พอเมฆาหายลับตาไปแล้วจงรักจึงค่อยถอนหายใจออกมา มันเกิดคำถามขึ้นในสมองว่า ทำไมแม้พยายามคิดในแง่ดีแล้วแต่ในหัวใจถึงปวดหน่วงนักก็ไม่รู้
‘ถ้าเคยเห็นกันมาก่อน คงรู้ใช่ไหมว่าตอนนั้น พี่เมฆกับฉันรักกันแค่ไหน’รักกันมากแค่ไหน ทำไมจงรักจะไมรู้ ก็ตอนนั้นทุกการกระทำมันอยู่ในสายตาของเขาทั้งนั้นนี่นา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเมา แต่ประโยคแบบนั้นให้มองอย่างไรก็ดูจงใจพูดให้เขาได้คิด ย้ำให้เขาสงสัย สงสัยในความรู้สึกของคนสองคนที่มีต่อกัน จงรักรู้ว่าเมฆาชัดเจนกับความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่ ณ ขณะนี้ แต่การที่หนึ่งนทีพูดออกมามันก็ทำให้เขากลัวว่าอีกฝ่ายพร้อมจะกลับมารื้อฟื้น ถ้าถึงเวลานั้น พี่เมฆจะยังชัดเจนอยู่ไหม แล้วถ้าไม่ ตัวของจงรักเองจะปล่อยมือจากรักครั้งนี้ได้อย่างที่เคยสัญญาจริงๆหรือเปล่า
เพียงแค่คิดว่าจะเกิดก็กลัวไปหมด เพียงแค่เห็นเขาอยู่ด้วยกันแม้ในฐานะคนเคยรักจงรักก็แทบทนไม่ไหว ความรักที่ถลำลึกทำให้เขาเป็นได้ถึงเพียงนี้ ฟุ้งซ่าน และเกิดความคิดย้อนแย้งในสมองจนไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิดเดียว
คิดวุ่นวายโน้นนี่อยู่เป็นนาน กระทั่งรู้ตัวอีกทีคนที่หายเข้าไปในห้องน้ำก็มาซุกตัวอยู่บนที่นอนพร้อมทั้งปิดไฟเรียบร้อย จงรักนอนหันหลังให้ร่างสูงจึงไม่รู้ว่าเมฆายกหัวขึ้นมองตนในความมืดด้วยสายตาอย่างไร รู้สึกแค่แรงเคลื่อนไหวกับสัมผัสของลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดกระหม่อมเท่านั้น
“หลับแล้วเหรอรัก”
“...” ทั้งที่ไม่ได้หลับ แต่จงรักก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องแกล้งนอนนิ่งเงียบ
“ฝันดีนะ”
เสียงบอกฝันดีเบาๆมาพร้อมกับจุมพิตอุ่นๆที่แก้มขวา เมื่อเมฆาผละไปไม่กวนใจคนแกล้งหลับ เป็นจงรักเองที่พลิกกายกลับไปหา หนุ่มตัวเล็กตวัดแขนกอดคนตัวสูงจากทางด้านหลังแล้วซุกหน้าไปกับแผ่นหลังกว้าง แขนที่กอดนั้นรัดแน่นราวกับโหยหาเสียจนเมฆารู้สึกได้ ร่างสูงจึงแกะแขนน้องออกแล้วจับให้ยกขึ้น ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้า
“เป็นอะไรรัก”
“ขอจูบก่อนได้ไหมครับ”
เวลาที่มีคำอ้อนขอทำนองนี้ เมฆาสามารถฟันธงจากประสบการณ์ที่ผ่านมาได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าไม่ได้อยากออดอ้อนเพราะอารมณ์หมั่นเขี้ยว จงรักก็ต้องมีอะไรอยู่ในใจเป็นแน่ และในกรณีนี้ เมฆาคิดว่าเป็นเหตุผลที่สอง
“ได้สิ”
มือเรียวประคองแก้มสองข้างของคนตัวสูงเอาไว้ ก่อนจะขยับขึ้นไปกดจูบริมฝีปากของเมฆาด้วยตนเอง ในทีแรกคนหน้าดุก็ปล่อยให้น้องทำตามที่ตัวเองต้องการ แล้วตั้งใจว่าจะรอพูดกันหลังจากจูบเสร็จ ทว่ารสจูบไม่ไร้เดียงสาที่เขาได้รับจากคนรักตัวเล็กก็ทำให้อารมณ์ที่ควรจะควบคุมเอาไว้เตลิดเปิดเปิง ยิ่งเมื่อริมฝีปากหวานล้ำถูกปล่อยให้เป็นอิสระ จงรักก็เอื้อนเอ่ยบางสิ่งออกมาด้วยน้ำเสียงและแววตาเว้าวอนจนทำให้คนฟังปฏิเสธไม่ได้
“เรา...ทำได้ไหมครับ”หลังจากได้เริ่มแล้ว เจ้าคนที่เริ่มก็ไม่ได้นอนทอดกายระทดระทวยไร้เรี่ยวแรงให้เขาบังคับพลิกซ้ายพลิกขวาเช่นทุกที หากคราวนี้กลับขยับกายขึ้นตอบรับอย่างดีโดยที่ไม่ต้องร้องขอ เมฆาเข้าใจว่าจงรักก็เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป มีอารมณ์และความใคร่ไม่ต่างกับเขานัก แต่เพราะน้องค่อนข้างเหนียมอายในเรื่องอย่างว่า มันทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าที่จงรักเป็นแบบนี้ไม่ปรกติเท่าไหร่ ตั้งใจว่าหากไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก หลังจากจบบทรักคงต้องจับเจ้าตัวดีมานั่งเคลียร์กันสักทีว่ามีอะไรในใจกันแน่
“พี่เมฆ...อื้อ”
“ตรงนี้เหรอ” เพราะโดนจุดไวต่อความรู้สึกทำให้จงรักครางเสียงหวานแล้วบีบกายรัดตัวตนของร่างสูงแน่นขึ้น
“อ๊ะ!...ตรงนั้น”
พอรู้จุดแล้ว ร่างสูงก็กระหน่ำย้ำตัวตนลงมาจนคนรองรับตัวโยกคลอน จงรักยกมือขึ้นกอดเหนี่ยวรั้งลำคอกับไหล่หนาเอาไว้ เหงื่อกาฬไหลรวมกันจนกายชื้นแม้จะอยู่ในห้องที่เปิดแอร์ 20 องศา ริมฝีปากที่ผละจากการจูบปล่อยเสียงครวญครางออกมาอย่างห้ามไม่ได้เนื่องจากบทรักครั้งนี้ร้อนแรงเกินกว่าครั้งไหน และทุกครั้งที่ถูกกายสลักลึกลงไปมันเหมือนกับย้ำเตือนให้รู้ว่าตอนนี้พี่เมฆอยู่กับเขา
“...อ๊ะ!...พ..พี่เมฆ...พี่เมฆ”
“ว่าไงครับ” เมฆาส่งเสียงตอบหากแต่กายยังไม่หยุดขยับ
“รักไหม...อื้อ...”
“หืม...?”
เพราะจงรักส่งเสียงพูดหวะหวิวเคล้ากับการหอบหายใจ ทำให้เสียงที่เปล่งออกมาฟังไม่เป็นคำนัก คราวนี้คนตัวเล็กจึงหยัดกายขึ้นกระหวัดขารอบเอวสอบแล้วเกี่ยวแขนรอบคอเพื่อเหนี่ยวตัวขึ้นไปกระซิบชัดๆริมหู
“รักผม...หรือเปล่า”
เมฆาผละกลับมามองดวงตาคู่โตที่แม้จะมีแววยวนเย้าและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ แต่ลึกลงไปกลับฉายอารมณ์หม่นเศร้า เว้าวอน และหวงแหน คนหน้าดุจึงก้มลงบดจูบลึกซึ้งอยู่เป็นนาน จนคนถามเคลิ้มจึงผละออกมาสบตานิ่งแล้วตอบ
“รักสิ”
“รัก...จริงๆนะ”
“
รักคือรัก พี่ไม่เคยโกหก”
“รัก...รักพี่เมฆ”
คำรักหากยิ่งย้ำ ยิ่งถลำลึกจนยากถอดถอน เหมือนคำรักที่จงรักได้ยินจากเมฆามันก็ทำให้จงรักไม่อาจถอนใจไปได้ ถึงแม้มันอาจเป็นคำลวง แต่จงรักก็ยินดีหากเป็นคำรักซึ่งออกมาจากปากของคนที่รัก
หลังสมรภูมิบนเตียงสงบลง คนจุดชนวนสงครามก็ผลอยหลับไปทั้งๆที่กำลังยืนพิงอกเมฆาอยู่ในห้องน้ำ จนแล้วจนรอดเมฆาก็เป็นคนจัดการล้างตัวต่อให้เอง เรียบร้อยแล้วคนหน้าดุจึงอุ้มน้องออกมาสวมเสื้อผ้าแล้วพาเข้านอนเหมือนเด็กๆ หลังจากปิดไฟให้เหลือเพียงแสงที่สาดผ่านกระจกมาจากภายนอก เมฆาก็นอนมองหน้าน้องอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยไล้ลูกผมที่ปรกหน้าผาก เขาอยากจะคุย อยากจะถามว่าเจ้าตัวดีมีอะไรในใจ ไม่อยากให้หลับไปโดยยังติดค้างกันอยู่แบบนี้เลย
“ปรกติก็เป็นคนว่าง่ายนะ ทำไมกับเรื่องนี้เราถึงไม่เชื่อพี่หืม? ที่บอกว่ารักทำไมไม่เชื่อ คิดเข้าข้างตัวเองบ้างเถอะ” ว่าจบก็ก้มลงจูบหน้าผากมน ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆแล้วคว้าร่างเล็กมากอด จงรักไม่ใช่คนขาดความอบอุ่น แต่เมฆาอยากกอดให้น้องอุ่น เผื่อว่าเจ้าตัวจะได้ซึมซับเอาความรักความอบอุ่นของเขาไปโดยไม่สงสัยเสียที
บรรยากาศในยามเช้าอันควรจะสดชื่น อ่อนหวาน และอบอวลไปด้วยความรัก กลับต้องกลายเป็นเช้าที่เร่งรีบเนื่องจากเมฆาและจงรักต่างก็ตื่นสายทั้งคู่ อีกทั้งสภาพร่างกายของจงรักก็ไม่เอื้ออำนวยให้พร้อมโหมทำงานหนักนัก คงเพราะผลตกค้างจากสงครามเมื่อคืนเป็นแน่ จงรักได้แต่คิดแล้วรู้สึกสะเทิ้นอายกับความกล้าเกินลิมิตของตัวเองที่เกิดขึ้น เขาคงต้องควบคุมสติให้มากกว่านี้ ต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์ด้านลบกดความรู้สึกของตัวเองลงต่ำ จนหม่นหมองแล้วพาลทำให้พี่เมฆไม่สบายใจไปด้วย
“ทำอะไรกินหืม...?” ไม่ได้มีแต่เสียง ทว่าวันนี้คนหน้าดุมาพร้อมกับอ้อมแขนที่กอดตรงเอวของหนุ่มตัวเล็กเอาไว้อย่างถึงเนื้อถึงตัว
“ข้าวต้มไก่สับครับ เสร็จแล้วล่ะ แต่ผมกำลังจะตักเอาไปให้หนึ่งที่ห้อง ส่วนของเราผมเอาใส่ซุปเปอร์แวร์ไปกินบนรถ เพราะวันนี้วันจันทร์ออกจากบ้านสายกว่านี้คงไม่ทันแน่ครับ”
“จริงสิ วันนี้รักต้องเข้าบริษัทของคุณไอนี่นะ” เมฆาว่าเมื่อนึกขึ้นได้
“ครับ วันนี้ต้องเริ่มไปจัดสถานที่ให้งานของคุณณธิปกับคุณเกษแล้ว”
“อืม” จงรักมักจะเล่าเรื่องที่ทำงานให้เมฆาฟังอยู่เป็นประจำ ชายหนุ่มจึงรู้ว่างานไหนจัดให้ใคร ยิ่งวันนี้น้องไปทำงานให้คู่อริคนสำคัญ มีหรือเมฆาจะจำไม่ได้
“ก่อนลงมาผมเอากุญแจให้คุณหนึ่งไว้ เผื่อเขาจะกลับบ้านตอนที่เรายังไม่กลับ เขาจะได้ปิดบ้านให้เราได้” ตอนที่อาบน้ำเเต่งตัวเสร็จจงรักเปิดเข้าไปดูอาการของหนึ่งนที เขาจึงพบว่าอดีตคนรักของเมฆาเป็นไข้เพราะแผลระบมทำให้ไม่สามารถตื่นขึ้นมาขับรถกลับบ้านแต่เช้าได้ จงรักจึงบอกให้หนึ่งนทีพักที่นี่ก่อนจนกว่าจะดีขึ้นค่อยกลับ
“แล้วทำไมไม่กลับเสียตอนนี้ ให้กุญแจเขาไปแล้วเราจะเอาคืนจากเขาตอนไหน”
“ก็เขาเป็นไข้ ลุกตอนนี้ไม่ไหวนี่ครับ เรื่องกุญแจเดี๋ยวผมค่อยนัดเอาคืนวันหลังก็ได้” ใช่ว่าจงรักจะไม่ลำบากใจหากต้องนัดเจอกันอีกครั้ง แต่จะให้ใจไม้ไส้ระกำกับคนป่วยเขาคงทำไม่ได้
“ตามใจแล้วกัน ว่าแต่เราน่ะ ไหวแน่เหรอ วันนี้หน้าซีดๆนะ” พอปิดประเด็นเรื่องหนึ่งนที เมฆาก็ถามถึงอาการของน้องด้วยความเป็นห่วง แม้เช้านี้จงรักจะยิ้มสดใสดีแต่หน้าตากลับซีดเซียว จงรักวางชามข้าวต้มเอาไว้ข้างเตา ก่อนจะหันกลับมาหาคนรักแล้วว่า
“ผมโอเคครับ แค่เพลียนิดๆเมื่อยตัวหน่อยๆ แต่พี่เมฆไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมทำงานได้สบายอยู่แล้ว” หนุ่มตัวเล็กบอกพลางคลี่ยิ้มหวาน
“ไม่ห่วงได้ไง สีหน้าเราไม่ค่อยดีเลย เดี๋ยวกินยาเอาไว้ด้วยนะ พี่ขอโทษที่หนักมือไปหน่อย คราวหลังจะยั้งตัวเองให้มากกว่านี้”
“ไม่ต้องหรอกครับ พี่เมฆทำตามใจเถอะ ผม...ไม่เป็นไร”
จงรักก้มหน้าก้มตามองอยู่แค่ระดับอกของเมฆา พยายามจัดการมือไม้ที่พันกันยุ่งให้เป็นระเบียบ โดยการจัดปกเสื้อกับเนคไทของคนรักให้เข้าที่ ทว่าในสายตาของเมฆา การที่น้องพูดว่าไม่เป็นไรพร้อมกับอนุญาตให้เขาเอาแต่ใจได้ด้วยแก้มแดงปลั่งแบบนี้ มันน่าหมั่นเขี้ยวจนไม่อยากปล่อยให้เจ้าตัวไปไหน อยากจะกักกอดไว้แล้วฟัดจนแก้มช้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอด
บางทีเมฆาก็สงสัยว่าจงรักทำอย่างไร ใช้เวทมนต์บทไหน ถึงทำให้เขาเปลี่ยนจากคนที่เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์กลายเป็นคนคลั่งรักเช่นนี้ ปัญหาคาใจของเมื่อคืนที่ตั้งใจยกยอดมาถามตอนเช้าเป็นอันถูกลืมไปเสียสิ้น เพราะมัวแต่หลงจ้องคนน่ารักจนเพลิน ขณะที่คนหน้าดุกำลังเชยคางมนขึ้นมาแล้วก้มหน้าเข้าไปใกล้ เสียงของใครอีกคนที่อยู่ในบ้านด้วย ณ ขณะนี้ก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“ขอโทษที่กวน แต่มียาแก้ปวดบ้างไหม” เมื่อได้ยินเสียงของหนึ่งนที จงรักก็ผลักเมฆาออกทันที
“ม...มีครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้” พูดจบหนุ่มตัวเล็กก็รีบเดินออกจากครัวไปเอายา ทิ้งให้เมฆายืนอยู่กับหนึ่งนทีในห้องครัว
“ดูรักกันดีนะครับ”
"อืม”
“ยอมรับง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอครับ”
“อืม” เมฆาตอบรับเรียบๆอีกครั้ง จากนั้นจึงตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง ทว่าขณะสวนกับหนุ่มร่างบาง คนตัวสูงก็ถูกกระชากใหัหันกลับไปแล้วถูกกอดเอวไว้แน่น
“หนึ่ง! คิดว่ากำลังทำอะไรอยู่!” เมฆาถามเสียงห้วน พยายามแกะแขนของหนึ่งนทีออก แต่อดีตคนรักของเขาก็โถมตัวกอดแน่นเอวหน้าซุกกับอกแกร่งไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“หนึ่งไม่ให้พี่เดินหนีหนึ่งอีกแล้ว” หนึ่งนทีว่า
“ปล่อยเดี๋ยวนี้”
“ไม่ปล่อย”
“บอกให้ปล่อย อย่าให้ต้องทำรุนแรง”
แม้หน้าตาจะดูว่าเป็นคนดุดันหรือเหี้ยมเกรียมอย่างไร ทว่าเมฆาก็ไม่เคยทำร้ายใครก่อน ซ้ำกับคนที่อ่อนแอกว่าเช่นหนึ่งนที แต่งานนี้ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆคงต้องฝืนด้วยกำลัง เพราะเขาไม่อยากให้จงรักเข้ามาเห็นตัวเองกับคนรักเก่าในสภาพนี้
“พี่เมฆ อย่าใจร้ายกับหนึ่งนักจะได้ไหม หนึ่งก็ขอโทษแล้วไง พี่จะให้หนึ่งทำอะไรก็บอกมาสิ หนึ่งยินดีทำทุกอย่าง ขอแค่เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม” หนึ่งนทีอ้อนวอนและตัดพ้อไปในข้อความเดียวกัน ทั้งยังแสร้งบีบน้ำตาเพื่อให้น่าสงสาร เนื่องจากคิดว่าเมฆาต้องยอมอ่อนให้แน่ๆ
“มันไม่มีประโยชน์ เมื่อคืนเราคุยกันรู้เรื่องไม่ใช่หรือไง ยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”
“พี่เมฆ...”
เมื่อคืนหลังจากที่จงรักทำแผลให้หนึ่งนทีเสร็จแล้วออกไปจากห้อง หนึ่งนทีก็พยายามเกลี่ยกล่อมให้เมฆากลับมาคืนดีกับตนเอง ทว่าสุดท้ายเมฆาก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่น แต่หนึ่งนทีก็ไม่คิดว่าเมฆาจะปฏิเสธไปเสียทุกครั้งเพราะยังเชื่อว่าคนหน้าดุต้องเหลือเยื่อใยให้ตัวเองบ้าง แต่ที่ปฏิเสธเพียงเพราะยังโกรธอีกทั้งยังมีจงรักคอยขวางหูขวางตาอยู่ใกล้ๆ หนึ่งนทีไม่เชื่อว่ากับจงรักที่เพิ่งคบกันมาได้ไม่นาน เมฆาจะผูกพันเท่ากับตัวเองที่คบมานานกว่า
“ปล่อยได้แล้วหนึ่ง พี่ไม่อยากให้จงรักเข้ามาเจอ เดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิด”
“ห่วงกันมากเหรอครับ” หนึ่งนทีถามประชด
“ห่วงสิ” แต่เมฆากลับตอบจริงจัง
“พี่เมฆ พี่จำได้ไหม พี่เคยบอกว่ารักหนึ่งคนเดียว ขนาดวันที่หนึ่งทิ้งพี่ไป พี่ยังบอกว่าจะรอ แล้วทำไมพี่ถึงผิดคำพูดล่ะ” เมื่อขอร้องธรรมดาไม่ได้ผล หนึ่งนทีจึงยกสัญญาที่เคยให้กันไว้ขึ้นมาพูดเพื่อบีบบังคับ “บ้านหลังนี้พี่ก็ซื้อเพราะอยากจะชวนหนึ่งมาสร้างครอบครัวอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ หรือความรักที่พี่เคยมี พี่เมฆลืมไปหมดแล้ว”
“ไม่ลืมหรอก จะไปลืมได้ยังไง…” เมฆายังพูดไม่จบ หนึ่งนทีกลับครางออกมาก่อนด้วยความยินดี
“พี่เมฆ…พี่ไม่ได้ลืมหนึ่งจริงๆด้วย”
ในที่สุดหนึ่งนทีก็ยิ้มเพราะคำพูดของเมฆาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ตัดสินใจกลับมาง้อขอคืนดี แต่เมื่อมองไปด้านหลังคนตัวสูงแล้วเห็นว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ หนึ่งนทีจึงส่งรอยยิ้มนั้นเผื่อแผ่ไปให้ใครคนนั้นด้วย
รอยยิ้มที่บ่งบอกว่าใครชนะในเกมนี้“นี่ยาที่คุณต้องการครับ” เสียงของจงรักทำให้เมฆาใจกระตุก ร่างสูงผินหน้ากลับมามอง มือหนาก็พยายามดันให้หนึ่งนทีเลิกเกาะกอด
“รัก! เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นานแล้วล่ะครับ” จงรักยิ้มขื่น ดวงตาคู่คมเสมองไปด้านข้าง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตากับเมฆา ก่อนจะว่าต่อด้วยเสียงเบาหวิว “เอ่อ...ขอโทษที่เข้ามากวนครับ”
“รัก...ฟังพี่ก่อนนะ”
“พี่เมฆไม่ต้องรีบหรอก ถึงจะยังไงผมก็รอฟังทุกอย่างที่พี่จะบอกอยู่แล้ว พี่เมฆกับคุณหนึ่งคุยกันต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมไปรอที่รถ” พูดจบจงรักก็เดินเลี่ยงออกมาจากสถานการณ์นั้นทันที เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมาอย่างที่ตัวเองคิดไว้ แต่กลับรู้สึกว่าวันนี้ระยะทางจากห้องครัวไปถึงรถมันช่างยาวไกลเหลือเกิน
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
ตอนใหม่มาแล้วค่าาาา
โอเค เรามาเคลียร์กันเรื่องสงสารหนึ่งนทีก่อนเนอะ
จากที่เขียนไปว่าสงสารเขาใน Talk ตอนที่แล้ว
ความหมายของเราคือ สงสารที่เขาเป็นคนแบบนั้น
สงสารที่เขาคิดได้แค่นั้น อะไรแบบนี้ ออกแนวประชดประชันค่ะ 5555
ส่วนต่อมาก็ว่าด้วยเรื่องของตอนนี้ล้วนๆ
เอาจงรักก่อนเลย จงรักจะเป็นตัวละครที่มีความคิดซับซ้อนและอ่อนไหวง่าย
ย้อนแย้งในตัวเองพอควรเลยนะ แต่เอาจริงๆ น้องก็คนธรรมดาที่มีหวั่นไหว
เป็นใครก็คงคิดมากที่แฟนเก่าของตัวเองกลับมาอ่ะเนอะ
แต่ด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างคิดมากและขี้สงสาร ทำให้ความคิดในใจออกมาอย่างที่เห็น
เมฆาใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เขาเป็นคนชัดเจน เป็นพระเอกที่ชัดเจนในตัวเองที่สุด
เอาไว้รอดูว่าเขาจะจัดการกับเรื่องวุ่นๆเพราะอดีตของเขาอย่างไร จะว่างานหนักไหม ก็...นิดนึง
จบที่หนึ่งนทีเป็นคนสุดท้าย
เขาเป็นคนที่ทะเยอทะยานมากนะ พยายามแสวงหาโอกาสสำหรับตัวเองทุกทาง
แม้จะต้องเหยียบย่ำความรู้สึกใครบ้างเขาก็ทำ เป็นตัวละครที่เห็นๆกันอยู่ว่าไม่น่ารักเท่าไหร่
แต่เอาเถอะ มันต้องมีวันที่เขาค่อยๆเรียนรู้ว่าทุกอย่างไม่ได้หมุนรอบตัวเองเสมอไป
ซึ่งคงอีกไม่กี่ตอนนี้ แต่ตอนนี้คงต้องเตรียมตัวหลบเปลือกทุเรียนก่อน 555555
ตอนนี้ยาวมาก สังเกตจากสองรีพลาย
ตอนหน้าจะพยายามมาก่อนสงกรานต์ ถ้าไม่ทันก็หลังสงกรานค์เลยค่ะ
ยังไงก็ช่วยรอด้วยนะคะ
ละอองฝน
[03/04/2558 ,23:36]