ตอนที่ 4
ไอร้อนลอยระอุออกจากกระโปรงหน้ารถญี่ปุ่นสีขาวที่เพิ่งจอดสนิทอยู่ใต้ชายคาไม้ระแนงหน้าบ้าน ส่วนเจ้าของรถนั้นถูกพยุงอย่างระมัดระวังไปที่ประตู ก่อนจะถูกขอร้องให้นั่งรอที่ระเบียงอิฐเตี้ยๆเพื่อพักขาทั้งที่เมฆารู้สึกว่าไม่จำเป็นเลยสักนิด ความจริงแม้จะรู้สึกชาหนึบไปทั้งเท้า แต่การยืนด้วยลำแข้งของตัวเองสักนาทีสองนาทีก็ไม่ได้เหนือบากกว่าแรงเท่าใดนัก หย่อนตัวนั่งลงไปได้เพียงครู่เดียวจงรักก็ไขกุญแจเข้าบ้านเรียบร้อย เจ้าตัวเล็กเปิดบานประตูออกกว้างจากนั้นจึงหันกลับมาพยุงคนเจ็บเข้าไปพักในบ้าน
คนตัวเล็กมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อกดเปิดไฟแล้วเห็นสภาพภายใน ห้องรับแขกโล่งกว้างไม่มีเครื่องเรือนอื่นใดเลยนอกจากโซฟาบุนวมสีน้ำเงินที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เขาพาร่างสูงไปหยุดนั่งที่โซฟาตัวนั้นแล้ววิ่งออกไปหยิบกระเป๋าสัมภาระพร้อมกับห่อข้าวผัดปูที่เพิ่งแวะซื้อมาจากหน้าปากซอย เอากระเป๋าวางข้างโซฟาในมือถือห่อข้าวผัดไว้ หมายจะนำไปใส่จานในครัว แต่จงรักก็หันมาถามความสมัครใจจากเจ้าของบ้านก่อน
“หิวไหมครับ เดี๋ยวผมเอาข้าวผัดไปใส่จานให้”
“ยังไม่ค่อยหิวหรอก นายล่ะ”
“ผมก็ยังไม่หิวเหมือนกัน ถ้างั้นพี่เมฆไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ”
“ก็ดีเหมือนกัน” เมฆาพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็รีบบอกเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเตรียมจะพยุงเขาขึ้นไปอีกครั้ง “นายเอาข้าวไปใส่จานเถอะ พี่ขึ้นไปเองไหว เดี๋ยวจะลงมากินด้วย”
“เอาอย่างนั้นเหรอครับ” จงรักถามอย่างไม่แน่ใจ
“อืม เอาอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงหรอก เจ็บแค่นี่เอง” เมื่อคนเจ็บยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ จงรักจึงไม่อาจค้าน
ระหว่างที่เมฆหายขึ้นไปอาบน้ำชั้นบน จงรักก็ง้วนอยู่กับการจัดอาหารใส่จาน ในห้องครัวค่อนข้างโล่ง มีอุปกรณ์ทำครัวเพียงไม่กี่ชิ้น ตู้เคาน์เตอร์เป็นแบบบิ้วอินสีขาวสลับกรมท่า ดูท่าว่าเจ้าของคงจะชอบสีโทนน้ำเงินเพราะผ้าม่านที่ใช้ก็ครามเหมือนสีของขอบฟ้าตลอดทั้งห้องรับแขกและห้องครัว ของใช้ทุกอย่างยังดูใหม่ราวกับว่าเพิ่งส่งมาจากสตูดิโออย่างไรอย่างนั้น จงรักถือวิสาสะเปิดค้นตู้เก็บของหาสิ่งที่ต้องการจนพบจึงเริ่มทำบางอย่าง
“ทำอะไร”
ร่างสูงในลุคสบายๆมีกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดตัวโคร่งสีอ่อน ทรงผมที่มักจะเซ็ตเสยขึ้นไปถูกหวีลู่ลงมาปรกหน้าผากให้ความรู้สึกแปลกตา จงรักไม่เคยเห็นเมฆาในลักษณะเช่นนี้ ตามปรกติหนุ่มหน้าดุมักจะแต่งตัวเนี้ยบเรียบร้อยเสมอ
“ขอโทษนะครับที่ใช้ครัวโดยไม่ขออนุญาตก่อน พี่เมฆมานั่งนี่เถอะครับ ผมเตรียมน้ำอุ่นไว้ใช้แช่เท้าระหว่างกินข้าว ขาจะได้ลดบวม” จงรักจัดแจงเลื่อนเก้าอี้ให้ชายหนุ่ม เมื่อเมฆาเข้าไปนั่งแล้วจึงเอากะละมังผสมน้ำอุ่นที่เตรียมไว้มาวาง
ทันทีที่เท้าข้างที่ปวดสัมผัสกับอุณหภูมิพอเหมาะ ความอุ่นซ่านก็แล่นริ้วไปทั่วทั้งเท้า เมฆรู้สึกว่าอาการปวดหนึบทุเลาลง พอเงยหน้าขึ้นมาจานข้าวผัดปูก็ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าพร้อมกับแก้วน้ำเย็น ไม่รู้จะบรรยายเช่นไรได้ บอกได้แค่รู้สึกดีที่มีคนคอยบริการทำโน้นทำนี่ให้อย่างที่ไม่เคยมี เนื่องจากพ่อกับแม่เสียตั้งแต่ยังเล็กมาก เขาซึ่งอยู่กับตามาโดยตลอดจึงต้องทำตัวให้โตเกินวัย ต้องดูแลตัวเองให้ได้โดยไม่เดือดร้อนใคร พอมาเจอแบบนี้ คล้ายกับว่าน้ำอุ่นของจงรักจะอุ่นซ่านขึ้นมาถึงหัวใจ
คนสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยมีโต๊ะอาหารคั่นกลาง ตรงหน้ามีจานข้าวผันคนละจาน น้ำเปล่าคนละแก้ว ทั้งคู่ต่างก็กินอาหารของตัวเองโดยไม่มีการพูดจา สำหรับจงรักเสียงช้อนกระทบกันไม่ได้ทำให้รู้สึกรำคาญหรือน่าเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกอิ่มเอมและอยากอาหารมากว่าที่เคยเป็นเสียด้วยซ้ำ
“พี่เมฆเพิ่งย้ายเข้าบ้านเหรอครับ”
“ไม่หรอก ย้ายเข้ามาได้สามสี่เดือนแล้ว ทำไมเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ ผมแค่เห็นว่าในบ้านแทบไม่มีข้าวของอะไรเลย บ้านมันดูใหม่มากๆ เหมือนเพิ่งมาอยู่”
แม้จะยังไม่มีโอกาสเห็นชั้นบน แต่ชั้นล่างกับบริเวณสนามจงรักก็เห็นผาดๆมาแล้ว ห้องรับแขกไม่มีอะไรนอกจากโซฟา แม้แต่ทีวียังไม่มีเลย อย่าให้พูดถึงสนามที่โล่งเรียบ คาดว่าตอนกลางวันคงร้อนหน้าดู คิดแล้วก็เผลอมองออกไปนอกหน้าต่างห้องครัวที่เพิ่งรูดม่านเปิดเมื่อครู่ หากว่ามีต้นไม้ใหญ่สักสองต้นเอาไว้ผูกเปลนอน รอบๆมีพุ่มดอกไม้เตี้ยๆกับน้ำตกจำลองก็คงดีไม่น้อย
“มองอะไร” เมฆถามขึ้นเมื่อเห็นว่าตาโตๆจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง
“พี่เมฆชอบต้นไม้ไหมครับ” แทนที่จะให้คนตอบเจ้าของแก้วตาใสดันถามเขากลับแทน
“อืม..ก็ชอบนะ ทำไมเหรอ”
“งั้นผมจัดสวนให้เอาไหม”
“ห๊ะ! จัดสวน? นึกยังไงล่ะนาย” หนุ่มหน้าดุถึงกับงงงวย เพราะอยู่ๆก็มีคนมาขอจัดสวนให้
“ก็ผมเห็นว่าสวนบ้านพี่ดูโล่งๆ ถ้ามีต้นไม้ดอกไม้จะได้ร่มรื่น ดูสดชื่นด้วย ผมจัดสวนเก่งนะ พี่เมฆไม่ต้องห่วง”
“จะดีเหรอ พี่เกรงใจนาย”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมเต็มใจ นะครับ” ท้ายเสียงคล้ายจะอ้อนของคนตาโตทำให้เมฆาไม่อาจทนใจแข็งอยู่ไหว
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
“จริงนะครับ! พี่เมฆใจดีจัง” จงรักร้องออกมาอย่างยินดี เมฆคิดว่าถ้าจงรักยังเป็นเด็กเล็กๆคงจะกระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้แล้วร้องไชโยออกมาแล้ว
“ดีใจอะไรขนาดนั้น..หืม นี่นายอาสาทำให้พี่นะ อะไรก็ไม่ได้สักอย่าง มีแต่งานที่เพิ่มขึ้น ยังต้องเหนื่อยขึ้นอีก”
“แค่พี่ยอมให้ผมทำอะไรให้พี่บ้างก็ดีแล้วล่ะครับ”
จงรักยิ้มหวานเต็มแก้ม หน่วยตาโตใสซื่อที่จ้องมองมาเพียงแค่เมฆาคนเดียวบอกได้ว่าเจ้าตัวเล็กไม่ได้โป้ปด ทุกคำพูดที่ได้ยินจากปากนั้นเป็นเรื่องจริง เป็นความรู้สึกจริงๆจากใจ และความจริงใจของจงรักทำให้เมฆากดยิ้มที่มุมปากตามไปด้วย เด็กคนนี้เจิดจ้าเสียจนบ้านอันเงียบเหงาอึมครึมดูสว่างไสวขึ้นทันตา
กระทั่งกินข้าวเสร็จจงรักก็อาสาเก็บจานเอาไปล้างแทนจนหมด พร้อมทั้งเก็บกะละมังน้ำอุ่นไปเทและคว่ำไว้ที่เดิมเสร็จสรรพ ดูให้ร่างสูงกินยาแก้ปวดกับแก้อักเสบเรียบร้อยเขาจึงขอตัวกลับ เนื่องจากตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากพอสมควรแล้ว เมฆาเดินมาส่งน้องที่หน้าบ้านแม้จะโดนปฏิเสธเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ระหว่างที่รอให้รถแท็กซี่ซึ่งโทรเรียกเข้ามารับ จงรักก็ถามโน่นถามนี่เกี่ยวกับต้นไม้ไปคราวๆเพื่อเก็บข้อมูล
“นอกจากดอกไม้หอมแล้วก็ไม่ได้ชอบอะไรพิเศษนะครับ”
“อืม ไม่ได้ชอบต้นอะไรเป็นพิเศษหรอก เราจะปลูกอะไร จะจัดยังไงก็ตามใจเถอะ อย่าให้มันรกมากแล้วกัน พี่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลหรอก” เมฆาบอกตามจริง เนื่องจากเขาทำงานอาทิตย์ละ 6 วัน กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำ ไม่ค่อยมีเวลากับสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัวนัก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจัดให้แถมรับดูแล รับรองว่าเคลมฟรีตลอดปีเลยล่ะ” จงรักยิ้มให้เสี้ยวหน้าคมอย่างสุขใจ พลางนึกขันตัวเองที่โฆษณาชวนเชื่อราวกับคนขายประกันก็ไม่ปาน
เมฆาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาจนกะทั่งรถแท็กซี่สีฟ้าสดแล่นมาจอดที่หน้าประตูรั้ว คนตัวเล็กหันมาลาก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งข้างใน ยังไม่ทันปิดประตูเสียงทุ้มของเมฆาก็ดังขึ้นขัดก่อน
“เดี๋ยว!”
“ครับ?” คิดว่าตัวเองคงหลงลืมอะไร แต่ดูแล้วก็เปล่า
“ขอบใจมากนะ
รัก” เมฆไม่ได้ยินเสียงตอบจากจงรัก เขาเห็นแต่รอยยิ้มกว้างของหนุ่มรุ่นน้องเท่านั้นเมื่อปิดประตูรถให้กระทั่งรถแล่นออกไป
จงรักนั่งยิ้มไม่หุบอยู่บนรถ มือบางจับขยุ้มเสื้อแน่นตรงตำแหน่งข้างซ้ายของอก หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับมันจะกระดอนออกมา เขารู้ว่านั่นเป็นชื่อของเขา แต่พอได้ยินพี่เมฆเอ่ยว่า รัก แม้มันเป็นเพียงชื่อเรียกสั้นๆ ทว่าหัวใจเจ้ากรรมมันก็สั่นจนไม่อาจเอ่ยคำใดโต้ตอบกลับไปได้ ทั้งที่กับคนอื่นๆไม่เคยเป็นเช่นนี้เลยสักครั้ง จงรักต้องท่องไว้ในใจเพื่อให้ตัวเองสงบลง ท่องว่าเขาเรียกใช่เขาบอกว่ารักเสียเมื่อไหร่
พี่เมฆแค่เรียกชื่อเราเท่านั้น มันก็แค่ชื่อ… ตามปรกติแล้วในวันอาทิตย์จะเป็นวันหยุดของจงรัก ทุกวันหยุดเขาจะนอนตื่นสายเกือบสิบโมงเช้า พอตื่นขึ้นมาก็หาอะไรง่ายๆอย่างขนมปังปิ้งกับนมกินประทังชีวิต จากนั้นจึงเริ่มทำงานบ้าน เอาผ้าที่ใส่มาทั้งอาทิตย์ไปปั่น ทำความสะอาดห้องนิดหน่อยเพราะเขาไม่ได้จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องเหมือนคนอื่น พอทำความสะอาดเสร็จผ้าในเครื่องก็เอามาตากได้พอดี กว่าจะเคลียร์จนเรียบร้อยทุกอย่างก็บ่าย หาอะไรใส่ท้องอีกสักหน่อยคราวนี้ก็นอนเอกเขนกยาวไปจนถึงเย็น พออยู่คนเดียวชีวิตในวันหยุดก็วนอยู่แค่นี้ไม่มีอะไรให้ทำมากนักนอกจากนอนดูซีรี่ส์ อ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อย
ทว่าสุดสัปดาห์นี้จะไม่เหมือนเดิมเพราะจงรักมีนัดกับคนที่แอบรักมานานปี คนตัวเล็กจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เขาตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่เพื่อทำงานบ้านให้เสร็จก่อนแปดโมงเช้า จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วคว้ากระเป๋าออกจากห้อง
ประมาณเก้าโมงคนตัวเล็กในชุดลำลองกับรองเท้าผ้าใบสีตองอ่อนคู่เก่งก็มายืนกดออดอยู่ที่หน้าบ้านของเมฆา ระหว่างรอให้เจ้าของบ้านมาเปิดประตูตาโตก็สำรวจไปทั่วบริเวณหมู่บ้าน พร้อมทั้งฮึมฮัมเพลงโปรดในลำคออย่างอารมณ์ดี เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเขาได้มีโอกาสมาส่งพี่เมฆที่บาดเจ็บเพราะเล่นฟุตบอล เลยเผลอตกปากรับคำว่าจะช่วยจัดสวนให้ ต่อจากนั้นก็ไม่ได้มาที่บ้านของคนตัวโตอีกเพราะเจ้าของบ้านไปคุมโครงการก่อสร้างที่ต่างจังหวัดตามหน้าที่ของวิศวกรผู้รับผิดชอบ แต่จู่ๆเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เมฆาก็โทรมาหาเขาแล้วชวนให้ไปช่วยเลือกต้นไม้ที่จะเอามาจัดสวนในวันอาทิตย์ คนที่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้พบจึงตกปากรับคำด้วยความยินดี
“ขอโทษที พอดีเข้าห้องน้ำอยู่” คนที่มีใบหน้าคมดุเป็นเอกลักษณ์วิ่งเหยาะๆมาเปิดประตูรั้วให้พร้อมกับเอ่ยขอโทษ
“ไม่เป็นไรครับ รอไม่นานเลย” จงรักยิ้มให้คนที่แสนคิดถึง ร่างเล็กได้แต่คิดในใจว่าไม่ได้เจอหน้ากันเพียงแค่สองอาทิตย์ทำไมถึงคิดถึงได้ขนาดนี้นะ
“เข้าบ้านเถอะ” เมฆหันมายิ้มกลับบางๆเล่นเอาใจสั่นไปหมด
“ครับ” จงรักพยักหน้ารับ พลางก้มหน้าซ่อนแก้มร้อนให้พ้นจากสายตาคม
“กินอะไรมาหรือยัง”
“ยังเลยครับ” เพราะมัวแต่รีบทำงานบ้านเลยลืมนึกถึงอาหารเช้าไปเสียสนิท
“พอดีเลย พี่ก็ยังไม่ได้กิน รอตรงนี้แปบนึง เข้าไปหยิบกระเป๋าเดี๋ยว”
“ครับ” เมื่อจงรักรับคำ ร่างสูงก็เดินหายเข้าไปในตัวบ้าน รอไม่นานเจ้าตัวก็ออกมาพร้อมกับกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ ล็อคบ้านเรียบร้อยทั้งคู่จึงพากันออกรถมา
ช่วงสายของวันอาทิตย์ถนนค่อนข้างโล่งดีทีเดียว ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง จงรักก็มาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาใกล้ตลาดอตก. เมฆาเลือกจอดรถริมฟุตบาทต่อท้ายรถคันอื่นๆแล้วจึงหันมาปลดเข็มขัดนิรภัยเป็นสัญญาณว่าถึงที่หมายแล้ว ร่างสูงลงจากรถก่อนเดินนำไปที่โต๊ะด้านในใกล้พัดลม ลูกค้าในร้านค่อนข้างบางตาจึงเลือกโต๊ะที่นั่งได้สะดวก ทั้งคู่สั่งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาน้ำใสมากินคนละชาม อาจเป็นเพราะช่วงเช้าเลยกินได้ไม่มากนัก รสชาติของก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อร่อยพอให้จงรักนึกอยากหวนกลับมากินอีก เมฆาเป็นคนจ่ายเงินเลี้ยงพร้อมทั้งให้เหตุผลว่าเขาต้องใช้งานจงรักทั้งวัน แค่เลี้ยงข้าวสองสามมื้อคงไม่เทียบเท่างานหนักที่รอจงรักข้างหน้า
พอท้องอิ่มทั้งคู่ก็กลับมาขึ้นรถ ขับต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงที่จอดรถซึ่งเป็นลานกว้างไม่ไกลจากตัวสวนจัตุจักรนัก รับบัตรจอดรถเรียบร้อยก็ถึงคราวที่สองหนุ่มจะบุกฝ่าความร้อนในตลาดนัดกลางกรุงกันเสียที
“เราเดินดูต้นไม้ก่อนแล้วกัน มีร้านที่รู้จักหรือเปล่า” เมฆหันมาถามคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ
“มีครับ แต่อยู่ด้านนอกฝั่งนี้นะพี่เมฆ ถ้าซื้อต้นใหญ่ที่ร้านเขาจะไปส่งให้ที่บ้านด้วย ผมว่าน่าจะเอาต้นกาสะลองต้นใหญ่สักต้น จะได้เป็นร่มให้พวกไม้พุ่ม”
“กาสะลอง?” เห็นร่างสูงทำหน้าเหมือนไม่รู้จักจงรักจึงอธิบาย
“ต้นกาสะลองหรือบางคนก็เรียกต้นปีบ เป็นต้นไม้ยืนต้น มีดอกตลอดปี ดอกสีขาวแล้วก็หอมมาก ผมว่าพี่น่าจะชอบ”
“ฟังดูดีนี่”
“งั้นเราไปดูกันเลยไหมครับ ผมคิดว่าร้านที่จะไปเขาน่าจะมีเป็นต้นใหญ่ล้อมขาย เพราะคราวที่ผมมาสั่งไปลงที่หน้าร้านก็มาสั่งจากที่นี่เหมือนกัน”
“งั้นนายก็นำไปเลย” จงรักพยักหน้าแล้วเดินนำร่างสูงไปยังร้านที่ตนเองรู้จักดี
เดินมาถึงก็พบกับเจ้าของร้านเป็นหญิงสูงอายุ เธอออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเพราะคุ้นเคยกันดีกับหนุ่มร่างเล็ก จงรักพาเมฆไปดูต้นกาสะลองที่เจ้าของร้านล้อมเอาไว้เตรียมลงดินหากมีลูกค้าสั่ง คนตัวโตตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลง เพราะกาสะลองดอกน้อยที่หล่นลงเกลื่อนกล่นพื้นนั้นมีกลิ่นหอมชื่นใจดีเหลือเกิน
พอได้ต้นไม้ต้นใหญ่เป็นหลักแล้วต้นหนึ่ง จงรักก็พาเมฆาทัวร์ชมไม้พุ่มไม้ดอกที่ถูกจัดเรียงถุงเรียงกระถางอยู่เต็มลานหน้าร้าน ก่อนช่วยเลือกและตัดสินใจเอาต้นไม้ไปลงดินที่บ้านอีกสองชนิด คือพุดซ้อนสามต้นและพยับเมฆอีกเก้า พุดซ้อนมีดอกสีขาวกลิ่นหอมมาก ดอกทั้งใหญ่และสวย ส่วนพยับเมฆมีดอกสีน้ำเงินเป็นพุ่มเล็กๆ เพราะจงรักสังเกตเห็นว่าพี่เมฆชอบสีน้ำเงินจึงเลือกต้นไม้ชนิดนี้ไปแซมและเมฆาเองก็เห็นด้วย
“เอาเท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ แล้วพวกไม้เล็กไม้น้อยผมจะเอาไปแซมให้ทีละต้นสองต้น ตอนนี้คงต้องประคบประหงมกาสะลองให้รากยืดดินก่อน”
“เอาอย่างที่นายว่านั่นแหละ” เมฆาพยักหน้าเห็นด้วย เพราะเห็นความตั้งใจของหนุ่มรุ่นน้องเขาจึงวางใจให้จงรักเปลี่ยนแปลงสนามข้างบ้านเขาได้ตามใจชอบ
“พี่เมฆครับ” ขณะที่จ่ายเงินและนัดแนะที่อยู่กับเจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้วกำลังจะออกจากร้าน จงรักก็สะกิดให้ร่างสูงหันมาหา
“มีอะไร”
“คือว่า..ถ้าจะเพิ่มโอ่งน้ำผุดอีกสักใบพี่เมฆว่าดีไหมครับ” เมฆมองตาสายตาของคนตัวเล็กแล้วไปหยุดที่โอ่งดินเผาขนาดฟุตครึ่งที่มีน้ำผุดออกมาจากปากไหลลงเคลือบรอบๆผิวโอ่งด้านนอก
“ก็เอาสิ บอกแล้วว่าตามใจคนจัด จัดออกมาให้สวยแล้วกัน จะเอากระเบื้อง เอาหินเกลี้ยง หรืออะไรอีกก็สั่งเอาเลย งบแต่งบ้านพี่ยังไม่ได้ใช้ ก็อย่างที่นายเห็น บ้านพี่มีแค่โซฟาตัวเดียวเอง”
“ขอบคุณครับ” คนตัวเล็กยิ้มแป้นจนตาโตหยี่เล็กลง แล้วเดินเข้าไปสั่งของในร้านอีกสองสามอย่าง
กว่าจะเลือกต้นไม้กับอุปกรณ์แต่งสวนเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมง ทีแรกจงรักคิดว่าเมฆาจะพาตัวเองกลับไปรอต้นไม้ที่บ้านเลย แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากคนหน้าดุเลือกพาหนุ่มรุ่นน้องมากินส้มตำในจัตุจักรใกล้กับหอนาฬิกา กินอาหารกลางวันเรียบร้อยเมฆาก็หันมาถามจงรักว่าอยากเดินดูอะไรอีกหรือเปล่า แต่จงรักปฏิเสธเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้ออะไรนอกจากต้นไม้และของตกแต่งสวน เมฆาจึงชวนคนตัวเล็กกลับไปรอต้นไม้ที่บ้าน
ทางร้านมาส่งต้นไม้ให้หลังจากเจ้าของบ้านเพิ่งกลับมาถึงได้ครู่เดียว พอคนงานเอากาสะลองต้นใหญ่ลงดินให้เสร็จก็กลับกันหมด ต้นไม้ต้นเล็กที่เหลือกับหน้าที่ติดตั้งโอ่งน้ำผุดจึงตกเป็นของคนจัดสวนจำเป็นอย่างจงรัก โดยตลอดทั้งบ่ายมีผู้ช่วยตัวโตคอยหยิบนู่นจับนี่อยู่ข้างๆ กระทั่งตกเย็นสวนขนาดย่อมของจงรักก็เข้าที่เข้าทาง
เมฆาให้จงรักไปล้างไม้ล้างมือ ส่วนตนเองไปชงน้ำแดงใส่เหยือกคู่กับคุกกี้ธัญพืชออกมาให้กินคลายเหนื่อยที่ระเบียงข้างบ้าน ระเบียงซึ่งหันออกไปทางสวนเล็กๆที่เพิ่งจัดใหม่พอดิบพอดี คนตัวโตเทน้ำแดงใส่แก้วเสร็จพอดีกับที่จงรักออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินมาทรุดนั่งข้างๆกัน มือบางหยิบแก้วน้ำแดงขึ้นมาจิบอึกใหญ่ รู้สึกชื่นใจจนลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเป็นปลิดทิ้ง
“พี่ชอบไหมครับ” จงรักเอ่ยขึ้นหลังจากวางแก้วลงข้างตัว
“อืม ดูดีผิดจากตอนแรกลิบลับเลยล่ะ เหนื่อยหน่อยนะ เอาไว้พี่จะเลี้ยงตอบแทน”
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ ผมเต็มใจ” จงรักว่ายิ้มๆ
“ถ้าไอ้วินรู้ว่าพี่ใช้งานนายแบบนี้ มันคงบ่นจนหูชา”
“ไม่บ่นหรอกครับรายนั้น เพราะต้นปีเฮียแกก็ใช้ผมไปออกแบบสนามหน้าบริษัทให้อยู่เลย ค่าจ้างก็ไม่ได้” ริมฝีปากบางยู่ขึ้นมาเมื่อนึกถึงวีรกรรมของรุ่นพี่คนสนิท แต่พอคิดอะไรขึ้นได้จงรักก็รีบหันมาพูดกับเมฆาอย่างร้อนตัว “แต่ผมไม่ได้จะเรียกร้องอะไรจากพี่นะครับ สำหรับพี่ผมเต็มใจ”
“อืม พี่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรนายสักหน่อยนี่” เสียงทุ้มว่าอย่างนึกขำ
“อ่า…..ก็ผมกลัว เดี๋ยวพี่เมฆจะหาว่าผมทำเพื่อหวังผลน่ะสิ” เสียงห้าวบอกออกมาอ้อมแอ้ม
“พี่รู้ว่านายไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก” เมฆคิดว่าหลังจากที่ได้ทำความคุ้นเคยกับหนุ่มรุ่นน้องกว่าเดือน เขามองออกว่าจงรักนั้นจริงใจ ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์อะไรแบบนั้น
“ไม่หรอกครับ ความจริงผมอาจจะหวังก็ได้..” เพราะตอนนี้ผมกลายเป็นคนโลภมากไปเสียแล้ว
ชั่ววูบที่เผลอหลุดปากออกไป เป็นวินาทีที่ทำให้เวลาคล้ายจะไหลผ่านไปเชื่องช้าลง นัยน์ตาคมดุจ้องประสานกับแววตาวูบไหวของหนุ่มรุ่นน้องครู่หนึ่งอย่างต้องการคำตอบ คำตอบที่ว่าประโยคเมื่อกี้เป็นเรื่องจริงหรือล้อเล่น ทว่ายังไม่ทันจะแน่ใจ เจ้าของดวงตาคมใสก็หลุบหนีลงไปก่อน
ระยะแค่เพียงเอื้อมมือคว้า แต่กับผู้ชายตรงหน้า กับแววตาที่ยังคงอ่านไม่ออก จงรักก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นมากั้นตรงกลางเอาไว้ ดูเหมือนเมฆาจะยอมเปิดใจรับเขาเข้าไปใกล้ๆบ้าง แต่มันไม่หมดทั้งใจ แม้ตลอดเวลาที่เริ่มคุยกันมา เมฆาจะไม่เคยพูดถึงคนรักเก่าให้เขาได้ยินเลยสักครั้ง ไม่เคยเอ่ยแม้กระทั่งชื่อตั้งแต่วันนั้นที่โรงพยาบาลจนกระทั่งถึงวันนี้ แต่จงรักคิดว่าคนรักที่ใครๆมองว่าเก่าเพราะเลิกรากันไปแล้ว ยังคงกัดกินและจับจองเนื้อที่ในหัวใจของเมฆอยู่เกือบทั้งดวง และอาจเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเข้าไปแทรกหรือเทความรักลงไปในพื้นที่หัวใจของเมฆบ้าง
กระนั้นเขาก็ยังอยากจะทำมันต่อไป เพราะได้เริ่มพยายามมาถึงขนาดนี้แล้ว และถ้าสุดท้ายทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม เขาก็จะไม่เสียใจที่ได้ทุ่มเท ทุ่มหัวใจให้ไปทั้งดวง
“พี่เมฆเล็บยาวนี่ ถ้าพรวดดินต้นไม้ ดินต้องเข้าไปติดในซอกเล็บแน่ๆ ผมตัดให้นะครับ” หลังจากที่ก้มหน้าเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆคนตัวเล็กก็เอ่ยขึ้น พร้อมทั้งเงยหน้าสบตา ดวงตาโตๆฉายแววอ้อนวอนเสียจนเมฆลืมคำปฏิเสธ
“รอเดี๋ยว”
ร่างสูงเดินเข้าไปในตัวบ้านแล้วหยิบกรรไกรตัดเล็บออกมาให้ ก่อนจะขยับเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆ แล้วยื่นมือส่งให้มือเล็กของจงรักประคองไว้ ตาคมมองเสี้ยวหน้าที่ก้มต่ำของผู้ที่เล็มเล็บให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจงรักจะทำอะไรต่อไป หรือคิดอะไรอยู่กันแน่ เคยมีคนมาแอบชอบเขาอยู่เหมือนกันเมื่อตอนเรียน ทว่าไม่มีใครคนไหนที่เป็นแบบเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเขาเพิ่งเจ็บเพราะความรักมา มันเลยทำให้เขาเสียศูนย์จนตั้งรับไม่ทันทั้งที่เคยเป็นคนที่ไม่รับใครเข้ามาง่ายๆ แต่ตอนนี้กลับแวกทุกกฏเกณฑ์เพื่อทำตามคำขอร้องของจงรัก
อาจเป็นเพราะขนตายาวที่กระพริบเหมือนปีกผีเสื้อคอยสะกดจิต หรืออาจเป็นเพราะทุกครั้งที่แก้วตากลมใสจ้องมองมาที่เขาข้างในนั้นมีที่เขาคนเดียวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไรเมฆาก็ไม่อาจหาคำตอบได้เลย ว่าทำไมเขาถึงสนใจเด็กคนนี้นัก ทั้งที่ยังคงเห็นภาพหนึ่งนทีอยู่ในใจ
“เจ็บไหมครับ” เสียงห้าวถามขึ้นเมื่อคิดว่าตัวเองเผลอตัดกินเนื้อเข้าไปนิดหน่อย
“ไม่หรอก”
“เหรอครับ ผมคิดว่าโดนเนื้อเสียอีก”
“ไม่โดน ขยับเข้าไปอีกนิดก็ไม่น่าเจ็บ” เมฆาบอกเมื่อก้มลงมาสำเร็จเล็บนิ้วนั้น
“อ๋อครับ”
“นี่จงรัก”
“ครับ?” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามองหน้าคนที่เรียก
“แล้วนายล่ะเจ็บไหม ถ้าต้องขยับเข้ามากใกล้กว่านี้จะเจ็บมากขึ้นหรือเปล่า”
ต่างคนต่างรู้ว่าประโยคที่เมฆาพูดขึ้นมาหมายความว่าอย่างไร จงรักเม้มปากแน่น หลุบตาลงต่ำแล้วตัดเล็บให้ต่อ รอจนเสร็จครบทุกนิ้วเขาก็ปัดเศษเล็บทิ้ง คนตัวโตเกือบจะคิดว่าคงไม่ได้คำตอบแล้ว ทว่าจงรักกลับเอ่ยมันออกมาในรถระหว่างทางกลับบ้านขณะที่เมฆามาส่ง
“พี่เมฆ พี่รู้ไหม ตอนที่ผมรู้ตัวว่ารักพี่ข้างเดียวน่ะมันก็เจ็บนะ ถ้าตอนนี้จะต้องเจ็บมากขึ้นอีกสักหน่อยแล้วได้อยู่ข้างๆพี่ ผมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
มาแล้วค่ะมาแล้ววววว >O<
รอบนี้มาช้ากว่าที่กำหนดไว้ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้รอค่ะ
เข้ามาอ่านคอมเม้นส่วนใหญ่จะชื่นชอบเฮียวินกันเยอะเลย
ไม่ต้องกลัวค่ะเฮียแกมีคู่แน่นอน แต่ตอนนี้เนื้อคู่เฮียเขายังไม่เกิด 555555
เอาเป็นว่ามาเอาใจช่วยจงรักกันก่อนนะคะ
ขอบคุณที่ติดตาม เจอกันตอนหน้าเร็วๆ นี้ค่ะ
pungjungza
[07/08/2557 ,11:57]