Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Only 'Wan' เพียงหนึ่ง : บทพิเศษส่งท้าย 2 (จบ)  (อ่าน 61596 ครั้ง)

ออฟไลน์ p.spring

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ที่ตายนี่คือใคร คนในครอบครัว ?  หรือผู้ชายคนนั้น คนที่บอกว่าดีใจที่พี่วันเกลียด
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 9 - อดีต ปัจจุบัน



เหมือนฝันไป...
   
ความรู้สึกตอนนี้คงคล้ายกับตัวเองกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆนุ่มๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น หยิกแขนสักกี่ทีก็ไม่รู้สึกเจ็บ ลมอ่อนๆ พัดโชยให้ร่างเบาหวิวมันละล่องไปตามริ้วอากาศ
   
เขาคงบ้าไปแล้ว หรือไม่ก็คงถูกเจ้าเด็กนั่นสะกดจิต ตอนนั้นถึงได้ไม่ปฏิเสธคำขอเอาแต่ใจนั่นไป ทั้งที่ทำได้ง่ายๆ แค่เปล่งเสียงออกมา แต่ใจลึกๆ กลับยินดีอย่างน่าประหลาด หรือว่าบางทีเขาควรจะเชื่อจิตใต้สำนึกข้างในของตัวเองมากกว่าความคิดจากสมองสั่ง?
   
นายวันสุขร้างราจากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มานานจนแทบจะลืมไปแล้วว่า ไอ้ความรู้สึกนั้นมันหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงจะเตรียมใจมาพอสมควรว่าตัวเองจะลองลุยดูสักตั้ง แต่พอเอาเข้าจริงแล้วก็ยังอดแปลกใจ มึนงง ไม่ได้
   
มันแปลก...คงเพราะนานแล้วที่ไม่เคยให้ใครมายุ่มย่ามกับตัวเองแบบนี้ นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกว่าสามารถโกรธใครสักคนได้เต็มที่ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน และก็นานแล้วที่เวลาเดินคู่กับใครสักคน...แล้วมันรู้สึกอยากหลบฉากไปให้พ้นๆ สายตาผู้คนขนาดนี้
   
ตั้งแต่ใช้ชีวิตมา เขาไม่เคยวาดภาพตัวเองทำท่าเหนียมอายอย่างคนขนาดความมั่นใจเลยสักครั้ง เสียศูนย์ไปสักพัก กว่าจะกลับมาตั้งลำได้ก็โดนแมวตัวใหญ่พูดล้อบ่อยๆ
   
ข่าวคราวของพวกเขาสองคนแทบจะลอยไปเข้าหูของคนเกือบทั้งมหาวิทยาลัย ใครมันจะไปรู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะโด่งดังขนาดนั้น หลายวันมานี้ก็มีคนแปลกๆ วิ่งเข้ามาพูดอะไรประหลาดๆ ใส่ นายวันสุขก็ทำได้แค่ยิ้มอ่อนๆ ตอบไปตามฉบับอย่างที่เขาเคยเป็น
   
ไม่น่านึกประมาทเลยจริงๆ รู้อย่างนี้แล้ว เขาน่าจะบังคับให้ซานลบสเตตัสป่าวประกาศเทือกนั้นเสียตั้งแต่วันแรก แต่พอนึกภาพดูแล้ว ซานคงไม่ยอมลบง่ายๆ อยู่ดี
   
แต่โดยรวมแล้วเขาก็มีความสุขดี ชีวิตราบรื่นจนน่าใจหาย แทบไม่มีใครมาคัดค้านการคบหากันอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ วันสุขเองก็ไม่ค่อยเข้าใจคนสมัยนี้นัก โดยเฉพาะพวกผู้หญิง แต่ก็ต้องขอบคุณความโชคดีนี่ที่ไม่นำพาเรื่องน่าปวดหัวมาให้
   
ทว่าถึงปากจะบอกว่าคบกัน แต่มันก็เป็นแค่ฐานะที่พวกเขาสมมติขึ้นมาเท่านั้น ทำให้มันเป็นทางการ ทั้งที่ความสัมพันธ์ก็คืบหน้าไปเพียงเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมแค่ดูแลกันมากขึ้นก็เท่านั้น
   
“ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าจริงๆ เราเกลียดกัน หรือว่าแค่อยากอยู่ด้วยกันเรื่อยๆ ไปนานๆ กันแน่”
   
ซานเคยถามเขาแบบนี้หลังจากตกลงกับเขาแล้วว่าจะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปกัน เด็กคนนั้นมักจะแทนคำว่า ‘รัก’ ด้วยคำว่า ‘เกลียด’ เสมอ เพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบมันแค่ไหน
   
จนทุกวันนี้เขาเองก็ยังหาคำตอบให้คำถามนั้นไม่ได้เช่นกัน แต่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีแล้ว ความสัมพันธ์ที่ให้เวลาค่อยๆ เกลา ค่อยๆ สร้างแบบนี้...ดีกว่าความฉาบฉวยที่ลมพัดเบาๆ ก็พังครืนเป็นไหนๆ


   


“จริงๆ แล้วทุกอย่างต้องเริ่มจากหนึ่งสินะครับ?”
   
วันสุขพูดขึ้นมาลอยๆ ขณะที่ตายังจับจ้องไปที่กระดาษข้อสอบเช่นเดิม ข้างกันบนพื้นยังมีปึกกระดาษอีกปึกใหญ่วางกองอยู่ ฤดูสอบปลายภาคมาถึงแล้ว งานหนักส่งท้ายก่อนที่เขาจะได้พักสบายๆ อีกเดือนหนึ่งเต็มๆ
   
“บ่นอะไรของเรา ทะเลาะกับซานมาเหรอ?” คุณอาที่นั่งทำงานติดหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษกรอกคะแนนเก็บ เสียงทุ้มหนักซึ่งดังเบาๆ ทำเอาเขาสะดุ้ง
   
เวลาโดนคุณอาทักเรื่องนี้ทีไร วันสุขเองก็ปั้นหน้าไม่ถูกทุกที ใครจะไปรู้ว่าเรื่องจะไปถึงหูท่านเร็วขนาดนี้ เพราะหลังกลับมาจากตลาดวันนั้น เขาก็รีบอาบน้ำเข้านอน ตื่นเช้ามาก็เจอคุณอามายืนทำเซอไพรส์กันถึงห้อง ซึ่งถ้อยคำอวยพรวันนั้นยังหลอนหูเขาไม่หาย...
   
“เปล่าครับ แค่บ่นเฉยๆ น่ะ” ยอมสละสีข้างตัวเองเพื่อหลบฉากออกมาจากการถูกซัก แต่มีหรือหนุ่มใหญ่ที่เลี้ยงเขามากับมือคนนั้นจะจับท่าทีนี้ไม่ได้
   
“พักนี้ไม่ค่อยเห็นซานเลยนะ”
   
นั่นไงล่ะ...ว่าแล้วว่าต้องถามแบบนี้
   
“ผมไล่ให้ไปอ่านหนังสือสอบน่ะ” วันสุขพูดความจริงออกไปครึ่งหนึ่ง จริงๆ ต้องบอกว่าหลังจากเขาไล่เด็กนั่นให้ไปจริงจังกับการสอบ เจ้าตัวก็หายไปเกือบอาทิตย์แล้ว โชคยังดีที่ยังพอโทรไปหาติด แต่ก็คุยกันได้ไม่เกินห้านาทีทุกที
   
“แน่เหรอ?” ผู้เจนประสบการณ์ทวนเสียงสูง
   
“จริงๆ แล้วติดต่อยากกว่าเดิมด้วยน่ะครับ แต่ผมก็ไม่อยากไปจุ้นจ้านมาก ช่วงสอบด้วย” ว่าไปอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนักทั้งที่ห่วงอีกฝ่ายอยู่หน่อยๆ แต่จะให้เขากลายร่างเป็นไก่คอยจิก...นั่นก็ไม่ใช่นิสัยเขาเท่าไหร่
   
“ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าเราจะมาคบกับเด็ก อายุก็ห่างกันตั้งขนาดนั้น”
   
“ผมเองยังไม่ค่อยเชื่อตัวเองเลยครับ” พูดกลั้วเสียงหัวเราะ แล้วก็โยนใบข้อสอบใบสุดท้ายลงไปในกองที่ตรวจเสร็จแล้ว
   
“ตามใจเราก็แล้วกัน” คุณอาลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาหา มือใหญ่ยกขึ้นตีหน้าผากเขาเบาๆ พร้อมยกยิ้มเอ็นดู “ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอก ยังไงอาก็ยังอยู่ตรงนี้ สนใจคนแก่กันหน่อย โดนวันเมินมากๆ อาก็เหงาเป็นเหมือนกัน”
   
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ!” อดที่จะร้องเสียงหลงไม่ได้ เมื่อจู่ๆ หัวข้อถูกเปลี่ยนไป กลายเป็นเรื่องของเขาเข้าแทนเสียแล้ว “ผมเคยเมินคุณอาที่ไหน!?”
   
“เมื่อก่อนยังเรียก ‘คุณอาๆ ’ แล้วก็วิ่งมาเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟังบ่อยๆ แท้ๆ แล้วดูเราตอนนี้สิ มีอะไรก็ไม่ยอมเล่า กลัวอาเป็นห่วงหรือไง? ถ้าเราไม่เล่า อาสิจะยิ่งห่วง” ท่านว่าเสียงเข้มแล้วก็ยกมือดึงแก้มของเขาจนเจ็บไปหมด
   
วันสุขเบ้หน้า ส่งเสียงร้องประท้วง แต่ยิ่งเขาโวยวายเท่าไหร่ แรงดึงก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น จนท่านพอใจนั่นแหละถึงได้ยอมปล่อยให้แก้มเขาเป็นอิสระ ซึ่งพอพ้นมือแล้วก็อดกระถดตัวถอยไปห่างๆ ชายร่างสูงใหญ่คนนี้ไม่ได้
   
“เดี๋ยวคืนนี้ผมจะลองโทรหาอีกที ถ้ายังมีปัญหาอีก พรุ่งนี้จะไปเคาะประตูห้องคอนโดเลย” วันสุขว่าเสียงอ่อย “ทำไมถึงได้เชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้นะ?” แล้วก็อดบ่นทิ้งท้ายไม่ได้
   
“เห็นหลานมีความสุข อาก็ต้องเชียร์สิ เราจะทำอะไร ยังไงอาก็อยู่ข้างเราเสมอนั่นแหละ” พูดเสร็จก็เอื้อมมือมาลูบศีรษะเขาเบาๆ อย่างที่ทำเป็นประจำ
   
วันสุขอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ คุณอาชอบพูดประโยคนี้ให้เขาฟังบ่อยๆ ตอนแรกมันก็น่าอายอยู่นั่นแหละ อย่างกับประโยคจากการ์ตูนแบบนั้น แต่ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าถ้อยคำนั่นมันจะทำให้เขารู้สึกดีได้ขนาดนี้
   
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะทำของโปรดไว้ให้เยอะๆ เลย” ว่าแล้วสมองก็เริ่มนึกสารพันเมนูขึ้นมาในหัว
   
“อ้าว อายังไม่ได้บอกเหรอว่าวันนี้จะกลับดึก ไม่ต้องทำเผื่อ”
   
“อีกแล้วเหรอครับ?” วันสุขอดที่จะโวยขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเป็นเรื่องงานก็เถอะ แต่แบบนี้มันบ่อยเกินไปแล้ว... ประชุมอีกแล้วสินะ? จะประชุมอะไรกันนักหนานะ!?
   
“ใจเย็นหน่อยวัน” คนอายุมากกว่าเอ่ยเตือนเบาๆ ทำเอาเขาต้องสูดหายใจลึก ริมฝีปากสีส้มสวยเม้มแน่นอย่างคนที่ต้องการจะสะกดอารมณ์
   
“ขอโทษครับ” พึมพำออกไป แล้วก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามใดๆ ด้วยการกลับไปหยิบชุดข้อสอบเดิมขึ้นมาตรวจทานความถูกต้องอีกรอบ
   
เขายังไม่ได้บอกคุณอาเรื่องอาการย่ำแย่ของตัวเอง ถึงจะผ่านเรื่องของซานมาได้แล้ว แต่ตะกอนที่ถูกกวนจนฟุ้งน้ำมันก็ต้องใช้เวลา กว่าหลายๆ สิ่งจะตกลงไปนอนนิ่งที่ก้นบึ้งก็คงอีกสักพัก...ใหญ่ๆ
   
บรรยากาศในห้องทำงานกลับมาเงียบเชียบเหมือนเดิมอีกครั้ง เสียงกระดาษดังขึ้นเป็นจังหวะ สลับกับเสียงขูดขีดของปากกาลูกลื่น แต่ถึงวันสุขจะทำเป็นไม่รู้สึก ทว่าเขาเองก็ยังจับได้ถึงสายตาที่มองมาตลอดเวลาจากอีกคน
   
“อารอเรามาเล่าให้ฟังอยู่นะ”
   
แทบจะสะดุ้งโหยง เมื่อไหล่ถูกบีบเบาๆ จากด้านหลัง วันสุขสูดหายใจลึก ความรู้สึกผิดกำลังวนเวียนอยู่ข้างในจิตใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที...แผ่นหลังกว้างนั่นก็ลับหายไปพร้อมเสียงปิดประตูแล้ว
   
เขาวางข้อสอบลงกับพื้นโต๊ะ ทิ้งหลังพิงกับโซฟาเต็มแรง แล้วถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ คอพาดไปกับพนักอย่างเคยชิน สายตาเหม่อมองเพดานขาว และขณะที่สมองกำลงครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็แผดลั่นห้อง
   
‘Don’t you ever wish...’
   
“ว่าไงครับน้องปรัชญ์”
   
วันสุขเอ่ยทักอย่างแปลกใจ ปรัชญ์เองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เขาแทบจะไม่เห็นหน้าเลยตั้งแต่เด็กคนนั้นมาทำงานที่บ้านเขา เคยจะลองโทรไปถามสารทุกข์สุกดิบก็หลายที แต่มันดูจะเกินหน้าที่ของเขาไปเสียหน่อย
   
“พี่วันครับ อยู่ที่ห้องหรือเปล่า?” น้ำเสียงทุ้มๆ ที่ไม่ได้ยินมานานฟังดูร้อนรนอย่างประหลาด
   
“ครับ อยู่ที่ห้อง น้องปรัชญ์มีอะไรหรือเปล่า?” อดที่จะถามอย่างสงสัยไม่ได้ ลึกๆ เองเขาก็เริ่มจับได้ถึงลางบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจชอบกล
   
“พี่วันไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” คำถามประหลาดถูกส่งมาอีกครั้ง ได้ฟังแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
   
“ไม่นะครับ น้องปรัชญ์มีอะไรหรือเปล่า?”
   
“...เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมคงคิดไปเอง”
   
“ยิ่งเราพูด พี่ก็ยิ่งสงสัยนะเนี่ย” ว่าพลางกลั้วหัวเราะ และในเวลาเดียวกัน เสียงเรียกเข้าอีกเสียงก็ดังลั่นห้อง
   
วันสุขพูดขอตัวกับปรัชญ์แล้วกดวางสายไป ขาเองก็เดินเอื่อยๆ ไปยังโต๊ะทำงานของคุณอา สายตาเองก็สอดส่ายจนเจอเป้าหมาย โทรศัพท์เจ้ากรรมตกอยู่บนพื้นไม่ไกลจากเก้าอี้นัก มีรอยบิ่นเล็กๆ ที่มุมขอบ เห็นแล้วก็อดเสียดายไม่ได้
   
“สวัสดีครับ วันสุขพูดสายครับ...คุณอาลืมโทรศัพท์ไว้ครับ” ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับอย่างถือวิสาสะ กรอกเสียงลงไป ทว่าปลายสายอีกฝั่งนั้นกลับไม่พูดไม่จาใดๆ
   
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าจากไหนครับ...” ลองถามกลับไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ก็เงียบอีก ก็ได้แต่คิดว่าสัญญาณคงไม่ดี สุดท้ายพอลองถามมากๆ เข้าเขาก็ยอมแพ้ ตัดใจกดวางสายไป แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
   
“สวัสดีครับ วันสุขพูดสะ...” ยังไม่ทันจะจบประโยคดี เสียงตัดสายก็ดังขึ้น มาคราวนี้เขาถึงกับต้องขมวดคิ้วสงสัย ไม่รู้ว่าคนที่โทรมานี่โทรผิด หรือตั้งใจจะมาก่อกวนกันแน่ และยังไม่ทันที่จะวางเจ้าโทรศัพท์นี่ลงกับโต๊ะ เสียงเรียกเข้าก็แผดลั่นอีกครั้ง...
   
“คุณอาไปทำอะไรไว้นะ” อดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้ ดวงตาเองก็มองเบอร์โทรประหลาดที่ขึ้นโชว์กลางหน้าจอ ชั่งใจอยู่นานว่าจะรับดีไหม ทว่าสักพักเดียวสายก็ถูกตัดไป
   
วันสุขถอนหายใจเฮือก แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง! คิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่แล้วยิ่งขมวดเข้าหากันเข้าไปใหญ่ มือเองก็กดรับสายอย่างรวดเร็ว ปากกรอกประโยคเดิมๆ ลงไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการตัดสายใส่ทั้งที่เขายังพูดไม่จบ
   
“...”
   
ไม่รู้ว่าคนที่โทรมานี่โทรผิด หรือว่าจะก่อกวนกันแน่ แต่ดูจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ...เปิดเจ้าเบอร์นั้นขึ้นมา แล้วกดโทรออกทันที
   
‘Until the day I reach eternal sleep, that smiling face will have to stay with me… ~’
   
เสียงเพลงประหลาดดังขึ้นอยู่หน้าห้อง ท่อนเดิมวนซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่เสียงสัญญาณรอสายของเขายังไม่มีการตอบรับ
   
วันสุขจ้องไปที่ประตูไม้เก่า ความไม่แน่ใจปนหวาดกลัวบางๆ ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาอย่างช้าๆ น้ำลายในคอดูจะเหนียวหนืดขึ้นมา ใจเองก็ภาวนาให้มันเป็นแค่การหยอกล้อของนักศึกษาบางคน
   
เขายกโทรศัพท์ออกห่างจากหู เพลงด้านนอกยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง มองหน้าจออย่างชั่งใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจกดปุ่มวางสาย และเมื่อนั้นเอง...
   
‘Until the day I reach eternal sle… ปิ๊บ’
   
แกร๊ก
   
พลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ดึงสายตาของเขาให้หันไปมอง แวบแรกว่าจะดุเรื่องการละเล่นที่ไม่เข้าท่า ทว่าสิ่งที่จะเอ่ยออกไปกลับถูกกลืนหายไปจนหมด
   
เขา...ตาฝาดไปหรือเปล่า?
   
ถามตัวเอง...ซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาสีอ่อนจับจ้องไปยังสตรีร่างสูงระหงอย่างยากจะละออก... โดยเฉพาะใบหน้านั่น แม้จะดูสวยสดขึ้น แต่ก็ยังมีเค้าเดิมของคนที่เคยคุ้นกันดี ซึ่งชั่วขณะหนึ่ง...วันสุขคิดว่าอาการของเขาคงจะหนักขึ้นถึงขนาดที่ว่าเห็นภาพหลอน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่
   
“สวัสดี”
   
เสียงหวานเพราะที่ไม่ได้ยินมานานดังทักทาย เหมือนระฆังที่กำลังตีเหง่งหง่างขับไล่สติให้กระเจิดกระเจิง กว่าจะรู้สึกตัวก็ต้องสูดหายใจเข้าลึก ทั้งยังเผลอวาดมือซ้ายของตัวเองไปด้านหลัง แล้วยิ้มทักทายคนเคยรู้จักกลับไป แต่ดูเหมือนว่ายิ้มของเขาจะฝืดฝืนเต็มที
   
ยิ่งจ้องใบหน้านิ่งเฉยนั่นนานเท่าไหร่ ก็คล้ายกับว่าจะยิ่งหายใจยากมากขึ้นเท่านั้น บรรยากาศเงียบงัน ตึงเครียดจนน่าอึดอัด การพบกันในรอบเกือบสิบปีนี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีสักนิด เพราะไม่ว่าจะเป็นเขา หรือหญิงสาวตรงหน้า...ก็คงไม่มีใครยินดีที่จะได้กลับมาพบกันอีก
   
“แปลกใจเหรอ? ” เธอเอียงคอเลียนแบบท่าทีที่เขาชอบทำ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูอ่อนยกยิ้มน้อยๆ
   
“กลับมาทำไม” เขาเอ่ยถามเสียงแผ่ว เลือกที่จะเสตาหลบไปมองทางอื่น ทว่าถ้อยคำของหญิงสาวตรงหน้านั้นกลับดึงสายตาให้มองไปยังจุดเดิมอีกครั้ง
   
“กลับมาเยี่ยม ‘เพื่อน’ น่ะ” เธอว่าเรียบเรื่อย ถ้อยคำในประโยคเหมือนจะดูไม่มีอะไร แต่สายตาที่จ้องมองมานั้นกลับอัดแน่นด้วยถ้อยคำที่ไม่จำเป็นต้องพูด...หัวใจมันก็ปวดแปลบขึ้นมา
   
“เหรอ...แล้วผิดหวังหรือเปล่า?” วันสุขยกยิ้มส่งกลับไปให้ มือที่กำแน่นค่อยๆ คลายออกอย่างช้าๆ แล้วถามต่อเสียงนุ่ม “ที่กลับมาก็เพราะว่าอยากจะมาดูให้แน่ใจใช่ไหม?”
   
“ใช่... พอเห็นวันแล้ว ลูกหว้าก็อดถามตัวเองไม่ได้...”
   
“...” วันสุขนิ่งเงียบไป ปล่อยให้บรรยากาศหนักๆ เข้ามาครอบคลุมพวกเขาทั้งสองคน ใจปวดหนึบ...รอเพียงถ้อยคำจากหญิงสาวที่ตนเคยรู้จัก รอให้เสียงหวานนั่นลงมีดลงมา แล้วฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นด้วยคำพูดของเธอ...อย่างที่มันเคยเป็น
   
“ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังมีชีวิตอยู่อีกนะ? ทำไมถึงยังดูปกติสุขดี...ทั้งที่เขาเป็นคนพรากพี่ดินไปจากลูกหว้าแท้ๆ ...วันพอจะให้คำตอบลูกหว้าได้ไหม?”
   
...ดิน...
   
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยินชื่อนั้น? ชื่อต้องห้ามนั่นที่ถูกเอ่ยออกมาอีกครั้งจากปากหญิงสาวตรงหน้า ชื่อที่เขาอยากลบมันออกไปจากความทรงจำ แต่ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง...
   
ทุกครั้งที่เขาพยายามจะลืม แหวนสีดำนี่มันก็จะเย็นวาบขึ้นมา ตอกย้ำบางอย่างที่เขาได้เคยกระทำ ความผิดที่ไม่ว่าจะล้างมันออกสักกี่ครั้ง บาปนั่นมันก็ไม่เคยเจือจางหายไป...
   
พลันภาพสีแดงสดก็ฉายวาบเข้ามาในหัวสมอง เสียงของน้ำ เสียงของโลหะตกกระทบพื้น เสียงกรีดร้องของใครบางคน เสียงหัวใจที่เต้นรัวกระหน่ำ...
   
วันสุขปิดตาแน่น เขาสูดหายใจลึกเพื่อตั้งสติ ดวงตาพร่าเบลอเปิดขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่เขาเห็นนั่นก็คือภาพของผู้หญิงคนนั้น...ซึ่งกำลังจ้องมองมาด้วยแววหม่นหมองชวนให้ปวดหัวใจ
   
“คิดคำตอบออกหรือยัง?” เธอถาม กดดันเขาด้วยน้ำเสียง “ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่?” และคำถามเดิมก็ถูกย้ำอีกครั้ง
   
วันสุขนิ่งไป เบนใบหน้ากลับมาจับจ้องนัยน์ตาโศกคู่นั้น กลีบปากสีส้มสวยยกยิ้มเบาบาง แม้จะยังรู้สึกเจ็บหน่วงอยู่ข้างใน
   
เสียงนุ่มเอื่อยพึมพำตอบกลับไป ผะแผ่ว อ่อนแรงอย่างที่มันไม่เคยเป็น...
   
“ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเหรอ? ...ไม่รู้เหมือนกันสินะ”



(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage


กลิ่นกาแฟลอยจางๆ มาแตะจมูก ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศดูจะหนาวกว่าทุกวัน เสียงฝนดังลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เสียงจอแจดังเบาๆ มาจากห้องครัวชั้นล่าง
   
วันสุขแนบหน้าไปกับโต๊ะไม้อย่างอ่อนแรง รู้สึกง่วงจนอยากจะหลับ แต่ก็หลับไม่ลง สภาพของเขาดูแย่ขนาดที่ว่า พอโผล่หน้าไปที่ร้านซึ่งไม่ได้เข้าไปนานพอสมควร สุดท้ายก็โดนเหล่าบรรดาลูกจ้างไล่ให้ขึ้นมานั่งตั้งสติที่ห้องทำงานเสียอย่างนั้น
   
เมื่อวานลูกหว้ากลับไปอย่างไรเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว สติมันไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่ พอกลับบ้านมาได้ก็ตาค้างอยู่ทั้งคืน ข่มตานอนทีไร เสียงหลอนหูพวกนั้นมันก็มักจะดังขึ้นมาทุกครั้ง เหมือนว่าตัวเองกำลังฝันร้ายอยู่ทั้งที่ยังไม่ได้หลับ
   
มัวแต่พะวงกับเรื่องไม่คาดฝัน คืนนั้นเขาก็ลืมติดต่อซานไปเสียสนิท ทั้งที่สัญญากับคุณอาไว้แล้ว พอเช้ามาหลังจากวูบหลับไปได้ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความไปหาอีกฝ่ายว่าวันนี้เขาจะเข้าร้าน
   
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซานจะสนข้อความเขาหรือเปล่า เพราะพักนี้ก็เป็นอย่างที่เห็น... ห่างกันเสียจนนึกว่าเรื่องที่เคยขอคบกันนั้นเขาแค่ฝันไป แต่จะให้มานั่งระแวงว่าอีกฝ่ายหายไปอยู่กับใครก็ไม่ใช่นิสัยเขาเท่าไหร่ เพราะห่วงเสียมากกว่า... ถ้าไม่เป็นอันตรายก็คงจะดี
   
ก๊อก ก๊อก...
   
“ชากับสโคนค่ะคุณวัน”
   
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหวานๆ ของผู้จัดการร้าน เธอเดินยิ้มเข้ามาหาเขา ในมืออีกข้างก็ถือแผงยาพาราหอบติดมาด้วย
   
“กาแฟผมยังไม่พร่องเลย เอาของมาเพิ่มอีกแล้วเหรอ” วันสุขบ่นอุบอิบ เมื่อถ้วยสีขาวส่งกลิ่นหอมกุหลาบอ่อนๆ กับสโคนหน้าตาน่าทานพร้อมแยมสีสดใสถูกวางลงตรงหน้า
   
“รองท้องเบาๆ ก็ยังดีค่ะ จัดการหมดแล้วก็ทานยาตามด้วยนะคะ” ว่าแล้วก็แกะยาสองเม็ดวางบนจานรองถ้วยชา ซึ่งเขาก็เผลอเบะปากทันทีที่ถูกอีกฝ่ายทำนายโรคให้เสร็จสรรพ
   
“นี่ผมดูเหมือนคนที่ใกล้เป็นหวัดขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
“สภาพแบบนี้ ไม่พ้นคืนนี้แน่ค่ะ” เธอย้ำเสียงขำเมื่อเห็นเขายกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเอง “ถ้ามีอะไรก็เรียกนะคะ คุณวันน่ะนอนพักจะดีกว่า อาการดีขึ้นเมื่อไหร่ค่อยลงไปข้างล่างนะคะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังโซฟามุมห้องซึ่งพับเป็นเตียงได้ ไม่วายไปขนหมอนกับผ้าห่มในชั้นวางมาจัดให้เสร็จสรรพ
   
“ดีจังน้า...ได้คุณแม่เพิ่มมาตั้งคนหนึ่ง” วันสุขพึมพำขณะที่กำลังบิสโคนหอมๆ เข้าปาก แต่มีหรืออีกคนจะไม่ได้ยิน เพราะหลังจากจัดเตียงเสร็จ เธอก็เดินเข้ามาดึงแก้มเขาแรงๆ ทีหนึ่งจนเจ็บไปหมด
   
“ถ้ามีลูกอย่างคุณวัน คงต้องปวดหัววันละหลายๆ รอแน่ค่ะ” เสียงเพราะนุ่มว่า ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปทำงาน ปล่อยให้ห้องเย็นๆ นี่ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
   
วันสุขนั่งจิบชาไปเรื่อยๆ อย่างคนที่ไม่มีอะไรทำ สลับกับแนบหน้าปิดตาลงกับโต๊ะบ้าง พอทำวนไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเบื่อ สุดท้ายก็ตัดสินใจจะไปนอนสักงีบ เผื่ออะไรๆ มันจะได้ดีขึ้น
   
‘Don’t  you ever wish… you were someone else, you were…’
   
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นเมื่อเขาทำท่าว่าจะลุกจากเก้าอี้นุ่มๆ เบอร์โทรคุ้นตาทำเอาขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกดรับ เพราะจะเสียมารยาทกดตัดสายอย่างที่ทำบ่อยๆ กับเพื่อนสนิทก็คงไม่ได้
   
“สวัสดีครับน้องปรัชญ์” กรอกเสียงไปตามเรื่อง เท้าเองก็เดินเอื่อยๆ ไปหาเตียงที่ถูกปรับจากโซฟา แล้วทิ้งตัวลงไปอย่างเกียจคร้านจนเสียงสปริงดังเอี๊ยดอ๊าด
   
“สวัสดีครับ พี่วันสะดวกคุยหรือเปล่า” เสียงกล้าๆ กลัวๆ ถามกลับมา
   
“สะดวกครับ มีอะไรหรือเปล่า”
   
“พอดีคุณแม่จะฝากให้ผมเอาต้นไม้ไปให้น่ะครับ คราวก่อนนู้นที่มาทำร้านให้ คุณเวย์เขาขอพวกไม้กระถางเล็กๆ เพิ่ม วันนี้ของเพิ่งมา แต่ผมติดต่อคุณเวย์ไม่ได้เลย” ปรัชญ์เล่ามาเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็อดปล่อยขำเบาๆ ไม่ได้จนอีกฝ่ายทำเสียงงุนงงตอบกลับมา
   
“ไม่... ไม่มีอะไร เล่าต่อสิ” วันสุขกลั้นขำกับคำเรียกที่อีกฝ่ายใช้ ก็แปลกดีเหมือนกัน เพราะปรัชญ์เรียกเขาว่า ‘พี่วัน’ แต่ดันเรียกเพื่อนสนิทเขาว่า ‘คุณเวย์’ คำเรียกแบบนี้ทำเอาอีกฝ่ายกลายเป็นลุงแก่ๆ ไปเสียอย่างนั้น
   
“พอดีผมว่าจะเข้าไปที่ร้านวันนี้ พี่วันสะดวกไหมครับ”
   
“สะดวกครับ ตอนนี้พี่ก็อยู่ที่ร้าน ถ้ามาถึงแล้วก็ไปบอกผู้จัดการร้านนะ เดี๋ยวเขาก็มาปลุกพี่เอง” วันสุขว่าพลางทิ้งศีรษะลงกับหมอนนุ่ม กลิ่นตู้ไม้ลอยมาแตะจมูก ดวงตาปรือปิดอย่างเหนื่อยอ่อน
   
“เสียงพี่ดูเหนื่อยๆ ” ปรัชญ์พูดเบาๆ ท่าทางดูจะไม่ค่อยกล้าแสดงออกมากนักว่ากำลังห่วงเขาอยู่
   
“เมื่อคืนนอนไม่หลับน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” วันสุขว่าแล้วก็ยกยิ้ม จริงๆ เขาก็รู้สึกดีทุกครั้งนั่นแหละที่รู้ตัวว่าตัวเองได้รับความสำคัญจากคนรอบตัว คงเป็นสิ่งเสพติดไปแล้ว แต่อีกใจหนึ่งกลับไม่ชอบให้ใครต่อใครเข้ามาก้าวก่ายชีวิตตัวเองเท่าไหร่
   
“ซานไม่ได้อยู่กับพี่เหรอครับ?” คำถามประหลาดออกมาจากปากของคนปลายสาย... เขานอนไม่หลับแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับซานนะ?
   
“พี่นอนไม่หลับก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับซานนะ จะว่าไปน้ำเสียงเราเมื่อวานก็แปลกๆ ” ถามกลับไปเสียงฉงน
   
“อ่า...ขอโทษครับ พอดีเมื่อวานผมเห็นเขาวิ่งไปไหนไม่รู้ ท่าทางตื่นๆ ก็เลยอดโทรไปหาพี่ไม่ได้ ผมนึกว่าพี่วันจะเป็นอะไร” เสียงทุ้มยิ่งเล่าก็ยิ่งเบา แต่ยิ่งได้ฟังเรื่องราว แม้จะสั้นกุด แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เขาห่วงซานมากเข้าไปอีก
   
“พี่สบายดีครับ แค่เพลียๆ นิดหน่อย” วันสุขตวัดผ้าขึ้นห่ม แต่ดูเหมือนยิ่งคุยกับอีกฝ่ายเท่าไหร่ ความง่วงก็ยิ่งลดหายไปเท่านั้น
   
“ดีแล้วล่ะครับ...ผมกลัวจริงๆ ว่าพี่จะเป็นอะไรไป เอ่อ...ผมไม่กวนแล้วครับ เจอกันที่ร้านนะครับ สวัสดีครับ” เริ่มประโยคมาเรื่อยๆ ก็ดูปกติดี จนมาถึงท่อนกลางนี่แหละที่จู่ๆ ก็รวบรัดตัดสายไปซะจนเขายิ่งสงสัย
   
วันสุขเปิดตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เหม่อมองเพดานห้องล่องลอยอยู่สักพัก ปกติปรัชญ์ก็ขี้ห่วงอยู่แล้ว แต่ว่าคราวนี้กลับต่างออกไป เด็กคนนั้นดูวิตก... และยิ่งคิด เขาก็ยิ่งเผลอเอาลูกหว้ามาโยงเข้าด้วยกัน... และความคิดนั้นเองที่ทำเอากายหนาววาบขึ้นมา
   
“ให้ตายสิ...”
   
ลูกหว้าไม่ใช่คนร้ายกาจขนาดที่จะลากคนอื่นมาเกี่ยวพันกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้ แต่ตอนนี้เขาเองก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจ เพราะหลังจาก ‘วันนั้น’ ผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักก็คล้ายกับจะเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปคนละคน
   
วันสุขพลิกกายนอนตะแคง แทบจะขดตัวเข้าหากัน โทรศัพท์ที่โยนไปมั่วๆ ถูกควานขึ้นมาถือไว้ เบอร์กดไล่เรื่อยจนไปถึงเบอร์ที่เพิ่งถูกเรียกใช้ไปเมื่อเช้า... ชั่งใจอยู่สักพัก สุดท้ายก็เลือกที่จะกดรูปซองจดหมายแทนที่จะเป็นโทรศัพท์สีเขียว หน้าจอเด้งขึ้นมา และนิ้วก็รัวพิมพ์ข้อความส่งไปหาอย่างรวดเร็ว
   
‘อยู่ที่ไหน? อยากเจอ... มาหาเดี๋ยวนี้’


   


โลกสีขาวปุกปุย... ฟ้าราตรีสีเข้ม ดาวสีทองพาดผ่านละลานตา บ้างใหญ่ บ้างเล็ก เท้าของเขาสัมผัสลงกับพื้นน้ำใส ดอกไม้สีขาวอมส้มนวลตาแทรกกายหลบใต้ปุยสีขาวนุ่มนิ่ม
   
ดวงตาสีอ่อนก้มลงมองที่ปลายเท้า ภาพสะท้อนของคนคนหนึ่งส่งตรงกลับมา และนั่นก็ไม่ใช่ภาพของเขา
   
โลกที่ใต้ผืนน้ำไม่ได้เป็นฟ้าพร่างดาวอย่างที่ควรเป็น แต่กลับเป็นปุยเมฆสีเทาแดง ดอกไม้สีเลือดสด และฝุ่นควันขี้เถ้าลอยโขมง มีดวงจันทร์สีขาวส่องแสงอ่อนๆ คล้ายหลอดไฟที่ใกล้จะดับ เงานั่นชัดขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นภาพของคนบางคนที่แทบจะลืมไปแล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
   
‘เพราะว่าเป็นแค่ ดิน ก็เลยไม่เคยมองขึ้นไปบนฟ้าจริงๆ สักครั้ง’
   
‘ยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเอื้อมถึง ยิ่งมองคงได้แค่เจ็บปวด โหยหา น้อยใจ...ว่าทำไมถึงได้ห่างไกลกันขนาดนั้นนัก’
   
‘ไม่มีเหตุผลที่ต้องทรมานตัวเอง แต่มารู้ตัวอีกที ทั้งที่ก้มหน้าหันหนี แต่ขามันกลับกระเสือกกระสน พาตัวเองให้เข้าไปใกล้กับฟ้าทุกครั้ง’
   
คำพูดมากมายของคนคนนั้นผุดวาบขึ้นมาจากกลุ่มความทรงจำ ใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มเสมอยังคงไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป ยิ้มที่เจ้าตัวภูมิใจหนักหนาว่ามันช่วยให้ทุกคนมีความสุข...
   
เขาเกลียดรอยยิ้มแบบนั้น เพราะมันอัดแน่นไปด้วยความโศกที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีสักนิด ทั้งดวงตาที่เหมือนไม่เคยใส่ใจอะไร แต่มักมองมาอย่างเปิดเผยทุกครั้งว่าเสียใจมากขนาดไหน ทว่าน้ำเสียงกลับระรื่น และเพราะเป็นแบบนั้น...ยิ่งคุยกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมองหน้ากันน้อยลงขึ้นทุกที จนสุดท้ายก็แทบจะหันหลังชนกัน
   
“สวัสดี... สบายดีหรือเปล่า”
   
เสียงที่ไม่ได้ยินมานานเอ่ยทักทายถามสารทุกข์สุขดิบ แต่เขาเลือกที่จะนิ่งเฉย สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเพียงแค่โลกของความฝัน สิ่งที่จิตใต้สำนึกสร้างมันขึ้นมา... และนั่นน่ากลัวเหลือเกิน เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ตะกอนตกค้างของคนคนนั้นในตัวของเขาก็ไม่เคยลดน้อยลงสักนิด
   
“ที่ผ่านมา พี่มีความสุขมากเลยนะ”
   
ลมหายใจของเขากระตุกวาบทันทีที่ได้ยินคำพูดนั่น เสียงของตัวเองคล้ายจะหายไปดื้อๆ เมื่อพยายามจะพูดโต้ตอบ มือกำแน่นเกร็งจนขึ้นข้อ แต่คนฟากตรงข้ามก็ยังคงยกยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญ
   
“อยากอยู่ด้วยกันไปอีกนานๆ อยากอยู่ข้างๆ วัน”
   
เสียงครืนในความฝันดังสนั่น สายฝนสีแดงเทสาดลงมา หยดน้ำตกกระทบกับผิวใสตีเป็นคลื่นวงกลม และนั่นก็ทำให้ภาพอีกฝั่งมัวเบลอ... เขาพยายามเค้นเสียง ความหวาดกลัวบางอย่างตีทะลวงขึ้นมาจนจุกอยู่ที่คอหอย อยากจะตะโกนออกมา แต่ก็เกร็งจนไม่อาจพูดได้
   
“อยาก...เวลามันมากกว่า... ถ้าหยุด... ไว้ได้ ...คงจะดี”
   
ฝนกระหน่ำกลบเอาเสียงทุ้มห้าวนั่นจนฟังไม่ถนัด แต่ใจกลับรู้ดีว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร ภาพลำดับเหตุการณ์มันประดังเดเข้ามาในหัวสมอง เหมือนว่าเรื่องราวเพิ่งผ่านพ้นและยังสดใหม่
   
“อยาก ...บอก ...สุดท้าย...ไม่ว่าเมื่อไหร่... รู้สึก... ไม่...เปลี่ยน...”
   
ไหล่ของเขาสั่นเทิ้ม ปากกัดแน่นจนได้ยินเสียงฟันกรอด ปอดบีบตัวจนรู้สึกว่าหายใจลำบาก เมื่อภาพฝั่งตรงข้ามกำลังกลายเป็นทะเลสีเลือด ปลายเท้าซึ่งอยู่บนจุดเดียวกันของอีกฝ่ายค่อยๆ ออกห่างไป ราวกับร่างกายนั่นถูกฉุดให้ร่วงหล่นลงไปในมิติที่เขาไม่มีวันเอื้อมถึง
   
รอยยิ้มบนใบหน้าดูใจดีถูกส่งมาให้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ของเหลวสีแดงจะกลืนกินร่างกายนั้นอย่างช้าๆ เหลือไว้เพียงท่อนแขนขาวซึ่งถูกยกขึ้นมา ราวกับเป็นคำขอร้อง...ที่เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และสุดท้ายก็จมหายไปในที่สุด...
   
“...ก...นะครับ”
   
น้ำตามันพร่างพรูลงมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงขาดๆ หายๆ นั่น... เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอื้อมมือเข้าไปฉุดแขนข้างนั้น...ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน หรือแม้แต่ในความฝันนี่ก็ตาม...
   
ใครกันที่ฆ่าเขาคนนั้น... จะเป็นใครล่ะ... นอกจากตัวเขาเอง!!!
   
ปึง!
   
“!!”
   
เสียงทุบปึงปังของอะไรบางอย่างดังลั่นจนถึงกับสะดุ้งเฮือก ดวงตาสีอ่อนเปิดพรึบอย่างตระหนก แสงจากหลอดไฟพร่ามัวจนต้องปิดเปลือกตาลง ลมหายใจหอบถี่จนรู้สึกเหนื่อย เนื้อตัวชื้นเหงื่อทั้งที่แอร์ในห้องเย็นเฉียบ
   
“ตื่นสักที”
   
เสียงนุ่มคุ้นหูดังอยู่ในระยะประชิด และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งมารู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งกองอยู่บนพื้นห้องแทนที่จะเป็นเตียงโซฟา ผ้าห่มกับหมอนกระจัดกระจายไปทั่ว พอสติเริ่มคงตัวมากขึ้น หูเองก็ได้ยินเสียงหัวใจของคนที่ทำหน้าที่เป็นเบาะพิงให้กับเขา...
   
“ซาน?” เผลอเรียกชื่ออีกฝ่าย ก่อนจะต้องชะงัก เมื่อพบว่ามือตัวเองกำลังจิกลงบนแขนของเด็กคนนั้นจนเลือดซิบ “ขอโทษ...” นี่เขา...อาละวาดอีกแล้วสินะ คงเพราะฝันบ้าๆ นั่น...
   
“ยืนไหวไหม?” โทนเสียงประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับที่คนพูดใช้ปลายแขนเสื้อซับน้ำใสๆ ตามแก้มให้เขาเบาๆ
   
วันสุขเบี่ยงหน้าหนี ไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มกับอิริยาบถแบบนี้เท่าไหร่นัก พยายามชันเข่าเพื่อลุกขึ้นยืน แต่สุดท้ายก็กลับมานั่งแปะลงที่เดิม หัวมันหนักๆ โลกเอียงกะเท่เร่จนรู้สึกคลื่นไส้
   
“นอนต่อสักพักก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไปบอกผู้จัดการร้านให้” ซานว่าพลางพยุงเขาให้ขึ้นไปนั่งบนเตียง แล้วก็ใช้มือกดไหล่ของเขาจนล้มปับไปกับเบาะนิ่ม
   
“เดี๋ยว...” เสียงขาดๆ หายๆ เอ่ยเรียกคนที่กำลังจะหันหลังกลับ มือเอื้อมไปดึงชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ ดวงตาเองก็จ้องไปที่ต้นแขนซึ่งมีวงเปื้อนสีแดงเข้ม... แผลนั่นไปได้มาจากไหน? เขาถามไปด้วยสายตา และเด็กนั่นก็เหมือนจะรู้ดี
   
“อุบัติเหตุนิดหน่อย จริงๆ เพิ่งไปเย็บมาเมื่อวาน” ซานพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ร่างสูงเดินเข้ามานั่งข้างๆ เขา จ้องหน้ากันเงียบๆ และเป็นเขาเองที่ต้องเสตาหลบ
   
เพิ่งเย็บมาเมื่อวาน แต่เลือดออกจนโชกแบบนั้น...ที่แผลมันเปิดก็เป็นเพราะเขาสินะ? คิดแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ทว่าใจก็ยิ่งสงสัย แผลที่ได้มาเมื่อวาน... ลูกหว้าที่มาหาเขาเมื่อวาน และท่าทีประหลาดของปรัชญ์...
   
“มันไม่ใช่ความผิดของพี่” คำปลอบเรียบๆ ชวนให้ยกยิ้มไม่ได้ มารู้ตัวอีกทีแขนก็เอื้อมไปโน้มคออีกคนให้เข้ามาหา แตะริมฝีปากของเขาเบาๆ กับคนตรงหน้าเสียแล้ว
   
ถึงจะยังติดใจสงสัยอยู่บ้าง แต่วันสุขก็ไม่อยากซักอะไรนักถ้าซานไม่ยอมเปิดปากเล่า เพราะเขาเองก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังไม่พร้อมจะเล่าให้คนคนนี้ฟัง ถ้าหากเวลาที่เหมาะสมมาถึง วันนั้นคงได้คุยกันอย่างเปิดอก ยกเอาเรื่องสารพันมาเล่าสู่กันฟังได้อย่างสบายใจ
   
“ขอบคุณที่มา” พึมพำออกไปเบาๆ ปล่อยแขนออก แล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ แต่ก็ต้องเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเบาะข้างตัวถูกเท้าจนยุบยวบลงไป และเงาสีดำก็ทาบทับลงมา
   
“ถ้าพี่ฝัน...ถ้าฝันถึงเรื่องผมบ้างก็คงจะดี” ซานช้อนมือซ้ายของเขาขึ้นมา แนบแก้มลงไปเบาๆ ท่าทางออดอ้อนเหมือนลูกแมว แต่สายตาที่ท่วมไปด้วยเพลิงระริกคู่นั่นทำเอาหนาววาบ...
   
“เพราะถ้าพี่ยังเอาแต่ฝันถึงเรื่องบ้าๆ นั่น... สักวันผมคงทนไม่ไหว...”
   
“...” วันสุขเลือกที่จะนิ่งเงียบ ซานอารมณ์แปรปรวนง่ายเสมอ แต่ก็ยังดีกว่าเขาที่ไม่เคยจะควบคุมตัวเองได้ “เจ็บ” ทว่าสุดท้ายก็ต้องหลุดอุทานออกมา เมื่อหลังมือถูกจิกแน่น ยามที่แววตาคู่นั้นวาวโรจน์อย่างที่มันไม่เคยเป็น...
   
“...ถึงตอนนั้น...ไอ้แหวนเวรนี่คงได้ลงไปว่ายน้ำอยู่ในอ่าวไทย!”




To be continued...

 :กอด1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
ขอบคุณค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ maruko

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ซาน อาจจะเกี่ยวข้องกับดินหรือลูกหว้ารึเปล่า??

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 10 - ความจริง ความฝัน

   

“คุณอา ทำไมพ่อไม่รักน้องวัน?”
   
เสียงสะอื้นของเด็กชายคนหนึ่งเอ่ยถามคนเป็นอาซึ่งกำลังแตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงบนแผลถลอกที่ฝ่ามือเล็กๆ นั่น ดวงตากลมคลอรื่นด้วยน้ำใส ไม่ใช่เพราะเจ็บแผล แต่เป็นเพราะความน้อยใจ
   
“พ่อเขารักน้องวันครับ” เสียงทุ้มห้าวพูดอย่างหนักแน่น ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบศีรษะเล็กๆ อย่างนึกเอ็นดูปนสงสารไปในที ทว่าเด็กน้อยกลับมองตอบกลับมาด้วยสายตาอย่างคนที่ไม่เข้าใจ
   
“โกหก... พ่อชอบตีน้องวัน ทำร้ายคุณอาด้วย น้องวันเกลียดพ่อ” เสียงใสๆ เอ่ยแย้ง ว่าแล้วก็ชูร่องรอยบาดแผลตามลำตัวให้อีกฝ่ายดู อย่าว่าแต่ตัวเลย กระทั่งคุณอาเองก็มีแผลไม่น้อยไปกว่าเขานั่นแหละ แผลหนักกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งแผลพวกนั้นก็ได้มาเพราะเข้ามาช่วยเขาแท้ๆ
   
“อย่าพูดแบบนั้นเลยนะครับ ถ้าพ่อเขามาได้ยินเขาจะยิ่งเสียใจนะ” วูบหนึ่งดวงตาคมคู่นั้นปรากฏแววเสียใจชั่วขณะ คนเป็นอาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ในขณะที่เด็กชายตรงหน้านั้นก็เด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งที่คนเป็นพ่อนั้นเป็น
   
“น้องวันพูดไปแล้ว แล้วพ่อก็ตีน้องวัน” เสียงใสๆ ยังเล่าเรื่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ นิ้วเล็กๆ จิ้มที่แก้มซ้ายของตัวเองซึ่งยังมีรอยฝ่ามือแดงชัด แต่คุณอากลับทำหน้าตกอกตกใจแทนที่จะถามอย่างเป็นห่วงอย่างเช่นทุกครั้งเสียนี่
   
“อย่าพูดแบบนั้นกับเขาพูดอีกนะครับน้องวัน ถือว่าอาขอร้อง...นะครับ” เสียงทุ้มวอนขออย่างยากที่จะได้เห็น เด็กชายจ้องหน้าอาแท้ๆ ของตัวเองด้วยไม่เข้าใจ สุดท้ายก็พยักหน้ารับง่ายๆ อย่างที่ชอบทำประจำ
   
“ที่บอกว่า ‘รัก’ เนี่ย จริงๆ เหรอ?” เพราะถ้า ‘รัก’ ทำไมถึงต้องตีเขากันนะ? เด็กชายก็ได้แต่ถามตัวเอง ซึ่งท่าทีนั้นก็เรียกรอยยิ้มจากคนทำแผลได้มากพอสมควร
   
“พ่อเขาชอบแอบมานั่งเฝ้าตอนน้องวันหลับนะครับ แล้วก็ของเล่นในห้อง พ่อเขาก็ไปซื้อมาให้เรานะ คุณอาก็ไปช่วยเลือกด้วยเหมือนกัน”
   
“แล้วทำไมถึงชอบตีน้องวัน? พ่อไม่เห็นต้องโมโหตลอดเวลาเลยนี่เวลาที่น้องวันตื่น” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ คิ้วเล็กๆ ขมวดมุ่นอย่างคนใช้ความคิด
   
“พ่อเขาไม่สบายครับ เป็นมาตั้งนานแล้ว พักหลังยิ่งเครียดก็เลยยิ่งเป็น” คนเป็นอาอธิบายเสียงนุ่ม เลือกใช้คำที่คิดว่าน่าจะเข้าใจง่ายสำหรับเด็ก
   
“ไม่สบายตรงไหน?” เขาที่เห็นว่าพ่อเองก็ปกติดีอดแย้งไม่ได้
   
“ตรงนี้ครับ” นิ้วของคุณอาแตะลงมาแถวบริเวณหัวใจของเขา “พ่อของน้องวันเลยต้องไปหาคุณหมอบ่อยๆ ยังไงล่ะครับ”
   
“พ่อเป็นโรคหัวใจเหรอ?” คุณครูเคยเล่าให้เขาฟังบ่อยๆ ว่าโรคที่เกี่ยวกับหัวใจก็คือ โรคหัวใจ ถ้าแบบนั้นเขาเองก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงได้ไปโรงพยาบาลบ่อยนัก แต่เขาจำไม่เห็นได้เลยนี่ว่า เป็นโรคหัวใจแล้วต้องโมโหร้ายแล้วตบตีเขาแบบนั้น
   
“เป็นโรคที่คล้ายๆ กับโรคหัวใจครับ เวลาที่ปวดใจขึ้นมาเขาก็จะแสดงออกมาอีกอย่าง ตอนเขาตีน้องวัน เขาไม่รู้สึกตัวหรอกนะ พอมารู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป...สุดท้ายก็หลบไปนั่งเศร้าอยู่คนเดียวทุกที” คุณอาของเขาเล่าเสียงนุ่ม มือใหญ่เองก็ยกขึ้นลูบศีรษะนี่จนรู้สึกอุ่นไม่น้อย
   
“ปวดใจนี่เป็นยังไง? เหมือนเวลาที่น้องวันร้องไห้เพราะพ่อไม่รักหรือเปล่า?”
   
“ครับ... แค่พ่อเขาไม่รู้จะแสดงออกมายังไง ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย”
   
“พ่อโมโหทุกครั้งที่เห็นน้องวัน แสดงว่าพ่อกำลังเสียใจใช่ไหม?” เด็กชายพยายามจะเข้าใจ แต่ใบหน้าก็ยังเต็มไปด้วยคำถามอยู่ดี
   
“ครับ เพราะอย่างนั้นมาช่วยกันเนอะ เวลาที่เขาไม่โมโหก็มี น้องวันไม่ได้สังเกตเหรอ?”
   
“เวลาอยู่กับน้องวันสองคน พ่อจะไม่ค่อยพูด แต่พอมีคุณแม่อยู่ด้วย พ่อก็โมโหทุกครั้ง” พอเริ่มจับทางได้ เขาก็เริ่มจะนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆ กับตัวเอง และมันก็เป็นจริงเช่นนั้น เว้นก็แต่ตอนนี้เขาพลั้งปากบอกว่าเกลียดไป... คำคำนั้นก็ทำให้พ่อเสียใจหรือเปล่า? เพราะถ้าคุณอามาบอกว่าเกลียดเขา เขาเองก็คงจะเสียใจเช่นกัน
   
คุณอาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ยิ้มอุ่นๆ มาให้ ริมฝีปากเข้ารูปแตะเข้าที่หน้าผากเขาเบาๆ อย่างที่ชอบทำทุกครั้งเมื่อทำแผลเสร็จ แล้วก็กลับไปนั่งจัดการกับเศษแก้วซึ่งแตกกระจายเกลื่อนพื้น เด็กชายทำท่าว่าจะเข้าไปช่วยด้วย แต่ก็ถูกเอ็ดให้กลับมานั่งเฉยๆ
   
“ทำอะไรกันครับเนี่ย เลอะเทอะเชียว”
   
เสียงคุ้นหูของใครบางคนดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสงบ เขารีบหันหน้าขวับไปมอง เพราะคนนอกที่กล้าเข้ามาจนถึงในตัวบ้านแบบนี้ได้ก็มีไม่กี่คนหรอก และหนึ่งในนั่นก็คือเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่กำลังยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องนั่งเล่น
   
เห็นแบบนั้นแล้ว เสียงใสก็ตะโกนลั่นอย่างดีใจ ร่างเล็กๆ กระโดดผึงลงจากเตียง สองขาวิ่งปร๋อไปหาผู้มาใหม่ในทันที
   
“พี่ดิน!”


   


เขาได้ยินเสียงเพลง...
   
วันสุขลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ หัวมันหนักจนแทบจะยกไม่ขึ้น ลมหายใจของตัวเองก็ร้อนจนสัมผัสได้ หนาวจนต้องซุกกายเข้าไปใต้ผ้าห่มทั้งที่เหงื่อออกจนชุ่มหลัง ตาเบลอๆ พยายามจะกวาดมองไปรอบๆ สุดท้ายก็เห็นแผ่นหลังไหวๆ ของใครบางคนซึ่งกำลังนั่งดีดเปียโนแผ่นสำหรับพกพา
   
“พี่วันตื่นแล้วเหรอครับ”
   
เสียงทุ้มนุ่มทักมาจากอีกฝั่งทำให้รู้ว่าในห้องนี้มีคนอยู่อีกคน วันสุขเบือนหน้าหันไปมอง ตอนนี้ร่างกายมันหนักไปหมด สมองเบลอๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปบ้าง
   
“เรื่องต้นไม้ ผู้จัดการเขาจัดให้เสร็จแล้วครับ” ปรัชญ์บอกกับเขา แล้วก็อธิบายรายละเอียดคร่าวๆ ว่าทำอะไรลงไปบ้าง พูดไปสายตาก็เหลือบมองซานไปเป็นพักๆ และท่าทีนั้นก็ชวนให้เขาสงสัย
   
“ทะเลาะกันเหรอ?” วันสุขถามออกไปเสียงแผ่ว โชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้รู้สึกแสบคออะไร คงมีเพียงแค่ไข้สูงเท่านั้น
   
“เปล่า” คราวนี้กลายเป็นคนที่เล่นเปียโนเองซึ่งตอบคำถามเขา แล้วจังหวะเพลงก็เริ่มทิ้งช่วง กลายเป็นนุ่มแผ่วชวนให้สบายชอบกล
   
“ดีแล้วล่ะ” พึมพำขึ้นมาเบาๆ แล้วก็อดหลับตาลงไม่ได้ เพลียจนอยากจะหลับอีกสักรอบ แต่เหงื่อชื้นนี่ทำเอาไม่สบายตัวเสียเลย
   
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ” ปรัชญ์ว่าอย่างเกรงใจ และพอจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง ข้อแขนแข็งแรงนั่นก็ถูกมือเขาคว้าหมับ
   
“ดูไม่ค่อยเศร้าเท่าไหร่นะ” วันสุขปรือตาพลางถามคำถามประหลาดๆ กับอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะปล่อยมือเมื่อเสียงเปียโนมันหยุดไปชั่วขณะ ปรัชญ์ยืนนิ่งแล้วหัวเราะแหย
   
แปลกจริงๆ นั่นแหละ ปกติเวลามีซานอยู่ด้วยทีไร ถ้าไม่ทำหน้าเศร้า ก็ชอบมองเขาด้วยสายตาเหมือนลูกหมาถูกทิ้งทุกที แม้ตอนนี้จะยังมองมาเหมือนเดิม แต่บรรยากาศก็ดูจะต่างออกไป...
   
“ก็... พอไม่ได้เจอพี่วันนานเข้า ผมก็เริ่มคิดได้หลายๆ อย่าง” น้ำเสียงดูเหมือนคนที่ยังไม่แน่ใจ “บางทีพี่วันก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับแม่น่ะ... ขอโทษด้วยนะครับถ้าผมเคยทำอะไรให้พี่ลำบาก” พูดพลางก้มหน้ายกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองอย่างที่เจ้าตัวมักทำเวลาเก้อเขิน
   
วันสุขหัวเราะ ถึงจะไม่ค่อยมีแรงก็เถอะ ริมฝีปากสีส้มอ่อนยกยิ้มบางๆ มือเองก็โบกไหวๆ บอกอีกฝ่ายว่าไม่เป็นไร แต่อีกใจหนึ่งเขาเองก็แอบผิดหวังเล็กๆ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยน่าพิสมัยนัก... แต่ก็นั่นแหละตัวตนของเขา
   
พอสิ้นเสียงปิดประตู เสียงเปียโนก็หยุดแทบจะในทันที คนที่เอาแต่เงียบเดินไปลงกลอนประตูห้อง วันสุขเองที่มองตามทุกการกระทำก็อดสงสัยไม่ได้... นี่คงไม่คิดจะทำอะไรแปลกๆ กับเขาอีกหรอกนะ? ถ้าคนป่วยยังกล้ารังแก จริยธรรมในใจเด็กนี่คงแย่เกินเยียวยา
   
“ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก แค่กันคนนอกเข้ามาน่ะ” ซานอธิบายเสียงเรียบ กายสูงเดินเข้ามานั่งบนเตียงจนเบาะยวบลงไป ฝ่ามืออุ่นแตะลงบนหน้าผากเขา แล้วคิ้วเข้มซึ่งพาดเฉียงเหนือดวงตาคมสวยก็ขมวดมุ่น “ไข้ไม่ลดลงเลย” ว่าแล้วก็ตลบผ้าห่มออกไป
   
เขาซึ่งไม่มีอะไรให้ซุกหนีไอหนาวมีหรือจะทำอะไรได้ นอกจากกระเถิบตัวเข้าไปหาคนข้างๆ เอี้ยวแขนกอดเอวไม่หนาไม่บางนั่นไว้ แล้วก็ซุกตัวเข้าไปใกล้ๆ อย่างที่ชอบทำกับคุณอาบ่อยๆ
   
“เช็ดตัวให้หน่อย” งึมงำบอกอีกฝ่าย เหงื่อพอเจอไอแอร์กลายเป็นยิ่งหนาว เนื้อตัวก็เริ่มสั่นกึกๆ
   
“หืม?” ซานเลิกคิ้ว ทำท่าไม่เข้าใจ
   
“เช็ดตัวให้หน่อย...ทำเป็นใช่ไหม? ถ้าไม่เช็ด ไข้ก็คงไม่ลง” ยิ่งพูดเสียงเขายิ่งสั่น ตอนนี้ไม่มีเวลามาเล่นหยอกล้อหรอกนะ เพราะพอจะคลานไปเอาผ้าห่มคืน ฝ่ายนั้นก็ดันโยนไปไว้มุมห้อง เขาซึ่งไม่มีแรงจะลุกคงเดินไปหยิบไม่ไหว
   
“ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามมาก่อนได้ไหม?” ซานถามด้วยน้ำเสียงกึ่งขำ
   
“คำถาม?”
   
“ตอนที่คุยกับปรัชญ์ ทำไมถึงต้องทำหน้าเสียดายแบบนั้นด้วย?”
   
คำถามนั่นทำเอาเขาต้องนิ่งไป สมองเรียบเรียงคำตอบ แต่เพราะเงียบไปนาน คนถามซึ่งใจร้อนรอไม่ไหว สุดท้ายก็เดินไปหยิบผ้าห่มมาให้ คงเพราะสภาพของเขาดูแย่เต็มที
   
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร” เสียงทุ้มเรียบว่า ทำเอาวันสุขรีบสวนแย้งกลับไปแทบไม่ทัน
   
“เปล่า... มันพูดยากน่ะ เช็ดตัวเสร็จแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง”



(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage


สุดท้ายพวกเขาก็ลงความเห็นกันว่าควรกลับมาที่บ้านจะสะดวกสุด แต่เขาขับรถไม่ไหว ทั้งวันนี้คุณอาเองก็ไม่กลับ เห็นว่าต้องไปค้างที่วิทยาเขตอื่นเพราะเรื่องงานสารพัน ผู้จัดการสาวเองก็ค้านหัวชนฝาเรื่องกลับไปนอนบ้าน เพราะไข้เขายังไม่ลด คุยไปคุยมาซานก็แบกเขามาที่ห้องเจ้าตัวจนได้
   
ครั้งที่สองแล้วที่ได้มาที่นี่ และก็แทบจะไม่มีเวลาสังเกตอะไรๆ เช่นเดิม เพราะพอเหยียบเข้ามาในห้องได้ ขาเขามันก็หมดแรงเสียตรงนั้น กว่าจะประคองกันมาถึงเตียง จากที่เบลอหน่อยๆ กลายเป็นว่าทั้งปวดหัว ทั้งตาลาย คลื่นไส้จนอยากจะอาเจียน
   
ซานดูจะตกใจกว่าเขาเสียอีก เด็กนั่นวิ่งวุ่นไปรอบห้อง หาผ้าขนหนู หากะละมัง ท่าทางตื่นๆ แบบนั้นทำเอาเขาอดยิ้มขำไม่ได้ สมองเองก็เผลอนึกไปถึงใครอีกคนที่เคยวิ่งวุ่นเพราะเขาแบบนี้
   
แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เพราะถึงแม้ซานจะดูตื่นตูมขนาดนั้น ทว่าท่าทางคล่องแคล่วเหมือนเคยดูแลคนอื่นจนชินนั่นก็ทำเอาเขาสงสัยไม่น้อย สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้ แต่เจ้าตัวกลับเลี่ยงด้วยการบิดน้ำเย็นๆ ใส่เขาเสียนี่
   
ทนหนาวตัวสั่นกึกๆ บนเตียงอยู่นานถึงได้เสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยน หลวมนิดหน่อย แต่ก็พอดีตัวในระดับหนึ่ง เตียงก็ยังนุ่มนิ่มเหมือนเดิม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้สบายใจแปลกๆ
   
“ไหนบอกว่าจะเล่าให้ฟังไง?” คนเด็กกว่าทวงสัญญา ว่าแล้วก็ทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนลงบนเตียงข้างๆ เขา ดวงตาสีเข้มหรี่มองมาอย่างคาดคั้น ท่าทางอยากรู้อยากเห็น เหมือนเจ้าหนูจำไมที่กำลังรอคำตอบจากผู้ใหญ่
   
“นิสัยเสียของพี่น่ะ...” วันสุขพึมพำตอบ
   
“ยังไงครับ?”
   
“พี่ชอบให้คนเข้าหาน่ะ” ว่าแล้วก็เงยมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย คงเพราะไม่ได้เปิดไฟ อาศัยเพียงแค่แสงจากบานหน้าต่าง บรรยากาศก็เลยชวนง่วงเข้าไปอีก “พอมีใครมาทำดีด้วยแล้ว...มันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาน่ะ”
   
“มิน่าล่ะ...ถึงชอบทำตัวแบบนั้นบ่อยๆ ” ซานว่าพลางขมวดคิ้วใส่ หลังมือสวยยกขึ้นมาอังหน้าผากของเขา “พี่ชอบให้คนเข้าหา แต่ชอบสร้างกำแพงกั้นชาวบ้าน ย้อนแย้งกันดีนะครับ” และยังไม่ลืมที่จะเหน็บทิ้งท้ายด้วย
   
“พี่ก็เป็นแบบนั้น อยากเป็นที่รัก... แต่ก็กลัวความรัก” วันสุขหัวเราะเบาๆ พลิกกายเข้าไปหาคนที่นั่งข้างๆ “ตอนที่รู้ว่าปรัชญ์หาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว...มันก็อดเสียดายไม่ได้น่ะ เหมือนทำดอกไม้ในช่อหายไปหนึ่งดอก หายไปง่ายๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เอาไปปักแจกัน”
   
“พูดจาโหดร้ายจริงนะ” ซานว่าเสียงขำ ทำท่าจะก้มมาทำอะไรสักอย่าง แต่ถูกเขาเอามือผลักออกไปเสียก่อน
   
วันสุขไม่อยากให้เด็กนี่ติดหวัดเขาเท่าไหร่ แค่มาดูแลให้ขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่ก็ยังไม่พ้นช่วงสอบ ซานที่ต้องอ่านหนังสือ แล้วยังมีเรื่องเขามาให้วุ่นวายแบบนี้ เขากลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในตัวการให้ผลการเรียนคนคนนี้ตก
   
“ไม่ไปอ่านหนังสือเหรอ? เกรดตกเพราะพี่ ระวังที่บ้านจะดุเอานะครับ” ว่าเสียงดุเพราะความเป็นห่วง ทว่าซานกลับชะงักไปเมื่อเขาจบประโยค
   
“ตกไม่ตก ยังไงเขาก็ไม่สนหรอก” ว่าพลางทิ้งตัวลงนอนข้างเขา วันสุขกระเถิบออกห่าง แต่อีกฝ่ายก็กลิ้งตามเข้ามากอดเอวเขาไว้แน่น
   
“พ่อเหรอ?” เขาถาม จริงๆ แล้วก็แทบจะไมรู้อะไรเกี่ยวกับซานเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจับได้ว่าเด็กคนนี้ดูจะไม่ถูกกับครอบครัวเท่าไหร่...มิน่าล่ะถึงไม่เคยเล่า ไม่เคยแม้แต่จะหลุดออกมาให้ได้ยิน
   
“พ่อตายตั้งนานแล้ว เหลือแต่แม่ ตอนนี้แต่งงานใหม่ แล้วก็อยู่ดูรีสอร์ทที่เชียงราย” ซานพูดงึมงำ ในน้ำเสียงจับความไม่พอใจได้บางส่วน ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยกลุ่มผมนุ่มนิ่มมุดเข้ามาซุกให้เขากอดอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ 
   
“เสียงเราเหมือนไม่ชอบแม่เท่าไหร่นะ” วันสุขว่า ไม่ได้แสดงท่าทีรู้สึกผิดหรือเห็นใจอะไร ซานดูจะไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่างเขาดีใจเสียอีกที่ได้ฟังเรื่องของคนคนนี้มากขึ้น ถึงตอนนี้สติมันจะสะลึมสะลือ ตาใกล้จะปิดเต็มทีแล้วก็เถอะ
   
“ก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ นี่นา พอพ่อตายเขาก็แต่งงานใหม่เลย แล้วก็ส่งผมมาอยู่กับญาติพ่อ” ซานเล่าเหมือนเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ดูจะเป็นเรื่องเศร้าแท้ๆ แต่มุมปากของเจ้าตัวกลับยกยิ้มทันทีที่พูดถึง ‘ญาติ’ ที่ว่านั่น
   
“เล่าเรื่องญาติให้ฟังหน่อยได้ไหม?” วันสุขถามอย่างสงสัยในท่าทีนั่น ใจเองก็แอบลุ้นอยู่หน่อยๆ สมองก็คาดเดาไปเรื่อย แต่ปากกลับหาวหวอด
   
“ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องนิสัยแปลกๆ กับแม่เขาอีกคน ก็สนุกดีครับ ตอนนั้นผมแค่สิบหน่อยๆ เองมั้ง อยู่ไปได้ไม่กี่ปี แม่เขาก็ตาย ก็เหลือแค่พวกเราสองคน เหมือนพี่วันกับอาจารย์” ซานอมยิ้ม ท่าทางเหมือนเด็กๆ ชวนให้เขายิ้มตาม
   
“ผมอยากได้อะไรเขาก็ตามใจทุกอย่าง เงินที่มีใช้อยู่ตอนนี้ก็เงินเขาเหมือนกัน ตอนแรกก็เกรงใจนะ แต่พอฟังเจ้าตัวบ่นบ่อยๆ ว่าไม่มีเวลาใช้เงิน...มารู้ตัวอีกทีผมก็ช่วยใช้เงินแทนไปแล้ว”
   
วันสุขยิ่งได้ฟังก็ต้องหัวเราะขำ ว่าแล้วก็พานนึกไปถึงคุณอา รายนั้นก็เป็นเหมือนที่ซานเล่านี่แหละ ตามใจเขาแทบจะทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ซื้อให้ จนเป็นเขานั่นแหละที่เกรงใจท่านแทน และพอยิ่งเกรงใจเท่าไหร่ ฝ่ายนั้นก็ยิ่งคะยั้นคะยอให้เขารับของที่ตัวเองซื้อมามากเท่านั้น
   
“แล้วเขาส่งเราไปเรียนเปียโนด้วยหรือเปล่า พี่เห็นเราเล่นได้” วันสุขอดถามไม่ได้ ซานมีนิ้วเรียว เรียวแล้วก็สวยกว่านิ้วของเขาเสียอีก ก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเจ้าตัวต้องเล่นเครื่องดนตรีสักอย่าง แต่เปียโนก็ดูเหมาะดี
   
“พ่อสอนผมเล่นน่ะ พอพ่อตาย ผมก็ไม่ได้ไปเรียนกับใคร แต่พอไปอยู่ในบ้านนั้น จู่ๆ วันหนึ่งคนที่รับเลี้ยงเขาก็วิ่งโวยวายเข้ามาหา แบกคีย์บอร์ดไฟฟ้าตัวใหญ่มาให้ตัวหนึ่ง แล้วพอเดือนถัดมา เปียโนหลังเบ้อเริ่มก็มาตั้งอยู่กลางบ้าน”
   
“ดีจังเนอะ...” วันสุขอมยิ้มเล็กๆ แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็เถอะ ความรู้สึกระหว่างพ่อกับลูก หรือแม้แต่คำว่าครอบครัวจริงๆ มันเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ก็ดีแล้ว ไม่ว่าจะคุณอา เวย์ หรือเด็กตรงหน้านี่ด้วย แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับคนอย่างเขาแล้ว
   
“แล้วพ่อกับแม่พี่ล่ะ?” ซานถามกลับ แล้วก็นั่งนิ่งรอคำตอบจากเขาเงียบๆ มือเองก็เกี่ยวเอวเขาแน่นขึ้น ศีรษะทุยที่ซุกอยู่แถวอกเงยขึ้นมาเพื่อแตะริมฝีปากตัวเองกับใต้คางของเขาจนรู้สึกจักจี้
   
“อ้อนให้พี่เล่าหรือไง?” วันสุขปรือตามองแมวตัวใหญ่ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ฟัง วันนี้เด็กนี่น่ารักกว่าทุกวัน ถึงจะมีหลายๆ เรื่องให้น่าสงสัยก็เถอะ
   
“ก็เราสนิทกันแล้ว พี่ก็เลิกเรียกผมว่า น้องซานๆ ไปตั้งนานแล้วด้วย” ยกข้ออ้างมาพร้อมกับจ้องเขาตาแป๋ว
   
“จริงด้วยสินะ เลิกเรียกไปตั้งแต่ตอนไหนนะ?” วันสุขทำท่านึกพลางหาวหวอดใหญ่ ง่วงเกินกว่าจะต่อบทสนทนาได้ สุดท้ายเลยรวบเด็กตัวใหญ่นี่เข้ามากอดแทนหมอนข้างซะเลย ไม่กลัวติดไข้เขาก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์เสียหน่อย
   
“อยากใกล้กันขนาดนี้ เดี๋ยวผมถอดเสื้อให้ก็ได้นะ”
   
“หมอนข้างน่ะเงียบไป พี่จะนอน” ปรือตา พูดเสียงงึมงำ ไม่ได้สนใจท่าทางของอีกฝ่ายที่ดิ้นหนีออกจากการเป็นหมอนข้างของเขาเลยแม้แต่น้อย นึกว่าจะนอนเป็นเพื่อนกันเสียอีก…
   
“พรุ่งนี้ผมมีสอบ พี่ก็นอนไป ผมก็นั่งอ่านบนเตียงนี่แหละ” แมวตัวใหญ่ว่าพลางหรี่ตาอย่างกับรู้ทันว่าเขาจะพูดอะไร
   
วันสุขอมยิ้ม ปิดตาลงอย่างสบายใจ น้ำหนักบนเตียงอีกฝั่งหายไป เสียงประตูดังขึ้นเบาๆ สองครั้ง และไออุ่นๆ ที่หายไปก็กลับมาอีกครั้ง
   
“เรื่องของแม่พี่จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่พี่กับพ่อไม่เคยคุยด้วยกันดีๆ สักครั้ง” พึมพำขึ้นมาทั้งที่หลับตา ภาพฝันเมื่อครั้งนั้นวนเวียนอยู่ในหัวสมองอีกครั้ง
   
“เขาตีพี่ ทำร้ายคุณอา ตอนนั้นพี่ยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง พยายามหลายครั้งอยู่ แต่พอโดนตีมากๆ เข้าก็พานเกลียดเขาไปเลย จำไม่ได้แล้วว่าไปพูดจาร้ายๆ ใส่เขาว่าอะไรบ้าง แต่สาเหตุที่เขาเป็นอย่างนั้นก็เพราะพี่”
   
ยิ่งเล่าเสียงก็ยิ่งขาดๆ หายๆ ไม่กล้าจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็พยายามสูดหายใจลึก เรียบเรียงคำพูดออกมาอย่างช้าๆ
   
“พอทะเลาะกันรุนแรงมากขึ้น สุดท้ายพี่ก็มาอยู่กับคุณอา นานๆ จะเจอเขาสักทีหนึ่ง แต่มันตลกดี...เพราะเขาก็มาหาพี่ทุกวันนั่นแหละ แต่เป็นตอนที่พี่หลับไปแล้ว”
   
“ตุ๊กตา ของเล่น มีอยู่เต็มห้อง คุณอาไม่เคยบอกว่าใครซื้อมาให้ แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเขาก็โผล่หน้ามาพร้อมกับคุณแม่ ยิ้มแย้มเหมือนว่าเรื่องราวที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น เขาชวนพี่ไปเที่ยว ท่าทางมีความสุขจนพี่สงสัย นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราดูเหมือนจะเป็นครอบครัวกันจริงๆ ”
   
“ทำไมเขาถึงดูมีความสุขขนาดนั้น ไม่โมโห ไม่ตีพี่ตอนพี่เผลอพูดอะไรรุนแรงออกไป แต่ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ...กว่าจะมาเข้าใจก็เอาตอนโต จะกลับไปพูดขอโทษกับเขาก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
   
พูดเรื่องนี้ทีไร น้ำตามันพานไหลออกมาทุกที จะเรียกว่าจุดอ่อนไหวของเขาดีหรือเปล่านะ? พอโดนจี้เบาๆ ทำนบมันก็แตกจนหยุดไม่อยู่ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อมีผ้าอุ่นๆ มาซับให้อย่างเบามือ
   
“จำรอยสักที่เอวพี่ได้หรือเปล่า...” รอยสักผีเสื้อสีดำนั่น...
   
“จำได้ครับ”
   
“จำที่พี่บอกได้ใช่ไหมว่าพี่สักมันเอาไว้เพื่อย้ำกับตัวเอง” ดวงตาค่อยๆ ปรือเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ สบเข้ากับลูกแก้วสีนิลพร่างพราวคู่นั้น
   
“...” ซานพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไร นอกจากวางหนังสือลงบนตักแล้วยกมือขึ้นไล้ปลายผมของเขาเบาๆ เท่านั้น
   
“พี่ไว้ย้ำกับตัวเองน่ะ ว่าชีวิตนี้เคยทำให้ใครบ้างต้องตายจากไป”
   
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
   
ซานว่าเสียงหนัก ประกายอ่อนโยนฉาบบนดวงตาคู่นั้น และมันก็ทำให้เขาต้องยิ้ม...ยิ้มอย่างสุขใจ เหมือนคำสัญญาที่เขาอยากจะได้ยินจากใครสักคน ย้ำว่าเรื่องในอดีตมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น ย้ำให้เขาแน่ใจ...ว่าจะไม่ต้องสูญเสียใครไปอีก
   
“บางครั้งเราก็ทำตัวอย่างกับรู้จักพี่มานานแล้วอย่างนั้นล่ะ...” วันสุขอดที่จะเปรยขึ้นมาไม่ได้ ตาสีอ่อนจ้องลึกเข้าไป แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถคว้าคำตอบใดๆ กลับมาได้เช่นเดิม
   
“มันก็ไม่แน่นะ” เด็กคนนั้นยิ้มอ่อนๆ พลางยกนิ้วเรียวขึ้นสางผมให้เขาเบาๆ ไม่มีคำพูดใดต่อจากนั้นอีก นอกจากความเงียบซึ่งนำพาสายสัมพันธ์บางๆ ให้กระหวัดกันแน่นขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
   
วันสุขหลับตาลง ทอดลมหายใจยาว และปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่นิทรา...


   


‘Don’t  you ever wish… you were someone else, you were meant to be…’
   
เสียงเรียกเข้าคุ้นหูดังขึ้นปลุกเขาให้ตื่นในยามดึก วันสุขสะลึมสะลือ มือควานไปทั่วหัวเตียงอย่างเคยชิน แต่นิ้วกลับไปชนเข้ากับผนังไม้เรียบเสียได้ จนสุดท้ายก็ต้องสะดุ้งตื่นเต็มตา และก็เพิ่งมานึกได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา
   
“อือ...” เสียงงึมงำจากคนข้างตัวดังขึ้น ไฟหัวเตียงยังคงเปิดไว้ แต่หรี่จนเกือบสุด หนังสือกับชีทหล่นกระจายเต็มพื้น ส่วนคนที่บอกว่าจะอ่านกลับลงมานอนเบียดอยู่ข้างๆ เขาแทน
   
ถึงไข้จะลงไปมากแล้ว แต่สมองก็ยังคงมึนงงอยู่ดี ทิ้งขาลุกขึ้นจากเตียง เดินเซไปเซมาหาที่มาของเสียง ก่อนจะไปเจอโทรศัพท์ของตนวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างห้องน้ำ พอเจอเป้าหมายก็รีบคว้าขึ้นมา กดรับสายกรอกเสียงพลางเดินกลับมานอนที่เดิม
   
“สวัสดีครับ...” งึมงำทั้งที่ยังปิดตา
   
“นอนเร็วกว่าที่คิดนะ” เสียงหวานๆ ตอบกลับมาทำเอาเขาเปิดตาพรึบ ร่างกายชาวาบไปชั่วขณะ
   
“ลูกหว้า?” พึมพำชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆ และตอนนั้นเองที่เด็กซึ่งนอนหลับอยู่ข้างๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาจ้องเขาด้วยแววนิ่งๆ ซึ่งท่าทีนั่นไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่นเลยแม้แต่น้อย
   
“ท่าทางยังจะสบายดีอยู่นะ” เธอว่า น้ำเสียงมีแววแปลกใจฉายชัด ชั่วแวบหนึ่งก็คล้ายกับว่ากำลังดีใจที่ได้คุย “ลูกหว้ามาหาวันกับคุณอาที่บ้าน แต่ไม่มีใครอยู่เลยสักคน พร้อมใจกันหนีหน้าดีนะ”
   
“พี่วัน...ใครเหรอ?” ซานถามเสียงไม่เบานัก และก็เหมือนว่ามันจะเล็ดรอดเข้าไปจนปลายสายได้ยิน ซึ่งก็นำพาเสียงหัวเราะใสๆ ให้ลอยตอบกลับมา
   
“มิน่าล่ะถึงไม่อยู่บ้าน” ประโยคลอยๆ ดังแผ่ว น้ำเสียงใสๆ เปลี่ยนโทนไปจนเขาตามแทบไม่ทัน
   
“มีธุระอะไรถึงโทรมา” วันสุขถามเข้าประเด็น เพราะยิ่งได้ยินน้ำเสียงแบบนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าจะหายใจไม่ออก ซานซึ่งนอนอยู่ข้างๆ เองก็เบียดตัวเข้ามาใกล้อีก ท่าทางจะอยากฟังเหลือเกินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
   
“แค่อยากโทรน่ะ... อุตส่าห์โผล่ไปเจอแล้วแท้ๆ ลูกหว้าก็รอโทรศัพท์จากวันตั้งนาน สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายโทรมาหาเองจนได้...” เธอว่าเรื่อยๆ เสียงหวานๆ พูดเหมือนว่ากำลังชวนคุยกันปกติ ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำกระซิบที่เขาเดาไม่ออกว่านั่นแค่คิดจะแหย่เล่นหรืออะไร “...ไม่รักกันแล้วใช่ไหม?”
   
“ก็ยังเหมือนเดิม” วันสุขตอบ ทว่าความหนักแน่นในน้ำเสียงนั้นกลับเบาหวิว...จะไปเหมือนเดิมได้อย่างไร เพราะเมื่อ ‘วันนั้น’ ผันผ่านไป สิ่งต่างๆ ที่กอปรขึ้นมามันก็พังครืนลงมาง่ายๆ จนเขายังตกใจตัวเอง
   
ความเจ็บปวดจากการจากไปของคนคนนั้นมันมากพอที่จะลบทุกสิ่งทุกอย่าง มากพอที่จะฉุดกระชากให้เขาตกลงไปในวังวนสีดำ ทว่าเขาเองก็ยังคงรักเธออยู่ แต่ความรักนั้นมันก็เปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง คงเพราะเคยถลำลึกมาก่อน เยื่อใยที่แทบจะตัดไม่ขาดนั่นก็ยังคงฝากร่องรอยเอาไว้...เป็นความเคยชิน
   
“ไม่หนักแน่นเลยนะ...ต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ ” เสียงหวานใสแผ่วเบาลงคล้ายกับคนที่กำลังจะกลั้นก้อนสะอื้น ภาพของเด็กสาวตัวเล็กๆ ในอดีตฉายวาบขึ้นมาในหัวสมองของเขาอีกครั้ง และเธอคนนั้นก็มักจะร้องไห้เพราะเรื่องของ ‘พี่ดิน’ อยู่บ่อยครั้ง
   
“ขอถามอีกสักครั้งได้ไหม...ทำไมถึงกลับมา?” วันสุขพูดเสียงเรียบ มือเองก็ยกขึ้นลูบหลังศีรษะของซานเบาๆ เพียงเพื่อหวังว่ามันจะลดทอนความเย็นยะเยือกจากดวงตาอีกฝ่ายได้บ้าง
   
“กลับมาสะสางทุกอย่างให้มันจบ”
   
“ว่าไงนะ? อะ...ซาน!” เขาถามเสียงเครียด ก่อนจะต้องอุทานเสียงหลงเมื่อคนที่นอนนิ่งมาตลอดกระชากโทรศัพท์ออกไปจากมือของเขาเสียอย่างนั้น แถมเกยตัวขึ้นมาทับจนเขาแย่งคืนมาไม่ได้ หูเองก็แว่วเสียงโวยวายของคนเคยสนิทซึ่งดังลั่นพอที่จะลอดลำโพงออกมา
   
“หายไปซะ...”
   
ประโยคนั่นจากคนข้างบนทำเอาลืมดิ้นไปชั่วขณะ พอซานพูดเสร็จก็กดตัดสายทิ้ง พลางโยนโทรศัพท์ของเขาไปที่เก้าอี้เบาะเล็กๆ มุมห้องอย่างแม่นยำ
   
“พี่ยังพูดกับเธอไม่จบ...อึก” วันสุขโวยวายเบาๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมากัดเนื้อคอของเขาอย่างไม่ทันจะได้ตั้งตัว สัมผัสเจ็บจี๊ดทำเอาต้องขมวดคิ้ว เล็บจิกไหล่อีกคนแน่น “เจ็บ...พี่ไม่สบายอยู่นะ” พลางพูดเรียกสติอีกฝ่าย และซานก็ยอมปล่อยเขาแต่โดยดี...
   
“คนนั้นใคร?” แต่กลายเป็นว่าวกกลับมาถามเขาเสียงเข้มแทนเสียนี่
   
“อดีตเพื่อนสนิทพี่ แล้วก็เป็น...คนรักเก่าของเจ้าของแหวนนี่...” วันสุขชูแหวนให้อีกฝ่ายดูอีกครั้ง
   
“พี่ไปแย่งแฟนเธอมา?” ซานเลิกคิ้วถาม ท่าทางเหมือนจะปักใจเชื่อไปแล้ว ทำเอาเขาหงุดหงิดไม่ได้
   
“เปล่า...ไม่ใช่” พอนึกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาในอดีต ความเจ็บปวดบางๆ ก็พุ่งเข้ามาจนเจ็บแปลบ มุมปากเองก็เผลอยกยิ้มเหยียดให้ตัวเองไม่ได้...
   
“เธอมาแย่งแฟนเก่าพี่?” ซานเริ่มเดาอีกครั้ง เด็กนั่นกลับไปทิ้งตัวลงนอนข้างเขาอย่างเดิมอีกครั้ง แถมยังกวาดหนังสือที่วางไว้บนเตียงลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ
   
“นั่นก็ไม่ใช่อีก”
   
“แล้วตกลงมันยังไง?” ท่าทางคนอยากรู้คำตอบจะเริ่มหงุดหงิดเสียแล้ว
   
“มันค่อนข้าง...จะซับซ้อนน่ะ...” วันสุขพูดเสียงแผ่ว เขาไม่พร้อมจริงๆ นั่นแหละที่จะเรียบเรียงมันออกมาเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฟังได้อย่างละเอียด เพราะเพียงแค่นึกถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา หัวใจมันก็บีบรัดเข้าหากันจนปวดไปหมด
   
“ถ้ายังไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไรครับ” ซานว่าเสียงอ่อนเหมือนจะจับความรู้สึกเขาได้ ท่าทางดูจะเย็นลงมากแล้ว “แต่ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?” ทว่าก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนเดิม
   
“ครับ?”
   
“พี่ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเธอแล้วใช่ไหม” หน้าตาจริงจังจนเขาหลุดหัวเราะ จากที่เครียดอยู่ทำเอาผ่อนคลายไปได้เยอะเลยทีเดียว... และนี่ก็คงเป็นด้านหนึ่งกระมังที่เขาชอบเกี่ยวกับเด็กคนนี้...
   
“เมื่อก่อนน่ะใช่...แต่ตอนนี้ไม่มีวันจะกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีกแล้วล่ะ” ริมฝีปากสีส้มสวยแย้มยิ้ม
   
“ทำไม?”
   
“ก็ตั้งแต่วันที่พี่ทำให้คนคนนั้นตาย...ความสัมพันธ์ของพวกเราก็พังลงตั้งแต่วันนั้น” วันสุขเล่าเสียงเรียบ ทว่ามือกลับกำแน่นจนสั่นกึก ลมหายใจติดขัดจนต้องสูดลึกเพื่อเรียกสติ
   
“หมายความว่ายังไง?” ซานถาม ทำเอาเขาต้องนึกย้อนไปถึงตอนนั้นอย่างช่วยไม่ได้
   
“เราสามคนสนิทกัน... แต่จู่ๆ พวกเขาคบกัน...” ภาพของอดีตหวนกลับมาเป็นฉากๆ วันนี้มันหนักหนาสำหรับเขาจริงๆ ทว่าวันสุขเองก็รวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย เพื่อพูดออกมาจนจบประโยคในที่สุด “แต่เขารักพี่... พี่รักพวกเขา...ทั้งรักแล้วก็เกลียดมากๆ ในเวลาเดียวกัน” ถึงมันจะดูน่าตลกที่สามารถบอกได้ว่าใครที่มารักตัวเอง แต่เขาก็พูดออกไปได้อย่างเต็มปาก แน่ใจจนไม่มีแม้แต่ความลังเล…
   
“พวกเรา...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่กระชากลากถูความสัมพันธ์บ้าๆ นั่นมาได้จนถึงวันนั้น แต่สุดท้ายมันก็พังลง...เละแหลก เหมือนแก้วที่แตกละเอียดนั่นแหละ”
   
“...” ซานนิ่งเงียบยามที่เขาซุกตัวเข้าหา ยามที่กายมันสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัวที่เข้ามากอบกุมทุกขณะจิต เพราะไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ไม่เคยจางหายไป
   
“ ‘หายไปซะ’ พี่เคยอยากจะพูดกับเขาแบบนั้น แต่ถึงมันจะเป็นแค่ความคิด แต่เขาก็ดันหายไปจริงๆ ”

   
“...หายไปจากโลกใบนี้จริงๆ ”



To be continued...


ตอนนี้ค่อนข้างรวบรัดเอาเรื่องเลยทีเดียว  :katai4:
ส่วนในพาร์ทอดีตของวัน ถ้าจะให้เขียนแบบลงลึก คาดว่าจะได้นิยายอีกเรื่องออกมาเลยล่ะมั้ง แต่คงเป็นแนวอย่างอื่นแทน (หัวเราะ)
เรื่องดำเนินมาถึงตอนที่ 10 แล้ว อีกประมาณ 4-5 ตอนก็จะจบ ซึ่งจะมีตอนพิเศษอีก 2 ตอน
เรื่องนี้ไม่ยาวเท่าไหร่ถ้าเทียบกับ ไกลกว่ารัก อันนั้นค่อนข้างยาว เลยยัดรายละเอียดได้เยอะ

แต่ยังไงก็ขอให้รักพี่วันไปนานๆ นะ แล้วเจอกันตอนหน้า
 :กอด1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อ๊ากกก อยากรู้  ทำไมพี่ดินถึงตายยยย  :katai1:

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 11 - ปกปิด เปิดเผย

   

วันสุดท้ายของการส่งคะแนนใกล้ถึงไวกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก งานก็มาก คุณอาเองก็วุ่นๆ เรื่องนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย เขาที่ต้องตรวจสอบความถูกต้องของคะแนน ทั้งกรอกสารพันตัวเลขลงช่อง ทั้งค้นการบ้านเก่าๆ ขึ้นมาดู ทั้งยังต้องรองานจากบางคนที่ไม่ยอมมาส่งเสียอีก
   
ห้องพักที่ปกติไม่ค่อยได้มีใครเข้ามาเยี่ยมเยียน เป็นได้ต้อนรับแขกมากหน้าหลายตา เข้ามาส่งงานบ้าง เข้ามาถามเกี่ยวกับข้อสอบบ้าง บางคนถึงขั้นมานั่งร้องไห้เพราะอยากได้เกรดสวยๆ เลยก็มี
   
“ให้หนูผ่านเถอะค่ะ... นี่ปีสุดท้ายแล้ว...หนู หนูอยากจบพร้อมเพื่อน”
   
เสียงสะอึกสะอื้นทำเอาวันสุขต้องส่งทิชชูไปให้อีกฝ่าย กล่องที่เพิ่งเปิดเมื่อเช้าก็หมดไปตั้งแต่บ่ายแล้ว นี่ก็กล่องที่สองของวัน เขาลองมองดูคร่าวๆ ถ้าเด็กตรงหน้ายังร้องไม่หยุด คงได้ไปเอากล่องที่สามมาเปิด
   
“แล้วทำไมถึงไม่มาเรียนล่ะครับ คะแนนเข้าห้องเราไม่มีเลย ถ้ามีส่วนนี้เราก็จะผ่านแล้วแท้ๆ ” วันสุขพูดเสียงนุ่ม พลางส่งใบคะแนนให้กับอีกฝ่าย และเพราะการกระทำนั่นยิ่งทำให้เสียงสะอื้นกลายเป็นเสียงร้องโฮในที่สุด
   
ดวงตาสีอ่อนได้แต่มองเด็กตรงหน้าอย่างรู้สึกสงสารแทน เขาจำไม่ได้ว่าคุณอามีการประกาศคะแนนสอบไฟนอลเสียหน่อย แต่พอใกล้ช่วงส่งคะแนนทีไร มักจะมีพวกที่รู้ตัวเองโผล่หน้ามาหาประจำ
   
“เอาว่าพี่จะรับเรื่องไว้แล้วกันครับ ยังไงก็ต้องให้คุณอาพี่เขาตัดสินใจ พี่ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”
   
“ช่วยไม่ได้จริงๆ เหรอคะ? อย่างน้อยช่วยพูดให้หนูหน่อยก็ได้” สาวเจ้าเริ่มเรียกร้อง น้ำตาคลอทำเอาเครื่องสำอางเปรอะเต็มหน้าไปหมด
   
“ไม่ได้จริงๆ ครับ” เสียงนุ่มว่า ริมฝีปากสีส้มสวยยกยิ้มอ่อนโยน สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก รอให้เสียงร้องไห้ค่อยๆ เงียบหายไป
   
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณจริงๆ ค่ะที่ช่วยรับเรื่องไว้ สวัสดีค่ะพี่วัน” ใบหน้าหงอยๆ ทำเอาเขารู้สึกแย่ไปด้วย แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็นแค่ลูกจ้างมาตรวจงานเฉยๆ พวกตัดเกรดอะไรนั่น สุดท้ายอำนาจก็อยู่ที่คุณอาอยู่ดี...ซึ่งหลังจากที่เห็นมาหลายปี ส่วนมากท่านก็ไม่ค่อยจะปรานีเด็กๆ เท่าไหร่นัก...ถึงท่าทางจะดูใจดีก็เถอะ
   
วันสุขถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งตัวลงนอนกับโซฟากลางห้อง ฟ้าด้านนอกเริ่มเป็นสีส้มแล้ว และอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็คงตกดิน ดวงตาสีอ่อนเหลือบไปมองกองกระดาษคะแนนเก็บของเด็กๆ ที่คุณอาสอน แล้วจู่ๆ ก็หมดแรงเอาเสียดื้อๆ
   
ก๊อก ก๊อก
   
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำเอาเขาผงกหัวขึ้นมาจากโซฟา หูแว่วยินเสียงขออนุญาตคุ้นเคยก็ล้มลงไปฟุบหมดแรงต่อที่เดิม
   
“สวัสดีครับพี่วัน... อ้าวเป็นอะไรครับนั่น” ปรัชญ์กล่าวทักทาย ร่างกายสูงใหญ่อย่างคนที่ทำงานตลอดเวลาแบกปึกสมุดเล่มเล็กๆ มาด้วย ยิ่งเห็นแบบนั้น วันสุขก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยมากเข้าไปอีก
   
“วางสมุดไว้บนโต๊ะเลยครับ...” งานสมุดจดที่จะเอามาช่วยอัพคะแนนให้เหล่าเด็กๆ ทั้งหลายถูกส่งมาครบแล้ว... แค่คิดว่าตัวเองต้องมานั่งอ่านว่าเจ้าพวกนี้เขียนอะไรลงไปบ้าง เขาก็ปวดหัวตุบๆ
   
“ท่าทางพี่วันดูเหนื่อยๆ ” หนุ่มร้านต้นไม้ช่างสังเกต ตาคมๆ มองมาอย่างเห็นห่วง ท่าทางอยากจะเข้ามาสำรวจ แต่ก็ดูเกรงอกเกรงใจจนเขานึกขำแทน
   
“นั่งอ่านตัวเลขทั้งวันจนตาลายน่ะ แต่พอรู้ว่าต้องมานั่งอ่านลายมือในกองสมุดจดนั่นพี่ยิ่งเหนื่อย” วันสุขโอดครวญ ซุกหน้าลงกับหมอนอิง แล้วก็นอนนิ่งอยู่แบบนั้น ปล่อยให้อีกคนยืนคว้างตามประสา
   
“เอ่อ...ถ้ามีอะไรให้ผมช่วย...” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ
   
“มีครับ ช่วยพี่ตรวจสมุดหน่อย ให้คะแนนตามเกณฑ์นี้เลย” วันสุขดีดตัวผึงขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว มือเองก็จัดแจงแบ่งส่วนสมุดจดไปให้เด็กตรงหน้าพร้อมเกณฑ์คะแนนที่คุณอาลิสต์เอาไว้
   
“อ่าครับ” เสียงทุ้มรับคำ แล้วก็หยิบสมุดขึ้นมาเปิดอ่านไปพลาง ขมวดคิ้วไปพลาง มีบ้างที่เงยหน้าขึ้นมาถามจุดที่สงสัยกับเขาเป็นบางครั้ง
   
วันสุขเลือกที่จะทิ้งตัวนอนอยู่ที่เดิม เขาอยากจะพักสายตาสักครึ่งชั่วโมง ขอให้ร่างกายได้ผ่อนคลายบ้าง แล้วจะลุกขึ้นมาทำงานต่อ ถึงมันจะดูน่าเกลียดก็เถอะ และโดยส่วนใหญ่เขาก็ไม่เคยทำแบบนี้ แต่มันเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยกับหลายๆ อย่างจนเรี่ยวแรงมันแทบไม่เหลือ
   
“เมื่อกี้ผมเห็นซานอยู่แถวๆ สระว่ายน้ำ เขาไม่ได้มาช่วยพี่ทำงานเหรอครับ?” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
   
เขาปรือตามองหน้าคนถาม พอเห็นว่าอีกฝ่ายแค่ถามเพราะอยากชวนคุยเท่านั้นก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้... ก็นึกว่าจะทำหน้าทำตาเหมือนคนเศร้าใจเสียอีก แค่ผ่านไปเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนความรู้สึกไปได้ง่ายๆ ...ปรัชญ์นี่เก่งจริงๆ ผิดกับเขาลิบลับ
   
“มาช่วยป่วนจะถูกกว่า พี่เลยไล่ให้ไปทำอย่างอื่นรอแทน” พูดไปแล้วก็นึกถึงภาพหน้ายู่ๆ ของบุคคลที่สาม ว่าแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ “นอกจากร้องเงี้ยวง้าวกับชอบทำให้เป็นห่วงบ่อยๆ ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” พูดเข้าไปนั่น...อย่างกับว่าตัวเองกำลังเล่านิสัยแมวที่เลี้ยงไว้อย่างนั้น
   
“แต่ผมว่า...ซานน่ะเก่งดีนะครับ”
   
“หือ?” คำชมนั่นทำเอาเขานึกสงสัย
   
“เขาจัดการปัญหาเก่งดีน่ะครับ แล้วก็อีกหลายๆ เรื่อง ผมเองยังเทียบไม่ติดเลย” ปรัชญ์เล่า ในน้ำเสียงมีแววอิจฉาอยู่ลึกๆ ชั่วแวบหนึ่งที่คนตรงหน้าสบตาเข้ากับเขา และเด็กนั่นก็เลือกที่จะเสหลบไป
   
“พี่นึกว่าน้องปรัชญ์จะไม่ชอบเขาเสียอีก” วันสุขพูดเสียงฉงน แต่สายตากลับหรี่มองจำเลยที่เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก
   
“พอดีช่วงนี้มีเรื่องที่พวกผมต้องรับผิดชอบร่วมกันน่ะครับ”
   
“รับผิดชอบร่วมกัน?”
   
“ง...งานวิชาอื่นน่ะครับ!”
   
วันสุขพยักหน้ารับ อือออไปกับท่าทีของอีกฝ่าย ปรัชญ์โกหกไม่เก่งจริงๆ นั่นแหละ มันคงมีเรื่องอะไรสักอย่างที่เจ้าเด็กพวกนั้นไม่ยอมบอกเขา ไม่รู้หรอกนะว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ที่ทำได้ก็คงมีแค่รอ รอต่อไปเรื่อยๆ จนอีกฝ่ายยอมเล่านั่นแหละ...
   
ก็ได้แต่หวังลึกๆ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น...จะไม่มีลูกหว้าเข้ามาเกี่ยวข้อง


   


กว่าจะเคลียร์เอกสารเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบทุ่ม วันสุขทิ้งตัวนอนแผ่อยู่บนโซฟาอย่างหมดแรง ปรัชญ์ที่มาช่วยงานก็กลับไปตั้งนานแล้วเพราะติดธุระที่บ้าน ส่วนกองสมุดจดก็ลดไปเกือบครึ่ง
   
“พรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พึมพำบอกกับตัวเองเบาๆ แล้วยกมือขึ้นนวดขมับ คงเพราะเครียดมากไป อาการปวดหัวมันถึงได้กลับมาเล่นงานอีกระลอก
   
โทรศัพท์ซึ่งวางไว้บนปึกเอกสารสั่นครืดเตือนว่ามีข้อความเข้า เขาถอนหายใจเฮือก ภาวนาลึกๆ ว่าคงไม่ใช่คุณอาส่งมาสั่งงานเพิ่ม
   
‘ว่ายน้ำอยู่ที่สระ เสร็จแล้วมาหาด้วย’
   
แต่พอเห็นข้อความว่าเป็นของใคร ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
   
วันสุขลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ บิดกายไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสาย สูดหายใจลึกเรียกสติ เขาไม่อยากพึ่งยาแก้ปวดมากเท่าไหร่ พักนี้ก็พยายามจะห่างจากยานอนหลับเท่าที่จะทำได้ และเขาคงต้องหาเวลาว่างเพื่อไปพบกับเพื่อนสนิทตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ สักครั้ง
   
พอไปเจอหน้ากันแล้วจะบอกกับเพื่อนอย่างไรดีกับสภาพที่เป็นอยู่ แต่ก่อนอื่นคงไม่พ้นโดนสวดจนหูชา... คิดพลางก็คว้ากุญแจห้องติดมือออกมาด้วย ก่อนจะไล่ปิดไฟทีละดวงจนหมด บิดกลอนเปิดประตูออกไปด้านนอก สายตาสอดส่อง...อย่างกับกลัวว่าจะมีลูกหว้าโผล่ออกมาทักทายเขาจนไม่ทันได้ตั้งตัว
   
...อย่างกับพวกวิตกจริตแน่ะ... วันสุขคิดขำๆ กับตัวเอง ก็โถงทางเดินตึกเก่าๆ ยามค่ำนั้นน่ากลัวไม่น้อย เปลี่ยวเงียบสงบ ถ้าจู่ๆ จะมีคนพุ่งเข้ามาต่อยเขาจนสลบแล้วลากไปเรียกค่าไถ่ ก็คงทำได้ง่ายๆ และโจ่งแจ้งได้อย่างสุดๆ
   
“อ้าววัน เพิ่งกลับเหรอ ขยันนะเนี่ย” เสียงทักทายดังขึ้นทำเอาเขาเกือบสะดุด วันสุขหันขวับไปมองผู้มาใหม่ พอพบว่าเป็นอาจารย์คุ้นหน้าคนหนึ่งก็ก้มศีรษะทักทายอย่างที่ชอบทำ
   
“เพิ่งกลับครับ แล้วอาจารย์ล่ะ?” ถามกลับไปตามมารยาท คนตรงหน้าหัวเราะเล็กน้อย แล้วก็บอกกับเขาว่าเจ้าตัวลืมเอกสารเอาไว้ เล่าไปได้สักพัก ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
   
“จริงสิ ยามบอกผมมาว่าที่หน้าตึกมีคนท่าทางแปลกๆ ชอบมายืนท่อมๆ แถวนี้ได้สักพักแล้ว วันเดินไปตรงทางเชื่อมแล้วไปออกอีกตึกหนึ่งน่าจะปลอดภัยกว่านะ ผมก็เดินมาจากอีกตึกเหมือนกัน”
   
“คนท่าทางแปลกๆ เหรอครับ? แปลกนี่...แปลกยังไง?” วันสุขเอียงคอถามสีหน้าฉงน แต่หัวใจข้างในเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ไอเย็นวาบแผ่ซ่านขึ้นมาจากปลายเท้า แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
   
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า” จบประโยคก็กล่าวลากันเล็กน้อย
   
เขามองตามอีกฝ่ายที่เดินลับหายไป สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นบน ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก ทางเชื่อมยังเปิดอยู่ และถ้าเดินผ่านทางนั้น เขาเองก็จะใช้ตรงนั้นนั่นแหละมองลงมาว่า คนท่าทางแปลกๆ นั่นเป็นยังไง
   
เดินมาไม่นานก็ถึงทางเชื่อมตึกที่ว่า วันสุขชะโงกหน้าออกไป สายตาพยายามสอดส่อง แต่สุดท้ายก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมอะไรสักอย่าง เขาถอนหายใจเฮือก รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ขาเองก็ซอยถี่เพื่อที่จะได้ออกไปจากแถวนี้ไวๆ ซานก็ส่งข้อความมาเร่งจนโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นครืดๆ แจ้งเตือนตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะหยิบขึ้นมาดู
   
ลงมาจากอีกตึกได้ก็เดินลิ่วๆ ตรงไปยังสระว่ายน้ำกลางของมหาวิทยาลัยแทบจะในทันที และคงเพราะรีบร้อนจนเกินไป ถึงไม่ได้สังเกตอะไรๆ รอบตัว...
   
“กลับดึกจังนะวัน”
   
“!!”
   
วันสุขสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงหวานคุ้นเคย รอบข้างมืดสลัว มีเพียงแค่โคมไฟเรี่ยพื้นสีส้มอ่อนช่วยให้ความสว่าง เงาคนทึมๆ ซ่อนอยู่หลังมุมพุ่มไม้ ท่าทางไม่ต่างจากฉากสยองขวัญในหนังเท่าไหร่นัก
   
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น นึกว่าพี่ดินมาหลอกเหรอ?” เสียงหวานๆ ยังคงดังต่อไป แต่คนพูดไม่มีทีท่าว่าจะยอมออกมาจากเงามืดเลยแม้แต่น้อย
   
วันสุขยืนนิ่ง หรี่ตามองท่าทีประหลาดที่เขารู้สึกได้จากผู้หญิงคนนั้น สุดท้ายก็เบือนหน้าหนี ไม่มีอะไรให้คุยหรือเสวนาอีก ทว่าทันทีที่เท้าทำท่าจะก้าวเดินต่อ ขาจำต้องหยุดชะงักเพราะคำพูดของใครอีกคน
   
“เด็กที่ว่ายน้ำอยู่ในสระนั่น...แฟนใหม่เหรอ? หน้าตาดีจนน่ากลัวเลยนะ...ลูกหว้าอิจฉาแทนพี่ดินจริงๆ ”
   
“คิดจะทำอะไรเขา?” วันสุขแค่นเสียงถาม เพลิงร้อนๆ มันเริ่มจะลุกปะทุอยู่ข้างใน ทั้งห่วงซาน แต่ความโกรธนั้นมีมากกว่า แค่สมองคิดไปว่าผู้หญิงตรงหน้านี่จะทำอะไรกับเจ้าแมวตัวใหญ่นั่น...ต่อให้เป็นลูกหว้าก็เถอะ...
   
“มาคบกับวันแบบนี้ อีกเดี๋ยวเดียวคงได้กลายเป็นแบบพี่ดิน” ชื่อของบุคคลซึ่งล่วงลับไปแล้วถูกเอ่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจะตอกย้ำ และมันก็ได้ผล... เพราะทันทีที่เขาได้ยินประโยคนั่น เพลิงในใจมันก็ดับวูบลงเหมือนถูกน้ำเย็นสาดโครมใหญ่
   
ชั่วแวบหนึ่ง...ภาพสีแดงสดกับเสียงน้ำไหลผุดวาบเข้ามาราวกับมายาที่ชวนตระหนก วันสุขกำหมัดแน่น สะบัดศีรษะเรียกสติ ดวงตาสีอ่อนซึ่งฉาบแววเจ็บปวดเบาบางจับจ้องไปยังหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ในเงามืดนั่น
   
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ประโยคสัญญาที่ซานเคยพูดไว้ถูกเอ่ยออกไป...แม้จะไม่ได้หนักแน่นอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ทำเอาคนตรงหน้าเงียบไปได้ครู่หนึ่ง
   
“วันจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
   
“เขาต่างจากพี่ดิน” วันสุขพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ...  ต่างหรือ? เขาเองก็ยังไม่เคยคิดไปถึงตรงนั้น ที่ว่าต่าง ต่างกันที่ตรงไหนล่ะ?
   
“เขาไม่ได้ต่าง...พวกเขาไม่ได้ต่างกันเลยวัน” เสียงหวานๆ นั่นแผ่วลง
   
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา วันสุขชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้ากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ความอึดอัดทำให้รู้สึกแย่ ไม่ต่างจากเหตุการณ์เดิมๆ ซึ่งเคยเกิดขึ้น วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ลูกหว้าที่กำลังร้องไห้ และเขาที่ได้แต่ยืนมองอย่างนิ่งเงียบ
   
“ขอถามอีกสักครั้งได้ไหม... ลูกหว้ากลับมาที่นี่ทำไม” คำถามเดิมๆ ถูกเอ่ยออกไปอีกครั้ง ความสับสนกำลังเข้ามาเกาะกุมจิตใจ พอๆ กับความกลัวไร้ที่มาซึ่งชวนให้ร้อนรนเหลือเกิน
   
“กลับมาสะสางให้ทุกอย่างมันจบ” เธอพูดเสียงเรียบ
   
“ขอความจริงได้ไหม” วันสุขสวนกลับไปทันที สายตาเองก็เห็นเงาดำๆ นั่นขยับไหวเล็กน้อย
   
“แค่อยากกลับมาหาคำตอบให้ตัวเองน่ะ...” เสียงหวานพึมพำจนเขาแทบไม่ได้ยิน
   
“เรื่องพี่ดินเหรอ?” วันสุขถามออกไป มือกำแน่น หัวใจเต้นรัว และแทบจะหยุดลง เมื่อใครอีกคนบอกคำตอบที่เขาหวาดกลัวจับจิตออกมา...
   
“เรื่องของวันต่างหาก”
   
“หมายความว่ายังไง” เขาย้อนถามเสียงแผ่ว ทั้งที่มีคำตอบในใจ และจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ
   
“ลูกหว้านึกว่าพี่ดินจะบอกวันเรื่องนี้แล้วเสียอีก...” เธอเกริ่นขึ้นมาเสียงเครือ ท่าทางคล้ายกับคนใกล้ร้องไห้เต็มที “พวกเราน่ะ...ไม่ได้คบกันเพราะรักกันหรอกนะ” และประโยคนั้นเองที่ทำเอาเขาต้องนิ่งงัน...
   
ก้อนแข็งๆ ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ความอึดอัดแผ่ซ่านจนแทบจะหายใจไม่ออก อารมณ์ตีรวนอยู่ภายใน หงุดหงิด โศกเศร้า ร้อนรน สับสน และเจ็บ... เจ็บอย่างกับว่ามีใครเอามีดเล่มคมๆ เสียบลงมาที่กลางอก
   
วันสุขก้มหน้าลงต่ำ ดวงตาสีอ่อนมองไปที่ปลายเท้าของตัวเอง ไหล่ของเขามันกำลังสั่นเทิ้ม และหยาดน้ำใสที่กลั่นออกมาจากความวุ่นวายภายในก็ใกล้จะหลั่งรินออกมา... ริมฝีปากส้มสวยเปิดเผยอ น้ำเสียงขาดๆ หายๆ ดังแผ่วอย่างคนหมดแรง
   
“รู้แล้วล่ะ...เรื่องนั้นน่ะ...วันรู้มาตั้งนานแล้วล่ะ...”
   
และเพราะแบบนั้น... ถึงจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
   
สุดท้ายเขาก็ไม่เคยวิ่งหนีความจริงพ้นสักที



(มีต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage


อย่างกับคนถูกถอดสติ เหมือนหุ่นยนต์ที่ดูจะไม่สมประกอบนัก เพราะเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ...ว่าเดินหมดเรี่ยวหมดแรงจนมาถึงสระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัยได้อย่างไร
   
สมองมันยังคงอื้ออึง ความเป็นจริงที่พยายามหนีมานานถูกฟาดเข้ามาไม่ต่างจากคนที่ถูกตบหน้า บทสนทนาระหว่างเขากับลูกหว้าจบลงอยู่แค่นั้น เพราะไม่นานนัก รถยนต์หรูก็เข้ามาจอดเทียบท่าด้านหลัง...
   
ร่างเล็กๆ ในเงามืดพุ่งพรวดออกมา เนื้อตัวบอบบาง และใบหน้าสวยสดไม่ได้มีเค้าอะไรต่างจากเดิม ผิดก็แต่ดวงตาแดงช้ำอย่างกับคนที่ผ่านการร้องไห้หนักมาหมาดๆ และตอนนั้นเองที่ความรู้สึกผิดหนักๆ ก็เทโครมลงมาใส่เขาจนแทบจะยืนไม่อยู่
   
ลืมไปได้อย่างไรว่าคนคนนี้นิสัยก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะมัวแต่ระแวงไม่เข้าเรื่อง... สุดท้ายแทนที่จะได้คุยกันดีๆ ก็กลายเป็นต่างคนต่างเจ็บไม่ต่างจากเมื่อก่อน และจะให้มานึกดูดีๆ แล้ว ตั้งแต่วันที่คนคนนั้นจากโลกนี้ไป...เป็นเขาเองแท้ๆ ที่เริ่มหันหลังให้ทุกคน
   
“อึก” อาการปวดหัวกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ขาอ่อนแรงจนเซไปพิงกำแพง เสียงวี้ๆ ดังอยู่ในหู ทั้งมึน ทั้งคลื่นไส้จนยืนแทบไม่อยู่ และพอพักสูดหายใจลึกๆ อาการก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางดังเก่า
   
เสียงของน้ำดังก้องเข้ามาในหู หลังจากถอดรองเท้าเก็บใส่ตู้พลางเดินผ่านบันไดทรายล้างขึ้นมา แสงของสปอร์ตไลท์สว่างจ้าจนต้องหรี่ตาลง เสียงของใครสักคนกระโจนลงน้ำดังขึ้นมาอีกครั้ง... ซานนั่นเอง
   
สระกว้างขนาดมาตรฐานมีคนจับจองอยู่เพียงหนึ่ง ร่างกายได้สัดส่วนสวยนั่นดำผุดดำว่าย ท่าทางคล้ายคนที่กำลังเล่นสนุกมากกว่าจะว่ายจริงๆ จังๆ ผิวขาวอย่างคนสุขภาพดีอาบด้วยหยดน้ำใสๆ ซึ่งสะท้อนวิบวับกับไฟจ้าแยงตา
   
“มาว่ายที่นี่บ่อยเหรอ?” วันสุขเอ่ยถาม เมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นเขาก็ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ ในระหว่างที่รอ เขาก็พับขากางเกงขึ้นพลางนั่งหย่อนขาลงกับน้ำเย็นเฉียบ “ไม่หนาวเหรอ?”
   
“...ผมชินแล้วน่ะ” ซานว่าเสียงเรียบ ขณะพูดไม่ได้สบตาอย่างปกติ ตรงกันข้ามเจ้าตัวกลับดีดขากับผนังสระ แล้วลอยตัวออกห่างจากเขาแทน
   
วันสุขมองตามท่าทางนั้น เขาเองก็อยากจะถามเรื่องลูกหว้าเหมือนกัน แต่หัวมันหนักๆ จนไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว ซานเองก็ไม่รู้ว่ากำลังโกรธเขาด้วยเรื่องอะไร อาจจะเรื่องเดียวกับที่เขากำลังหนักใจอยู่ก็ได้
   
“วันนี้...มีผู้หญิงเข้ามาคุยกับผมด้วยล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มเล่าเรียบเรื่อย “เธอพูดถึงเรื่องพี่ไปก็ร้องห่มร้องไห้ไปจนผมทำอะไรแทบไม่ถูก ไปๆ มาๆ ก็ดันมาขอให้ผมเลิกคบกับพี่เสียอย่างนั้น”
   
“...” วันสุขนิ่งเงียบ ความรู้สึกผิดพุ่งวูบเข้ามาอีกครั้ง มือกำแน่นจนเกร็งไปหมด ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อข้อแขนถูกแตะด้วยปลายนิ้วเย็นเฉียบ...
   
“เรื่องที่พี่เล่าให้ผมฟังเมื่อคืนนั้น...ช่วยเล่าแบบเต็มๆ ได้หรือเปล่า” แววตาเว้าวอนกึ่งขอร้องถูกส่งมาให้ทำเอาใจกระตุก ซานไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน และเขาเองก็จับเค้าแห่งการล้อเล่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
   
“ทำไม...” วันสุขพึมพำถามกลับไป สมองคิดไปสาระตะ และยิ่งคิดก็คล้ายกับว่าเขาจะยิ่งหายใจยากมากขึ้นเท่านั้น
   
“การเป็นคนคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลย...มันรู้สึกแย่นะครับ” น้ำเสียงสั่นๆ นั่นต่างออกไปจากทุกที “จริงๆ ผมทนได้นะ...ให้ทนกว่านี้ก็ยังพอทนได้ ทั้งเรื่องแหวนนั่น ทั้งเรื่องอดีตของพี่ ทนจนไม่รู้จะทน...”
   
ซานสูดหายใจเข้าลึก ปล่อยมือออกจากข้อแขนของเขา เสียงของน้ำดังเบาๆ เมื่อเจ้าตัวขยับ และกายเปียกโชกนั่นก็รวบกอดเอวของเขาเอาไว้แน่น
   
“ผมกลัวครับ... เพราะคนพวกนั้นน่ะสำคัญกับพี่วัน สำคัญจน...ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปยืนอยู่ตรงไหนกันแน่”
   
วันสุขนิ่งงัน เขาไม่คิดมาก่อนว่าเด็กตรงหน้านี่จะคิดอะไรไปไกลขนาดนี้ คงเพราะเข้าใจมาตลอดว่าซานมักจะมองเรื่องซับซ้อนให้ดูง่ายๆ เสมอ ทั้งยังชอบยิ้มแย้มก่อกวนเขาแทบจะตลอด ถ้าไม่ยิ้มก็ทำหน้าบึ้ง โกรธกระฟัดกระเฟียด ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่จะเหมือนครั้งนี้
   
เสียงสั่นเครือเว้าวอนนั่นทำเอาเขาเห็นภาพซ้อนทับกับใครอีกคน... และคำพูดของลูกหว้าก็ดังวนไปเวียนมาในหัวของเขาอีกครั้ง
   
‘พวกเขาไม่ได้ต่าง...ไม่ได้ต่างกันเลย’
   
“อึก” อาการเจ็บจี๊ดปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เจ็บจนต้องเบ้ปาก เผลอจิกไหล่เปลือยเปล่าของคนตรงหน้าแน่น เสียงอื้ออึง ภาพเบลอมัว ราวกับประสาทสัมผัสจะมืดบอดไปชั่วขณะ
   
วันสุขหอบหายใจหนัก ซบหน้าลงกับไหลกว้างนั่นเพื่อหาที่ทรงตัว น้ำหนักแทบจะเทถ่ายไปให้ซานเกือบทั้งหมด และดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็ดูตกอกตกใจกับท่าทีของเขาพอสมควร เพราะเสียงทุ้มนั่นตะโกนเรียกชื่อเขาไม่หยุด
   
“ไม่เป็นไร...แค่เครียด...มากไปหน่อย” แค่นเสียงเรียบเรียงประโยคอย่างยากเย็น พยายามจะปรือตาเปิด แต่อาการปวดแสบที่กลางกระหม่อมกลับมีมากกว่า หูอื้ออึง ฟังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าใครอีกคนกำลังพูดอะไร
   
ภาพหลอนบางอย่างพุ่งพรวดเข้ามาแทรกความมืดที่เขามองเห็น ในห้องเล็กๆ ...เศษกระจกแตกหล่นเกลื่อนเต็มพื้น ดอกไม้ในแจกันบี้แบนติดกับพรม ชั้นหนังสือล้มระเนระนาด รอยเลือดเปรอะเปื้อนลากยาวไปทั่วห้อง... ยาวไปจนหลังประตูห้องน้ำซึ่งมีกำแพงปาดป้ายสีสด...
   
“!!!”
   
พลันเหมือนถูกกระชากขึ้นมาจากใต้น้ำ ภาพเบลอมัว เสียงอื้ออึง อาการปวดหัวที่คล้ายกับจะชะงักไปชั่วขณะ เมื่อริมฝีปากของเขาถูกบดจูบรุนแรงจนได้กลิ่นเลือดคลุ้งติดลิ้น...
   
“ซะ...น อะ...” พยายามจะเอ่ยห้าม แต่คำพูดก็ถูกกลืนหายลงไปกลายเป็นเสียงครางแผ่ว ยามที่ริมฝีปากสวยนั่นขบจูบลงกับเนื้อคอ... นิ้วมือเย็นสอดล้วงเข้ามาจากชายเสื้อ กรีดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเอวไปจนถึงแผ่นหลัง เจ็บจนต้องเบ้หน้า เพราะเล็บคมๆ ของอีกฝ่ายคงจะทิ้งรอยแดงลากยาวลงบนเนื้อเขา
   
“เมื่อกี้...นึกถึงเรื่องเขาอีกแล้วใช่ไหม” เสียงแหบพร่านั่นตั้งคำถาม ดวงตาสีเข้มเหมือนฟ้ากลางคืนคู่นั้นฉาบแววเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ผสมปนเปไปกับแรงโทสะ “มองหน้าผม!” และตวาดลั่นทันทีที่เขาพยายามจะเบนสายตาออกไปทางอื่น
   
“ขอโทษ...” วันสุขพึมพำออกไป และก็ยิ่งใจหายเมื่อเห็นประกายหม่นฉายวูบขึ้นบนใบหน้าที่ห่างกันแค่ไม่ถึงคืบนั่น “ซานเองก็สำคัญ...ไม่รู้ตัวหรือไง สำคัญกับพี่มากๆ ไม่แพ้คุณอานั่นแหละ” ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งหมดแรง
   
“แต่ว่า...” เสียงทุ้มนั่นดูอ่อนลง ก่อนจะเงียบหายเมื่อเขาทิ้งตัวใส่อีกฝ่ายแล้วยกแขนโอบรอบบ่ากว้างนั่นพลางกอดแน่น...
   
“พี่สัญญา...ว่าจะเล่า อีกไม่นานหรอก...แค่ขอเวลา...สักพัก...” เขาพูดออกไป... คงเพราะท่าทีของเด็กตรงหน้านี่มันช่างคล้ายกับคนคนนั้นเหลือเกิน สายตาเว้าวอน ถ้อยคำร้องขอนั่น... และเพราะไม่เคยได้คุยกันดีๆ สักครั้ง สุดท้ายก็จบลงด้วยการสูญเสียที่เรียกคืนมาไม่ได้อีกต่อไป
   
ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ตอนที่ซานถามหาความสำคัญกับเขานั้น วันสุขปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวใจมันแทบจะหล่นวูบลงไป... ก่อนจะตามมาด้วยความเสียใจที่ประดังเดเข้ามา อดน้อยใจไม่ได้ที่คนตรงหน้านั่นมองว่าเขาไม่เห็นความสำคัญของเจ้าตัว ทั้งที่แท้จริงแล้วมันตรงข้ามกันสิ้นเชิง
   
วันสุขไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าอะไร... เพราะตั้งแต่ลองเปิดใจให้เจ้าแมวตัวโตนี่เข้ามากระโดดเล่นหลังรั้วกำแพง ชีวิตที่ผ่านมาก็คล้ายกับจะมีสีสันขึ้น เรื่องวุ่นๆ ก็โถมเข้ามาไม่หยุด รวมถึงเรื่องในอดีตที่เขาพยายามจะซุกมันไว้... เจ้าเหมียวนี่ก็เอาอุ้งเท้ามากวนจนตะกอนมันฟุ้งขึ้นมาได้ทุกครั้ง
   
แต่ก็แปลก... ทั้งที่วิ่งหนีความเป็นจริง และอดีตของตัวเองมาตลอด นี่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เขาเอ่ยปากออกมาให้ใครสักคนฟังว่าเขาจะเล่ามัน... และก็เป็นครั้งแรกที่เริ่มจะยอมรับสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นได้ทีละนิด...
   
ดูอย่างตอนที่คุยกับลูกหว้านั่นไงล่ะ... เพราะถ้ายังเป็นตัวเขาเมื่อก่อน สุดท้ายคงจะยังแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แสร้งไม่ได้ยิน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากรับฟัง... แต่นี่ดันกลับยอมรับออกไปง่ายๆ แม้จะยังเจ็บจนจุกไปบ้าง แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วสำหรับเขา
   
“ขออยู่แบบนี้...สักพัก” พึมพำขึ้นมาเบาๆ พลางปิดตาลง ไออุ่นๆ ของอีกคนช่วยให้เขารู้สึกสบายจริงๆ นั่นแหละ และพอได้พักหายใจ ก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา เหมือนคนที่วิ่งตลอดเวลาโดยไม่หยุด แค่พอได้นั่งพัก อาการเหนื่อยสะสมมันก็เข้ามาเล่นงานจนลุกขึ้นวิ่งต่อไม่ไหว
   
“ขอโทษนะที่ทำให้ไม่สบายใจ” ปลายนิ้วลูบเบาๆ ที่หลังคอของอีกฝ่าย และทั้งที่กำลังเอนพิงสบายๆ อยู่แท้ๆ ซานก็ดันตัวเขาออกมาให้กลับไปนั่งหลังตรงอีกครั้ง ดวงตาสีเข้มจ้องมาที่ใบหน้าเขานิ่ง คิ้วสวยขมวดมุ่นเหมือนคนที่กำลังไม่มั่นใจ
   
“ขอโทษครับ...” แล้วคำพูดประหลาดจากคนตรงหน้าก็ทำเอาต้องเลิกคิ้วอย่างสงสัย ปากเองก็พูดสวนออกไปแทบจะในทันที
   
“พี่ต่างหากที่ต้องขะ...” ยังไม่ทันจะได้จบประโยค มือสวยนั่นก็เอื้อมมาโน้มคอเขาลงไปประกบจูบอีกครั้ง
   
กลีบปากนุ่มนวลแตะลงมาเบาๆ ไม่ได้จาบจ้วงอย่างโมโหร้ายเช่นเมื่อครู่ พอผละจากปากเขาได้ จมูกโด่งสวยนั่นก็กดลงมาที่แก้มของเขาทีหนึ่ง ลำแขนเปียกน้ำเลื่อนลงมาจากหลังคอเขาเป็นโอบรอบเอว ศีรษะซึ่งปุกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำนั่นก็ซุกเข้าหาอย่างกับแมวที่อ้อนให้เจ้าของกอดอย่างนั้น
   
“เป็นอะไรไป?” วันสุขอดถามไม่ได้ แต่ก็กอดตอบกลับไปอย่างเคยชิน
   
“ผมขอโทษ” ซานพูดขอโทษอีกครั้ง
   
“เรื่องอะไรครับ?”
   
“ขอโทษที่ผมทำให้พี่ต้องเป็นแบบนี้อีกแล้ว ขอโทษครับ ขอโทษ...” คำว่าขอโทษวนซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด อ้อมแขนเองก็รัดแน่นจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก “ทั้งที่รู้ว่าพี่ไม่สบายแต่ก็ยังเอาแต่ใจ...ขอโทษนะครับ” และคำพูดนั่นก็ทำเอาเขาชะงักกึก
   
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าพี่ ‘ไม่สบาย’ น่ะ” แม้อาการปวดหัวจะยังตกค้างอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้มึนขนาดที่จะตีความหมายของซานไม่ออก โดยเฉพาะคำว่า ‘ไม่สบาย’ นั่น
   
“ผมเห็นพวกซองยาเกี่ยวกับจิตเวชในลิ้นชักห้องนอนพี่...”
   
คำเฉลยนั่นทำเอาวันสุขอยากจะแกล้งหลับไปทั้งอย่างนั้น แล้วก็หายตัวไปให้พ้นสายตาของคนตรงหน้าเสีย ทว่าเขาคงทำไม่ได้ และสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ก็คงมีแต่ความกลัวและกังวล
   
สมกับเป็นซานจริงๆ ...เพราะปล่อยให้เขาสบายใจได้ไม่นาน เด็กบ้านี่ก็พาเรื่องชวนเครียดมาแบบไม่ให้เขาได้พักหายใจอีกแล้ว!
   
“ตัวสั่นหมดแล้ว...จริงๆ ผมรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้วล่ะครับ ขอโทษที่ทั้งรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ทำให้พี่ต้องมาหนักใจเพราะคำพูดผมบ่อยๆ ” คำสารภาพนั่นเหมือนกับค้อนปอนด์อันใหญ่ๆ ซึ่งฟาดเปรี้ยงลงมาจนยืนแทบไม่อยู่
   
“หมายความว่ายังไง...” วันสุขเอ่ยถามด้วยท่าทีสับสน
   
“ผมน่ะรู้เรื่องที่พี่มีปัญหาเทือกนี้มาตั้งนานแล้วล่ะครับ” ซานเองก็ย้ำอีกรอบ
   
“แล้วทำไม...ถึงเพิ่งมาบอก?” นี่แสดงว่ายังมีอีกหลายเรื่องเลยสินะที่เจ้าเด็กนี่ยังไม่ได้เล่าให้เขาฟัง... ไปรู้มาได้ยังไงว่าเขาเป็นอะไร แถมยังดูเหมือนจะรู้เกี่ยวกับตัวเขาดีเสียด้วย
   
“ผมก็แค่...กลัวว่าพี่จะไม่ยอมเปิดใจให้เท่านั้น...” แมวตัวใหญ่ว่าเสียงหงอ พลางถูแก้มลงกับหน้าท้องของเขาอย่างออดอ้อน คงคิดว่าน่ารักเสียเต็มประดา แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะนึกเอ็นดูเลยจริงๆ
   
“ไปรู้มาจากไหน” เขาถามเสียงเย็น... ไอ้คำอ้างที่ว่าเจอยาในลิ้นชักน่ะฟังไม่ขึ้นหรอกนะ เพราะดูจากการกระทำ และการรับมือเขาตอนสติใกล้จะหลุดเต็มทีของซานนั้น...เชี่ยวชาญเอาการจนน่ากลัวเชียวล่ะ
   
“งั้นมาแลกกัน พี่เล่าเรื่องอะไรก็ได้ที่ปิดบังผมมาสักเรื่อง แล้วผมจะบอกว่าผมไปรู้มาจากไหน”
   
“เรื่องอะไรก็ได้เหรอ?” วันสุขขมวดคิ้วถาม
   
“อะไรก็ได้ครับ...แค่บอกผมมาสักเรื่องก็พอ” ซานว่าเสียงนุ่ม ทำท่าทีอย่างกับเด็กที่พยายามจะเอาขนมมาล่อให้เพื่อนไปเล่นด้วยอย่างนั้น “นะ... นะนะ” ไม่วายตบท้ายด้วยเสียงอ้อนๆ อีกครั้ง
   
“เรานี่มัน...” วันสุขถอนหายใจเฮือก ไม่รู้ว่าควรจะขำ หรือรู้สึกอย่างไรดี เจ้าเด็กนี่กระชากอารมณ์เขาไปมา จนตัวเขาเองยังรู้สึกมึนงงกับความแปรปรวนของอีกฝ่าย แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งอดระแวงไม่ได้ นี่เขาคงไม่ถูกหลอกให้พูดอีกหรอกนะ?
   
“ผมจะนับแล้วพูดพร้อมกันนะ เอ้า หนึ่ง...” ดวงตาสีเข้มนั่นฉาบประกายแวววาวประหลาด
   
“สอง...” วันสุขอดขำเบาๆ ไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายลากเสียงยาวยานคาง นี่จะเผื่อเวลาให้เขาทำใจหรือไงนะ?
   
“สาม...” เลขสามลากยาวกว่าทุกที และเมื่อมันค่อยๆ เงียบหายไป เสียงแผ่วๆ ของเขาก็ดังขึ้นมา
   
“พี่เป็นไบโพลาร์... ซาน!!”
   
ตูม!! ...ซ่า
   
โลกเหมือนหมุนกลับหัวตลบ เสียงน้ำอื้ออึงอยู่ในหู ร่างกายจมลงไปในสระสีฟ้าใส นัยน์เบิกกว้างมองแสงไฟสีขาวซึ่งสว่างจ้าจนตาพร่าจากก้นสระ เสียงบุ๋งๆ ของฟองอากาศตีวนจนเขาสับสนทำอะไรไม่ถูก
   
แขนขาตะกุยตะกาย สายตากวาดมองหาตัวการที่ไม่รู้ว่าว่ายหนีไปไหน ตั้งสติได้ก็ถีบขาขึ้นมาจากก้นสระลึกๆ พอใบหน้าโผล่พ้นผิวน้ำได้ก็ตีขาพาตัวเองเข้าหาขอบสระ
   
ริมฝีปากอ้ากว้างพยายามตักตวงอากาศ สลับกับไอโขลกเพราะสำลักน้ำ แต่ก็ต้องโวยปนหอบขึ้นมาอีกรอบ เมื่อใครอีกคนเข้ามาคว้าเอวของเขาจากด้านหลัง แล้วลากเขาออกไปในระยะที่ลึกที่สุด
   
“คะ...แค่ก พี่ว่ายน้ำไม่เป็น!” ความลับเรื่องที่สองถูกบอกออกไปอย่างลืมตัว วันสุขเบ้หน้า รู้สึกว่าตัวเองหมดสภาพสุดๆ เอาก็วันนี้ แต่กลับกัน...เจ้าเด็กนั่นดันหัวเราะร่าที่แกล้งเขาได้!
   
“ลงโทษต่างหาก เรื่องไบโพลาร์น่ะผมรู้อยู่แล้ว มาบอกซ้ำอีกทำไมเนี่ย”
   
“ก็บอกว่าเรื่องไหนก็ได้ ทีเรายังไม่บอกพี่เลยว่าไปรู้เรื่องนี้จากไหนมา” วันสุขพูดอย่างหงุดหงิด มือเองก็จิกแขนคนเด็กกว่าเอาไว้แน่น เนื้อตัวเกร็งจนขนาดที่ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกได้
   
“ก็พี่ดันบอกเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้วนี่นา...แต่แลกกับเรื่องที่...นายวันสุขว่ายน้ำไม่เป็น...” น้ำเสียงยียวนดังอยู่หลังท้ายทอยของเขานี่เอง ทว่าท้ายประโยคกลับก้มเข้ามากระซิบประชิดริมหู
   
“เงียบไปเลย” วันสุขพูดงึมงำ หน้ามันชักจะร้อนๆ เพราะความลับนี่ขนาดเวย์ที่เป็นเพื่อนสนิท เขาก็ยังไม่เคยบอกเลยสักครั้ง!
   
“พี่วันว่ายน้ำไม่เป็น” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เจ้าเด็กนี่ล้อเขาไป กลั้วหัวเราะไป เมื่อเห็นว่าเขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากเกร็งตัวเพราะกลัวว่าจะโดนปล่อยให้จมมันซะตรงนี้
   
“เงียบนะ” วันสุขพูดเสียงเบา ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกอายเท่าครั้งนี้ ความเชื่อมั่นที่เพียรสร้างมาตั้งนาน มาพังครืนเอาง่ายๆ เพราะโดนเด็กบ้านี่มาล้อเขาเรื่องว่ายน้ำไม่เป็น...
   
“พี่วันว่ายน้ำไม่เป็น... พี่วันว่ายนะ...”
   
สุดท้ายวันสุขก็ทนไม่ไหว ยอมเสี่ยงตายแกะมือที่เหมือนทุ่นลอยนั่นออก แล้วอาศัยจังหวะเดี๋ยวเดียวพลิกตัวกลับหลัง สองแขนรีบโอบรอบบ่ากว้างนั่น ใบหน้าแต้มเลือดฝาดเอียงองศาเข้าประกบปากจนอีกฝ่ายพูดไม่ได้อีก
   
คงเพราะโถมแรงใส่มากเกินไป พวกเขาถึงได้จมลงไปในใต้น้ำชั่วขณะ ก่อนจะลอยขึ้นมาใหม่อีกครั้งเมื่อซานได้สติ แขนแข็งแรงข้างหนึ่งรั้งเอวเขาเข้าไปหาแผ่นอกเปลือยเปล่านั่น สัมผัสอุ่นๆ ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นเฉียบ ทำเอาร่างกายมันร้อนๆ ขึ้นมา
   
วันสุขเบียดกายเข้าหาโดยสัญชาตญาณ จากจูบที่ตั้งใจว่าจะให้ซานหยุดพูด กลายเป็นสนามสงครามชั่วขณะ ลิ้นร้อนๆ เกี่ยวกันจนแทบจะแยกไม่ออก เสียงครางเบาๆ ของเขาเองก็คล้ายกับน้ำมันซึ่งเร่งให้อีกฝ่ายเพิ่มแรงบดเบียดมากเข้าไปอีก
   
เสียงของน้ำดังเบาๆ อยู่ข้างหู เมื่อต่างฝ่ายต่างขยับตัวเข้าหากัน เสื้อเชิ้ตสีเข้มเปียกโชก ชายเสื้อลอยสูงเหมือนเปิดเชิญชวนให้อีกฝ่ายใช้มือวนไปเวียนมาบนเนื้อตัวของเขาได้ไม่หยุด
   
“ฮื้อ” หลุดครางออกมาเมื่อหน้าท้องถูกลูบด้วยฝ่ามือร้อนๆ ไล่มาถึงขอบเข็มขัด กรีดนิ้วหลบลงมาที่ช่วงต้นขาทำเอาเขาเกร็งตัว ก่อนจะวกกลับไปที่บั้นเอวอีกครั้ง
   
“อือ...ซาน” ริมฝีปากถูกปล่อยเป็นอิสระ และเป็นฝ่ายนั้นที่กดจมูกลงมาที่หลังใบหูของเขา... เสียงทุ้มหัวเราะต่ำ แล้วก็เริ่มฝากรอยจูบย้ำหนักเอาไว้อย่างจงใจให้เกิดอารมณ์ ก่อนจะเป็นเขาเองที่ร้องขัดใจเมื่ออีกฝ่ายหยุดการกระทำทุกอย่างชั่วขณะ
   
วันสุขมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะชะงักเมื่อสบเข้ากับดวงตาพราวเจ้าเล่ห์นั่น ทั้งริมฝีปากเข้ารูปสวยที่กำลังยิ้มร้าย และเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบจนแทบไม่ได้ยิน...
   
“ผมฟังเรื่องของพี่มาจากพี่เวย์ ...พี่วันได้คำตอบแล้วนะครับ”



To be continued...
 :กอด1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ poporimikoru

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  :katai1:


สนุกมากก ให้ตายเถอะะะ เป็นไบโพล่าจริงๆด้วยยยย โรคนี้โคตรน่ากลัวค่ะ ยิ้มมีความสุขอยู่ดีๆรู้ตัวอีกทีก็ฆ่าตัวตายแล้ว T^T


โอยยย สนุกมากกก  ปมมมม ปมเต็มไปหมด ค่อยๆคลายเยอะแล้วเนี่ย!!

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 12 - นิทาน ความจริง

   

ลมหนาวเย็นพัดพา อากาศแห้งจนทุกเช้าที่ตื่นมารู้สึกแสบคอแทบทุกครั้ง กลิ่นมะลิอ่อนที่ชายคาลอยเบาบางมาแตะจมูก ร่างเล็กๆ ซุกหนีลมหนาวเข้าหาคนอีกคน เสียงทุ้มห้าวหัวเราะเบาๆ มือใหญ่อุ่นๆ ยกขึ้นลูบศีรษะจิ๋วด้วยความเอ็นดู
   
แม้จะดูเหมือนขาดอะไรไป แม้คนที่สามซึ่งเคยนอนอยู่อีกฟากถัดจากเขาจะไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว แม้ทุกเช้าจะดูหงอยเหงากว่าทุกที แต่มันกลับเป็นทุกเช้าที่มีความสุขมากที่สุดเท่าที่เด็กชายชื่อ วันสุข จะมีได้
   
หลายครั้งเคยถามคุณอาว่าชื่อของเขาใครเป็นคนตั้ง พอได้รู้คำตอบเป็นต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะชื่อนี่พ่อเป็นคนตั้งให้... จนมาถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าความหมายของมันคืออะไรกันแน่...
   
วันสุข ย่อมาจากวันแห่งความสุข...พ้องกับวันศุกร์ที่เป็นวันก่อนจะขึ้นวันเสาร์ วันสุดท้ายที่ทุกชีวิตจะได้หยุดพัก ใครๆ ก็รักวันศุกร์... วันสุข น้องวัน...หมายเลขหนึ่ง สุขที่หนึ่ง สุขเพียงหนึ่ง ความสุขเล็กๆ ที่มีเพียงหนึ่งเดียว...
   
ต่อให้ลองคิดสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็คงมีเพียงแค่คนตั้งเท่านั้นที่จะรู้ความหมาย แต่พอลองคิดถึงคำว่า วันสุข แล้ว ความรู้สึกอุ่นๆ ในหัวใจนี่คงเป็นคำตอบเพียงหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
   
“น้องวัน ตื่นเร็วครับ”
   
เสียงเรียกของเช้าวันนั้นกับเด็กชายที่ดูจะดื้อดึงเป็นพิเศษ มือเล็กๆ กอดผ้าห่มแน่น หน้าตาเหยเกท่าทางคล้ายกับจะใกล้ร้องไห้เต็มที
   
“ไม่เอา ถ้าตื่น คุณเอาจะเอาน้องวันไปให้พ่อ คุณอาโกหก น้องวันไม่อยากเจอพ่อ” เสียงเล็กๆ โยเยงอแงรับอรุณ หนึ่งปีแล้วที่คุณอารับเขามาอยู่ด้วย นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่เคยเจอพ่ออีกเลย แต่คุณอาบอกว่าสารพันของเล่นกับสมุดภาพดวงดาวนี่เป็นของที่พ่อซื้อให้
   
“ทำไมล่ะครับ เมื่อคืนก็คุยกันดีแล้วนี่” คุณอาว่าเสียงอ่อน พยายามชักจูงเด็กชายทุกวิถีทาง
   
“คุณอาจะเอาน้องวันไปทิ้ง คุณอาไม่รักน้องวันแล้ว” เสียงใสๆ โวยวาย สุดท้ายก็ปล่อยโฮมันเสียตรงนั้น สะอึกสะอื้นจนหายใจแทบไม่ออก มือเองก็กำผ้าห่มแน่น ราวกับจะกลัวว่าถ้าปล่อยมันเสียตอนนี้จะถูกอุ้มพาตัวออกไป
   
“ไม่เอาครับไม่เอา อย่าร้องไห้นะ ถ้าตาช้ำไปเจอพ่อ เขาเล่นอาตายแน่ๆ ”
   
“พ่อจะตีคุณอา คุณอาโกหก ไหนบอกว่าพ่อหายป่วยแล้วยังไงล่ะ น้องวันไม่ไป! ไม่ไปไหนทั้งนั้น!!” ยิ่งพูดก็ยิ่งร้อง คนแก่กว่าเป็นอันทำอะไรไม่ถูก ยืนเลิ่กลั่กอยู่แบบนั้น ก่อนจะต้องสะดุ้งกันทั้งอาทั้งหลาน เมื่อเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นเบาๆ
   
“เด็กดีเขาไม่ร้องไห้กันนะ”
   
เสียงห้าวแตกหนุ่มดังลอดเข้ามาในห้อง ลูกบิดประตูหมุนกึกจนเกิดเสียง  แล้วตอนนั้นเองที่ร่างเล็กๆ กระโดดผึงลงจากเตียง ปล่อยผ้าห่มผืนหนาเข้าไปหาสิ่งที่ยึดเหนี่ยวได้ดีกว่า
   
“พี่ดิน!” ตะโกนปนสะอื้น แขนกอดขาคนตัวสูงไว้แน่นหนึบ เสียงหัวเราะนุ่มอ่อนโยนดังอยู่เหนือศีรษะของเขา แล้วมือคู่นั้นก็ช้อนร่างกายเล็กๆ นี่ขึ้นอุ้มด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
   
“เป็นอะไรหืม? ร้องแต่เช้าเชียว” ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาออกไปให้ ไม่ได้สนใจสักนิดว่าจะถูกเขากำเสื้อจนยับยู่ยี่
   
“คุณอาจะเอาน้องวันไปทิ้ง” รีบฟ้องทันทีอย่างเคยชิน ตาโตๆ มองคนเป็นอาอย่างขวางๆ ตั้งแง่ขู่แฮ่ใส่ ถ้าอีกฝ่ายคิดจะเข้ามาในรัศมีแขนเอื้อมถึง
   
“เอาไปทิ้ง?” พี่ชายข้างบ้านถามเสียงฉงน
   
“พ่อน้องวันเขาจะพาไปเที่ยวน่ะ อาก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไร เมื่อคืนก็ตกลงกันดิบดี เช้ามาก็ดื้อแบบนี้แหละ” คนเป็นอาพูดไปนวดขมับไป ตาคมเองก็เหลือบมองนาฬิกาบนผนังเป็นพักๆ
   
“แต่น้องวันไม่อยากไปแล้ว” คนงอแงก็ยังงอแงไม่เลิก หน้าเล็กๆ ซุกบ่าคนอุ้มอย่างดื้อดึง หูเองก็แว่วเสียงหัวเราะแผ่วๆ เอ็นดู
   
“พี่ว่าวันนี้จะชวนเราไปท้องฟ้าจำลองซะหน่อย แต่ถ้าน้องวันสัญญากับคุณอาไว้แล้วก็ต้องไปครับ” ประกายเหงาๆ ฉาบวูบอยู่บนดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววนิ่งสงบอย่างที่เคย
   
“ไม่เอา น้องวันจะอยู่กับพี่ดิน จะไปท้องฟ้าจำลอง” เสียงใสๆ โวยวาย ถึงจะไม่รู้จักหรอกว่าท้องฟ้าจำลองคืออะไร แต่ถ้าเขาอยู่กับคนคนนี้ก็จะไม่ต้องไปเที่ยวกับพ่อ
   
“สัญญาแล้วก็ต้องไปครับ เด็กดีต้องไม่ผิดสัญญานะ” ปลอบเสียงอ่อนพลางโยกตัวไปมา เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงรถไม่คุ้นหูดังอยู่ที่หน้ารั้วบ้านพอดี
   
“น้องวันไม่อยากเป็นเด็กดี” เด็กชายเบะปากทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ ขนาดคนคนนี้ยังไม่ยอมเข้าข้างเขา คุณอาก็จะเอาเขาไปทิ้ง พ่อเองถ้าเจอหน้ากันก็คงจะตีเขาอย่างที่เป็นประจำ... ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล ตาที่แดงช้ำอยู่แล้วก็ยิ่งช้ำหนักเข้าไปอีก
   
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะไม่รัก” น้ำเสียงเย็นชาเป็นคำขาดจากอีกฝ่าย เด็กชายพลันปล่อยโฮลั่น ความกลัวที่มีต่อคำพูดนั่นมันมากกว่าที่จะต้องไปเที่ยวกับพ่อวันนี้เสียอีก...
   
“ไม่เอา! น้องวันจะไปแล้ว...น้องวันจะไปแล้ว!!” ตะโกนอย่างหวาดผวา ตัวสั่นกึกกักเมื่อจินตนาการว่าถ้าจู่ๆ จะถูกคนตรงหน้าเกลียดขึ้นมาจะเป็นอย่างไร...
   
ชีวิตของเด็กชายตัวเล็กๆ นี่มีแค่คนสองคนนี้เท่านั้นจริงๆ เพราะโลกเล็กๆ แทบจะไม่เคยเปิดให้ใครเข้ามา การจะต้องสูญเสียบางอย่างไปถึงได้น่ากลัวจับจิต... และถึงจะดื้อแค่ไหน ถ้าขู่ว่าจะ ‘ไม่รัก’ ไม่ว่าจะให้ทำอะไรเขาก็ยอมทำทั้งนั้น...


   


“น้องวัน...มองหน้าพ่อหน่อยเร็ว” เสียงกระซิบเบาๆ ดังมาจากคุณอา เด็กชายวันสุขซึ่งหลบอยู่หลังของพี่ชายข้างบ้าน ค่อยๆ โผล่หน้าออกมามองคนที่เขาแทบจะจำหน้าไม่ได้แล้ว...
   
ใครกัน? นั่นคือคำถามแรกที่ผุดวาบเข้ามาในใจ ความทรงจำรางเลือนเกี่ยวกับพ่อสำหรับเขานั้น...แทบจะถูกแทนที่ด้วยคุณอาทั้งหมด เพราะเท่าที่นึกออกก็มีเพียงแค่ช่วงเวลาร้ายๆ เท่านั้น
   
การเลือกที่จะไม่จำในช่วงปีที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างเลยตกหล่นหาย สิ่งที่รู้ก็มีเพียงแค่ความรู้สึกประหลาด และความหวาดกลัวบางๆ ที่ยังฝังอยู่ตามร่างกายเท่านั้น
   
“ตาแดงเชียว...ร้องไห้เพราะกลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เสียงนุ่มฟังไม่คุ้นหูทำเอาเขาไม่แน่ใจ ช้อนตามองใบหน้านั่นอีกสักรอบ แต่แสงที่แทงสวนเข้ามาทำเอาต้องหรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว
   
“คนคนนี้ใคร?” เอ่ยถามเสียงฉงน ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ และก็เป็นคนแปลกหน้าคนนั้นที่หัวเราะออกมาเบาๆ มือใหญ่เหมือนกับคุณอาเอื้อมเข้ามาหา แต่ขาของเด็กชายกลับก้าวถอยอย่างเผลอตัว
   
“สวัสดีครับ...” เสียงทักทายของพี่ชายข้างบ้านดังขึ้นตัดบรรยากาศ...
   
นับตั้งแต่วินาทีนั้นภาพต่างๆ ก็คล้ายกับจะมัวเบลอ ความทรงจำขาดๆ หายๆ แล่นผ่านสมองไปอย่างช้าๆ เสียงของเครื่องยนต์ เสียงพูดคุยของพ่อที่เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปตลอดทาง เสียงของคุณแม่ที่ดังมาเป็นพักๆ เป็นบรรยากาศประหลาดที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ทั้งที่น่าจะเป็นการเที่ยวกันแค่พ่อแม่ลูกแท้ๆ แต่กลับมีพี่ดินเข้ามานั่งเพิ่มอีกคน เด็กชายวันสุขตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่เพราะมีคนคนนั้นอยู่ด้วย...เขาถึงได้กล้าคุยกับพ่อมากขึ้น...
   
พ่อเล่าว่าจะพาพวกเขาไปดูดาวที่ยอดดอย พ่อบอกว่าที่นั่นฟ้าโปร่ง...ดาวสวย ยิ่งกว่าในหนังสือนิทานเสียอีก เขาที่ไม่เคยออกมาไกลจากเมืองหลวงเป็นได้ตื่นเต้นจนลืมกลัว พี่ดินเองแม้จะมีท่าทีแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร
   
“แวะพักตรงนี้ก่อน น้องวันอยากได้ขนมไหมครับ” เสียงนุ่มๆ ถาม ฟังไม่คุ้นหู แม้จะไม่ได้เข้ามาใกล้ แต่ในสายตานั่นก็มีแววน้อยใจปนอยู่นิดๆ เมื่อเห็นว่าเขาติดพี่ดินแจจนแทบไม่ยอมออกห่าง
   
“มันฝรั่ง” พอเป็นเรื่องของกิน ต่อให้ยังกลัวอยู่ แต่ก็ตอบเสียงแจ้วๆ กลับไป พอพากันลงมาจากรถได้ก็ออกมายืนยืดเส้นยืดสาย ฟ้าเริ่มมืดแล้ว รอบข้างมีแต่ป่า ถนนตัดลัดภูเขาดูน่ากลัว ผู้คนในปั๊มน้ำมันก็ดูหนาตากว่าทุกที ทว่าความเคลื่อนไหวบางอย่างท่ามกลางกลุ่มคนนั้นกลับดึงสายตาของเขาให้มองตามไป
   
“คุณแม่คุยกับใคร?” เด็กชายเอ่ยถามคนข้างตัวอย่างสงสัย เมื่อเห็นกลุ่มคนท่าทางประหลาดเข้ามาเข้ากระซิบกระซาบกับมารดาของตน แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา ทว่าพี่ดินมีท่าทีระวังตัวกว่าทุกครั้ง เด็กหนุ่มยกเขาขึ้นอุ้ม ทำท่าว่าจะเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ
   
“!!” ชั่วพริบตาก่อนที่ใครจะได้ตั้งตัว หลังของเขาเจ็บแปลบ...ร่างร่วงกระแทกกับพื้นสาก ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เสียงของเนื้อกระทบกันดังลั่นสนั่น วัตถุสีดำฟาดลงกับสันคอของพี่ชายคนสนิท ร่างสูงโปร่งล้มลงกับพื้น แน่นิ่งไม่ต่างจากคนตาย
   
“พี่ดิน!!” เด็กชายตะโกนลั่น หวาดกลัวจับจิต ก่อนจะต้องร้องออกมาอีกรอบเมื่อคอถูกคว้าด้วยมือใหญ่ ขาดิ้นแกว่งไกว ลมหายใจแทบจะชะงัก เมื่อพบว่าวัตถุสีดำซึ่งจ่อไปยังคนสลบคือปืนมันวาวด้ามหนึ่ง
   
ปัง!
   
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังสนั่น...เสียงของปืนรัวเร็วจนหูอื้ออึง...
   
“วัน!!!” เสียงของพ่อดังแทรกเข้ามาท่ามกลางความวุ่นวาย โลกคล้ายกับจะหมุนตลบ กายร่วงหล่นจนกระแทกกับพื้นอีกครั้ง ขณะที่ร่างของคนบางคนพุ่งสวนเข้าไป และเสียงปืนก็ดังลั่นขึ้นมาอีกหลายนัด...
   
“พ่อ!!”
   
ครั้งนั้นคงเป็นครั้งที่เขาตะโกนดังที่สุดในชีวิต... กายของบุรุษสูงใหญ่สะบัดไปตามแรงอัดของลูกกระสุน เสียงปืนดังลั่นสวนกลับไป ร่างโชกเลือดโซซัดโซเซวิ่งเข้ามาหา รวบกอดอุ้มเขาขึ้นมา... ลมหายใจหนักหอบกระชั้นชิดประสมกลิ่นเลือดข้นคลั่ก
   
“พ...พี่ดิน”
   
ภาพของคนคนนั้นซึ่งนอนสลบห่างไกลออกไปทุกที... พ่อพาเขากลับมาที่ลานจอดรถ เสียงของเครื่องยนต์ดังขึ้นทันทีที่ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเบาะ รถกระชากออกไปอย่างรุนแรง เด็กชายซึ่งนั่งกองอยู่บนตักกว้างนั่นกระซิบกระซาบเรียกชื่อของคนซึ่งถูกลืมอย่างหวาดผวา
   
“เขาจะปลอดภัย...” พ่อบอกแบบนั้น พลางทิ้งมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งมาลูบศีรษะปลอบเขาอย่างที่ไม่เคยเป็น และนั่นคงเป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ได้ว่า...สัมผัสอ่อนโยนนี่มันเหมือนกับมือปริศนาอุ่นๆ ที่มาลูบกล่อมเบาๆ ให้แทบทุกคืน
   
“เลือด...” พอรู้ตัวว่ากำลังนั่งพิงแผลของอีกฝ่ายก็อดผวาไม่ได้... นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เขาตอนนั้นซึ่งไม่เข้าใจอะไรได้แต่ตั้งคำถามอย่างหวาดผวา...
   
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร... ทุกอย่างต้องไม่เป็นไร...”
   
ปัง!
   
เสียงของปืนดังขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความตึงเครียด กระจกกันกระสุนถูกยิงเจาะจนเป็นรอยแตก รถสะบัดไปเพราะคนขับเสียสมาธิ และตอนนั้นเองที่เขาเลือกที่จะเงียบ นั่งหวาดผวาตัวสั่น ปล่อยให้น้ำตามันเอ่อออกมาเป็นตัวแทนความกระเจิดกระเจิงภายในจิตใจ
   
มือซึ่งลูบปลอบยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป แต่มือซึ่งกุมพวงมาลัยอยู่นั้นกลับเกร็งแน่นราวกับจะบีบห่วงกลมๆ นั่นให้แหลกคามือ ใบหน้าตึงเครียด เสียงหอบหายใจ... เลือดที่ไหลบ่าออกมาจนเสื้อเชิ้ตสีเข้มชุ่มเหมือนจุ่มลงกับน้ำ...
   
“อะ...” เขาอุทานออกมาเบาๆ เมื่อจู่ๆ แสงสีขาวสว่างจ้าบาดตาก็สาดเข้ามาจากด้านหน้า สว่างขึ้น... สว่างขึ้น...
   
“บัดซบเอ๊ย!!!”
   
เอี๊ยด...โครม!
   
ร่างถูกรวบกอดในชั่ววินาทีที่เสียงชนดังลั่นสนั่น กายเหมือนถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้าสูง แสงไฟจ้าดับวูบเหลือเพียงความมืดสีดำสนิท ลมหายใจเหมือนถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ เวลาคล้ายกับจะช้าลง... ก่อนที่ประสาทสัมผัสจะถูกเร้าขึ้นมาอีกครั้งเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะที่กำลังทิ้งดิ่งลงสู่พื้นพสุธา...
   
ครึ่ก! เพล้ง!
   
สารพันเสียงดังลั่นเข้ามาในหู คล้ายกับก้อนเหล็กยับๆ ที่ถูกโยนลงในดงป่า กิ่งไม้ฟาดเข้ามาจนกระจกแตกกระจาย ขาแสบไปหมด เจ็บจนชาคล้ายกับจะมีอะไรเสียบเข้ามา อ้อมกอดปกป้องไม่ได้คลายออกจากกัน... เสียงหัวใจที่แนบอยู่ข้างหูยังคงเต้นระรัวกระหน่ำ
   
กี๊ด...
   
เสียงของเหล็กครูดเข้ากับอะไรสักอย่างแหลมบาดหู มือเล็กๆ ขยุ้มเสื้อโชกเลือดเอาไว้แน่น รถเหมือนกับจะกระแทกเข้ากับหินแข็งๆ หลังคาเหมือนจะยุบลงมา โลกกำลังเด้งกระดอน... ใจของเขากรีดร้องขอให้ทุกอย่างมันหยุดเสียที และก่อนที่ทันจะได้คิดอะไรนั้นเอง...
   
สวบ...
   
“อะ...อึ...” บางอย่าง... อะไรสักอย่าง... แทงสวบลงมา...ทะลุโล่ซึ่งกำลังโอบกอดเขาเอาไว้ลงมาที่เอวขวานี่... เจ็บจนพูดไม่ออก ดวงตาเบิกกว้างตระหนก...
   
แปะ แปะ...
   
“พ่...อ” เอ่ยเรียกคนที่กำลังหอบหายใจหนักอย่างยากลำบาก มือเล็กๆ พยายามยกขึ้นแตะใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มบางๆ นั่นไว้ แสงจันทร์อ่อนฉาบฉายลงมา สะท้อนดวงตาคู่โศกที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นมัน
   
“ขอ...โทษ” เสียงแหบแห้งเอ่ยบอก กอดแน่นแข็งแรงไม่มีที่ท่าว่าจะคลายลง เสียงของเลือดหยดแหมะลงกับพื้นโลหะ... เปาะแปะเหมือนสายฝน “ดาว...สวย...หรือเปล่า?” คำถามประหลาดถูกส่งมาอย่างไม่เข้าสถานการณ์ มืออุ่นร้อนลูบเบาๆ ที่หลังศีรษะของเขาคล้ายเร้าให้เร่งตอบ
   
“สวย...” เด็กชายตอบออกไปทั้งที่ดวงตาแทบมองไม่เห็นอะไร นอกจากเสี้ยวหน้าหมองเศร้านั่น “...อดทนเอาไว้” พยายามพูดปลอบอย่างที่คุณอาเคยพูดกับเขา เพราะท่าทางของอีกฝ่ายนั้นดูทรมานเหลือเกิน...
   
ถึงจะไม่เคยรู้สึกว่ารัก ถึงจะเคยบอกว่าเกลียดจนอยากให้ตาย แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่ปรารถนาจะให้คนตรงหน้านั้นตายจากไปจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรเสีย ความรู้สึกลึกๆ ในอกก็ยังอยากได้รับความรักจนคนที่เป็นพ่ออยู่ ทว่า...กลิ่นของเลือดไม่มีทีท่าว่าจะเจือจางไป ตรงข้ามกับเสียงหัวใจข้างหูของเขาที่มันกำลังแผ่วช้าลง
   
หวาดกลัว...ความหวาดกลัวนี่มันคืออะไรกัน...
   
“ฝัน...ว่าจะได้...กอดแบบนี้...นาน แล้ว...” เสียงขาดๆ หายๆ ดังแผ่ว “กอดไป...เล่าเรื่อง...ดาวไป...” พูดพลางหัวเราะติดๆ ขัดๆ ทั้งที่ไม่ได้เข้ากับสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
   
“ขอโทษนะ...เพราะ...อยาก...ทำตัว...ให้สมเป็น...พ่อ...สักวัน...แท้ ๆ ...” ประโยคขอโทษแผ่วๆ จนเหมือนกับเสียงกระซิบ เด็กชายรีบส่ายศีรษะ พยายามเค้นคำพูดออกมาจากคอว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องขอโทษใดๆ
   
“อยาก...คุย ให้มากกว่านี้... อยาก... จะ... เข้าใจ... อยาก...ให้เข้าใจ...”
   
ประโยคนั่นทำเอาน้ำตาของเขามันไหลออกมาจนมองแทบไม่เห็นอะไร เบลอมัว...หายใจแทบไม่ออก แสบร้อนอยู่ในอก ทรมานจนอยากจะร้องออกมาดังๆ
   
อดทนไว้... อดทนไว้... ยังมีเรื่องอีกตั้งเยอะแยะที่อยากจะเล่าไม่ใช่หรือ? อยากจะทำความเข้าใจไม่ใช่หรือ? จะยอมคืนดีด้วยให้ก็ได้ ทั้งที่เพิ่งจะเริ่มต้นแท้ๆ ทั้งที่เพิ่งจะได้เริ่มหันหน้าเข้าหากันแท้ๆ
   
วันนี้ต้องรอดไปด้วยกัน ต้องมีชีวิตอยู่...
   
“แต่แค่นี้...ก็มี...ความสุข...แล้ว” จูบเบาๆ ประทับลงกับหน้าผาก กอดคลายลงราวกับคนหมดแรง... เสียงของลมหายใจทอดยาว ยิ้มอ่อนโยนดูมีความสุขกว่าทุกครั้ง แม้จะมองแทบไม่เห็นภายใต้แสงจันทร์รางๆ นี่ก็ตามที
   
เสียงของหัวใจนั่นกำลังแผ่วลง...
   
ต้องมีชีวิตอยู่! ...ถ้อยคำตะโกนกู่ร้องอยู่ในใจ
   
แผ่วลง...
   
จะกลับไปเกี่ยวก้อยคืนดี ...มือปะป่ายตีลงกับแก้มอุ่นๆ นั่นที่ไม่มีทีท่าว่าจะไหวติง
   
เบาลง...
   
อย่าตายนะ! ...ริมฝีปากเปิดเผยอ สิ่งที่ออกมามีเพียงแค่เสียงอืออาไม่ได้ศัพท์
   
เบา...
   
อย่าทิ้งวันไป!! …
   
เหลือเพียงแค่ความนิ่งสงบ...



(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage


“พี่วัน... พี่วันครับ ตื่นเร็ว...”
   
เสียงเรียกคุ้นหูที่มักจะได้ยินอยู่ทุกเช้าดังแผ่วอยู่ไกลๆ ไหล่ข้างหนึ่งถูกเขย่าเบาๆ เรียกสติ แพขนตาค่อยๆ เปิดขยับ ก่อนที่จะรับรู้ได้ว่าสัมผัสเปียกชื้นนั้นเปรอะเปื้อนอยู่เต็มหน้าของตัวเขาเอง...
   
“...” ลมหายใจทิ้งแผ่ว ยังหวาดผวากับฝันร้ายไม่หาย นานแล้วที่ไม่ค่อยได้ฝันถึงเรื่องนั้น เพราะนึกกี่ทีสมองก็คล้ายกับว่าจะสั่งให้ต้องเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นอยู่บ่อยๆ ยิ่งนึกรังแต่จะต้องเจ็บปวด ความน่ากลัวของสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ได้ชัดแจ้งอย่างครั้งนั้น แต่ก็สมจริงทุกครั้งเท่าที่ร่างกายนี้จะจินตนาการมันออกมาได้
   
“ฝันร้ายเหรอ?” เงาคนมัวๆ ขยับไหว เตียงหนาที่นอนอยู่ยุบยวบลงไปเมื่อคนอีกคนพลิกกายเบียดเข้าหา นิ้วเรียวเกลี่ยหยดน้ำที่ข้างแก้มให้ เบาบางอ่อนโยนจนนึกกลัวว่าสักวันสิ่งเหล่านี้จะหายไป
   
“กอดพี่ที” พึมพำเสียงแหบ สมองยังคงมึนเบลอ หัวใจยังเต้นระรัวและเหมือนจะไม่ยอมสงบง่ายๆ ความหวาดกลัวทำเอาตัวสั่น อารมณ์เข้าขั้นย่ำแย่ถึงขีดสุด... พอเริ่มจะควบคุมไม่ได้ เสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นก็หลุดออกมา... ท้อแท้อย่างไร้สาเหตุ ท้อแท้กับตัวเอง รู้สึกแย่จนทนแทบไม่ไหว
   
“พี่วัน” ซานเรียกชื่อเขา ลูบเข้าที่หลังเบาๆ คล้ายกับพยายามเรียกสติ
   
วันสุขชะงักไป... พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก เพ่งสมาธิไปกับเสียงปลอบนุ่มเบาข้างหู และหัวใจระรัวนี่ก็ค่อยๆ สงบลงอย่างรวดเร็ว...
   
“ถ้าเมื่อก่อน...คงเกือบอาทิตย์กว่าพี่จะกลับไปเป็นปกติ...” นึกถึงตอนสมัยเรียนที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคอะไร พอผ่านช่วงซึมเศร้าอย่างรุนแรงมาได้เพราะการจากไปของใครบางคน... จู่ๆ นายวันสุขที่ไม่คิดอยากจะเข้าสังคมกับคนหมู่มากก็กระโดดเข้าไประเริงท่ามกลางแสงสีเสียได้
   
ตอนนั้นคุณอาก็คอยปรามเขาเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายอะไร ท่านเองก็คงรู้สึกผิดด้วยส่วนหนึ่งจากเหตุการณ์พวกนั้น... แต่เขาเองเสียสิ...จากที่ไม่เคยก้าวร้าวก็เริ่มทำลายข้าวของอย่างไม่มีเหตุผล ทะเลาะกับคนรอบตัว...รุนแรงจนหนักขึ้นเรื่อยๆ พอมาถึงจุดจุดหนึ่งถึงได้ฉุกคิด...แล้วสติมันก็เริ่มจะกลับมา...
   
“พี่กลัวแทบตายตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะกลายไปเป็นแบบพ่อ” ความกลัวตอนนั้นเขายังจำมันได้ดี กลัวไปหมดทุกอย่าง จากคนบ้าๆ ที่ชอบเข้าไปคลุกคลีกับคนอื่น ก็เกิดอาการไม่อยากคบหน้าใครทั้งนั้นเข้ามาแทนที่ ถ้าตอนนั้นไม่ได้เวย์ที่จับสังเกตเขาได้...ป่านนี้ก็สภาพของเขาคงย่ำแย่น่าดูชม
   
“ดีที่เวย์ช่วยไว้” วันสุขพึมพำขึ้นมา
   
“พี่เวย์ชอบบอกว่าพี่เอาแต่ใจ รับมือยาก” ซานว่าเบาๆ พลางหัวเราะในลำคอ
   
“แล้วเขาพูดว่าอะไรอีกบ้าง?” วันสุขอดถามไม่ได้...
   
หลังจากคืนนั้นที่เจ้าเด็กนี่ยอมสารภาพ คนที่รับเจ้าตัวไปเลี้ยงนั้นคือเพื่อนสนิทของเขาเอง แต่เวย์ไม่เคยเล่าเรื่องของซานให้ฟังเลยสักครั้ง หรือว่าอาจจะเล่า? แต่สภาพของเขาในตอนนั้น ถึงจะพูดอะไรไปก็คงไม่หือไม่อือสักอย่าง
   
แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เขาไปบ้านเวย์บ่อยครั้ง ทว่าไม่เคยเจอซานเลยสักครั้ง ซานก็บอกว่าช่วงที่เขามามักจะชนกับช่วงที่เจ้าตัวต้องออกไปเรียนพิเศษ คลาดกันแทบจะตลอด ถึงจะเจอกันทีไรก็มีแต่เขานั่นแหละที่นอนหลับเป็นตายบนโซฟาบ้านคนอื่น แถมแทบจะไม่ตอบสนองกับสิ่งรอบตัว
   
“ก็เล่าว่าพี่เป็นพวกหน้าอย่างใจอย่าง นิสัยเหมือนเด็ก ชอบทำอาหาร บ้าต้นไม้ คิดเองเออเอง ชอบอมพะนำ” ซานยกนิ้วขึ้นนับ ไล่เรียงไปทีละนิ้ว “...แล้วก็อีกเยอะ” สุดท้ายก็กลับมานอนกอดเขาแน่นเช่นเดิม ทำทีเหมือนอยากจะให้เขาเซ้าซี้ขอให้เล่าต่ออย่างไรชอบกล
   
“แล้วเวย์บอกเรื่องที่พี่...ป่วยหรือเปล่า?” ไม่อยากจะใช้คำนี้นัก ลึกๆ เขาก็ไม่อยากจะยอมรับตัวเองนักหรอก แต่การยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นก็ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนพื้นฐานที่เขาต้องรับให้ได้ ถ้ายังอยากจะรักษาให้อาการบ้าๆ พวกนี้มันทุเลาลงจนกลับไปเป็นปกติ
   
“อา... ถ้าจำไม่ผิดก็เพิ่งมารู้ตอนผมเข้ามหาวิทยาลัย... จำวันรับน้องวันนั้นได้ไหม สายตาเราสบกันด้วยล่ะ” ซานเล่าเสียงใส ทำท่าทีตื่นเต้น
   
“พอจำได้อยู่” วันสุขขมวดคิ้วนึก อาการเกร็งๆ จากฝันร้ายดูจะผ่อนคลายขึ้น เพราะถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งเรื่องเทือกนี้ก็ดูเหมือนซานจะเชี่ยวชาญดี
   
“ผมเห็นพี่ผมก็ยังไม่แน่ใจหรอก พี่ไม่ได้เข้ามาบ้านพี่เวย์ตั้งหลายปี เปลี่ยนไปตั้งเยอะ”
   
“เปลี่ยนยังไง?” วันสุขถามอย่างสงสัย
   
“ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น? แล้วก็ยิ้มได้เสแสร้งการค้าสุดๆ โอ๊ย!” ซานร้องลั่น เมื่อถูกเขากัดเข้าให้ที่ข้อแขน กล้าดีมากล่าวหากันแบบนี้ ลงโทษกันสักทีก็คงไม่เป็นไร
   
“เล่าต่อสิ” วันสุขสั่ง ไม่ได้สนเสียงโอดครวญของอีกฝ่ายสักนิด
   
“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แค่อยากไปทักทายอย่างคนรู้จัก แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว ดันมีแต่ผมที่รู้จักพี่ มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้” เรื่องเล่าจากมุมมองคนเอาแต่ใจ ก็ใส่ความเอาแต่ใจเข้าไปเต็มเปี่ยม “จำวันที่ฝนตกวันนั้นได้หรือเปล่า?”
   
“อา...จำได้” วันที่เขาโดนขโมยจูบตอนหลับนั่นไง จำไม่ได้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะให้พูดยังไง ตั้งแต่ช่วยงานอาจารย์มายังไม่มีใครอาจหาญขนาดนั้นเลยนะ...มีก็แต่เจ้าเด็กบ้านี่แหละ
   
“พี่ละเมอตลอดทาง ปล่อยลงเตียงก็ยังร้องไห้ ตาเหม่อๆ อย่างกับคนไม่ได้สติ เพ้อแปลกๆ ” ซานเล่าด้วยน้ำเสียงขบขัน มุมปากสวยยกยิ้มนิดๆ ตลอดเวลา ทำเอาเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์นั่นดูน่ามองเข้าไปอีก
   
“เพ้อยังไง?” เขาจำได้แค่ว่าตอนนั้นตัวเองหมดสติ นอกจากนั้นก็จำไม่ได้แล้วว่าทำอะไรไปบ้าง พอฉุกคิดขึ้นมาได้ก็อดกลัวอยู่หน่อยๆ เวลาเขาไม่สบายหนักๆ ก็มักจะเพ้อทุกที นี่คงไม่ได้ไปทำอะไรแปลกๆ หรอกนะ?
   
“พี่บอกว่า ‘รักผมที ใครก็ได้...มารักผมที’ ร้องไห้น้ำตาคลอแล้วยังทำท่าทางแบบนั้น ใครทนได้ก็คงต้องไปบวชแล้วล่ะ” แวบหนึ่ง ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นฉาบประกายพราวระยับ เจ้าเล่ห์อย่างกับแมวหง่าวกำลังหลอกล่อเจ้าของให้เปิดประตูบ้านอย่างนั้นล่ะ
   
“นี่เราเป็นเกย์เหรอ?” วันสุขเผลอถามออกไปก่อนจะได้คิด แล้วก็ต้องชะงัก...ว่าไปนั่นก็เหมือนจะเข้าตัวเองชอบกล แต่สำหรับเขา ใครก็ได้ทั้งนั้นแหละ
   
“ฟีโรโมนมันไม่เลือกเพศหรอกนะ ผมว่าพี่น่ะรู้ตัวดียิ่งกว่าผมอีก” ซานเหน็บแนม “ทิ้งสายตา ทอดหางเสียง เอียงคอ หัวเราะเบาๆ ถึงนั่นจะเป็นนิสัยพี่ก็เถอะ...” ว่าเสียงจิ๊จ๊ะแล้วก็กดจมูกโด่งๆ นั่นลงกับแก้มเขา หัวเราะในลำคอเบาๆ ทิ้งท้าย...จากแก้มมันก็เริ่มลามมาที่คอ
   
“ตีห้าแล้ว พี่ต้องลงไปรดน้ำต้นไม้” วันสุขพูดออกมานิ่งๆ ไม่ได้สนใจท่าทีของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ใช้ศอกดันคางแมวตัวใหญ่ออกไปเบาๆ พลางชันกายลุกขึ้นจากเตียง
   
“ต้นไม้สำคัญกว่าผมเหรอ?” คนเด็กกว่าร้องทวงสิทธิ์ของตัวเอง ก่อนจะเงียบลง...
   
วันสุขไม่ได้สนใจท่าทีนั้นนัก หัวสมองก็คิดแต่เรื่องเมนูกับขนมวันนี้ว่าจะทำอะไร กายเองก็ก้มลงถอดกางเกงนอนพรืดลงกับพื้น เหลือทิ้งไว้แต่เชิ้ตสีเข้มตัวโคร่งของคุณอาซึ่งลู่ไปกับช่วงสะโพก ขาขาวก้าวเดินฉับๆ มือไล่แกะกระดุมเสื้อทีละเม็ดไปจนถึงประตูห้องน้ำ
   
“ไปเอาเนื้อไก่ในตู้เย็นออกมาละลายน้ำแข็งให้ด้วย” ช่วงที่กำลังจะถอดเสื้อโยนลงตะกร้า ไม่วายหันมาชี้มือสั่งคนที่นอนตาวาวอยู่บนเตียงด้วยเสียงเรียบๆ เหมือนสิ่งที่ทำอยู่นี่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
   
“พี่นี่มัน...”


   


หมดช่วงสอบไฟนอลไปได้เกือบอาทิตย์แล้ว คะแนนก็เคลียร์ส่งได้แบบเฉียดฉิวเช่นทุกปี พอเสร็จงานคุณอาก็ไปต่างประเทศต่อทันที กว่าจะกลับก็เกือบเปิดเทอม วันสุขที่หมดภาระหน้าที่ก็บอกลามหาวิทยาลัยสักพัก กลับมานอนอยู่บ้าน ปรับสภาพจิตใจตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนดังเก่า
   
“ไม่เอาพายไก่” เสียงบ่นหงุงหงิงดังมาจากห้องนั่งเล่น เมื่อวันสุขเริ่มอบพายไก่ไปได้เกือบห้านาที
   
รายนี้ก็อีกคน พอคุณอาไป เขาก็นึกว่าจะได้ใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่กับตัวเอง ที่ไหนได้ วันต่อมาเจ้าตัวก็หอบกระเป๋าใบโตพร้อมข้าวของเครื่องใช้มากองไว้ที่บ้านเขา ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมกลับท่าเดียว แถมนับวันยิ่งทำเหมือนบ้านนี้เป็นบ้านตัวเองเข้าไปอีก
   
“เดี๋ยวพี่ทำซุปข้าวโพดด้วย” วันสุขว่าพลางคีบฝักข้าวโพดต้มขึ้นมาจากหม้อ กลิ่นหวานหอมทำเอาอยากฝานออกมากินเสียตอนนี้ ซุปครีมเองก็ใกล้เดือด กลิ่นละมุนๆ ลอยฟุ้งไปทั่วครัว
   
“ไม่เอาซุปข้าวโพด” ระดับเสียงดังยิ่งกว่าตอนโวยเรื่องพายไก่เสียอีก
   
วันสุขขมวดคิ้ว ใช้มีดฝานเมล็ดข้าวโพดลงมา สับอีกครั้งพอหยาบ ก่อนจะเทลงไปในซุปครีม หรี่ไฟเบาๆ แล้วเดินเข้าไปหาเจ้าตัวปัญหาที่นอนยึดโซฟาเป็นที่ประจำ
   
“ไม่เอาพายไก่ ไม่เอาซุป แล้วจะกินอะไร?” ถ้ายังเรื่องมากอีกเขาจะทอดไข่ดาวเปล่าๆ ให้กินแทน
   
“อะไรก็ได้ที่ไม่ใส่เนย” ซานทำหน้านึก “ซุปใสมันฝรั่งใส่ไก่ก็ได้ อาหารไทยๆ ก็ได้...” ว่าพลางแกว่งมือไปมา แล้วก็ชะงักไปเหมือนมีบางสิ่งไปดึงความสนใจบางอย่างของเจ้าตัว
   
“ก็ของในตู้เย็นมันมีเท่านี้นี่นา” พอคุณอาไม่อยู่ เขาก็ตระเวนออกไปซื้อของสำหรับทำเบเกอรี่ไว้เต็มตู้ ตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้เลยว่า สิ้นเดือนนี้ถ้ายังไม่สำเร็จวิชาเบเกอรี่ก็อย่ามาเรียกว่านายวันสุขเลย!
   
“เท่านี้ของพี่วัน คือมีของเอามาทำอาหารได้เท่านี้ใช่ไหม?” ซานเบะปากใส่ มือขาวยกขึ้นตีพุงตัวเองปุๆ และท่าทางนั้นก็เรียกรอยยิ้มของเขาได้ดี
   
“ถ้ากลัวอ้วนก็กลับบ้านไป พี่จะทำของพี่แบบนี้ อย่ามาห้ามเสียให้ยาก” ครัวบ้านนี้เป็นอาณาเขตของนายวันสุข เพราะฉะนั้นอำนาจการตัดสินใจของเขาถือเป็นสิทธิ์ขาด!
   
“วิญญาณแม่บ้านเข้าสิงอีกแล้ว” ซานบ่น “ขุนผมดีขนาดนี้ พออ้วนท้วนสมบูรณ์...คงไม่เอาไปกินใช่ไหม?” แล้วก็ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ใส่
   
วันสุขขมวดคิ้ว อยากจะพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่ก็เลือกที่จะเดินกลับไปเคี่ยวซุปในครัวต่อ ยืนทำนู่นทำนี่ไปสักพัก หูก็ได้ยินเสียงร้องเพลงเบาๆ ...แล้วเสียงเปียโนคุ้นเคยจากเครื่องเล่นเพลงที่อุตส่าห์เอาไปซ่อนไว้ในเก๊ะใต้โซฟาก็ดังขึ้น
   
แล้วก็ได้ทิ้งทุกอย่างพลางวิ่งตึงตังมาที่ห้องนั่งเล่นอีกรอบ...
   
“ซาน!” ตะโกนลั่นเรียกชื่อคนที่นั่งทำหน้าแปลกใจอยู่บนโซฟา วันสุขพุ่งตัวเข้าไปหา พยายามจะแย่งเครื่องเล่นเพลงกลับคืน แต่อีกฝ่ายก็ดันหลบทันอย่างว่องไว
   
“ไปเอาเพลงนี้มาจากไหนครับเนี่ย” เสียงนุ่มกลั้วหัวเราะถาม โยกตัวหลบเขาไปมาเหมือนแมวเปรียวอย่างไรอย่างนั้น
   
“เอาคืนมานะ” วันสุขไม่ตอบ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ตัวเขาเองถึงได้รู้สึกหวงเจ้าเพลงนี่นัก ถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาที่เขาอยู่คนเดียวจริงๆ ก็ไม่คิดจะเปิดให้ใครฟังหรอกนะ
   
มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะเก็บเอาไว้คนเดียว...
   
“สำคัญเหรอ? ทำไมถึงหวงขนาดนั้น?” คำถามยียวนถูกส่งมาทำเอาคิ้วกระตุก
   
“สำคัญสิ เอาคืนมานะ” เขาว่าเสียงเข้ม ยืนนิ่งๆ รอสบจังหวะอีกฝ่ายเผลอ
   
“มากกว่าแหวนนั่นหรือเปล่า?” ซานยังคงถามต่อไป และเพราะความกระวนกระวาย ทำเอาเขาลืมสังเกตอะไรบางอย่างไปเสียสนิท
   
“แหวนนี่น่ะของต่างหน้า แต่เพลงนั่นน่ะเครื่องช่วยหายใจพี่ เอาคืนมะ...!” ยังไม่ทันที่จะจบประโยค ตัวก็ถูกอีกฝ่ายรวบกอดเสียแน่น เสียงหัวเราะสดใสดังแผ่ว ท่าทางเหมือนคนที่กำลังดีใจสุดขีด
   
“พี่นี่มัน... จริงๆ เลยสิ” งึมงำเสียงขันอยู่ข้างหู จมูกโด่งนั่นเองก็กดลงกับแก้มเขาหลายฟอดใหญ่ๆ วันสุขยืนขมวดคิ้ว สมองเพิ่งจะได้ลองประมวลผล พอเอาเรื่องราวมาปะติดปะต่อกัน ฉับพลันแก้มมันก็รู้สึกร้อนๆ ขึ้นมา...
   
“อย่าบอกนะว่า...”
   
“ฮื่อ...ถึงจะหลายปีแล้วก็เถอะ แต่ผมก็จำได้หมดแหละว่าเพลงไหนที่ตัวเองเคยแกะมาเล่นบ้าง” ซานว่าพลางกอดเขาแน่น ซุกหน้าลงที่ซอกคอ แล้วโยกตัวไปมาอย่างเด็กๆ
   
วันสุขขมวดคิ้ว อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก แถมยังยอมรับออกไปอีกว่าเพลงนี่มันสำคัญกับเขาแค่ไหน... เวลาที่ปวดหัว รู้สึกสับสน รู้สึกเหมือนโดนทิ้งอยู่คนเดียว ทุกครั้ง...ก็มักจะกลับมานั่งเปิดเพลงเพลงนี้ฟังอยู่เสมอ
   
และเพราะว่ามันสำคัญมาก เขาถึงได้เก็บมันเอาไว้ฟังคนเดียว มีบ้างบางครั้งที่คุณอาเผลอมาได้ยิน แต่ท่านก็เลือกที่จะเดินหลบออกไปเงียบๆ ปล่อยให้เขาใช้เวลาอยู่ในโลกของตัวเองไป และทั้งที่เคยบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าอยากจะเจอคนที่เล่นเจ้าเพลงนี่สักครั้ง อยากเข้าไปขอบคุณสักหลายๆ หน แต่พอได้มารู้จริงๆ ... กลับพูดไม่ออก
   
“ดีใจจังครับ” ซานพูดเสียงเบา กอดเขาแน่นกว่าเดิม
   
วันสุขยังคงนิ่ง เพราะทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็เลือกที่จะยกมือขึ้นกอดตอบอีกฝ่ายแทน บรรยากาศแปลกๆ ชวนให้รู้สึกประดักประเดิดชอบกล ริมฝีปากสีสวยเผยอออก ทำท่าว่าจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็เลือกที่จะเงียบเหมือนเดิม
   
“ตอนพี่อายนี่ก็น่ารักดีนะ” ไม่วายแหย่เขาเล่นอีกประโยค
   
วันสุขขมวดคิ้ว ความรู้สึกในตอนนี้...น่าอายอย่างบอกไม่ถูก นี่ขนาดยังไม่ได้บอกอีกฝ่ายนะ...ว่าเขาเอาเพลงไปใช้ทำอะไรบ้าง มีแต่เรื่องน่าอายทั้งนั้น แค่ท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อครู่ ก็ทำเอาเขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
   
“ที่บอกว่าเป็นเครื่องช่วยหายใจเนี่ย...พี่เอามันไปเปิดฟังตอนไหนบ้างเหรอครับ?”
   
แมวจมูกดี! วันสุขเม้มปากขมวดคิ้ว สมองคิดวกวนว่าจะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์นี้อย่างไร
   
“ก็เปิดปกติ อย่าสำคัญตัวให้มากนักเลย” ว่าเสียงเรียบ ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจ
   
“เหรอ?” ซานขานรับสั้นๆ คล้ายจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะตอบแบบนั้น ซึ่งพอเขาเงียบไปอีก เด็กนี่ก็หัวเราะได้ใจ “ใช่สิ...สำคัญตัวผิดไปเองแหละ ไม่อย่างนั้นพี่วันไม่มาเดือดร้อนกับอีแค่ผมเปิดเพลงนี่หรอก...พี่นี่ขี้หวงเอาเรื่องนะ”
   
“อา...ซุปจะไหม้แล้ว” วันสุขเปรยขึ้นมาเหมือนคนนึกได้ กลิ่นเข้มๆ ลอยเข้ามาแตะจมูก และตอนนั้นเองที่เผลอเอามือผลักอกอีกฝ่ายจนหลุดออกมา ปลายเท้าก้าวขวับ เตรียมหมุนตัววิ่งกลับไปที่ครัว...
   
กิ๊งก่อง...
   
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นทำเอาเท้าชะงัก
   
“พี่ไปที่ครัวก่อน เดี๋ยวผมออกไปดูให้เอง” ซานอาสา ท่าทางดูหงุดหงิดที่ถูกเขาผลักไปเมื่อครู่
   
วันสุขยืนนิ่ง ยังไม่ทันที่จะได้โต้ตอบ อีกฝ่ายก็เดินฉับๆ ไปที่หน้าบ้านแล้ว ดวงตาสีอ่อนมองตามแผ่นหลังนั่นไป ชั่งใจอยู่เล็กน้อย รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ สุดท้ายก็เลือกที่จะตามออกไปด้วยคน...
   
สาวเท้าเข้าใกล้ประตู เสียงพูดคุยของคนนอกรั้วดังลอดเข้ามายามเขาแง้มเปิดมัน และเมื่อเสียงบทสนทนาดูรุนแรงขึ้น สุดท้ายวันสุขก็ตัดสินใจเปิดออกไปดูแทบจะในทันที
   
“ซาน ใครมาหะ...”
   
“กลับเข้าไป!!” เด็กคนนั้นหันกลับมาตะคอกใส่เขาเสียงดัง วันสุขชะงักกึก เท้าก้าวถอยตามสัญชาตญาณ... แต่คล้ายจะช้าไป...
   
ปัง!

   
ภาพสีแดงสดในวันนั้น...ถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง...



To be continued...
 :กอด1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
สนุกมากกกกกกกกกกกกกก มันหวาน ๆ ขม ๆ บอกไม่ถูก

อยากให้วันสุขมีความสุขเร็ว ๆ จัง

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
ขอบคุณนักเขียนนะคะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 13 - เงียบงัน กรีดร้อง


   
เหมือนเสียงแตกของแก้วซึ่งก้องอยู่ในหัว...
   

ปัง!
   

เสียงของปืนดังลั่นขึ้นมาอีกนัด ร่างของคนคุ้นเคยซึ่งหันมามองเขาอย่างตระหนกสะบัดไปตามแรงกระสุน เลือดสีสดสาดกระจาย เมื่อปลายแหลมของโลหะเรียวเจาะเข้าที่ฐานคอและสะบักไหล่...
   

“ซาน!”
   

วันสุขตะโกน... ดังที่สุดเท่าที่เส้นเสียงนี่จะอำนวย ขาที่ก้าวถอยเปลี่ยนทิศพุ่งเข้าหา อ้าแขนรับร่างที่ล้มฟุบเข้ามาทั้งที่ยืนอยู่ หัวใจเหมือนจะถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ กายเย็นยะเยือก ความหวาดกลัวพุ่งพล่านเข้ามาเกาะกุมสติ ไออุ่นของเลือดอาบย้อมมือทั้งสองข้าง... อุ่น...ไม่ต่างจากเหตุการณ์ในวันนั้น
   

ภาพของพ่อฉายวาบเข้ามาซ้อนทับกับคนตรงหน้า เสียงของหัวใจเต้นตุบในวันนั้นดังก้องอยู่ในหัว เสียงที่ค่อยๆ แผ่วลง แผ่วลงไป...
   

“!” พลันร่างกายกลับทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้นหญ้า เรี่ยวแรงเหมือนถูกสูบหายไปเสียดื้อๆ เสียงครางเจ็บปวดดังแว่วเข้ามาเรียกสติ วันสุขเบิกตากว้าง มือไม้สั่นๆ แตะไปที่แก้มสีซีดนั่น อีกมือก็ประคองคนเจ็บไว้อย่างทำอะไรไม่ถูก
   

ปัง! เพล้ง!
   

เสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้งทำเอาเขาสะดุ้งเฮือก กระจกซึ่งอยู่ด้านหลังแตกกระจายลงมา สายตาถูกดึงไปยังที่มาของวิถีกระสุน และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะมาระลึกได้ว่า นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งตระหนกอยู่ตรงนี้
   

“ลูกหว้า...” เสียงกระซิบเล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากที่ค่อยๆ เม้มแน่นเข้าหากัน ดวงตาสีจางจ้องไปยังร่างระหงนั่นซึ่งกำลังสั่นสะท้าน คล้ายคนที่กำลังหวาดกลัว
   

ปืนสีเงินในมือบางสั่นระริกยามที่ปากกระบอกเล็งมายังเขา ดวงตากลมโตคู่นั้นดูหมองมัวเศร้าสร้อย รื่นด้วยน้ำใส เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ชวนให้หนักอึ้งอย่างแปลกประหลาด
   

“คิดจะทำอะไร” วันสุขถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี อย่างน้อยก็อยากจะถ่วงเวลาเอาไว้ หัวใจที่เหมือนจะหยุดเต้นไปแล้ว เปลี่ยนจังหวะรัวเร็ว... มือประคองโอบกอดร่างของคนที่กำลังหายใจหอบ ท่าทางทรมานจนน่ากลัว เลือดปริมาณมหาศาลเทโชก...
   

“คิดจะทำบ้าอะไรกันแน่...ลูกหว้า...” เขากัดฟันกรอด ทั้งโกรธ ทั้งปวดใจไม่แพ้กัน เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี่ มันไม่ต่างจากวันนั้นสักนิด เพียงแค่บริบทของแต่ละคนได้เปลี่ยนไปแล้วเท่านั้น
   

“พวกเราน่ะ...สุดท้ายแล้ว...ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วนี่นา...” เสียงหวานสั่นเครือ ใบหน้าสวยสดนั่นบิดเบ้อย่างคนกลืนก้อนขม กระโปรงราตรีสีเข้มบนร่างกายนั่นขยับไหว ยามที่เธอก้าวเข้ามาใกล้พวกเขา “ทั้งพี่ดิน ทั้งลูกหว้าเอง แล้วก็ทั้งวันด้วย...”
   

“...” วันสุขเลือกที่จะเงียบ ไม่มีเหตุผลที่จะยกข้อโต้เถียง เมื่อสิ่งที่คนเคยสนิทตรงหน้าพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด ต่อให้ทำเป็นมองไม่เห็นอย่างไร สุดท้ายแล้วก็กลับไปยังจุดจุดเดิมไม่ได้อยู่ดี...
   

“ความเงียบแบบนั้นน่ะ... ลูกหว้าเกลียดที่สุด รู้หรือเปล่า?” เสียงเครือแตกพร่า น้ำสีใสไหลลงมาตามแก้มขาว ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น...คล้ายคนที่ใกล้ระเบิดอารมณ์เต็มที
   

วันสุขหรุบตาลงต่ำ หัวใจเจ็บแปลบ ชั่วขณะหนึ่ง...เสียงหัวเราะเบาๆ ของคนในอดีตก็ดังแผ่วขึ้นมาในหัว คล้ายกับกำลังเยาะเย้ยกับบาปของเขา
   

 “วันน่ะเงียบทุกครั้ง ไม่เคยพูดอะไรเลย ไม่เคยสนใจ ไม่เคยใส่ใจ ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร วันก็เอาแต่เงียบ ไหนบอกว่าสำคัญยังไงล่ะ! ถ้าสำคัญ..ทำไมถึงปล่อยให้พี่ดินฆ่าตัวตายล่ะ!! ทั้งที่รู้ว่าเขาจะทำ...ทั้งที่รู้ว่าลูกหว้าโกหก... ทำไมถึงไม่ทำอะไรเลย... ทำไมถึงใจร้ายขนาดนี้...ทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้...”
   

เรื่องในอดีตถูกขุดคุ้ยขึ้นมากะทันหัน... วันสุขกัดฟันแน่น เขาไม่อยากจะรับฟังอะไรทั้งนั้น เรื่องที่มันผ่านมาแล้ว ต่อให้กลับมานั่งถกอย่างไร คนที่ตายไปก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมา คำพูดที่เคยพูดก็ไม่อาจเรียกกลับมาได้ แก้ไขอะไรไม่ได้สักอย่าง ได้แต่ปล่อยให้มันจมจ่อมอยู่อย่างนั้น ให้มันตายไปพร้อมกับการมีอยู่ของเขา
   

“แล้วคิดว่าวันจะทำอะไรได้...” พึมพำขึ้นมาเสียงแผ่ว ขอบตามันร้อนขึ้นมาอย่างยากจะห้ามอยู่ “คนขี้ขลาดอย่างวัน...ลูกหว้าคิดว่าจะทำอะไรได้บ้างล่ะ...”
   

ความกลัวในวันนั้นเขายังรับรู้มันได้ดี ช่วงเวลาที่สูญเสียพ่อไป... ทั้งพี่ดินทั้งคุณอาก็เข้ามาเป็นที่พึ่งให้เขาอย่างสมบูรณ์แบบ เขาต้องเปลี่ยนที่เรียน ออกมาจากสังคม หวาดกลัวที่จะต้องรู้จักกับใครๆ แล้วคนใจดีอย่างลูกหว้าก็เข้ามา
   

ใครจะอยากเสียคนสำคัญไปกันอีกล่ะ... แค่การตายของพ่อคราวนั้นก็ทำร้ายเขามากพอแล้ว ร่างอุ่นๆ ที่ค่อยๆ เย็นชืดนั่น แขนที่กอดเขาเอาไว้ตลอดหลายชั่วโมง เสี้ยวหน้าที่กำลังหลับอย่างสงบ เลือดที่คลุ้งจนชินกลิ่น...
   

“ลูกหว้าเองก็รู้ พี่ดินเองก็รู้ ว่าสุดท้ายแล้ว...วันก็ไม่มีทางเลือกใครได้สักคน...” วันสุขพึมพำ การที่จะต้องเสียใครสักคนไป...ต่อให้คนคนนั้นไม่ได้ผูกพันอะไรกันมากมาย แต่มันน่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวจนเขาไม่กล้าที่จะเลือกเสี่ยง
   

‘ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก?’ เขาจำได้ดี... ลูกหว้าถามคำถามนี้กับเขาตลอดเวลา พี่ดินเองก็เหมือนกัน คนสำคัญเหล่านั้นบอกว่าเขาต้องเลือกสักคน ทำไมถึงต้องบีบให้เขาเลือกด้วยนะ? ทำไมความสัมพันธ์ซึ่งแรกเริ่มมันก็ไม่ได้มีอะไร ทำไมถึงได้ซับซ้อนวุ่นวายขึ้นมาเรื่อยๆ
   

อยากถามออกไป...หลายครั้ง ‘ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก’ ‘ทำไมถึงได้เห็นแก่ตัวนัก’ พวกเขา...ไม่ว่าใคร ก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น รู้อยู่แก่ใจเองดี แต่เสี้ยวหนึ่งลึกๆ กลับไม่เคยยอมรับความรู้สึกนั้นจริงๆ สักครั้ง
   

...เพราะแบบนั้นถึงได้เกลียด...
   

เกลียดเหลือเกินที่ยังฝืนพากันมาจนถึงปากเหว เกลียดที่ต้องมาอยู่ตรงกลาง เกลียดความอ่อนแอ เกลียดความขลาดกลัว เกลียดหัวใจที่โลเล เกลียดโชคชะตา เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่พาให้พวกเขาต้องมาเจอกัน
   

“แต่ถ้าตอนนั้น...ได้พูดรั้งเขาเอาไว้สักนิดก็คงจะดี...สินะ?”
   

น้ำตา... หยุดเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว...
   

วันสุขกัดริมฝีปาก พยายามสูดหายใจ แต่ว่ายากเต็มที สองแขนโอบกอดซานแน่น ซุกหน้าลงกับบ่าชุ่มเหงื่อ ภาวนาให้เสียงหอบหายใจนี่ยังไม่เงียบลง
   

“ซบลงมาแบบนี้...มันสะเทือนแผล...นะครับ”   
   

เสียงแผ่วปนหอบหนักกระซิบอยู่ข้างหู หลังคอถูกแตะเบาๆ ด้วยปลายนิ้วอุ่น วันสุขชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมองคนเจ็บอย่างช้าๆ ชั่วขณะเหมือนความหวาดกลัวในใจถูกพัดพาหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
   

“แก...” ลูกหว้ากัดฟันกรอด มือบางยกขึ้นสไลด์ลำปืนดังกริ๊ก ปากกระบอกหันทิศเปลี่ยนจากชูขู่เขาไปยังคนที่นอนหอบหายใจหนัก ดวงตากลมโตซึ่งรื่นไปด้วยหยดน้ำ พลันอัดแน่นด้วยความชิงชังจนน่ากลัว
   

วันสุขเบิกตากว้าง รีบวางซานลงกับพื้นหญ้า แล้วเบี่ยงตัวเองขึ้นมาเป็นโล่บังให้เด็กนั่นแทน เขาพอจะรู้แล้วว่าจุดหมายในการมาของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้มีแค่เขา... เพราะถึงปากกระบอกปืนนั่นจะสั่นกึกกักยามที่เล็งมายังกายนี่ ทว่าเมื่อมันเบนไปหาอีกคน...
   

“เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย” วันสุขพยายามพูดเตือนสติ
   

“แต่วันเลือกเขา...” ลูกหว้าพูดเสียงเบา “เพราะเขาสำคัญกว่าใช่หรือเปล่า? ทั้งที่ลูกหว้าเองก็ยังอยู่ แต่วันก็ไม่เคยเรียกหาเลยสักครั้ง”
   

“เพราะเหตุผลแค่นั้น...เลยคิดจะฆ่าเขาหรือไง?” ถามอย่างนึกโกรธ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนจะต้องเงียบเสียงลงเมื่อก้อนแข็งๆ มันมาจุกอยู่ที่คอ
   

“ความรู้สึกของคนที่ไม่ได้ถูกรักน่ะ... วันน่าจะเข้าใจดีไม่ใช่เหรอ!?” เธอคนนั้นตะโกนขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว “เด็กนี่น่ะ...หายไปซะได้ก็ดี! หายไปเหมือนกับพี่ดินซะได้ก็ดี!!”
   

“ลูกหว้า!!” วันสุขตะโกนลั่น เขาไม่อยากจะฟังคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผู้หญิงตรงหน้าอีกแล้ว...ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม...
   

นับตั้งแต่วันที่พี่ดินตาย ไม่มีสักวันที่ลูกหว้าจะไม่โทษเขา ถ้อยคำร้ายๆ เหมือนมือที่ช่วยผลักให้ตัวตนนี่ดำดิ่งจมลึกลงไปในโคลนสีเลือดยิ่งกว่าเก่า และทั้งที่จะเอาแต่โทษเขาแบบนั้น ในดวงตาคู่สวยนั่นกลับไม่เคยมีแม้แต่ความเศร้าฉาบอยู่เลยสักนิด
   

“ชีวิตพวกพี่เนี่ย...เหมือนละคร...เลยเนอะ...” ซานพูดตัดบรรยากาศขึ้นมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “นางเอกที่คบกับพระรอง...เพราะอยากให้พระเอกสนใจ...แต่พระเอกก็ดันมาพูดอวยพรเสียอีก...” พร้อมมืออุ่นๆ ที่วางทาบลงมาบนแผ่นหลังของเขาแผ่วเบา
   

“ใจร้ายจริงๆ เนอะ...ว่าไหม?”
   

“ซาน...” วันสุขเผลอครางชื่ออีกฝ่ายขึ้นมา เด็กนี่ฉลาดจนน่ากลัว เดี๋ยวเดียวก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้เสียแล้ว...
   

“แก...” หญิงสาวกัดฟันกรอด ท่าทีเปลี่ยนกลับไปเป็นดังเก่า
   

“โกรธเหรอ... คิดว่าทำร้ายผม...แล้วจะยอมถอยให้เหรอ...” ซานหอบหายใจหนัก ว่าเสียงขบขัน ยั่วอารมณ์อีกฝ่ายอย่างคนที่ไม่รู้จักอ่านบรรยากาศ “พอขู่แล้วไม่ได้ผล...รอบนี้...ก็เลยจะฆ่ากันเหรอ?”
   

“หมายความว่ายังไง...” วันสุขอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ ‘รอบนี้’ อย่างนั้นเหรอ? แสดงว่าก่อนหน้านี้... ไม่สิ...หรือว่าแผลประหลาดกับท่าทีแปลกๆ ของเด็กนี่เมื่อวันนั้น...
   

“ก็หมายความว่าอย่างนั้น...” ซานพูดเสียงแผ่ว แล้วก็ค่อยๆ ชันกายลุกขึ้นนั่ง วันสุขผวาเฮือก เมื่ออีกฝ่ายยิ่งขยับ เลือดก็ยิ่งไหลออกมามากเท่านั้น
   

“ยังขยับไหวอีกงั้นเหรอ” ลูกหว้าพูดเสียงเครียด ตั้งท่าว่าจะยิงซ้ำอีกครั้ง
   

“กระสุนแค่ลูกสองลูก... คิดว่าจะหยุดกันได้รึไง!!”
   

สิ้นเสียงตะโกน บางสิ่งบางอย่างก็พุ่งวูบผ่านเขาไป หญิงสาวกรีดร้องลั่น เสียงปืนดังสนั่นขึ้นนัดหนึ่ง หลังของเขาถูกมือของคนเจ็บกดอย่างแรงจนต้องฟุบหมอบกับพื้น ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นเงาของคนที่ไม่น่าจะมีแม้แต่แรงลุกฉายชัดเข้ามา
   

“ซาน!”
   

วันสุขตะโกน ความกลัวพุ่งวูบเข้ามาอีกครั้ง เมื่อเด็กบ้าบิ่นนั่นพุ่งตัวเข้าไปหาคนที่ยังมีปืนติดมือ!
   

“อย่าเข้ามานะ!” หญิงสาวร้องตระหนก มือบางพยายามจะสไลด์ขึ้นลำปืน แต่กลับช้ากว่าใครอีกคนที่คว้าข้อมือขาวนั่นได้อย่างทันเวลา
   

“ถึงจะเป็นผู้หญิง...แต่ก็ขอสักหมัดแล้วกันนะครับ”
   

วันสุขเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั่น รู้สึกหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก ยามที่ซานกระชากร่างของลูกหว้าเข้าหาตัวเอง แล้วส่งกำปั้นหนักๆ ตะบั้นใส่ใบหน้าสวยสดนั่นอย่างไม่มีออมแรง...
   

เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเพรียวเซถลาไปตามแรงหมัด แต่ดูเหมือนว่าคนที่ประกาศว่าแค่ ‘หมัดเดียว’ จะไม่ยอมปล่อยให้เธอได้ตั้งตัวง่ายๆ ข้อมือที่ยังถูกกุมแน่นไม่ปล่อย เหมือนสายเชือกที่กระตุกเข้าหา แล้วหมัดที่สองก็ทำเอาเขาตะลึงค้าง...
   

พลั่ก!
   

“ค่อยโล่งใจหน่อย...” ว่าเสียงใส ก่อนจะปล่อยมือคนสลบให้ล้มลงไปกองกับพื้น ร่างสูงเริ่มโงนเงน เหมือนใบไผ่ที่ปลิวได้ง่ายๆ ถ้ามีลมพัด
   

“ซาน!” วันสุขร้องตระหนก ขาสั่งให้ดีดตัวเข้าไปรับร่างที่กำลังล้มลงมา เลือดปริมาณมหาศาลไหลทิ้งเป็นทางยาวจนน่ากลัว เสียงหอบหายใจขาดๆ หายๆ เหงื่อเย็นซึมชื้นตามแนวขมับ ดวงตาสีเข้มที่มักจะมองมาด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ ตอนนี้กลับดูเลื่อนลอยคล้ายคนที่ใกล้จะหลับเต็มที
   

“อย่าหลับนะ! พี่จะรีบเรียกรถ...” มือควานไปทั่วตัวเพื่อหาโทรศัพท์ สมองมีแต่ภาพของพ่อซึ่งฉายซ้ำไปซ้ำมาจนเขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
   

“ใจ...เย็นหน่อย” ซานเตือน ทั้งที่สภาพตัวเองนั้นย่ำแย่เต็มที
   

“แต่ว่า...! ซาน...ซาน!!” ตั้งท่าจะเถียงกับอีกฝ่ายเช่นทุกครั้ง แต่ดวงตาคู่นั้นชิงปิดไปเสียก่อน วันสุขตะโกนลั่นเรียกชื่ออีกฝ่าย สมองลืมไปหมดว่าต้องทำอะไรบ้าง มือไม้สั่นกึกกัก ลมหายใจติดขัดเหมือนปอดถูกเบียดจนเจ็บแปลบ
   

“...อะ” หมดคำพูด ไม่มีแม้แต่แรงจะเปล่งเสียงออกมา มือพยายามจับไหล่กว้างนั่นแล้วเขย่า... แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย...
   

“วัน!”
   

พลันเสียงเรียกคุ้นเคยก็ดังขึ้น... วันสุขเงยหน้าขึ้นมาจากคนที่กำลังหายใจแผ่ว สายตาปะทะเข้ากับรถยนต์คุ้นตา ชั่วแวบหนึ่งเหมือนมีแสงเทียนจุดขึ้น ริมฝีปากสีส้มสวยยกยิ้มอย่างดีใจ เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของคนที่ดูแลเขามาตลอดทั้งชีวิต
   

“เกิดอะไรขึ้น!?”
   

ท่านถามอย่างตระหนก ดวงตาคมดุกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรเรียกรถพยาบาลแทนเขาที่ตกใจจนไม่เป็นอันทำอะไร
   

“...อึก”
   

เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เสียงสะอื้นฮักไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีก ทะเลน้ำตาไหลบ่าลงมาอย่างยากจะกลั้น ถึงจะยังตกใจจนควานหาเสียงของตัวเองไม่เจอ แต่พอมีคุณอาโผล่เข้ามา แค่นี้ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมากแล้ว...
   

“ไม่เป็นไร เขาจะปลอดภัย ตั้งสติหน่อยวัน...”
   

ไหล่ของเขาถูกบีบแน่น วันสุขพยักหน้าเบาๆ แขนเองก็กอดร่างของคนที่หายใจแผ่วเอาไว้หลวมๆ พยายามสูดอากาศเข้าปอด แต่ก็ต้องเลิกล้ม เพราะกลิ่นเลือดมันทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่าเก่า
   

“ทำไมลูกหว้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ท่านถามเสียงเครียด “ถอดเสื้อเขาออกก่อน เดี๋ยวอาจะไปหาผ้ามากดปากแผล” แต่ก็เลือกที่จะไม่ตั้งคำถามใดๆ ทั้งยังหันมาสั่งเขาเสียงเข้ม ก่อนจะหมุนตัวเดินฉับๆ เข้าไปในบ้าน
   

วันสุขนั่งนิ่ง มือแตะเข้าที่ชายเสื้ออีกฝ่าย แทบไม่กล้าดึงมันขึ้นมาเพราะกลัวกระทบบาดแผล และเพราะมัวแต่ลังเลอยู่แบบนั้น คุณอาที่เดินกลับออกมาถึงท่าทางจะดุเขาเสียยกใหญ่
   

“มัวแต่ชักชะ... วัน!”
   

เสียงขยับตัวดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเวลาเดียวกับที่เขาหันขวับไปมอง ก่อนที่โลกทั้งใบจะกลายเป็นสีดำสนิท...
   

ปัง!



(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
   

ลมเย็นยะเยือกพัดผ่านบาดผิว ฟ้าเปิดโล่งกว้างกว่าทุกวัน ดาวพร่างฟ้ากว่าทุกวัน ดวงจันทร์กลมโตดูสว่างไสวยิ่งกว่าทุกวัน... บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงหรีดหริ่งของแมลง... ไม่มีแม้แต่เสียงรถยนต์ หรือเสียงพูดคุยของผู้คน
   

บนดาดฟ้าที่เก่า... กลอนประตูถูกงัดจนหลุดมากองบนพื้นซีเมนต์ เศษกระจกแตกกระจายเกลื่อนพื้น ร่องรอยของการบุกรุกถูกทิ้งเกลื่อนกลาดตามทาง
   

ตั้งแต่สอบวิชาสุดท้ายในวันสุดท้ายของภาคการศึกษา...เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองมานั่งเหม่อมองฟ้าที่นี่ตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่ว่าต้องมาเท่านั้น ต้องมาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขึ้นมาที่นี่ให้ได้...
   

ไม่ได้รู้สึกอยากอาหาร ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะกลับบ้าน แค่อยากใช้วินาทีสุดท้ายมองฟ้าจากที่ตรงนี้ให้นานเท่าที่จะนานได้ หวังเพียงให้สมองมันปลอดโปร่งกว่านี้ หวังเพียงให้ลมยะเยือกบาดผิวพัดพาความกังวลใจออกไป
   

ปลายนิ้วแตะลงไปบนซี่ลูกกรงเย็นเฉียบ สายตากวาดทั่วฟ้าแล้วมองมายังปลายเท้า ลมหวีดหวิวพัดพาลงมาจากด้านล่างตึก เหมือนแอ่งสีดำที่คล้ายกับจะดึงดูดให้เข้าหา ชั่วขณะหนึ่งความคิดที่ว่าอยากจะโดดลงไปในหมอกสีเข้มนี่ก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวสมอง
   

“ทำไมถึงไม่กลับบ้าน”
   

มาอย่างเงียบงันไม่ต่างจากลม... เสียงทักแผ่วดังขึ้นอยู่ด้านหลัง เขากำมือแน่น จิตใจว่างเปล่าพลันหนักอึ้งขึ้นมา ฟันกัดกรอด...พร้อมความโกรธที่กำลังปะทุขึ้นมาจุกอยู่ในอก
   

“ลูกหว้าไม่ได้มาสอบ รู้ใช่หรือเปล่า” บังคับให้ปากขยับ สุดท้ายก็พูดเรื่องของเธอคนนั้นขึ้นมา หูแว่วยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ แล้วหยุดทิ้งระยะห่างไว้อย่างที่รู้ว่าเขาไม่ชอบ
   

“เธอโทรมาบอกพี่ว่าแท้งเด็กไปแล้ว” ถ้อยคำเรียบเรื่อย เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ทำเอาลมหายใจของเขากระตุก มือกำซี่กรงแน่น เกร็งจนแขนขึ้นข้อ
   

“สมใจแล้วใช่หรือเปล่า...”
   

“...” ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย ความเงียบบังเกิดขึ้นมาอย่างช้าๆ จนสุดท้ายแล้วก็เป็นเขาเอง ที่ต้องหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับอีกคน
   

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้สบตากันตรงๆ แบบนี้? ความรู้สึกนั้นทำเอาลมหายใจกระตุก เสี้ยวหน้านั่นถูกฉาบด้วยแสงไฟสีส้มอ่อนสลัว มองแทบไม่เห็น คล้ายกับจะกลืนหายไปได้ง่ายๆ ในความมืดสีดำสนิท
   

...สิ่งเดียวที่ฉายชัดมีเพียงแค่ดวงตาคู่โศกนั่นเท่านั้น
   

“ทำไมถึงทำแบบนั้น” แค่นเสียงถาม พยายามระงับสติ อย่างน้อยก็ยังอยากจะกลับไปคุยได้อย่างแต่ก่อน ทว่าอดีตสุขสันต์ที่เคยผ่านมาราวกับมายาจางๆ ที่มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง
   

“เกลียดเหรอ...ที่ทำแบบนี้” คำถามประหลาดถูกส่งกลับมา น้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนแก้วว่างเปล่านั่นผิดแผกไปจากทุกที
   

“เกลียดสิ! มันอันตรายไม่ใช่รึไง ถ้ากล้าที่จะทำกับเธอแบบนั้น...ทำไมถึงไม่รับผิดชอบ...” เขาแผดเสียงตวาดลั่น ก่อนที่มันจะค่อยๆ เบาลง เมื่อสมองนึกถึงภาพร้องไห้โฮของเพื่อนสนิท...
   

“ขอโทษ...” เสียงแผ่วพึมพำ กระซิบกระซาบจนแทบไม่ได้ยิน และนั่นเองก็ทำให้ความโกรธที่มันระอุอยู่ข้างใน...ระเบิดออกมา
   

“คนที่พี่ควรจะไปขอโทษน่ะ มันลูกหว้าต่างหาก!!” สิ้นเสียงตะโกนของตัวเอง ขามันก็สั่งให้เท้าก้าวสวบเข้าไปหาร่างสูงนั่น มือขยุ้มปกคอเสื้อเชิ้ตสีขาว พลางเหวี่ยงคนที่เหมือนจะยอมโอนอ่อนตามแรงให้ไปติดกับซี่ลูกกรง
   

“พอสักทีได้ไหม...หยุดได้แล้ว พี่จะทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปขนาดไหนกัน...” ยิ่งพยายามถูลู่ถูกังลากพากันไปเท่าไหร่ บาดแผลบนเส้นทางที่ฝืนเดินผ่านกันมา รังแต่จะมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีใครได้อะไร มีแต่ต้องสูญเสียมากขึ้นเรื่อยๆ
   

“ขอโทษ...ที่ทำให้มันกลายเป็นแบบนี้...” คำขอโทษดังขึ้นมาอีกครั้ง ตาคู่โศกนั่นก้มมองลงมา ก่อนจะหรุบต่ำ แหวนสีดำที่เจ้าตัวเคยบอกว่าสำคัญนักหนา สะท้อนวาววับล้อกับแสงไฟ
   

“ช้าไปหรือเปล่า...” เขาแค่นเสียง รู้สึกจุกเสียดไปทั้งอก ลำคอเกร็งจนสั่นพร่า “ช้าไปหรือเปล่า...เพิ่งมาพูดเอาตอนนี้น่ะ มันช้าเกินไปหรือเปล่า!?”
   

“พี่ก็แค่...”
   

“แล้วที่ผ่านมายังสำคัญไม่พออีกเหรอไง...” เขาขัดขึ้นมา ตัดคำพูดอีกฝ่ายราวกับจะรู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าจะบอกอะไร “พี่ก็รู้นี่...ชีวิตวันมันก็มีแค่พี่กับคุณอาเท่านั้นจริงๆ ส่วนลูกหว้าก็เข้ามาทีหลัง...พี่คิดว่าวันจะให้เขาสำคัญกว่าพี่หรือไง?”
   

ยิ่งเขาพูดออกไปมากเท่าไหร่ ความโกรธมันก็ค่อยๆ ปลิวหายไปเหมือนถูกลมพัด กลายเป็นความอัดอั้นตันใจที่เก็บสะสมมาตลอดหลายปี ความรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ไม่ต่างจากเจ้าของดวงตาคู่โศกนั่นสักเท่าไหร่
   

“ขอโทษ...” เสียงทุ้มห้าวพึมพำ มือเย็นเฉียบคู่นั้นยกขึ้นมา ทำท่าว่าจะแตะลงกับข้างแก้มนี่อย่างที่เคยทำ แต่สุดท้ายก็ชักกลับไป
   

ระยะห่างที่ไม่เคยมีเหมือนมันกว้างขึ้น และตอนนั้นเอง...ความรู้สึกที่เหมือนว่าจะไม่มีวันได้กลับไปยืนข้างๆ กันได้อีกก็ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ในอก
   

“วันภาวนาทุกวัน...ตั้งแต่ที่ลูกหว้ามาบอกว่าคบกับพี่ ...ทำไมถึงไม่เลิกกันซะ กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว จะแกล้งคบกันไปถึงไหน...จะปั่นหัววันกันไปถึงไหน” ความรู้สึกลึกๆ ถูกพูดออกมาอย่างยากจะหยุด มือเองก็ยิ่งกำเสื้ออีกฝ่ายแน่นขึ้น
   

“พี่เองก็ภาวนา...ถ้าเวลามันย้อนกลับไปได้...ก็คงจะดีใช่ไหม” พลันอีกฝ่ายก็พูดขึ้นด้วยเสียงเครือ ดูอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็น “อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม... แต่พอเลือกที่จะเดินมาแล้ว สุดท้าย...มันก็ต้องก้าวต่อไปเรื่อยๆ ...ไม่มีทางให้หันหลังกลับ ไม่มีทางที่จะแก้ไขอะไรได้”
   

พอได้ฟังก็ต้องเม้มปากแน่น เขาเกลียดประโยคแบบนี้ที่สุด และเกลียดเหลือเกิน...ที่เขาเองก็ดันเป็นเฟืองตัวหนึ่งที่พาให้ทุกอย่างมาจนถึงจุดนี้ จุดที่ไกลเกินกว่าจะกลับไปแก้ไข...
   

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่แค่จะพูดขอโทษแล้วกลับไปเป็นแบบเก่า ในเมื่อรอยแผลมันขยายวงกว้างจนไม่มีทางที่จะรักษาหายอีกต่อไป ระยะห่างที่ดึงกลับมาไม่ได้ ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม และสิ่งที่ผูกมัดพวกเขาเอาไว้ก็มีเพียงแค่สายใยบางๆ จากความสัมพันธ์ในอดีตเท่านั้น
   

“...เพราะพี่โลภมากสินะ” คนตรงหน้ายิ้มบาง “ทั้งที่เป็นแค่ ‘ดิน’ แท้ๆ แต่ก็ยังเรียกร้อง ทำให้เรื่องมันบานปลายจนแก้อะไรไม่ได้อีก” และนิ้วเรียวนั่นก็แตะลงมาเบาๆ กับมือของเขา
   

“แต่ที่ผ่านมาน่ะ พี่มีความสุขมากเลยนะ” คนพูดหรุบตาลง คล้ายกับกำลังนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ในวันวาน มุมปากหยักยิ้ม ดูอบอุ่น แต่ก็ซึมเศร้าไปในที
   

สายลมพัดพามาอีกครั้ง ทำเอาปลายเสื้อเชิ้ตปลิวสะบัด แขนเสื้อซึ่งไม่ได้ติดกระดุมของคนตรงหน้าพับขึ้นไปตามแรง และนั่นเองก็ทำให้เขาเห็นข้อมือขาวที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลมากมาย
   

“...” ริมฝีปากสีส้มสวยเผยอออก ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ช้ากว่าอีกคนที่ชักมือไปด้านหลังเพื่อหลบสายตาเขา ถึงท่าทีนั่นจะดูอ้อยอิ่งแนบเนียนแค่ไหนก็ตามที
   

“อยากอยู่ด้วยกันไปอีกนานๆ อยากจะอยู่ข้างๆ วัน ...ถ้าเวลามันหยุดเอาไว้ได้ก็คงจะดี”
   

“เวลา...หยุดไม่ได้หรอกนะ” และหากจะเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง เขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะกลับไปเริ่มกันใหม่ได้อีกแล้ว ก็เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยังไงล่ะ...
   

“นั่นสินะ...” คนตรงหน้ายิ้มเศร้า พลางหัวเราะเสียงแผ่วเหมือนใกล้จะหมดแรงเต็มที “พรุ่งนี้...พี่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น เก็บของล่วงหน้าเป็นอาทิตย์แล้ว...ดีใจหรือเปล่า?” แล้วก็กลับมาตีหน้ายิ้มเริงร่าได้ใหม่อีกครั้ง
   

“ย้าย...?” เขาทวนคำ หัวใจวูบโหวงไปชั่วขณะ สมองตีความคำพูดนั่นได้ทันทีที่ได้ฟัง ความรู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างถูกกระชากออกไป ในอกเหมือนถูกตีรวนจนว้าวุ่นสับสน ความโกรธพุ่งพรวดขึ้นมา แต่ก็ยังเลือกที่จะนิ่งงัน
   

“อืม...ก็เลยจะมาลา...คิดแล้วเชียวว่าต้องอยู่บนนี้” ยิ้มอ่อนปรากฏอยู่บนดวงหน้านั่น แหวนสีดำถูกถอดออกจากข้อนิ้วเรียว วางลงบนมือใหญ่ ก่อนจะถูกยื่นมาให้ “เก็บไว้ให้หน่อยได้ไหม?”
   

“...” เขาไม่ตอบ ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะแผ่ว มือเย็นเฉียบคว้าหมับเข้าที่ข้อแขนของเขา แล้วก็ยัดแหวนสีดำนั่นลงมาอย่างถือวิสาสะ พลางบีบมือนี่แน่น ราวกับจะกลัวว่าเขาจะขว้างมันทิ้งทันทีที่ได้รับ
   

“ก่อนที่จะไม่ได้บอก... แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเมื่อไหร่ ความรู้สึกพี่ก็ไม่เคยเปลี่ยน” เสียงทุ้มห้าวนั่นดูอ่อนลง คนพูดเงียบไปชั่วขณะ พลางสูดหายใจลึก และยิ้มที่ปั้นอยู่ก็ไม่ได้ดูสดใสอีกแล้ว...
   

“พี่ภาวนา...ถ้าเราไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก พี่ขอให้วันมีความสุข มีคนรักที่ดี มีชีวิตที่ไม่ต้องมาพบเจอกับเรื่องอย่างนี้อีก... ขอบคุณสำหรับอดีตของพวกเรา แล้วก็ขอโทษสำหรับปัจจุบัน...” คำพูดค่อยๆ แผ่วหาย แทบจะกลืนไปกับเสียงของลม
   

คนตรงหน้านิ่งเงียบไป ดวงตาคู่นั้นที่ก้มลงมาใกล้ดูเปล่งประกายกว่าทุกครั้ง ตาคู่สวยเหมือนฟ้าพราว ริมฝีปากอุ่นๆ ซึ่งแตะลงกับหน้าผาก...
   

“รักนะครับ”
   

คำสารภาพที่เศร้าที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยได้ยินมา...ถูกสายลมพัดพาไป
   

จางหาย...ไปพร้อมกับภาพแผ่นหลังที่กลืนไปกับความมืดสีดำสนิท


   


ติ๊ด... ติ๊ด... ติ๊ด...
   

เสียงอะไรสักอย่างดังแว่วเข้ามาในหู สัมผัสเจ็บแปลบที่กลางอกค่อยๆ รุนแรงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทรมานเท่าไหร่นัก บางสิ่งซึ่งครอบหน้าเขาไว้ครึ่งหนึ่งดูน่ารำคาญพิกล สติมึนเบลอ คิดอะไรไม่ค่อยจะออก แต่สิ่งที่ยังตกค้างอยู่ในสมองมีเพียงแค่ภาพฝันของคืนนั้น
   

น่าแปลก...ที่ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจอะไรอย่างแต่ก่อน ไม่มีน้ำตาไหลคลอทุกครั้งอย่างที่เคย แค่เหมือนฝันถึงเรื่องราวที่มันเคยเกิดขึ้น ไม่ได้รู้สึกลึกล้ำ หรือเหมือนถูกฉุดกระชากลงไป แม้จะวูบโหวงอยู่บ้าง และอดเสียดายไม่ได้อยู่ในที
   

นี่เขากำลังเปลี่ยนหรือเปล่า? ทั้งที่ไม่นานมานี้ยังขังตัวเองอยู่กับอดีตอยู่เลยแท้ๆ แต่พอมีเด็กบ้านั่นเข้ามา เจ้าเหมียวก็ฉุดเขาขึ้นมาจากวังวนนั่นได้อย่างง่ายๆ ท่าทางเหมือนไม่ต้องพยายามมากมายด้วยซ้ำ
   

ทว่าพอนึกถึงเรื่องของซานขึ้นมาได้ ภาพความทรงจำล่าสุดก็ฉายเข้ามาในสมอง ดวงตาเปิดพรึบอย่างลืมตัว ก่อนจะต้องหรี่ลงเมื่อแสงไฟจ้าสาดใส่เข้ามาจนพร่าเลือนไปหมด แขนพยายามขยับ แต่ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนร่างกายนี้ไม่ได้เป็นของเขาเอง...
   

หูแว่วยินเสียงพูดคุยฟังไม่ได้สรรพ แล้วความง่วงก็เข้ามาครอบครองสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เงาคนมากมายวูบไหวอยู่รอบตัว ท่าทางดูตื่นตระหนก สัมผัสได้ถึงใครบางคนที่แตะเบาๆ ตามเนื้อตัวของเขา ก่อนที่การรับรู้จะค่อยๆ เบาบางลง
   

ดวงตาปรือปิด...ตัดขาดจากทุกอย่าง และจมลงสู่นิทราอีกครั้ง

   

ฝันประหลาดเข้ามาครอบครองสติ...
   

แต่ครานี้กลับเป็นภาพแมวสีขาวปุกปุยตัวหนึ่ง...
   

กับฟ้าพราวพร่างดาว...สีทองกระจ่างตา...




To be continued...


อีกนิดก็จะจบแล้ว แปบเดียวเอง...
 :กอด1: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไม่นะะะะะะะะะะะ พี่วันนนนนน อย่าเป็นไรไปนะ T T

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทที่ 14 - แมว ผีเสื้อ

   

“อืม...อีกไม่กี่วันก็ได้กลับบ้านแล้ว อย่าห่วงนักเลย” เสียงนุ่มพูดแผ่วท่ามกลางความเงียบสงัด มือถือเครื่องบางเฉียบแนบอยู่ข้างหู ดวงตาสีอ่อนเหม่อมองไปที่นอกหน้าต่าง ริมฝีปากสีส้มสวยยิ้มบางๆ ขณะที่นิ้วเรียวไล้ไปตามปลายผมของคนที่นั่งฟุบหลับอยู่ข้างๆ
   

“เพื่อนโดนยิงเกือบตาย จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง! นี่ถ้าเคลียร์งานทางนี้ได้จะรีบไปเยี่ยมเลย” เวย์ตะโกนโหวกเหวก ในน้ำเสียงมีแววโกรธกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะเขาเพิ่งจะโทรไปรายงานสภาพตัวเองกับอีกฝ่ายเมื่อชั่วโมงก่อน บทเทศนายาวเหยียดก็เลยยืดเยื้อมาเป็นชั่วโมง
   

“ทำงานไปน่ะดีแล้ว มาเยี่ยมก็เสียเวลาเปล่าๆ ” วันสุขหัวเราะ แต่ก็ต้องหยุดไปเพราะเจ็บเสียดแถวอก ถึงสภาพเขาดีขึ้นมากแล้วก็เถอะ แต่อาการตกค้างก็ยังมีอยู่บ้าง ต่างจากอีกคนที่ดีวันดีคืน ไม่รู้ว่าเพราะยังเด็กอยู่หรือเปล่า สภาพร่างกายถึงได้ฟื้นฟูเร็วนัก
   

“พูดมาได้นะ... แล้วเป็นยังไงบ้าง นอนโรงพยาบาลเกือบเดือนเลยใช่ไหม” หลังจากบ่นเขามาเกือบชั่วโมง อีกฝ่ายก็เหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าควรจะถามสารทุกข์สุกดิบของคนป่วยเสียที
   

“ก็ปกติดี” วันสุขตอบ แกล้งจิ้มนิ้วกับแก้มคนหลับ เสียงงึมงำส่งประท้วง แล้วก็คว้ามือเขาเข้าไปซุกไว้ไม่ยอมปล่อย
   

“ไม่ได้รู้สึกกระสับกระส่าย หรือฝันอะไรประหลาดๆ ใช่ไหม” สมกับเป็นเพื่อนสนิท ถามมาแต่ละอย่างทำเอาเขาขมวดคิ้วได้ทุกที เวย์คงทำงานมากไป หลายครั้งถึงได้ไม่ค่อยยอมวางบทบาทอาชีพตัวเองลงสักเท่าไหร่
   

“ฮื่อ ดีขึ้นแล้ว จู่ๆ ก็ทุเลาลง แปลกดีเหมือนกัน” พูดพลางหัวเราะ “ต้องบอกว่าสบายใจแล้วมากกว่า พอโดนลูกหว้ายิงไปที ก็คล้ายกับว่าเรื่องหนักๆ มันเบาลงโข”
   

“แล้วได้คุยกันหรือยัง ไม่แจ้งความจะดีเหรอ?” เวย์ถามเสียงเครียด ท่าทางไม่พอใจเด่นชัด
   

“ก็ตอนฟื้นหลังจากถูกยิง ลูกหว้าเขาก็มาเยี่ยมนะ ได้คุยกันนิดหน่อย ส่วนเรื่องโดนยิง...แถวนั้นไม่มีใครอยู่อยู่แล้ว ขอร้องคุณหมอเอาไว้แล้วด้วยว่าให้ช่วยปิดเรื่อง ทางบ้านฝั่งลูกหว้าเขาก็มาเจรจากับคุณอาเอง ก็ได้ค่าขนมมาเยอะอยู่นะ” เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
   

“ง่ายดีนะ!” เวย์แค่นเสียงประชด
   

“ง่ายๆ นั่นแหละ... เรื่องนี้มันเริ่มด้วยจุดง่ายๆ ให้มันจบง่ายๆ แบบนี้น่ะดีแล้ว ถึงตัวละครตอนจบจะไม่ครบก็เถอะ” วันสุขว่าเสียงเรียบ
   

เรื่องบ้าๆ นี่เขาเองก็มีส่วนผิด เป็นคนที่ผิดมากที่สุดด้วยซ้ำ... โดนยิงแค่นี้ยังคงชดใช้ได้ไม่หมด สิ่งที่ทำได้คงมีแต่ใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ลืมสิ่งที่มันเคยเกิดขึ้นเท่านั้น
   

“อีกอย่าง...ลูกหว้าก็โดนทางบ้านส่งกลับต่างประเทศไปแล้ว ต่อจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง ทางนั้นเขาเคร่งกันจะตาย” เป็นตระกูลเคร่งๆ ที่เจ้าระเบียบยิ่งกว่าอะไรดี “พอมาคิดดูแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเรา...เหมือนเป็นจุดรวมของคนขาดๆ เกินๆ เลยเนอะ”
   

“ให้ตายสิ... แล้วซานเป็นไงบ้าง”
   

“นึกว่าจะไม่สนน้องตัวเองซะแล้ว” วันสุขเย้าแหย่ เขายังอดแปลกใจไม่ได้ ตอนโทรไปบอกเวย์ว่าใกล้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว อีกฝ่ายตกใจยกใหญ่ นี่แสดงว่าซานไม่ยอมบอกอะไรเพื่อนสนิทเขาเลยสินะ
   

“แสดงว่ายังไม่ตาย แค่นี้แล้วกัน พยาบาลเรียกแล้ว” ว่าอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ตัดสายทิ้งไปเสียดื้อๆ
   

วันสุขนั่งนิ่ง เขาชักไม่ค่อยจะเข้าใจความสัมพันธ์ของสองคนนี้เท่าไหร่ ฟังจากซานเล่า เวย์ก็ดูเห่อน้องดี แต่ทำไมถึงทำท่าทีไม่ใส่ใจแบบนี้นะ? แต่คิดได้ไม่นานก็ต้องยกยิ้ม เมื่อเสียงโทรศัพท์ของคนหลับบนโต๊ะข้างเตียงสั่นครืดคราดอยู่สักพัก ก่อนจะเงียบไป
   

เขาหัวเราะแผ่ว ดึงมือออกมาจากแก้มอุ่นๆ แล้วเปลี่ยนมาเป็นลูบศีรษะได้รูปนั่นแทน กลุ่มผมนุ่มนิ่มลื่นมืออย่างบอกไม่ถูก ชวนให้เพลินชอบกล
   

เรื่องที่โดนยิงเขาแทบจะไม่ได้บอกใครเลยสักคน นอกจากเพื่อนๆ ในวงการของเวย์ และคุณอาที่คอยมาดูแลเขา แล้วก็ทางฝ่ายครอบครัวของลูกหว้า เพราะแบบนั้น พอเปิดเทอมเข้ามาใกล้ ซานที่เริ่มจะหายดีถึงได้ขอทำเรื่องออกก่อนกำหนด
   

น่าเสียดายตรงช่วงเวลาหยุดยาว เขาต้องมาขลุกอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีอะไรให้ทำ ได้แค่นอนดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ฟังเพลงไปเรื่อยๆ ขยับตัวก็แทบจะไม่สะดวก แต่ความทรมานหลังจากรอดตายมาใหม่ๆ ยังทำเอาหนาวติดเนื้ออยู่เลย
   

หลังจากคืนแรกที่ฟื้น เขาฝันถึงพี่ดินบ่อยครั้ง แปลกตรงที่ว่า นอกจากจะฝันถึงเรื่องแย่ๆ แล้ว พักหลังมานี่ก็มักจะนึกเรื่องดีๆ บ่อยขึ้น และนั่นก็ทำให้รู้สึกประหลาด
   

ชีวิตนี่มันตลกเสียจริง... เรื่องบางเรื่องง่ายๆ ที่เขาไม่เคยนึกถึง อย่างเช่นการจับเข่าคุยระหว่างคนสามคน หรือแม้แต่การพูดอะไรสักอย่างออกไป แค่จุดเล็กๆ น้อยๆ ...ปัจจุบันที่เป็นอยู่นี่อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก็ได้
   

แต่ก็เพราะว่ามันตลกนั่นแหละ และตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่ใช่ตัวเขาในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นคนเราก็คงไม่มีเรื่องขำขันให้นึกถึงเวลาเล่าเรื่องอดีต หรือรู้สึกเสียใจเมื่อพบว่าหากทำบางสิ่ง โอกาสที่หลุดลอยไปก็จะเข้ามาหาได้อย่างง่ายๆ
   

ก็เพราะว่ามันไม่แน่นอน แล้วสายตาของนายวันสุขก็ไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้ ตัวเขาเองในปัจจุบันยังไม่อาจเข้าใจตัวเขาได้อดีตได้เลย แต่นั่นกลับทำให้เขารู้สึกดี... เพราะว่านั่นคือสิ่งที่บอกว่าเขากำลังเปลี่ยน…
   

ถึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นายวันสุขคนนี้จะไม่ลืมเรื่องของพี่ดิน และแม้จะย้ำกับตัวเองบ่อยแค่ไหนว่า โกรธการกระทำของผู้ชายคนนั้นเหลือแสน แต่เกินกว่าครึ่งในความรู้สึก ก็ยังคงเป็นความรักและคิดถึงไม่เคยเปลี่ยน
   

ความโกรธมันเป็นแค่ข้ออ้างที่ทำให้รู้สึกผิดน้อยลง เมื่อรับรู้ว่าคนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้วก็เท่านั้นเอง เพราะตอนนั้นโกรธถึงได้ไม่ยอมพูดรั้งอะไรออกไป ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาเองก็เป็นแค่มนุษย์ขี้ขลาดคนหนึ่ง
   

“เวย์วางสายไปแล้วรึ?”
   

เสียงแหบเข้มดังขึ้นมาที่หน้าประตู วันสุขฉีกยิ้มให้กับผู้มาใหม่ คุณอาเดินอาดๆ เข้ามาหา สายตาคมเหลือบมองคนหลับแวบหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มอย่างผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก


“วางสายไปแล้วครับ ผมก็นึกว่าคุณอาบอกเขาแล้ว พอโทรไปรายงาน ฝ่ายนั้นเทศน์ผมยกใหญ่” โอดครวญอย่างที่ชอบทำ มุ่ยหน้าใส่ หวังเรียกร้องความเห็นใจ แต่คนเป็นอาเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มขำให้เขาแทน
   

“อยากกลับไปเป็นเด็กอีกหรือไง?” ท่านถาม “แล้วเรื่องทำบุญล่ะว่าไง ไปไหวหรือเปล่า อาทิตย์หน้าแล้วนะ” ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นกล่องใส่ขนมมาให้
   

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เวลาเดินยังเจ็บอยู่เลย” วันสุขถอนหายใจเฮือก เพราะสภาพเขาเป็นแบบนี้ ทุกคนเลยดูแลประคบประหงมกันเสียอย่างกับเขาเป็นคนไข้ที่เพิ่งออกจากไอซียู
   

“เลื่อนออกไปก่อนก็ได้นะ” คุณอาพูดเสียงนุ่ม ช่วงขายาวนั่นเดินฉับๆ ไปนั่งที่โซฟาข้างเตียง
   

“จริงๆ งดไปสักปีก็ได้ครับ” เขาพูด สายตาอดมองไปที่แหวนสีดำบนนิ้วข้างเดิมไม่ได้ หลายครั้งแล้วที่ตั้งใจจะถอดมัน แต่ก็ทำใจไม่ได้สักที แต่เรื่องนี้เขาไม่อยากจะบอกใครสักเท่าไหร่ ก็แค่อยากจะพยายามด้วยตัวเองสักครั้ง
   

“แต่นั่นวันเกิดเรานะ” คนเป็นอาท้วงอย่างรวดเร็ว ท่าทางจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเขาเสียเต็มประดา
   

“ไม่ใช่แค่วันเกิดผมคนเดียวสักหน่อย แต่เป็นวันที่พ่อไปอยู่บนฟ้านู่นแล้วด้วยต่างหาก” เขาพูดเสียงเบา รู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เมื่อครบวันเกิด เขาก็จะไปทำบุญวันเกิดกับทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อในทีเดียวเลย
   

“ก็นั่นแหละ งดไปจะดีจริงๆ เหรอ? ” คุณอาถามย้ำ คงเพราะทำติดต่อกันมาหลายปีจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว พอเห็นเขามาพูดแบบนี้ ท่านก็เลยอดท้วงไม่ได้
   

“งั้นผมขอรวบยอดไปปีใหม่เลยดีไหม ทำบุญวันเกิด ทำให้พ่อ ให้พี่ดิน ให้ลูกที่แท้งของลูกหว้า แล้วก็จะไปเยี่ยมแม่ด้วย” เขาร่ายโปรแกรมยาว นึกๆ ไปแล้วก็อดหนาวเยือกไม่ได้...
   

“เรื่องผู้หญิงคนนั้นน่ะ ยอมแพ้เถอะ” คุณอาว่าเสียงขุ่น ท่านไม่ชอบแม่ของเขาเท่าไหร่ ไม่ชอบมาตั้งนานแล้ว เพราะแบบนั้นเด็กชายวันสุขอย่างเขาในตอนนั้นถึงได้ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ว่าทำไมคุณอาถึงได้ไม่เคยโกรธพ่อสักครั้ง แต่พอพูดถึงเรื่องแม่ขึ้นมาก็มักจะหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอด
   

“นั่นสิเนอะ...ถึงไปหายังไงก็คงโดนญาติๆ ฝ่ายนั้นตะเพิดกลับมา” เขาทำหน้าครุ่นคิด ข่าวคราวครั้งสุดท้ายที่ได้ยินเกี่ยวกับแม่ตัวเองก็ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เห็นว่าป่วยร้ายแรง แต่พอจะไปเยี่ยมก็โดนปฏิเสธตลอด
   

นับตั้งแต่วันที่เกิดอุบัติเหตุคราวนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าแม่ของเขาทำอะไรไว้บ้าง น่าหงุดหงิดที่ฝ่ายนั้นเส้นสายตำรวจใหญ่โต คดีเลยเงียบหายไป สุดท้ายก็จบลงแบบมึนๆ งงๆ
   

คุณอาไม่เคยบอกเขาสักครั้งว่าทำไมแม่ถึงได้ทำแบบนั้น แต่เขาก็พอคาดเดาเหตุผลได้รางๆ จากสิ่งที่มันเกิดขึ้น ...ถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ผู้หญิงน่าอัศจรรย์เสมอ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม...
   

“พอมาคิดๆ ดูแล้ว ชีวิตผมนี่ก็ตลกดีเหมือนกันนะครับ” วันสุขพูด ลากนิ้วลงบนเส้นผมนุ่มนิ่มของคนหลับอุตุ ริมฝีปากสีส้มสวยคลี่ยิ้มอ่อน “ใครมันจะไปคิดล่ะว่าจะมาลงเอยแบบนี้”
   

“พูดเหมือนคนแก่” คุณอาขัด ทำเอาเขาเบ้หน้าใส่
   

“จะว่าไปแล้ว...” เสียงนุ่มเกริ่นก่อนจะเงียบลง นิ่งไปสักพักคล้ายกับคนที่กำลังเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่ “เด็กที่ลูกหว้าไปเอาออกเมื่อตอนนั้น...ไม่ใช่ลูกของพี่ดินสินะครับ”
   

“ไม่ใช่... ยังคิดมากอยู่อีกเหรอ”
   

“แต่ว่าเด็กคนนั้นก็ตายเพราะผมใช่ไหมล่ะ?” วันสุขถาม นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็ชวนให้อึดอัดใจทุกครั้ง เพราะเด็กคนนั้นด้วยเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามคนยิ่งอึมครึมเข้าไปใหญ่ เป็นเด็กที่ไม่ได้ทำอะไรผิด และก็ไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
   

“ทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเอง อย่าเอาแต่แบกเรื่องหนักๆ ให้มากนัก เห็นแก่ตัวซะบ้างจะได้สบายใจ” สมกับเป็นคุณอา แนะนำมาแต่ละอย่างทำเอาเขาอดที่จะยกยิ้มไม่ได้
   

“ถ้าว่ามาแบบนั้นล่ะก็นะ...”
   

คำพูดเงียบหาย เสียงแผ่วเบาลง สายตาทอดมองแหวนสีดำอีกครั้ง ความคิดที่จะถอดมันด้วยตัวเองเริ่มเปลี่ยนไป หูแว่ววานเสียงฝีเท้าย่ำหนัก ก่อนที่เสียงประตูปิดจะดังขึ้นเบาๆ ทิ้งให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง



(มีต่อ)

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
   

ไม่นานนักหลังจากที่คุณอาออกไป ก็มีความเคลื่อนไหวจากคนที่น่าจะหลับสนิท ทำเอาเขาต้องชะงักมือซึ่งลูบศีรษะเจ้าตัวอยู่ ดวงตาพราวนั่นค่อยๆ ปรือเปิด ไม่ได้มีเค้าของคนที่เพิ่งตื่นเลยสักนิด เจ้าตัวครางงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ มือปะป่ายลงกับเตียง ก่อนจะคว้าเอวเขาเข้าไปกอดแน่น
   

“ถ้าตื่นตั้งนานแล้วทำไมไม่บอก” วันสุขถาม ไล้ปลายนิ้วเล่นกับแก้มอีกฝ่าย สัมผัสนุ่มอุ่นชวนให้รู้สึกดีอย่างประหลาด
   

“ผมไม่อยากขัด” ซานว่า คว้ามือเขาเขาไปซุกอีกครั้ง กดจมูกลงกับหลังมือ ท่าทางอ้อนๆ แบบนั้นทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วใส่
   

“เป็นอะไรน่ะเรา” อดถามไม่ได้ จะชักมือออก แต่ก็โดนดึงกลับไปอีกรอบ
   

“ดีใจน่ะครับ ได้รู้เรื่องของพี่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว” เสียงนุ่มนั่นกระซิบบอก “ผมอยากให้พี่เล่าให้ฟังเยอะๆ ”
   

“ไม่มีอะไรน่าฟังหรอกนะ” วันสุขส่ายหน้า นึกไม่ออกจริงๆ นั่นแหละว่าจะเอาอะไรไปเล่าดี ในเมื่อแต่ละอย่างก็เป็นเรื่องซับซ้อนทั้งนั้น
   

“อย่างเรื่องของคนที่ชื่อดิน...” เด็กนั่นตีจุดเขาอีกแล้ว
   

“จะฟังให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย” เขาขมวดคิ้ว ดึงแก้มคนถามอย่างนึกมันเขี้ยว แมวตัวใหญ่แสร้งร้องโอดโอย ทำท่าเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา
   

“ถ้าไม่รู้ว่าเขาเข้ามาในใจพี่ได้ยังไง แล้วผมจะไปรู้วิธีทำให้พี่ลืมเขาได้ยังไงล่ะครับ” ซานยกเหตุผลขึ้นมากล่อมเขา วันสุขถอนหายใจเฮือก คิดเอาไว้แล้วเชียว ไม่ช้าไม่นานก็คงต้องยอมเล่าออกไปจริงๆ สักที
   

“ตอนที่ไปบ้านพี่น่ะ...จำบ้านร้างที่อยู่ข้างๆ กันได้หรือเปล่า?” ซอยเปลี่ยวนั่นมีบ้านแค่สองหลัง นอกนั้นก็เป็นป่ารกๆ กลางกรุง เป็นที่ดินที่ปู่กับพ่อเหลือทิ้งไว้ให้
   

“จำได้ครับ บ้านของคนชื่อดินเหรอ?”
   

“ฮื่อ... พี่ย้ายเข้าไปที่นั่นตั้งแต่ยังเด็ก มารู้ตัวอีกทีก็มีเขาคอยมาดูแลแทนคุณอาที่กลับดึกบ่อยๆ ” ประโยคถูกหยุดไป ในขณะที่สมองเริ่มนึกย้อนไปถึงวันวานเหล่านั้น “ชีวิตพี่มีเท่านั้นจริงๆ นั่นแหละ... ไปเรียน กลับบ้าน เล่นกับพี่ดิน แล้วก็นอน”
   

“น่าเบื่อจริงๆ ” ซานว่า ทำท่าหาวหวอด แต่ตาก็ยังคงมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
   

“น่าเบื่อใช่ไหมล่ะ วันๆ พี่ก็ทำแค่นั้นแหละ เพราะมีแค่พี่ดินที่คอยอยู่ข้างๆ กับคุณอา แล้วยิ่งหลังจากเสียพ่อไป พี่ก็ยิ่งติดเขาแจ เหมือนเป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่งนั่นแหละ”
   

ซานลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียงมานั่งข้างๆ เขาแทน มือก็ยังคงกุมมือเขาเอาไว้ ส่งๆ ไออุ่นๆ มาให้คล้ายกับจะให้กำลังใจอยู่ในที
   

วันสุขยกยิ้ม ปรือตาลง เอนศีรษะพิงกับไหล่ของอีกฝ่าย ถอดถอนลมหายใจยาว น่าแปลกที่แม้จะรู้สึกปวดใจอยู่สักหน่อย แต่การนึกถึงเรื่องที่มันเคยเกิดขึ้นกลับทำให้เขารู้สึกมีความสุขไปพร้อมๆ กัน
   

“เขาสำคัญนะ สำคัญกับพี่มากๆ ส่วนพี่เองก็สำคัญกับเขาเหมือนกัน คงเหมือนคนอ่อนแอสองคนที่ดึงดูดเข้าหากันล่ะมั้ง” เพราะมีกันและกัน ในแต่ละวันที่ต้องหายใจอย่างยากลำบากถึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
   

“ฟังแล้วน่าหงุดหงิดดีนะครับ” ซานขัด คิ้วคมสวยเริ่มขมวดปม
   

“เหรอ? แต่จริงๆ ความสัมพันธ์มันก็มีเท่านั้นแหละ แต่เพราะมีลูกหว้าเข้ามา เรื่องมันก็เลยกลายเป็นแบบนี้”
   

“ผมรู้สึกว่าตัวเองแพ้ยังไงก็ไม่รู้” แมวตัวใหญ่พูดด้วยเสียงหงุดหงิด
   

“แพ้ยังไง?” เขาถาม แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่นิดๆ
   

“เขามาก่อนผม อยู่กับพี่มาตั้งนาน...ล้างสมองพี่มาตั้งกี่ปีก็ไม่รู้ พอตายไปแล้วยังฝากฝังอุปสรรคไว้ให้อีก” ซานว่าเสียงเรียบ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะตีเจ้าเด็กนี่สักที มาพูดเสียมารยาทกับคนตายแบบนี้ได้ที่ไหน แต่พอฟังๆ ไปแล้วมันก็จริงอยู่หลายส่วนทีเดียว...
   

“ล้างสมองเหรอ?” วันสุขขมวดคิ้วบ้าง
   

“อย่างประโยคจำพวก ‘มีกันและกันก็พอแล้ว’ ‘อยู่ด้วยกันตลอดไป’ จำพวกนี้... เขาเคยพูดกับพี่สักครั้งไหม?”
   

“พูดบ่อยๆ ” พอมานึกๆ ดู พี่ดินก็ชอบย้ำกับเขาแบบนี้ตลอด
   

“ว่าแล้วไหมล่ะ...” ซานทำท่าเหมือนเดาคำตอบถูก จากนั้นน้ำเสียงก็ดูหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม “ถ้าอยากจะผูกใครสักคนไว้กับตัวเอง เป็นผม...ผมก็จะพูดแบบนั้นเหมือนกัน”
   

“แต่วันที่ได้แหวนนี่มา... เขายังอวยพรให้พี่ได้เจอคนใหม่ที่ดีอยู่เลย” มือซ้ายถูกยกขึ้นดู แหวนสีดำสะท้อนวิบวับล้อกับแสงไฟ
   

“พี่คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ?” คนเด็กกว่าเหน็บแนม “คนที่ยึดติดมากๆ ต่อให้ปากพูดไปแบบนั้น... แต่ใจก็ไม่มีวันคิดแบบนั้นหรอก ไม่อย่างนั้นไอ้แหวนนี่มันคงไม่มาโผล่บนนิ้วพี่แบบนี้”
   

“เราพูดอย่างกับรู้จักพี่ดินดี” วันสุขท้วง มือซ้ายถูกคว้าไปกุมหลวมๆ
   

“บางทีผมอาจจะคล้ายๆ กับเขาด้วยก็ได้ล่ะมั้ง...” ซานพูด ใช้นิ้วโป้งลูบกับหลังมือเขาเบาๆ “แต่ผมว่าผมต่างจากเขา...”
   

“ต่างยังไงล่ะ?” เขาถาม ชักจะอยากรู้ขึ้นมาหน่อยๆ แล้วว่าเจ้าเด็กนี่จะมาไม้ไหนกันแน่
   

“เขาจากไปเพราะรักพี่ใช่หรือเปล่า?” ซานถามกลับ และคำถามนั่นก็ทำเอาเขานิ่งเงียบไปสักพัก
   

“ไม่เชิง... แต่ถ้าจะให้พูดแบบดูหลงตัวเองก็คง...ใช่” เพราะอ่อนแอจนไม่อาจรับความรู้สึกใดๆ ได้อีก ความรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนถูกทอดทิ้งนั่น เขาเข้าใจดี... ทว่า ณ เวลานั้นตัวเขาเองกลับไม่พูดห้าม ได้แต่ยืนมองอย่างขี้ขลาด สุดท้ายก็สูญเสียคนสำคัญไปอีกคน
   

“ถ้าเป็นผม ผมจะฆ่าพี่ก่อน แล้วถึงค่อยฆ่าตัวตายตาม” คนเด็กกว่าพูดเสียงเรียบ แรงกดดันบางอย่างทำเอาเขายกยิ้มอ่อน
   

“โหดร้ายจังนะ”
   

“ผมไม่ได้ใจดีขนาดที่จะให้ใครต่อใครเอาตัวพี่ไปหรอกนะ”
   

“ไม่มีใครเขามาสนใจพี่หรอก” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นกดจมูกลงกับแก้มอีกฝ่าย กลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ชวนให้สบายใจเหมือนทุกที “พี่มีแมวหวงกระดูกอยู่ตั้งตัวหนึ่ง แค่ส่งเสียงเงี้ยวง้าว ชาวบ้านเขาก็วิ่งแจ้นไปหมดแล้ว”
   

ซานหัวเราะ แล้วก็เงียบไปอีก ใบหน้าคมดูดีนั่นมีท่าทีครุ่นคิด เพราะแบบนั้นเลยทำเอาเขาต้องเงียบไปด้วย แต่บรรยากาศก็ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ละคนก็จมลงอยู่กับความคิดตัวเอง และเป็นเขาเองที่เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน
   

“พี่น่ะ...ลืมพี่ดินไม่ได้หรอกนะ” เขาสารภาพเสียงแผ่ว
   

“ถ้าสำคัญขนาดนั้นผมก็จะไม่บังคับให้ลืมหรอก” ซานเองก็ตอบกลับมาง่ายดายกว่าที่คิดไว้
   

“แต่ว่า...คิดเอาไว้แล้วล่ะ ตอนนี้แค่เพิ่งเริ่มต้นเองแท้ๆ เพราะฉะนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วกันนะ” วันสุขว่าอย่างไร้ความรับผิดชอบ เด็กนั่นชะงักไป พวกเขามองสบตากันอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกัน
   

“จะเริ่มจริงจังแล้วใช่ไหม” ซานถาม ตรงประเด็นเสียจนเขานึกว่าอีกฝ่ายอ่านใจได้
   

“อืม จะเอาจริงเอาจังแล้วล่ะ” ที่ผ่านมาเอาแต่บอกกับตัวเองว่าจะให้เวลาตัดสิน จับมือเดินกันไปเฉื่อยๆ ไม่ได้มีใครจริงๆ จังๆ กับความสัมพันธ์นี่กันสักคน และถึงจะทำท่าทางว่าจริงจัง ทว่าแต่ละคนก็ดูจะรู้ตัวกันดี
   

“ผมขี้หึงกว่าที่เห็นนะ”
   

“เรื่องนั้นพี่รู้แล้วล่ะ” สัมผัสแสบๆ ที่คอนั่น นึกขึ้นมาทีไรยังซึ้งรสชาติมันไม่หาย
   

“ผมจะจริงจังเต็มที่เลย” ซานว่าเสียงใส ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ดวงตากลับฉายแววร้ายลึก
   

“ตามใจเถอะ ยังไงก็เป็นแฟนกันแล้วนี่ เราก็พูดเองแบบนั้น ลืมแล้วเหรอ?” วันสุขยังจำได้อยู่ คำสารภาพนั่นไม่ได้มีความโรแมนติกอะไรสักนิด อย่างกับเล่นขายของ ดูง่ายๆ ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร แต่ก็นั่นแหละ ...ง่ายๆ นี่นะ
   

“นั่นสิเนอะ ถ้าอย่างนั้นจะเริ่มจริงจังล่ะนะ...” แมวตัวโตงึมงำ มือเองก็บีบมือเขาแน่นกว่าเดิม แขนอีกข้างโอบกอดเอวเขาแน่น แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นชั่วขณะอีกครั้ง
   

“คิดอะไรอยู่?” อดถามไม่ได้ อาจเพราะบรรยากาศชวนให้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างไรไม่รู้
   

“ผมกำลังคิดว่าแหวนนี่สะท้อนไฟมาแยงตาผมหลายรอบแล้ว” ว่าพลางใช้มือคลำๆ ไปบนแหวนเย็นเฉียบบนนิ้วเขา “แถมชอบมาครูดหน้าผมอีก” ไม่วายบ่นสำทับอีกรอบ
   

“พี่ว่าจะถอดอยู่ แต่ก็ไม่กล้าน่ะ” สุดท้ายก็บอกออกไปจนได้ ทั้งที่จะเก็บคำพูดนั้นไว้ย้ำกับตัวเองแท้ๆ แต่เสี้ยวหนึ่งในใจกลับสั่งให้เขาบอกเด็กตรงหน้านี่ไป เพราะซานมักจะมีวิธีดีๆ มาช่วยเขาเสมอ
   

“ก็ถอดซะสิ ง่ายจะตายไป แบบนี้”
   

ไม่ทันที่จะได้ท้วง เด็กนั่นก็คว้าข้อแขนเขาหมับ รูดวัตถุสีดำซึ่งอยู่ติดนิ้วเขามาเป็นสิบปีออกไปจากนิ้วนางข้างซ้าย โดยที่เขาไม่ทันจะได้ตั้งตัว...
   

สัมผัสเย็นวาบแล่นเข้าแทนที่ เมื่อข้อนิ้วไม่ได้มีสิ่งใดปกปิดอีกต่อไป รอยของแหวนยังคงเด่นชัด ชั่วขณะหนึ่งหัวใจที่เต้นระรัวก็ค่อยๆ สงบลง และความรู้สึกคล้ายกับนกที่ถูกปล่อยออกจากกรงก็แล่นวาบเข้ามา สมองมึนเบลอไปชั่วขณะ มารู้ตัวอีกทีไหล่ก็ถูกกดลงกับเตียงโรงพยาบาลซะแล้ว
   

“ทีนี้เสี้ยนหนามชีวิตที่ตำตาผมมานานก็หมดไปอีกหนึ่งล่ะนะ”
   

เงาดำที่คร่อมลงมาฉีกยิ้มชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยเป็น วันสุขหายใจลึก พยายามขืนตัวขึ้นมา แต่แผลที่ยังไม่หายก็ทำเอาเขาเบ้หน้ายอมแพ้ ทิ้งตัวกลับลงไปนอนนิ่งๆ ตามเดิม สายตาเองก็มองตามแหวนที่ถูกเอาไปวางบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของคนที่ก้มลงมาใกล้
   

“ตอนนี้เหลืออีกอย่างหนึ่ง”
   

“อะไร” ขมวดคิ้วถาม รู้สึกระแวงอย่างบอกไม่ถูก
   

“เสื้อผ้าพี่”



To be continued...


บทหน้าจะเป็น บทส่งท้าย
แผลอเดี๋ยวเดียวก็จะได้ปิดเรื่องนี้แล้ว ตอนแรกที่เอามาลงเล้าก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะไม่ใช่นิยายแนวตลาดที่คนอ่านเยอะ
ยิ่งลงคนยิ่งร่อยหรอ แต่ใจชื่นทุกทีที่ยังเห็นว่ายังมีนักอ่านตามกันอยู่  :กอด1:
เรื่องนี้ยังมีตอนพิเศษอีก 2 ตอน ซึ่งจะเอามาลงต่อจากบทส่งท้ายฮับ

ขอบคุณทุกๆ ท่านเช่นเคย
แล้วเจอกันตอนหน้า...

ปล. ติดตามข่าวสารอัพเดทนิยายอื่นๆ ได้บน facebook น่อ
<a href="https://www.facebook.com/turelightwriter"><img src="http://www.uppic.org/image-D0EC_53E060A0.gif" /></a>

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
มันเป็นเรื่องแนวที่ต้องติดตาม ค้นหา ไปพร้อมกับผู้แต่งเที่สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา
คนตามอ่านก็ตามลุ้น ตามดู ตามมอง คาดคะเนกันไป
เรื่องของจิตใจนี่ เป็นเรื่องเหนือการคาดคะเน สนุกที่ได้อ่านนิยายจริงๆ ค่ะ :กอด1:
++

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ถอดเลย ถอดเลย ถอดเลย

 :hao6: :hao6: :hao6:


ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1090
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ซาน ตรงและมุ่งมั่นจนกลัวแทนวันสุขเลย  55
แต่ก็นะ ยังไงน้องก็รักวันสุขจริง และรักในแบบของน้อง
วันสุขคงจะได้มีสุขสมชื่อซะทีนะ

ออฟไลน์ หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบแนวนี้คะ งื้อออออ
มันแลดูมีปม น่าติดตาม เนอะ 55555
ชอบแนวตัวเอกเป็นโรคทางจิต ไม่รู้ดิ มันทำให้เรื่องวกวนแบบว่า เร้าใจ 55555
แลดูโรคจิตล้ะเนี่ย 55555
แอร๊ย เขินจัง จะจบแล้ว ~

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เป็นเรื่องที่มีเสน่ห์นะ ดีกว่าเรื่องที่บ้าๆ บอๆ ไปวันๆ
 o13 o13 o13

ออฟไลน์ poporimikoru

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เสื้อผ้าพี่ ตอนท้ายทำเอา กรีดร้องลั่นห้องง


หนูจ๋า โรงพยาบาลลล เครียดมาหลายตอนจนองเอยแบบนี้ มันช่างน่ากรีดร้องเหลือเกิน อร้ายยยยยยย ชอบแนวเรื่องแบบนี้ที่สู้ดดดด :katai1: :katai1: กรี้ดดด

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
บทส่งท้าย


   
เช้าทุกเช้าก็ยังเหมือนเดิม...
   

เสียงนาฬิกาปลุกตอนตีห้า อากาศหนาวเย็นทำเอาเขาไม่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงสักเท่าไหร่ ครางงึมงำในลำคอ เอื้อมแขนออกไปจากผ้านวมหนา ไอเย็นเฉียบทำเอาชะงักมือ สุดท้ายก็ตัดสินใจกดปิดมันในที่สุด ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง ขยี้ตางัวเงีย... ยังล้าไม่หาย อาจเพราะเมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอน
   

เขาแตะปลายเท้าลงกับพื้นเย็นเฉียบ เดินเซๆ เหมือนโลกโคลงเคลงเข้าไปในห้องน้ำ สัมผัสหนาวเย็นทำเอาห่อตัวเข้าหากันไม่ได้ ภาพซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่นัก
   

นายวันสุขในกระจกมองตอบกลับมาด้วยสายตางัวเงีย เชิ้ตดำยับๆ ตัวใหญ่หลุดลุ่ยตกไหล่ไปข้างหนึ่ง เส้นผมสีเข้มที่ไม่ได้ตัดมาเกือบปียาวเคลียข้างแก้มไปจนถึงหลังคอ ร่างกายก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน แต่แค่ยืนทรงตัวให้ตรงอยู่ได้ก็ลำบากเอาเรื่อง
   

คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ก่อนจะแหวกสาบเสื้อที่ติดกระดุมอยู่แค่สองเม็ดออก ลายกุหลาบสีเข้มแต้มเต็มไปเกือบทั้งตัว เขาถอนหายใจเฮือก เย็นนี้ต้องออกไปคุยธุระกับลูกค้าแท้ๆ
   

“แบบนี้ก็แย่สิ...”


   


เสียงโทรทัศน์ดังแผ่วมาจากห้องนั่งเล่น พอเดินเข้าไปก็เจอกับคุณอาซึ่งนั่งดูข่าวเช้าอยู่ ใบหน้าคมคร้ามมีริ้วรอยมากกว่าแต่ก่อน แต่ท่าทางแข็งแรงนั่นก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ซ้ำยังดูมีสง่าราศีมากกว่าเดิมเสียอีก
   

“คุณอาตื่นก่อนผมอีกแล้ว”
   

ทักทายพร้อมเดินเข้าไปหา ส่งยิ้มให้คนอายุมากกว่าซึ่งหันมาพยักหน้าให้เบาๆ ข่าวเศรษฐกิจบนโทรทัศน์ทำเอาเขาขมวดคิ้ว ปีนี้ยอดขายของร้านไม่ได้ตกอะไร แต่ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่เช่นกัน
   

“ชินน่ะ ถึงจะไม่มีสอนแล้วก็เถอะ” คนเป็นอาว่าเสียงเรียบ “เดี๋ยวว่าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย ข้าวเช้าไม่ต้องทำเผื่อนะ”
   

“พักอยู่บ้านบ้างเถอะครับ เกษียณออกมาแล้วทั้งที” เขาขมวดคิ้ว ตอนที่คุณอาบอกว่าจะเกษียณคราวนั้น อุตส่าห์ดีใจแทบตาย ที่ไหนได้...ท่านอยู่บ้านได้พักเดียว หลังๆ มานี่ก็ชอบออกไปนู่นมานี่บ่อยๆ
   

“ที่ร้านเป็นยังไงบ้างล่ะ” คนแก่กว่าเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง มือใหญ่ยกถ้วยกาแฟควันฉุยขึ้นจิบ สายตาเองก็เหลือบไปมองสารพันกระเช้าและช่อดอกไม้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโทรทัศน์
   

“อีกสองสาขาก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ เย็นนี้เดี๋ยวจะเข้าไปคุยกับลูกค้า ทางนั้นเขาอยากได้เค้กที่ร้านไปใช้ในงานจัดเลี้ยงบริษัทน่ะ” ว่าเสียงเนิบนาบ ในขณะที่คนถามหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
   

“พักนี้เสน่ห์แรงนะ” ท่านพูดเรื่องที่ดูจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อสนทนาเท่าไหร่ แต่ประโยคนั่นทำเอาเขายิ้มกริ่ม
   

“มีของดีมันก็ต้องใช้บ้าง” ว่าแล้วก็ช้อนดอกไม้ในช่อที่ยังไม่แกะขึ้นมาหมุนเล่นอย่างอารมณ์ดี “ผมไปรดน้ำต้นไม้ก่อนดีกว่า” ก่อนจะขอตัวออกมาเผชิญกับลมหนาวสะท้านนอกบ้าน


   


“ฮัดเช้ย!”
   

จามออกมาเต็มแรง ลมยะเยือกพัดวูบ ตัวสั่นกึกกักเพราะความหนาว ฟ้ายังมืดอยู่ แสงไฟสลัวหน้ารั้วบ้านเองก็ส่องนวลๆ ชวนให้รู้สึกเย็นขึ้นมากกว่าเดิม มือที่กำบัวรดน้ำชาดิก ไม่นึกไม่ฝันเลยว่ากรุงเทพจะหนาวได้ขนาดนี้
   

หลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นครืดคราด วันสุขขมวดคิ้ว คว้าวัตถุบางเฉียบรุ่นล่าสุดขึ้นมาถือไว้ ดวงตาสีอ่อนมองชื่อคนโทรเข้าอย่างชั่งใจ ก่อนจะกดรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
   

“ว่าไงเวย์” ทักทายเสียงเหนื่อย
   

“อาทิตย์หน้าจะกลับกรุงเทพ” เสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานกรอกมาตามสาย วันสุขเบิกตากว้าง
   

“ร้านที่อังกฤษเจ๊งแล้วเหรอ?” เขาอุทาน เพราะหลังจากเพื่อนลาออกจากงานได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าตัวก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีไปอังกฤษไม่บอกกันสักคำ ข่าวคราวแทบติดต่อไม่ได้ มารู้ตัวอีกทีก็ได้ข่าวว่าเวย์พาเอาร้านที่ร่วมหุ้นกันไปเปิดสาขาที่นั่นแล้ว
   

ลำบากเขาต้องตามไปคอยคุมร้านที่นู่น ฝึกพนักงานกันแทบตาย ไม่รวมสูตรที่ต้องปรับให้เข้ากับลิ้นคนที่นั่นอีก แต่ก็สนุกดี... บินไปบินกลับ ไม่สนุกอย่างเดียวก็คนข้างตัวเขานี่แหละที่ยังดูฉุนเรื่องนั้นไม่หาย
   

“แช่งกิจการตัวเองหรือไง? ที่นี่หนาวเกินไปต่างหาก อยู่ไม่ไหวแล้ว” อดีตจิตแพทย์โวยวายเสียงสั่น ดูท่าจะหนาวจริงอย่างที่พูด นี่คงจะหนีกลับมาแล้วทิ้งให้ผู้จัดการคนสวยของเขาไว้สินะ?
   

“แล้วผู้จัดการล่ะ?” ขมวดคิ้วถาม ตั้งแต่เวย์ไปเปิดสาขาที่อังกฤษ ผู้จัดการร้านก็ตามไปที่นู่นด้วย เรียกว่าย้ายบ้านไปตั้งรกรากเลยก็ได้ แรกๆ เขาก็ห่วงว่าจะอยู่ไหวไหม โดยเฉพาะสามีเธอ แต่ข่าวคราวจากทางนั้นก็ทำเอาโล่งใจไปไม่น้อย
   

“รายนั้นสะทกสะท้านที่ไหน เด็กๆ เองก็มาช่วยงานที่ร้านด้วย กลายเป็นขวัญใจลูกค้าไปแล้วตอนนี้” เวย์รายงาน ท่าทางดูมีความสุข เขาเองก็อดยิ้มไม่ได้ นึกถึงเด็กซนๆ สองคนนั้นแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้
   

“เดี๋ยวจะบอกซานให้แล้วกัน” เขาว่า คุยไปสักพักก็กล่าวลาวางสายกันไป
   

วันสุขยิ้มให้กับโทรศัพท์ แล้วก็อดคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะตั้งแต่เรื่องของลูกหว้าจบลงจนมาถึงตอนนี้ มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปขนาดที่ว่าตัวเขาเองยังแปลกใจ
   

เขาออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักที่บ้าน โดนคุณอาถอดออกจากการเป็นลูกจ้างชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยอีกเลย แต่น่าดีใจก็ตรงมีคนเข้ามาถามหากันเยอะแยะ บ้างบางครั้งก็เลยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนบ้าง
   

เพราะอยู่บ้านไปวันๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร เขาเข้าไปหาเวย์บ่อยขึ้น คุยนู่นนี่นั่นไปเรื่อย อาการที่เป็นอยู่ก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง แรกๆ ก็ต้องพึ่งยา พักหลังมานี่ก็เริ่มดีขึ้น แต่โรคที่หายไม่ขาดนี้ก็ทำให้เขาต้องคุมอารมณ์ให้มากกว่าเดิมเท่านั้นเอง
   

เขาเข้ามาดูแลร้านอย่างเต็มตัว ชีวิตอยู่แต่ที่ร้าน ไม่ก็นอนดูแลสวนอยู่ที่บ้านสลับกันไป วันดีคืนดีก็มีรายการโทรทัศน์ติดต่อมาหา หลังจากได้ออกอากาศสั้นๆ ไม่กี่นาที จู่ๆ ร้านก็ดังเป็นพลุแตก หลังจากนั้นก็โดนคุณอาแซวอยู่บ่อยครั้งว่า ‘ร้านนี้เขาขายเจ้าของ ไม่ได้ขายอาหาร’
   

และหลังจากนั้นไม่นานปรัชญ์ก็ทำเรื่องน่าตกใจด้วยการซิ่วเรียนอีกรอบ เด็กคนนั้นสอบเข้าคณะเกี่ยวกับการจัดแต่งสวน และก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะดูมีความสุขขึ้น บางครั้งที่มาเยี่ยมเยียนก็จะเล่าเรื่องเพื่อนที่ภาคให้ฟังบ่อยๆ พักหลังมานี่เหมือนจะมีเรื่องทะเลาะกับผู้หญิงห้าวๆ คนหนึ่ง
   

เธอคนนั้นเป็นสาวสวยหุ่นดีที่เขาเคยเจอแค่ครั้งเดียว ท่าทางแข็งแรงมั่นใจ พูดจาฉะฉาน ดูตรงข้ามกับปรัชญ์อย่างสิ้นเชิง แต่แบบนี้ก็เหมือนมาเติมเต็มกันและกันชอบกล ถึงมุมที่เขาเห็นจะเหมือนเป็นปรัชญ์เองเสียมากกว่าที่โดนแกล้งอยู่บ่อยๆ


   


“วันทำอะไร? หอมจัง”
   

เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นอยู่ด้านหลัง เอวถูกโอบด้วยท่อนแขนหนา แผ่นหลังถูกรั้งจนแนบชิดกับอกกว้าง จมูกโด่งคมสวยกดเข้าที่ข้างแก้ม กลิ่นหอมเฉพาะตัวกรุ่นอ่อนผสมกับกลิ่นเนยในครัว
   

วันสุขไม่ตอบ วางมือจากไม้พาย หรี่ไฟบนเตาให้อ่อนลง หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนตัวใหญ่ มือเองก็ยกขึ้นจัดแจงปกเสื้อให้อีกฝ่ายอย่างเคยชิน นี่ก็อีกความเปลี่ยนแปลงที่เขานึกไม่ถึง...
   

“โกรธเรื่องเมื่อคืนเหรอ?” เสียงทุ้มหัวเราะแผ่ว ดวงตาคมคายพราวระยับ ริมฝีปากสีสวยนั่นแย้มยิ้มร้ายลึก ก่อนจะกดจูบลงกับหลังมือเขาอย่างเอาใจ ใบหน้านั่นทาบทับด้วยแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าซึ่งส่องเข้ามาในครัว ฉายให้เห็นถึงความคมลึกที่เด่นชัดกว่าแต่ก่อน
   

ร่างกายสูงใหญ่ ผิวที่เคยขาวจัดดูเข้มขึ้นเพราะออกแดด ท่าทางกวนๆ เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้า กลายเป็นนิสัยชอบหยอกล้อที่ชวนให้เขารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อยู่บ่อยๆ
   

ห้าปี...
   

เด็กเอาแต่ใจนั่นกลายเป็นหนุ่มหล่อเสน่ห์เหลือร้ายจนเขาหาวิธีรับมือไม่ถูกซะแล้ว...
   

“ก็เย็นนี้ต้องคุยกับลูกค้านี่” เขาท้วง ปกติก็มักจะใช้ประโยชน์นิดๆ หน่อยๆ จากสิ่งที่ตัวเองมีเข้าช่วยในการคุยอยู่แล้ว แต่คนรู้ทันก็ทำเอาแผนเขาล่มทุกที เล่นฝากของไว้เต็มตัวแบบนี้...ลืมไปได้เลยว่าจะใส่เสื้อคอลึกออกนอกบ้านได้
   

“ซานไปคุยแทนวันให้เองไหม” น้ำเสียงติดจะขำดึงขึ้นอยู่ข้างหู ไม่วายกดไออุ่นร้อนๆ ลงกับต้นคอเขาอีก ปลายนิ้วเย็นเฉียบก็ละไล้อยู่ที่บั้นเอวใต้ชายเสื้อ
   

“งานพังกันพอดี” วันสุขขมวดคิ้ว ตีมืออีกฝ่ายดังเพี้ยะ ก่อนจะหันกลับไปทำข้าวเช้าต่ออย่างไม่ใส่ใจ แต่ดูเหมือนคนในชุดสูทจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ เหมือนทุกที เอวถูกรั้งเข้าไปอีกครั้ง จมูกโด่งกดที่ลาดไหล่
   

“ช่อดอกไม้นั่นของใคร?” โทนเสียงเริ่มเปลี่ยนไป และนั่นก็ทำเอาเขาหัวเราะแผ่วในลำคอ
   

“ดอกไม้จากลูกค้าที่จะไปคุยวันนี้ กระเช้าจากลูกค้าวันก่อน แล้วก็ขนมในตู้เย็นจากโรงแรมที่ไปจัดงานเมื่อเดือนที่แล้ว” เขาร่ายรายการ จริงๆ ยังมีของที่ไม่ได้เอากลับบ้านมาอีก แต่ทิ้งเอาไว้ที่ร้านกับแจกจ่ายให้พนักงานไปกันคนละชิ้นสองชิ้น
   

“หือ?” คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่น ประกายรุนแรงฉาบวาบผ่านดวงตาคู่สวย
   

“อาทิตย์หน้าเขาก็นัดมาอีก ไม่รู้ว่าจะคุยธุระหรือว่าอะไร” วันสุขยังพูดต่อไปเรื่อยๆ อย่างนึกสนุก มือหมุนปิดเตาแก๊ส เทของในกระทะลงกับจานก้นลึก เอาแป้งที่กลึงไว้มาปิดทับ เตรียมเข้าเตาอบเป็นพอทพาย
   

“ว่าไงนะ?” เสียงทุ้มเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ เอวเขาถูกจิกแน่นจนเจ็บ
   

“สงสัยคงจะถูกจีบล่ะมั้ง?”
   

สิ้นเสียงพูด กายก็ถูกหมุนขวับ ขาถูกดันจนเอวไปชนกับขอบโต๊ะกินข้าว หลังถูกกดจนหงายแนบไปกับไม้เย็นเฉียบ วันสุขหัวเราะในลำคอ ริมฝีปากสีส้มสวยคลี่ยิ้มบางเย้าอีกฝ่าย
   

“พูดใหม่อีกทีสิ เมื่อกี้ได้ยินไม่ถนัด” แมวที่โตเป็นเสือคำรามฮึ่มในลำคอ มือปลดกระดุมแหวกสาบเสื้อเขาออก จมูกโด่งซุกไซร้ลงมาที่ลาดไหล่ ฟันสวยขบกัดย้ำหนักเหมือนจะข่มขู่ หน้าขาแกร่งดันแทรกเข้ามาทำเอาเขาเผลอครางเสียงแผ่ว
   

“หนักใจจริงๆ เดือนหน้าตารางก็แน่นไปหมด ไม่รู้จะไปกับใครก่อนดี” เขาหัวเราะยั่ว โน้มคออีกฝ่ายเข้ามาหา ฝากจูบร้อนบนสันคางแกร่ง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก...
   

เวลายั่วให้คนโกรธ มันสนุกแค่ไหน...เขาก็เพิ่งมารู้ไม่นานนี้
   

ห้องครัวดูจะร้อนจนทนอยู่แทบไม่ได้ เสื้อผ้าเรี่ยราดเกลื่อนพื้นบ้าน คอแสบไปหมด เสียงแหบแห้งจนต้องกินน้ำอุ่น นัดคราวนี้คงต้องยกเลิกเพราะคงไปไม่ไหว ดูไปดูมามีแต่เขาที่เสียล้วนๆ ส่วนอีกคนกลับออกไปทำงานได้หน้าตาเฉย
   

“ให้ตายสิ...” พึมพำขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงกับโซฟากว้าง ห่อกายกับผ้านวมหนา สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็อดยกยิ้มบางๆ ขึ้นมาไม่ได้
   

จริงอยู่ที่หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป เขาเองก็เปลี่ยนเช่นกัน... แต่ว่ายังมีบางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน ต่อให้เวลามันผ่านมาขนาดนี้แล้วก็เถอะ บางสิ่งที่กรุ่นอยู่ในใจ และก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย มีแต่เพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน
   

เขาบอกได้เต็มปากเลยล่ะ เขาไม่เสียใจสักนิดที่เลือกเส้นทางนี้ ต่อให้ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาจะก้าวต่อไปข้างหน้า ก้าวไปเรื่อยๆ ทดแทนเวลาที่เคยหยุดเดินไป จะรักษาสิ่งมีค่าที่ได้รับมา ทะนุถนอมมันเท่าที่ชีวิตนี้จะให้ได้
   

ตราบเท่าที่ร่างกายนี้ยังหายใจ...
   

“อา... ยาแก้ปวดอยู่ไหนกันนะ”




-จบบริบูรณ์-



บทส่งท้ายมาแบบสั้นๆ
ตอนหน้าจะเป็นตอนพิเศษอีก 2 ตอนฮับ เป็นตอนเกี่ยวกับพี่ดินแล้วก็น้องซานของเราๆ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจริงๆ
แล้วเจอกันตอนหน้า
 :กอด1: :L2: :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด