Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)  (อ่าน 61599 ครั้ง)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




Only 'Wan' เพียงหนึ่ง

‘วันสุข’
ชื่อสองพยางค์ที่คล้ายว่าจะไม่มีความหมาย เป็นคำสั้นๆ ที่เหมือนคนตั้งไม่ได้ตั้งใจคิด
และคนใช้ชื่ออย่างเขาก็ไม่เคยหาคำตอบอย่างจริงๆ จังๆ ...คนตั้งชื่อก็ไม่ได้อยู่ให้ถามความหมายแล้วเสียด้วย

‘วันสุข’
เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าในแต่ละวันเขามีความสุขดีหรือเปล่า รู้แค่ว่าตัวเองใช้ชีวิตเรื่อยเฉื่อย
ตื่นแต่เช้า รดน้ำต้นไม้ ทำกับข้าว ดูแลคุณอา และอบขนม ...หลายครั้งก็โดนทักว่าเหมือนแม่บ้านเอาบ่อยๆ

‘วันสุข’
ตั้งแต่ถูกลากให้มาเป็นผู้ช่วยคุณอาในมหาวิทยาลัย นอกจากกองเอกสารที่ต้องรับมือแล้ว...
เทอมล่าสุดนี่ยังมีเรื่องวุ่นๆ เข้ามาจู่โจมจนทำตัวไม่ถูก ...ก็ใครมันจะไปรู้ว่าเด็กสมัยนี้รับมือยากแค่ไหน

‘วันสุข’
ตอนนี้เขาชักจะเริ่มเข้าใจความหมายของชื่อนี้ขึ้นมาสักหน่อยแล้ว
อา... แต่ให้ตายเถอะ... เขาเอายาแก้ปวดไปวางไว้ไหนนะ




 :impress2: ฝากนิยายเรื่องไม่ใหม่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะจ๊ะ...

เรื่องนี้เพิ่งจะได้เอามาลงบอร์ดนี้ จะทยอยลงให้เรื่อยๆ เป็นเรื่องอ่านเอาสบายๆ ง่ายๆ เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ตามสไตล์ตัวเอก
บางช่วงอาจจะเร่งๆ มึนๆ งงๆ ไปบ้างก็ต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ :o8:

ปล. ตัวละครเรื่องนี้พูดภาษาดอกไม้กันซะหมด ใครชอบอะไรหยาบๆ ถ่อยๆ คงต้องทำใจ (หัวเราะ)




ผลงานเรื่องอื่นๆ
°•.✿*❉ ไ ก ล ก ว่ า รั ก ❉*✿.•° (จบ) คลิกที่นี่
Somewhere series (เรื่องสั้นจบในตอน) คลิกที่นี่
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2015 20:41:30 โดย ArgèntaR๛ »

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง
«ตอบ #1 เมื่อ08-07-2014 22:53:35 »

บทนำ


เคยฝันหรือเปล่า? ฝันว่าอยากอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว โบยบินไปท่ามกลางราตรีสีเข้ม กระโดดข้ามริ้วสายลม นั่งพักไกวขาที่โค้งของรุ้งกลางคืน...
   
หลับปุ๋ยในอ้อมกอดของดวงจันทร์ มีปุยเมฆอุ่นๆ ใช้แทนผ้าห่ม เสียงลมคลอเคลียต่างเพลงกล่อม  ดวงดาวส่งเสียงอวยพรให้คืนนี้หลับฝันดี...
   
ไร้สาระใช่ไหม? เพราะใครฟังก็ต่างหัวเราะกันทั้งนั้น
   
สุดท้ายก็เลยเลิกฝันเสีย ละทิ้งความเป็นเด็ก ลืมเกือบหมดแล้วว่าเคยฝันอะไรไว้ สีสันฉูดฉาดในจินตนาการ ถูกชะล้างจนกลายเป็นสีเทาตุ่น แต่ก็ยังคงแอบหวังอยู่ลึกๆ ภาวนาให้ใครสักคนมาเดินเคียงข้างแล้วร่วมฝันไปด้วยกัน
   
เมื่อถึงตอนนั้น...ความฝันที่กลายเป็นสีเทาไปแล้ว คงจะมีสีสันขึ้นมาทันตา...




เขายังจำได้...
   
วันก่อนเปิดเทอมของมหาวิทยาลัยวันนั้นเจี๊ยวจ๊าวกว่าทุกวัน นักศึกษามากหน้าหลายตาเดินสวนกันไปมาบนทางเท้าเล็กๆ บ้างบางคนยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยม บ้างบางคนถูกปะแป้งเลอะเทอะ เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ อดนึกถึงวันวานสมัยก่อนที่เขาเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน...
   
จำได้ว่าโทรศัพท์เครื่องแรกพัง เนื่องจากต้องลงไปกลิ้งโคลน ร้องไห้ซึมเศร้าไปเป็นอาทิตย์ เพราะนั่นคือของขวัญราคาแพงที่คุณอาซื้อให้ นึกโกรธรุ่นพี่อยู่นาน จนวันงานรับขวัญหลังจบกิจกรรมนั่นแหละ ความโกรธที่เคยมีมาก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อรุ่นพี่ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้
   
มารู้เอาทีหลังว่าพวกรุ่นพี่เรี่ยไรเงินกันในคณะ และแอบไปซื้อเตรียมกันไว้ตั้งนานแล้ว สุดท้ายก็เผลอร้องไห้อีกรอบ คราวนั้นไม่ได้ร้องเพราะโกรธ แต่ร้องเพราะเสียใจที่ดันไปโกรธพวกเขาต่างหาก ของขวัญชิ้นที่สองชิ้นนั้น ทุกวันนี้ก็ยังตั้งโชว์หราอยู่ในตู้เหนือโทรทัศน์
   
“ปวดเอวจังแฮะ”
   
ก็กองเอกสารที่แบกอยู่หนักน้อยเสียเมื่อไหร่ ทั้งนักศึกษามากหน้าหลายตาที่วิ่งเข้ามาทักทาย แต่กลับไม่มีใครอาสาว่าจะช่วยสักคน จะตำหนิพวกเขาก็ไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็ดูเหมือนจะยุ่งๆ กันอยู่ทั้งนั้น
   
แดดร้อนสาดเปรี้ยงลงมาจนต้องหรี่ตาลง ร้อนจนเหงื่อชุ่มเสื้อ แต่มือก็ไม่ว่างพอจะยกขึ้นพัดไล่ไออบอ้าว เหงื่อไหลจนชุ่มแผ่นหลัง ทว่าก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่อะไรนัก ริมฝีปากยังติดยิ้มจางๆ อย่างชินนิสัย สายตากวาดมองไปเรื่อยอย่างอารมณ์ดี
   
ชั่วขณะหนึ่ง... พลันความรู้สึกคล้ายถูกจ้องมองก็ปรากฏขึ้น เท้าที่กำลังก้าวเดินชะงักกึก กวาดหน้ามองหา จนปะทะสายตากับใครบางคน
   
“หืม?” เขาเอียงคอ พลางส่งยิ้มไปให้ใครคนนั้น ซึ่งดูจะเด่นออกมาจากกลุ่มคนที่เรียงแถวกันอยู่หน้าสนามกีฬา และอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ เมื่อเจ้าของสายตานั่นยังไม่มีทีท่าว่าจะละออกไป
   
เด็กคนนั้นจ้องเขานิ่งราวกับเจอของแปลก จ้องอย่างกับว่าจะมองให้ทะลุอย่างนั้น
   
“น้องครับ! มัวแต่มองอะไรอยู่ ตั้งแถวเตรียมเข้าฐานถัดไปด้วยครับ!” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายผสมปนเปมากับเสียงนกหวีด และสายตานั่นก็ละจากเขาไป ขณะที่ร่างสูงค่อยๆ กลืนหายไปกับกลุ่มคน
   
รุ่นพี่ฝ่ายสันทนาการเริ่มรัวกลองสนุกสนาน แต่ละคนวาดลวดลายเต้นท่าประหลาดเรียกเสียงหัวเราะ
   
เขามองภาพนั้นแล้วก็ต้องยิ้มบาง พลางเงยหน้าขึ้นมองแดดจ้าอีกครั้ง เหงื่อใสไหลหยาดไล่มาตั้งแต่ไรผมถึงต้นคอ ร้อนจนแทบทนไม่ไหว...
   
“วัยรุ่นเนี่ย... ดีจังเลยนะ”




ก็สายทุกที...

วันนี้เขาตื่นเต้นกว่าทุกวัน จริงๆ แล้วคงต้องบอกว่า ตื่นเต้นทุกครั้งที่ถึงวันนี้ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และดูไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมาย แต่มันอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นแปลกๆ
   
ตื่นเช้ามา สิ่งแรกที่พุ่งเข้าหาคือกระจก อาบน้ำแต่งตัวให้ดูดีกว่าทุกที ฉีกยิ้มให้ตัวเอง สำรวจตรวจตราว่าทุกอย่างพร้อมไม่มีบกพร่อง สุดท้ายก็ไม่พ้นโดนคุณอาแกล้งแซวในรถจนมาถึงมหาวิทยาลัย
   
เขาตรงดิ่งเข้าไปเตรียมเอกสาร ตรวจรายชื่อนักศึกษาที่ลงทะเบียน ถ่ายแผนการสอนให้พอดีกับจำนวนคน พิมพ์ใบรายชื่อทั้งหมดแล้วเอามาเรียงอย่างเป็นระเบียบ
   
ไวท์บอร์ดข้างผนังถูกลบแล้วเขียนตารางใหม่ลงไป คลาสไหนก่อน คลาสไหนหลัง กระดานดำอันเล็กที่แขวนไว้ถูกลอกโพสต์อิทเก่าๆ ออก เพื่อพื้นที่ว่างสำหรับข้อความใหม่ๆ
   
“เอาล่ะ ขอให้เทอมนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีเถอะนะ” เขาพูดเบาๆ กับตัวเองแล้วหอบแฟ้มขึ้นมาถือไว้ อีกมือเปิดประตูห้องเดินตามหลังคุณอาออกไป
   
เสียงทักทายดังตลอดสองข้างทาง นักศึกษาคุ้นหน้าหลายคนวิ่งเข้ามากลาวอรุณสวัสดิ์ บ้างมาหยอกล้อตามประสา บางคนก็เอาขนมชิ้นเล็กๆ มาให้ด้วยท่าทีสนิทสนม
   
“อย่าเที่ยวไปโปรยเสน่ห์ใส่เด็กใหม่นะคะ คุณผู้ช่วย” กลุ่มนักศึกษาสาวตะโกนมาจากระเบียงอีกฝั่ง เขายิ้มขำตอบพวกเธอไป เปิดเทอมวันแรก อะไรก็ดูจะสดใสต่างจากช่วงใกล้สอบลิบลับ
   
“มัวยืนเหม่ออะไรอยู่” คุณอาว่าเสียงดุ
   
เขาส่ายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหา พลางยกมือขึ้นดันประตูไม้เก่า ไอเย็นยะเยือกของเครื่องปรับอากาศลอยมาปะทะใบหน้า เสียง ‘กริ๊ก’ ดังขึ้นเมื่อปิดประตู แล้วความวุ่นวายทั้งหมดก็ถูกตัดขาด เหลือเพียงความเงียบสนิท...
   
เปิดเทอมวันแรกก็แบบนี้ ถ้าไม่โหวกเหวกเจี๊ยวจ๊าว ก็ต้องนั่งนิ่งเรียบร้อยไม่คุยอะไรกันสักคำ
   
“สวัสดีครับ” เอียงคอกล่าวทักทายเสียงนุ่ม กวาดสายตามองใบหน้าอยากรู้อยากเห็นพวกนั้นแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้ วัยรุ่นนี่มันดีจริงๆ นะ...
   
“พี่ชื่อ วันสุข นะครับ จะเรียกว่า พี่วัน ก็ได้ แต่อย่าเพิ่งแปลกใจ กลุ่มนี้มีอาจารย์สอนเพียงท่านเดียวคือคนข้างๆ พี่นี่แหละ พี่เป็นแค่ผู้ช่วยจำเป็น คอยจัดการเอกสาร ตรวจการบ้านพวกเรา มีอะไรก็มาหาได้ครับที่... ”
   
เขาเริ่มแนะนำตัวก่อน ถึงจะดูแปลกก็เถอะ แต่คุณอาชอบให้เขาทำแบบนี้เสมอ ก็ต้องทำตามคำสั่งไป ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนักก็เถอะ
   
แกร๊ก...
   
เสียงเปิดประตูดังขึ้นเมื่อคาบเรียนเริ่มไปได้ประมาณสามสิบนาที คุณอาหยุดอธิบาย แล้วปราดสายตาดุๆ ไปยังผู้มาใหม่ทั้งสอง เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าห้อง เดินยิ้มๆ ไปหาคนมาสาย ในมือมีแผนการสอนติดไปด้วยสองแผ่น
   
“ศาสวัต กับ ปวรปรัชญ์ สินะครับ? คราวหน้าถ้าสายอีกโดนหักคะแนนพี่ไม่รู้ด้วยนะ” เพราะเช็กชื่อไปแล้วถึงได้เดาถูก คาบแรกนี่มีคนหายไปสองคน
   
หนึ่งในสองนั่นพยักหน้ายิ้มๆ มาให้ รายนี้คุ้นหน้ากันดี เพราะปีที่แล้วก็เพิ่งเจอกัน แต่ใครอีกคนกลับทำให้เขาชะงักทันทีที่ปะทะสายตาด้วย
   
เด็กเมื่อตอนนั้น? บังเอิญดีเหมือนกัน... คิดแล้วก็เอียงคอยิ้มให้ ยื่นแผนการสอนแจกจ่ายไปให้คนละใบ ปลายนิ้วเผลอแตะโดนกันเล็กน้อย... เผลอเหรอ?
   
“ไปนั่งที่ได้แล้วครับ” ชี้มือไปยังที่ว่างหน้าห้อง พอจัดการอะไรเสร็จเขาก็หลบฉากกลับไปนั่งที่เดิม
   
เสียงบรรยายติดจะดุของคุณอายังดำเนินต่อไป นักศึกษาทุกคนดูจะให้ความสนใจในเนื้อหาพอสมควร แต่กลับมีอยู่หนึ่งที่ดูจะไม่สนใจอะไรเท่าใดนัก...
   
‘กระดานหน้าห้องน่าสนใจกว่าพี่นะ’
   
ตวัดปากกาเขียนลงกระดาษจด แล้วยกขึ้นชูให้ใครอีกคนอ่าน พลางเท้าคางมองท่าทีนั้นพร้อมรอยยิ้มขำ รู้สึกถูกชะตาพิกล
   
เด็กหนุ่มคนนั้นชะงักไปแล้วยกยิ้มมุมปากตอบกลับ... ร่างนั่นทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ดูสบาย มือสองข้างยกขึ้นกอดอก ดวงตาคมสีเข้มฉาบประกายระริก แล้วก็นั่งจ้องเขานิ่งๆ แบบนั้นไปจนหมดชั่วโมง



กระดาษควิซเจ้าปัญหา...

“พี่วันคะ อาจารย์เขาให้เอาข้อสอบมาให้พี่วันตรวจค่ะ” ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ ตามมารยาท ก่อนที่เสียงหวานของนักศึกษาสาวจะดังขึ้น
   
เขาละสายตาจากเอกสารบนโต๊ะ ส่งยิ้มเบาบางให้ให้อีกฝ่าย ชันกายลุกขึ้นจากเก้าอี้เบาะหนัง เดินตรงไปรับปึกข้อสอบอย่างเอื่อยเฉื่อย
   
“ขอบคุณครับ ลำบากแย่ เดินมาจากตึกเลคเชอร์ถึงภาควิชาขนาดนี้” เสียงนุ่มเพราะว่าเนิบนาบ รอยยิ้มเอื่อยถูกส่งเผื่อแผ่ไปถึงนักศึกษากลุ่มใหญ่ด้านหลัง
   
เธอคนนั้นก้มหน้ามองพื้น แก้มเนียนฝาดสีชมพูเรื่อ เขาหัวเราะ เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเดิม นิ้วกรีดกระดาษไปทีละแผ่นเพื่อตรวจความเรียบร้อย และพบว่ามันมีใบหนึ่งซึ่งไม่ได้ใส่ชื่อไว้... อย่างทุกที
   
“เจ้าของเขามาด้วยหรือเปล่าครับ” ว่าพลางดึงข้อสอบเจ้าปัญหาออกมาแล้วส่งไปให้ เธอกวาดตาเพียงแวบเดียวก็หัวเราะเบาๆ เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อใครบางคนที่ยืนนิ่งอยู่นอกห้อง
   
“ปรัชญ์! ลืมเขียนชื่ออีกแล้ว ทุกทีเลยสิ” เธอเอ็ดผู้ชายตัวสูงที่เอาแต่ยืนเล่นโทรศัพท์มือถือ ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเขาชั่วครู่แล้วหัวเราะอย่างเกรงใจ
   
เขายื่นกระดาษให้ เดินกลับไปรินน้ำใส่แก้ว มือคว้ารีโมตมาเร่งเครื่องปรับอากาศ พลางจับคอเสื้อเชิ้ตกระพือเบาๆ เพราะเข้าสายกว่าทุกวัน เลยรีบวิ่งมาตั้งแต่ลานจอดรถ นั่งได้ไม่นานก็มีคนมาหาอย่างที่เห็น
   
“ไหนครับ เขียนเสร็จแล้วก็รีบส่งมา อย่ามัวแต่มองพี่สิ” ว่าด้วยเสียงขำขัน แบมือรอรับกระดาษ แต่เพราะห้องมันแคบเกินไป หรือว่าอีกฝ่ายไม่ทันได้ระวัง เพราะช่วงที่กลับตัว ศอกข้างนั้นก็มาโดนแขนเขาเข้าพอดี
   
“พี่วัน!” เสียงใสๆ ตะโกนตระหนก เมื่อน้ำในแก้วกระฉอกหกรดเสื้อเขาจนชุ่ม ตัวต้นเหตุก้มหัวขอโทษขอโพย แต่เขาเพียงแค่ยิ้มพลางบอกว่าไม่เป็นไร
   
เปียกๆ แบบนี้ก็เย็นดีเหมือนกัน... ว่าไหม?
   
“เดี๋ยวก็แห้ง ไม่เป็นอะไรหรอก” ว่าปัดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “อาจริงสิ...” และเอ่ยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ พลางเบียดกายผ่านปรัชญ์ไปที่โต๊ะทำงาน  แล้วก็ลงมือหา ‘กระดาษอีกแผ่น’ อย่างใจเย็น
   
พอเจอเป้าหมายก็ยกมันขึ้นมาโบกไหวๆ เอนกายพิงขอบโต๊ะ กอดอก เงยหน้าขึ้นมองตัวปัญหา แล้วสายตาก็ปะทะกันอีกครั้ง...โดยที่ฝ่ายนั้นยกยิ้มมุมปากมาให้อย่างทุกที
   
“แผ่นนี้... เจ้าของเขามาด้วยหรือเปล่าครับ?”
   
“ซาน! ไม่ยอมทำข้อสอบอีกแล้วนะ!!” เสียงหวานเจ้าเดิมแหวลั่นอีกครั้ง




สายฝนวันนั้น

ฟ้าครึ้มฝนโปรยมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน เช้านี้ก็ยังตกอยู่ อาการเขาแย่มาตั้งแต่วันก่อนแล้ว เดี๋ยวแดด เดี๋ยวฝน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ร่างกายปรับตัวแทบไม่ทัน
   
ตื่นเช้ามามึนหัวจนแทบไม่ไหว คุณอาก็สั่งให้นอนอยู่กับบ้าน แต่เขาก็ดันทุรังจะมาให้ได้ มีงานกองเป็นตั้งที่ต้องตรวจ ถึงจะไม่ใช่งานหลัก แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ อยากจะทำให้เสร็จๆ มีงานค้างอยู่แล้วมันชวนให้พะว้าพะวงแปลกๆ
   
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองขับรถจนมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างไร ก้าวลงเหยียบพื้นก็เซไปเล็กน้อย ยาลดไข้เหมือนจะยังไม่ออกฤทธิ์ โลกเอียงไปเอียงมา ศีรษะปวดตุบแทบระเบิด ขณะที่ละอองฝนก็โปรยปรายลงมาไม่มีบอกกล่าว
   
“ให้ตายสิ...” สุดท้ายก็ต้องพักระหว่างทาง เอนกายใช้กำแพงยันร่างไว้ก่อนจะค่อยๆ ทรุดนั่งลงกับพื้น ดวงตาปรือปิดอย่างเหนื่อยล้า สติลอยฟุ้งยากจะเรียกกลับ
   
ชั่วขณะหนึ่งเหมือนตัวเองจะหลุดไปอยู่ในที่ใดสักแห่ง ภาพประหลาดฉาบชัดเข้ามาในหัวสมอง รีบสะบัดศีรษะไล่อาการเหล่านั้น ปลายนิ้วสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่
   
“...”
   
เสียงอื้ออึงของใครสักคนฟังไม่ได้ศัพท์ เขาพยายามจะเปิดตามอง แต่ยากเกินทน ร่างกายเหมือนถูกดึงให้ลุกขึ้นยืน มารู้ตัวอีกทีก็เหมือนกับขึ้นมาอยู่บนหลังของใครบางคน...
   
ไออุ่นๆ ชวนให้สบายอย่างประหลาด อดนึกหวนไปถึงสมัยเด็กไม่ได้ เวลาเป็นไข้ก็มีคุณอานี่แหละคอยแบกเขาขี่หลังไปส่งที่ห้อง
   
“ขอโทษ... ที่ทำให้เดือดร้อน... นะครับ” เอ่ยพึมพำกับคนที่เข้ามาช่วยเหลือ เป็นเวลาเดียวกันกับที่แผ่นหลังแนบลงกับเตียงนิ่ม กลิ่นยาโชยมาแตะจมูก เสียงของฝนยังคงโปรยปราย หน้าผากถูกแตะแผ่วเบา อ่อนโยนจนรู้สึกได้ สบายอย่างประหลาด และชวนให้ง่วงจนอยากหลับ
   
ความรู้สึกแบบนี้...นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมัน?
   
ความคิดล่องลอย ขณะที่ความทรงจำเลือนๆ ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ภาพอดีตยาวนานถูกฉายขึ้นมา เหมือนริ้วอากาศเย็นจัดที่แผ่ซ่านออกไป ยะเยือกจนหนาวสั่น แม้จะเอื้อมมือออกไปคว้าก็พบเพียงว่ามันว่างเปล่า...
   
พลันความรู้สึกคล้ายกับริมฝีปากถูกแตะแผ่วก็ปรากฏขึ้น... เบาบางไม่ต่างจากกลีบดอกไม้ ภาพฝันเลือนรางแตกกระจาย ก่อนที่เขาจะชันกายลุกพรวดขึ้นมา
   
ดวงตากวาดมอง แต่กลับไม่เจอะเจอใครสักคน...
   
ฝนด้านนอกยังคงโปรยปราย สายลมหอบไอหนาวเข้ามาแตะที่ผิวแก้ม แต่ไออุ่นยังคงตกค้างอยู่ที่ริมฝีปาก และค่อยๆ แผ่ซ่านอย่างช้าๆ ไปทั่วร่างกาย...
   
เผลอยกปลายนิ้วขึ้นแตะ... ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่รับรู้นั่นเป็นภาพหลอน หรือว่าเรื่องจริง แต่เมื่อสมองได้ทบทวนเรื่องราว ริมฝีปากสีส้มสวยก็เผลอคลี่ยิ้ม
   
“มาลักหลับกันแบบนี้... จับได้คราวหน้าจะลงโทษเสียให้เข็ด”


To be continued...

ออฟไลน์ michiri.sama

  • ลูกเป็ดที่หมกมุ่นในโลกสีม่วง (´∀`)♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทนำ (8/7/14)
«ตอบ #2 เมื่อ09-07-2014 00:10:55 »

กรี๊ดดดดดด ชอบบบบบบบ
อบอุ่นละมุนละไมสุดๆ อร๊างงง

ชอบนายเอก(?)นิสัยแบบนี้จังค่ะ >\\\< พี่วันน่ารักอ่า
พระเอกคือใครนะซานหรือเปล่า?

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทนำ (8/7/14)
«ตอบ #3 เมื่อ09-07-2014 13:17:59 »

เหมือนนั่งจิบชาอุ่นๆ หอมกรุ่นกลิ่นไอฉ่ำชื้นของหยาดฝน
ชอบค่ะ  :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทนำ (8/7/14)
«ตอบ #4 เมื่อ09-07-2014 14:01:25 »

สนุกดี ดูเรื่อยๆดี  คงไม่มีอะไรมาหักมุมให้ใจเสียนะ  ทำไมเราระแวงเวลาอ่านเรื่องที่บรรยายดีๆแบบนี้ก็ไม่รู้  ระแวงคุณอา คุณอานี่อาแท้ๆใช่ไหม ไม่มีไรในกอไผ่นะ  จะได้สบายใจ ...

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
Re: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทนำ (8/7/14)
«ตอบ #5 เมื่อ09-07-2014 21:36:33 »

บทที่ 1 - วันสุข



ตั้งแต่จำความได้ บ้านที่เคยอยู่ก็ไม่ค่อยอบอุ่นสักเท่าไหร่ ช่วงเวลานั้นนับว่าเป็นเรื่องไม่น่าจดจำเรื่องหนึ่งของชีวิต เด็กชายวันสุขในอดีตแตกต่างกับนายวันสุขในตอนนี้แทบจะเป็นคนละคน
   
คงต้องขอบคุณคุณอา... ญาติหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ เพราะหลังจากเขาสูญเสียทุกอย่างไป ก็มีเพียงแค่ท่านคนเดียวที่คอยดูแลเหมือนเขาเป็นลูกแท้ๆ คนหนึ่ง
   
เขาไม่ใช่คนที่มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนนัก ไม่ได้อยากเรียนอะไร หรืออยากทำอะไรเป็นพิเศษ พอจบจากโรงเรียนเอกชน ก็ยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัย และมีชื่อติดอยู่ในคณะบริหารของมหาวิทยาลัยที่คุณอาสอนอยู่
   
ช่วงปีแรกก็ทำตัวเละเทะบ้างไปตามประสา แสงสีมันดึงดูดตา ผนวกกับแรงผลักดันแปลกประหลาดในใจ เกเรจนเกือบจะโดนรีไทร์ออกหลายครั้ง สุดท้ายก็พยายามจนจบมาด้วยด้วยเกรดเฉลี่ยพอไปวัดไปวา
   
พอโตขึ้น... สายตาที่ใช้มองโลกมันก็คล้ายกับจะเปลี่ยนไป เป็นผู้เป็นคนขึ้น มีเป้าหมายในชีวิตเพิ่มขึ้นมาที่ละอย่างสองอย่าง มีเรื่องที่อยากจะทำ มีงานอดิเรกที่ชอบ มีชีวิต ดูเหมือนเป็นคนขึ้นกว่าแต่ก่อน
   
หลังเรียนจบใหม่ๆ เขาเคยเข้าไปทำงานออฟฟิศอยู่ครึ่งปี สุดท้ายก็ต้องออกมา ดีที่มีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง รายนั้นอยากจะทำร้านอาหาร เขาเองก็ชอบทำอาหาร ไปๆ มาๆ ก็กู้เงินมาก้อนหนึ่งเพื่อเปิดร้าน... ฟังดูง่ายแล้วก็บ้าบิ่นดีใช่ไหม?
   
ร้านเล็กๆ ในตอนนั้น กลายเป็นร้านขนาดใหญ่ที่มีคนเข้าไม่ขาดสาย ถึงแรกๆ จะทุลักทุเลไปบ้าง เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เมื่อร้านอยู่ตัวขึ้น เขาเองก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีก อาทิตย์หนึ่งเข้าไปดูร้านครั้งสองครั้ง งานหลักๆ ส่วนใหญ่ก็แค่คอยคิดเมนูใหม่ๆ เสียมากกว่า
   
พออายุย่างเข้ายี่สิบเจ็ดก็คล้ายกับว่าอยากจะอยู่ติดบ้านมากขึ้นเสียอย่างนั้น นึกทีไรก็อดขำตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน หากให้นอนนิ่งอยู่ในบ้านสักสองวัน เขาคงทนไม่ได้ แต่ดูตอนนี้สิ...
   
คุณอาที่ทนเห็นสภาพเรื่อยเฉื่อยของเขาไม่ไหว ก็ตัดสินใจหางานเสริมให้ทำ และตอนนั้นเองที่เขาได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ช่วยจำเป็นเกือบเต็มตัว
   
อยู่กับเด็กๆ มาได้เกือบจะสี่ปีแล้ว ความแตกต่างของช่วงเวลาก็ชวนให้แปลกใจ วัยรุ่นสมัยนี้กับวัยรุ่นสมัยก่อนนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็สนุกดี เหนื่อยบ้างที่ต้องรบรากับกองการบ้าน หนักใจบ้างที่มีคนมาร้องห่มร้องไห้ขอเกรด ทั้งที่คนตัดเกรดน่ะมันเขาเสียที่ไหน ยิ่งบางรายถึงขั้นถวายตัวด้วยก็มี
   
“โตจนแตะเลขสามแล้วยังคิดจะครองโสดไปตลอดหรือไง”
   
เรื่องน่าหนักใจที่สุดก็คงเป็นคนสำคัญของเขาคนนี้นี่แหละ คุณอาของเขาเอง ท่านชอบพูดแบบนี้บ่อยๆ เขาก็ได้แต่หัวเราะตอบกลับไป คู่เหรอ? เคยอยากหาอยู่เหมือนกัน ติดแค่ตรงที่ว่าหัวใจมันยังไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาก็เท่านั้น
   
ความรักน่ะ...น่ากลัวจะตายไป


   

ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกอีกแล้ว...
   
พักหลังมานี่เขานอนเร็วตื่นเช้าจนเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังรู้สึกว่าชอบทำตัวเหมือนคนแก่เข้าไปทุกทีทั้งที่อายุก็ยังไม่ได้เยอะขนาดนั้น คิดพลางเดินเอื่อยๆ ตรงไปยังห้องน้ำ วักน้ำเย็นๆ ล้างหน้าเรียกสติ เหลือบสายตามองเงาสะท้อนจากในกระจกแล้วยกยิ้มบางๆ ให้กับตัวเอง
   
เดินลงบันไดไปทำกิจวัตรที่ต้องทำทุกเช้าหลังตื่นนอน... รดน้ำต้นไม้ ก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าตัวเองจะชอบต้นไม้ได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เคยสนใจเลยด้วยซ้ำ มาเริ่มบ้าก็ตอนช่วงเรียนจบใหม่ๆ นี่แหละ
   
เพราะเพื่อนสนิทเอาเมล็ดอะไรสักอย่างมาให้ปลูก ไอ้ความรู้สึกว่า ต้นไม้ที่เลี้ยงมากับมือออกดอกครั้งแรกน่ะ มันน่าปลื้มใจน้อยเสียเมื่อไหร่ คล้ายๆ กับคุณพ่อที่รู้ว่าลูกสาวตัวเองสอบได้ที่หนึ่งล่ะมั้ง?
   
“วันนี้แค่ข้าวต้มกุ้งเองเหรอ?”
   
เสียงทุ้มเข้มของคนร่วมบ้านดังขึ้น หลังจากที่เขาเข้ามาจัดการในครัวอย่างปกติ วันสุขหัวเราะเบาๆ เมื่อมื้อเช้าวันนี้ธรรมดากว่าทุกวัน
   
“ผมกลัวกุ้งจะเสียน่ะครับ เลยรีบเอามันออกมาทำก่อน ถึงจะเป็นแค่ข้าวต้มกุ้ง แต่ก็ข้าวต้มกุ้งฝีมือน้องวันนะ” แกล้งดัดเสียงเลียนแบบเด็กๆ แล้วหัวเราะร่าอารมณ์ดี ขณะที่คุณอาทำหน้าประหลาดใส่
   
“จริงๆ ไม่ต้องลำบากทำให้ทุกเช้าแบบนี้ก็ได้” ท่านว่าเสียงดุ ม้วนหนังสือพิมพ์มาตีปุๆ ที่ต้นแขนของเขา วันสุขยิ้ม ส่ายหน้าหวือแทบจะในทันที
   
“ผมทำของผมมาจะสิบปีแล้ว อย่ามาห้ามเสียให้ยาก” การได้ดูแลเอาใจใส่คนรอบข้างมันให้ความสุขน้อยเสียเมื่อไหร่ อีกอย่าง... การทำอะไรแบบนี้มันก็ช่วยให้เขาออกกำลังกายไปด้วยในตัว ประโยชน์เห็นๆ ก็ไม่รู้ว่าคุณอาจะมาห้ามทำไม
   
“เราน่ะทำตัวเหมือนแม่บ้านเข้าไปทุกที รู้ตัวบ้างไหม”
   
“ดูพูดเข้า เขาเรียกว่าโรคเสพติดงานเรือนต่างหากครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนล่ะ สักสายๆ จะเข้าไปตรวจงาน” คุณอาพยักหน้าให้ แล้วก็ตักข้าวต้มขึ้นมานั่งทานเงียบๆ
   
“จริงสิวัน”
   
“ครับ?”
   
“เรื่องของปรัชญ์น่ะ ได้ข่าวว่าดรอปเรียนไปหนึ่งปี อาฝากช่วยดูเขาหน่อยแล้วกัน” ได้ยินเป็นต้องเลิกคิ้ว ไม่บ่อยนักที่คุณอาจะเอ่ยปากฝากฝังให้เขาดูแลใครเป็นพิเศษแบบนี้ วันสุขมองใบหน้าคมคร้ามนั่นอย่างนึกสงสัย และก็ไม่รู้ว่าจะเก็บความสงสัยไปทำไม...
   
“แปลกนะครับ ปกติไม่เคยมาขอผมแบบนี้นี่”
   
“อาจารย์ที่ปรึกษาเขามาขอร้องน่ะ ช่วยดูให้หน่อยแล้วกัน” ว่าด้วยท่าทางเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่... เล่นฝากสองทอดมาแบบนี้ เขาจะเอาอะไรไปปฏิเสธ นี่ก็ระดับอุดมศึกษาแล้ว คงไม่ถึงขนาดต้องตามดูแลกันแบบเด็กอนุบาลหรอกนะ
   
“แล้วอีกคนล่ะครับ?” พูดถึงเคสพิเศษแล้ว ใบหน้าของใครคนนั้นก็ผุดวาบขึ้นมาในหัว คุณอาหัวเราะเบาๆ ดูท่าไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าหมายถึงใคร
   
“รายนั้นเขามีคนดูแลพิเศษอยู่แล้วนี่”
   
ได้ฟังแล้วก็เผลอยกยิ้มเหยียด เกลียดเสียจริง โดยเฉพาะเวลาที่โดนรู้ทันแบบนี้...
   
แอบหลบสายตาของคุณอากลับเข้ามาในห้องตัวเอง จัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย ในหัวก็ไล่คิดเมนูสำหรับเย็นนี้ไปเรื่อยๆ ของสดที่ไหนลดราคา อาหารที่ค้างอยู่ในตู้มีอะไรที่ต้องทิ้งบ้าง... น้ำยาปรับผ้านุ่มก็ใกล้หมดแล้ว วันเสาร์หน้าเข้าห้างไปซื้อหน่อยก็คงจะดี ...จะได้ไปซื้อกระถางมาปลูกผัก ถ้าไปได้สวย รายจ่ายคงลดไปเยอะ
   
“เออะ...”
   
อุทานขึ้นมาเบาๆ หยุดความคิดตัวเองแล้วยิ้มขำ นับวันเขาชักจะทำตัวเยี่ยงแม่บ้านอย่างที่คุณอาบอกจริงๆ ก็มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว ตื่นเช้ามาทำงานบ้าน ตอนเย็นก็ทำกับข้าว วันหยุดเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่มีธุระอะไรก็นอนมันทั้งวัน
   
‘Don’t  you ever wish… you were someone else, you were meant to be… the way you are exactly…’
   
ติ๊ด
   
“ว่าไง โทรมาทำไมแต่เช้า” เสียงริงโทนดังขัดกับบรรยากาศสงบ ก็อยากจะปล่อยให้มันเล่นเพลงที่ชอบวนต่อไปเรื่อยๆ แต่กลัวปลายสายจะโกรธเอา รีบคว้ามากดรับ กลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จพอดี
   
“เรื่องร้านรับจัดสวนน่ะ ที่เก่าเขาโทรมาขอยกเลิกเพราะติดปัญหา” เสียงคุ้นหูกรอกมาตามสาย ไม่มีคำทักทาย และไม่ต้องเดาว่าใครที่โทรมา
   
“อ้าว แล้วทีนี้จะทำยังไง?” ว่าเรื่อยๆ เอื่อยๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อนนัก อย่างไรเสียก็ไม่รีบอยู่แล้ว แต่ก็อดจะหงุดหงิดน้อยๆ ไม่ได้ อุตส่าห์เทียวไปเทียวมา ตกลงกันเสียดิบดี มายกเลิกกันง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร
   
“ก็เลยไปหาที่ใหม่มานี่ไง ช่วยเข้าไปดูให้หน่อยแล้วกัน ร้านชื่อ Green & Green เบอร์โทรก็...” รายละเอียดถูกส่งต่อมาให้ ทางฝั่งเขาเองก็หากระดาษปากกามารีบจดมือระวิง
   
“ชื่อร้านน่ารักดี เดี๋ยวว่างๆ จะแวะเข้าไปดูให้ก็แล้วกัน” ปากพูดมือก็กลัดกระดุมออกหนึ่งเม็ด ชั่งใจอยู่เล็กน้อยแล้วก็กลัดเม็ดที่สองออกทั้งที่เพิ่งจะกลัดเข้าไปเมื่อครู่
   
“ชื่อร้านมันดูน่ารักตรงไหนกัน” อีกฝ่ายบ่นเบาๆ ก่อนที่เสียงกรี๊ดกร๊าดจะดังลอดเข้ามาในสาย “พวกพนักงานเขากำลังปลื้มลูกค้าใหม่อยู่น่ะ” อีกฝ่ายอธิบายอย่างรู้ใจ
   
“กระเป๋าหนัก?”
   
“เปล่า เฟรชชี่หน้าตาดีต่างหาก ถ้าอยากเห็นก็เข้ามาดูเอง” พอได้ยินแบบนั้นก็ต้องเบ้หน้า ให้เข้าร้านเพื่อแลกกับไปดูหน้าลูกค้าเนี่ยนะ?
   
“เอ้อจริงสิ เมื่อวันก่อนน่ะ...” เขาเปลี่ยนเรื่อง คุยไปคุยมาก็โยงถึงเรื่องชีวิตประจำวันอย่างทุกที ถามสารทุกข์สุกดิบกันสักพักก็กล่าวลาแล้ววางสาย
   
วันสุขเดินออกจากห้องแต่งตัวตรงไปยังโต๊ะทำงาน กองข้อสอบที่หอบกลับเอามาตรวจที่บ้านถูกแยกเป็นสองกองกับอีกหนึ่งแผ่น กองที่คะแนนผ่าน กองที่คะแนนไม่ผ่านซึ่งต้องจับมาติวเสริมตามนโยบายของคุณอา ส่วนอย่างสุดท้ายคือ กระดาษเจ้าปัญหาแผ่นเดิม... กระดาษโล่งๆ ที่ไม่ต้องเดาว่าของใคร
   
“คุณอาครับ จะทำยังไงดีกับแผ่นนี้? ไม่ยอมทำข้อสอบอีกแล้ว คุณอาก็ใจดีเกิน ผมบอกให้หักคะแนน ทำไมถึงไม่ยอมหักล่ะครับ?” แบกปึกกระดาษลงไปชั้นล่าง แล้วก็หยิบเจ้าใบนั่นขึ้นมาโบกไหวๆ
   
“เก็บเอาไว้สิ เดี๋ยวเจ้าของเขาก็มาเอา อาหักคะแนนเขาไปเดี๋ยวก็มาเดือดร้อนเราอีก ยังไงก็เดือดร้อนอยู่แล้ว จะทำให้มันเดือดร้อนขึ้นไปอีกทำไม” คุณอาก็พูดเหมือนเดิม เขาเองก็จนใจ


   

นั่งตีแป้ง ตอกไข่ อบเค้กจนเพลิน จากที่ว่าจะเข้าคณะช่วงสายกลายเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ ไปเสียได้ กลิ่นเค้กตลบติดเนื้อผ้า วานิลลาหอมฟุ้งกันเลยทีเดียว ตอนแรกว่าจะฉีดน้ำหอมกลบ แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ทั้งกลิ่นเค้ก กลิ่นเคมี ผสมปนเปกันคงชวนให้เวียนหัวชอบกล
   
อีโคคาร์คันเล็กค่อยๆ เคลื่อนตัวจอดเทียบท่า มาสายเกินไปหน่อย ตึกจอดรถที่เข้ามาใช้บริการบ่อยๆ ก็แน่นเอี๊ยดเสียแล้ว ต้องวนขึ้นชั้นบนจนตาลาย กว่าจะหาที่จอดได้ก็ชั้นเจ็ดนู่นแน่ะ
   
สุดท้ายก็ต้องลงมายืนตั้งสติพิงประตูรถ มึนหัวชอบกล คลื่นไส้หน่อยๆ โชคดีที่แถวนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
   
“อ้าว พี่วัน สวัสดีค่ะ บังเอิญจังเลย ครั้งแรกเลยมั้งเนี่ยที่เยลลี่มาตรงกับพี่วัน” เสียงใสๆ ดังขึ้น แต่ชวนให้ปวดหัวยิ่งกว่าเดิม วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใช้นิ้วมือกดระหว่างคิ้ว ปรือตามองสองร่างที่เดินเข้ามาใกล้
   
“สวัสดีครับ โทษทีนะ พี่กำลังมึนๆ น่ะ” บอกออกไปตรงๆ แล้วส่งยิ้มไปให้ “วนรถขึ้นมาเร็วเกินไปหน่อย ทางก็ทาสีลายตา สภาพพี่เลยออกมาเป็นแบบนี้”
   
ยาดมถูกส่งมาให้ รู้สึกอนาถสภาพตัวเองชอบกล ถ้าหูไม่ฝาด เขาก็แอบได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนที่เอาแต่ยืนเงียบมาตั้งแต่แรกด้วย
   
“เดี๋ยวเยลลี่ให้ซานไปส่งพี่วันดีกว่า รายนี้ก็มีธุระที่ห้องพี่วันเหมือนกัน” สาวเจ้าตัดสินใจให้เสร็จสรรพแบบไม่ถามความเห็น
   
วันสุขเลิกคิ้วอย่างสงสัย สภาพของเขามันดูย่ำแย่ขนาดที่ต้องให้นักศึกษาชายเดินไปส่งถึงห้องทำงานเลยหรือ? แต่ก็ดี เพราะเขาก็มีธุระกับเจ้าตัวด้วยเหมือนกัน
   
“จริงสิ... เรื่องข้อสอบ...”
   
“ข้อสอบเก็บคะแนนคราวนู้นเยลลี่ทำไม่ค่อยได้เลยค่ะ อาจารย์ออกข้อสอบยากมากๆ ทั้งห้องคงมีแค่ปรัชญ์คนเดียวที่ทำได้”
   
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยคก็โดนแทรกขึ้นมาทันที วันสุขชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอียงคอมองสาวสวยอย่างงุนงง
   
“ทำไม่ได้แล้วมาบอกพี่ทำไมล่ะครับ” ยิ้มซื่อถูกส่งไปให้ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ เพราะต้นแขนโดนคว้าหมับเข้าไปแล้ว แต่ก็เลือกที่จะไม่สะบัดออก ครั้งแรกเสียเมื่อไหร่...แค่นี้น่ะยังเล็กน้อย
   
“ก็พี่วันเป็นคนตรวจ เป็นหลานอาจารย์ด้วย ขอคะแนนพิเศษสักนิดนึงก็ยังดีค่ะ” แต่เขาว่ามันไม่ค่อยจะสักนิดเท่าไหร่ เบียดเข้ามาขนาดนี้ ถึงไม่เกรงใจเขา แต่ก็ช่วยหันไปดูปฏิกิริยาจากใครอีกคนหน่อยก็น่าจะดี
   
เสียงใสๆ ออดอ้อนยังดังเข้าหู แต่ฟังจับใจความไม่ค่อยได้นัก วันสุขเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่เอาแต่ยืนเงียบอย่างนึกสงสัย มีคนเคยมาเล่าให้เขาฟังว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน แต่ดูท่าทีแล้วจะห่างไกลจากคำนั้นไปมากโข
   
ก็เด็กคนนั้นไม่ได้มีท่าทีหึงหวงอะไรเลยสักนิด แล้วไอ้ยิ้มเหยียดมุมปากแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร? ดวงตาพราวระริกนั่นอีก... พอเห็นว่าเขามองอยู่ก็เลิกคิ้วตอบกลับมา ขยับปากช้าๆ จับใจความได้แค่คำว่า ‘ร้าย’
   
“หืม?...” ครางเบาๆ ในลำคอแล้วเอียงคอไปมาอย่างเคยชิน หรุบตาลงมองใบหน้าของสาวสวย พลางยกมือขึ้นดันไหล่บางออกไปอย่างไม่ให้เสียมารยาท “ทำแบบนี้เดี๋ยวดูไม่ดีนะ”
   
“ไม่ดงไม่ดีอะไร เยลลี่ไม่ถือหรอก” เธอว่าเสียงใส ก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “จริงสิ หรือพี่วันมีแฟนแล้ว?” และถามขึ้นมาอีกครั้ง
   
วันสุขแกล้งเงียบ ยกยิ้มอมพะนำ ขณะที่สายตาจ้องไปยังทางลงบันไดของตึกจอดรถ... นี่ก็อีกปัญหา ตึกนี่ไม่มีลิฟต์ให้ใช้ ขาลงไม่เท่าไหร่ แต่แค่คิดถึงตอนขึ้นมาเขาก็เหงื่อตกแล้ว
   
“ทำไมถึงคิดว่าพี่มีแฟนล่ะ?”
   
วนรถขึ้นเจ็ด ตอนนี้ก็เดินวนลงบันไดไปที่ชั้นหนึ่ง อยากได้ถุงก๊อบแก๊บสักใบ ถ้าเผลอทำเสียมารยาทมันตรงนี้ เขาคงไม่โดนเอาไปป่าวประกาศให้เสียชื่อหรอกนะ?
   
“ก็พี่วันใส่แหวนนี่คะ ใครๆ เขาก็ต้องคิดกันแบบนั้น”
   
ได้ฟังแล้วก็ต้องเผลอยกมือซ้ายขึ้นมาดู แหวนสีดำเกลี้ยงเกลายังประดับอยู่บนนิ้วนางอย่างที่มันเคยอยู่ เขาหัวเราะขำ หรี่ตามองสาวสวยอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ประโยคที่พูดกลับดังเกินกว่าสำหรับคู่สนทนาสองคน
   
“แล้วคิดว่าพี่มี... หรือไม่มีล่ะ?”
   
“เอ... เยลลี่ก็ไม่รู้สิ พี่วันไม่คิดจะเฉลยหน่อยเหรอ?” เธออ้อนถาม เมื่อเขาไม่ยอมตอบสักที
   
“หืม... อยากได้คำตอบแบบไหนก็ไปนึกกันเอาเองแล้วกัน” ว่าปัดอย่างไม่รับผิดชอบ เยลลี่ส่งเสียงโวยวายดูน่ารัก เขายิ้มขัน จริตจะก้านแบบนี้ก็ชวนมองอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เหมาะกับการมองนานๆ ...คิดแล้วก็ปรายหางตาไปหาอีกคนที่เดินรั้งท้าย สายตาปะทะกันอีกครั้ง
   
“ไม่มี” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นขัดเสียงโวยวาย
   
“หืม?” วันสุขเอียงคอ นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะนี่น่ะครั้งแรกเลยนะที่ได้ยินเสียงคนคนนั้นชัดๆ แบบนี้...
   
“พี่บอกเองว่าอยากได้คำตอบแบบไหนก็ให้ไปนึกกันเอาเอง” เด็กคนนั้นก้าวพรวดเดียวก็เดินขึ้นมาตีเสมอ เสี้ยวหน้านั่นที่มักจะมองเห็นไกลๆ พอได้มาเห็นใกล้ๆ แบบนี้ก็ทำเอาตาพร่าชอบกล
   
“แล้วถ้าพี่บอกว่ามีล่ะครับ?”
   
“นั่นมันคำตอบของพี่ แต่ของผมน่ะ ไม่มี ” เจ้าตัวคลี่ยิ้มเหยียด
   
“มั่นใจจังเลยนะ”
   
“ถึง ‘มี’ ก็ทำให้มัน ‘ไม่มี’ ได้นี่ครับ” เด็กนั่นหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาสีเข้มฉาบประกายวาบอยู่ครู่หนึ่ง


(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage

เดินกันมาสักพักใหญ่ หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มก็ขอแยกตัวไปจัดการธุระของเธอต่อ ส่วนใครอีกคนก็ก้าวขาตามมาเงียบๆ ไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างพวกเขา
   
“เราน่ะ ไม่ยอมทำข้อสอบอีกแล้ว” อดที่จะบ่นขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้ มือล้วงกุญแจไขห้อง ไอเย็นบางจากเครื่องปรับอากาศลอยออกมา บ่งบอกว่าคุณอาเพิ่งกลับไปได้ไม่นาน
   
วันสุขสั่งให้ใครอีกคนนั่งรออยู่ที่โซฟาด้านหน้า ส่วนตัวเขาเองก็แหวกม่านกั้นไปยังฝั่งของตัวเอง แล้วคว้าข้อสอบชุดใหม่ติดมือมาด้วย
   
“เอาล่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว รีบทำให้เสร็จนะครับ ถึงอาจารย์เขาจะใจดีไม่หักคะแนน แต่ทำแบบนี้บ่อยๆ มันเดือดร้อนคนตรวจนะรู้ไหม” กล่าวตำหนิไปตามประสา แต่ตัวต้นเหตุเหมือนจะไม่ได้ให้ความสนใจเขาชอบกล ใบหน้านั่นหันซ้ายแลขวาเหมือนคนกำลังหาของ
   
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
   
“วันก่อนผมลืมโทรศัพท์เอาไว้ในนี้ พี่เห็นบ้างหรือเปล่า?” เจ้าตัวว่า ทิ้งสายตาไว้ที่ลำคอของเขา แล้วก้มกลับไปทำข้อสอบเงียบๆ
   
วันสุขเลิกคิ้ว หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม แล้วก็เอี้ยวตัวไปคว้ากล่องเก็บของที่วางไว้เยื้องกันขึ้นมา เหยียดมือสุดแขนจนปลายเสื้อด้านหลังเลิกขึ้นพ้นขอบกางเกงสีเข้ม
   
“พี่ก็ว่าเครื่องของใครมาลืมไว้ เครื่องของเรานี่เอง”
   
วันก่อนมีโทรศัพท์ตระกูลผลไม้มาหย่อนไว้ที่ช่องส่งการบ้านหน้าห้อง ถึงขนาดมาหย่อนทิ้งไว้ให้แบบนั้น จะเรียกว่าลืมก็ออกจะแปลกสักหน่อย
   
“หย่อนลงกล่องส่งการบ้านแบบนี้ ลืมจริง หรือว่าจงใจลืมกันแน่ครับ” ไกวของกลางไปมาอย่างนึกสนุก เหยียดขา เอนหลังนั่งสบาย ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแบบเกินความจำเป็น
   
“ผมโดนเพื่อนแกล้งน่ะ”
   
“พี่เชื่อคำพูดเราได้สักแค่ไหนเชียว? ทำข้อสอบให้เสร็จก่อนครับ เดี๋ยวคืนให้” เก็บโทรศัพท์ไว้ที่กระเป๋าหลัง พลางเท้าคางมองคนฝั่งตรงข้ามซึ่งขมวดคิ้วมาให้
   
“ผมชื่อ ซาน ” ดูท่าจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่เขาไม่ยอมเอ่ยชื่อเจ้าตัว
   
“ซาน... ซานฟรานส์?” เขาเอ่ยทวนอย่างนึกสงสัย
   
ซานพยักหน้ามาให้ แล้วก็ขมวดคิ้วใส่เขาหนักกว่าเดิม เจ้าตัวทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เงียบไป ความเงียบดำเนินไปอยู่ชั่วครู่ ไม่ได้น่าอึดอัดเท่าไหร่ ความจริงดูจะสบายๆ ด้วยซ้ำ
   
วันสุขกอดอกเอนหลังนั่งพิงโซฟา อาการปวดศีรษะคล้ายจะทุเลาลงบ้างแล้ว ถึงนั่งมองคนฝั่งตรงข้ามทำข้อสอบจะเพลินดี แต่เขาเองก็มีงานต้องทำ
   
คิดได้แล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ดันตัวผ่านม่านกั้นตรงไปยังโต๊ะทำงานประจำ รื้อการบ้านเมื่อวานก่อนขึ้นมาตรวจ พร้อมเขียนแก้คำตอบให้เสร็จสรรพด้วยปากกาหมึกแดงเข้ม
   
วันสุขจำได้ว่าเขาเคยโดนคุณอาดุอยู่บ่อยๆ เรื่องชอบทำงานเกินเงินค่าจ้าง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อได้ทำแล้ว ก็อยากจะทำให้มันดีที่สุด
   
นักศึกษาคนไหนเขียนคำตอบผิดมาเขาก็จะลงมือเขียนแก้ให้ บางทีก็จะอธิบายเสริมลงไปในส่วนที่เข้าใจยาก ถึงจะจบบริหารมา แต่รับงานนี้มาตั้งเกือบสี่ปี อ่านข้อสอบ อ่านการบ้านซ้ำๆ หลายๆ รอบเข้า ความรู้มันก็ฝังลงหัวมาเองโดยปริยาย
   
นั่งตรวจได้สักพักตาก็เริ่มปรือ ไอเย็นช่วยให้รู้สึกสบายไม่น้อย ยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างเคยชิน คงเพราะวันนี้ตื่นเช้าเกินไป พอตกบ่ายถึงได้เริ่มล้าบ้างแล้ว
   
สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนผนัง เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมง พอแอบย่องออกไปดูใครอีกคน ก็ดูเหมือนว่าจะยังคร่ำเคร่งกับข้อสอบอยู่เช่นเดิม...
   
“ทำเสร็จแล้วก็ปลุกพี่ด้วยแล้วกัน” วันสุขว่าอย่างไร้ความรับผิดชอบแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง ดึงหมอนเป่าลมขึ้นมากอดไว้พลางซุกหน้าลงกับโต๊ะ
   
ตัดสินใจได้แล้วว่าจะงีบสักเดี๋ยว เขาไม่ชอบฝืนตัวเองเท่าไหร่ ถ้าอยากจะพักก็ต้องพัก พอร่างกายได้ชาร์ตพลังแล้วค่อยกลับมาลุยงานต่อ และเพราะนิสัยแบบนี้นี่แหละถึงต้องออกจากงานออฟฟิศที่ทำไปได้แค่ครึ่งปี


   

ช่วงที่เขารู้สึกถึงอิสระมากที่สุดคงไม่พ้นช่วงที่กำลังฝันอยู่ ฟังดูน่าอนาถใจไปสักหน่อย แต่มันก็คือความจริง  นอกจากงานบ้านที่ต้องทำแล้ว เรื่องนอนก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขามักจะชอบทำบ่อยๆ
   
ในพักหลังมานี่เขาฝันหลายครั้ง รู้อยู่แก่ใจว่าการฝันไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันสื่อถึงจิตใจที่ฟุ้งซ่าน แต่เขาก็หยุดความคิดตัวเองไม่ได้สักครั้ง... ก็ได้แต่ให้มันโลดแล่นไปตามครรลองของมัน ก็ไม่รู้ว่าจะไปห้ามมันทำไม
   
นึกย้อนไปถึงครั้นวัยเยาว์ ของเล่นชิ้นแรกที่มีก็คือหนังสือสมุดภาพนิทานสำหรับเด็ก บ้านไม่ได้ยากจนอะไร แต่ของเล่นกลับน้อยชิ้นเหลือเกิน
   
เขาจำได้ว่าสมุดนั่นถูกเปิดวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องของพระจันทร์ พระอาทิตย์ ก้อนเมฆปุกปุย และหมู่ดาว ถูกถ่ายทอดผ่านสายตานับร้อยนับพันครั้ง
   
มันก็คงไม่แปลกใช่ไหมที่เขาจะชอบท้องฟ้า? ในเมื่อมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาได้สัมผัสมาเกือบแทบจะตลอดวัยเด็กผ่านภาพวาดสีน้ำสดใสนั่น
   
สิ่งที่มักจะนึกได้ถัดมาคือท้องฟ้าจำลองสมัยก่อน แม้เทคโนโลยีในตอนนั้นจะเทียบไม่ได้กับตอนนี้ แต่ภาพฉายเก่าๆ พวกนั้นยังคงติดลึกอยู่ในความทรงจำเสมอ หมู่ดาวนับล้าน พระจันทร์ดวงโต การค้นพบสำคัญ ดาวหางสีสวย และแมว... หืม... แมว?
   
“อือ...” ดวงตาปรือปิดค่อยๆ เปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพพร่ามัวของใครบางคนพลันแจ่มชัดขึ้น วันสุขขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร ใครอีกคนก็ถอยห่างออกไปพร้อมบางสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าหลังกางเกง ...ผู้ร้ายขโมยของกลางคืนไปเสียแล้ว
   
“ทำข้อสอบเสร็จแล้วเหรอครับ?” ขยี้ตาถามเสียงงัวเงีย ยังนึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยว่าจู่ๆ ก็มีแมวตัวเบ้อเริ่มกระโดดพรวดเข้ามาอยู่ในฝันได้อย่างไร
   
“พี่ปิดมือถือเหรอ?”
   
“อืม... สั่นครืดคราดทั้งวันก็เลยปิดน่ะ” จริงๆ ก็ไม่อยากจะถือวิสาสะสักเท่าไหร่ แต่เขาที่ต้องคอยกดรับสายตลอดเวลา เผื่อเจ้าของเครื่องจะโทรเข้ามาทวงคืนของหาย สุดท้ายก็ไร้วี่แวว ไปๆ มาๆ เลยปิดมันเสียเลย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้ทำงานกันพอดี
   
เขาหาวหวอด มือเผลอปัดปากกาจนตกลงไป รีบก้มลงไปเก็บ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องชะงักกึก เมื่อปลายจมูกของอีกฝ่ายแทบจะแตะกับแก้มเขาอยู่แล้ว
   
“นี่เราสนิทกันขนาดเข้ามาใกล้ได้ขนาดนี้เลยเหรอครับ หืม?” ถามพลางเลิกคิ้วใส่อีกฝ่าย ไม่ได้เอียงใบหน้าหลบ
   
“กลิ่นวานิลลา” เจ้าตัวว่า แล้วก็ก้มลงมาดมฟุดฟิดแถวปกเสื้อ ทิ้งลมหายใจอุ่นๆ เอาไว้ก่อนจะดันตัวกลับไปยืนนิ่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   
“...” วันสุขมองตามการกระทำนั่น ไม่รู้ว่าควรโกรธกับการกระทำแบบนี้ หรือว่าควรจะขำตัวเขาเองดีที่ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอะไร
   
“น้ำหอมพี่กลิ่นแปลกดี เหมือนกลิ่นขนม...” ซานพูดเสียงเอื่อย ตาวาว ทำท่าสนใจเหมือนเจอของแปลก
   
“อ้อ... ยังมีกลิ่นติดอยู่อีกเหรอเนี่ย? ก่อนออกจากบ้านพี่เพิ่งอบเค้กไปน่ะ ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมหรอก” ว่าแล้วก็ดึงปกเสื้อตัวเองขึ้นมาแตะจมูก  ลาดไหล่โผล่พ้นเชิ้ตดำรำไร
   
เด็กหนุ่มยกยิ้มมุมปากอีกครั้ง วันสุขเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้ชอบทำแบบนั้น อาจจะคล้ายกับเวลาที่เขาชอบเอียงคอตอนไม่รู้จะพูดอะไรดีล่ะมั้ง?
   
“พี่ทำขนมเป็นด้วย?”
   
“งานอดิเรกน่ะ พี่ชอบทำนะ แต่ไม่ค่อยชอบกินเองเท่าไหร่” เวลาทำทีไรก็เผลอทำออกมาเยอะจนกินไม่หมดทุกที ส่วนมากก็จะเทใส่กล่องเก็บไว้ในตู้เย็น พอถึงวันที่จะเข้าไปดูร้านถึงค่อยเอาไปแจกจ่ายให้คนที่นั่น
   
“ผมก็ชอบกิน แต่ไม่ค่อยได้ทำเองเท่าไหร่”
   
วันสุขเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าเข้าใจถูก หรือว่าต่อมรับรู้ด้านการสื่อสารของเขาบกพร่อง ประโยคที่คนตรงหน้าพูดมันถึงดูไม่ได้สอดคล้องกับของเขาชอบกล
   
เงียบกันไปสักพัก... เขาเองก็หยิบงานที่ตรวจค้างเอาไว้มานั่งตรวจต่อ แต่คนที่ยืนมองมานิ่งๆ นั่นไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลับออกไปเลยแม้แต่น้อย เสร็จธุระแล้วทำไมยังไม่ออกไปอีกนะ?
   
“มายืนจ้องพี่ทำไมครับ?” อดถามออกไปไม่ได้ จ้องกันนานๆ สมาธิตรวจงานมันพานจะลดลงเรื่อยๆ ชอบกล
   
“เพื่อนในคณะมีแต่คนพูดถึงพี่” ซานว่า
   
“ครับ? ด้านไม่ค่อยดีล่ะสิ พี่ชินแล้วล่ะ” ก็ตั้งแต่เข้ามาช่วยคุณอาได้สักพัก ก็มีเรื่องวุ่นๆ มาตลอด มีคนรักย่อมมีคนชังเป็นปกติ ถึงต่อหน้าก็ยิ้มแย้มกันดี พอลับหลังก็เอาไปนินทา ไม่ก็ตั้งฉายาประหลาดให้
   
หลายครั้งเขาก็อดโมโหไม่ได้ แต่จะไปทำอะไรได้ล่ะ... บางทีก็ไม่รู้ว่าจะโกรธไปทำไมเหมือนกัน ในเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นว่า ดิ้นเต้นไปก็เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
   
“ก็ไม่เชิง...” เสียงทุ้มนั่นทำท่าชั่งใจแล้วเปิดปากเล่าต่อ “บางอย่างมันไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ แต่ผมว่านิสัยพี่ดูแล้วแตกต่างจากรูปร่างภายนอกชอบกล” ได้ฟังแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว วางปากกาลงกับโต๊ะ แล้วเท้าคางมองคนพูดอย่างนึกสงสัย
   
“ยังไงล่ะ? ไม่อธิบายพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ”
   
“ผมมองแวบแรกแล้วนึกว่าพี่เรียนหมอ แต่จริงๆ แล้วพี่เหมือนแม่บ้านมากกว่า” นี่ก็อีกคน...
   
เมื่อเช้าคุณอาก็ทักเขาไปแล้วรอบหนึ่ง ตกบ่ายก็โดนเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งคุยกันได้ไม่เกินสามชั่วโมงทักไปอีกรอบ คิดแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เอามือตีแก้มตัวเองเบาๆ แล้วเปิดกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาส่องแทนกระจก
   
“หน้าตาท่าทางพี่เหมือนแม่บ้านขนาดนั้นเลยเหรอ?”
   
“ท่าทางพี่เหมือน แต่หน้าตาไม่เหมือน ผมชอบปากพี่นะ สีส้มสวยดี” มาชมกันซึ่งหน้าแบบนี้ เขาเองก็ไปต่อไม่ถูก ได้แต่ยิ้มขำ เอียงคอไปมาอารมณ์ดี
   
“ชมกันแบบนี้ เดี๋ยวคราวหน้าจะอบเค้กมาให้กิน”
   
“ขอเค้กวานิลลา” ได้ทีก็เอ่ยสั่งเสร็จสรรพ
   
“ชอบเค้กวานิลลาเหรอครับ?” อดจะสงสัยไม่ได้ เพราะท่าทางคนพูดก็ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นพวกชอบของหวานเท่าไหร่
   
“เปล่า... หอมดีน่ะ ผมชอบกลิ่นวานิลลานะ อา...ต้องกลับแล้ว ขอบคุณเรื่องมือถือนะครับ บายครับ” พูดเรื่อยๆ พลางโบกมือไหวๆ แล้วก็หลบหายไปหลังม่านกั้นอย่างรวดเร็ว เสียงปิดประตูดังตามต่อมา เหลือทิ้งไว้แค่นายวันสุขซึ่งนั่งหัวเราะอยู่คนเดียว...
   
อยากไปก็ไป อยากมาก็มา... เขาชักจะนึกออกแล้วว่าเจ้าเหมียวที่มันกระโดดเข้ามาขัดฝันหวานของเขา จริงๆ แล้วหน้าตามันเป็นอย่างไร


   

กว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ก็โดนป้ายลดราคาดูดให้เข้าไปหา วันสุขคิดว่าตัวเองชักจะเริ่มมีนิสัยเพี้ยนๆ เพิ่มเข้ามาทีละอย่างสองอย่าง ถ้าให้ตัวเขาเมื่อสิบปีก่อนมายืนมองวันสุขในสิบปีถัดมา แต่ละคนคงทำหน้าพิลึกพอดู
   
“กลับเสียเกือบค่ำ”
   
คำทักทายต้อนรับกลับบ้านดังมาจากผู้ใหญ่ที่นั่งอ่านหนังสือบนโซฟากลางห้อง ดูท่าจะหิ้วท้องรอข้าวเย็นตามปกติ ความจริงแล้วคนที่มีส่วนในการเปลี่ยน นายวันสุข ให้กลายมาเป็นเขาคนปัจจุบันคนนี้ก็คุณอานี่แหละตัวการ
   
“พอดีผมแวะไปซื้อของสดเพิ่มน่ะครับ”
   
“ตู้เย็นไม่มีที่จะเก็บแล้ว ยังจะไปซื้ออะไรเพิ่มอีก”
   
ได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วก็รีบกุลีกุจอหอบถุงพะรุงพะรังเข้าไปที่หลังครัว มันก็เยอะอย่างที่คุณอาว่าจริงๆ นั่นแหละ  ถ้ามีสมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้นมาสักคนสองคนก็คงดีเหมือนกัน... ของในตู้คงจะลดลงไปเร็ว โต๊ะอาหารก็คงจะอบอุ่นดี
   
“เย็นนี้อะไรง่ายๆ แล้วกันเนอะ” อย่างผัดผักใส่กุ้ง ไข่ตุ๋นเนื้อเนียน แล้วก็ข้าวผัดกับแฮม
   
ลิสต์เมนูได้ก็เริ่มล้งเล้งกับเครื่องครัวอย่างทุกวัน ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหรอก ออกจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมตอนลองไปลงครัวเองที่ร้านกลับไม่รู้สึกว่ามีความสุขแบบนี้ก็ไม่รู้
   
“กุ้งเยอะเกินไปหรือเปล่า?” คุณอาเดินเข้ามาทักทันทีที่เห็นว่าปริมาณกุ้งกับผักมันไม่ค่อยจะสมดุลเอาเสียเลย
   
วันสุขอมยิ้ม จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่ายังเหลือกุ้งที่กลัวว่าจะเสียอีกเกือบกิโลในตู้เย็น บอกไปมีแต่โดนเอ็ด เพราะฉะนั้นรอโดนดุทีเดียวพรุ่งนี้พร้อมกับข้าวผัดกุ้งไปเลยน่าจะดีกว่า
   
“จริงสิครับคุณอา วันนี้ผมโดนทักว่าเหมือนแม่บ้านด้วย” อดฟ้องไม่ได้ มือก็ตักผัดผักขึ้นจากกระทะ ขาตรงดิ่งไปหาข้าวที่หุงเมื่อวานในตู้เย็น ล้างแฮม ซอยแครอทไปตามประสา แต่ปากก็ยังพูดไปเรื่อย
   
“นี่ผมเหมือนแม่บ้านขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?”
   
“ยังกล้าใช้คำว่า ‘เหมือน’ นะ” ศีรษะถูกโยกด้วยมือหนาหยาบกร้าน มือของคุณอาอุ่นดี อยากจะลงไปดิ้นกอดขากอดเอว แล้วขอให้เล่านิทานก่อนนอนแบบสมัยก่อนเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะโดนดีดหน้าผากกลับมาแทนนี่สิ
   
“ถ้าไม่ใช้คำว่า ‘เหมือน’ แล้วจะให้ผมใช้คำไหนล่ะครับ?” ตอกไข่ใส่กระทะ เทสารพันของลงไปเหมือนไม่ค่อยตั้งใจจะทำนัก
   
คุณอาหันมาขมวดคิ้วใส่ กวาดตามาที่เขา มองขึ้น มองลง แล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก ราวกับคนกำลังสนับสนุนความคิดตัวเอง
   
“ต้องบอกว่า ‘เป็น’ เลยต่างหาก”
   
ตะหลิวแทบหลุดมือ... ใครจะบอกว่าเขาเป็นพวกไม่ชอบฟังความจริงก็ตามใจ ความจริงแบบนี้ใครมันจะไปอยากได้ยิน ถ้าเอาไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟังคงโดนมันหัวเราะเยาะใส่ เพราะรายนั้นก็ชอบล้อเขาบ่อยๆ
   
“เดี๋ยวผมจะหาผู้ชายมาแต่งเข้าบ้านให้รู้แล้วรู้รอด จะได้รับตำแหน่ง นายวันสุข เดอะ แม่บ้าน ตามที่คุณอาอยากให้เป็นนัก” เขาประชด
   
“เราจะทำอะไรมันก็เรื่องของเรา อายุปูนนี้... ไม่ครองโสดจนตาย อาก็ดีใจแล้ว” ชายร่างสูงใหญ่วัยห้าสิบกว่าหัวเราะลั่นอย่างอารมณ์ดี ส่วนเขาจะไปทำอะไรได้ล่ะนอกจากเบ้หน้าใส่
   
มื้ออาหารผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เขาก็รายงานคะแนนนักศึกษากับพวกคะแนนการบ้านให้ฟังตามปกติ น่าแปลกที่ไม่มีชื่อของซานตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงแต่อย่างใด
   
จริงๆ แล้วข้อสอบที่เด็กคนนั้นทำ พอเขาเอามาตรวจก็ถูกเกือบหมด เขียนละเอียด ลายมือไม่ชวนปวดหัวอย่างของคนอื่น คุณอาเองก็ไม่มีทีท่าอะไร วันสุขคิดว่าท่านคงรู้อยู่แต่แรก เลยทำเฉยๆ ไม่เคยเอาเรื่องเอาราวตัวสร้างปัญหานี่อย่างจริงๆ จังๆ
   
“น้องปรัชญ์ก็เก่งนะครับ ทำควิซ ทำการบ้าน คะแนนดีตลอด เรื่องที่ดรอปเรียนไป ผมว่าคงไม่ใช่เพราะเจ้าตัวมีปัญหาเรื่องเรียนแล้วล่ะ” เขารายงานเรื่องของคนที่ต้องดูแลอีกคน ส่วนคุณอาทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรมากนัก คุยกันไปล้างจานกันไปก็สนุกดีเหมือนกัน


   

พอจัดการอะไรเสร็จเขาก็แอบหลบขึ้นมาชั้นบน นอนหลับตาแช่ตัวในน้ำอุ่นๆ แล้วก็เหมือนนึกธุระอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ เหลือบตามองนาฬิกาอย่างชั่งใจ แล้วก็เอี้ยวตัวไปคว้าโทรศัพท์มือถือในกล่องกันน้ำออกมากดเบอร์ที่บันทึกไว้เมื่อเช้า
   
“สวัสดีครับ ร้าน Green & Green ครับ”
   
เสียงนุ่มนวลกรอกมาตามสายทำเอาต้องเลิกคิ้ว ร้านเปิดดึกดีเหมือนกันนะ
   
“สวัสดีครับ คือผมจะมาสอบถามเรื่องราคาต้นไม้ครับ แล้วไม่ทราบว่าที่ร้านมีบริการรับจัดสวนหรือเปล่า?” ขยับตัวเล็กน้อยจนเสียงน้ำดังก้องไปทั่วห้อง ปลายสายเงียบไปสักพักแล้วถึงค่อยตอบกลับมา
   
“มีครับ แต่เรื่องราคาต้องรบกวนคุณลูกค้าเข้ามาดูด้วยตัวเองครับ เพราะต้นไม้แต่ละต้นราคาจะไม่เท่ากันครับ แต่ถ้าเป็นราคาคร่าวๆ ทางร้านสามารถส่งรายละเอียดเข้าอีเมล์ไปให้ได้ครับ”
   
นึกว่าต้องถ่อไปเองเสียแล้ว จะว่าไปเสียงที่พูดมาตามสายนี่นุ่มสบายจังเลยนะ... ฟังแล้วชวนให้อยากหลับดีจริงๆ
   
“ไม่ทราบว่าร้านตั้งอยู่แถวไหนครับ?” แต่คิดไปคิดมาแล้วเข้าไปดูเองน่าจะสะดวกกว่า ซึ่งพอฝ่ายนั้นบอกที่ตั้งร้านมา ก็ทำเอาเขาหัวเราะแผ่ว เพราะบังเอิญที่มันอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยพอดี
   
พวกเขาคุยรายละเอียดกันไปสักพัก สุดท้ายเจ้าของเสียงนุ่มนั่นก็ถามชื่อ และช่องทางติดต่อกลับ
   
“ชื่อ วันสุข ครับ เบอร์ติดต่อกลับก็เบอร์โทรนี้เลย”
   
“พี่วัน?” เสียงอุทานดังมาจากปลายสายทำเอาเลิกคิ้วแปลกใจไม่ได้
   
“ทราบชื่อเล่นผมได้ยังไงครับ?”
   
“เอ่อ... นี่ปรัชญ์เองครับ... ปวรปรัชญ์” เจ้าตัวว่าเสียงแผ่ว ส่วนเขาก็ได้แต่หลุดหัวเราะ ยกขาตีน้ำไปมาอารมณ์ดี แบบนี้คงไม่ต้องเกรงใจอะไรกันอีก โลกนี่ก็กลมดี กลมจนน่ากลัวเชียวล่ะ...
   
“อ้อ... น้องปรัชญ์สินะ? พี่จำเราได้อยู่ ยังไงก็เตรียมตัวต้อนรับพี่ไว้ได้เลย ส่วนวันนัดเดี๋ยวค่อยตกลงกันอีกทีแล้วกัน” ชันกายลุกขึ้นจากอ่างน้ำ ได้ยินเสียงหลดอุทานมาจากปลายสาย
   
“ผมได้ยินเสียงน้ำ...”
   
“อ้อ... พี่อาบน้ำอยู่น่ะ ไม่มีอะไรหรอก แช่นานๆ แล้วขี้เกียจลุก ก็เลยโทรคุยกับเราทั้งแบบนั้นแหละ” อธิบายเสร็จสรรพ แล้วก็หัวเราะตบท้ายเป็นอันจบ ฝั่งนู้นเงียบไปในทันทีที่เขาลงมือเปิดฝักบัว... เคสกันน้ำที่เพื่อนสนิทซื้อมาให้ใช้นี่สะดวกดีจริงนะ
   
“อ้าว... เงียบไปซะแล้ว... ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจอกันใหม่ครับ พี่ขอจัดการกับตัวเองหน่อยแล้วกัน” ว่าแล้วก็กดวางสายพลางอมยิ้ม เทอมนี้นี่มีเรื่องมาทำให้อารมณ์ดีเยอะแยะหลายเรื่องเลยทีเดียว
   
ว่าแล้วก็ยืนให้น้ำไหลผ่านร่างไปเฉยๆ เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นขัดจังหวะ วันสุขยกมือเสยผมปรกตาออก แล้วเอื้อมแขนไปคว้าโทรศัพท์มากดดูอีกครั้ง เบอร์โทรที่ไม่รู้จัก แต่รูปประโยคนี่ อ่านเพียงรอบเดียวก็ไม่ต้องเดาว่าใครส่งมา...
   
‘เบอร์โทรผมหาย พี่เก็บได้แล้วบอกที’


To be continued...


ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้นะครับ  :L2:
จะค่อยๆ ลงเรื่อยๆ น่อ

ปล. สำหรับคุณอาไม่มีอะไรในก่อไผ่นะ XD

ออฟไลน์ michiri.sama

  • ลูกเป็ดที่หมกมุ่นในโลกสีม่วง (´∀`)♡
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อ๊าา เผลอจิ้นคุณอากับวันไปนิดนึง สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
การกระทำอะไรหลายๆอย่างของอาหลานคู่นี้ดูอบอุ่นมากค่ะ
วันก็แม่บ้านแม่ศรีเรือนซะเหลือเกิน ยังกับเป็นคู่สามีภรรยาที่อยู่กันมาแรมปี 555555

อยากรู้จังข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับวันคืออะไร

ตำแหน่งพระเอกน่าสงสัยอยู่สองคน
ซานหรือปรัชญ์กันน้า

ปรัชญ์พอรู้ว่าพี่วันอาบน้ำอยู่ก็เงียบไปเลย คิดอะไรอยู่จ๊ะ อิอิ

ชอบเรื่องนี้มากน้า ชอบนิสัยวันจริงๆนั่นแหละ
จะใสซื่อก็ไม่เชิง จะแอบร้ายก็ไม่ใช่ แลดูกึ่งๆดี

ติดตามจ้าาา มาต่อเร็วๆน้าา ^^

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ตัวเก็งโผล่มาแล้วสองคน โอ้ยยยยยย  :hao7:   

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
ขอบคุณนักเขียนมากค่ะ  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ บ๊ายบายโพ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ชอบบบ รออ่านอีก :mew3:

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 2 กลิ่นดิน กลิ่นกาแฟ


ช่วงนี้ที่มหาวิทยาลัยดูจะมีบรรยากาศระอุขึ้นชอบกล เขาเห็นเป็นแบบนี้มานานก็อดเหนื่อยใจไม่ได้ ช่วงเปิดเทอมใหม่จะยังมีแต่กิจกรรมสนุกสนานเสมอ
   
แต่พอเข้าช่วงอาทิตย์ที่สองหรือสาม แทบทุกคณะก็จะเลี้ยวหักโค้งเข้าสู่การรับน้องอย่างแท้จริง โดยเฉพาะคณะที่คุณอาเขารับสอนเทอมนี้ สภาพอ่อนเปลี้ยของนักศึกษาหน้าใหม่ทั้งหลายชวนให้คลาสแต่ละวันดูหดหู่ชอบกล
   
วันสุขนึกสงสัยหลายครั้งว่าระบบแบบนี้ช่วยอะไรได้ โชคดีที่กิจกรรมไม่ได้รุนแรงขนาดสมัยก่อน เห็นมีเรื่องมีราวกันบ้างตามประสา การบ้านที่คุณอาสั่งกับจำนวนที่มีคนส่งก็ลดลงไปมาก หลายคนเริ่มจะปรับตัวไม่ทัน คงจะยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกกิจกรรม หรือการเรียนก่อนดี
   
ทว่าเขาก็แอบอิจฉาเด็กๆ อยู่เหมือนกัน... ช่วงวัยที่ยังมีพลังล้นเหลือแบบนั้น อดคิดถึงวันวานสมัยก่อนที่โดนรุ่นพี่สั่งวิ่งรอบคณะหลายสิบรอบไม่ได้ ส่วนตอนนี้อย่าว่าแต่วิ่งเลย แค่เขาเดินขึ้นบันไดชั้นสามก็หอบหน่อยๆ แล้ว แต่น่าแปลกตรงที่ทำงานบ้านทั้งวี่ทั้งวัน แต่ไม่ยักเหนื่อยนี่สิ...
   
อา...จะยอมรับก็ได้เรื่องที่โดนกล่าวหาว่าทำตัวเหมือนแม่บ้าน เพียงแค่ช่วยเปลี่ยนคำเรียกเป็น ‘พ่อบ้าน’ แทน ฟังดูมันชวนสบายใจกว่าเป็นไหนๆ ซึ่งเรื่องนี้เขาเคยอภิปรายกับคุณอาไปแล้ว แต่ท่านกลับไม่มีทีท่าว่าจะเห็นด้วยเลยสักนิด ซ้ำยังแกล้งหยอก เรียกเขาว่า ‘แม่บ้าน’ แทนชื่อทุกวัน
   
หลายวันก่อนคุณอาเข้ามาถามความคิดเรื่องแต่งงาน แปลกใจดีเหมือนกัน... ถึงจะเคยโดนถามทำนองนี้หลายครั้งแล้ว แต่มันก็ไม่จริงจังเท่าครั้งนี้
   
เขาเองก็พอจะเข้าใจ คุณอาเคยแต่งงานครั้งหนึ่งเมื่อสมัยเขายังเด็กมากๆ จำได้แค่ว่าภรรยาท่านเสียชีวิตหลังจากนั้นหนึ่งปี ด้วยที่ยังทำใจไม่ได้ ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงเวลาที่รับเขามาเลี้ยงพอดี ท่านเลยเลี้ยงเขาเสียเหมือนลูกชายตัวเองจริงๆ
   
คงถึงช่วงเวลาที่ท่านอยากจะอุ้มหลาน... คิดกี่ทีก็ได้แต่ยิ้มขำ นึกภาพตัวเองไม่ออก ถ้าหากต้องแต่งงานกับผู้หญิงสักคน...จะเป็นอย่างไร?
   
“คุณอาสนใจอยากเลี้ยงแมวไหมล่ะครับ?”
   
เคยถามแบบนี้ไป แต่ท่านดันทำหน้าพิลึกใส่เสียอย่างนั้น
   
“แพ้ขนแมวไม่ใช่หรือไงเรา? เลี้ยงแล้วเดี๋ยวก็ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ ”
   
มันก็จริง...


   

เช้ากี่เช้าก็ยังเหมือนทุกวัน... ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน ลงไปรดน้ำต้นไม้ พรวนดินบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย เอาของเหลือในตู้เย็นไปทิ้งที่ถังขยะหน้าบ้าน อาหารเช้าก็ถูกเตรียมง่ายๆ อย่างทุกที
   
ช่วงนี้เขาโดนคุณอาสั่งห้ามซื้อกุ้งเข้าตู้เย็น เพราะตั้งแต่มื้อเช้าเป็นข้าวต้มกุ้งวันนั้นก็มี ข้าวผัดกุ้ง ไข่เจียวกุ้ง ฉู่ฉี่กุ้ง ต้มยำกุ้ง ตามมาอีกเป็นกระบุง ขนาดเขาทำเองยังเบื่อเอง...
   
“วันนี้ผมจะเข้าไปที่ร้านนะครับ” ว่าแล้วก็ตักไข่คนกับมันฝรั่งผัดเนยใส่จาน คุณอาไม่ชอบทานขนมปังตอนเช้า เขาก็เลยไม่ได้ปิ้งเผื่อ
   
“ส่งเสริมให้ไขมันไปอุดตันเส้นเลือดอาหรือไง?” ท่านว่าขำๆ ถึงจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังรักษาสุขภาพเหมือนสมัยหนุ่มๆ
   
เขาไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่คุณอาเขาน่ะหล่อเหลาเอาการเชียวเลยล่ะ แตกต่างจากคุณพ่อของเขาลิบลับ... หล่อเข้มกับหล่อแบบเจ้าราตรี คำจำกัดความแบบที่เขาพอจะนึกออก
   
“พักหลังมานี่อาไม่ค่อยจะเห็นเราเข้าร้านเลย”
   
“ไม่ค่อยมีอะไรน่าห่วงน่ะครับ เลยไม่ต้องเข้าไป แต่พอดีช่วงนี้เวย์มันจะจัดสวนของร้านใหม่ ผมเลยต้องเข้าไปดูหน่อยว่าจะแก้ตรงไหนเพิ่มบ้าง” ชื่อของเพื่อนสนิทมีเอี่ยวเข้ามาในวงสนทนา คุณอาพยักหน้าอือออแล้วยกกาแฟไม่ใส่น้ำตาลขึ้นดื่มอึกๆ
   
“เห็นเราไม่ค่อยพูดถึงร้าน อาก็นึกว่าเจ๊งไปแล้ว”
   
แทบสำลักมันฝรั่ง...
   
“อย่ามาแช่งกันสิ เห็นแบบนี้ยอดขายดีวันดีคืนนะครับ เดือนก่อนนิตยสารยังมาสัมภาษณ์อยู่เลย อีกอย่างเวย์มันโทรมาเล่าให้ฟังว่าเดี๋ยวนี้มีคนเข้าร้านเยอะขึ้น เพราะได้ตัวเรียกลูกค้าแบบไม่ต้องเสียเงินจ้าง” ว่าแล้วเอียงคอนึกถึงคำพูดของเพื่อนสนิทซึ่งได้คุยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน “รู้สึกว่าจะเป็นเฟรชชี่อะไรสักอย่าง?”
   
“แสดงว่าเราน่ะตกกระป๋องแล้ว” คุณอาว่า วันสุขทำหน้ายู่ใส่
   
“ตกกระป๋องเสียเมื่อไหร่ ผมเข้าร้านไปทีไรมีแต่สาวๆ แวะเข้ามาทั้งนั้น” เมื่อก่อนน่ะนะ... ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะยังเหมือนเดิมไหม เพราะเข้าไปตรวจร้านทีไร เขาก็ชอบหลบอยู่ด้านหลังมากกว่า ให้ไปเดินรับออร์เดอร์ หรือยืนคิดเงินที่เคาน์เตอร์น่ะทำไม่ไหวหรอก
   
“จริงสิ เมื่อวานบ่ายๆ มีซองแปลกๆ มาหย่อนไว้ที่หน้าบ้าน จ่าซองถึงเราน่ะ อาก็ลืมบอกไปเลย วางไว้ตรงโทรศัพท์หน้าบ้านนะ”
   
“ครับ เดี๋ยวออกไปเอา” เขารับคำเบาๆ แล้วละเลียดจัดการอาหารเช้าต่อไป
   
หลังจากคุณอาออกไปทำงานได้ไม่นานก็ลองเดินไปดูเจ้าซองที่ว่านั่น ซองสีขาวเกลี้ยงเกลาไม่มีอะไรนอกจากชื่อของเขาที่เขียนหวัดๆ ด้วยเส้นสีน้ำเงินอ่อนเหมือนปากกาหมึกใกล้หมด พลิกไปพลิกมาก็ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร จนกระทั่งเขาฉีกมันนั่นแหละ...
   
“โอ๊ย!”
   
นิ้วโป้งถูกบาดด้วยอะไรสักอย่างจนเลือดไหลซิบ สะบัดมือไล่ความเจ็บ แล้วแหวกซองออกมาจนเจอะกับใบมีดแบบอ่อนซึ่งติดแนบอยู่ข้างใน... วิธีคลาสสิกแบบนี้ใช่ว่าจะเจอครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ จำได้ว่าในอดีตก็เคยโดนแกล้งบ่อยๆ แต่ใครกันที่ส่งมันมาให้เขา?
   
วันสุขอดคิดมากไม่ได้ เรื่องราวร้ายๆ ในวันวานยังตามมาหลอกหลอนจนถึงทุกวันนี้ อดที่จะยกมือตัวเองขึ้นมามองเลือดสีเข้มอย่างนิ่งงันแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
   
บางทีมันอาจจะเป็นแค่การแกล้งกันเล่นๆ อีกทั้งคนที่รู้ที่อยู่เขาก็มีไม่น้อย จะให้มานับเป็นรายคน หาตัวผู้ร้าย มันไม่ใช่ธุระเลยสักนิด... คงต้องวางเรื่องนี้ไปก่อน เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องจัดการ


   
“สวัสดีครับ เจ้าของร้านมาเยี่ยม มีใครดีใจกันไหมเอ่ย?”
   
หอบกล่องถนอมอาหารแล้วโผล่หน้าเข้าไปด้านหลังของบ้านสองชั้นกลางสวนสวย พนักงานที่เพิ่งออกกะชะงักกึกทันทีที่เห็นหน้าเขา แล้วก็พากันโวยวายเสียงสนั่น
   
“ขนม! ขนมมาแล้วพวกเรา ขนม!!”
   
ของในมือถูกคว้าไปอย่างรวดเร็วโดยเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง วันสุขยืนนิ่งยิ้มค้าง ทอดสายตามองภาพปลาสวายรุมขนมปังอย่างนึกปลงในใจ
   
นับวันเขาชักจะได้รับความเคารพจากลูกร้านน้อยลงทุกที กลับกัน... พอพูดถึงชื่อ เวย์ ขึ้นมา แต่ละคนจะเดินหลังตรงคอตั้งอย่างกับสวนสนามในค่ายฝึก
   
“อ้าวคุณวัน สวัสดีค่ะ”
   
ผู้จัดการร้านหน้าสวยเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร เห็นแบบนี้แล้วเธออายุเยอะกว่าเขาเสียอีก มีลูกแล้วสามคน แฝดซนๆ คู่หนึ่งแล้วก็เจ้าตัวเล็กที่เพิ่งคลอดเมื่อปีกลาย
   
“สวัสดีครับ” ว่าแล้วก็แอบชะโงกคอไปที่หน้าร้าน หันซ้ายแลขวาเหมือนคนกำลังมองหาอะไรอยู่
   
“มองหาอะไรหรือคะคุณวัน?” เธอถามอย่างสงสัย ก่อนจะหันไปเอ็ดฝาแฝดที่วิ่งเข้ามาเกาะขาเขาจนเกือบล้ม
   
เด็กๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวแบมือขอขนมขอลูกอมอย่างเคยชิน วันสุขหัวเราะเอ็นดู จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณลุงใส่หมวกแดง แบกถุง ขี่เรนเดียร์ ชอบกล
   
“วันนี้เอาตัวแสบมาที่ร้านด้วยเหรอครับ?”
   
“ค่ะ บ่ายๆ ว่าจะพาพวกแกไปตรวจสุขภาพเสียหน่อย เรื่องงานก็ขอลาคุณเวย์เขาเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ” เธอรายงานอย่างรู้ทันว่าเขาจะถามอะไร “คุณวันยังไม่ตอบคำถามเลยว่ามองหาอะไรอยู่”
   
“อ้อ เวย์มันมาโม้เรื่องลูกค้าใหม่น่ะครับ ผมก็เลยอยากเห็นว่าเป็นยังไง” พอพูดจบเธอก็หัวเราะคิก
   
“สักเกือบเที่ยงเดี๋ยวก็เข้ามาแล้วล่ะค่ะ สาวๆ ที่นี่กรี๊ดกันใหญ่ คุณเวย์ก็ดูชอบใจ เพราะเขาช่วยเรียกลูกค้าเข้าร้านเราแบบไม่รู้ตัว”
   
“หืม? แบบนี้ผมคงต้องลงครัวเองเป็นสัมมนาคุณพิเศษซะแล้วสิ” ว่าแล้วก็ย่อตัวลงหอมแก้มฝาแฝดกันไปคนละที
   
เขาเคยเป็นคนไม่ชอบเด็ก สมัยก่อนมักมองว่าน่ารำคาญ แต่พอลองได้เปิดใจ ก็ต้องพบว่าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเหล่านี้มักจะทำให้เขาได้ยิ้มและหัวเราะเสมอ
   
“อาวันทำขนมให้เค้ากินหน่อย” เสียงใสจากเด็กหญิงผมสั้นดังขึ้นแล้วก็กอดแขนเขาหมับ
   
“ทำให้ผมด้วย อยากกินมะนาวชีส” เด็กชายที่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเข้ามากอดแขนอีกข้างเขาบ้าง
   
“เอ... เลมอนชีสพายวันนี้อาก็เอามานะครับ อยู่ในกล่องตรงนู้นแน่ะ” ชี้ไปที่เป้าหมาย ก่อนที่แขนจะถูกปล่อยเป็นอิสระ เด็กๆ ตัวเล็กวิ่งเข้าไปรุมขนมกันอย่างสนุกสนาน คนเป็นแม่ซึ่งยืนข้างเขาก็หัวเราะคิกคัก
   
“คุณวันเข้ากับเด็กได้ดีจริงๆ ค่ะ แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่หาภรรยาเสียที” คำถามแบบนี้อีกแล้ว...
   
“ยังไม่พร้อมจะรับใครน่ะครับ บางทีผมยังคงรักอิสระอยู่ โสดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันออก” ว่าพลางรับผ้ากันเปื้อนครึ่งตัวมาผูกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตีมือแปะเรียกพนักงานให้เข้ามารวมตัวกัน โชคดีที่ช่วงสายของวันลูกค้าบางตากว่าที่ควร งานเลยไม่ได้ติดพันกันเท่าไหร่
   
“อีกไม่นานที่ร้านจะมีการปรับแต่งสวนใหม่ ผมอยากให้ทุกคนลองเขียนสิ่งที่อยากได้ หรือสิ่งที่ลูกค้าเคยบ่นไว้แล้วส่งเข้ามาในอีเมล์ผมหน่อย กำหนดก่อนเย็นวันศุกร์นี้นะครับ” ว่าเรียบเรื่อยแล้วก็ปล่อยให้แต่ละคนไปทำงานของตัวเองต่อ ส่วนเขาก็เดินออกไปประจำหน้าร้าน วันนี้นึกครึ้มแปลกๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน
   
เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามากระทบประสาทหู เขาละมือจากถ้วยแก้วพลางเงยหน้าขึ้นมองลูกค้าเจ้าของรถสีขาวนวลสวย สาวๆ ในร้านส่งเสียงฮือฮาเป็นสัญญาณว่าคนที่เพื่อนสนิทเคยพูดถึงได้มาปรากฏตัวแล้ว...
   
วันสุขเพ่งสายตามอง ชักจะเริ่มคุ้นๆ เจ้าคนใส่แว่นดำนั่นพิกล... จนเมื่อเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น และแว่นกันแดดถูกดึงออกจากจมูกโด่งสวยนั่น เขาก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
   
“อ้าว น้องซานเองหรอกเหรอ?” หัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าไปทัก เด็กหนุ่มยกยิ้มมุมปากมาให้อย่างที่ชอบทำประจำ หูเขาเองก็แว่วเสียงแปลกใจจากห้องครัว คงจะสงสัยกันล่ะสิว่าทำไมพวกเขาถึงรู้จักกัน? แต่ถึงจะโดนเค้นก็ไม่บอกหรอกนะ...
   
“พี่วันทำงานที่ร้านนี้เหรอครับ?” เจ้าตัวถามแล้วกวาดตามองเขายิ้มๆ วันสุขก้มลงมองตัวเองบ้างแล้วหัวเราะขำ กางแขนหมุนรอบหนึ่งอย่างนึกสนุก อยากมองก็ให้มองเสียสามร้อยหกสิบองศา
   
“อืม... ไม่ได้ทำงาน แต่เป็นหนึ่งในเจ้าของร้าน”
   
คนตรงหน้าเลิกคิ้วแปลกใจทันทีที่ได้ฟัง ชั่วแวบหนึ่งประกายสงสัยก็ฉาบวาบผ่านดวงตาคมคู่นั้น ซานไม่พูดอะไรต่อ ร่างสูงตรงดิ่งไปนั่งยังมุมร้านซึ่งดูเป็นส่วนตัวมากที่สุด มือก็กวักเรียกเขาให้เข้าไปใกล้
   
“อะไรครับ? อยากทานอะไรดีล่ะ บอกมาเลยเดี๋ยวพี่ลงครัวให้เอง” ว่าเรื่อยๆ แต่ก็ยอมเดินเข้าไปหา
   
“ขอถ่ายรูปคนดังก่อน” จบประโยคก็ยกกล้องมือถือขึ้นมา ขณะที่เอวของเขาถูกคว้าอย่างถือวิสาสะ
   
วันสุขนิ่งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร ส่งยิ้มเรียบๆ ให้กล้อง ส่วนใครอีกคนดูเหมือนจะโน้มหน้ามาใกล้จนแก้มแทบจะชนกัน เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอีกครั้งสองครั้ง ก่อนที่เขาจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
   
“จริงๆ แล้วทางร้านไม่มีนโยบายถ่ายรูปกับพนักงานนะครับ” พูดไปยื่นเมนูให้อีกฝ่ายไป
   
“แต่พี่เป็นเจ้าของร้าน ผมไม่ถือว่าเป็นพนักงานนะ” คนอ่อนกว่าว่า มือก็กดยุกยิกลงบนจอสัมผัส “ผมโพสต์รูปพี่นะ” มีการหันมาขออนุญาต แต่มือน่ะกดปุ่มโพสต์ไปแล้วเรียบร้อย
   
“พี่ยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ”
   
“ผมก็แค่ถามเป็นมารยาทเฉยๆ ” พูดอย่างเอาแต่ใจ ส่งยิ้มทะเล้นมาให้ เห็นแล้วก็อยากจะมะเหงกใส่สักทีเหมือนกัน
   
“อ้าว... เอาล่ะ จะกินอะไรดี เดี๋ยวให้ฟรีมื้อนึง”
   
“ฟรีตลอดชีวิตเลยไม่ได้เหรอ?” ทำเสียงออดอ้อนไม่สมตัวแล้วก็แนบหน้าลงกับโต๊ะพลางส่งสายตาใสๆ มาให้
   
วันสุขชะงักไป เมินหน้าไปทางอื่น รู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของอีกคน ปกติเจอกันทีไรเด็กคนนี้ก็พูดน้อยตลอด ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีด้านที่ดูสมเป็นเด็กแบบนี้เหมือนกัน
   
“ไม่ได้ครับ” เขาว่าเสียงเข้ม แต่เสียงร้องเหมียวๆ ยังดังมาหลอกหลอนไม่หยุด
   
“ผมเป็นแค่นักศึกษาปีหนึ่งเองนะครับ”
   
“ข้าวร้านพี่ถึงจะไม่แพง แต่ผมกินเยอะนะ มื้อเดียวเอง มื้ออื่นด้วยได้ไหม”
   
“เจ้าของร้านใจร้ายจัง แบบนี้ต้องเอาไปป่าวประกาศ” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแชะใส่เขาอีกรูป
   
“บ่นมากเดี๋ยวจะได้แค่กาแฟเย็น” เขาว่าพลางเคาะเมนูลงกับโต๊ะกระจก ในขณะที่ซานหัวเราะขำเมื่อได้ยิน เสียงนุ่มๆ ติดยังเยาว์นั่นชวนให้รู้สึกดีอย่างประหลาด... วัยรุ่นน่ะดีจริงๆ นั่นแหละ
   
“กาแฟเย็นก็พอครับ ผมกินอะไรมาก่อนหน้านี้แล้ว อยากลองกับข้าวฝีมือ ‘แม่บ้าน’ เหมือนกันนะ น่าเสียดายจริงๆ ” จบประโยคแล้วแมวก็กระโดดแผล็วไปหลบมุมร้าน เมื่อเขาทำท่าว่าจะฟาดสันเมนูเข้าใส่ เด็กหนุ่มหัวเราะอารมณ์ดี พลางจ้องเขาด้วยสายตาพราวระริก
   
วันสุขถามซ้ำอีกทีว่าอยากได้กาแฟแบบไหน แล้วก็หลบไปทำให้เงียบๆ รู้ตัวตลอดว่าทุกการขยับนั้นตกอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายที่มองมาอย่างสนอกสนใจ ฝาแฝดที่หลบอยู่หลังร้านก็ออกมาเล่นกันที่ข้างหน้า เรียกเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มขำจากลูกค้าคนอื่นได้ดี
   
รู้สึกหนังตากระตุกแปลกๆ ตอนเทกาแฟใส่แก้วทรงสูง เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังเข้ามาใกล้ เขาวางแก้วลงถาดแล้วออกเดินอย่างระวัง สายตาก็สอดส่ายหาฝาแฝดที่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ตรงไหน
   
“กาแฟเย็นครับผม” ส่งเสียงเรียกซานที่เอาแต่กดโทรศัพท์ เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะชะงักกึก
   
“พี่วัน!”
   
โพละ! โครม!!
   
เสียงแตกกระจายของดวงไฟเหนือศีรษะดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงหล่นโครมของโคมทั้งยวง แขนของเขาถูกกระชากอย่างแรงจนถลา ร่างกายล้มลงอย่างตั้งตัวไม่อยู่ จมูกกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ให้สัมผัสเหมือนพื้นสักเท่าไหร่
   
“คุณวัน!” เสียงกรีดร้องของผู้จัดการร้านดังขึ้น ร่างเล็กๆ วิ่งเข้ามาหา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ รู้สึกตัว
   
วันสุขสูดหายใจเข้าลึก ชันกายขึ้นมาจากเบาะรองมีชีวิต ซานเบ้หน้าทันทีที่เขาขยับ คงจะจุกเพราะเขาล้มทับไปเต็มๆ ถึงตัวจะดูหนากว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้ามีผู้ชายสักคนล้มทับจะไม่เป็นอะไรนี่นะ
   
“น้องซาน เป็นอะไรไหมครับ?” ถามอย่างเป็นห่วง ตาเองก็มอง เศษแก้ว น้ำกาแฟ และอดีตโคมไฟอย่างนึกหวั่น... ไม่รู้ว่าจู่ๆ มันจะมาระเบิดได้อย่างไรถ้าไม่มีใครไปทำอะไรมัน... และเขาก็จำได้ว่าเมื่อเดือนกลายเพิ่งสั่งให้ช่างเปลี่ยนหลอดไปหยกๆ
   
“ศอกพี่โดนท้องผม... น้ำกาแฟด้วย” ซานพูดเสียงเบา แล้วก็เบ้หน้า เมื่อเจอะว่ากาแฟสีน้ำตาลหกราดเสื้อตัวเองเต็มๆ ตามแขนมีรอยบาดจางๆ แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
   
พอเห็นแบบนั้นเขาถึงกับโล่งอก วันสุขชันกายขึ้นมาแล้วพยายามปรามความวุ่นวาย พนักงานชายหลังร้านกระวีกระวาดเข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาด ส่วนผู้จัดการสาวก็รีบโทรศัพท์ไปรายงานเวย์ทันที


(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage



“ไม่เจ็บตรงไหนแน่นะ?” อดที่จะถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ซานส่ายหน้าหวือแล้วถอดเสื้อเปียกๆ ออก กล้ามเนื้อดูพอดีกำลังสวยภายใต้ผ้านั้นชวนให้อิจฉาไม่น้อย เห็นแล้วก็อดกลับมามองตัวเองไม่ได้
   
เรื่องออกกำลังกายสำหรับเขาน่ะห่างหายมานานแล้ว ส่วนมากที่ทำอยู่ก็แค่งานบ้านไปวันๆ เท่านั้น ไอ้ที่เคยมีมันก็เลยจะยุบเอา แต่ก็ยังขึ้นรูปอยู่บางๆ
   
“จ้องแบบนั้นผมก็เขินเป็นนะครับ” ดูท่าจะอายจริงๆ เพราะเจ้าตัวทำท่าว่าจะหยิบเสื้อเปียกๆ ขึ้นมาคลุมตัวเองอีกรอบ
   
“อย่างเรานี่เขินเป็นด้วยเหรอ? ปกติก็ถอดเสื้อให้สาวดูบ่อยๆ นี่” คาดเดาไปตามเนื้อผ้า ซานหัวเราะแห้งๆ แล้วก็สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเขาถือวิสาสะใช้นิ้วแตะลงไปบนกล้ามท้องของอีกฝ่าย
   
“สาวมองกับพี่มองมันต่างกันนี่” เบี่ยงตัวหลบแล้วส่งสายตาไม่ไว้ใจมาให้
   
เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ เอี้ยวกายไปคว้าผ้าขนหนูยื่นให้ ช่วงหัวค่ำนู่นแน่ะกว่าเวย์จะเข้าร้าน ก็คงต้องปล่อยเรื่องอุบัติเหตุให้เพื่อนสนิทจัดการไป เขาสันทัดงานแบบนั้นเสียที่ไหนล่ะ
   
“หุ่นดีนะ” อดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้ คนที่มีโครงร่างดูดีแบบนี้มันน่าอิจฉาน้อยเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็ผู้ชาย ไม่แปลกที่อยากจะดูดีแบบนี้บ้าง ถึงอายุจะเหยียบเลขสามแล้วก็เถอะนะ...
   
“ว่ายน้ำน่ะครับ แล้วก็เข้าฟิตเนส” เจ้าตัวว่า
   
วันสุขพยักหน้าอือออไปตามประสา ก่อนจะไล่อีกฝ่ายให้เข้าห้องน้ำไปสักที แอบเห็นพวกพนักงานด้านนอกทำเสียงเสียดายแล้วมันก็อดขำไม่ได้ คนในห้องน้ำจะรู้หรือเปล่าว่า ตั้งแต่ยืนคุยกับเขาอยู่นี่ ตัวเองโดนสาวๆ ในร้านแอบมองจ้องกันซะน่ากลัว
   
“หาเสื้อสินะ หาเสื้อ” คิดขึ้นได้ก็ตรงดิ่งไปที่ห้องทำงานชั้นบน แล้วก็เริ่มลงมือค้นหาเสื้อผ้าสำรองที่เวย์ชอบเอามาทิ้งไว้ ผลปรากฏว่าเป้าหมายเจ้ากรรมดันอยู่ในกล่องหลังตู้ใส่ของซึ่งสูงขนาดที่เขาเอื้อมแขนไม่ถึงเสียนี่
   
“ฮึบ” เขย่งขา เหยียดมือสุดแขน หูแว่ววานเสียงเรียกชื่อตัวเองมาจากที่ไกลๆ ปลายนิ้วแตะเข้าที่กล่องได้แล้วพยายามจะเขี่ยให้มันตกลงมา
   
“พี่วันครับ แล้วเสื้อผ้า...”
   
โครม!
   
รอบที่สองของวันที่ต้องลงไปนอนนับดาวอย่างช่วยไม่ได้ รอบนี้ไม่มีเบาะรองเนื้ออุ่นๆ อีกแล้ว มีแต่พื้นพรมแข็ง และกล่องกระดาษที่ตกลงมาใส่ศีรษะเต็มๆ
   
หูแว่ววานเสียงหัวเราะขำของคนมาใหม่ สติยังคงมึนงง ข้อแขนถูกคว้าด้วยมือเย็นเฉียบ ดึงพรวดเดียวก็ลอยหวือจนหลังไปชนกับแผ่นอกชื้นน้ำ
   
“ซุ่มซ่ามจังนะครับ” ลมหายใจร้อนกระซิบอยู่ริมหู วันสุขหัวเราะเบาๆ แล้วเดินออกมาเพื่อเว้นระยะห่าง ลงมือควานหาเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนพลางส่งให้คนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว
   
“เดินไปเดินมาแบบนี้ไม่กลัวโดนพนักงานลวนลามเหรอครับ” ถามอย่างสงสัย เมื่อคนอายุน้อยกว่าจับกางเกงขึ้นสวมกันต่อหน้า ผู้ชายเหมือนกันก็ไม่รู้ว่าจะอายกันไปทำไม แต่พนักงานหญิงร้านนี้เยอะพอสมควร แต่ละคนก็น่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่
   
“ผมสำรวจทางดีแล้ว ไม่เจอใครหรอก” ซานว่าแล้วยกเสื้อยืดขนาดกำลังพอดีขึ้นสวม ก็อย่างที่คิดไว้ คนตรงหน้าตัวพอๆ กับเวย์เลยทีเดียว เด็กสมัยนี้นี่ตัวโตกันดีจริงๆ ถ้าในสมัยเขานั้นหาคนตัวสูงยากเต็มทน เหมือนเป็นของแปลกที่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็เด่นขึ้นมาแล้ว
   
“เสื้อผ้าเราพี่เอาไปซักกับอบแห้งอยู่ เดินเล่นรอในร้านสักพักก่อนแล้วกันครับ พี่ขอไปจัดการตัวเองก่อน” เอ่ยขอตัวแล้วก็หลบออกมาเงียบๆ ซานไม่ได้ว่าอะไร แต่ดูท่าจะสนใจห้องทำงานของเวย์จริงๆ
   
เรื่องนี้เขาจะเก็บเงียบเอาไว้แล้วกัน เวย์ไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามในพื้นที่ตัวเองเท่าไหร่ ขนาดเรียกพบพนักงานยังชอบเรียกไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างเลย
   
ความคิดวนเวียนไปเรื่อยขณะปลดเสื้อเชิ้ตออกจากร่าง อดที่จะจ้องมองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ไม่ได้... เขาชอบใช้เวลาให้ห้องน้ำนานกว่าปกติเสมอ เหมือนเป็นช่วงที่ได้ผ่อนคลาย ได้จมอยู่กับตัวเอง แต่ก็รู้สึกแย่แบบแปลกๆ ไปในเวลาเดียวกัน
   
ส่งยิ้มให้กับตัวเองในกระจก พักนี้นายวันสุขดูจะมีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อน ยกมือตีแก้มตัวเองเบาๆ หันหลังให้กับกระจก เอี้ยวตัวมองสำรวจตัวเองแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
   
ถึงจะสูง แต่โครงร่างก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย บางครั้งก็นึกอิจฉาคุณอาเหมือนกัน เขาเองก็อยากได้ยีนดีๆ แบบนั้นมาบ้าง แต่สุดท้ายที่ทำได้ก็คือการดูแลตัวเองมากกว่าปกติ
   
“กินมากไปหรือเปล่านะเรา...”
   
พักนี้ดูจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากกว่าปกติ มือตีแปะลงไปบนหน้าท้องที่ขึ้นกล้ามเนื้อจางๆ อดจะยกยิ้มอย่างหลงตัวเองไม่ได้ว่า นายวันสุขนี่... จริงๆ ถึงจะเลยช่วงวัยรุ่นมาแล้วก็ยังเซ็กซี่เหมือนเดิมนะเนี่ย
   
“ฮะๆ ...บ้าบอดีจริงๆ ” แอบขำกับตัวเองไม่ได้ จริงๆ แล้วช่วงเวลาในห้องน้ำของเขาก็มักจะหมดไปกับเรื่องพรรค์นี้นี่แหละ... ทำอะไรบ้าๆ บอๆ อยู่หน้ากระจก หัวเราะอยู่คนเดียวให้เสียงมันก้องสะท้อนไปประหนึ่งว่ามีคนมาร่วมหัวเราะด้วยกัน... ฟังน่าอนาถใจใช่ไหม? มันก็น่าอนาถจริงๆ นั่นแหละ
   
กว่าจะอาบเสร็จก็ใช้เวลาไปมากโข พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นใครบางคนที่มานอนหลับสบายอยู่ตรงโซฟาด้านหน้า
   
ร่างนั่นนอนคว่ำหน้าซุกหมอนอิง ปล่อยแขนข้างหนึ่งตกลงกับพื้น เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปพลิกตัวให้นอนหงาย คลี่ผ้าแพรแถวนั้นมาห่มให้ เพราะไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศหลังร้านใช่ว่าจะน้อยเสียเมื่อไหร่
   
“อือ” ซานครางงึมงำแล้วก็ซุกตัวเข้ามาหา เอวเขาถูกกอดแน่น ท่าทางแบบนี้ก็ชวนให้เอ็นดูอยู่หลายส่วน
   
วันสุขคลี่ยิ้ม ยกมือจุ๊ปากกับฝาแฝดซึ่งโผล่หน้าเข้ามาดูคนที่ยึดโซฟาประจำไป เด็กๆ ดูจะสนใจเป็นพิเศษว่าซานคือใคร
   
“อย่าเสียงดังนะครับ ปล่อยเขานอนไปนี่แหละ พี่ขอออกไปรับโทรศัพท์ก่อน” พูดเบาๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือซึ่งสั่นครืดคราดติดมือไปด้วย แต่พอเห็นชื่อคนโทรเข้าเป็นต้องเลิกคิ้ว รีบกดรับสาย คุยกันไปสักพักก็ได้ความว่าปรัชญ์จะขอเข้ามาดูที่ร้านของเขาก่อน
   
เหลือบมองนาฬิกา ก่อนจะบอกให้ปรัชญ์เข้ามาหาได้เลย เพราะไหนๆ ตอนนี้ก็ว่างกันทั้งสองฝ่าย คุยกันแต่เนิ่นๆ อะไรๆ มันจะได้ง่ายขึ้น และพอตกลงกันเสร็จสรรพ อีกฝ่ายก็บอกว่าจะมาถึงในอีกประมาณสี่สิบนาที


   

“สวัสดีครับ พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ขอโทษที่ต้องออกมาต้อนรับในสภาพแบบนี้นะ”
   
ยิ้มบางๆ ไปให้ผู้มาใหม่ วันสุขเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าไปหา เอื้อมมือไปคว้าข้อแขนของคนตัวสูงลากให้เข้ามาในร้าน พนักงานตาวาวกันใหญ่ ทำปากล้อเลียน บางคนก็เคาะแก้วเคาะช้อนแซวเขา
   
“พี่วันใส่เสื้อแบบนี้แล้วเหมือนคนรุ่นเดียวกับผมเลย” ปรัชญ์เอ่ยชม ขณะที่กวาดตามองเขาในเสื้อยืดสกรีนกราฟฟิกและกางเกงลายทหารสี่ส่วน
   
“น้อมรับคำชมครับ” ว่าเสียงนุ่มแล้วกดบ่ากว้างนั่นให้นั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ แอบชะโงกหน้าเข้าไปดูคนหลับที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ก่อนจะกลับมาถามหนุ่มร้านต้นไม้ว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม
   
“ให้พี่วันมาเลี้ยงแบบนี้ ผมเกรงใจนะครับ แค่นี้ก็ไม่รู้ว่ารบกวนเวลาพี่หรือเปล่า” ปรัชญ์ว่าอย่างเกรงใจ ทำเอาเขาอดเอ็นดูไม่ได้
   
เด็กคนนี้อ่อนน้อมน่ารัก ท่าทางขี้อาย ดูไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนที่สุภาพมากๆ คนหนึ่ง ทำไมถึงดรอปเรียนได้นะ? ท่าทางก็ไม่ได้เกเรอะไร อาจจะมีปัญหาทางการเงิน... เขาก็ได้แต่เดาสุ่มไปเรื่อย
   
“เลี้ยงในฐานะลูกศิษย์คุณอา เป็นรางวัลที่ทำคะแนนเก็บได้ที่หนึ่ง ช็อกโกแลตเย็นไหมครับ? ท่าทางเราดูจะไม่ค่อยชอบกาแฟ” จ้องนิ่งๆ แล้วเอียงคอถาม ปรัชญ์พยักหน้าเบาๆ พึมพำว่าขอวิปครีมด้วย...บนแก้มสีออกแทนเพราะโดนแดดนั่นยังแต้มรอยฝาดไว้เบาบาง ดูน่ารักดีเหมือนกัน
   
“คนชอบคิดว่าผมชอบกาแฟ แต่พี่วันเก่งนะครับ... ไม่นึกว่าจะดูออกด้วย”
   
“พี่ก็เดาไปตามเรื่อง เดี๋ยวจะบีบวิปครีมให้หมดกระปุกเลย” หันไปจัดการชงให้อย่างอารมณ์ดี ช็อกโกแลตเย็นสูตรวันสุขน่ะ ใครกินเป็นต้องติดใจ จับอะไรก็อร่อยไปเสียหมด ความสามารถพิเศษของเขาล่ะ...
   
ระหว่างนั้นก็ชวนปรัชญ์คุยไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลา ก่อนจะวางแก้วทรงกลมที่บีบวิปครีมจนล้นให้อีกฝ่าย แอบเห็นอยู่หรอกนะว่าดวงตาสีเข้มนั่นเป็นประกายอย่างกับเด็กที่ได้กินของโปรด
   
“เอ้า มาเข้าเรื่องงานกันเลยดีกว่า” ว่าอย่างอารมณ์ดีแล้วเท้าคางกับเคาน์เตอร์ ปรัชญ์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบแฟ้มออกมาจากกระเป๋า เป็นข้อมูลราคากับรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับของสำหรับจัดแต่งสวน ราคาต้นไม้ ดอกไม้ หรือแม้กระทั่งปุ๋ยสำหรับบำรุง
   
วันสุขเปิดดูผ่านๆ พลางบอกของที่อยากได้ไปตามเรื่อง ไหนๆ เจ้าตัวก็มาถึงที่แล้ว ก็เลยเรียกผู้จัดการร้านมาคุยด้วยอีกคน รายละเอียดจริงๆ สำหรับการแต่งคงต้องสักวันศุกร์ ตอนนี้ก็ทำได้แค่แนะนำสถานที่จริงไปพลางๆ
   
“จริงๆ แล้วยังมีเจ้าของร้านอีกคน พี่จะถามเขาอีกทีว่าจะมาดูด้วยไหม วันนี้เขาไม่ว่าง วันเสาร์ถ้าเขาว่าง พี่จะพาเขาเข้าไปที่ร้านด้วย” เรื่องนี้ต้องคุยกันให้ดี ถึงแม้ว่าเวย์จะให้สิทธิ์ในการตกแต่งร้านกับเขาเต็มที่ ทว่าอย่างน้อยก็ต้องปรึกษากันเสียก่อน อย่างไรเสียก็เป็นร้านของพวกเขาสองคน ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง อีกอย่างรายนั้นก็ดูเรื่องการเงินด้วย งานหลักที่เจ้าตัวทำอยู่ก็วุ่นแล้ว งานรองยังวุ่นกว่าเสียอีก
   
“สวนที่ร้านก็สวยดีนะครับ ดูยังไม่เก่าเท่าไหร่ด้วย”
   
“ฮืม... คนสวนเขาดูแลดีนะ จริงๆ ที่ร้านก็มีนโยบายเปลี่ยนสวนทุกปีครับ เราพยายามทำให้มันออกมาดีมากที่สุด ถ้าช่วงไหนงบเหลือก็จะเอามาปรับแต่งร้านใหม่ด้วย” เพราะร้านมีแค่สาขาเดียว อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้เคร่งเครียดอะไร อยากจะแต่งก็แต่ง อยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง จนร้านมันโตมาได้จนถึงทุกวันนี้
   
“ที่อยากให้เปลี่ยนก็แค่โซนหน้าติดถนนน่ะครับ ส่วนสวนด้านในคิดว่าจะไปหาพวกของตกแต่งมาลงน่าจะสะดวกกว่า” เขาชี้มือชี้ไม้ ขณะที่ผู้จัดการร้านขอตัวไปทำงานต่อ ปรัชญ์เองก็จัดการช็อกโกแลตเย็นจนหมดแก้ว
   
“สนใจเดินดูรอบๆ ไหมล่ะครับ?” เอ่ยถามแล้วถอดผ้ากันเปื้อนพาดไว้กับราวข้างเคาน์เตอร์ กะว่าเดินดูร้านเสร็จก็จะตรงดิ่งไปจัดการงานที่มหาวิทยาลัยเลย
   
“พี่วัน... อยู่ไหน?”
   
พลันเสียงเรียกเบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังร้าน วันสุขเอียงคอแล้วกวักมือเรียกใครอีกคนให้ตามเข้ามาด้านหลัง
   
ซานเพิ่งตื่น งัวเงียได้ที่ ท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากจะลุกขึ้นมาเท่าไหร่เพราะอีกมือกอดผ้าห่มไว้แน่น โทรศัพท์ราคาแพงวางไว้ข้างตัว ท่าทางเหมือนจะตื่นเพราะถูกโทรมาปลุกเสียมากกว่า
   
“พี่จะพาปรัชญ์ไปดูรอบๆ ร้าน จะไปด้วยกันไหม?”
   
“ไม่เอา... ขอนอนอีกสักพัก” พูดพลางหาวหวอด ล้มตัวลงไปนอนอีกรอบแล้วกดปิดโทรศัพท์มือถือเสียอย่างนั้น
   
“เดี๋ยวพี่มาปลุกแล้วกัน” วันสุขว่าแล้วก็อดมองสภาพอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างกับคนอดนอน ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมา
   
เขาพาแขกเดินทะลุออกมาหลังร้าน อธิบายนู่นนี่ไปเรื่อยตามประสา ปรัชญ์ดูเป็นงานกว่าที่คิด บอกชื่อต้นไม้ได้หมด ทั้งยังบอกวิธีดูแลรักษาเพิ่มเติมให้เสียอีก เจ้าตัวดูจะถูกใจสวนน้ำพุเล็กๆ ที่มุมร้านมาก มีการขออนุญาตถ่ายรูปแล้วก็รัวชัตเตอร์ไปหลายแชะ
   
“พี่วันดูสนิทกับซานดีนะครับ”
   
“สนิทเหรอ? เพิ่งได้คุยกันแค่ไม่กี่วันเองครับ” เอียงคอแล้วหัวเราะ เด็ดดอกมะลิมาหมุนเล่นอย่างอารมณ์ดี จะว่าแปลกก็แปลก ถึงเขาจะดูเป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้เข้ากับใครง่ายขนาดนั้น แต่ซานคงเป็นกรณีพิเศษ...
   
“แต่ผมว่าพี่ดูสนิทกับทุกคนเลยมากกว่า” ปรัชญ์ว่า สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเอาดอกไม้สีขาวเสียบลงไปในกระเป๋าเสื้อของเจ้าตัว
   
“คำว่า ‘สนิท’ กับ ‘คุยง่าย’ มันต่างกันนะ” วันสุขอธิบายแล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา ปรัชญ์เองก็จับท่าทีเขาได้ หนุ่มร้านต้นไม้ทำหน้าเสียดายเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงเบา
   
“แล้วกับซานล่ะครับ... แบบไหน?” พอได้ฟังคำถามเป็นอันต้องคลี่ยิ้มบาง วันสุขทำท่านึก หักกิ่งมะลิมาไกวเล่นอย่างเพลิดเพลิน
   
“เดาเอาสิ...”


   

หลังจากแยกย้ายกับปรัชญ์ที่ร้าน เขาก็เข้าไปปลุกซานที่ดูจะตื่นยากตื่นเย็น สุดท้ายก็อดถามไปไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ดูเพลียขนาดนั้น แต่เด็กนั่นกลับไม่ยอมตอบคำถามเสียนี่ และก็ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า บางครั้งท่าทางของซานเองก็เหมือนจะดูมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็นชอบกล
   
...ไม่ได้เป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ ...
   
คงเป็นเพราะความรู้สึกแบบนั้น เลยทำให้เขารู้สึกเข้ากับเด็กนี่ได้ดีกว่านักศึกษาคนอื่นๆ อาจเพราะท่าทีของซานด้วยส่วนหนึ่ง
   
เด็กนั่นทำอะไรไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่ นึกอยากจะเข้ามาใกล้ก็พุ่งพรวดเข้ามา ดูจะไม่สนใจพื้นที่หรือกำแพงที่เขาอุตส่าห์กางไว้สักนิด ต่างจากปรัชญ์ลิบลับ รายนั้นน่ะความรู้สึกไว นิดๆ หน่อยๆ ก็ถอยกรูดไปซะไกลเชียวล่ะ...
   
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย ทั้งเด็กสองคนนั่น แต่เรื่องที่ดูจะติดใจเขามากที่สุดคงไม่พ้นโคมไฟในร้านกับซองจดหมายปริศนานั่น ทั้งที่เขาคิดว่าจะลืมๆ ไปได้แท้ๆ แต่พอได้เข้ามานั่งตรวจงานในห้องเงียบๆ สารพันเรื่องมันก็ผุดขึ้นมา
   
ทำงานไปก็มีแต่เรื่องเทือกนี้วนเวียนอยู่ในหัวสมอง สมาธิแทบจะไม่มี พอคิดวกวนมากเข้า อาการปวดหัวก็เลยตามต่อมา วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งปากกาลงกับโต๊ะ เหลือบไปมองแผงยาในตะกร้าเล็กๆ แล้วเลือกที่จะปล่อยมันไว้แบบนั้น
   
เขาไม่ชอบกินยาพร่ำเพื่อเท่าไหร่ ถ้าไม่เป็นหนักจริง ส่วนมากก็เลือกที่จะนอนพัก ครั้งนี้ก็เช่นกัน งานเสร็จเกือบหมดแล้ว เหลือแค่กรอกคะแนนลงในใบแล้วเอาไปให้คุณอาเท่านั้น...
   
พักสักหน่อยจะเป็นไร?
   
งีบสักเดี๋ยวเดียว พอตื่นขึ้นมาค่อยกลับไปทำกับข้าวให้คุณอาอย่างทุกวัน... คิดพลางเดินไปทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาหน้าห้อง ไม่นานก็ผล็อยหลับ...


   

รอบตัวโอบล้อมด้วยสีดำสนิท...
   
แผ่นหลังชื้นนาบกับผนังเย็นเฉียบ ห้องแคบจนต้องหดขาเข้าหาตัว กอดเข่าแน่น ซุกหน้าอย่างหวาดผวา... อาศัยเพียงแสงสว่างซึ่งลอดมาจากใต้ประตูที่ลงกลอนไว้ กลัวจนน้ำตาไหล ไหล่สั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม
   
ความฝัน... น่ากลัว และสมจริง เมื่อฝันนั้นยืนหยัดอยู่บนพื้นของสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นในอดีต... เขาหวาดกลัว ร้องไห้อย่างช่วยอะไรไม่ได้ เงาวูบไหวด้านนอกชวนให้อกสั่นขวัญหาย เสียงด่าทอ เสียงตะโกน เสียงทุบตีข้าวของ... ไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
   
ปิดตา อุดหู ห่อตัวเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม หอบหายใจลึก หัวใจเต้นระรัวกระหน่ำ ความมืดโรยตัวอยู่รอบด้าน ประตูที่กั้นเขาเอาไว้กับแสงด้านนอกถูกฟาดกระหน่ำด้วยของแข็ง
   
ปึงปัง... ปึงปัง... ปึงปัง... ครั้งแล้วครั้งเล่า
   
ผวาตกใจเมื่อเสียโครมสนั่นดังขึ้นอีกครั้ง เสียงด่าทอห่างออกไปไกลทุกที ค่อยๆ เงียบลง เงียบลงจนหายไปในที่สุด
   
มือเล็กๆ ของเขาเองพยายามตะกุยตะกายเพื่อหยัดยืนขึ้นมา ทุกอย่างจบลงแล้ว... ผ่านพ้นอีกคืน และมันจะเป็นเช่นนี้ซ้ำๆ วกไปวนมาจวบจนกว่าเขาจะตายไปในที่สุด…
   
ฝันร้ายชวนให้เศร้าสลดอย่างประหลาด จิตใจหดหู่ราวกับกำลังดิ่งลงไปในหลุมดำสนิท อดีตสีสดใสถูกทาบทับด้วยสีเข้มและสีสด แทบจะในทันทีที่มันเริ่มขีดเขียนลงบนผืนผ้าใบที่เรียกว่า ‘ชีวิต’
   
เรื่องพวกนี้เขาเคยคิดว่าจะลืมมันไปได้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังฝังอยู่ข้างใน หลบซ่อนอยู่ใต้ตะกอนสีดำที่ก้นบึ้ง รอเวลายามเผลอไผล คลื่นรุนแรงก็จะซาดซัดมันขึ้นมา...
   
เรื่องร้ายๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละเรื่องสองเรื่องยากจะหยุด ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คล้ายกับหัวใจจะยิ่งทำงานหนัก... ห้ามความคิดตัวเองไม่เคยจะได้สักที และก็ไม่รู้เหตุผลว่าจะไปหยุดมันได้อย่างไร...
   
“พี่วัน!”
   
ดวงตาเปิดพรึบก่อนจะหรี่ลงเมื่อแสงจ้าจากโคมไฟสาดใส่เข้าให้จนแสบพร่า ยกมือขึ้นขยี้ตาตามนิสัย ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามันเปียกชื้นไปหมด... ฝันร้ายทีไรก็เผลอร้องไห้ทุกที
   
สูดหายใจตั้งสติ ค่อยๆ เหลือบไปมองผู้มาใหม่ ชันกายลุกขึ้นนั่ง กระแอมไอแก้เก้อไปอย่างนั้น ฟ้าด้านนอกมืดสนิทเห็นเพียงแสงโคมไฟจางๆ จำได้ว่าตอนงีบหลับแค่บ่ายสามกว่าๆ ทำไมเวลาถึงได้ผ่านไปเร็วนัก
   
“ผมเห็นไฟในห้องพี่เปิดอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังไม่หยุด เลยเข้ามาดู โชคดีจริงๆ ...ผมนึกว่าพี่จะเป็นอะไร นอนร้องไห้ไม่ยอมหยุดเลย” ซานพูดรัวเร็วเหมือนคนที่ยังไม่หายตกใจ ทิชชู่แผ่นบางถูกยื่นมาให้ วันสุขรับมาอย่างงงๆ
   
“พี่เหมือนเด็กเลย เวลาฝันร้ายใช่หรือเปล่าถึงร้องไห้แบบนั้น สมัยตอนเล็กๆ ผมก็เป็น” ได้ฟังแล้วก็ต้องขมวดคิ้วใส่
   
“นี่กำลังว่าพี่อยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
   
“เปล่านะครับ แล้วดีขึ้นหรือยัง?” เจ้าตัวถามอย่างเป็นห่วง สายตาก็มองกวาดไปกวาดมา ไม่รู้ว่ามองสภาพหลุดลุ่ยของเขาหรือมองหาอะไรกันแน่ เสียงโทรศัพท์แผดลั่นอีกครั้งแล้วก็ต้องรีบรับสาย ตอนนี้เกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว คุณอาก็เลยโทรมาตามอย่างเป็นห่วง โดนเอ็ดไปยกใหญ่เลยทีเดียว
   
“พี่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ฝันร้ายนิดหน่อย ขอบคุณที่เข้ามาดูนะครับ” เคลียร์กับคุณอาเสร็จก็หันมาขอบคุณเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้ ก่อนจะสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่างที่ดูจะแปลกตาไปสักนิด
   
“ไปโดนใครเขาตบมาล่ะนั่น?” ถามอย่างนึกแปลกใจ มือเองก็เผลอยกไปแตะรอยนิ้วจางๆ บนแก้มนั่นแล้ว พอจะชักกลับ คนเด็กกว่าก็ซุกหน้าเข้าหาเสียอย่างนั้น
   
ปลายจมูกโด่งแตะอยู่ที่อุ้งมือ เอียงหน้าซบอย่างออดอ้อน ฟันเรียงสวยก็งับเบาๆ เข้าที่ข้อนิ้วอย่างเอาใจแล้วก็ไล่มาที่ข้อแขน... ออดอ้อนหยอกล้อเสียจนนึกถึงสัตว์บางอย่าง...
   
“คนหรือแมวเนี่ย หือ?” เอยแซวไปตามประสา รู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายมาทำประหลาดใส่ เพราะเขาจำไม่เคยได้ว่าสนิทกับซานขนาดจะมาเล่นหยอกกันได้แบบนี้...
   
“เมี้ยว” ใครอีกคนก็เลียนแบบเสียงแมวแล้วก็ทำตาพราวใส่ แลบลิ้นเลียนิ้วเขาไปทีหนึ่ง แล้วก็หัวเราะร่าเมื่อเห็นเขาชักมือกลับแทบจะในทันที
   
“ไปหักอกสาวมาล่ะสิถึงโดนขนาดนี้”
   
วันสุขจับคางของคนตรงหน้าหมุนซ้ายขวาเผื่อจะเจอรอยอย่างอื่น ซานทำหน้าครุ่นคิด เลียนแบบท่าเอียงคอของเขาแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
   
“หักอกที่ไหนกัน ยังไม่ได้คบ ยังไม่ได้เริ่มแล้วมันจะไปหักอกได้ยังไงล่ะครับ?”
   
“อ๋อเหรอ? แล้วไปทำอีท่าไหน น้องซานถึงโดนสาวเขาตบมาล่ะครับ” ดึงแก้มแมวแรงๆ อย่างมันเขี้ยว
   
ซานส่งเสียงประท้วงงึมงำแล้วถอยตัวออกห่างจากรัศมีของเขา คนตรงหน้ายกยิ้มมุมปากอย่างเคยนิสัย ท่าทางแบบนั้นขับให้เจ้าตัวดูร้ายกาจอย่างบอกไม่ถูก
   
“แค่พูดไม่เข้าหูเอง นิดๆ หน่อยๆ ก็โวยวาย... ผู้หญิงน่ะน่ารำคาญจริงๆ พี่วันว่าไหม?”


To be continued...


เขาหยอกกันไป.. เขาหยอกกันมา..  :hao3:
ส่วนใครกลัวดราม่า ขอให้วางใจ มันเบาบางเหมือนน้ำล้างจานเลยล่ะ

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
ขอบคุณนักเขียนค่ะ  :L2:

อยากรู้ใครทำพี่วัน??

ออฟไลน์ RoseBullet

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1027
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
แอบมาส่องตั้งแต่เมื่อวานค่ำๆถึงดึกๆ อ่านไปหลายรอบแล้วเนี่ย ชอบแนวนี้จังเลย
พี่วันดูเหมือนจะชิลล์ๆเรื่อยๆ แต่ก็แอบเห็นจริตบางอย่าง แบบแอบร้ายนิดๆอ่ะ บอกไม่ถูก
แต่ไม่ใช่สไตล์ใสปิ๊งไม่รู้เรื่องรู้ราวแน่ๆ ดูทันคนดีค่ะ
แต่บางครั้งก็แอบหมั่นไส้นางเล็กๆ ทั้งพูดเป็นนัยๆให้คิดเอง ทั้งนู่นนี่นั่น แบบว่าขุ่นพี่ดูจงใจจังนะคะ กร๊ากกกก

สงสัยเหมือนกันว่าที่พี่วันโดนทำร้ายนี่ฝีมือใครและทำไปทำไม ตอนแรกเหมือนเรื่องจะมาใสๆ แต่พอมีเหตุการณ์นี้เข้ามาเริ่มหวั่นใจ
ยังไงก็เชื่อคนเขียนนะว่าเป็นดราม่าเบาบางเจือจางประมาณน้ำล้างจาน
ผู้เข้าชิงตำแหน่งพระเอกมีตั้งสองคนแน่ะ แต่ดูเหมือนน้องซานจะทำคะแนนนำไปมากกว่าแล้วนะคะ
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ลุคดูเย็นชาแบบซานจะอ้อนได้น่ารักแบบนั้นนะเนี่ย
ส่วนน้องปรัชญ์นี่เราสงสัยว่ามีซัมติงกับคุณอาหรือเปล่าหว่า ตอนที่พี่วันเล่าเรื่องปรัชญ์ให้คุณอาฟัง ปฏิกิริยานิ่งๆของคุณอามันทำให้เราคิด(ไปเอง)อ่ะ แต่มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้เนอะ เราก็มโนไปเรื่อยอ่ะ คนเขียนคงแบบพวกคนอ่านเรื่องนี้นี่ช่างขี้ระแวงจริงๆ ฮ่าๆๆ

รอตอนหน้าจ้า
 :katai2-1:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ใครทำร้ายพี่วัน

ออฟไลน์ บ๊ายบายโพ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ใครเป็นคนส่งจดหมายมาให้พี่วันอ่ะ น่ากลัว เป็นโรคจิตใช่มั้ย :mew5:
ซานทำคะแนนใหญ่เลยย ถึงเนื้อถึงตัวตลอดด

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 3 - ที่พรวนดิน ที่แปรงขน



ถ้าพูดถึงเรื่องผู้หญิง วันสุขเองก็นึกหัวข้อไม่ค่อยจะออกนัก ในแต่ละช่วงวัย สายตาที่ใช้มองเพศตรงข้ามก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา... เด็กชายวันสุขมองว่าผู้หญิงเป็นสิ่งแปลก เด็กหนุ่มที่ชื่อวันสุขมองว่าผู้หญิงนั้นน่าสนใจน่าค้นหา นายวันสุขมองว่าผู้หญิงมหัศจรรย์ และบางครั้งก็น่ายกย่อง
   
ซานบอกว่าผู้หญิงนั้นน่าเบื่อ...
   
เขาเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ช่วงวัยรุ่นที่เที่ยวยันเตตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบเช้าทุกอาทิตย์นั้น ความรู้สึกเบื่อหน่ายก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนสุดท้ายก็อิ่มตัว จากเริ่มเที่ยวผู้หญิงก็เปลี่ยนเป็นแค่นั่งดื่มธรรมดา... จนสุดท้ายก็เลิกการกระทำแบบนั้นไปในที่สุด
   
น่าแปลกที่คุณอาไม่เคยห้ามปรามเขาเลยสักครั้ง ต่อให้เสเพลขนาดไหน ท่านก็เพียงแค่ตักเตือน และบอกสอนอย่างที่ทำประจำ... ควรป้องกันตัวอย่างไร ควรระวังเรื่องไหน อย่าดื่มอะไรมากเป็นพิเศษ...
   
เคยสงสัยหลายครั้งว่าทำไมท่านถึงได้รู้ละเอียดนัก จนคุณอายอมเปิดปากเล่านั่นแหละว่า ช่วงชีวิตวัยหนุ่มของท่านเองก็ผ่านของพวกนี้มานับไม่ถ้วน ซึ่งช่วงนั้นเขาเองก็หัวรั้น ยิ่งห้ามคงยิ่งไม่ฟังเหมือนกับตัวท่านสมัยก่อน
   
เมื่ออายุมากขึ้น... ความเข้าใจก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยมองผู้หญิงในแง่ลบมาตลอดตั้งแต่เด็ก พอได้ปลีกตัวออกมาจากโลกกลางคืน แสงสว่างก็ทำให้มองอะไรได้กว้างขึ้น แล้วก็ค้นพบว่าผู้หญิง...มหัศจรรย์จริงๆ
   
อย่างผู้จัดการร้านของเขานั่นไง... รายนั้นหลังจากคลอดเจ้าตัวเล็กคนสุดท้องได้ไม่นาน สามีของเธอก็ประสบอุบัติเหตุเป็นอัมพาตท่อนล่างตลอดชีวิต... เคยเจออยู่ครั้งสองครั้ง เนื่องจากนั่งรถเข็นทำให้ไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะสะดวกนัก และเขาก็อดชื่นชมเธอไม่ได้ เพราะถึงจะผ่านเรื่องราวร้ายๆ มา แต่เธอก็ยังมั่นคง เด็ดเดี่ยวไม่ย่อท้อ
   
ผู้หญิง... ยังมีอีกหลายคนซึ่งผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา และนำเรื่องราวน่าทึ่งมาทิ้งไว้ นึกถึงทีไรก็ชวนให้อมยิ้มทุกครั้ง ทั้งเรื่องน่ายินดี และบางเรื่องที่ไม่น่าจดจำ
   
เขาเล่าเรื่องบางเรื่องให้ซานฟัง หวังเพียงว่าอยากจะให้เด็กตรงหน้าเปลี่ยนทัศนคติสักนิด คุยสักพักก็แยกย้ายกันกลับ กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงบ้านก็โดนคุณอาเอ็ดเสียยกใหญ่ โชคดีที่ท่านกินอะไรรองท้องไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นโรคกระเพาะคงได้ถามหาอีกแน่
   
ก่อนเข้านอนโทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า กดเปิดขึ้นมาดูก็ต้องยิ้มขำปนสงสัย
   
‘พี่เคยเขินบ้างหรือเปล่า?’
   
เขินเหรอ? ไอ้ความรู้สึกแบบนั้นมันรางเลือนจนแทบจะลืมไปแล้ว ถ้าให้นึกย้อนไปคงเป็นช่วงสมัยมัธยมปลาย เวลาเขินนี่เขาเป็นยังไงนะ? หัวใจจะเต้นแรงจนเหมือนจะกระดอนออกมาจากอก... แก้มร้อนเหมือนมีใครเอาไดร์มาเป่าหน้า มือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน สายตาอยู่ไม่เป็นที่ และบางครั้งน้ำเสียงก็ติดขัดจนไม่กล้าพูดอะไร
   
‘อยากเห็นตอนพี่เขินเหมือนกัน’
   
ข้อความที่สองส่งห่างจากข้อความแรกอยู่หนึ่งชั่วโมง ตอนนั้นเขาถึงกับหัวเราะขำ... อยากเห็นตอนเขินเหรอ? คงต้องให้เจ้าของข้อความนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบสี่ปีที่แล้วกระมัง


   

วันนี้มีคุมแลป... ปกติแล้วอาจารย์ที่สอนเลคเชอร์กับคุมแลปส่วนใหญ่จะเป็นคนละคนกัน มีแค่เฉพาะส่วนของคุณอาเท่านั้นที่ท่านขอคุมด้วยตัวเอง ดังนั้นนอกจากเขาจะเป็นพนักงานตรวจการบ้าน ตรวจข้อสอบแล้ว เขายังเป็นผู้ช่วยแลปของคุณอาด้วย... ทำงานเอาเสียคุ้มค่าเงิน ทว่าก็สนุกดีเหมือนกัน
   
ถึงจะจบจากคณะบริหารมา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสมัยมัธยมปลายเรียนมาทางสายวิทย์ แม้ความรู้จะตกหล่นไปบ้าง แต่ก็ยังมีพื้นฐาน พอได้เข้ามาคุมแลปหลายรอบเข้า เขาเองก็ค่อยๆ เริ่มชินจนกลายเป็นเชี่ยวชาญในที่สุด
   
“แลปวันนี้น่าจะเลิกเร็ว” คุณอาเปรยขณะที่พวกเขากำลังพากันเดินขึ้นบันได คนอายุมากกว่าไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยหอบเลยสักนิด ตรงข้ามกับหลานชายที่สูดหายใจเข้าลึกไปหลายรอบ
   
“เราแก่กว่าอาอีกนะวัน”
   
“ต... ตรงไหน ที่ว่า... แก่ครับ?” หอบหายใจไป มือก็กำราวบันไดไป ห้องแลปอยู่ตั้งชั้นห้า แต่คุณอาเลือกที่จะไม่ใช้ลิฟต์ ก็นโยบายประหยัดพลังงาน และออกกำลังกายไปในตัวของท่านล่ะ
   
กว่าจะมาถึงชั้นที่หมาย ปอดเขาก็แสบไปหมด สูดหายใจอีกทีแล้วหยัดตัวขึ้นหลังตรง ปึกเอกสารถูกยัดลงมาในมือ คุณอาพูดอะไรสักอย่างแล้วก็เดินฉับๆ หายไป
   
“จริงๆ เลย... เห็นเป็นเด็กยกของทุกที” บ่นหน่อยๆ ตามประสา แต่ก็ยอมถือของหนักๆ ตรงไปยังห้องแลป ทางเดินยังมืดสลัว แม่บ้านยังไม่มาเปิดไฟ เสียงกึกๆ ของส้นรองเท้าดังกระทบพื้นก้องไปทั่วโถงทางเดิน บรรยากาศอย่างกับในหนังสยองขวัญ...
   
“พี่วันครับ”
   
ไหล่แทบกระตุก เมื่อเสียงทุ้มเบาบางดังขึ้นอย่างไม่ให้ได้ทันตั้งตัว คนมาใหม่หัวเราะเบาๆ ยามที่รู้ว่าทำให้เขาตกใจ ปึกเอกสารในมือถูกแย่งไปถือ ตอนแรกก็อยากจะค้าน เพราะอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องแลปแล้ว
   
“ทำเอาพี่ตกใจหมด ปรัชญ์มาเช้าดีเหมือนกันนะ”
   
“ตื่นเช้าจนชินน่ะครับ” หนุ่มร้านต้นไม้พูดเสียงเบา
   
 วันสุขยิ้มบาง ยกมือขึ้นบิดกลอนประตูห้องแลป ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเปิดเข้าไปแล้วเห็นอะไรบางอย่างข้างใน
   
“น้องซานครับ เขาห้ามเข้าห้องแลปก่อนเจ้าหน้าที่ รู้หรือเปล่า?” กล่าวเสียงดุแล้วก็เดินฉับๆ เข้าไปหาคนหลับซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นสักนิด สายตาเองก็มองสำรวจไปรอบๆ อย่างนึกห่วง ในห้องมีอุปกรณ์หลายอย่างซึ่งวางทิ้งเอาไว้ หากปล่อยให้นักศึกษาเข้ามาเล่นซนโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ควบคุมย่อมมีอันตรายอย่างแน่นอน
   
“ตื่นเดี๋ยวนี้เลยครับ” เอื้อมมือไปเขย่าไหล่คนหลับเบาๆ เจ้าตัวส่งเสียงงึมงำแล้วก็สะลึมสะลือขึ้นมา หาวหวอด บิดขี้เกียจอย่างปล่อยตัวแล้วก็ส่งหน้ามึนงงมาให้เขา
   
“เขาห้ามเข้าห้องก่อนเจ้าหน้าที่ รู้หรือเปล่า” ว่าเสียงดุ แต่แมวตัวใหญ่ดันหาวใส่เขาเสียอย่างนั้น
   
“อือ... ก็ห้องมันเปิดอยู่ เลยเข้ามานอน”
   
“เข้ามานอนก็ห้ามครับ หน้าห้องก็มีโต๊ะ นอนแถวนั้นก่อนก็ได้นี่” ระหว่างดุก็หันไปพยักหน้ากับปรัชญ์ เมื่อหนุ่มร้านต้นไม้ทำมือชี้ไปที่โต๊ะว่าให้วางเอกสารตรงนั้นใช่หรือไม่
   
“มันไม่มีแอร์นี่ ง่วงนอนอ่ะ... ขอนอนหน่อย นะ นะ นะ” ทำเสียงอ้อนหงุงหงิงเหมือนแมวร้องเหมียวๆ ขอปลาทู
   
“เล่นเป็นเด็ก” เขาพูดเสียงขัน ยกมุมปาก อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปดึงแก้มของอีกฝ่ายจนเจ้าตัวร้องลั่น
   
ซานขมวดคิ้วใส่เขา ดูท่าจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่โวยวายอะไร กลับกัน... เด็กนี่ดันเลือกที่จะเงียบแทน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับพี่ปรัชญ์เอ่ยแทรกขึ้นมาพอดี
   
“พี่วันครับ”
   
“ครับ?” ขานรับ เลิกสนใจคนงอนแล้วหันมายิ้มให้อีกคนแทน
   
“เอ่อ...คือ...” ปรัชญ์มีท่าทีอึกอัก ท่าทางคล้ายกับจะไม่กล้าพูดเท่าไหร่
   
“อ้าว มีอะไรก็ว่ามาสิครับ อึกอักมากๆ พี่ไม่รู้เรื่องกันพอดี” เขาพูดเสียงนุ่มแล้วเดินเข้าไปใกล้
   
“ผม... เอ่อ ลืมเอาหนังสือแลปมา”
   
ได้ฟังแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว พ่อนักเรียนดีเด่นลืมเอาหนังสือแลปมา... วันนี้คงฝนตก คิดได้แล้วก็หัวเราะเบาๆ ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากข้างหลัง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก
   
“หืม... งั้นตามมาทางนี้ครับ หลังตู้มุมห้องมีหนังสือแลปอยู่ เอ... สูงจริงแฮะ” จูงข้อมืออีกฝ่ายให้เดินมาด้วยกัน แหงนหน้ามองเป้าหมายแล้วก็ถอนหายใจเฮือก
   
เมื่อวานก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว วันนี้หวังว่าเขาคงไม่โดนกองหนังสือหล่นลงมาทับอีกรอบหรอกนะ... คิดอย่างปลงตก แล้วก็เขย่งขาเอื้อมมือสุดแขนจนชายเสื้อลอยพ้นบั้นเอวรำไร
   
เขารู้สึกหนาวๆ บอกไม่ถูก เมื่อเนื้อถูกไล้ด้วยไอเย็นเฉียบ พยายามเขย่งขา เหยียดแขนมากขึ้นไปอีกแต่ตู้สูงเกินไป เก้าอี้ที่ไว้ใช้ต่อตัวก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน
   
“เอ่อ... พี่วันครับ ผม... หยิบเองก็ได้” ปรัชญ์ส่งเสียงเรียกเบาๆ ก้มหน้าไม่ยอมสบตายามที่เขาหันไปมองตรงๆ
   
วันสุขหลบทางให้อีกฝ่าย ในใจก็บ่นอุบไม่ได้ถึงความสูงที่อีกฝ่ายมี ก่อนที่สายตาจะไปปะทะเข้ากับลูกแก้วสีเข้มพราวระยับของคนที่น่าจะมองพวกเขามาตั้งแต่ต้น... ซาน...
   
เด็กนั่นเท้าคางมองมาเหมือนกำลังดูเรื่องสนุก ริมฝีปากบางหยักสวยพึมพำเป็นประโยคที่เขาจับได้แค่คำว่า ‘นิสัยไม่ดี’
   
วันสุขเหยียดยิ้มตอบกลับไป มือดึงชายเสื้อลงมาให้ดูเรียบร้อย ขณะที่ฝ่ายนั้นก็ก้มลงไปเขียนอะไรสักอย่างบนกระดานชนวนอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะชูขึ้นมาให้เขาอ่าน
   
‘ผมน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ’
   
สุดท้ายก็หลุดขำออกมา ยิ่งเจ้าตัวทำหน้าตาหงุดหงิดใส่แล้วพองลมจนแก้มป่องแบบนั้น ชวนให้อยากเดินเข้าไปเอามือตีให้มันแฟบลงจริงๆ ซานจะรู้ไหมนั่นว่ายิ่งทำยิ่งดูตลก... อาการเทือกนั้นเขาสงวนไว้ให้คนน่ารักๆ ทำต่างหาก
   
“พี่วันหัวเราะอะไรเหรอครับ?”
   
ปรัชญ์ซึ่งมีหนังสือแลปอยู่ในมือหันมาถาม วันสุขเพียงแค่ส่ายศีรษะตอบทั้งที่มุมปากยังยกยิ้มอยู่แบบนั้น


   

ไม่นานนักศึกษาก็เข้ามากันเต็มห้อง วันสุขปลีกตัวไปเตรียมของสำหรับการทดลอง เซ็ตอุปกรณ์ลงกับโต๊ะแลป วันนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องลงแรงอะไรมากนัก แค่ทดสอบความเร็วในการตกของลูกตุ้มผ่านสารกลีเซอรอลธรรมดา ทว่าปัญหาใหญ่ก็คือ...เลอะเทอะกันทุกปี
   
“นักศึกษาครับ สนใจกระดานด้วย วัน... ไปนั่งหลังห้อง” คุณอาเอ่ยดุเด็กๆ  ที่คุยกันเจี๊ยวจ๊าว ก่อนจะหันมาดุเขาที่ไม่ได้ทำอะไรผิด
   
วันสุขขมวดคิ้วมึนงง แต่ก็ยอมลากเก้าอี้ไปนั่งหลบหลังห้องแต่โดยดี นั่งฟังเสียงคุณอาบรรยายไปเรื่อยๆ พลางหาวหวอด... เขาฟังเรื่องแบบนี้มาเป็นสิบรอบจนแทบจะท่องจำได้แล้ว นับถือคุณอาจริงๆ ที่พูดไปได้เรื่อยๆ ถ้าหากให้เขาต้องออกไปยืนอยู่หน้าชั้นนั่น  สิ่งที่เกิดขึ้นคงเป็นอาการ อธิบายไป หาวไป อย่างแน่นอน
   
“ที่ผมจะอธิบายก็มีเท่านี้ ใบแลปขอให้รวบรวมมาส่งก่อนเที่ยง ใครมีปัญหาอะไรก็ถามคนหลังห้องตรงนั้น เริ่มปฏิบัติได้ครับ” คุณอาว่าเสร็จก็รวบแฟ้มแล้วเดินหายไปทันที... ก็เป็นเสียอย่างนี้ตลอด ปล่อยเขาเอาไว้กับฝูงทโมนแบบนี้ วันสุขก็วันสุขเถอะ... คุณอาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาคุมเด็กอยู่เสียเมื่อไหร่!
   
“เบาเสียงกันหน่อยครับ แลปนี้ง่ายๆ คงไม่มีปัญหาอะไร ห้ามทำหลอดกลีเซอรอลแตกนะครับ”
   
ตีมือแปะๆ แล้วก็เริ่มเดินวนดูตามแต่ละโต๊ะ  เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังไปทั่ว เมื่อไม่พบปัญหาใดๆ ก็หลบมานั่งเก้าอี้นุ่มหน้าห้องอย่างสบายอารมณ์ แต่ความสงบก็คงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อมีกลุ่มนักศึกษาวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือกันใหญ่
   
“ถ้าจะเอาลูกตุ้มออกก็เอาแม่เหล็กแปะปลายหลอดไว้นะครับ”
   
“โต๊ะนู้นอย่าเอามือล้วงหลอดแก้วนะครับ”
   
“ปล่อยลูกตุ้มในแนวดิ่งครับ ค่อยๆ ปล่อย อย่าโยนลงไปนะ”
   
สงบได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว เดี๋ยวตรงนู้นเรียก เดี๋ยวตรงนั้นเรียก โชคดีที่กลุ่มปรัชญ์ทำเสร็จก่อนใครเพื่อนเลยมาช่วยแบ่งเบาภาระของเขาบ้าง
   
เดินไปเดินมามากเข้าก็ชักจะมึนหัว เกลียดแลปก็แบบนี้... ยิ่งช่วงทำการคำนวณ สูตรนั้นก็ง่ายแสนง่าย ทว่ากลับมีบางคนที่ไม่ยอมทำความเข้าใจสักที อธิบายเท่าไหร่ก็ยังบอกว่าไม่เข้าใจ...
   
“พี่วันอธิบายใหม่อีกรอบได้ไหมคะ” เยลลี่ สาวสวยประจำคลาสทำตาใสใส่แล้วว่าด้วยเสียงออดอ้อน เขาก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มบางๆ ไปแล้วหันไปกวักมือเรียกปรัชญ์ให้เข้ามาหา
   
“น้องปรัชญ์ครับ มาอธิบายส่วนนี้ให้เยลลี่เขาทีนะ กลุ่มนู้นรอพี่นานแล้ว ขอตัวนะครับ” ว่าเสียงนุ่มอย่างที่ใช้บ่อยๆ แล้วก็ปลีกตัวออกมาเงียบๆ พอเปลี่ยนคนอธิบาย สาวเจ้าก็ทำท่าเข้าใจขึ้นมาทันที... เห็นแล้วก็ต้องส่ายหัว ไม่รู้ว่าเพราะเขาอธิบายไม่รู้เรื่อง หรือว่าอะไรกันแน่?
   
“พี่วันๆ ”
   
เสียงคุ้นหูดังขึ้นขัดความคิด วันสุขชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปยังต้นเสียง ซานโบกมือไหวๆ แล้วกวักให้เขาซึ่งติดพันอยู่กับอีกกลุ่มให้เข้าไปหา หางตาก็แอบเห็นปรัชญ์ทำหน้าขมวดคิ้วอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก รีบอธิบายการใช้สูตรคร่าวๆ อย่างรวบรัด ก่อนจะเดินฉับๆ เข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่
   
“มีอะไรครับ” ถามอย่างสงสัยก่อนจะมองเลยไปด้านหลัง นักศึกษาสองสามคนกำลังลงมือเช็ดบางสิ่งอยู่ หลักฐานซึ่งเป็นหลอดแก้วว่างเปล่ายังวางคาไว้กลางโต๊ะ อย่าบอกนะว่า...
   
“ผมง่วงไปหน่อย เลยเผลอทำหก” ไม่หน่อยละมั้ง... แล้วพูดว่าหกคงไม่ได้ ในเมื่อมันเทกระจาดมาหมดหลอดแบบนั้น
   
วันสุขถอนหายใจเฮือก เดินกลับไปหยิบแฟ้มบนโต๊ะ แล้วก็เขียนชื่อตัวการทำลายข้าวของลงไปอย่างรวดเร็ว
   
“เรามีลิสต์ของที่ต้องจ่ายก่อนสอบมิดเทอมเพิ่มขึ้นอีกอย่างแล้วนะ” ว่าเสียงดุ คนตรงหน้านี่เรียนแลปคาบไหนเป็นอันทำของเสียหายได้ทุกครั้ง ยอดเงินที่ต้องชดใช้นับๆ รวมกันแล้วแทบจะซื้อเก้าอี้ใหม่ได้สักตัว
   
“เยอะขนาดนั้นเชียว?” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงตกใจ แต่สีหน้าท่าทางนั้นเฉยสนิท เขาเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ
   
“ไปล้างมือไปครับ แล้วทำอะไรล่ะนั่น?” ชี้ไปที่อ่างน้ำพร้อมสบู่ล้างมือ แต่เจ้าตัวกลับยืนเฉยแล้วก็ลูบนิ้วตัวเองเล่นไปมา
   
“มันลื่นๆ ดี...” ถูนิ้วให้เขาดูว่ามันลื่นจริงๆ “ลื่นเหมือนเนื้อถุงยาง”
   
เผลอสำลักน้ำลายจนไอโขลก แต่ดูเหมือนซานจะยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ยิ่งเฉพาะสายตาเจ้าเล่ห์นั่น ยิ่งทำให้เขาระแวงมากเข้าไปอีก
   
“เอาไปใช้แทนได้เลยนะ” ซานพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังสุดกู่ วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นดันหลังอีกคนให้ไปล้างกลีเซอรอลที่เลอะเต็มไปหมดนั่นทันที
   
“เลิกพูดเรื่องถุงยางได้แล้ว นี่ไม่ใช่แลปสุขศึกษานะครับ” เอ่ยดุก่อนจะชะงักเมื่อเจ้าเด็กตรงหน้ายกยิ้มร้ายใส่ ของเหลวเย็นลื่นถูกป้ายแปะลงมาที่ข้างแก้มทำเอากระโดดหลบแทบไม่ทัน แต่ถึงจะพยายามเบี่ยงตัวมากแค่ไหน สุดท้ายก็ยังเปื้อนอยู่ดี
   
“ลื่นจริงๆ ด้วย พี่วันว่าไหม? โอ๊ย!” ว่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะต้องร้องลั่นเมื่อโดนเขาเตะข้อพับเข้าให้
   
พอได้เอาคืนริมฝีปากสีส้มสวยก็ยกยิ้มอย่างพอใจ วันสุขฮัมเพลงอารมณ์ดี โน้มหน้าไปที่อ่าง เปิดน้ำแล้วเอาสบู่มาลูบแก้มเบาๆ
   
“นี่...” เสียงเรียกเบาๆ ดังขึ้นมา แต่เขาไม่ได้สนใจนัก เลือกที่จะหลับตาปล่อยให้น้ำไหลผ่านหน้าแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน
   
“พี่วัน... ลืมตามาสนใจกันหน่อย” เสียงเหมียวๆ ดังเข้ามาใกล้จนสุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ว่าปลายจมูกของอีกฝ่ายห่างจากเขาไปไม่เท่าไหร่ วันสุขเลิกคิ้ว ทว่าก็ไม่ได้ถอยห่าง ยกตัวขึ้นมาเล็กน้อย ทางน้ำไหลเทลงมาจนเสื้อเปียกโชก
   
“มีอะไรครับ?” ถามก่อนจะค่อยๆ หยัดกายยืนตรง ผ้าขนหนูนุ่มนิ่มจากปรัชญ์ถูกส่งมาให้ ส่งยิ้มไปขอบคุณฝ่ายนั้น แล้วก็จับมันซับไปตามใบหน้าและลำคอ ในขณะที่ซานขมวดคิ้วใส่เขา ท่าทางคล้ายกับคนที่กำลังติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง
   
“ทำไมพี่ถึงได้ชอบทำท่าทางแบบนั้นนัก?” แล้วก็แย่งผ้าขนหนูในมือของเขาไป กลายเป็นเขาเองที่ยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายใช้ผ้าซับน้ำให้...
   
สนิทกันจนทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ?
   
คำถามนี้ผุดขึ้นในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ปัดป้องอะไร นายวันสุขก็แบบนี้... เรื่อยเฉื่อยมาแต่ไหนแต่ไร และเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะโวยวายไปทำไม ในเมื่อมันไม่มีอะไรเสียหายสักนิด อีกอย่างเขาก็รู้สึกว่าเด็กนี่เป็นกรณีพิเศษมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นะ...
   
“แบบไหนล่ะ?” เอียงคอถามเสียงซื่อพลางยกยิ้ม ซานยู่หน้าตอบกลับมาแล้วมองข้ามไหล่เขาไปที่คนด้านหลัง
   
“ปรัชญ์ว่าพี่ทำท่าแบบไหน?” วันสุขเอี้ยวคอไปมองหนุ่มร้านดอกไม้บ้างพลางถามเสียงใส คนเรียบร้อยก็อ้ำอึ้งไม่ยอมตอบคำถามเสียนี่
   
“เอ่อ... ก็...” ท่าทางเหมือนคนกำลังเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก วันสุขเลิกคิ้วยามที่สบตากับอีกฝ่าย แล้วปรัชญ์ก็ก้มหน้าหลบกันเสียดื้อๆ
   
“เสื้อพี่เปียก...” ค่อยๆ มาทีละประโยค
   
“เปียกแล้วยังไงล่ะครับ?” เสื้อสีดำลู่ไปกับร่างกายก็พอเข้าใจอยู่ แต่ไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะขี้อายขนาดนี้ ความคิดกำลังวนเวียนไป แล้วแมวตัวใหญ่ก็ส่งเสียงร้องเงี้ยวง้าวเรียกความสนใจอีกครั้ง
   
“เย็นนี้พี่ว่างไหม?”
   
“ไม่ว่างครับ” วันสุขตอบกลับแทบจะในทันที เขาเลิกเที่ยวมานานแล้ว ทุกเย็นต้องกลับไปทำกับข้าวที่บ้าน ส่วนคนถามก็ทำหน้ายู่อีกครั้ง
   
“เหรอ... แน่นะ?” มีการถามเขาซ้ำย้ำอีกรอบ
   
วันสุขยกยิ้มแล้วพยักหน้า ซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะชะงักไป เมื่อแขนถูกคว้าด้วยมือของใครบางคน เยลลี่นั่นเอง
   
“คุยอะไรกันเหรอคะน่าสนุกเชียว” มือบางกอดแขนซานแน่น แต่สายตากลับจ้องมาที่เขาอย่างเปิดเผย
   
วันสุขหัวเราะไม่ตอบคำถาม ดวงตาคมสวยเหลือบไปมองนาฬิกา พลางตีมือเตือนเหล่านักศึกษาว่าใกล้ถึงเวลาเลิกแล้ว
   
“ใครเสร็จแล้วก็เอาใบแลปมาส่งที่พี่เลยครับ ใครเสร็จไม่ทันก็รวบรวมไปส่งก่อนเที่ยง ย้ำว่าก่อนเที่ยงนะครับ หลังจากนั้นพี่จะไม่รับงานแล้วนะ” แล้วความวุ่นวายเล็กๆ ก็บังเกิดขึ้น แต่ละคนรีบเขียนกันใหญ่
   
เห็นภาพพวกนั้นแล้วก็นึกถึงสมัยก่อนไม่ได้ ชีวิตมหาวิทยาลัยของเขาไม่ค่อยจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้นัก รู้สึกเสียดายอยู่หน่อยๆ ว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่เลือกเรียนทางสายนี้? ไปเริ่มต้นเรียนปริญญาตรีอีกสักรอบจะยังทันไหมนะ?
   
“อ้อ... จริงสิ น้องซานห้ามลืมเขียนชื่อนะครับ” หันไปย้ำกับตัวปัญหา ก่อนจะเดินไปรวบรวมผลแลปจากนักศึกษาแต่ละกลุ่ม พอเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบ เขาก็เดินออกจากห้องทันที
   
“พี่วันครับ! ผมไปด้วย!!” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหลัง วันสุขก้าวเท้าชะลอขณะที่ใครคนนั้นวิ่งเข้ามาใกล้
   
“คือ... อาจารย์เขาใช้ให้ผมไปเอาเฉลยข้อสอบคราวที่แล้วครับ” เจ้าตัวแจกแจงธุระแล้วเงียบไปเพื่อรอให้เขาพูด วันสุขเอียงคอคิดเล็กน้อยก่อนจะร้องลั่นทางเดินเมื่อนึกขึ้นได้
   
“พี่ลืมทำเฉลย! อา... ให้ตายสิ ไปนั่งรอสักพักได้ไหมครับ? เรามีธุระอะไรหรือเปล่า?” ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางยกมือมือขึ้นเสยผม พักนี้มัวแต่วุ่นกับเรื่องทำร้านจนลืมเรื่องทางนี้ไปเสียสนิท คุณอาก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าลืม สุดท้ายเขาก็ยังลืมจนได้...
   
เมื่อก่อนไม่ได้ขี้ลืมขนาดนี้แท้ๆ หรือว่าเซลล์สมองเขามันเริ่มจะทำงานขัดข้องเสียแล้ว? ไม่เอาหรอกนะ... นายวันสุขเวอร์ชั่นอัลไซเมอร์ หรือขี้หลงขี้ลืมเนี่ย
   
“เอ่อ... ถ้าพี่วันงานยุ่ง จะให้ผมช่วยทำก็ได้นะครับ” ปรัชญ์ว่าเสียงเบา แต่นัยน์ตาแอบแฝงความหวังไว้ลึกๆ ท่าทางคล้ายลูกสุนัขตัวโตอ้อนขอให้เจ้าของลูบหัวอย่างไรอย่างนั้น
   
นี่ก็หมา โน่นก็แมว... เห็นทีเขาคงไม่ต้องไปหาซื้อตามร้านแล้วหรอกมั้ง?
   
“หืม? ทำ... ‘ทำ’ อะไรนะครับ?” แกล้งหยอกไปตามประสาจนอีกฝ่ายหน้าขึ้นสี อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ คนขี้อายน่าแกล้งก็แบบนี้ แต่ขณะที่กำลังยิ้มอารมณ์ดี โทรศัพท์มือถือก็สั่นครืดเตือนว่ามีข้อความเข้า
   
“ถ้ามาช่วย ‘ทำ’ ก็ดีครับ งานพี่เยอะ มาแบ่งเบากันหน่อย เดี๋ยวให้ลูกอม” ขึ้นประโยคด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์แล้วจบด้วยเสียงนุ่มๆ มุมปากยังติดยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ... แล้วก็ต้องหลุดขำ เมื่อสายตาปะทะกับข้อความสีกาแฟและสติ๊กเกอร์แมวแก้มป่อง
   
‘สนใจแต่คนอื่น ถ้าไม่รีบเอาของกินมาง้อ จะงอนแล้วนะ!’
   
ใครดูก็รู้ว่าส่งมาหยอกเล่น แต่หยอกมาแบบนี้บ่อยๆ ไม่ดีเลยนะ... ไม่ดีเลยจริงๆ


(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage

คุณอานั่งหน้าขรึมอยู่ในห้องทำงาน...
   
พอเขาเปิดประตูเข้าไปท่านก็ทำท่าเหมือนมองไม่เห็น พอถามว่ามีเรื่องอะไรไหม หนุ่มใหญ่ก็ปฏิเสธเสียอย่างนั้น ดวงตาคมดุนั่นยังฉาบด้วยร่องรอยของความไม่สบายใจ เห็นแบบนั้นแล้วก็พานพาให้เขารู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย
   
“ไม่มีอะไรแน่นะครับ?” อดถามย้ำไม่ได้ ปรัชญ์เองก็มองมาอย่างเป็นห่วง แต่เพราะด้วยว่าเด็กสุดในห้องเลยเลือกที่จะเงียบอย่างมีมารยาท
   
“ไม่มีอะไร แล้วไปทำอีท่าไหนมาถึงเปียกแบบนั้น” แล้วก็กลายเป็นเขาเสียเองที่โดนถามเสียงดุ วันสุขยิ้มแหยไม่ตอบคำถามพลางบอกให้ปรัชญ์ไปนั่งรอที่โซฟาสักพัก
   
“จะหนีไปไหนฮะเรา? แล้วเฉลยข้อสอบทำหรือยัง?” คุณอาถาม ตาคมกริบดูจะน่ากลัวเป็นพิเศษ
   
วันสุขหันไปยิ้มแห้งๆ ให้แล้วส่ายหน้าหวือ คนเป็นอาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วยกปากกาแดงขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ลงในสมุดจดสำหรับบันทึกพฤติกรรมหลานตัวเองโดยเฉพาะ...
   
เจ้าสมุดนี่จะตามมาหลอกหลอนเขาอีกครั้งเมื่อถึงสิ้นเดือน แล้วเงินเดือนซึ่งไม่เคยจะได้แบบคงที่สักทีก็จะถูกตีออกมาเป็นตัวเลขที่แปรผกผันตามพฤติกรรม อา...โดนหักอีกแล้วสินะ?
   
“ผมวุ่นๆ เรื่องร้านก็เลยลืมสนิท อย่าหักเงินผมเลย” หลานชายอย่างเขาส่งเสียงร้องขอความเมตตา แต่คุณอากลับบอกเสียงเฉียบว่า
   
“ไม่!”
   
วันสุขเดินคอตกเข้าไปหลังบ้าน บ่นงึมงำตามประสาแล้วก็ค่อยๆ ปลดกระดุมออกทีละเม็ด เสื้อยังคงชื้นอยู่ แต่จะให้ใส่ต่อไปรอจนมันแห้ง เขาคงได้หวัดกินกันพอดี พอกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกกลัดเตรียมถอดเชิ้ตออก เสียงแหวกผ้าม่านก็ตามมาพอๆ กับเสียงร้องตกใจของใครบางคน
   
“ข... ขอโทษครับ” ปรัชญ์ว่าพลางก้มหน้าทันทีที่เขาหันไป วันสุขชะงักไปเล็กน้อย เดินเอื่อยๆ เข้าไปหา ไม่ได้คิดจะจัดการกับสภาพรุ่มร่ามของตัวเองเท่าไหร่
   
“น้องปรัชญ์มีอะไรครับ?” เอ่ยถาม เห็นไหล่กว้างนั่นกระตุกเบาๆ ทำเอาเขายกยิ้ม พอเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ชักสงสาร เลยหันหลังกลับไปหยิบผ้าขนหนูในลิ้นชักมาห่มไว้ลวกๆ แทน
   
“พอดีอาจารย์ให้ผมมาเอาโจทย์ข้อสอบรอบก่อนน่ะครับ” สงสัยคุณอาจะทำเอง... จะโทษอะไรได้นอกจากโทษตัวเอง ในเมื่องานที่ได้รับมอบหมายมาดันไม่เป็นไปตามแผน คุณอาก็เลยลงมือจัดการเสียแทน ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีสักเท่าไหร่
   
มื้อเย็นวันนี้คงต้องทำแต่ของที่ท่านชอบเยอะๆ เป็นการเอาใจแล้วก็ค่อยบอกขอโทษก่อนขึ้นนอน... วาดแผนไว้ในหัว ดูสวยหรูทีเดียว ว่าไหม?
   
พลันโทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงเตือนข้อความเข้าอีกครั้ง แต่เขาไม่ได้เดินเข้าไปรับเพราะมัวแต่ค้นของที่อยู่ในลิ้นชัก กว่าจะหาเจอได้ก็ทำเอาเกือบใจหาย เพราะนึกไปว่านอกจากลืมทำเฉลยข้อสอบแล้ว ยังอาจจะลืมโจทย์ข้อสอบทิ้งไว้ที่ไหนเสียอีก
   
“เมื่อวานก่อน... ผมเห็นรูปพี่วันในเฟสของซานด้วยครับ” จู่ๆ ปรัชญ์ก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
   
“ครับ? แล้วเป็นยังไงบ้าง?” เฟสบุ๊คอะไรนั่นเขาเล่นเสียที่ไหนแต่ก็ใช้เป็น ถึงจะไม่ได้ตามเทคโนโลยีอะไร ทว่ายุคสมัยมันก็บีบบังคับให้ต้องเรียนรู้ไปในตัว
   
“ซานกับพี่... ดูสนิทกันจริงๆ นะครับ” ปรัชญ์ว่า ท่าทางเหมือนมีเรื่องบางอย่างที่อยากพูด แต่คล้ายเจ้าตัวจะไม่กล้าเท่าไหร่ วันสุขยื่นโจทย์ข้อสอบให้กับฝ่ายนั้นแล้วก็ยืนนิ่งๆ
   
“ผม... กลัวว่าพี่จะมีปัญหาครับ” จนสุดท้ายหนุ่มร้านต้นไม้ก็ยอมพูดออกมาในที่สุด
   
“เยลลี่น่ะเหรอ?” ชื่อนี้ผุดวาบขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก สาวสวยมักมากับนิสัยร้ายๆ เสมอ คนที่ชอบมองมาด้วยสายตา ‘อยากได้ของ’ แบบนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอ
   
โชคดีที่ซานดูจะไม่มีท่าทีสนใจสาวเจ้าเท่าไหร่ ก็ได้แต่หวังว่าเยลลี่คงไม่ทำให้พวกเขาต้องมีเรื่องมีราวกัน เพราะไม่อย่างนั้นช่วงเวลาเฮฮาแบบนี้คงกลายเป็นบูดสนิท แต่ดูเหมือนปัญหาที่เขาคิดกับที่ปรัชญ์คิดจะคนละอย่างกันเสียอย่างนั้น
   
“ไม่ใช่เธอหรอกครับ แต่เป็นคนอื่น ผมกลัวพวกนั้นจะเอาพี่ไปว่าเสียๆ หายๆ ...เรื่องที่แชร์จากอินเตอร์เน็ตน่ากลัวกว่าเจ้าตัวเขามาว่าเราตรงๆ นะครับ” ปรัชญ์พูดเหมือนเรื่องใหญ่ ซึ่งมันก็น่าจะใหญ่จริงๆ นั่นแหละ... แต่เขาเพียงแค่ยิ้มรับขอบคุณกับคำเตือนเท่านั้น
   
“ผมไม่ได้จะบอกว่าซานไม่ดีนะครับ... แต่ว่า... คนรอบตัวเขาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” ได้ฟังแล้วก็ต้องเลิกคิ้ว เขาเองก็เคยเจอแค่ซานอยู่กับเยลลี่เท่านั้น นี่แสดงว่ายังมีอีก?
   
“เอ... พี่ก็พอจะนึกภาพออกครับ รายนั้นเขาเที่ยวกลางคืนด้วยใช่ไหม?” เที่ยวเล่นท่องราตรีเหมือนกับเขาสมัยก่อน ผิดกันแค่ที่ว่านั่นคือแมวตัวใหญ่ หาได้ใช่นายวันสุขไม่
   
เขาไม่อยากเอาบรรทัดฐานตัวเองไปทาบกับเด็กคนนั่นสักเท่าไหร่ เขาไม่รู้ว่าซานตอนเที่ยวเป็นอย่างไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กนั่นถลำเข้าไปในแสงสีลึกแค่ไหนแล้ว...
   
“ครับ... เขาเที่ยว หลายครั้งก็มาหลับเอาในคาบเรียน บางทีก็โดดไปเลย ผมเห็นว่าเขาเข้าแค่เฉพาะวิชานี้เท่านั้น”
   
แสดงว่าท่าทีง่วงงุนนั่นก็เป็นเพราะเที่ยวดึกอย่างนั้นหรือ? นี่แค่ปีแรกก็เป็นเสียขนาดนี้แล้ว? ทว่าก็ได้แต่ฟังหูไว้หูเท่านั้น เขาไม่อยากจะตัดสินไปแต่เนิ่นๆ จากเรื่องที่ฟังมาเท่าไหร่ ไว้รอถามเจ้าตัวตรงๆ คงจะง่ายกว่า
   
“คนที่ภาคก็พูดไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่... ผมไม่ได้อยากเอาเขามานินทา แต่ว่า... ผมห่วงพี่จริงๆ ครับ” ท่าทางของปรัชญ์ก็บอกได้อยู่ว่าห่วงเขาจริงๆ ตามที่พูด
   
“จะว่าไป คนที่เราพูดถึงเนี่ย หมายถึงใครเหรอครับ?” ถามย้ำไปอีกครั้ง เพราะมันฟังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่สำหรับเขา
   
“พวกเพื่อนเที่ยวของซานกับพวกคนในเน็ต... รูปพี่ที่ซานเอาลงในนั้นก็มีคนมาลงคอมเม้นท์แปลกๆ ...ผมว่าพี่คงไม่อยากจะอ่านสักเท่าไหร่” มาพูดกันขนาดนี้ก็ชักอยากจะเห็นเสียแล้วสิ
   
แปลกๆ เหรอ? แปลกที่ว่านี่มันแปลกอย่างไร? ชีวิตเขานี่เคยผ่านทั้งการด่ากราดต่อหน้า หรือแม้กระทั่งนินทาลับหลังมาแล้ว ยังจะมีคำด่าประหลาดพิศวงอะไรอีกนะ?
   
“เขาด่าพี่เหรอครับ?”
   
“เปล่าครับ ไม่ได้ด่า แต่มันออกจะแปลกๆ โดยเฉพาะพวกผู้หญิง” วันสุขขมวดคิ้ว พยายามนึกว่าวันเวลาที่ผ่านมาเคยมีใครมาพูดแปลกๆ กับเขาหรือเปล่า... แล้วก็นึกออกได้เรื่องหนึ่ง
   
“อย่าบอกนะว่ามาจับคู่ให้ อะไรแบบนี้?” ถามอย่างไม่แน่ใจ พออีกฝ่ายพยักหน้ามาให้ก็ทำเอาขำพรืด ปรัชญ์หน้าเสียไปเล็กน้อยจนเขาปลอบแทบไม่ทัน
   
“ขอบคุณที่ห่วงครับ ไว้เดี๋ยวพี่จะคุยกับเขาอีกทีเรื่องนี้แล้วก็จะระวังตัวให้มากขึ้น จริงๆ แล้วเรื่องแบบนั้นก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ขอบคุณอีกครั้งครับที่มาเตือน” ออกปากรับเรื่องไว้ซึ่งเมื่อพูดจนจบประโยค ใครอีกคนก็ยกยิ้มดีใจทันที...
   
ปรัชญ์คงไม่รู้ตัวว่าตัวเองดูออกง่ายแค่ไหน เรื่องห่วงน่ะ คงจะห่วงจริงๆ แต่ภายใต้ความห่วงนั่นมันยังมีอะไรซ่อนอยู่นะ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน... คาดเดาไปก็เหนื่อยเปล่า ไปนั่งเดาใจคนอื่นมันใช่ทางเขาเสียเมื่อไหร่


   

ปรัชญ์กลับไปตอนช่วงสายหลังจากที่คุณอาทำเฉลยเสร็จ ส่วนเขาเหลือก็แต่ตรวจใบแลปกองพะเนินหลายสิบชุด ก็รบราฆ่าฟันกับมันอยู่นาน โชคดีที่คราวนี้ซานยอมเขียนชื่อมาให้ แต่เขาก็ยังต้องมานั่งไล่เปิดหากระดาษเปล่าทุกครั้งที่ทำการตรวจอยู่ดี
   
“วัน เสร็จหรือยัง?” คุณอาแหวกม่านกั้นห้องเข้ามา ท่าทางเหนื่อยล้าไม่ต่างจากเขา เมื่อครู่เพิ่งมีนักศึกษากลุ่มใหญ่เข้ามาถามวิธีทำโจทย์ เห็นอธิบายกันนานพอสมควรเพราะต้องเริ่มตั้งแต่ต้นหมด เขาซึ่งทำงานอยู่ข้างในได้ฟังแล้วยังเหนื่อยแทน
   
“เหลืออีกเยอะเลยครับ คุณอากลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมตามไป” พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษ มือเองก็เขียนคะแนนไปพลางๆ
   
“งั้นเดี๋ยวอาแวะหาอะไรกินข้างทางเลยแล้วกัน เราน่ะก็อย่าให้มันดึกมากนัก อาไม่ได้รีบใช้คะแนนขนาดนั้น” ว่าเสียงดุตามประสา แล้วก็เดินเข้ามายีหัวคิ้วของเขาที่ขมวดเข้าหากันให้คลายออก
   
“อย่าเครียดให้มาก ยังติดใจเรื่องเฉลยข้อสอบไม่หายหรือไง?”
   
“ก็ครับ... ผมทำให้เหนื่อยนี่ งานนั่นตอนแรกผมเองต้องทำมันแท้ๆ ” ถึงจะไม่ค่อยใส่ใจกับอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน เขาเองก็มักจะจริงจังกับมันเสมอ ถึงจะชอบลอยชาย แต่การละเลยจนคนอื่นต้องมาทำให้นี่มันทำให้เขารู้สึกแย่มากจริงๆ
   
“อย่าคิดมากจะดีกว่า เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นเถอะ” ไหล่ถูกตีปุๆ ทำเอาขมวดคิ้วไม่ได้
   
“เรื่องไหนครับ?”
   
“เรื่องหาหลานให้อาเลี้ยงสักคน”
   
“ย้ำเข้าบ่อยๆ เดี๋ยวผมก็ประชด แต่งผู้ชายเข้าบ้านแทนเสียหรอก” เอ่ยหยอกแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบกว่าดันหัวเราะเยาะใส่เขาเสียอย่างนั้น
   
“อาก็รอดูอยู่ จะแต่งใครเข้ามาก็เรื่องของเราเถอะ แต่หาหลานให้คนแก่เลี้ยงหน่อยคงไม่ลำบากใช่ไหม?” ศีรษะถูกโยกเบาๆ แล้วแผ่นหลังหนากว้างนั่นก็เดินลับหายไป วันสุขยกยิ้มพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ สมาธิทำงานก็แตกหายไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองเท่านั้น


   

เมื่อยบ่า ปวดคอ ปวดเอว... อาการของคนที่นั่งเก้าอี้มากไป ตอนที่ต้องก้มตัวเก็บปากกาที่ตกพื้นน่ะมันทรมานแค่ไหน เขาเองก็อยากจะร้องให้ลั่นตึกเสียจริง
   
เดินหอบของหน้าเบ้ออกมา ฟ้าก็มืดเสียแล้ว ไฟทางฝังพื้นที่มหาวิทยาลัยลงทุนทำให้ใหม่นั้นสวยเอาเรื่อง มองไกลๆ แล้วอย่างกับแสงเทียนนำทาง โรแมนติกจนอยากจะหาใครสักคนมาเดินควงแขนทอดอารมณ์เอื่อยเฉื่อยไปด้วยกันเสียจริง
   
“ปีสองพร้อม! ลุกนั่งตามจำนวนรุ่น!! ล้มนับใหม่ เริ่ม!!”
   
อารมณ์สุนทรีย์ถูกพัดปลิวหายเมื่อเสียงเหี้ยมดังเข้ามากระทบโสตประสาท วันสุขยืนนิ่ง...ไว้อาลัยให้กับความคิดฟุ้งซ่านในสมองพลางถอนหายใจเฮือก...
   
วันนี้เขาถอนหายใจไปกี่รอบแล้ว? ในหนังสือที่เคยอ่านเจอ ในนั้นบอกว่าคนถอนหายใจบ่อยๆ มักอายุสั้น ก็ไม่รู้ว่าจริงไหม แต่ถ้าจริง อีกไม่กี่ปีเขาคงได้หมดอายุขัยก่อนคุณอาแน่ๆ
   
“ทำได้แค่นี้หรือไง!? นับใหม่!” เสียงตะคอกดังขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงนับรอบดังกระหึ่ม
   
วันสุขอดกวาดตามองหาเป้าหมายไม่ได้ แล้วก็เจอะกับนักศึกษากลุ่มใหญ่ซึ่งกำลังทำกิจกรรมรับน้องกันอยู่ ดูเค้าแล้วคงจะเหมือนๆ ทุกปี... รุ่นพี่ถูกลงโทษเพราะรุ่นน้อง เดี๋ยวก็มีคนร้องไห้... ร้องห่มร้องไห้กันทุกปี ตอนปีเขาเองก็ร้องแบบนี้นี่แหละ
   
“หืม?” อุทานเบาๆ อย่างฉงน เมื่อในกลุ่มนักศึกษาที่นั่งเรียงแถวกันบนพื้นนั้นมีใครบางคนที่เด่นออกมา... เขาทำหน้าเครียดกันจะเป็นจะตาย... สาวๆ ก็ร้องไห้ตามประสา แต่คนคนนั้นดันหาวหวอดไม่เกรงใจรุ่นพี่เสียนี่
   
เขายืนมองเพลินๆ แล้วก็อดขำเป็นพักๆ ไม่ได้ จนในที่สุดดวงตาพราวเหมือนดาวบนฟ้านั่นก็หันมาปะทะกันอย่างจัง แมวตัวใหญ่ทำหน้าสงสัยคล้ายกับไม่แน่ใจว่าเป็นเขาหรือเปล่า พอมองอยู่สักพักก็ส่งยิ้มมาให้ เจ้าตัวก้มลงไปกดยุกยิกลงโทรศัพท์มือถือ ท่าทางดูจะไม่สนใจเสียงนับกับบรรดารุ่นพี่ที่เริ่มล้มลงพื้นทีละคนสองคน
   
‘รอหน่อย ขอติดรถไปด้วย รถเสียส่งซ่อม’ ข้อความสั้นๆ ถูกส่งมาให้
   
วันสุขส่ายศีรษะอย่างระอา จริงๆ เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องรอ หรือทำตามแต่อย่างใด แต่สมองมันสั่งการไปแล้ว ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน...
   
เขารอไม่นาน เหล่านักศึกษาปีหนึ่งก็ถูกรุ่นพี่ไล่ให้กลับบ้าน ใครบางคนพอหยิบกระเป๋าตัวเองได้ก็วิ่งปร๋อมาหาทันที ท่าทางไม่ได้เหนื่อยล้า ตรงข้ามกับคนอื่นๆ
   
“เหนื่อย เมื่อยขา” ว่าแล้วก็กระโดดเข้าใส่จนเกือบตั้งตัวไม่ทัน
   
“นี่เราสนิทกันจนมากอดพี่ได้แบบนี้เลยเหรอครับ?” ถามอย่างติดขำ คนปกติเขาคงไม่มาถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้เท่าไหร่ กลิ่นน้ำหอมจางโชยมาแตะจมูก กลิ่นเบาๆ เย็นสบาย... อยู่แบบนี้ก็อุ่นดีเหมือนกัน
   
“ที่อเมริกาเขาไม่ค่อยถือกันหรอก เมื่อยแขน...” บ่นเบาๆ แล้วก็ยอมปล่อยกอดแต่โดยดี ทว่าดันเปลี่ยนเป้าหมายไหล่เขาแทน “ผมเห็นเด็กอนุบาลเดินแถวกันแบบนี้ อยู่ที่โน่นไม่เคยทำ... เขาเรียกว่าอะไรนะ?” ว่าแล้วก็โยกตัวไปมาทำเอาเขาที่เดินนำหน้าอยู่ต้องโยกตามไปด้วย
   
“แถวรถไฟมั้ง? พี่เองก็ไม่แน่ใจ” คิดพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างลืมตัว... ฟ้าโปร่งกว่าทุกวัน ดาวแม้จะไม่มาก แต่ก็ยังพอมีให้เห็น
   
“พี่วัน” คนข้างหลังส่งเสียงเรียกทำลายบรรยากาศเขาอีกครั้ง
   
“ครับ?” ขานตอบไป แต่สายตาก็ยังไม่ละจากเวิ้งสีเข้มด้านบน ขายังก้าวเอื่อยเฉื่อย ลมเองก็พัดมาเรื่อยๆ ชักเริ่มจะหนาวขึ้นมาหน่อยๆ แต่ตรงที่ดูจะอุ่นที่สุดคงไม่พ้นช่วงไหล่ที่มีมือของใครสักคนวางลงมา
   
“ไปสะพานพุทธกันไหม?”
   
“ไปทำไมครับ?” อดที่จะหันหน้าไปถามไม่ได้ก่อนจะชะงักไปยามที่ปะทะสายตากับคนตรงหน้า... ยิ้มอ่อนๆ นั่น เขารู้สึกเหมือนว่ามันดูคุ้นตาอย่างประหลาด ยิ่งรอยยิ้มที่ส่งมาให้...ยิ้มที่ดู ‘จริง’ กว่าทุกที
   
“ไปหาแรงบันดาลใจ... เอาไว้วาดรูป”
   
วันสุขนิ่งไป คงเพราะประโยคนั่นดูจริงจังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาจากคนตรงหน้า ...ท่าทางใฝ่ฝันแบบนั้น เขาเองก็เป็นทุกครั้งยามที่ฝันถึงปุยเมฆและฟากฟ้าราตรี
   
“ชอบวาดรูปเหรอ?” หยุดเดินแล้วหันไปถาม ซานนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก
   
“ชอบวาด แต่วาดไม่สวยหรอกนะ เวลาได้แตะพู่กัน มันเหมือนได้ระบายอารมณ์ อยากป้ายสีไหนก็ได้ที่อยากจะป้าย จะออกมาสวยหรือไม่สวยก็ช่างมัน... ผมชอบนะ พอวาดเสร็จก็เอามันมานั่งดู... นั่งมองอารมณ์ตัวเอง พิจารณาตัวเอง ทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกแบบนั้น ทำไมตอนนั้นถึงได้วาดรูปแบบนี้ออกมา”
   
แปลกใจ... นั่นเป็นความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ เขาไม่นึกว่าเด็กซนๆ คนหนึ่งจะมีมุมแบบนี้ หรือว่าบางทีคนตรงหน้าอาจจะไม่ได้ดูเฮฮาอย่างที่เขาเห็นก็ได้... มองแล้วก็คล้ายกับจะเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในอดีต นึกย้อนถึงวันวานแล้วก็ต้องหยุดความคิดเอาไว้ฉับพลัน
   
“ว่างๆ ก็วาดรูปให้พี่บ้าง” พูดไปอย่างนั้นแล้วเริ่มออกเดินต่ออีกครั้ง
   
“ไม่เอา... ไม่วาดให้หรอก” ซานว่าเสียงเบา ไม่ยอมเดินตามกันเสียอย่างนั้น...
   
“ทำไมล่ะ?” อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง ลมหนาวพัดมาอีกครั้ง ดอกแก้วลอยกระจายอยู่กลางอากาศ กลิ่นหอมหวานอบอวลจนชวนให้สบายใจ
   
ซานมองมาที่เขา ดวงตาสีเข้มแพรวพราวนั่นนิ่งสงบอย่างประหลาด ก่อนที่ริมฝีปากหยักสวยจะขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ
   
“ของบางอย่าง... มันวาดให้ไม่ได้ พี่ก็น่าจะรู้...”
   
พูดจริง หรือแค่ล้อเล่น?... ถ้อยคำซึ่งตีความได้หลากหลายนั่น เขาควรจะเชื่อถือได้เพียงไหนกัน?
   
วันสุขทำเพียงแค่ยิ้มตอบ หยุดบทสนทนา ปล่อยให้ต่างคนต่างจมลงอยู่กับความคิดตัวเอง... หัวใจกำลังเต้นระรัวอย่างไม่มีเหตุผล เพียงแค่ชั่วแวบ และสงบลงอย่างรวดเร็ว
   
ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นนี่คืออะไร?
   
เขาเองก็ไม่อยากจะเข้าไปหาคำตอบนัก คงต้องปล่อยให้มันดำเนินไปตามอย่างที่มันเป็น ดูจะเร็วไปสักหน่อยที่จะไปตัดสิน และดูจะเร็วไปสักหน่อยที่จะไปตั้งความหวัง
   
ความรักน่ากลัวสำหรับเขาเสมอ เพราะมันไม่เคยมาบอกกล่าวก่อนที่จะปรากฏตัวสักครั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มาเคาะประตูเข้าเสียแล้ว... และเสียงเคาะก็จะดังต่อไปเรื่อยๆ จวบจนกว่าประตูจะถูกเปิด แขกซึ่งมาเยี่ยมเยียนจะหน้าตานิสัยเป็นอย่างไร ก็จะไม่มีวันรู้จนกว่าจะได้ต้อนรับและพูดคุย...
   
เขาคงปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่ควรเป็นเหมือนทุกที  ให้เวลาค่อยๆ นับจากหนึ่งจนไปถึงจุดที่คำตอบกระจ่างชัด เมื่อนั้นคงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร... ในเมื่อเด็กคนนี้ให้ความรู้สึกต่างจากทุกคนที่เข้ามา คงไม่ขี้โกงเกินไปใช่ไหมที่เขาจะให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษขนาดนี้?
   
พลันความคิดต้องหยุดลงอีกครั้ง เมื่อคนที่เดิมตามหลังมาตลอดก้าวมาเดินเสมอกัน ใบหน้าคมคายภายใต้แสงไฟสีส้มอ่อนนั้นดูน่าค้นหาอย่างประหลาด ยิ้มละมุนซึ่งแต้มบนริมฝีปากนั่นชวนให้รู้สึกแปลก เสียงทุ้มติดยังเยาว์ฟังดูนุ่มหู...
   
“เรื่องบางเรื่องน่ะ... ผมว่าจินตนาการสวยกว่าปลายพู่กันไม่รู้ตั้งกี่เท่า...”


To be continued...


ตอนแรกวางซานไว้ให้เป็นคาแรคเตอร์แบบเย็นๆ คูลๆ
แต่พอเขียนเข้าจริง ซานก็แค่เด็กวัยรุ่นลอยชายไปมาคนหนึ่ง(?) มีมุมที่ดูจะร้ายนิดๆ แต่ก็ขี้อ้อน
อารมณ์แบบแมวตัวใหญ่ เรียกให้มาไม่มา พอเมินแล้วจะเข้ามาคลอเคลีย
ส่วนปรัชญ์นี่จะน่าแกล้งเป็นพิเศษ ให้นึกภาพก็คงเป็นโกลเด้นขี้ระแวงตัวใหญ่ๆ ล่ะมั้ง (หัวเราะ)

เรื่องนี้มีประมาณสิบกว่าตอนจบ ไม่ยาวเท่าไหร่ ระหว่างนี้อาจจะเอาเรื่องยาวอีกเรื่องมาลงด้วย
ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวล่วงหน้า และขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้เช่นเดิมจ่ะ
 :L2:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ปรัชญ์น่าแกล้งอ่ะ ><

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
เชียร์น้องแมวเต็มที่ แต่ดูท่น้องแมวตัวนี้ปริศนาจะเยอะเป็นพิเศษนะ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
อ่านเรื่องนี้ไปเหมือนต้องระวังตัวไปด้วย เหมือนเรายังเห็นแค่ยอดๆ ของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีอะไรเบื้องลึกเบื้องหลังอีกเยอะ ไม่กล้าจะปักใจลงไปว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น เจ๋งมากครับ

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แงค้างงงงงง   :ling1: 


แต่พี่วันนี่ขยันยั่วแบบไม่รู้ตัวจริงๆนะ  :laugh:

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ปรัชญ์น่าแกล้งจริง ๆ นั่นแหละนะ 555

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 4 - เทปุ๋ย ป้อนอาหาร


หลายครั้งเรื่องหยอกล้อก็กลายมาเป็นเรื่องจริงจัง ถ้าหากอีกฝ่ายคิดเองไปไกล... บางทีเขาคงต้องหยุดตัวเองเอาไว้แค่นี้ แต่ก็ไม่อาจจะทำได้... นายวันสุขคนนี้ไม่ใช่คนที่ชอบฝืนอะไร เขาทำไปตามที่ควรทำ หากมันจะจบเช่นไรก็ต้องปล่อยให้มันเป็น... ไม่เคยฝืน ไม่เคยยื้อ และไม่เคยคิดห้าม อย่างเช่นทุกๆ ครั้ง...
   
เมื่อวานกว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ก็แทบแย่ ไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างพวกเขาอีก ซานเลือกที่จะเงียบ เด็กคนนั้นคล้ายกับจะจมลงอยู่ท่ามกลางทะเลความคิด ส่วนเขาเองก็ไม่ต่างกัน อาจเป็นเพราะบรรยากาศมันพาให้คิดไป จิตใจก็เลยไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวนัก
   
เขาแทบไม่เคยรู้เลยว่า ‘บางสิ่งบางอย่าง’ มันเริ่มต้นขึ้นมาด้วยอะไร... เพื่อนสนิทคนแรก... เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าสนิทกันเพราะเหตุใด รักแรกที่ผ่านมาเนิ่นนาน มันเริ่มมาจากจุดไหน? ต่อให้คิดเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ทว่าน่าแปลก... ต่อให้จุดเริ่มมันรางเลือนมากแค่ใด แต่จุดจบกลับชัดเจนยิ่งกว่า
   
อาจเป็นเพราะระยะทางระหว่างอดีตมันไม่เท่ากัน... วันแรกไกลเหลือเกิน... ทว่าวันจบกลับใกล้กว่า... คงไม่แปลกที่เรื่องราวดีๆ จะตกหล่นไปทีละเล็กทีละน้อย เหลือเพียงแต่เรื่องราวแย่ๆ ที่ฝังอยู่ในความทรงจำ
   
ความรักนั้นน่ากลัวเสมอ... เขาท่องคำนี้ได้ขึ้นใจ แต่ก็ไม่เคยนิยามให้ตัวเองได้สักที คำว่า ‘น่ากลัว’ น่ะ...ตัวเขาเองกำลังกลัวอะไรกันอยู่แน่ นึกกี่ทีในหัวก็มีแต่เหตุผลหลอกๆ ส่วนคำตอบจริงๆ เขากลับไม่อยากจะคิดถึงมันนัก
   
สมัยก่อนคุณอามักบอกว่าเขาชอบทำตัวเหมือนผึ้งตอมดอกไม้ วนเวียนหาน้ำหวาน พอเจอที่ถูกใจก็จะวนกลับไปที่ดอกเดิมๆ แม้ต้นจะตายกลายเป็นซากแห้งๆ ผึ้งตัวเดิมก็ยังบินกลับไปที่เดิม ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
   
ถึงตอนแรกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจประโยคนั่นสักเท่าไหร่ แต่พอลองเปรียบให้ดอกไม้นั่นเป็นอดีตที่เขาเคยผ่านมา... ก็อดยอมรับไม่ได้อย่างไร้คำโต้เถียง
   
บางทีที่พูดย้ำกับตัวเองบ่อยๆ ว่า ‘นายวันสุขนั้นเปิดใจกับทุกคน’ มันคงเป็นเพียงแค่คำโกหกคำโตที่ถูกพูดซ้ำๆ เพื่อหลอกตัวเอง คงจะเป็น ‘กลไกการป้องกันตัวเองบางอย่าง’ ที่เขาไม่อยากจะไปนึกถึงมันนัก
   
แล้วทำไมถึงต้องมาคิดมากกับเรื่องนี้นักนะ? เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน... พักนี้รู้สึกเหมือนตัวเองงี่เง่าขึ้น หลายครั้งก็นึกรำคาญกับความคิดสับสนนี่ หรือว่าเขาจะกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกแล้ว? แค่ถูกเด็กหยอกเข้านิดหน่อยก็เอากลับมาคิดเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
   
“คนมีความรัก มักจะดูเด็กลงไปนิดนึง...”
   
เมื่อวานหลังจากกลับไปส่งซานที่คอนโดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านเขาแบบเหมาะเจาะก็ขับรถกลับเข้าบ้าน เสียงร้องเพลงประหลาดๆ ก็ดังออกมาจากปากคุณอา... เขาถามว่านั่นเพลงอะไร ท่านก็ทำท่ายักไหล่ใส่แล้วร้องต่อไปอีกท่อน
   
“คนมีความรัก มักจะไม่ทำหน้าตาบึ้งตึง...”
   
ไม่รู้เลยว่าตอนนั้นตัวเองทำหน้าตาแบบไหน แต่พอลองมาเปิดหาเพลงต้นฉบับฟังในห้องก็ทำเอาน้ำลักจนนึกว่าจะตายไปซะแล้ว... ผู้ชายตัวใหญ่วัยกลางคน นัยน์ตาดุ และเสียงทุ้มเข้ม มาร้องเพลงคิกขุแบบนี้... เห็นแล้วก็อยากจะอัดเทปแล้วเผาส่งไปให้ภรรยาซึ่งเสียชีวิตไปแล้วของท่านจริงๆ
   
หลังจากมึนกับเพลงนั่นไปพักใหญ่ ก่อนอาบน้ำเขาก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ กล่องกระดาษสาในลิ้นชักถูกยกออกมา แล้วรูปท้องฟ้าในแต่ละสถานที่ก็ถูกนำมาวางเรียงเต็มเตียง... เริ่มตั้งแต่วันแรกจนถึงวันจบ... รูปหยุดอยู่ที่ฟ้าครึ้มเมฆจนมองไม่เห็นจันทร์... ฟ้าซึ่งถูกถ่ายด้วยกล้องใกล้พังตัวหนึ่งผ่านบานหน้าต่างแตกๆ
   
เขาอดถามตัวเองไม่ได้ว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่? อะไรมันดลใจให้กลับมารำลึกเรื่องเทือกนี้อีก? รูปภาพถูกเก็บกลับลงกล่องอีกครั้ง จับอย่างเบามือ ทะนุถนอมมันอย่างลืมตัว อดที่จะยิ้มเย้ยตัวเองไม่ได้ บางทีผึ้งตัวนี้มันคงจะโง่ที่สุดในบรรดาผึ้งทั้งรัง... นิ้วนางข้างซ้ายเขาไงล่ะเครื่องยืนยันชั้นดีสำหรับความโง่เง่าของตัวเอง...
   
‘เปิดประตูให้เข้าไปหน่อย ยืนเคาะจนเมื่อยแล้ว ข้างนอกมันน้าวหนาว’
   
ข้อความจากคนเดิมๆ ถูกส่งมาในเวลาเดิมๆ พักนี้แทบจะส่งมาเป็นกิจวัตร บางทีก็วาดหน้าแมวกลมๆ แถมมาให้ด้วย อ่านแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่าทำให้คนบางคนคิดสาระตะจนไมเกรนจะขึ้นอยู่นี่... เดี๋ยวก็ปล่อยให้ยืนหนาวตายมันอย่างนั้นแหละ เพราะข้างในหลังประตูมันก็หนาวไม่แพ้กัน




“ปวดหัวชะมัด”

อาการปวดศีรษะตุบๆ บังเกิดขึ้นนับตั้งแต่ลืมตาตื่น ชันกายลุกขึ้นมาบนเตียง แล้วก็แทบสะดุ้งเมื่อพบว่าตัวเองตื่นสายกว่าเวลาปกติร่วมสองชั่วโมง คุณอาก็ไม่คิดจะเข้ามาปลุก โชคดีที่ยังเหลือเวลาให้เขาอีกชั่วโมงกว่า ไม่อย่างนั้นคงไปนัดดูต้นไม้สายแน่ๆ 
   
รีบอาบน้ำแต่งตัวจนลืมทักทายนายวันสุขในกระจก รีบจนกระทั่งลืมรถน้ำต้นไม้อย่างที่ทำประจำ คนร่วมบ้านก็ออกไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้า อาหารที่คิดว่าจะเตรียมก็เป็นอันยกเลิก
   
ของสำเร็จรูปในช่องแช่แข็งถูกนำมาประทังท้องชั่วคราว รสชาติเหมือนเคี้ยวกระดาษนั้นทำเอาเขาหน้าเบ้... แต่ก็ต้องกิน ถึงไม่หิวก็ต้องกิน การปล่อยให้ท้องว่าง และยังมีอาการเสี่ยงว่าจะไม่สบายแต่เช้าแบบนี้ ต้องป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ
   
ยาสองเม็ดพอจะช่วยได้เล็กน้อย อาการปวดหัวทุเลาลง แต่มีอาการอ่อนเพลียเข้ามาแทรกแทน อยากจะโทรไปยกเลิกนัด ทว่ามาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องรีบทำให้มันจบๆ รีบไปดูแล้วรีบกลับมานอน อยากจะหลับไปนานๆ พักตะกอนความคิดฟุ้งซ่านจากเมื่อคืนให้มันตกลงไปที่ก้นหัวใจ
   
รถคู่ใจค่อยๆ บดล้อวิ่งไปตามท้องถนน เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาพอดี เบอร์โทรไม่คุ้น แต่เขาก็กดรับแล้วเปิดโหมดสปีคเกอร์โฟน
   
เสียงประหลาดจากปลายสายดังโครมครามอย่างกับมีคนตีกันในปาร์ตี้กลางสวน อดขมวดคิ้วไม่ได้ พลันทุกอย่างกลับเงียบหายกลายเป็นเสียงซาซ่าแล้วสายก็ตัดไป
   
ใครมันโทรมากวนเขาแต่เช้า? อดบ่นในใจไม่ได้ ก่อนโทรศัพท์จะดังขึ้นมาอีกครั้ง อดสะดุ้งไม่ได้ แต่พอเห็นว่าเป็นเบอร์โทรของใครก็ต้องถอนหายใจเฮือก
   
“ว่าไงเวย์ ขับรถอยู่” ว่าเสียงเนือย จู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลเสียอย่างนั้น
   
“อะไร? ทำเสียงอย่างกับไม่อยากรับสาย โรคซึมเศร้ากำเริบหรือไง?”
   
“คงงั้น” ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก
   
“เข้ามาหากันบ้างก็น่าจะดีนะ พักหน่อยดีกว่าไหม?” รูปประโยคประหลาดๆ แบบนี้คงมีแค่เขาสองคนเท่านั้นแหละที่ฟังกันเข้าใจ วันสุขอดที่จะยกยิ้มไม่ได้ แค่ความห่วงใยของเพื่อนเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว
   
“พอดีเมื่อคืนดันเกิดอยากดูรูปถ่ายเก่าๆ เลยรื้อมันออกมาดู...” เล่าไปเรื่อยๆ ตาเองก็คอยมองถนน หักพวงมาลัยเข้าเลนส์ซ้าย โชคดีที่แถบนี้ไม่ใช่เขตเมือง รถราจึงน้อยกว่าปกติ และนั่นหมายความว่า ถนนว่างเหลือเฟือขนาดที่เขาขับเอื่อยเฉื่อยก็จะไม่โดนบีบแตรด่า
   
“แล้วก็มานั่งซึมกะทือแบบนี้ เป็นพวกนิยมความเจ็บปวดหรือไง ชอบเอามีดแทงตัวเองจริงๆ ” เพื่อนสนิทโวยวายตามประสาทำเอาเขาอดหัวเราะไม่ได้
   
“ฮืม... ตอนแรกไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นหรอก แต่มันมีเรื่องให้ต้องคิดน่ะ” เคาะนิ้วลงกับพวงมาลัย ถ้ายังขับเอื่อยเฉื่อยแบบนี้ต่อไปคงไปนัดสายแน่ๆ คิดแล้วก็เหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นอีกหน่อย...
   
“เรื่องอะไร? หรือผึ้งน้อยของพี่เวย์หาดอกไม้ดอกใหม่ได้แล้วเหรอครับ?” เพื่อนสนิทขุดเรื่องคำเปรียบเปรยของคุณอามาล้อเขา แม้ถ้อยคำจะติดแซวกันขำขัน แต่น้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยนั้นกลับทำให้รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด บางทีการได้คุยเล่นกับใครสักคนก็ทำให้เขาหายเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
   
“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน” ตอบออกไปแบบนั้นอีกฝ่ายถึงกับเงียบไปชั่วครู่
   
“ไม่มีปัญหาอะไรแน่ใช่ไหม?”
   
“ถ้ามีป่านนี้ก็เครียดจนทำขนมเต็มบ้านแล้วล่ะ” แล้วหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป กว่าจะวกกลับเข้ามาธุระของคนปลายสายได้ก็ตอนที่เขาขับรถจนเกือบจะถึงร้านต้นไม้แล้ว
   
เวย์บอกว่าตัวเองมีปัญหานิดหน่อยที่ต้องจัดการเลยมากับเขาด้วยไม่ได้ เห็นว่าเรื่องเกี่ยวกับที่บ้าน เขาเองก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งนัก สุดท้ายก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไร
   
พอวางสายจากเพื่อนสนิทได้ เป้าหมายในการมาครั้งนี้ก็ตั้งอยู่ตรงหน้า ป้ายชื่อร้านขนาดใหญ่ทำจากไม้ทาสีลายน่ารักโชว์หรา วันสุขตีรถเลี้ยวผ่านพุ่มดอกเข็มสูง ซึ่งเข้ามาไม่ไกลนักก็เจอลานเล็กๆ ไว้สำหรับจอดรถ
   
ต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้ทั่วทุกพื้นที่ ส่วนมากจะเป็นไม้ผล และไม้ดอกเสียมากกว่า เขาดับเครื่องยนต์แล้วลงมายืนด้านนอก อากาศเย็นสบาย คงเป็นเพราะบรรยากาศร่มรื่นด้วยส่วนหนึ่ง
   
“คุณวันสุขหรือเปล่าคะ?”
   
เสียงทักทายฟังดูอบอุ่นดังไม่ไกลนัก วันสุขชะงักแล้วมองหาต้นเสียง ก่อนจะเจอะกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เธออยู่ในสภาพมอมแมม แต่ก็ยังดูสวยสุขภาพดี
   
เขายิ้มให้พลางกล่าวทักทาย นี่คงเป็นคุณแม่ของปรัชญ์ แม้จะไม่เห็นเค้ามากนัก แต่ก็พอเดาได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นได้ดวงตาอ่อนโยนนอบน้อมน่าเข้าหาแบบนั้นมาจากใคร
   
“ร้านสวยนะครับ” อดเอ่ยปากชมไม่ได้ กวาดตาไปมองรอบๆ อย่างสนอกสนใจ ไกลๆ นั่นเป็นบ้านอิฐเก่าซึ่งปลูกอยู่หลังระแนงไม้สูง อีกฝั่งเป็นตัวร้านดูโปร่ง ตีผนังด้วยไม้ทาสีขาว บ้างก็เป็นเนื้อเปลือยดูเข้ากันดี กระถางเล็กๆ ถูกแขวนไว้ที่ชานหลังคา ของประดับสวนวางกระจัดกระจาย แต่ไม่ได้ดูรกอะไร ข้างกันเป็นเรือนกระจกขนาดเล็ก เห็นว่าในนั้นใช้ปลูกไม้ดอกกับพวกผักสวนครัวไว้ทานเอง
   
เดินดูร้านไปเรื่อย ของที่เขาถูกใจเยอะแยะพอสมควรจนชักจะอยากจัดสวนที่บ้านตัวเองใหม่ คุณแม่ของปรัชญ์ก็แนะนำหลายอย่าง คุยกันเรื่องต้นไม้เสร็จ หัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องลูกชายของเธอเสียอย่างนั้น
   
“ที่โน่นเขาดื้อหรือเปล่าคะ?” เสียงนุ่มเพราะถามตอนที่เขากำลังยืนเลือกไม้กระถางเล็กๆ
   
“ไม่ดื้อครับ เด็กดีเลยเชียว สอบย่อยกี่ครั้งคะแนนเขาก็ที่หนึ่งตลอด” วันสุขเล่าไปยิ้มไป ถึงตัวเองจะไม่ใช่คนสอน แต่พอพูดถึงเรื่องลูกศิษย์คุณอาที่เขาต้องคอยดูแลแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ ปรัชญ์ไม่เคยโดดเรียน ส่งงานครบทุกครั้ง และยังมาคอยช่วยงานเขาบ้างบางคราวอีก
   
“ดีจริงๆ แม่ก็ห่วงเขาตลอดเลยค่ะ เพราะเด็กคนนั้นช่วยงานที่ร้านตลอดจนแทบไม่มีเวลาอ่านหนังสือ แม่เองก็กังวล แต่พอได้ฟังแบบนี้ก็โล่งใจแล้วค่ะ” เธอแทนตัวเองว่า ‘แม่’ กับเขา ฟังดูแล้วก็น่ารักดี
   
“ร้านนี่เปิดมานานแล้วเหรอครับ?” อดถามไม่ได้ เพราะสภาพของบางอย่างก็ดูเก่าจริงๆ
   
“นานพอสมควรแล้วค่ะ ความจริงมันเคยเปิดก่อนหน้านี่แล้วก็ปิดไป แม่เลยซื้อที่นี่มาเปิดกิจการต่อ เด็กคนนั้นก็ช่วยร้านมาแต่สมัยมัธยมแล้วล่ะค่ะ แกทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาไปวิ่งเล่น เพื่อนก็ไม่มีสักคน” เธอว่าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเองก็ได้แต่นิ่งฟัง
   
จริงๆ ก็ไม่ค่อยเห็นปรัชญ์เดินกับใครที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน ทั้งที่ดูไม่ใช่คนเย็นชาอะไรแท้ๆ แม้แรกๆ จะเห็นอยู่กลุ่มเดียวกับเยลลี่ แต่พักหลังมานี่ดูจะตัวคนเดียวเสียส่วนใหญ่
   
“แกเอาแต่คอยห่วงแม่จนไม่ค่อยจะสนตัวเองเท่าไหร่ น้องปรัชญ์รักครอบครัวมากค่ะ รักต้นไม้มากๆ ด้วย” พอได้ฟังแล้วเป็นต้องเลิกคิ้ว สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้
   
“ชอบต้นไม้ แต่ทำไมถึงมาเรียนคณะนี้ล่ะครับ?”
   
คุณแม่ยังสาวหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำถามของเขา ก่อนจะหยิบกะละมังมารองน้ำพลางพรมใส่เหล่ากระบองเพชรจิ๋ว
   
“แกอยากเข้าสาขาเกี่ยวกับต้นไม้เหมือนกันค่ะ แม่ก็เชียร์ สุดท้ายแกดันทิ้งความฝันแล้วไปเลือกอีกคณะที่แกเห็นว่าน่าจะทำเงินได้มากกว่า ฟังดูแล้วน่าอาย แต่แกก็ทำเพื่อแม่นี่แหละค่ะ เรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ต้องใช้ แค่ร้านต้นไม้คงไม่พอ แม่คิดกี่ทีก็อดละอายใจไม่ได้ที่เป็นตัวต้นเหตุให้แกต้องทิ้งความฝันแบบนั้น”
   
ผู้หญิงตรงหน้าเขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มุมปากอิ่มยกยิ้มบาง ในดวงตาอบอุ่นนั่นทอประกายเศร้าก่อนจะกลับมาสดใสอีกครั้ง ผู้หญิงน่ะน่าทึ่งเสมอ... เธอตรงหน้านี้ก็เช่นกัน
   
วันสุขคิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจอยู่ บางครั้งความฝันกับความเป็นจริงก็สวนทางกันอย่างโหดร้ายน่าดูชม และเขาเองก็ไม่คิดว่าเด็กคนหนึ่งจะกล้าตัดสินใจอะไรแน่วแน่ได้แบบนี้
   
เรื่องที่บอกว่ารักครอบครัวนั้นคงจะจริง... นึกแล้วก็เห็นเป็นภาพของครอบครัวอุ่นๆ ...ทว่าพอจินตนาการภาพที่มีตัวเองอยู่ในนั้น เขากลับนึกไม่ออก
   
“แม่อยากให้แกมีความสุขค่ะ ช่วงนี้ก็ดีขึ้นมาหน่อย กลับมาทีไรก็เล่าเรื่องคุณให้แม่ฟังแทบจะตลอด”
   
วันสุดอดที่จะหัวเราะแห้งๆ ไม่ได้ เรื่องของเขามันมีอะไรน่าเล่าขนาดนั้นเลยหรือไงนะ?
   
“คุณวันต่างจากที่แม่คิดไว้ด้วยแหละค่ะ”
   
“หืม? ต่างยังไงเหรอครับ?” ถามพลางไล้นิ้วกับกลีบดอกไม้เล็กๆ สัมผัสนุ่มเบาชวนให้ยกยิ้ม กระถางใบจิ๋วก็น่ารักดีเหมือนกัน สวนหลังบ้านเองก็โล่งจนแทบไม่มีอะไร หาของไปลงหน่อยก็ดี คิดแล้วก็เริ่มลิสต์ของที่จะเอาใส่ในโทรศัพท์
   
“ตอนแรกแม่นึกว่าคุณวันจะเหมือนพวกหนุ่มๆ ที่ชอบเที่ยวกลางคืนน่ะค่ะ ฟังจากน้องปรัชญ์แกเล่าแล้วเหมือนเป็นคนเสน่ห์ร้ายไม่เบาเลยเชียว” เธอหัวเราะขำทันทีที่เห็นเขาขมวดคิ้ว
   
ภาพของนายวันสุขในสายตาปรัชญ์นี่เป็นยังไงนะ เขาชักจะสงสัย แต่ก็ชินเสียแล้วที่โดนมองแบบนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเป็นนี่นะ...

“แล้วตัวจริงผมเป็นยังไงล่ะครับ?” ถามอย่างอยากรู้คำตอบ หางตาเองก็เหลือบไปเห็นใครบางคนซึ่งกำลังแบกกระบะใส่ต้นกล้าเดินตรงมาทางนี้
   
“ยังไงดีล่ะ... ดูแล้วก็เข้าหาจริงๆ นั่นแหละค่ะ แต่คุณวันให้ความรู้สึกว่าอยู่ใกล้แล้วสบายใจ ใครๆ ก็คงอยากจะเข้าใกล้ แม่คิดว่าถ้าจับคุณไปใส่ชุดกันเปื้อนน่าจะเข้ากันดีเลยเชียว” เธอพูดแล้วก็ส่งยิ้มขันมาให้ วันสุขยิ้มแหย โดนทักแบบนี้มากๆ เข้าก็ชักจะยังไงอยู่
   
“อารมณ์แบบแม่บ้านสินะครับ?”
   
“ใช่เลยค่ะ” น้ำเสียงตื่นเต้นนั่น... ไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับมันดี สุดท้ายก็ได้แค่หัวเราะตอบกลับไป ปรัชญ์เดินเข้ามาทักทาย มีท่าทีเขินอายเล็กน้อยเมื่อถูกเขาทักว่าไปทำอะไรมาถึงได้มอมแมมแบบนี้
   
“ผมไปขุดกล้ามาแยกใส่กระถาง... ดินก็เลยเลอะ เอ่อ...สภาพผมมันไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่”
   
วันสุขยืนมองเด็กขี้อายและสูญเสียความมั่นใจง่ายนิ่งๆ ฝ่ายนั้นก้มหน้าหลบตา ข้างแก้มยังเปื้อนเศษดินอยู่เลย เห็นแล้วก็อดเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าไปเช็ดให้ไม่ได้ ปรัชญ์สะดุ้งเล็กน้อยแล้วก็ยิ่งอายหนัก คนเป็นแม่ซึ่งยืนมองมาแต่ต้นก็หัวเราะขำ
   
“ไม่เห็นเลอะ พี่ว่าดูลุยๆ ดีออก เวลาพี่ทำสวนนี่เลอะยิ่งกว่าปรัชญ์อีก” ทำสวนทีไรเขากลายเป็นนายวันสุขคลุกดินทุกที พลันภาพที่มองเห็นก็คล้ายเบลอมัวแปลกๆ ขาเซไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาตั้งตัวได้
   
วันสุขแอบหลบมาเงียบๆ ปล่อยให้แม่ลูกคุยกันไปตามประสา เขาแยกออกมาเดินเลือกของแล้วก็ลิสต์ลงกับรายการที่จะเอา ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่ง ตัดสินใจได้แล้วว่าจะแต่งสวนหลังบ้านตัวเองเสียใหม่ด้วย ซึ่งเรื่องนี้พอส่งข้อความไปหาคุณอาท่านก็ตอบรับอย่างดี
   
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” เสียงเบาๆ ดังขึ้นหลังจากเขาเลือกได้แล้วว่าจะเอารูปปั้นกระต่ายหรือแมวไปประดับสวนดี วันสุขเงยหน้าขึ้นมาจากชั้นวางของระเกะระกะแล้วก็ส่งยิ้มให้หนุ่มร้านต้นไม้
   
“พี่ว่าจะปรับสวนที่บ้านด้วย ส่วนของที่ร้านพี่คงอีกสักพัก พี่ต้องเอาพวกของกับราคาไปให้เพื่อนพี่ดูก่อน แต่ว่าที่ไปทำบ้านพี่ พี่ไม่รู้ว่าคุณแม่น้องปรัชญ์ท่านจะสะดวกไปไหม”
   
เสียงครืนดังสนั่น วันสุขวางโทรศัพท์ลงกับชั้นไม้พลางชะโงกหน้าออกไปมองฟ้าครึ้มด้านนอก ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนฝุ่นคลุ้ง เมฆดำทะมึน อีกไม่นานฝนคงเทสาดลงมา ทั้งที่เมื่อครู่ไม่มีเค้าเลยแท้ๆ
   
“ผม...ไปทำให้ได้นะครับ สวนของบ้านพี่วัน...” เจ้าตัวว่าด้วยสายตามีความหวังทำเอาเขาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ วันสุขยิ้มบาง ชักจะเข้าใจอยู่หน่อยๆ แล้วว่าทำไมคุณอาถึงให้เขาคอยดูแลคนตรงหน้านี่เป็นพิเศษนัก ก็นิสัยน่ารักแบบนี้จะไม่ให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้อย่างไร?
   
“เอาสิ... ตอนแรกว่าจะทำเอง แต่เวลาไม่ค่อยมีเท่าไหร่” ลมแรงพัดวูบ อดหนาวสะท้านขึ้นมาไม่ได้ วันสุขห่อไหล่เข้าหากัน เขาเกลียดบรรยากาศแบบนี้เสียจริง อาการปวดหัวเริ่มกำเริบขึ้นอีกครั้ง ดูท่าฤทธิ์ยาจะเอาไม่อยู่เสียแล้ว
   
“วันก่อนมีคนถ่ายรูปพี่กับซานส่งมาให้ผมด้วย” ปรัชญ์ว่าเสียงเบา ก่อนจะเปิดเจ้ารูปที่ว่านั่นให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้โกหก วันสุขเลิกคิ้วแปลกใจ... แค่พาแมวไปส่งบ้านนี่ถึงขนาดมีคนให้ความสนใจขนาดนี้เชียวหรือ?
   
“เขารถเสียน่ะ พี่เลยหิ้วกลับไปด้วย ทางผ่านไปบ้านพี่พอดี” ว่าอย่างไม่ใส่ใจ แต่ดูเหมือนใครอีกคนจะคิดไปไกลเสียแล้ว
   
“พี่ดูสนิทกับเขา...มากๆ ” ปรัชญ์ว่าเสียงเบา ดวงตาคู่นั้นฉาบประกายหงอยเหงาแปลกๆ วันสุขนิ่งไป... เขาไม่ชอบเดาใจใครเท่าไหร่ ถ้าอยากจะคุยมีอะไรก็พูดกันมาตรงๆ จะดีที่สุด
   
“ปรัชญ์ครับ... พี่ไม่ชอบคนอ้ำอึ้งนะ” เอ่ยเตือนเสียงเข้มก่อนจะต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใครอีกคนหน้าเสียไปเล็กน้อย ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน... ท่าทางจะเครียดน่าดู และพอเขาลอบสังเกตใบหน้าอีกฝ่าย ก็พบว่าหนุ่มร้านต้นไม้นี่มีไฝใต้ตาซ้ายกับเขาเสียด้วย
   
“อิจฉา...” พูดเสียงเบาคล้ายกับจะเป็นกระซิบ แก้มแต้มสีชมพูจางจนเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ
   
“ว่าอะไรนะครับ? พี่ไม่ได้ยิน” วันสุขแกล้งหยอก แต่มุมปากน่ะเผลอยกยิ้มร้ายไปแล้ว ตรงๆ แบบนี้แหละดี มัวแต่อ้ำอึ้งพรุ่งนี้ก็คงไม่รู้เรื่อง
   
“ผมอิจฉาครับ...” ปรัชญ์มองสบตาก่อนจะเป็นฝ่ายหลบก่อนเสียเอง  แก้มแดงแจ๋ ก่อนจะก้มหน้างุดๆ แบกกระบะต้นไม้จากไป
   
น่ารักเกินไปจริงๆ แฮะ... คิดแล้วก็ได้แค่ส่ายศีรษะ อดห่วงไม่ได้ว่าท่าทางแบบนั้นจะโดนใครเขาหลอกไปทำอะไรหรือเปล่า
   
“อ้าว ลูกชายแม่หายไปไหนแล้วคะ แค่หลบออกไปรับโทรศัพท์เดี๋ยวเดียวเอง” วันสุขยืนอยู่สักพักสตรีคนเดิมก็เดินเข้ามาถาม
   
“เห็นวิ่งไปทางเรือนกระจกน่ะครับ พอดีเลย... ยังไงก็ต้องขอตัวกลับก่อนนะครับแล้วเดี๋ยวผมจะติดต่อมาใหม่ ตอนนี้มีโครงการว่าจะให้ช่วยไปทำสวนที่บ้านด้วย” วันสุขรีบเอ่ยลาเพราะฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะอยู่แถวนี้นานนัก ตัวชักจะรุมๆ ชอบกล คอก็เจ็บเล็กน้อย ถ้าหากไม่รีบกินยา อาการอาจจะทรุดกว่าเดิมก็ได้
   
“ขับรถตอนฝนตกแบบนี้จะดีเหรอคะ? เข้าไปพักที่ในบ้านก่อนก็ได้ค่ะ ท่าทางคุณวันเองก็ดูไม่ค่อยสบายด้วย” เธอถามอย่างเป็นห่วง ความจริงใจซึ่งถูกส่งมาให้จากคนที่ได้เจอกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ทำให้รู้สึกดีชอบกล
   
“ไม่ดีกว่าครับ ผมกลับไปนอนที่บ้านน่าจะดีกว่า ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นห่วงนะครับ” ว่าเสียงนุ่มแล้วก็วิ่งฝ่าฝนที่เริ่มตกหนักมายังรถทันที
   
พอทิ้งตัวลงกับเบาะได้ก็รู้สึกหมดแรงอย่างประหลาด ดวงตาเหม่อมองไปยังฟ้าครึ้ม เสียงฝนซาซ่าดังเข้ามาในรถ มือแตะอยู่ที่ปลายกุญแจ ชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดี เพราะหยดน้ำด้านนอกเทกระหน่ำจนแทบมองไม่เห็นทาง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลือกที่จะสตาร์ทมัน



(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage

สุดท้ายก็ไปไม่ถึงจุดหมาย... ฝนตกแรงเกินไป แล้วเขาเองก็ไม่มีแรงเหลือพอจะไปลงสมาธิกับการขับ ถ้าเชื่อคำของผู้หญิงคนนั้นแต่แรกก็คงจะดี... ทว่าช่วงที่รู้สึกว่ากำลังอ่อนแรงแบบนี้กับสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคย รังแต่จะทำให้รู้สึกไม่สบายเพิ่มขึ้นไปอีก
   
เปลี่ยนเส้นทางเอากลางคัน ก่อนจะตีรถเข้าไปจอดที่หลังร้านของตัวเอง พอดับเครื่องเสร็จก็นั่งนิ่งอยู่บนนั้นเป็นนาน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กระจกโดนเคาะเบาๆ
   
“คุณวันคะ? เป็นอะไรหรือเปล่า? ลงมาจากรถก่อนเถอะค่ะ สภาพคุณดูไม่ดีเลย” ผู้จัดการร้านส่งเสียงถามอย่างเป็นห่วงตอนที่เขาเปิดประตูรถออกไป วันสุขฝืนยิ้ม พยายามทรงตัวอยู่สักพัก โลกเหมือนเอียงเคว้งจนแทบจะเดินเองไม่ได้
   
“ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ?” เธอถามย้ำ แต่เขากลับส่ายหน้า พยายามฝืนเก็บอาการ พอเห็นสภาพวุ่นวายในครัวก็อดถามไม่ได้
   
“ที่ร้านมีปัญหาหรือเปล่า?”
   
“ก็มีค่ะ พอดีพ่อครัวลาป่วยไปคนหนึ่ง ครัวเลยวุ่นวายกันใหญ่ ยิ่งคนมากันเยอะๆ แบบนี้เลยทำกันไม่ทัน” เธอว่าอย่างอ่อนใจก่อนจะอุทานลั่นเมื่อเขายืนยันจุดประสงค์
   
“งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปช่วยสักพักจนหมดช่วงคนแน่นแล้วกัน” พับแขนเสื้อขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าลึก เลือดรักในหน้าที่มันพลุ่งพล่านจนเกือบลืมสังขารตัวเองไปเสียสนิท
   
“ไม่ได้ค่ะ คุณวันไม่สบายแบบนี้ เดี๋ยวจะยิ่งอาการหนักนะคะ” เธอออกปากห้ามทันควัน สีหน้าดูเป็นห่วงเขาจริงๆ
   
“สบายมากครับ เข้าไปช่วยเดี๋ยวเดียวเองคงมะ...”
   
ชั่ววินาทีที่กำลังเปิดประตูเข้าไปหลังครัว ขาก็หมดแรงเอาดื้อๆ ทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดท่า เสียงโวยวายของพนักงานดังวุ่นไปหมด ศีรษะปวดตุบจนทรมาน รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน สูดหายใจลึก หูเริ่มอื้ออึง ใครสักคนแตะหลังมือกับซอกคอของเขาแล้วอุทานลั่น
   
“ตัวร้อนจี๋เลยค่ะ ไปนอนพักก่อนดีกว่า ห้ามหนีไปไหนนะคะ” แทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าโดนแบกขึ้นมาจนถึงห้องพักหลังร้านได้อย่างไร หูแว่วเสียงวุ่นวายก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง
   
โชคดีที่เวย์ทำห้องนอนเล็กๆ ไว้ข้างห้องทำงาน เขาเองเคยค้านหลายครั้งเพราะมันสิ้นเปลืองเนื้อที่ร้านชอบกล แต่ตอนนี้คงต้องขอบคุณเพื่อนสนิทเสียแล้ว เพราะเขาได้ใช้ประโยชน์จริงๆ เสียที
   
“นี่ผมมาทำให้วุ่นวายหรือเปล่า?” อดรู้สึกผิดไม่ได้ ถ้าเขากลับไปที่บ้าน ร้านคงไม่วุ่นวายแบบนี้
   
“ทานยาแล้วก็พักนะคะ คุณวันไม่ได้มากวนหรอกค่ะ ดีเสียอีกที่เข้ามาแวะที่นี่ ถ้าเกิดอาการไปกำเริบเอาระหว่างทางก็เสี่ยงอุบัติเหตุน่าดู” ซองยากับแก้วน้ำถูกส่งมาให้ เธอนิ่งรอให้เขากินยาจนครบทุกเม็ด แล้วไปเอาผ้าเย็นๆ มาเช็ดตามแขนและซอกคอให้
   
วันสุขนั่งนิ่งปรือตา รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กเล็กๆ ให้คุณแม่ดูแลชอบกล ก็ได้แค่คิดไป เพราะแม่จริงๆ เคยดูแลเขาแบบนี้เสียเมื่อไหร่... คิดแล้วก็ซุกตัวลงกับผ้าห่มอุ่น ไม่นานก็เริ่มง่วงงุน...
   
เสียงปิดประตูดังแผ่ว ก่อนที่ห้องจะตกอยู่ในความเงียบ เสียงของฝนดังชัดเจน และเขาเกลียดมันเหลือเกิน... สายฝนมันทำให้ฟุ้งซ่าน นำพาแต่เรื่องราวร้ายๆ ให้ฟุ้งขึ้นมาในสมอง และสุดท้ายก็ทนความเงียบไม่ได้ ตบมือไปตามขากางเกง ก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมาเปิดเพลงคลอเบาๆ
   
หนาวแต่ก็อึดอัด วันสุขยกมืออ่อนแรงขึ้นปลดกระดุมเสื้อออกอย่างเคยชิน คลายเข็มขัด ปลดตะขอกางเกงแล้วดึงชายเสื้อออกมา รุ่มร่ามเสียเต็มที่ ก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้ใครเข้ามาเห็นเขาในสภาพนี้ก็แล้วกัน อยากจะเดินไปล็อกประตูอยู่หรอกนะ แต่มันไม่มีแรงเอาเสียเลย...
   
เสียงเปียโนเบาๆ จากลำโพงดังกล่อมขับไล่เรื่องราวร้ายๆ ...ภาพท้องฟ้ายามคำคืนค่อยๆ ถูกวาดลงบนความฝัน ดาวสีทองแต้มเบาบาง ตามมาด้วยวงกลมสีเงินอันใหญ่ มุมปากยกยิ้ม...ก่อนจะจมลงสู่ความฝันอย่างรวดเร็ว


   

สัมผัสเย็นๆ แตะผ่านที่ลำคอ ลากแผ่วจนไปหยุดอยู่ที่กลางอก... ความฝันเลือนรางจางหายไปยามที่ถูกปลุกจากสิ่งรบกวน อดขมวดคิ้วหน่อยๆ ไม่ได้ พลิกตัวหนีเจ้าสิ่งนั้น ก่อนจะสัมผัสได้ว่าเตียงที่นอนอยู่ยุบยวบลงไป ใครบางคนโน้มกายลงมา...ก่อนที่ข้างลำคอจะถูกบางอย่างกดลงมาเต็มแรง
   
“ทำอะไร...” ถามเสียงแหบ ดวงตาปรือขึ้นอย่างยากเย็น เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นอยู่ข้างหู ภาพตรงหน้ามัวเบลอ เมื่อคนร้ายโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนสายตาของเขาหาจุดโฟกัสไม่ได้ แก้มถูกดึงเบาๆ ด้วยมือซน หมดแรงจะขัดขืน ได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่แบบนี้
   
“เปล่าทำอะไร” ใครคนนั้นตอบเสียงซื่อแล้วหยัดกายออกไป
   
วันสุขปรือตา หัวเราะเสียงต่ำ เอื้อมมือไปเกี่ยวคอเสื้อคนเผลอ แล้วกระชากลงมาเต็มแรง... หูแว่วยินเสียงอุทาน แต่เขาก็ไม่คิดจะสนนัก ใครสั่งให้มากวนตอนเขาหลับ? ไม่รู้หรือไงว่านายวันสุขยามงัวเงียนั้นการสั่งการของสมองจะผิดแปลกไปจากยามปกติมากโข...
   
เบาะเตียงกระเด้งกระดอนเนื่องจากน้ำหนักที่ตกลงมานั่นหาใช่น้อยๆ เขาพลิกตัวขึ้นตะปบไหล่ผู้ต้องหาพลางกดลงกับเตียง เข่ายันไว้บริเวณลิ้นปี่อีกฝ่ายซึ่งนิ่งไปเพราะคงจุกไม่น้อย
   
“น้องซานเองหรอกเหรอ? พี่ก็ว่าใคร” งึมงำขึ้นมาเมื่อมองเห็นหน้ากันชัดๆ หัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วก็หาวหวอดอีกรอบ
   
“เสียงหัวเราะพี่โคตรชั่วร้ายเลย...แล้วจะนั่งคร่อมผมอีกนานไหมครับเนี่ย” แมวเหมียวร้องเสียงเล็กเสียงน้อย แต่ดวงตากลับพราวระยับอย่างน่าหมั่นไส้ ความต้องการเบาบางฉาบผ่านอยู่บนใบหน้านั่น วันสุขหรี่ตามองคนข้างล่างแล้วก็นั่งอยู่แบบนั้นเฉยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะขยับออกไป
   
“ไม่ลุกจริงอ่ะ? นี่ผมเห็นหมดแล้วนะเนี่ย” พออีกฝ่ายพูดเขาถึงได้นึกถึงสภาพตัวเองขึ้นมา เชิ้ตสีเข้มตกไหล่ไปข้างหนึ่งแล้ว ตะขอกางเกงซึ่งถูกปลดออกก่อนนอนพานให้ซิปมันร่วงลงไปจนเห็นชั้นในสีดำ
   
“ยังไม่หมดเสียหน่อย... ยังเหลือ... ” ว่าเย้าอย่างนึกสนุกแล้วก็มองไปลงไปที่ขอบสีดำใต้สะดือตัวเอง ยกยิ้มร้ายให้แมวตัวใหญ่ ฝ่ายนั้นก็คลี่ยิ้มใสตอบกลับมา
   
“นั่นสินะ...ยังเหลือ...” ว่าจบ ตาพราวนั่นก็เริ่มมองไล่ตั้งแต่หน้าเขาจนไปจบที่แอ่งสะดือ
   
“อยากดูหรือไง? อยากดูก็ลงมือเองนะครับ พี่จะอยู่เฉยๆ ” แบมือออกข้างตัว ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ เอียงคอตามประสา พลันเสียงหัวเราะเย็นๆ จากซานก็ดังขึ้นมา แล้วก็เป็นเขาที่เกือบตะปบกางเกงตัวเองเอาไว้แทบไม่ทัน
   
“ไหนพี่บอกว่าจะอยู่เฉยๆ ไง”
   
คนเด็กกว่าทำท่าเสียอกเสียใจ วันสุขแยกเขี้ยวใส่ เขาก็แค่ล้อเล่นไปตามประสา ใครจะคิดว่าจะเอาจริงกันล่ะ อีแบบนี้จากที่ง่วงๆ เบลอๆ เป็นต้องตื่นเต็มตากันล่ะ...
   
“หือ...” วันสุขหรี่ตามองคนที่นอนนิ่งอยู่เบื้องล่าง ก่อนจะคิดได้ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่? คนไม่สนิทกันเขาจะมาทำกันแบบนี้หรือเปล่านะ? แต่ก็นั่นแหละ...ซานน่ะให้ความรู้สึกพิเศษนี่นะ อีกอย่างเด็กนี่ก็ชอบตีเนียนเข้าหาเขาบ่อยๆ
   
ถ้าอย่างนั้น...ก็ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันแล้ว
   
“โอ๊ย! กัดคอผมทำไมเนี่ย” ซานสะดุ้งโหยงยามที่เขาโน้มกายลงไปกัดคออีกฝ่ายเต็มแรง ไอ้รสชาติแบบนี้นี่นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัส... กลิ่นของเนื้อผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ แบบนี้...
   
“เจ๊ากันกับเมื่อกี้ เอาล่ะ...พี่จะนอนละ อย่ากวนเชียว” ตีมือแปะๆ ลงบนหน้าผากอีกฝ่าย กระโดดลงมานอนข้างๆ แล้วก็ตลบผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง
   
คนที่ถูกทิ้งกันกลางคันก็โวยวายลั่น วันสุขยิ้มขัน นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าซานเข้ามาในนี้ได้อย่างไร? อาจเป็นเพราะผู้จัดการเห็นว่าเป็นคนรู้จักเขาล่ะมั้งเลยปล่อยให้เข้ามาถึงส่วนนี้ได้...
   
“อย่าเพิ่งสิ นี่ผมอุตส่าห์มาเยี่ยมคนป่วยเชียวนะ ตื่นขึ้นมาคุยกันก่อน”
   
มันมีที่ไหน...ปลุกคนป่วยให้ขึ้นมาคุยกันแบบนี้? พอโดนกวนมากๆ เข้าก็เลยมุดหน้าหลบเข้าไปใต้หมอนเสียเลย แต่สุดท้ายก็ทนลูกตื้อไม่ไหว ยอมโผล่หน้ามาคุยกับตัวก่อกวนอย่างช่วยไม่ได้
   
“กลิ่นน้ำหอมผู้หญิง?” เอ่ยอย่างฉงนเมื่อกลิ่นฉุนกึกลอยเข้ามาแตะจมูก “นี่เราเที่ยวนอนกับใครเขาไปทั่วตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลยเหรอเนี่ย?” แล้วก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ แต่ตัวการก็ยังไม่ตอบคำถาม ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำซุกเข้ามาที่หน้าท้องเขา โชคดีที่มีผ้าห่มหนาๆ กั้นไว้ ไม่อย่างนั้นสภาพคงออกมาแปลกพิลึก
   
“ความคิดอกุศล ที่นอนน่ะ...พี่นี่แหละคนแรกของวัน” เอวถูกกอดแน่น คนอ้อนก็ยังแกล้งอ้อนต่อไป ทำหน้าทำตาเหมือนแมวขอให้เจ้าของลูบหัว มีการส่งเสียงเหมียวๆ ล้อเลียนเขาอีกแน่ะ
   
“เอ้า แล้วเราไปเอากลิ่นนี่มาจากไหนล่ะครับ?” ถ้าไม่ได้ไปนัวเนียกับใครมากลิ่นมันก็คงไม่ฝังขนาดนี้
   
เขารู้อยู่หรอก... เมื่อก่อนก็ทำออกบ่อยไอ้เรื่องเทือกนี้น่ะ คิดกี่ทีแล้วก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ เพราะเรื่องนั้นแท้ๆ เชียว คนอย่างเขาถึงได้เตลิดไปไกล โชคดีที่ยังกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ถ้าไม่มีคุณอาคอยช่วยเตือนสติก็ไม่รู้ว่ายังจะเดินมาได้ไกลถึงขนาดนี้หรือเปล่า
   
“ก็เมื่อกี้ผมไปเข้าห้องน้ำมา เขาก็ตามมานัวเนีย โอ๊ย!”
   
วันสุขหยิกแก้มอีกฝ่ายแรงๆ เป็นการลงโทษไปทีหนึ่ง เขาไม่ชอบให้ใครมาทำเรี่ยราดที่ร้านตัวเองเท่าไหร่ ดีที่ยังเป็นคนรู้จักกัน เพราะถ้าเป็นคนอื่นเขาจะไล่ตะเพิดแบบไม่กลัวเสียลูกค้ากันล่ะ
   
“ร้านพี่ไม่ใช่โรงแรม” ว่าด้วยเสียงหงุดหงิด มองคนที่ลูบแก้มตัวเองป้อยๆ อย่างดุๆ คนผิดก็ดูท่าจะรู้ตัวดีถึงได้ยิ้มประจบกันเสียขนาดนั้น ทว่าลึกๆ แล้วเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเขาหงุดหงิดอะไร อาจจะหลายๆ อย่าง เรื่องมันเยอะจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนกันแน่ที่ทำให้หงุดหงิด...
   
“ยังไมถึงขนาดนั้นเสียหน่อย ผมเลยรีบหนีมาหาพี่ก่อนไง” พูดจบเสียงของผู้หญิงสักคนก็ดังแว่วมาแต่ไกล “แต่ผมอยากรู้นะ ถ้าเป็นพี่...พี่ชอบโรงแรมหรือว่าที่ร้าน? โอ๊ย!”
   
วันสุขแทงเข่าใส่ท้องจนอีกคนตัวงอ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเล็งต่ำไปหน่อยถึงได้ทำท่าเจ็บปวดขนาดนั้น เห็นแล้วก็ยิ้มขำ เอื้อมมือไปลูบหัวลูบหลังปลอบขวัญกันยกใหญ่ คงเพราะไม่ได้ถึงเนื้อถึงตัวคนอื่นนานแล้ว เลยลืมออมแรงไปเสียสนิท
   
“ถ้าผม... เป็นอะไรไปพี่ต้องรับผิดชอบ ถ้าลูกผมตายนะ... พี่ต้องชุบชีวิตด้วย”
   
อยากทุบอีกสักที แต่เห็นสภาพแล้วก็สงสารเลยทำอะไรไม่ลง ปากแบบนี้นี่รอดมาได้ยังไงนะ? เขายังนึกสงสัย ไอ้นิสัยเทือกนี้นี่มันก็ดูซนๆ ดีอยู่หรอก แต่ถ้าเอาไปพูดกับผู้ใหญ่ที่เคร่งๆ หน่อย เขาเองก็อดห่วงไม่ได้
   
“ดีที่พี่ไม่ถือนะครับ ถ้าไปพูดแบบนี้กับคนอื่น ระวังโดนเขาดุเอานะ” เอ่ยตักเตือนไปตามประสา อดที่จะยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มนั่นไม่ได้ นุ่มเหมือนขนแมวจริงๆ แฮะ...
   
“ผมรู้หรอกว่าใครเล่นได้ ใครเล่นไม่ได้”
   
เด็กตรงหน้าส่งยิ้มแฉ่งมาให้จนเห็นลักยิ้มกับเขี้ยวสวยๆ วันสุขถอนหายใจเฮือก นอนนิ่งกันไปสักพักก่อนจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
   
“วันก่อนมีคนมาพูดกับพี่เรื่องของเราน่ะ เห็นว่าเที่ยวดึกจนไม่ยอมมาเข้าเรียนหรือไง?” ไม่ได้บอกชื่อไปว่าใครมาเล่า เขาไม่อยากเสี่ยงกับปัญหาเท่าไหร่นัก ซานขมวดคิ้วใส่ ดูจะไม่ค่อยชอบที่เขาพูดเข้าหัวข้อนี้
   
“ผมจะเที่ยวยังไงก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่” ว่าเสียงเบา ท่าทางหัวดื้อแบบนี้นี่แหละที่ทำให้หนักใจ
   
“เวลากินเหล้าแล้วตื่นมาปวดหัวบ้างหรือเปล่า?” ถามเสียงดุ
   
“ก็ปวด... ตอนที่กินมากๆ ” อีกคนก็ตอบเสียงเบา
   
“ผู้หญิงที่เราไปนอนกับเขาด้วย ไม่มีใครเลยหรือไงที่ยังตามมาราวี?”
   
“ก็มี... บางคนไล่ยังไงก็ไม่ไป” คราวนี้เบากว่าเดิม ดูท่าซานจะเดาเลาๆ ได้แล้วว่าเขาถามไปทำไม
   
“แล้วไหนบอกว่าไม่เป็นอะไรยังไงล่ะครับ” พอเขาพูดแบบนี้ออกไป ซานก็ขมวดคิ้วใส่ไม่ยอมตอบ “พี่ไม่ห้ามหรอกนะ แต่ทำอะไรก็ให้มันพอดี เอาแต่เที่ยวปล่อยตัวไปเรื่อยมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ หรือถ้ามีปัญหาอะไรจะมาเล่าให้พี่ฟังก็ได้”
   
เขาเชื่อเสมอว่าคนที่ก้าวเข้ามาในโลกกลางคืนไม่ได้มีแค่พวกรักสนุกชอบแสงสีอย่างเดียวเท่านั้น เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น การทำให้ตัวเองเตลิดไปไกลมันก็ช่วยลืมเรื่องราวแย่ๆ ได้ แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวก็ตามที
   
“พูดจริงหรือเปล่า?” คนเด็กกว่าถามเสียงใส ท่าทางเหมือนแมวงอนดูจะหายไปในพริบตา
   
“ถ้าเราอยากจะเล่า พี่ก็จะรับฟัง” เขาพูดขึ้น ขณะที่เสียงเรียกชื่อของซานดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่เจ้าตัวยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเกาะแกะเขาแม้แต่น้อย
   
“งั้นแลกกัน ถ้าพี่มีเรื่องไม่สบายใจก็ต้องเอามาเล่าให้ผมฟังบ้าง”
   
“ท่าทางพี่เหมือนคนมีอะไรในใจขนาดนั้นเลย?” วันสุขเลิกคิ้วใส่อย่างฉงน
   
“ตอนแรกดูเหมือนไม่มีหรอก แต่พอผมเห็นพี่เงยหน้ามองฟ้าเมื่อวันนั้น...ก็เลยรู้” อดยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือก
   
“ก็ได้ครับ แลกก็แลก” พูดจบเสียงบิดกลอนประตูก็ดังขึ้น คนที่เปิดเข้ามากรี๊ดลั่นเมื่อเห็นสภาพของพวกเขา วันสุขหัวเราะเบาๆ ซุกหน้าลงกับม้วนผ้าห่ม พลางกล่าวทักทายสาวสวยอย่างอารมณ์ดี
   
“สวัสดีครับ... น้องเยลลี่ คราวหน้าเคาะประตูหน่อยก็ดีนะ และคนนอกขึ้นมาที่ชั้นสองไม่ได้นะครับ”
   
เธอนิ่งงันไปคล้ายตกตะลึงบางอย่าง ก่อนจะกำมือแน่น ร่างเพรียวพุ่งเข้ามากระชากแขนซานให้ออกห่างจากเขา วันสุขเห็นแบบนั้นแล้วก็อดเท้าคางมองไม่ได้ เมื่อแมวตัวใหญ่ก็ยอมโดนให้กระชากแบบไม่โวยวายอะไร ...อย่างกับละครหลังข่าว
   
“บายครับพี่วัน” ยังหันมายิ้มโบกมือให้เขาอีก
   
“บายครับ ไปคุยกันเอาเองนะ อ้อ... แล้วพี่ก็ชอบในสวนมากกว่าในร้านนะ ดาวสวยดี” ว่าเสียงนุ่มก่อนจะซุกหน้าเข้าใต้หมอน ถอนหายใจยาว หลับตา ใช้หูฟังเพียงเสียงประตูที่ปิดลงดังปัง...
   
เสียงฝีเท้าดังแว่วออกไปไกลทิ้งไว้เพียงแต่ไออุ่นบางๆ บนเนื้อเตียง... หากปล่อยเอาไว้สักพักมันก็คงจะค่อยๆ หายไป สุดท้ายเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที พื้นที่ข้างๆ ก็คงจะเย็นเฉียบเหมือนกับว่าไม่เคยมีใครเคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน...
   
เสียงข้อความเข้าดังเบาๆ ก่อนที่เขาจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่าน น่าแปลกที่คนส่งมาหาได้ใช่ขาประจำอย่างเช่นทุกวัน...
   
‘คุณแม่บอกว่าพี่ไม่สบาย รักษาสุขภาพด้วยนะครับ’
   
อดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ก็เพราะนิสัยแบบนี้ยังไงล่ะเขาถึงได้พยายามไม่คิดอะไรไปไกล ได้แค่วางเด็กคนนั้นเอาไว้ในที่ที่สมควรอยู่เสมอมา ทว่าเจ้าตัวก็ดูดื้อดึง พยายามแต่จะวิ่งเข้าหา...ต่างจากใครอีกคน รายนั้นเขาปล่อยให้เข้ามาใกล้ได้ง่ายๆ แต่ก็ชอบวิ่งหนีไปยามที่ตัวเองได้เข้ามาเล่นจนพอใจ
   
ก็แมวนี่นะ... ซุกซน ขี้เบื่อ เอาแต่ใจ... ก็สมเป็นแมวดี
   
พลันความคิดต้องหยุดลงอีกครั้งเมื่อเสียงเตือนดังขึ้น คราวนี้เป็นต้องเลิกคิ้วเมื่อมันถูกส่งมาจากใครอีกคนที่เพิ่งกลับออกไปเมื่อครู่
   
‘สัญญาแรกของเรา สัญญาแล้วห้ามคืนคำนะครับ’
   
วันสุขแย้มยิ้มเบาบาง วางโทรศัพท์ลงข้างเตียง หมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อเห็นคำคำนั้น...
   
‘เรา’ เหรอ? ไม่ได้ใช้มันมานานแค่ไหนแล้วนะ? คำที่ให้ความรู้สึกว่าตัวเองพิเศษยิ่งกว่าใครๆ คำที่เมื่อได้ฟังกี่ครั้งก็อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ดีใจจนหัวใจมันพองฟู คำที่ผูกคนสองคนเอาไว้ด้วยกัน...
   
นานแค่ไหนแล้ว?
   
นานแสนนาน...ในภาพของความทรงจำ...ที่ได้ใช้คำคำนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
   
เสียงของสายฝนยังแจ่มชัด ไออุ่นของน้ำตายังรู้สึกได้ และหัวใจร้าวราวที่ยังเจ็บปวดอยู่ทุกวินาที


To be continued...


น้องปรัชญ์ดาเมจ...  :katai5:

ตอนหน้าตัวแปรของพี่วันก็จะออกครบแล้ว พ้นหัวโค้งไปก็จะเริ่มเหยียบคันเร่งกันละ
ยังยืนยันเช่นเดิมว่า มาม่าเรื่องนี้ใสจ๋องแจ๋งเป็นน้ำล้างจาน เพราะเป็นแค่ส่วนผลักดันที่ปั้นพี่วันให้เป็นพี่วันเท่านั้นเอง
อนึ่งเรื่องนี้จะมีตอนเสริมด้วยเป็นเลข .5 เป็นตอนย่อยสั้นๆ ซึ่งออกมาจากตอนหลักอีกที

 :L2: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
หูยยยยยยยยยย เข้ามาอ่านก็ติดหนึบหนับเลย

เราชอบบรรยากาศที่คนแต่งบรรยายมาก มันเหมือนภาพมุมกว้างไม่ได้โฟกัสเน้น
แต่ถ้าสังเกตุจะเห็นว่ามีบอกใบ้นิสัยของแต่ละคนเป็นระยะ ต้องไล่เก็บแต่ละจุดเอามาประกอบเป็นตัวละคร
ผ่านไปฉากนึงจะเห็นเพิ่มอีกนิดนึง
ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากรู้ว่า ถ้าประกอบครบจะได้เห็นอะไรบ้าง

รอชิ้นส่วนต่อไปของ วัน ปรัชญ์ ซานนะคะ

ปล.คุณอาสำหรับเราแล้วมาแรงแซงทางโค้งมาก กริ๊ดทุกฉากที่ออกเลย

ออฟไลน์ บ๊ายบายโพ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เยลลี่ชอบใคร ซานหรอ ทำไมความรู้สึกเราเหมือนเยลลี่ชอบพี่วันเลย 555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด