“…” จงรักดึงมือที่ถูกกุมไว้ออกมาได้สำเร็จ แต่ไม่ได้ดึงออกมาเพราะน้อยใจเหมือนตอนแรกอีกแล้ว ทว่าดึงออกมาเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดจนมองแทบไม่เห็นหน้าเมฆาต่างหาก “ผมขอโทษ…อึก…ขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก แต่บอกหน่อยได้ไหม ต้องให้ทำยังไงถึงจะยอมเชื่อ บอกได้หรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบที่เมฆาต้องการ สิ่งที่ได้รับมีเพียงเสียงสะอื้นกับหยดน้ำตาที่คนหน้าดุไม่อยากเห็นเลยสักนิด เขาจนปัญญาไม่รู้ต้องทำอย่างไร กลัวว่าหากเข้าไปปลอบจงรักจะยอมเชื่อหรือเปล่าว่าปลอบจากใจจริงๆ มิใช่ทำเพียงเพราะหน้าที่ เมฆาคิดว่าบางทีเขาควรเว้นพื้นที่ให้จงรักได้คิด ได้ตริตรองดูว่าควรเชื่อในความสัมพันธ์นี้แค่ไหน มันอาจดีกว่านี้จริงๆหากว่าได้กลับมาคุยกันอีกครั้งเมื่ออารมณ์คงที่แล้ว
หลังจากต่างคนต่างเงียบเกือบครึ่งชั่วโมง เสียงโทรศัพท์ของจงรักก็ดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณเตือนให้ทั้งคู่รู้ว่าควรกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว
“ครับพี่ไอ”
‘รักอยู่ไหนแล้ว จะไปพร้อมพี่หรือไปเจอกันที่โรงแรมเลย ถ้าไปพร้อมกันพี่จะได้รอ’
“เจอกันที่โรงแรมเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวรักไปเอารถที่ร้านก่อน มีอุปกรณ์ที่ต้องขนไปเพิ่มจากเมื่อวานด้วย รักน่าจะเข้าไปสายนิดหน่อย ขอโทษที่ไม่ได้โทรไปบอกก่อนนะครับ”
‘โอเค’ คุณไอรับคำโดยดี แต่คนช่างสังเกตก็ถามบางอย่างขึ้นมาก่อนวางสาย ‘เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงฟังดูไม่ดีเลย’
“เอ่อ…คัดจมูกนิดหน่อยน่ะครับ ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
‘ถ้าอย่างนั้นก็กินยามาด้วยนะ สองวันนี้เราคงต้องลุยงานหนักกันหน่อย ถ้าป่วยขึ้นมาเมฆเอาพี่ตายเลย’ คนปลายสายเอ่ยออกมาโดยที่ไม่รู้สถานการณ์ นั่นยิ่งทำให้จงรักกระอักกระอ่วนพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม
“ครับ” จงรักตอบรับก่อนกดวางสาย
“ตกลงเปลี่ยนเป็นไปร้านใช่ไหม” เมฆาเอ่ยถามหลังจากน้องวางสายเรียบร้อยแล้ว
“ครับ”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่พูดโต้ตอบกัน หลังจากนั้นตลอดทางไปทำงานก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาอีกเลย เมฆานั้นเอาแต่ขับรถ ดวงตาคมดุมองตรงไปบนถนนอย่างตั้งใจราวกับมือใหม่หัดขับ ส่วนจงรักก็นั่งก้มหน้าบ้าง มองออกไปนอกหน้าต่างบ้าง ดีที่ตอนนี้หยุดร้องไห้ได้แล้ว แต่ในหัวก็ยังตื้อๆคิดหาทางจัดการสถานการณ์ที่กำลังประสบไม่ได้ กระทั่งจอดรถเทียบที่หน้าร้านหอมไกลเรียบร้อย เมฆาจึงหันมาเอ่ยเรียบๆ
“ตอนเย็นให้พี่ไปรับที่โรงแรมหรือมารอที่นี่”
“เย็นนี้พี่เมฆกลับบ้านก่อนเลยดีกว่าครับ ผมน่าจะต้องทำงานโต้รุ่ง ไม่ก็เลิกดึกมากเพราะต้องจัดสถานที่ให้เสร็จ”
“ไม่กลับบ้านเหรอ”
“ผมจะไปค้างกับพี่ไอครับ”
ก่อนจะเกิดเรื่องแล้วทะเลาะกันน้องไม่เคยบอกว่าจะไปค้างที่ไหน มีแต่บอกว่างานที่จะไปทำวันนี้เป็นงานใหญ่ คงต้องเหนื่อยกว่าเดิมสักหน่อย ทว่าหลังจากมีปากเสียงกันเมื่อครู่ จงรักกลับบอกว่าจะไปค้างที่อื่น เมฆารู้สึกว่านี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเสียเลย อยากจะคัดค้านไม่ให้ไป อยากจะมารอรับกลับเช่นทุกที แต่พอนึกขึ้นได้ว่าหากการไปค้างกับคุณไอคือการเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเขา เมฆาก็ควรปล่อยให้น้องได้ใช้เวลาคิดทบทวนและอยู่กับตัวเองบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ถ้าจะกลับบ้านก็โทรบอกแล้วกัน พี่จะได้มารับ”
“ครับ” พอรับคำแล้วจงรักก็ลงจากรถทันที
เมฆามองตามน้องไปโดยที่ภายในใจเกิดคำถามว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ปล่อยให้เรื่องมันค้างคากว่าเดิมเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงคำกล่าวหาว่าโกหกที่จงรักพูดก็เป็นแรงผลักดันทำให้คนหน้าดุขับรถออกจากร้านหอมไกลเพื่อตรงไปทำงานทันที
หลังจากที่เดินเข้ามาในร้านแล้ว จงรักก็แอบมองคนตัวสูงผ่านกระจกใสหน้าร้าน โดยมีซอกมุมเสาระหว่างกระจกบานใหญ่สองบานบังตัวไว้ รถของเมฆาจอดแช่อยู่ไม่นานสุดท้ายก็ออกไป จงรักมองตามจนลับตาก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
ในตอนแรกเขากลัวเหลือเกินว่าจะถูกทิ้ง ไม่อยากยอมรับและฟังความจริงในทันที ทว่าสิ่งที่เมฆาตอบกลับมา ทั้งยังกล่าวหาว่าเขาไม่เคยเชื่อใจเจ้าตัวเลย มันทำให้จงรักรู้สึกผิดและเสียใจยิ่งกว่าความกลัวที่จะถูกทิ้งด้วยซ้ำ นึกถึงยามแววตากรุ่นโกรธและเสียใจจ้องมองมาจงรักก็ยิ่งอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ
เพราะไม่รู้จะจัดการกับตัวเองอย่างไรดี และไม่เคยคิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายโกรธ จงรักจึงหนีปัญหาโดยการบอกไปว่าจะนอนค้างกับคุณไอ ทั้งที่ตอนแรกไม่มีแผนนี้อยู่ในหัวด้วยซ้ำ เขาไม่ได้อยากห่าง ไม่ได้อยากทิ้งไปทั้งที่ตกอยู่ในสภาพนี้ แต่ก็รู้สึกสับสนจนไม่อยากเผชิญหน้าเหมือนกัน
จงรักระบายลมหายใจออกมาอีกครั้งก่อนค่อยๆเดินเชื่องช้าเข้าไปหลังร้านแล้วจะยกอุปกรณ์ที่ต้องใช้ไปที่รถ ซึ่งจอดอยู่ข้างร้าน โชคดีที่วันนี้หอมไกลปิดบริการเนื่องจากต้องเกณฑ์ทุกคนไปช่วยงานที่โรงแรม ถ้าร้านไม่ปิดพี่ๆคงได้เห็นจงรักในสภาพตาบวมเป่งเพราะร้องไห้มาหมาดๆเป็นแน่ จากที่นี่ไปถึงโรงแรมแถบสาธรต้องใช้เวลาพอควร ระหว่างนี้จงรักต้องรีบปรับอารมณ์และหาอะไรเย็นๆมาประคบตาเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น
ตอนที่เจ้าของร้านดอกไม้หนุ่มมาถึงสถานที่จัดงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการทุกคนแทบจะหันมองมาเป็นตาเดียว ไม่ใช่เพราะเจ้าตัวมาสายกว่าเวลาที่บอกไว้ แต่เพราะจงรักที่มีประกายสดใสเป็นรองเพียงแค่คุณไอคนเดียว วันนี้กลับดูหม่นหมองจนกลัวว่าดอกไม้ที่เอามาจัดในงานจะพากับเหี่ยวเฉาไปด้วย เสียงทักทายเนือยๆกับตาแดงๆทำให้อุปทานไปได้ว่าจงรักน่าจะเจอเรื่องแย่ๆมาเป็นแน่
กระทั่งผ่านไปจนบ่ายคล้อย ในขณะที่ทุกคนผลัดกันไปพักจนครบ ก็ยังไม่มีใครเห็นว่าจงรักจะไปพักกินข้าวกินปลาบ้าง เอาแต่ทำงานงุดๆไม่พูดไม่จาจนใครๆก็ไม่กล้าเข้าหา
ทว่าในที่สุดเทวดาหน้าสวยประจำ I PROMISE TOWER ก็เป็นคนที่เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ ทุกคนต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไปตามๆกันเมื่อเห็นคุณไอเดินจูงมือพาจงรักออกจากห้องจัดงานไป
ความจริงไอสังเกตเห็นความผิดปรกติของน้องตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว ทีแรกเข้าใจว่าจงรักไม่สบายอย่างที่บอกในโทรศัพท์ หากแต่อาการซึมเซาอย่างที่เป็นอยู่ตลอดทั้งวันทำให้ไอรู้ว่าคงไม่ใช่เพราะไม่สบายเพียงอย่างเดียว ทันทีที่พาจงรักมานั่งในที่ปลอดจากสายตาคน ไอก็ผลักอาหารกลางวันหนึ่งกล่องกับน้ำเย็นแล้วพยักพเยิดให้ลงมือกิน
จงรักทำหน้าลำบากใจนิดๆเนื่องจากไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่ แต่ก็ยอมกินเพราะปฏิเสธไม่ได้ ช่วงเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีเป็นช่วงที่คนหนึ่งนั่งมอง อีกคนนั่งกินจัดการอาหารเงียบๆ กระทั่งข้าวพร่องไปครึ่งกล่องจงรักก็หยุดมือแล้วดื่มน้ำ
“รักมียาหรือเปล่า เมื่อกี้รีบไปหน่อยไม่ได้หยิบมาด้วยใช่ไหม อยู่ในกระเป๋าหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ให้เด็กหยิบมาให้” ไอถามเสียงอ่อน
“ยาอะไรครับ?” จงรักทำหน้าฉงน
“ก็เมื่อเช้าเราบอกพี่ว่าไม่สบายไม่ใช่เหรอ” ไอถามพาซื่อ ดวงตาคู่รีสวยมองจงรักไม่ได้คาดคั้นแต่คนถูกมองกลับไม่อาจแกล้งตอบเลี่ยงๆหรือโกหกออกไปได้
“อ่อ…เอ่อ คือว่าความจริงรักไม่ได้ไม่สบายหรอกครับ ดังนั้นก็เลยไม่จำเป็นต้องมียา” จงรักสารภาพอ้อมแอ้ม
“อย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ ไม่ป่วยย่อมดีกว่าอยู่แล้วนี่เนอะ” ไอว่ายิ้มๆ
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ถามได้ไหมว่ารักเป็นอะไร เห็นดูไม่ดีตั้งแต่เช้า พี่เป็นห่วง คนอื่นๆเองก็เป็นห่วงรักเหมือนกัน”
“…” มันเป็นเรื่องระหว่างเขากับเมฆาดังนั้นจงรักจึงไม่อยากให้ใครรู้ เพียงแต่ตอนนี้เขาอึดอัดจนอยากระบาย อยากจะปรึกษาใครสักคนว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้พี่ฟังได้นะ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มากแต่พี่ก็พร้อมจะรับฟังเสมอ บางครั้งปัญหาที่มองในมุมมองด้านเดียวก็ทำให้ไม่สามารถหาทางออกให้มันได้ แต่ถ้ามีมุมมองของคนที่ไว้ใจได้อีกสักคน บางทีอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
“คือรัก…”
“รักว่าพี่เป็นคนที่รักจะไว้ใจได้หรือเปล่าครับ” จงรักไม่ได้ยอมโอนอ่อนเพราะรอยยิ้มจริงใจที่มองทีไรก็รู้สึกแสบตานั่น แต่ที่ยอมก็เพราะจงรักรู้ว่าพี่ชายคนนี้ไว้ใจได้ยิ่งกว่าใคร
“ครับ พี่ไอไว้ใจได้”
“ดังนั้น…”
“รักกับพี่เมฆทะเลาะกันครับ”
พอได้เปิดปากจงรักก็เริ่มเล่าทุกอย่าง ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนตั้งแต่ต้น เรื่องที่หนึ่งนทีกลับมา เรื่องความไม่มั่นใจของจงรัก และเรื่องที่เมฆากล่าวหาว่าจงรักไม่เชื่อใจ ไอนั่งฟังจงรักเงียบๆ หนุ่มหน้าสวยเป็นผู้ฟังที่ดีโดยการไม่ถามแทรกหรือขัดจังหวะการเล่าของน้องเลยสักนิด กระทั่งจงรักเล่าจบไอจึงเป็นฝ่ายพูดบ้าง
“พี่ขอพูดอะไรสักหน่อยได้ไหม”
“ครับ” จงรักพยักหน้ารับ
“เรื่องของคนรักเก่าของเมฆน่ะพี่รู้ว่าเขาทำไม่ถูกและแย่มากๆที่กลับมาหาเมฆแบบนั้น เป็นพี่ก็คงไม่ชอบใจเอามากๆ เราวางตัวและปฏิบัติต่อเขาอย่างดีตรงนี้พี่ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะพี่รู้ว่ารักเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น แต่รักครับ รักบอกว่ารักรักเมฆมานาน กว่าจะได้ยืนอยู่ตรงนี้ก็ผ่านอะไรมาเยอะ ต่อไปนี้อย่างแรกที่รักต้องทำคือมั่นใจในตัวเอง และรู้จักเลือกปฏิบัติอย่างถูกคนและถูกวิธี พี่ไม่ได้เสี้ยมให้ไปรบรากับเขา แต่บางอย่างที่ควรปฏิเสธ เราก็ควรปฏิเสธบ้าง ไม่ใช่ว่าจะยอมเขาทุกอย่าง” ไอค่อยๆสอน
“ทำแบบนั้นได้ใช่ไหมครับ”
“ได้สิครับ” คำอนุญาตที่มาพร้อมกับยิ้มหวานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจทำให้จงรักพยักหน้าเข้าใจราวกับเด็กเล็กๆ
“รักจะทำครับ”
“ดีแล้วล่ะ” ไอว่าพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก “ส่วนอีกเรื่อง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากนะ ฟังพี่ให้ดี”
“ครับ”
“รักรู้ไหม คนรักกันต้องประกอบไปด้วยอะไรเป็นส่วนสำคัญ” ถามออกไปแบบนั้น แต่จงรักยังไม่ทันตอบไอก็ยิ้มอ่อนแล้วว่าต่อ “
นอกจากมีความรักความเห็นอกเห็นใจคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันแล้ว ความเข้าใจ ความซื่อสัตย์ และความเชื่อใจ สามอย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในองค์ประกอบของความรักในมุมมองของพี่ รักเป็นเด็กดี เป็นคนรักที่ดีมากๆ แต่รักยังขาดความเชื่อใจในตัวของเมฆอยู่”
“รัก…” จงรักถึงกับพูดไม่ออกเมื่อไอบอกออกมาตรงๆแบบนั้น
“พี่ไม่รู้ว่าเมฆเขาจะกลับไปหาคนรักเก่าของเขาจริงๆอย่างที่รักกลัวไหม ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเขาปฏิบัติกับรักดีอย่างไร แค่ไหน ทั้งหมดนี้มีแต่รักคนเดียวเท่านั้นที่รู้ แต่พี่อยากให้รักสร้างความเชื่อใจในตัวของเมฆขึ้นมา ถึงแม้วันนี้คำแนะนำของพี่อาจผิดพลาดถ้าหากเมฆเขากลับไปหาคนรักเก่า แต่ตัวรักเองจะไม่เสียใจที่ได้เชื่อเขาหมดใจแล้วจริงๆ ดีกว่าต้องจบกันไปเพราะไม่อาจไว้ใจกันได้ คิดกลับกันดูนะ เป็นเราจะเสียใจแค่ไหนถ้าบอกว่ารักแต่เมฆไม่เชื่อ พี่ว่าที่เขาทะเลาะกับเราเมื่อเช้าก็คงเป็นเพราะเขาเสียใจที่รักไม่เชื่อเขานั่นแหละ เมฆคงกำลังพยายามในแบบที่เขาเป็นอยู่ ซึ่งจากที่เล่าพี่ก็คิดว่าเขาชัดเจนมากแล้วนะ รักลองคิดดูให้ดีๆ”
“รักมันแย่จริงๆ พี่เมฆคงโกรธรักแล้วก็เสียใจมากแน่ๆ จะทำไงดีครับพี่ไอ…จะทำไงดี” จงรักร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ไอพูดนั้นจริงทุกกอย่าง เขาบอกว่ารัก อยากได้ความรัก แต่กลับไม่เคยยอมเชื่อใจเมฆาจริงๆเลยสักครั้ง
“ไม่ยากหรอกนะ เอาเป็นว่าพอเสร็จงาน รักก็กลับบ้าน จากนั้นก็ขอโทษเขาซะ” ไอว่า ก่อนจะนึกคำสำคัญที่อยากถามย้ำให้จงรักเข้าใจจริงๆ “และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมที่จะเชื่อใจ”
“ครับ…ตั้งแต่นี้ต่อไปรักจะเชื่อใจพี่เมฆ ขอบคุณนะครับพี่ไอ”
จงรักรู้ว่าตัวเองผิด รู้ว่าตัวเองอ่อนแอและงี่เง่า กว่าจะมาคิดได้ตอนนี้ก็เกือบสายเกินไปแล้ว แต่สิ่งที่จงรักรู้เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งคือ จงรักรู้แล้วว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไปกับปัญหาในครั้งนี้ดี
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ >O<
สงกรานต์ปีนี้ข้าพเจ้าได้ทำการสาดมาม่าโครมใส่คนอ่าน 555555
พอลงตอนนี้คิดว่าต้องมีกระแสตีกลับในพฤติกรรมของจงรักกับพี่เมฆบ้างไม่มากก็น้อย
โดยเฉพาะน้องจงรักลูกแม่
ตอนที่เขียนฝนก็คิดว่าโดยนิสัยส่วนตัวแล้วจงรักเป็นคนคิดมาก
แต่ตอนนี้ถึงขั้นโคม่าแล้ว ถึงขนาดต้องแอดมิดกับคุณพี่ไอ
แต่อย่าเพิ่งรำคาญจงรักเลยนะคะ
แบบว่า...ถึงตอนเปิดเรื่องแรกๆน้องจะมาแบบไม่แคร์สื่อและมีความคิด มีสติกว่านี้
แต่อยากให้ลองมองว่ามันอยู่ในจุดที่ความสัมพันธ์มันกำลังดี มีความผูกพันธ์มากกว่าคนแอบรักเหมือนแต่ก่อน
พอเห็นคนเก่ามาวอแว อารมณ์ก็เลยปะทุ แต่ปะทุในแบบของคนที่คิดเเบบเจียมตั้วเจียมตัวตามนิสัย
ดังนั้นก็เลยมโนแจ่มไปไกลจนพี่เมฆกู่ไม่กลับ
ความจริงพี่เมฆแกก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
มีโกรธมีน้อยใจบ้าง ยังไงก็ต้องใช้เวลาในการคิดและปรับตัวเข้าหากันเนอะ
ที่ออกมาแก้ตัว...เอ้ย! อธิบายแทนไม่ใช่อะไรนะคะ
กลัวไม่เข้าใจ กลัวจะหมั่นไส้พระนายของเราไปเสียก่อน
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ชอบไม่ชอบคอมเม้นบอกได้นะคะ น้อบรับคำติชมค่ะ
เจอกันตอนหน้าน้าาา
ละอองฝน
[14/04/2558 ,11:20]