป่าไปๆมาๆกลับเจอเหลียนอันสุ่ยที่ริมธารน้ำตก

ด้านหลังของเหลียนอันสุ่ยยังคงติดตามด้วยหม่าหลงกับต้วนจิน  หวังเชียนไม่ได้มาในการล่าสัตว์ครั้งนี้เพราะชาวเหลียนหลายคนเกินไปเป็นจุดเด่นได้โดยง่าย  ริมธารน้ำตกใสเย็น  เหลียนอันสุ่ยพาเจ้าเหรียญทองออกมาหาน้ำสะอาดกินด้วยไม่ต้องการอยู่ฟังคำพึมพำต่างๆนานาที่เกิดจากเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อครู่  ภาพม้าสีน้ำตาลกับคนในชุดสีครามสะท้อนเงาลงบนผิวน้ำ  ดูสงบสุขผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก  แต่สั้งหู่กลับยิ่งมองก็ยิ่งขัดตา  ต้องเดินออกไปหาเรื่องรังควาน

“ที่แท้ท่านมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงพระมาตุลา  คราวแรกข้ากลับมองเห็นเป็นคนเลี้ยงม้าไปซะได้” คำพูดคล้ายกล่าวล้อเล่นแต่ใจความกลับฟังขัดหูอีกแล้ว
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆไม่ได้ตอบคำ  เขามิใช่คนชอบต่อปากต่อคำกับผู้อื่นด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้
“ว่าแต่ท่านมาล่าสัตว์หรือมาดูแลม้ากันแน่  ทำไมไม่เห็นท่านพกพาธนูเล่า?” สั้งหู่หาคิดหนทางกู้หน้าคืนได้  สีหน้าจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อยขณะเอ่ยวาจา
“สัตว์ล้วนถูกพวกท่านล่าไปหมดแล้ว  เอาธนูมาก็คงไม่มีประโยชน์” เหลียนอันสุ่ยไม่อยากตอแยเรื่องยุ่งยากจึงกล่าวเป็นเชิงยกยออีกฝ่าย
จริงดังคาดสั้งหู่มีสีหน้าพึงพอใจ  แต่กลับยังคงไม่เลิกดึงดัน  กล่าว
“มีประโยชน์แน่นอน  เพราะข้าอยากพนันกับท่านเรื่องหนึ่ง  เห็นฝีมือท่านจัดการกับม้าข้าก็...เลื่อมใสนัก  เชื่อว่าฝีมือธนูของท่านคงไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน  ข้าอยากพิสูจน์ฝีมือของตัวเองมานานแล้ว  พอดีได้ท่านมาเป็นคู่มือที่สมน้ำสมเนื้อ  ส่วนเดิมพันก็ใช้ม้าตัวนั้นของท่านเป็นอย่างไร  หากข้าแพ้จะยอมยกม้าคู่ใจของข้าให้ท่านเช่นกัน” คำว่า ‘เลื่อมใส’ สั้งหู่กัดฟันทำใจอยู่นานค่อยเอ่ยออกมา  ม้าของเหลียนอันสุ่ยตัวนี้ตอนแรกสั้งหู่แม้อยากได้มา  แต่ตอนนี้กลายเป็นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอามาให้ได้  จึงพอจะชดเชยความรู้สึกเสื่อมเสียหน้าที่ได้รับ

เหลียนอันสุ่ยนิ่งงันไป เดิมพันนี้เขาไม่ต้องการ  ปัญหาคือจะหลบเลี่ยงอย่างไร
“ขอโทษด้วย  ข้าไม่ได้เอาธนูมา  เกรงว่า...”
“ท่านสามารถใช้ธนูของข้าได้  พวกท่านชาวเหลียนคงมิใช่กระทั่งยิงธนูก็ยิงไม่เป็นหรอกนะ  เช่นนั้นออกจะเป็นที่น่าผิดหวังของผู้คนแย่” พอเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายสั้งหู่ก็ตีความไปเอง “...หรือว่าท่าน...จะยิงไม่เป็นจริงๆ ? ” กล่าวพลางเลิกคิ้วสูง  ในใจของสั้งหูเพิ่มพูนความมั่นใจว่าฝีมือธนูของเหลียนอันสุ่ยต้องใช้การไม่ได้จึงไม่กล้าพนัน  ดังนั้นเขาจึงยิ่งต้องไล่ต้อนอีกฝ่ายด้วยอารมณ์สะใจ

ต้วนจินทนไม่ไหวคิดเอ่ยปาก  แต่กลับถูกสายตาของเหลียนอันสุ่ยปรามไว้
“เอ่ยถึงม้าคู่ใจตัวนั้นของแม่ทัพสั้งข้าเองก็อยากได้มิใช่น้อย  ในเมื่อพระมาตุลาไม่มีธนู  ให้ข้าพนันแทนเป็นอย่างไร?” เสียงที่สั้งหู่จวบจนตายก็ไม่ลืมเลือนดังขึ้น  เป็นเจ้าหนอนน่ารังเกียจปากร้ายแซ่มู่ !

เมื่อมู่ซางปรากฏตัว  สั้งหู่ก็มีสีหน้าขาวจนเขียว  เขียวแล้วเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ  สั้งหู่มักรู้สึกว่าตัวเองมีไหวพริบมากแผนการ  แต่เจ้าคนแซ่มู่กลับกลอกกลิ้งกว่าเขาอยู่ขั้นหนึ่ง  สั้งหูเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือโดดเด่นไม่น้อย  แต่ปัญหาคือมู่ซางยิ่งมายิ่งก้าวหน้า  เอาเป็นว่าถึงแม้ชาติตระกูลของสั้งหู่จะเหนือกว่า  อายุก็มากกว่า  แต่ถ้ายังมีเจ้าเด็กแซ่มู่ขวางทางอยู่ตำแหน่งดีๆที่เขาสมควรได้รับก็ถูกคนตรงหน้ากวาดไปจนเรียบ

หากไม่ว่าจะเกลียดชังถึงขั้นไหน  สั้งหู่ก็รู้ดีว่าเดิมพันนี้ไม่อาจเปลี่ยนเป็นมู่ซาง  ถึงแม้ทุกเรื่องที่มู่ซางเหนือกว่าเขาสั้งหู่จะโทษว่าเป็นเพราะความกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์  แต่ฝีมือยิงธนูของมู่ซางเป็นของจริง  ทั้งกองทัพไม่มีใครเทียบได้  ถ้าพนันกันม้าคู่ใจตัวนี้ของเขาต้องสูญเสียไปแน่นอน

“เรื่องแบบนี้จะแทนที่กันได้อย่างไร  ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ได้เห็นฝีมือของคนแคว้นเหลียนน่ะสิ  ข้าเชื่อนะว่าชาวเหลียนถึงจะไม่ได้ดีเด่นในเรื่องพวกนี้แต่ก็น่าจะพอมีคนมีฝีมืออยู่บ้าง” คำพูดของสั้งหู่สุดทนฟังมากขึ้นเรื่อยๆ  เหลียนอันสุ่ยไม่ชอบมีเรื่องกับคนอื่น  แต่พอได้ยินคำว่า ‘ชาวเหลียน’ ทีก็ต้องกำมือแน่นเข้า  สำหรับเหลียนอันสุ่ยดูถูกเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่  แต่วาจาทำลายศักดิ์ศรีของแคว้นเหลียนเป็นสิ่งที่ยากทนทานได้  หม่าหลงที่สงบนิ่งอยู่ด้านข้างนึกอยากใช้ด้ามดาบกระแทกปากคนขึ้นมา  ดีที่ว่ามู่ซางเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน...

“ข้าว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับเป็นคนแคว้นไหน  ฝีมือยิงธนูดีก็คือตั้งใจฝึกฝน  ฝีมือยิงธนูดีมากแบบข้าคือพรสวรรค์  ส่วนพวกที่ฝึกฝนแทบตายแต่ยังฝีมือใช้ไม่ได้...บางทีคงเป็นเพราะความโชคร้ายกระมัง” ตอนพูดคำว่า ‘ฝึกฝนแทบตายแต่ยังฝีมือใช้ไม่ได้’ สายตาของมู่ซางจรดลงบนตัวสั้งหู่อย่างชัดเจน  ประโยคนี้ไม่ได้ด่าคนตรงๆซักครึ่งคำ...แต่ด่าตรงๆบางทีอาจเจ็บน้อยกว่า
“ช่างเถอะ  ข้าจะพนันกับท่าน” คำพูดนี้กลับกล่าวออกมาจากปากของเหลียนอันสุ่ย  เหลียนอันสุ่ยไม่ทราบว่าทำไมบุรุษที่เขาไม่รู้จักผู้นี้จึงกล่าววาจาแทนเขา  แต่นิสัยของเหลียนอันสุ่ยไม่ต้องการให้ใครตอแยเรื่องยุ่งยากเพราะเขาเสมอมา

“...” มู่ซางกระพริบตา  ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รับน้ำใจ  เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว 
ส่วนสีหน้าของสั้งหู่กลับลอบลิงโลดอยู่ในใจ  หมายมั่นว่าต้องเอาคืนจนเหลียนอันสุ่ยรู้สึกอับอายขายขี้หน้าในฝีมืออันต่ำต้อยของตัวเอง
---------------------
เพียงแต่คราวนี้สั้งหู่นับว่าตอแยผิดคนผิดเรื่องอีกแล้ว

ทั้งหมดย้ายออกมาเพื่อหาทำเลเหมาะๆประลองฝีมือยิงธนู  รอบของสั้งหู่ยิงออกไปก่อน  แม่นยำอย่างยิ่ง  ถูกเป้าหมดสิ้น  ยืนมองอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง...แต่รอยยิ้มกลับพลันแข็งค้างอยู่แค่นั้น
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ ผลไม้สุกงอมที่อยู่ไกลออกไปลิบๆซึ่งกำหนดเป็นเป้าธนูถูกสอยร่วงลงมาจนหมดสิ้น 
สั้งหู่เองก็ยิงได้สามลูกไม่มีพลาด  เพียงแต่เขากะเล็งแล้วก็ยิงอยู่พักหนึ่ง  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับยิงต่อเนื่องตามกันถูกเป้าโดยไม่ลำบากกินแรง  สีหน้าท่าทางสงบราบเรียบเป็นอย่างมากราวไม่ได้กระทำเรื่องยิ่งใหญ่อันใด  การพาดธนูขึ้นสายแต่ละครั้งชำนาญอย่างยิ่ง  การยิงแต่ละครั้งก็แม่นยำอย่างยิ่ง  มู่ซางชมดูจนตาเป็นประกาย
 
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ ไม่ทันที่สั้งหู่จะได้หายตื่นตกใจ  ธนูในมือของเหลียนอันสุ่ยก็ยิงออกไปอีกแล้ว  คราวนี้เป็นผลไม้ที่อยู่ห่างออกไปอีกห้าศอก 

“...ไม่ต้องแข่งขันแล้วกระมัง ข้าว่าได้ผู้ชนะแล้ว” มู่ซางเอ่ย
“แค่ไกลกว่าใช่สามารถตัดสิน  ข้าเองก็สามารถ...”
“แค่ไกลกว่าอะไร  ตัวท่านเล็งผลไม้  แต่พระมาตุลากลับเล็งที่ขั้ว  ความต่างชั้นยังไม่ชัดเจนอีกหรือ  ฝีมือเช่นนี้ท่านทำได้หรือ ?”
“ขั้วอะไรกัน  เป็นไป...” ไม่ได้  สั้งหู่พูดไม่จบประโยคเพราะเริ่มมีความไม่มั่นใจ  ทุกคนต่างทราบว่าการจะมีฝีมือยิงธนูที่ดีต้องมีสายตาแหลมคมด้วย  สายตาของมู่ซางมองได้ไกลชนิดที่ว่ามีข่าวลือว่าเวลามองใกล้มู่ซางกลับมองได้ไม่ชัดเจนเท่า

เมื่อต้วนจินเก็บผลไม้ที่ถูกยิงกลับมา  ทั้งหมดก็พิสูจน์ยืนยันความจริงข้อนี้  ผลไม้ของสั้งหู่มีลูกธนูปักอยู่  แต่ผลไม้ของเหลียนอันสุ่ยกลับถูกตัดที่ขั้วทุกผล !
เหลียนอันสุ่ยส่งธนูคืนให้กับเจ้าของ สั้งหู่รับธนูมาด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ  รู้สึกพ่ายแพ้อย่างยับเยิน  พระมาตุลาที่เขาเข้าใจว่ารังแกง่ายผู้นี้  ไหนเลยมีเรื่องที่รังแกได้  แต่ยังอดมิได้ต้องร้องดังๆออกไป
“ยิงต้นไม้ผลไม้มีประโยชน์อะไร  ในสนามรบใช้จริงไม่ได้ซักอย่าง!”
เหลียนอันสุ่ยขมวดคิ้ว  เขาไม่ชอบฆ่าสัตว์  แต่คนผู้นี้เหตุใดยิ่งมาก็ยิ่งพาล  ขณะจะกล่าวอะไรมู่ซางก็สะกิดเขา  กล่าวว่า
“ใช้ธนูข้า  ธนูคนอ่อนปวกเปียกพรรค์นั้นยิงไปก็ไม่ถึงหรอก” พูดจบก็พยักเพยิดไปยังนกสองตัวที่บินอยู่บนฟ้าอย่างแตกตื่น  คาดว่าเสียงธนูกับเสียงคนเมื่อครู่คงทำมันขวัญกระเจิง
“ข้าไม่...” เหลียนอันสุ่ยคิดจะกล่าวปฏิเสธ
“ท่านคิดจะให้คนบางประเภทหุบปาก  ทางที่ดีคือป้อนเขาให้อิ่มหนำ  นกพิราบสองตัวนั้นพอดีทำกับข้าวได้จานหนึ่ง” คำพูดล้อเล่นของมู่ซางทำให้เหลียนอันสุ่ยถอนหายใจ  เอาเถอะล่ามาเป็นอาหารยังดีกว่าล่าสัตว์เป็นการละเล่น
เหลียนอันสุ่ยง้างคันธนูได้ครึ่งหนึ่งก็ต้องอุทานเบาๆว่า “คันธนูที่ดี”
มู่ซางยิ้มรับคำชมนั้น  ทั้งคู่คล้ายไม่ร้อนใจที่นกสองตัวนั้นบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
‘ฟุบ’ คราวนี้เป็นเสียงเดียว  แต่ธนูกลับถูกยิงออกไปสองดอกจากคันธนูเดียวกัน  และถูกเป้าหมายโดยไม่ผิดพลาด  ฝีมือนี้หมดจดยิ่งกว่า  เพียงพอจะให้ตื่นตะลึงได้จริงๆ

สั้งหู่มองคนสองคนตรงหน้า  ดวงตาทอประกายคั่งแค้นจากการถูกหักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ธนูลอบพาดสายอย่างเงียบเชียบ  ความคิดชั่วร้ายประการหนึ่งผุดขึ้นมา  หากเขาคิดยิงกวางแต่พลาดไปโดนตัวประกันแคว้นเหลียนคนหนึ่ง  นั่นต้องเป็นเรื่องช่วยไม่ได้...
‘ฟุบ’ ธนูพุ่งออกไปแล้ว  ทุกคนล้วนไม่ทันระวังคาดไม่ถึง
ในชั่วขณะนั้นคนเป็นเป้าธนูกลับถูกแรงหนึ่งกระชากตัวไปทางซ้าย  เงาร่างสีดำสูงใหญ่บดบังสายตาจากทุกสิ่ง  เสียงอุทานของคนกลุ่มใหญ่ที่ตามหลังมาดังโดยพร้อมเพรียง
“ต้าอ๋อง!!”
หยดเลือดหยดหนึ่งหยดลงบนพื้นช้าๆ  ป่าทั้งป่ากลายเป็นสงัดงัน
เหลียนอันสุ่ยถูกแขนขวาอันทรงพลังของฉีเซี่ยงหยวนกระชากเข้ามาในอ้อมแขน  ตัวของฉีเซี่ยงหยวนบังอยู่เบื้องหน้า  ธนูดอกนั้นกลับปักอยู่บนแขนซ้ายที่ยกขึ้นป้อง
‘โครม’ เสียงสั้งหู่ทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นแล้ว  ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีวันนึกถึงว่าธนูดอกนั้นจะกลายเป็นความผิดฐานประทุษร้ายเป่ยชางอ๋องไปได้!

ฉีเซี่ยงหยวนหักหางธนูทิ้งไปอย่างไม่ใยดี  มองคนบนพื้นด้วยสีหน้าเยียบเย็น  ตอนเขาได้รับรายงานว่าเจ้าร้อยราตรีอาละวาดและคนที่หยุดมันได้เป็นพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็รีบร้อนกลับมา  ถึงทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเหลียนอันสุ่ยไม่ได้รับอันตรายใดๆแต่เขายังคงไม่วางใจต้องเห็นด้วยตัวเอง  คิดไม่ถึงออกมาตามหากลายเป็นพบว่า...สายตาของฉีเซี่ยงหยวนเย็นเฉียบลงจนคล้ายแผ่นน้ำแข็งบางๆที่พร้อมจะปะทุออกมาเป็นเปลวเพลิง

หน้าผากของสั้งหู่แนบสนิทกับพื้นไม่กล้าเงยขึ้นมา  ร้องว่า
“ข้าน้อยไม่ทราบว่าต้าอ๋องผ่านมาทางนี้  ข้าน้อยเพียงเห็นกวาง...”
“อ้อ  หมายความว่าเป็นความผิดของข้าที่เข้ามาขวางทางธนูของเจ้าเองสินะ” หึ เห็นกวาง...ตั้งใจจะยิงคนเสียมากกว่า
“ข้าน้อยไม่กล้า  ข้าน้อย...”

ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรความผิดฐานบังอาจทำร้ายพระวรกายเป่ยชางอ๋องก็ไม่อาจลบล้างไปได้  ต่อให้เป็นความไม่ตั้งใจ  เป็นความบังเอิญ  ก็ต้องชดใช้!

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 44
«ตอบ #118 เมื่อ22-09-2014 17:04:39 »


บทที่ 44 ทำแผล

‘กฎเกณฑ์มีไว้ว่าอย่างไรตัดสินโทษตามนั้น’ คำกล่าวของฉีเซี่ยงหยวนกล่าวอย่างชัดเจน  ได้ยินโดยทั่วกัน
 
โทษของคนที่ขโมยของในเขตพระราชฐานคือตัดมือ  โทษของคนที่ประทุษร้ายเป่ยชางอ๋องคือตัดหัว  แม้มิได้เจตนายังคงต้องถูกตัดหัวอยู่ดี  เพียงแต่หากเจตนาเรื่องจะใหญ่ลามไปจนถึงประหารล้างตระกูล  กฎอันนองเลือดเฉียบขาดนี้มีเพียงเมตตาของเป่ยชางอ๋องจึงพอบรรเทาได้  น่าเสียดายที่เมตตาของเป่ยชางอ๋องในคราวนี้จะไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด  แค่คิดว่าธนูดอกนั้นอาจปลิดชีวิตเหลียนอันสุ่ย  ฉีเซี่ยงหยวนก็โมโหจนอยากจะฆ่าคนแล้ว  คำทัดทานอ้อนวอนใดจึงไม่มีประโยชน์
---------------------
กระโจมหลักของเป่ยชางอ๋องกินพื้นที่กว้างราวกระโจมทั่วไปสามกระโจมรวมกัน  ภายในมีฉากไม้กั้นแบ่งออกเป็นสัดส่วน  หากยกฉากกั้นทั้งหมดออกไปสามารถใช้แทนท้องพระโรงสำหรับการประชุมย่อย  นี่แสดงขนาดอันไม่ธรรมดาของมันเป็นอย่างดี  ในกระโจมทั้งหมดที่เรียงรายอยู่ด้านนอกมีเพียงกระโจมรวมตรงกลางซึ่งใช้งานไม่ต่างกับท้องพระโรงเคลื่อนที่เป็นกระโจมหนึ่งเดียวที่ใหญ่กว่า  เย็บขึ้นจากหนังสัตว์มากกว่าร้อยผืนด้วยฝีมือช่างในรัชสมัยก่อน

หมอหลวงประจำพระองค์ของเป่ยชางอ๋องมาถึงอย่างรวดเร็ว  กำลังถอนหัวธนูออกจากบาดแผล  ความจริงหากท่านหมอลั่วมาช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว  ฉีเซี่ยงหยวนคงจัดการถอนลูกธนูออกเองไปแล้ว  การถูกธนูปักแค่ดอกเดียวสำหรับฉีเซี่ยงหยวนเรียกได้ว่าเล็กน้อยเป็นอย่างมาก  เคยเจอมาจนคุ้นชินเป็นอย่างมาก  ตอนที่ใช้มีดกรีดเสื้อออกเพื่อให้ทำความสะอาดแผลได้ง่าย  แผลเป็นทุกรอยที่ปรากฏบนร่างแกร่งล้วนหนักหนากว่าแผลธนูแผลนี้ทั้งสิ้น

หัวธนูชุ่มเลือดถูกวางลงบนถาดไม้  เลี่ยฝูที่ติดตามมาช่วยอาจารย์เช่นเคยรีบหยิบผ้าสะอาดส่งให้ผู้เป็นอาจารย์เช็ดมือ  น้ำสะอาดที่จะใช้ล้างแผลยังไม่เสร็จดี  เพราะเหลียนอันสุ่ยยืนยันให้เติมเกลือลงไปอีกเล็กน้อย  เนื่องจากชาวเหลียนมีความเชื่อว่าเกลือสามารถทำให้บาดแผลสะอาดได้  เดือดร้อนหลิวฉางเฟยต้องรีบรุดไปเอามา

คนเป็นเป่ยชางอ๋องมองคนนู้นที  คนนี้ที  ต่างคนต่างดูยุ่งวุ่นวายกับบาดแผลเล็กน้อยของตัวเขา 
 “ได้ยินว่าพระมาตุลาไปช่วยงานที่โรงหมอ  ไม่ทราบพอจะช่วยงานท่านได้บ้างหรือไม่”
ท่านหมอลั่วที่เพิ่งเช็ดมือเสร็จ  กำลังส่งถาดใส่หัวธนูให้เลี่ยฝูผู้เป็นลูกศิษย์ยกออกไป  เงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับคำถามนี้ของเป่ยชางอ๋องพอดี  จึงตอบว่า
“ความรู้ทางการแพทย์ของแคว้นเหลียนลึกล้ำไพศาล  พระมาตุลาช่วยได้อย่างมากจริงๆ  ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติล้วนแปลกใหม่ได้ผล” หมอหลวงใหญ่อายุอานามไม่น้อยแล้ว  สายตาย่อมลึกล้ำไม่ธรรมดา  ทำไมจะมองไม่ออกว่า  บุรุษสูงศักดิ์สองคนที่อยู่กันคนละแคว้นตรงหน้ามีระดับความสนิทสนมที่เหนือธรรมดา  ดีไม่ดีเป็นฉีเซี่ยงหยวนเองนั่นแหละที่ฝากเหลียนอันสุ่ยเข้ามาช่วยงานที่โรงหมอ  ถึงเบื้องหน้าเหลียนอันสุ่ยจะถูกผู้อื่นแนะนำมาก็เถอะ

ผู้ถูกเอ่ยถึงยิ้มบางๆพลางตอบว่า
“ท่านหมอหลวงใหญ่ยกยอไปแล้ว  เพียงความรู้ของเป่ยชางก็กว้างขวางยิ่ง  และเหลียนอันสุ่ยไหนเลยจะมีความสามารถปานนั้น”
“ท่านมักถ่อมตัวเสมอ  อันที่จริงถึงท่านจะบอกว่าเรียนมาเพียงเล็กน้อย  แต่ความสามารถของท่านไม่มีทางด้อยกว่าแพทย์ฝึกหัดคนหนึ่งเด็ดขาด” กล่าวขณะใช้ผ้าอีกผืนซับที่บาดแผลที่ใช้น้ำเกลือล้างไปเมื่อครู่อย่างเบามือ

ฉีเซี่ยงหยวนซึ่งเปิดประเด็นมา  รอคอยจังหวะอยู่แล้ว  ได้ทีกล่าวขึ้นว่า
“เช่นนั้นแผลเล็กน้อยแค่นี้  การเปลี่ยนผ้าพันแผลแต่ละครั้งก็ให้เขาทำแทนท่านเถอะ”
หา  ทุกคนที่ก้มหน้าทำงานของตัวเองเงยขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย

“นี่...” หัวหน้าหมอหลวงคิดเอ่ยปากแย้ง  แต่กลับถูกประโยคที่ตามหลังมาของฉีเซี่ยงหยวนทับไปอย่างรวดเร็ว
“แผลนี้ข้าได้มาเพราะเขา  ให้เขารับผิดชอบก็สมควรอยู่  อีกอย่างเขาเป็นสหายสนิทของข้า ให้เขาทำจะสะดวกข้ามากกว่า  ท่านหมอหลวงใหญ่เองก็จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมากับงานเล็กน้อยที่สิ้นเปลืองฝีมือของท่านอย่างยิ่ง  ท่านเองก็รับรองความสามารถของเขากับข้าแล้ว  เรียกได้ว่าต่างวางใจ”

แล้วกัน  ตำแหน่งแพทย์ประจำพระองค์ของเขาเอาไว้ทำอันใด  มิใช่รักษาคนตรงหน้าหรอกหรือ  หมอหลวงใหญ่อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา  ไม่มีปัญญาจะเอ่ยแย้ง
ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยอย่างจริงจังว่า
“ในโรงหมอมีราษฎรที่อาการหนักอีกมากมาย  พวกเขาล้วนต้องการท่านมากกว่าข้า  การให้ท่านเทียวไปเทียวมารักษาข้าแต่เพียงผู้เดียวเป็นกฎเกณฑ์ที่เห็นแก่ตัว  กับกฎเกณฑ์เช่นนี้ท่านอย่ายึดติดนักเลย”
สีหน้าของหัวหน้าหมอหลวงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ดวงตาชราภาพมีแววชื่นชมจากใจจริง  ต้าอ๋องที่ใจกว้างเข้าใจความเป็นจริงเช่นนี้  นับเป็นความโชคดีใหญ่หลวงของราษฎร

แน่นอนว่าความใจกว้างก็ส่วนหนึ่ง  ในใจของฉีเซี่ยงหยวนยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่อีกส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน  มองหมอหลวงใหญ่ปาดพอกยาลงบนบาดแผลของเขา หางตาเหลือบมองสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของเหลียนอันสุ่ย  ในหัวขบคิดแผนการขั้นต่อไป
จนถึงตอนที่เลี่ยฝูกางแถบผ้าพันแผลออก  ฉีเซี่ยงหยวนก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องเอ่ยกับพระมาตุลา  พวกท่านออกไปรอด้านนอกก่อนเถิด”
เลี่ยฝูจึงได้แต่ส่งผ้าแถบนั้นให้กับเหลียนอันสุ่ย  ทั้งหัวหน้าหมอหลวงทั้งผู้เป็นศิษย์ต่างล่าถอยออกไปรอที่ด้านนอกของฉากกั้น  หลิวฉางเฟยก็ติดตามออกไปด้วย  ปล่อยให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

เหลียนอันสุ่ยเดินเข้ามาพันแผลให้กับอีกฝ่ายช้าๆ  คิดจะเอ่ยปากขอความเมตตาให้กับสั้งหู่ด้วยความเคยชิน  แต่พอเหลือบเห็นแผลบนต้นแขนแกร่งกลับมิได้เอ่ยอันใดออกไป  แผลธนูนี้แม้ไม่ใหญ่  แต่ลูกธนูหนึ่งดอกสามารถปลิดชีวิตคนได้จริงๆ  ฉีเซี่ยงหยวนเอาตัวเข้ามาป้องกันเขา  ไม่ว่าผู้ใดก็บอกไม่ได้ว่าธนูดอกนี้จะแล่นไปปักเข้าที่ตรงไหน  ถ้าเกิด...  มือของเหลียนอันสุ่ยพลันไม่นิ่งขึ้นมา  เอ่ยเบาๆว่า
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้”
“...” ฉีเซี่ยงหยวนมองท่าทีสงบของอีกฝ่ายกับระลอกสั่นไหวในแววตา  ใบหน้าคมคายยังคงมีรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี  จับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง
เหลียนอันสุ่ยกล่าวแต่ละคำพูดออกมาจากลำคออย่างยากลำบากว่า
“ต้าอ๋อง  ท่านเป็น ‘ต้าอ๋อง’  ในมือท่านคือแคว้นเป่ยชาง  แต่ชีวิต...ถ้าไม่มีแล้ว  ไม่ว่าอันใดก็ไม่มีเลย  ดังนั้นจะทอดทิ้งไปง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร” จะเลือกเช่นนี้ได้อย่างไร  ระหว่างแคว้นเป่ยชางกับข้า...
“ข้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย  ไม่ต้องคิดมากไปขนาดนั้น”
แต่สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยไม่มีแววล้อเล่นด้วย  ขณะผูกปมผ้าพันแผลอย่างชำนาญ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ฉีเซี่ยงหยวนถอนหายใจพลางกล่าวว่า
“บางทีถ้ามีเวลาไตร่ตรองมากกว่านั้น  ข้าอาจไม่เลือกทำเช่นนี้ก็ได้  แต่ตอนนั้นทุกอย่างกะทันหันยิ่ง  และแขนขาของข้าก็ดูจะขยับไปเอง”
สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยดีขึ้น  ในใจกลับมีความรู้สึกอื่นมากมายที่อธิบายไม่ถูก
แต่ลึกๆในใจของฉีเซี่ยงหยวนกลับปรากฏความน้อยใจ  กล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า
“ข้าตอบเช่นนี้ท่านพอใจรึยัง  เหลียนอันสุ่ย  บางคราวข้าก็สงสัยว่าในใจท่านจะมีซักครั้งหรือไม่ที่ข้ามิใช่เป่ยชางอ๋อง  เทียบกับแคว้นเป่ยชาง  ฉีเซี่ยงหยวนคงมีคุณค่าน้อยกว่ามันอีกกระมัง” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับแคว้นเหลียนเพราะทราบดีว่าคงเทียบไม่ได้อย่างเด็ดขาด  พระมาตุลาผู้นี้ที่แท้เคยมีใจให้ ‘ตัวเขา’ จริงๆบ้างหรือไม่

ทุกคำสนทนาล้วนแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ  เพราะที่อีกฟากหลังฉากกั้นยังคงมีหมอหลวงใหญ่รอคอยอยู่  หัวหน้าหมอหลวงจะเป็นคนตรวจความเรียบร้อยขั้นสุดท้าย  หลังเหลียนอันสุ่ยพันแผลเสร็จสิ้นต้องออกไปตามเขาเข้ามา  หากตอนนี้เหลียนอันสุ่ยพันแผลเรียบร้อยแล้วแต่กลับมิได้เดินออกไป  ร่างสูงโปร่งโผลงกอดบุรุษที่มีเพียงหนึ่งเดียวในแผ่นดิน  แขนรัดรอบลำคอหนา  ใบหน้าซบลงกับบ่ากว้าง  ทั้งหมดนี้มันมากเกินไป  เหลียนอันสุ่ยไม่เคยคิดว่าฉีเซี่ยงหยวนจะยอมแลกชีวิตตัวเองกับชีวิตเขา  อย่ารักข้ามากขนาดนี้  อย่าให้ความสำคัญกับข้าขนาดนี้  มีคนเคยตายเพื่อเขามามากมาย แต่ฉีเซี่ยงหยวนเป็นคนสุดท้ายที่เหลียนอันสุ่ยหวังให้เป็น  แค่คิดว่าคนๆนี้จะตายจากไป  หัวใจก็วูบหาย  ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนลง  รั้งอีกฝ่ายให้นั่งลงบนตัก  หวนนึกว่าหากสลับบทบาทกัน  คนที่รับลูกธนูแทนเป็นเหลียนอันสุ่ย  บางทีตัวเขากระทั่งซาบซึ้งก็อาจไม่ซาบซึ้ง  มีแต่โมโหจนอยากฆ่าคน  เริ่มจากตัวต้นเหตุนั่นแหละดี  แล้วค่อยมาไล่คิดบัญชีกับคนที่จ่ายชีวิตออกไปอย่างง่ายดายเกินไป

เพราะความรักไม่ใช่สิ่งที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้น  ไม่อาจใช้หนึ่งชีวิตทดแทนหนึ่งชีวิตได้โดยที่ทั้งสองฝ่ายจะเต็มใจ  บางทีผู้ที่ถูกเลือกให้อยู่ต่อก็คือผู้ที่สูญเสียมากที่สุดอย่างแท้จริง  และคนที่เสียสละบางครั้งก็เป็นความเห็นแก่ตัว

เหลียนอันสุ่ยแตะเบาๆ ลงบนผ้าพันแผลที่ต้นแขนซ้าย  ริมฝีปากเลื่อนลงไปจูบเบาๆเหนือรอยแผลนั้น  ก่อนจะเงยหน้าขึ้น  เลื่อนสายตาไปที่บาดแผลอื่นบนร่างบึกบึน  อันที่จริงเหลียนอันสุ่ยจดจำได้ทุกบาดแผล  บนต้นขาข้างขวายังมีรอยฟันที่กรีดลึกมากอยู่อีกรอย  เหนือสะโพกที่ด้านหลังมีรอยถูกหอกแทงเฉียดไป  ทุกรอยแผลคือจารึกเกียรติยศ  คือจารึกของความผิดพลาด  คือชัยชนะและความพ่ายแพ้  คือชีวิตและความตาย
 
เหลียนอันสุ่ยไม่ต้องเดาก็ทราบได้ว่าคนที่ฝากรอยเหล่านั้นครึ่งหนึ่งคือคนที่ตายไปแล้ว  อาวุธที่จมลึกลงในบาดแผลมักเปิดเส้นทางไปยมโลกให้กับเจ้าของของมันเอง  รอยฟันที่ลึกขนาดนั้นย่อมต้องเปิดโอกาสให้ฉีเซี่ยงหยวนปลิดชีวิตอีกฝ่ายในจังหวะเดียวกัน  สงครามเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ  ไม่ใช่ท่านตายก็เป็นเราสิ้น  ไม่มีพื้นที่สำหรับความเมตตาปรานี  หากถึงแม้ตำแหน่งของฉีเซี่ยงหยวนในตอนนี้จะเป็นเป่ยชางอ๋องที่ส่วนใหญ่ไม่ต้องยกทัพออกทำศึกด้วยตัวเอง  แต่พื้นที่บนบัลลังก์ก็มักไม่ใช่ท่านตายก็เป็นเราสิ้นเช่นกัน
---------------------
หลังจากทุกประการเรียบร้อยแล้ว  เหลียนอันสุ่ยก็ไม่สะดวกจะรั้งอยู่อีก  ติดตามหมอหลวงใหญ่กับเลี่ยฝูจากไป 

นอกกระโจมของฉีเซี่ยงหยวนมีเท้าหลายคู่ย่ำไปย่ำมา  ขุนนางทั้งหลายในแคว้นเป่ยชางต่างให้ความสำคัญกับอาการบาดเจ็บของนายเหนือหัว  รอคอยข่าวคราวอยู่เนิ่นนานจนชักจะรอคอยต่อไปไม่ไหว  ดีที่ในที่สุดหลิวฉางเฟยก็ออกมาประกาศว่าบาดแผลของต้าอ๋องไม่มีอะไรหนักหนา  ขณะนี้ได้รับการเยียวยารักษาเรียบร้อยแล้ว  เหล่าคนฟังทั้งหลายคิดจะโถมเข้าไปแสดงความห่วงใยกังวลเป็นรายแรก  แต่หลิวฉางเฟยกลับบอกว่าต้าอ๋องทรงเหนื่อยล้ามาก  ต้องการพักผ่อน  ไม่อนุญาตให้ใครเข้าเฝ้า  ดังนั้นข้าราชบริพารทั้งหลายจึงได้แต่หอบเอาความผิดหวังจากไป

ความจริงแล้วขณะนี้เป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนห่างไกลคำว่าพักผ่อนนัก  หลังจากบัญชาให้ไปตัวมู่ซางมา  ก็เริ่มการ ‘สอบปากคำ’ ขุนนางคนสนิทที่มีอายุน้อยที่สุดผู้นี้
มู่ซางเข้ามาจากทางด้านหลังของกระโจมเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นพบเห็น  มองนายเหนือหัวที่เอนพิงสบายๆอยู่บนเก้าอี้ยาว  แล้วคุกเข่าลงกับพื้นอย่างทราบธรรมเนียม
ดวงตาคมกริบของฉีเซี่ยงหยวนเหลือบมองคนสนิทบนพื้นด้วยท่าทีเรียบเฉย  ถามขึ้นว่า
“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”
มู่ซางมองนายเหนือหัว  จากนั้นก็หันไปมองหม่าหลงที่อยู่ด้านข้าง  เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  ทราบว่าอีกฝ่ายคงทราบมาละเอียดกว่าตัวเขาอีกจากปากหม่าหลง  แต่ก็ยังคงบอกเล่าเรื่องราวออกไป  แน่นอนว่าเรื่องนี้พอออกมาจากปากมู่ซางย่อมต้องแปรสภาพไปเล็กน้อย

“เรื่องดูเหมือนจะเริ่มจากสั้งหู่อวดดีอยากได้ม้าของพระมาตุลาจึงท้าประลองธนู  คิดใช้ฝีมือของตนบังคับให้อีกฝ่ายส่งมอบม้าออกมา  ข้าน้อยบังเอิญผ่านไปตอนนั้นพอดี  ได้เอ่ยปากยับยั้งด้วยเกรงว่าฝีมือธนูของสั้งหู่จะทำให้แคว้นเป่ยชางขายหน้า  อีกทั้งยังทนดูไม่ได้กับการทำตัวระรานผู้อื่นเกินขอบเขตของสั้งหู่  แต่แม่ทัพสั้งกลับไม่ฟังคำทัดทาน  ดึงดันจะประลองให้ได้  สุดท้ายปรากฏว่าเพราะฝีมือไม่สู้ดีแต่ยังหลงลำพองไปเองทำให้พ่ายแพ้อย่างอนาถ  กระทบถึงหน้าตาเป่ยชางเรา  สั้งหู่โทสะบังตาคิดฆ่าคนปิดปากจึงยิงธนูใส่พระมาตุลา  โชคดีที่ต้าอ๋องผ่านมา  เห็นแก่...มิตรภาพระหว่างสองแคว้นจึงได้เข้าช่วยเอาไว้” ประโยคสุดท้ายเว้นช่วงอย่างมีนัยยะ

ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ออก  พลางกล่าว
“ตัด ‘กระทบถึงหน้าตาเป่ยชางเรา’ ออก  ประโยคนี้ยั่วยุเกินไป  เชื่อว่าคนฟังต้องอยู่ไม่สุข  ก่อเรื่องปั่นป่วนวุ่นวาย”
ปั่นป่วนวุ่นวายจริง  รับรองว่าปั่นป่วนวุ่นวายไปท้าประลองถึงตำหนักเสียงวสันต์  มู่ซางฟังพลางหัวเราะในใจไปสามรอบอย่างอดไม่อยู่  รีบก้มหน้าลงรับคำว่า “ทราบแล้ว”

“หลังจากนี้คงมีคนมากมายคิดสอบถามเรื่องนี้จากปากเจ้า  เจ้าทราบอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร”
“ข้าน้อยจะบอกเล่าตามที่ได้กล่าวกับต้าอ๋อง  เติมเครื่องเคียงลงไปอีกเล็กน้อย  แล้วก็...”
คนเป็นนายเหนือหัวกลับไม่สนใจฟังเพราะทราบว่าหน้าที่ประโคมเรื่องให้ใหญ่โต  ผลักสถานการณ์ให้เป็นไปตามอย่างที่อยากให้เป็น  มู่ซางนับว่าชำนาญอย่างยิ่งจนยากจะหาใครเทียบ  ตอนนี้ฉีเซี่ยงหยวนกำลังสนใจเรื่องอื่น  จึงพูดตัดตรงกลางประโยคว่า
“เจ้า ‘บังเอิญ’ ผ่านไปตอนนั้นพอดี?  ช่างประจวบเหมาะยิ่ง”

มู่ซางกระพริบตา  เรียวปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม  ตอบว่า
“ข้าน้อยก็รู้สึกว่ามันช่างประจวบเหมาะยิ่ง”
ในลำคอของฉีเซี่ยงหยวนคล้ายกับมีเสียง ‘เหอะ’ แค่นๆเสียงหนึ่ง  เคยชินกับนิสัยโกหกโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“เรามาพูดกันตามตรง  มู่ซาง”
“ได้ตามที่รับสั่ง  ...ข้าน้อยทราบว่าต้าอ๋องค่อนข้างจะทั้งห่วงทั้งหวงพระมาตุลาแคว้นเหลียนผู้นี้อยู่เอาการ”
คนฟังกลับรับคำโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีว่า
“ไม่ผิด  ในเมื่อเจ้าก็ทราบว่าข้าทั้งห่วงทั้งหวงเขา  ดังนั้นอยู่ใกล้ให้น้อย  อยู่ห่างให้มาก”
มู่ซางหัวเราะออกมาแล้ว  หัวเราะจนหยุดไม่ได้  อันที่จริงตั้งแต่ฉีเซี่ยงหยวนเข้ามารับธนูแทน  มู่ซางก็ทราบแล้วว่าประโยคนี้ของตัวเองไม่ผิดพลาด  แถมระดับความสัมพันธ์ยังเกินคำว่าห่วงไปมากมายนัก

“เจ้ามันตัวก่อเรื่อง” ฉีเซี่ยงหยวนไม่ขำไปด้วย
“ถ้าแค่เรื่องข้าชอบก่อเรื่องอย่างเดียวคงไม่ต้องสั่งเฉียบขาดขนาดนี้กระมัง  ข้ารับรองได้ว่าพระมาตุลาไม่สนใจข้าหรอก  สายตาเขามีแต่ท่านคนเดียว” ประโยคสุดท้ายล้อเลียนอย่างเปิดเผย  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับยิ้มเช่นกัน  กล่าว
“ข้าว่าแถวพรมแดนที่เราต่อกับหนานเหมินมีศึกวุ่นวายไม่หยุดหย่อน  นับว่าต้องการความสามารถทางกลยุทธ์ของเจ้าพอดี  ให้เจ้าไปอยู่ซักสิบปีคงสงบเรียบร้อยขึ้น”

“... ” มู่ซางหุบปากลงทันที  กระทั่งเสียงหัวเราะก็ไม่มีหลุดรอดออกมา  ท่าทางเหมือนกลืนยาขมลงไปหนึ่งถ้วยใหญ่
“เจ้าว่าความคิดนี้ไม่ดีหรือ  มู่ซาง” รอยยิ้มของฉีเซี่ยงหยวนร้ายกาจ  เสียงหัวเราะยิ่งน่าขนลุกเข้าไปใหญ่
“...เกรงว่าไม่ค่อยดีนัก  ขุนนางจงรักภักดี  ต้าอ๋องควรเก็บไว้ใกล้ตัว”
“ข้ารู้แต่ว่าชายแดนเป็นเขตเปราะบาง  ต้องใช้ขุนนางภักดี  ในเมื่อเจ้าภักดีเช่นนั้นก็เหมาะ”
มู่ซางชะงัก  จะปฏิเสธว่าไม่ภักดีก็คงไม่ได้  แต่มู่ซางยังคงเป็นมู่ซาง  คิดหาคำพูดได้โดยไว
“แต่ต้าอ๋องก็ทราบว่าความภักดีของข้าค่อนข้างจำกัด  กับคนที่ความภักดีมีขีดจำกัดเช่นนี้  ให้อยู่ไกลหูไกลตาแล้วจะรับใช้ได้อย่างไร”
“ไม่ต้องมาพยายามย้ำว่าตัวเองยังมีประโยชน์  แต่เอาเถอะ  ประโยคเมื่อครู่นับว่าสัตย์ซื่อจริงใจที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลยทีเดียว  เห็นแก่ความสัตย์ซื่อนานทีปีหนนี้ของเจ้า  ตำแหน่งที่ชายแดนคงยังต้องรอไปก่อน”
“พระเมตตาต้าอ๋อง  มู่ซางจะจดจำไม่ลืมเลือน”   

ฉีเซี่ยงหยวนปรายตามองร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้น  รู้สึกคันเท้าอยากถีบคนขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าอยากให้เจ้าจำประโยค ‘อยู่ให้ห่าง’ ของข้าเอาไว้มากกว่า  ...ไปทำงานได้แล้ว  เก็บกวาดเอาประโยคสรรเสริญที่น่าสยดสยองแต่ไม่มีความจริงใจพวกนั้นของเจ้าไปด้วย  อย่าให้มันรกอยู่ในกระโจมของข้า”

เห็นท่าทีไล่แขกอย่างชัดเจนของฉีเซี่ยงหยวน  มู่ซางก็ล่าถอยออกมา  ความจริงยังคันปากอยากกล่าว ‘ประโยคสรรเสริญที่น่าสยดสยอง’ อีกซักสองสามประโยค  หากเกรงว่าตำแหน่งว่างที่ชายแดนจะเปลี่ยนเป็นไม่ว่างขึ้นมา  จึงทำได้แค่กัดประโยคดังกล่าวเอาไว้ในปากอย่างทรมานยิ่ง
---------------------
หลังจากมู่ซางกลับถึงกระโจมตัวเองก็ถูกมือดีคว้าตัวไปสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้  มือดีคนแรกถามจบได้รับคำตอบ  เดินจากไปอย่างอิ่มเอม  มือดีคนที่สองก็โผล่มาสอบถามเรื่องเดียวกัน  เป็นเช่นนี้จนมู่ซางเล่าเรื่องดังกล่าวเป็นรอบที่ร้อย เติมเครื่องเคียงลงไปอีกเล็กน้อยตามสูตร  ข่าวลือก็ลือกันไปลือกันมาจนทุกคนที่ได้รับฟังล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าสั้งหู่ทำความผิดสมควรตาย  ทำเรื่องโฉดเขลาอย่างสมควรตาย  และมีแต่สั้งหู่ตายเท่านั้นแคว้นเป่ยชางจึงพอจะรักษาหน้าเอาไว้ได้บ้าง

นี่คืออานุภาพของข่าวลือ  ความจริงแล้วลมปากคนก็มีคมไม่ต่างจากหอกดาบ  สามารถเชือดเอาชีวิตปลิดเอาวิญญาณคนได้เช่นกัน
======
วันนี้นั่งไล่อ่านคอมเมนท์  บวกเป็ดให้ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน 
ถ้าจะบอกว่านักอ่านชอบอ่านนิยาย  นักเขียนก็เป็นสิ่งมีชีวิตชอบอ่านคอมเมนท์555 
ขอบคุณมากจริงๆที่เดินทางด้วยกันมาค่อนเรื่องแล้ว :กอด1:



ออฟไลน์ ณยฎา

  • ขอเพียงมีเธออยู่คู่ฉัน แม้นหลับก็มิฝันถึงสิ่งใด
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-3
ชอบเรื่องนี้มาก ถึงขนาดตามไปอ่านอีกเว็บเลย ใจจดใจจ่อมาก ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น มาต่อไวๆ นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด