บทพิเศษ - เพียงดินเขาเกลียดท้องฟ้าเหลือเกิน...
จันทร์กลมโตลอยเด่น ดาวพร่างพราย อากาศหนาวเหน็บ ความงดงามที่ไม่มีวันเอื้อมถึง... ขาที่สัมผัสกับดิน ราวกับจะตอกย้ำว่าตัวตนนี้ต้อยต่ำเพียงไร
บ้านเงียบสนิท ไม่มีใครกลับมาที่นี่นานแล้ว จำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกับพ่อมันนานเท่าไหร่ พี่เลี้ยงที่ดูจะห่างเหินกันเหลือเกินก็กลับไปตั้งแต่เย็น อาหารชืดๆ ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ไม่ได้มีอะไรพร่องลงไปเลยแม้แต่น้อย
ทำไมดาวบนฟ้าถึงอยู่คู่กัน ทั้งที่บนดินนี่มีเขาแค่คนเดียว?
ยิ่งมองก็ยิ่งเกลียด แต่เพราะมันสวยงามเหลือเกินถึงได้ไม่เคยละสายตาได้สักครั้ง...
เสียงของรถดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ บ้านหลังข้างๆ ซึ่งเงียบไปนานดูจะคึกคักขึ้นมาเป็นพิเศษ เขาจำได้ว่ามีคู่รักคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น แต่ไม่นานก็ย้ายออกไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาอยู่อีก ซอยเปลี่ยวเงียบเหงานี่ถึงได้ไร้ชีวิตชีวาเหลือเกิน...
ไฟจากรถบรรทุกฉายเข้ามาผ่านแนวรั้ว เสียงร้องไห้ของเด็กดังมากระทบหู เขาขมวดคิ้ว เดินออกไปหน้าบ้าน เขย่งขามองผู้มาใหม่ ก่อนจะพบว่าเป็นผู้ชายตัวสูงคนหนึ่ง และเด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังยืนสะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ
ชั่วขณะหนึ่ง โดยไม่ทันรู้สึกตัว ดวงตากลมโตรื่นด้วยหยาดน้ำใสๆ นั่นก็เงยขวับขึ้นมองมาที่เขาทันใด เสียงร้องไห้หยุดชะงัก ร่างเล็กๆ ถอยกรูดไปหลบอยู่ด้านหลังของผู้ชายตัวใหญ่ และความเคลื่อนไหวนั่นก็ทำเอาคนที่กำลังวุ่นวายกับการย้ายของรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเขา
“สวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย” เขาทักทายก่อน เมื่อเห็นใบหน้านั่นก็จำได้ทันทีว่าเป็นอดีตเพื่อนบ้านซึ่งเคยย้ายออกไป แต่คราวนี้กลับมาพร้อมกับเด็กตัวเล็ก... ลูกหรือ?
“อ้าวดิน... สวัสดีครับ เสียงดังรบกวนหรือเปล่า?” ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนส่งมาให้ เขาส่ายศีรษะ ดวงตาก็ยังคงมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นั่นอย่างสนอกสนใจ
“น้องวัน มาทักทายพี่ดินเขาเร็ว” เพราะสังเกตเห็นท่าทางของเขา มือใหญ่นั่นจึงดุนหลังเล็กๆ ให้ออกมาจากที่ซ่อน
“สวัสดีครับ ชื่ออะไรน่ะเรา” เขาเปิดรั้วบ้าน สาวเท้าเข้าไปใกล้เด็กที่กำลังมองมาอย่างขลาดกลัว แล้วย่อตัวนั่งแตะเข่ากับพื้นเพื่อให้ระดับสายตาตรงกัน
“วัน...สุข เป็นหลานคุณอา” เสียงเล็กๆ พูดแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน และท่าทางตื่นกลัวก็ไม่ได้ลดน้อยลง
“เขากลัวคนน่ะ” ชายคนนั้นว่า ในดวงตาคมนั่นฉาบประกายหม่นเล็กน้อย “อารบกวนดินหน่อยได้หรือเปล่า พอดีต้องให้คนงานขนของเข้าบ้าน...” ก่อนจะเกริ่นประโยคขอร้องด้วยท่าทางหนักใจ
“ได้สิครับ” เขาพูด เพราะอย่างไรเสียก็อยู่บ้านว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร รับฝากเด็กสักคนไว้ชั่วคราวคงไม่มีปัญหา ทว่าดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี่จะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเขาสักนิด
“ไม่เอา! น้องวันจะอยู่กับคุณอา”
พอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขาได้ก็เริ่มดิ้นขลุกขลัก เนื้อตัวสั่นเทาจนน่าสงสัย ร้องไห้โยเยจนคนเป็นอาต้องรับไปอุ้มกล่อมปลอบเสียยกใหญ่
“ไม่เอานะครับ ไม่ร้องนะ” เสียงนุ่มอ่อนโยนพูดปลอบ เขามองสองอาหลานนั่นด้วยนึกอิจฉาลึกๆ อาจเพราะไม่เคยได้รับความเอาใจใส่แบบนั้นเลยสักครั้ง
“นี่...ชอบท้องฟ้าหรือเปล่า?”
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เสียงร้องไห้ชะงักกึก ตากลมโตเงยขึ้นมองหน้าเขาอีกครั้ง แสงจากไฟรถสะท้อนเข้ามา ทำเอาเห็นชัดว่าดวงตาคู่สวยนั่นเป็นสีน้ำตาลอ่อนพราวเหมือนลูกปัดราคาแพง
“น้องวันชอบดาว...” เสียงหงุงหงิงพูดแผ่ว แต่ยังมองมายังเขาด้วยท่าทีหวาดระแวง
“ถ้าอย่างนั้นไปดูดาวกันไหม ที่บ้านพี่มีกล้องดูดาวด้วยนะ”
สิ้นคำพูด จากเด็กที่ร้องไห้ไม่ยอมท่าเดียวก็ยิ้มร่า ชูมือออกกว้างหวังให้เขาอุ้ม เห็นแบบนั้นแล้วก็ต้องยิ้มอ่อน รับร่างเล็กๆ เขามาไว้ในอ้อมแขน ไออุ่นๆ ทำให้รู้สึกดีอย่างประหลาด
แม้จะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่ก็อุ่นหัวใจอย่างประหลาด
ค่ำนี้หนาวกว่าทุกวัน แต่น่าแปลกที่ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่เคย...
“คุณอาเมื่อไหร่จะกลับ”
เสียงบ่นดังขึ้นเบาๆ ในบ้านเงียบเฉียบ เขาชะงักมือที่กำลังปลดกระดุมเสื้อนักศึกษา สายตาเหลือบไปมองคนคนหนึ่งซึ่งเท้าคางทอดสายตาออกไปยังด้านนอก
“อีกเดี๋ยวก็คงกลับ โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง?” เขาเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้คนที่มักจะทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลามีสีหน้าเศร้าไปมากกว่านั้นนัก ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ...เตียงยุบยวบลงไป
“เหมือนเดิม” เด็กหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจเฮือก เอนศีรษะพิงกับไหล่เขาอย่างถือวิสาสะ แพขนตายาวอยู่ใกล้เพียงแค่หรุบตามอง
“ไม่คิดจะหาเพื่อนกับเขาเลยเหรอ?” เขายิ้ม ถามเสียงนุ่ม ยกมือขึ้นลูบปอยผมอีกฝ่าย
“วันมีแค่พี่ดินก็พอแล้ว”
เขานิ่งไป ในอกสั่นสะท้านอย่างประหลาด ทั้งดีใจ อบอุ่น ชั่วขณะเดียวกันก็เจ็บปวดอยู่ลึกๆ ก้มลงมองคนที่เอาแต่ดูฟ้ายามค่ำ ทั้งที่รับรู้มาตลอดเวลาว่าตัวเองสำคัญกับเด็กคนนี้มากแค่ไหน แต่คล้ายกับว่ายิ่งตักตวงความสุขนี่มากเท่าไหร่ ความกระหายนี่ก็ไม่เคยถูกเติมจนเต็ม
“ท้องฟ้ามีอะไรน่าสนใจนัก” เขาถามเสียงแผ่ว พยายามกลบความไม่พอใจของตัวเองไว้ เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องนี่ เด้กคนนั้นยังไม่ได้หันมามองเขาเต็มๆ ตาเลยสักครั้ง
ทั้งที่ยังอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่หันมามอง...
หรือว่าเม็ดดินตรงหน้านี่มันไม่ได้พร่างพราวเหมือนดาวบนฟ้ากัน?
“ข่าวบอกว่าคืนนี้จะมีดาวตก” ดาวตาสีน้ำตาลอ่อนหันมาสบเข้ากับเขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ยกยิ้มบาง “มาอยู่ดูด้วยกันดีไหม” พร้อมคำถามที่เขาไม่เคยปฏิเสธได้ลง...
เกลียดฟ้านัก... แต่ก็ไม่เคยบอกความรู้สึกออกไป เพราะอีกฝ่ายดูจะรักสิ่งนั้นเหลือเกิน สิ่งที่อยู่สูงจนเขาไม่อาจเอื้อมถึง ไม่ว่าจะพยายามไขว่คว้าเท่าไหร่ ดินก็ยังคงเป็นเพียงดิน ...ถ้าหากคนตรงหน้าก้มลงมามองเม็ดดินกระจ้อยนี่สักหน่อยก็คงจะดี
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น? เรียนเหนื่อยหรือเปล่า?”เสียงทักดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
คล้ายสติถูกเรียกกลับมา ตะกอนดำมืดในใจถูกกวาดปัดไปซุกไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนอีกครั้ง เขาปรือตา ทิ้งตัวลงนอนกับเตียงกว้าง ฉุดรั้งคนตัวเล็กกว่าลงมาด้วย ในขณะที่ตากลมๆ นั่นจ้องเขาอย่างสงสัย นอนนิ่งไม่ขัดขืนให้เขากอดอยู่แบบนั้น
“เหนื่อย...” ว่าเสียงแผ่ว ปิดเปลือกตา แสงจากจันทร์บนฟ้าแยงลงมาจนไม่อยากจะเงยขึ้นมอง
“ถ้าอย่างนั้นวันไม่กวนดีกว่า เดี๋ยวจะกลับไปรอคุณอาที่บ้าน พี่ดินจะได้พัก” คนเด็กกว่าว่าเสียงเรียบ แต่ก็ยังมีความห่วงใยแฝงอยู่ในนั้น
“อยู่ที่นี่ได้ไหม” เขาอ้อนวอน... รั้งข้อมือนั่นเอาไว้ หูแว่วยินเสียงหัวเราะแผ่ว
“แต่วันจะดูฝนดาวตก ไม่รบกวนพี่ดินเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากขอพรด้วย...” ความง่วงเริ่มคืบคลานเข้ามา แต่ก็ยังไม่กล้าหลับ เพราะกลัวเหลือเกินว่าคนตรงหน้าจะแอบย่องหนีไป
“จะขออะไรล่ะ?”
ชั่วขณะหนึ่งที่เขาจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ริมฝีปากเปิดเผยอ... ก่อนจะกลืนถ้อยคำทั้งหมดลงไปในคอ นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจในที่สุด
“อยากได้อะไรก็ขอแบบนั้นไปแล้วกัน”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กตรงหน้าพูดอะไรต่อจากนั้น สัมผัสได้เพียงแค่ไออุ่นๆ ซึ่งยังตกค้างอยู่ในอุ้งมือ พอตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน...คนคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
เช้าในหน้าร้อนวันนี้... ทำไมถึงได้หนาวนัก?
ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ ทำไมถึงมีแค่เขานะที่ยังย่ำอยู่ที่เดิม...
“หันมามองกันหน่อยได้ไหม?”
เขาพูดเสียงแผ่ว สายตาทอดมองแผ่นหลังในชุดนักเรียนนั่น ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงแต่ความเงียบงัน และนั่นก็ทำเอาเจ็บจนหายใจไม่ออก
“ทำไมถึงคบกับลูกหว้า” น้ำเสียงเย็นชา กระชากถาม ไม่มีแม้แต่ความนุ่มนวลอย่างทุกที
“...” เขาเลือกที่จะเงียบ ใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นผุดขึ้นมาในหัวสมอง เสียงหัวเราะหวานใสยังดังก้องอยู่ในหัว สมาชิกใหม่ของกลุ่มที่เพิ่งเข้ามา เป็นเด็กสาวที่สดใสสว่างจ้าเหมือนดวงอาทิตย์เที่ยงวัน
แค่คิดขึ้นมา ความชิงชังก็พุ่งพรวดมาจุกอยู่ที่คอ
“คบเหรอ?” เขาถามเสียงฉงน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปคบกับเธอตอนไหน เกลียดขี้หน้ากันอย่างกับอะไรดี แค่ทำทียิ้มแย้มสนิทสนมกันได้ก็เต็มกลืนแล้ว
...ผู้หญิงนั่นคิดจะทำอะไร?
“พี่กำลังคิดอะไรอยู่... ทำไมถึงทำแบบนั้น...”
คำถามนั่นทำเอาเขานิ่งงันไป หากอธิบายไปตอนนี้ก็คงไม่ฟังใช่ไหม? ในเมื่อปักใจเชื่อไปแล้ว ยังจะมีที่ว่างอะไรให้เขาเข้าไปแก้ตัวได้อีก คล้ายรอยร้าวระหว่างพวกเขามันเริ่มมากขึ้นทุกที ตั้งแต่วันที่ผู้หญิงนั่นเดินเข้ามา
นี่เขาไม่สำคัญแล้วใช่ไหม? เศษดินนี่ไม่สำคัญอีกแล้วใช่ไหม?
“...วันพรุ่งนี้ไปท้องฟ้าจำลองกันไหม” เขาเปลี่ยนเรื่อง ฝืนยิ้มให้กับแผ่นหลังนั่น “ไม่มีโอกาสได้ไปกับวันสักที” แสร้งพูดเสียงนุ่ม ทั้งที่ขอบตามันเริ่มจะร้อนผ่าว เขายังคงยืนรอคำตอบ แต่สุดท้ายก็มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น
เขาทำอะไรผิด?
อดถามกับตัวเองไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามควานหาคำตอบสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็เจอเพียงความสับสนเท่านั้น ใจเจ็บร้าว สมองอื้ออึง สุดท้ายก็เลือกที่จะก้าวถอยกลับ ไม่กล้าแม้แต่จะเริ่มอธิบายความเข้าใจผิดนี้ ...อย่างไรเสีย ถึงพูดไป สุดท้ายความผิดก็จะโยนโครมลงมาที่เขาอยู่ดี
พลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นด้านหลัง ร่างบอบบางวิ่งเข้ามา ท่าทางเหนื่อยหอบ เสียงหวานตะโกนเรียกชื่อพวกเขาลั่น ก่อนที่แขนนุ่มนิ่มนั่นจะเข้ามาคล้องกับเขาราวกับคนสนิทสนม
“วัน! พี่ดิน! มาอยู่ตรงนี้นี่เอง กลับกันเถอะ เย็นป่านนี้แล้ว”
“ลูกหว้า...” เขาพึมพำชื่อของเธอ ใบหน้าสวยนั่นเงยขึ้นมอง ก่อนจะฉีกยิ้มหวาน
“ลูกหว้า” เด็กหนุ่มซึ่งยืนเกาะระเบียงหันมองมาที่พวกเขา ใบหน้านุ่มนวลไม่ได้มีเค้าความเศร้าอย่างที่คิดไว้ แต่ดวงตาราบเรียบคู่นั้นกลับทำเอาใจวูบโหวง
ได้โปรด...อย่ามองมาด้วยสายตาแบบนั้นเลย...
“ยินดีด้วยนะ”
เหมือนค้อนปอนด์อันใหญ่ที่ฟาดลงมากลางกระหม่อม ลมหายใจชะงักกึก หนาววาบไปทั้งกาย มือกำแน่นจนเกร็ง โดยเฉพาะเมื่อหูแว่ววานเสียงหัวเราะคิกคักที่จงใจให้เขาได้ยิน
“ขอบคุณจ้ะ”
เขาเหลือบมองเด็กสาวคนนั้นด้วยหางตา เพลิงสีดำกำลังลุกโชนอยู่ในอก... สมองเริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว
จะเอาแบบนี้หรือ? ท้าทายกันแบบนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นเขาเองก็คงไม่มีทางเลือก...
“กลับกันเถอะ” เขาว่าเสียงแผ่ว ส่งยิ้มให้คนทั้งสองราวกับไม่สะทกสะท้านกับบรรยากาศหนักๆ “เดี๋ยวพี่จะแวะส่งวันก่อนแล้วกัน ว่าจะพาลูกหว้าไปซื้อของสักหน่อย”
ถ้าหากย้อนเวลาไปได้ล่ะก็...เขาจะไม่มีวันพูดประโยคนั้นเด็ดขาด
รอยบิ่นที่มุมกระจก เริ่มปริร้าวจนแตกหัก...
ไม่นานเศษคมๆ ก็คงจะร่วงกราวลงมา...ทิ่มแทงหัวใจจนแหลกเละไม่มีชิ้นดี
เสียงของน้ำซาซ่าดังอยู่ข้างหู รู้สึกง่วงอย่างบอกไม่ถูก สัมผัสเย็นเฉียบไหลผ่านเส้นผมลู่ลงตามเนื้อหนัง แผ่นหลังพิงกับผนังกระเบื้องอุ่น สติดูจะเลื่อนลอย บอกไม่ถูกสักนิดว่านี่เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่
เหนื่อยจนไม่อยากจะหายใจ...
อาทิตย์ที่ผ่านมา เขาจำได้ว่าขังตัวเองอยู่ในห้องมืดแคบๆ น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด... ในความมืดไม่มีสิ่งใด กลับมาอยู่กับความเงียบเหงาอีกครั้งเหมือนทุกครั้ง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเริ่มทำร้ายตัวเองทั้งแต่เมื่อไหร่ คมมีดซึ่งกรีดลงแขน ความเจ็บปวดที่ได้รับ คล้ายกับจะปลุกสติให้ตื่นขึ้นมา ย้ำให้รู้ว่าร่างกายนี้ยังมีชีวิต ยังคงหายใจ แต่ยิ่งนานวันเข้า มันยิ่งชาจนแทบจะไม่รู้สึก ไม่ว่าจะกรีดคมลึกเท่าไหร่ นอกจากของเหลวสีแดงสดที่เทบ่าลงมา ก็ไม่มีสิ่งใดอีก...
ใจลึกๆ มันยังคงรอคอย ให้คนคนนั้นฉุดมือข้างนี้ขึ้นไปจากวังวน เพราะขาทั้งสองข้างมันหมดสิ้นเรี่ยวแรง ไม่อาจฝืนยืนต่อได้อีกแล้ว ทว่ากลับไม่มีแม้แต่คำห้าม ...การลาจากครั้งสุดท้ายนั้นเหมือนด้ายรั้งที่ถูกตัดจนขาดสะบั่น
อยากให้เขาหายไปขนาดนั้นเลยหรือ?
เพราะเป็นแค่ดินใช่หรือเปล่า ต่อให้พยายามสักเท่าไหร่ ...สายตานั่นก็ไม่เคยละจากฟ้าสักครั้ง คงมีเพียงแค่ดินที่พยายามจะตะเกียกตะกาย ครั้งแล้วครั้งเล่า... เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ตัวตนของเม็ดดินก้อนเล็กๆ นี้คงไร้ความหมาย
สมองหวนนึกไปถึงวันวานเก่าๆ เด็กตัวเล็กๆ ที่วิ่งตามเขาในวันนั้น... ตากลมโตที่มักจะมองมาด้วยความรัก เสียงสดใสที่ทำให้ยิ้มได้เสมอ ไออุ่นที่ยังติดอยู่ในอ้อมแขน
ไม่เหลือแล้ว... ไม่เหลืออะไรเลย... ไม่เหลืออะไรสักอย่าง...
“พี่ดิน!”
เพล้ง!
เสียงเรียกคุ้นเคยดังก้องในความมืด ผสมปนเปไปกับเสียงแตกของกระจก ปลุกให้หัวใจอ่อนล้าเต้นกระตุก ...จู่ๆ ก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา มุมปากยกยิ้มอ่อน ความรู้สึกหนักอึ้งในใจปลิวหาย เหมือนถูกน้ำเย็นฉ่ำสาดซัด
ปึง!
ประตูไม้ถูกชนอย่างแรงด้วยอะไรสักอย่าง กลอนขึ้นสนิมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายใกล้จะหลุด... เขาหัวเราะแผ่ว ระบายลมหายใจยาว ดวงตาค่อยๆ ปรือปิด ความง่วงคล้ายกับจะเข้ามาคืบคลานสติ ทั้งที่อยากจะตื่นอีกสักพัก แต่ก็ไม่อาจฝืนร่างกายเอาไว้ได้
ปึง!
เสียงสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบหาย และแม้จะหลับตาอยู่ ทว่าแสงที่สาดเข้ามาหลังประตูบานนั้น... ทั้งเจิดจ้าและอบอุ่นเหลือเกิน...
แล้วเจอกันนะครับ...
ณ ที่ใดสักแห่ง... บนฟ้ากว้างพราวดาวนั่น...
Hope to see you again...
ถ้าพูดกันตามตรง หากพี่ดินยังมีชีวิตอยู่ ตำแหน่งพระเอกของซานนี่จะสั่นคลอนมาก
อาจมีการ NTR ดราม่าหนักหน่วงกระชากตับกว่านี้หลายสิบเท่า (หัวเราะ)
พี่ดินเป็นตัวละครที่ชอบมากคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เขียนเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ จะทำให้รู้สึกได้ถึงอะไรๆ ที่มันไม่แน่นอนเอาซะเลย
เหมือนที่เราตัดสินใจอะไรสักอย่างหนึ่ง ทั้งที่เห็นว่า โอกาสมันก็กองอยู่ตรงหน้า แต่สมองมันก็สั่งให้เลือกไปอีกทาง สุดท้ายก็กลับมาแก้อะไรไม่ได้แล้ว และทุกอย่างก็ไม่ได้สวยงาม ...การจบชีวิตลงของพี่ดินก็เป็นเรื่องชั่ววูบที่สร้างรอยแผลเอาไว้ให้วันสุข
"ถ้าตอนนั้นพูดออกไปตรงๆ ก็คงจะดี"
"ถ้าพูดห้ามเอาไว้ก็คงจะดี"
สองวลีนี้เป็นสิ่งที่สื่อได้ค่อนข้างดีเกี่ยวกับคนสองคน
ตอนหน้าจะเป็นตอนพิเศษอุ่นๆ ของซาน
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม แล้วเจอกันฮับ
เพลงบังคับฟัง (หัวเราะ)
เนื้อแปลค่อนข้างจะมีความหมาย แต่ถ้าดูจากในเล้ามันจะขึ้นบรรทัดไม่ครบซะงั้น
(สามารถกดที่คำว่า youtube เพื่อขึ้นหน้าต่างใหม่, หากใครเนื้อแปลไม่ขึ้นกดที่รูปฟันเฟือน > ตรงช่อง Annotations เลือก On)
http://www.youtube.com/v/7bvJJ4urbjQเพลงนี้มีความหมายกับตัวละครหลายตัวในนิยายที่แต่งเลยทีเดียว พี่ดินคือหนึ่งในนั้น