==Jungle : ผืนป่าสีดำ By นางมารปีกขาว - - ==ตอนที่35 รักหรือไม่รัก END 9/7/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ==Jungle : ผืนป่าสีดำ By นางมารปีกขาว - - ==ตอนที่35 รักหรือไม่รัก END 9/7/58  (อ่าน 46172 ครั้ง)

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
โหยยยย สนุกๆ ชอบพี่คาโลจังเลย ทั้งโหดทั้งใจร้าย
ฉากบู๊นี่มันส์สะใจจริงๆ แอบสงสารพี่หมาแปป โดนใจร้ายใส่แบบนั้นแท้ๆ
เฮ้อ คาโลนี่นะ เปิดใจรักพี่หมาหน่อยก็ไม่เสียหายหรอก มาต่อออีกไวๆน้า รอๆ ><

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ตอนที่ 28 ทางแยกที่ต้องเลือก 1                                                              10/12/2557



   “คาโล”


   “คาโล”


   “คาเซอริโอ”ร่างทั้งร่างทะลึ่งพรวดจากเตียง เหงื่อมากมายไหลอาบใบหน้า  หายใจหอบแรงเหมือนไปวิ่งมาเป็นกิโลทั้งๆทีเขาเพิ่งตื่น  ตื่นขึ้นจากฝันร้าย


   “เจ้าเป็นอะไร”เสียงถามเบาๆพร้อมฝ่ามือที่เอื้อมสัมผัสไหล่ทำให้สมองเริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เขาหลับไป  เพิ่งตื่นขึ้นมา นั้นหมายความว่าเขาฝัน


   “เจ้าฝันร้ายงั้นเหรอ  มีแค่เด็กเท่านั้นนะที่ฝันร้าย”


   “อืม”ครางรับในลำคอเบาๆก่อนจะใช้มือเสยผมที่ปรกหน้าผากออก เหนียวไปทั้งตัวจนอยากจะอาบน้ำ


   “เป็นยังไงบ้าง”


   “เริ่มมืดแล้ว”


   “แล้วพวกนั้นหละ”


   “เดินกันให้วุ่น แต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไร”


   “อืม”ส่งเสียงตอบรับในลำคอก่อนจะปลดเสื้อออกจากตัว อย่างน้อยอาบน้ำล้างตัวสักหน่อยคงจะทำให้เขาหัวโล่งกว่านี้และบางทีอาจลืมความฝันนั้นไป


   “แกนอนบ้างก็ได้นะ”


   “เป็นห่วงข้างั้นเหรอ”เสียงที่ดูสดใสจนเกินพอดีทำให้คาเซอริโอตวัดมองเจ้าหมาในร่างคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง แต่รอยยิ้มกลับประดับเต็มหน้าและตาพราวระยับ


   “คืนนี้ฉันคงต้องใช้งานแกอีกเยอะ”


   “งานอะไรข้าก็เต็มใจทำให้เจ้าทั้งนั้น”รอยยิ้มบนใบหน้านั้นฉีกกว้างขึ้นและทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาหาเขา


   “หาทางให้ฉันกลับบ้าน”ปลายเท้าของคนฟังหยุดชะงัก รอยยิ้มที่เคยมีจางหายไปก่อนมันจะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มดูฝืนไม่เหมือนเดิม


   “อืม  กลับบ้าน ข้าไม่ทิ้งเจ้าหรอก”หมาปีศาจทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้และหันออกไปดูสถานการณ์ที่หน้าต่างอีกครั้ง  ดวงตาสีเทามองแผ่นหลังกว้างที่ไม่ตั้งตระหง่านเหมือนเคยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำและเปิดให้สายน้ำเย็นจัดราดลงบนหัว ภาพแผ่นหลังกว้างที่งองุ้มนั้นซ้อนทับกับภาพของเด็กคนหนึ่ง เด็กในความฝัน เด็กตัวเล็กๆที่วิ่งตามบางอย่างสุดฝีเท้า เสียงร้องเรียกที่ออกจากปาก แม้จะไม่ได้ยินแต่เขากลับรู้สึกได้ว่าเจ้าเด็กนั้นตะโกนสุดเสียง เพื่อให้ใครหรืออะไรสักอย่างที่กำลังวิ่งตามหันกลับมา  แม้จะล้มลุกคลุกคลานตามขาเปื้อนไปด้วยคราบโคลนและเลือดที่ไหลอาบเพราะหกล้มก็ไม่ยอมแพ้  น่าเสียดายที่เจ้าเด็กนั้นยังตามไม่ทันเขาก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงของเจ้าหมาซะก่อน  หมาที่เขากำลังจะทำให้มันกลายเป็นเด็กน้อยคนนั้น  เขากำลังจะทิ้งมัน  ทิ้งมันอีกครั้งหลังจากที่ความพยายามครั้งแรกไม่สำเร็จ ทั้งๆที่เขาไม่อยากให้มันตามออกจากกลุ่มเพราะเขากลัว  คนอย่างคาเซอริโอกำลังกลัว  กลัวการจากลา  จากลาจากมัน บางทีหากหายไปโดยไม่บอกลามันอาจจะดีกว่า  แต่เจ้าหมานั้นก็ยังตามมา  เฝ้ามองเขาทุกฝีก้าวแม้จะไม่ถึงจับจ้องตลอดเวลา แต่เขาก็รู้ว่ามันมากกว่าทุกครั้ง สายที่จับจ้องมา  อ้อมกอดที่รัดแน่นกว่าทุกคืน  เจ้าหมานั้นกำลังกลัวการจากลาที่เขากำลังจะหยิบยื่นให้มัน


   “แกหลับไปนานแค่ไหน”หมาปีศาจหันมาตามเสียงถามก่อนจะหันกลับไปมองที่นอกหน้าต่างอีกครั้ง


   “แค่หลับสั้นๆเท่านั้น แต่แค่นั้นก็พอแล้วหละ”


   “แกน่าจะเก็บแรงเอาไว้”คาเซอริโอเดินมายืนข้างๆที่หน้าต่าง ดวงตาสีเทามองลงจากชั้น 3 ของโรงแรมเก่าๆที่เขาเข้ามาพักเมื่อเกือบรุ่งเช้า โรงแรมเก่าๆที่หากมองออกไปก็จะเห็นตอกเล็กตันที่ด้านข้าง ด้านหน้าติดกับตัวตลาด คนละด้านกับทางที่เขามาถึง


   “ข้า  เจ้าไม่รู้รึไงว่าข้าแข็งแรงแค่ไหน”หมาปีศาจในคราบคนยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายระยับแบบที่น่าเอานิ้วจิ้มให้ตาบอด


   “หึ  ไปกันได้แล้ว”


   “ไป  ไปไหน”คาเซอริโอแอบถอนหายใจ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่ามันฉลาดแสนเจ้าเล่ห์  แต่บางครั้งกลับรู้สึกว่ามันโง่จนเกินบรรยาย  หากดูผ่านๆมันก็เหมือนผู้ชายวัยรุ่นประมาณด้วยสายตายังไม่ถึง 30 ดี แต่บางครั้งเขากลับรู้สึกว่ามันเด็กซะจน…
 

   “หาข้าวกิน หิวแล้ว”


   “เจ้าจะลงไปสภาพนั้น”ดวงตาสีน้ำตาลที่เหลือบมองมาแบบสงสัยทำให้คาเซอริโอต้องก้มลงมองการแต่งตัวของตัวเองอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมตัวใหญ่ขึ้นมาใส่เพื่อปิดบังใบหน้า


   “บางทีฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้าย”


   “อืม  เจ้าก็ดูเหมือนนะ”เสียงเรียบๆจากคนที่เดินตามมาข้างหลังทำให้ปลายเท้าหยุดชะงักก่อนหันกลับไปมองหมาที่อยู่ในชุมคลุมรุ่มร่ามไม่ต่างออกไปจากเขา


   “ถ้าฉันเป็นผู้ร้าย แล้วแกที่เดินตามฉันมันอยู่ในฐานะอะไรหละ”


   “อืม คนรู้ใจของผู้ร้ายหละมั้ง”


   “เหอะ”เสียงประหลาดดังรอดออกจากปากในหัวใจคันยิบๆจนต้องรีบสาวเท้าผ่านบันไดแคบไปเร็วๆ เหมือนหูจะแว่วได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆจากด้านหลัง แม้เท้าจะอยากหันกลับไปประเคนถีบให้มันสักครั้งสองครั้งแต่จากสภาพการณ์บนบันไดแบบนี้ ยังไงเขาก็เสียเปรียบมันเป็นที่สุด


   “แล้วเจ้าจะตามหาเป้าหมายยังไง”เสียงถามจากเจ้าหมาที่นั่งลงประจันหน้า  จานเนื้อย่างที่มีกลิ่นคาวคุ้งและขนมปังที่แข็งจนแทบกินไม่ได้ทำเอาความอยากอาหารลดลงไปหลายจุด  แต่อย่างน้อยก็ยังมีกิน ดีกว่าตอนที่โดนไล่ล่าจากศัตรูจนไม่มีเวลาแม้แต่จะหาน้ำ


   “ตามลูกแมวน้อยไป”


   “แมวน้อย  เจ้าหมายถึงริวจิ”


   “อือหึ”แก้วเบียร์ในมือถูกยกขึ้นจิบเพื่อดับกลิ่นคาวเนื้อในปาก


   “แต่เจ้าปล่อยไปแล้ว  ปานนี้คงไม่อยู่รอเจ้าหรอก”


   “ใช่  แต่แกตามหามันให้ฉันได้ใช่ไหมหละ”ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นข้างหนึ่งก่อนเจ้าของดวงตาจะขยับเข้ามาใกล้


   “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าไม่ค่อยสนใจกลิ่นใครนอกจากกลิ่นเจ้า อุ๊ก”ขนาดปังแข็งๆท่อนใหญ่ถูกยัดใส่ปากหมาๆเมื่อมันกำลังพ่นคำที่ทำให้หัวใจคันยิบๆอีกครั้ง


   “ตกลงแกหามันให้ฉันได้ไหม ถ้าไม่ได้ฉันจะไปหาคนอื่น”


   “เจ้าไม่ต้องไปหาใครทั้งนั้น”เสียงที่แข็งขึ้นมาทันควันทำให้คนฟังอย่างเขาขมวดคิ้วฉับ เป็นบ้าอะไรของมัน


   “แล้วตกลงว่าได้หรือไม่ได้”


   “ข้าทำให้เจ้าได้ทุกอย่างคาโล”เสียงเรียบตอบกลับมาก่อนที่อาหารมื้อเย็นจะดำเนินไปเงียบๆ ทำให้ได้ทุกอย่างงั้นเหรอ  ฟังแล้วทั้งรู้สึกดีและแย่ไปพร้อมกัน



    อากาศเย็นๆของยามค่ำตามมาพร้อมหมอกหนาที่ค่อยๆพรางพรมลงมาโดยเฉพาะในตรอกแคบๆที่เต็มไปด้วยขยะ  ตรอกที่มีเพียงแสงไฟจากมุมถนนและแสงจันทร์ที่ส่องให้เห็นเพียงเงาตะคุ่มเท่านั้น  น่ากลัวจนแม้แต่มองเข้ามายังไม่กล้า แต่ถ้ามองดีๆกลับพบว่าผู้คนมากมายที่คลุมตัวเองด้วยเสื้อคลุมเก่าๆแต่กลิ่นน้ำหอมฟุ้งกลับทยอยเดินเข้ามาเรื่อยๆ


   “แกแน่ใจนะว่าไม่ผิดที่”กระซิบถามเจ้าหมาที่ยืนแอบอยู่ข้างๆตัว


   “ไม่ผิด ถึงจะมีกลิ่นหอมฉุนๆพวกนั้นเต็มไปหมดก็เถอะ”เจ้าหมายกมือขึ้นถูจมูกจนปลายจมูกโด่งนั้นแดงเรื่อ


   “เป็นหมาจมูกดีมันก็ลำบากเหมือนกันนะ”


   “นั้นอะไร”เสียงถามดังขึ้นเมื่อมองเห็นผ้าแถบผืนยาวในมือเขา


   “ปิดไว้ บางทีมันอาจจะช่วยได้ ข้างในอาจจะกลิ่นแรงมากกว่านี้”มือขาวตามเชื้อชาติเอื้อมไปด้านหลังกลุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงเพื่อผูกผ้าปิดจมูกให้  ระยะที่ห่างเพียงฝ่ามือคั้นและดวงตาสีน้ำตาลคมที่จ้องมาทำให้หัวใจกระตุกแปลก  รู้ตัวอีกทีก็เผลอประทับจูบเบาๆกับริมฝีปากหนานั้นผ่านผ้าแถบผืนยาว แม้จะแผ่วเบาแม้จะไม่ล้ำลึกแต่ก็ทำให้หัวใจอุ่นขึ้นได้อย่างประหลาด


   “มาคิดกันดีกว่าว่าเราจะเข้าไปยังไงโดยไม่ต้องเล่นงานเจ้าทึ่มสองคนนั้น”ดวงตาสีเทาหันมองเจ้าคนเฝ้าประตูสองคนที่ยืนหน้ายักษ์อยู่ที่ประตูเก่าๆที่แทบจะใช้การไม่ได้ แต่กลับมีคนเฝ้าร่างใหญ่เหมือนหมีถึงสองคน


   “พวกนั้นเอาบางอย่างให้สองคนนั้นดู”


   “บางอย่างแบบไหน”


   “ไม่แน่ใจ  ขนาดประมาณฝ่ามือ สีทองสะท้อนแสงเหมือนอัญมณี”


   “แบบนี้รึเปล่า”ป้ายทองคำขนาดเท่าฝ่ามือ ประดับด้วยอัญมณีสีสวยถูกหยิบขึ้นมา


   “ข้านึกว่าเจ้าขายไปแล้ว”


   “ก็เกือบ แต่พอดีนึกอะไรได้บางอย่าง”คาเซอริโอตอบเสียงเรียบขณะมองของในมือ  ของมีค้าที่ฉกได้มาจากขบวนรถม้าที่พวกเขาเพิ่งปล้นไป  ของมีค่าหลายอย่างเขาเอาไปแลกเป็นค่าที่พักและค่าอาหารจนเกือบหมด แต่ชิ้นนี้เขากลับไม่ขายไป  ป้ายทองคำทรงรีที่ประดับด้วยอัญมณีแวววาวมากมาย ป้ายที่ไม่ได้อยู่ในลังสมบัติแต่กลับไปซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าเนื้อดีของเจ้าอ้วนนั้น


   “เจ้าคิดว่ามันอาจเป็นอะไรที่ทำให้เราผ่านไปได้”


   “ฉลาด”


   “แล้วถ้าไม่ใช่”


   “ก็ทำให้มันเข้าได้สิ  ในเมื่อแกบอกว่าเจ้าริวจิอยู่ด้านในยังไงก็ต้องเข้าไป  ไปกันได้แล้ว”


   “เดี๋ยว”


   “อะไร  อืม..”ฝ่ามือถูกคว้าจับแน่นพร้อมกับริมฝีปากที่จู่โจมลงมา ริมฝีปากที่ปราศจากผ้าแถบคั่น  ริมฝีปากอุ่นร้อนที่จู่โจมอย่างหิวกระหายจนเข้าต้องเปิดปากเพื่อให้ลิ้นมันควานเข้ามาภายใน  อ้อมแขนที่รัดแน่นและร่างที่บดเบียดเข้ามาทำให้เผลอยกมือคว้าลำคอหนานั้นเอาไว้แน่น เบี่ยงองศาหน้าเพื่อให้จูบได้ถนัด  นึกขอบคุณตรอกแคบๆที่พวกเขาแอบอยู่มันมืดและเหม็นซะจนไม่มีใครจะเข้ามาสนใจ


   “แฮ่ก  ไปกันได้แล้ว”


   “อืม จุ๊บ”สัมผัสอุ่นชื้นเฝ้าวนเวียนอยู่ที่ปากเนินนานกว่าจะยอมถอนออกไป  เจ้าหมาปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระก่อนจะเริ่มจัดเสื้อผ้าที่เขาเผลอดึงทึ้งให้เข้าที่ บ้าชิบ


   “ขอดูสัญลักษณ์ด้วย”เสียงห้าวดังพร้อมมือที่ยื่นมาขว้างทำให้คาเซอริโอต้องลอบถอนหายใจก่อนจะยื่นป้ายในมือไปให้ดูในขณะที่มืออีกข้างกำแน่นที่ด้ามของลูกรัก  ไม่จำเป็นเขาก็ไม่อยากใช้หรอกนะ


   “แล้วท่านเซอริคไปไหน ทำไมไม่มาเอง”คาเซอริโอเหลือบมองคนถาม  บัตรผ่านน่าจะใช้ได้แต่ตัวคนถือบัตรนี้สิ


   “ท่านไม่ค่อยสบาย  ก็นะ มีเมียสวยๆแบบนั้นจะเหนื่อยจนมาไม่ไหวบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”คาเซอริโอยกยิ้มที่มุมปากหลังจากแต่งเรื่องโม้แบบสดๆออกไป ก็หวังว่ามันจะเชื่อ


   “เจ้าดูไม่คุ้นหน้า”


   “ไม่เอาน่าพี่ชาย คงไม่บอกหรอกนะว่าจำหน้าพวกฉันได้ทุกคนนะ  อีกอย่างเจ้านายฉันก็ไม่ชอบพวกพูดมากถามซอกแซกซะด้วยสิ”ดวงตาสีเทาสบนิ่งกับคนถามก่อนจะแอบเห็นลูกกระเดือกใหญ่ๆนั้นขยับจากการกลืนน้ำลายที่คงจะฝืดคอหน้าดู


   “เออๆ เข้าไปได้แล้ว”


   “ขอบคุณ”


   “เดี๋ยว ทำไมเจ้านั้นต้องปิดหน้าขนาดนั้น”ขาที่กำลังก้าวเข้าไปด้านในหยุดชะงักเมื่อคนด้านซ้ายปล่อยผ่านแต่เจ้าโง่ด้ายขวากลับไปยอม


   “มันไม่สบายนะ เป็นโรคแพ้น้ำหอมแพงๆ ปากบวม หน้าบวม น้ำมูกยืด คงไม่อยากให้มันเปิดออกให้ดูใช่ไหม”


   “เออๆ   ช่างมัน คงทุเรศน่าดูตัวก็โตแต่ดันแพ้อะไรปัญญาอ่อน”


   “ขอบคุณ”


   “นั้นมันโรคบ้าอะไรของเจ้านะ”เสียงกระซิบถามดังขึ้นเมื่อพวกเขาผ่านประตูเข้ามาด้านในได้


   “ช่างมันเถอะน่า  เข้ามาได้แบบไม่ต้องเปลืองแรงก็ดีแล้วไม่ใช่รึไง”คาเซอริโอพึมพำขณะเดินลงบันไดแคบๆไปยังชั้นใต้ดินและผลักประตูอีกบานเข้าไป


   “ว้าว”เบื้องหลังประตูเก่าโกโรโกโสคือภาพของคลับที่ค่อนข้างหรูหรา  เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มจนหัวใจสะเทือนไปตามจังหวะ สาวๆที่กำลังโยกย้ายไปตามเสียงเพลงทำเอาเผลอคิดไปว่าได้กลับไปใช้ชีวิตเดิมๆอีกครั้ง


   “นี้มันไม่ใช่แค่ลักลอบค้าอาวุธแล้วมั้ง”คาเซอริโอเผลอผิวปากด้วยความถูกใจหลังจากได้รับยิ้มหวานจากแม่สาวชุดแดง แบบนี้สิค่อยสนุกหน่อย นานแค่ไหนแล้วนะที่ต้องอยู่กับพวกหมาที่มีแต่ตัวผู้ถึกๆเป็นโขยง นานๆที่ได้กลับมาเห็นอะไรแบบนี้บ้างมันก็กระชุ่มกระชวยดีไม่น้อย


   “หนวกหู”เสียงบ่นจากข้างตัวทำให้อารมณ์ดีๆแทบดับวืด เมื่อกี้แอบเผลอลืมไปแวบว่ามีมันมาด้วย


   “หึ เรื่องธรรมดา”


   “ธรรมดายังไงไอ้เสียงโหวกเหวกพวกนี้”


   “ที่โลกฉัน ของแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาน่า”


   “เจ้าชอบมัน”


   “แล้วผู้ชายที่ไหนไม่ชอบบ้างหละวะ”


   “ตอนนี้ข้าก็ไม่ชอบ”น้ำเสียงที่ออกจากหงุดหงิดทำให้คาเซอริโอเหนื่อยเกินจะถามว่าที่มันไม่ชอบนะคือไม่ชอบเสียงดังหรือไม่ชอบอาหารตาวับๆแวมๆแถวนี้กันแน่ และแน่นอนการถามออกไปบางที่มันก็เข้าตัวแปลกๆ


   “แกได้กลิ่นริวจิบ้างไหม”


   “จางๆ แถวนี้มีแต่กลิ่นอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด”


   “อือหึ”คงไม่พ้นกลิ่นน้ำหอมของพวกสาวๆนั้นหละ  ดูผ่านๆที่นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกสถานท่องเที่ยวยามราตรีทั่วไป แต่หากมองดีๆก็จะเห็นบาร์เทนเดอร์ที่มีกล้าแขนเป็นมัดๆที่ไม่น่าจะเกิดจากการเล่นเวท ดวงตาที่มองหลุกหลิกไปทั่วร้านจนเหมือนพวกกล้องวงจรปิด  กลุ่มผู้ชาย 2-3 ที่นั่งดื่มกันในมุมอับและคอยสอดส่องสายตาไปทั่วร้าน ลูกค้าที่เดินเปะปะไปมาแต่หากมองดีๆก็จะเห็นพวกผู้ดีที่แต่งตัวหรูเดินแยกไปอีกทาง


   “ขอแบบนั้น 2”ขวดเหล้าทรงคุ้นตาสองขวดถูกส่งมาก่อนขวดหนึ่งจะถูกยกขึ้นจิบ อีกขวดถูกส่งให้หมาที่พอเหล้าเข้าปากก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง


   “ไปกันได้แล้ว”ขวดเหล้าเปล่าถูกวางลงบนพื้นเคาเตอร์แต่ขาที่ออกเดินนำไปก่อนก็ต้องหยุดชะงักเมื่อหมาปีศาจที่กำลังควรจะก้าวตามมาดันหยุดนิ่งอยู่กับที่


   “เป็นอะไรของแก”


   “เจ้าจะไปไหน”


   “ทางนั้น”


   “แต่ข้าว่าทางนี้”คาเซอริโอขมวดคิ้วฉับเมื่อเจ้าหมาข้างตัวดันชี้ไปคนละทางกับเขา ไม่ทันจะได้ค้านอะไรมันก็ลากแขนเขาเดินดุ่มๆไปแล้ว


   “เฮ้ย นี้แก..”คำประท้วงถูกกลืนลงคอเมื่อมันลากเขาจนมาเผชิญหน้ากับพี่เบิ้มสองคน ทำไมคนเฝ้าประตูของพวกมันถึงได้ตัวใหญ่เป็นยักษ์กันไปหมดนะ


   “จะไปไหน”


   “ด้านในนั้น”


   “ลูกค้าใหม่รึไงวะ ทางโน่นเข้าไม่ได้เข้าได้เฉพาะVIP เท่านั้น”


   “ใจเย็นน่า  โทษทีนะ พอดีเพื่อนฉันมันใจร้อนไปหน่อย”ฝ่ามือประทับลงบนช่วงไหล่แข็งเบาๆเชิงให้หมาข้างตัวมันใจเย็นแต่ดวงตาสีน้ำตาลที่เบือนมาสบกลับทำให้ต้องขมวดคิ้ว มันเห็นอะไรของมันกัน


   “ไม่แน่ใจว่าป้ายนี้มันจะ VIP พอรึเปล่า”ป้ายทองคำในมือถูกโชว์ให้ยักษ์เฝ้าประตูเห็น


   “ทีหลังจะไปไหนก็อย่าลืมบัตรผ่านหละ ไปได้แล้ว”


   “โทษทีนะ”คาเซอริโอยิ้มรับก่อนที่จะถูกหมาข้างตัวลากหลุนๆเข้าไปด้านใน


   “แกเป็นบ้าอะไรของแกห๊ะ”


   “ข้าไม่แน่ใจ”


   “ไม่แน่ใจแต่แกลากฉันเข้ามาแบบนี้ เกิดมันผิดทางฉันกับแกไม่กลายเป็นผีไปเลยรึไง”


   “หรือเจ้ากลัว”


   “แค่ยังไม่อยากจะหาเรื่องเท่านั้นแหละ”หมาปีศาจข้างตัวยกยิ้มขณะเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมแดง  แม้จะมีทางแยกมากมายแต่มันกลับลากเขาเดินดุ่มไปเรื่อย เลี้ยวซ้ายขวาเหมือนมันรู้ทางหรือไม่ก็กำลังตามอะไรบางอย่างอยู่  เสียงบางอย่างที่ดังแว่วออกมาจากหลังประตูบานหนาทำให้จังหวะฝีเท้าแทบกลายเป็นวิ่ง


   “เฮ้ย..บ้าน่า”เสียงเหมือนถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อภาพเบื้องหลังประตูปรากฏให้เห็น  ห้องทรงกลมขนาดห้องประชุมเล็ก  พวกเขากำลังยืนอยู่บนพื้นยกระดับขนาดใหญ่ที่ประดับประดาด้วยชุดเก้าอี้หรูหราและอาหารเลิศรส ในขณะที่ด้านล่างของห้องคือพื้นไม้ยกระดับที่กำลังมีพิธีกรชายยืนพูดบางอย่างอยู่เบื้องหน้าด้านหลังคือกรงขังเหล็กขนาดใหญ่ที่ด้านในขังผู้หญิงและเด็ก 4 คนเอาไว้ ผู้หญิง 2 และเด็กอีก 2 บางคนก็นั่งสะลึมสะลือเหมือนโดนยา ในขณะที่บางส่วนกำลังขู่คำรามในร่างกึ่งสัตว์ที่ด้านบนเป็นคน ด้านล่างเป็นหมา   


   เสียงคำรามในลำคอทำให้คาเซอริโอตวัดตามองหมาข้างตัว  ฝ่ามือคว้าเข้าไหล่กว้างก่อนจะออกแรงเหวี่ยงเต็มกำลัง แผ่นหลังหนาปะทะเข้ากับแพงเนื้อดีเสียงดังสนั่น


   “หยุดความคิดบ้าๆของแกเดี๋ยวนี้”


   “ปล่อยข้าคาโล”


   “แกกำลังจะพาเราไปตายไม่รู้รึไง”


   “พวกนั้นมันจับพวกข้าไป”


   “ฉันเห็นแล้ว แต่แกไม่เห็นรึไงว่าพวกมันมีมากขนาดไหน อยากตายรึไงห๊ะ”


   “เฮ้ พวก มีอะไรรึเปล่า”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ต้องปล่อยมือที่จับยึดไว้เพื่อให้ไปเผชิญหน้ากับการ์ดสองคนที่ถูกเรียกมาเพราะเสียงดังเมื่อกี้


   “โทษที พอดีเพื่อนฉันมันเมามากไปหน่อยนะ”


   “แน่ใจนะ”


   “อืม โทษทีแล้วกัน”


   “อย่าให้มีอีก  ไม่งั้นแกสองคนถูกโยนออกไปแน่”


   “โทษทีๆ”การ์ดสองคนยอมล่าถอยไปในที่สุดแต่ก็ไม่วายที่จะเหลือบมามองพวกเขาเป็นระยะ ถูกจับตาจนได้


   “แกนี้มัน..”


   “เราต้องไปช่วยพวกนั้น”


   “ห๊ะ แกรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”


   “ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกผู้หญิงกับเด็กเป็นอะไรไปแน่”


   “งั้นแกก็ไปคนเดียว”ถ้อยคำเรียบๆแต่กลับทำให้ฝ่าเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดชะงัก  ดวงตาสีน้ำตาลหันกลับมาสบตากับเขาอีกครั้ง  ดวงตาที่กำลังส่อประกายสับสนระคนไม่แน่ใจ


   “คาโลนี้เจ้า..”


   “ฉันไม่เคยบอกว่าฉันจะช่วย  แกลืมไปแล้วรึไงว่าฉันมาที่นี้ทำไม ฉันมาตามริวจิ มาหาคนที่ชื่อลีโอ มาหาทางกลับบ้านไม่ใช่มาทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยทาส”


   “แต่พวกนั้นอาจกำลังจะ..”


   “แล้วยังไง จะตายจะถูกขายแล้วยังไง ซาเวียร์ฉันไม่ใช่คนดีอย่างที่แกคิดหรอกนะ”


   “เจ้ากำลังทำให้ข้าผิดหวัง”คำพูดเรียบๆแต่เจ็บหนึบได้ถึงใจคนฟัง


   “ดีใจที่แกตาสว่างสักที”


   “เจ้ากำลังบอกข้าว่าจะไม่ไปช่วยผู้หญิงกับเด็ก  ทั้งๆที่เจ้าเคยช่วยชินริ”


   “ชินริมีบุญคุณกับฉันแต่พวกนี้ไม่มี ถ้าแกอยากไปก็ไปเลย แต่ฉันจะไปตามทางของฉันไปหาริวจิ  ไปหาทางกลับบ้าน”


   “นี้เจ้า..”


   “เลือกมาซาเวียร์  เลือกมาว่าแกจะทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยพวกผู้หญิงกับเด็กหรือจะไปกับฉัน”




ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ตอนที่ 29 ทางแยกที่ต้องเลือก 2                                                              19/12/2557




   เสียงประกาศของพิธีกร เสียงโห่ร้องของบรรดาผู้ชมเสียงกรีดร้องของสินค้าที่ถูกขายไปไม่ได้ดังเข้าในหู  ภาพที่เหยื่อถูกฉุดกระชากออกจากกรงไม่ได้ผ่านเข้าไปในสายตา  สิ่งเดียวที่เขากำลังรับรู้คือรสชาติขมปร่าของเหล้ารสแรงที่กำลังไหลลงคอ


   “เลือกมาซาเวียร์  เลือกมาว่าแกจะทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยพวกผู้หญิงกับเด็กหรือจะไปกับฉัน”


   ประโยคที่เขาเป็นคนพูดออกไปกำลังดังกังวานอยู่ในหัว  วนเวียนไปมาพร้อมกับภาพดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่มองตรงมาที่เขาด้วยความผิดหวังก่อนที่เจ้าของดวงตานั้นจะหันหลังให้เขา มันจากไปพร้อมทางเลือกของมันในขณะที่เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมขวดเหล้าในมือ  หางตาเหลือบเห็นคนที่เหมือนเจ้าริวจิแต่เขากลับไม่มีแรงพอที่จะพาตัวเองลุกออกจากเก้าอี้เพื่อตามออกไป น่าสมเพช


   “กินมากขนาดนั้นเดี๋ยวก็เมาหรอก”เสียงที่ดังคุ้นหูและร่างคุ้นตาที่ถือวิสาสะนั่งลงข้างๆทำให้เหล้าที่กำลังจะถูกยกเข้าปากชะงักค้าง


   “แก คูลาตัส”เจ้าของชื่อยกยิ้ม  รอยยิ้มที่คาเซอริโอรีบบอกตัวเองว่าไม่น่าไว้ใจสุดๆ


   “ดีใจจังที่เจ้ายังจำข้าได้”


   “ฉันยังไม่ความจำสั้นขนาดนั้น”ขวดเหล้าในมือถูกยกขึ้นอีกครั้งแต่เปลี่ยนจากการกระดกเป็นการจิบ เมื่อเจ้าของงูปีศาจในคราบมนุษย์ที่ใส่สูทเนื้อดีมันชวนในขนลุกขนพองซะยิ่งกว่าครั้งที่เขาเจอมันในป่า


   “งั้นเหรอ พูดแบบนี้ข้ายิ่งดีใจเข้าไปใหญ่”ฝ่ามือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหนึ่งถูกมันคว้าไปกุมไว้  สัมผัสของปลายนิ้วโป้งที่ไล้ไปตามหลังมือให้ความรู้สึกแปลกๆจนต้องรีบชักมือหนี


   “ไม่ยักรู้ว่าแกก็แต่งตัวดีๆแบบชาวบ้านเขาเป็นด้วย”


   “ข้าก็แค่ทำตามแบบที่มนุษย์เขาทำกันเท่านั้นหละ”


   “น่าทึ่ง”


   “ข้ายังมีอะไรให้เจ้าทึ่งอีกมาก”ฝ่ามือขาวซีดยกขึ้นเรียกบริกรก่อนไวน์ชั้นเลิศจะถูกวางลงบนโต๊ะ


   “สักหน่อยไหม”


   “มีแล้ว”


   “อ่า นั้นสินะเหล้าแรงๆแบบนั้นคงถูกปากเจ้ามากกว่า แต่กินมากไปก็ไม่ดีหรอกนะ”นิ้วเรียวยาวยกแก้วไวน์ส่งสูงขึ้นจิบ ดวงตาสีทองกรอบดำเหลือบมองเขาก่อนจะเหลือบไปมองบนเวทีพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก  เหล้าในปากเหมือนจะฝืดขึ้นมาทันควัน หากคิดตามสิ่งที่มันพูดดีๆ มันแอบดูเขามาสักพักแล้ว นานพอจะรู้ว่าขวดเหล้าที่เขากำลังถืออยู่มันพร่องลงไปจนเกือบหมด แต่เรื่องที่มันแอบดูเขา ดูจะน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับเรื่องที่มันมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง  ร่างสูงผอมในชุดสูทเนื้อดี ท่าทางการจิบไวน์ที่ดูราวกับคุ้นเคย ทุกอย่างที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันออกมาสังสรรค์กับพวกมนุษย์ ความเป็นกันเองกับบริกรบอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่มันมาที่นี้ งูปีศาจในคราบมนุษย์ท่ามกลางวงล้อมการค้าพวกหมาปีศาจตัวเมียและเด็กๆ


   “หึหึ หมู่บ้านของมนุษย์อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตก”

……

   “โอ๊ะ  นั้น...”เจ้างูข้างตัวมันอุทานออกมาเมื่อเห็นภาพ  หลังจากเจ้าตัวเดินเอื้อยจนมาทัน

   “รู้จักเหรอ”

   “อืม  ไม่แน่ใจแหะ”เจ้างูคูลาตัสพูดไปแบบนั้นแต่คิ้วสีทองก็ขมวดเข้าหากันแน่นเหมือนคิดอะไรอยู่

……

   “สัตว์ใหญ่ย่อมกินสัตว์เล็ก”

…..

   “งูที่เจ้าบอกว่ากำลังจะกลายเป็นศพนะเป็นน้องชายของข้าเอง”

…..

   “แล้วเจอกันนะ”

…..

   “แกต้องการอะไร”


   “ไม่ต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นก็ได้น่า  ข้ากับเจ้าเราคุยกันได้  เหมือนทุกครั้งที่เราเคยคุยกัน”


   “หึคุยกัน  แต่เหมือนครั้งสุดท้ายมันจะจบไม่สวยเท่าไหร่นะ”รอยยิ้มมุมปากของคนฟังหุบฉับ ก่อนจะถูกแย้มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง


   “ถ้าเจ้ายังจำการคุยครั้งล่าสุดของเราได้ คงจำได้ว่าข้าขออะไรกับเจ้าไปสินะคาโล ทางเลือกทางที่ 3”


   “ฉันยังคงยืนยันคำตอบเดิม”


   “เจ้าจะไม่เปลี่ยนใจ  แม้แต่ตอนที่เจ้าหมานั้นมันทิ้งเจ้าไปงั้นเหรอ”ขวดเหล้าเปล่าถูกกระแทกวางลงบนพื้นโต๊ะ แรงจนทั้งโต๊ะสั่นสะเทือนก่อนเหล้าขวดใหม่จะถูกยกขึ้นจิบช้าๆเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น


   “กินมากไปแล้วนะ”


   “แค่นี้มันไม่ทำให้ฉันเมาหรอก”


   “อ๊า  น่าสนใจ”


   “เลิกเปลี่ยนเรื่องแล้วตอบคำถามฉันมา แกต้องการอะไร”


   “เปลี่ยนใจเจ้าลำบากเหลือเกินนะ อืม ยังไงดีหละ ข้าก็แค่อยากช่วยเท่านั้น”


   “ช่วย เรื่องอะไร”


   “เรื่องที่เจ้าบอกข้าตอนที่เราเจอกันครั้งแรก เรื่องที่ทำให้เจ้าวิ่งสร้างความวุ่นวายไปทั่วเมือง เรื่องการกลับบ้านของเจ้า”


   “แกใจดีขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”


   “ข้าใจดีกว่าที่เจ้าคิด  อย่างน้อยก็คิดว่าดีกว่าเจ้าหมานั้นที่ทิ้งเจ้าไป”


   “มันไม่ได้ทิ้งฉัน คิดว่าหน้าอย่างมันมีปัญญาทิ้งฉันรึไง”


   “ว้าว  ใจเย็นน่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นนะ เอาเป็นว่าเราจบประเด็นเรื่องนี้กันดีกว่า ความจริงคือข้าแค่อยากจะช่วยเท่านั้นเอง”


   “ฉันมีทางของฉัน ขอบใจ”


   “แล้วไม่อยากฟังทางของข้าเลยรึไง”คาเซอริโอเหลือบตามองคนพูดก่อนจะยกเหล้าขึ้นจิบช้าๆเป็นสัญญาณว่าเขาจะไม่ขวางหากมันคิดที่พูดอะไรออกมา


   “ความจริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องวิ่งตามเจ้าคนที่ชื่อริวจิอะไรนั้นหรอกนะ มันไม่มีความจำเป็น  เพราะยังไงซะเจ้าก็ไม่มีทางหาทางกลับได้อยู่แล้ว”


   “แกหมายความว่ายังไง”ประโยคยาวๆที่เริ่มฟังไม่เข้าหู ทำให้คนฟังอย่างเขาขมวดคิ้วฉับ


   “หมายความตามที่พูดทุกอย่าง  เจ้าไม่มีทางหาทางกลับไปได้ เพราะทางเส้นนั้นมันไม่มีอยู่”


   “นี้ไอ้งูผี ฉันไม่ถนัดมาเล่นคำกับแกหรอกนะ ถ้าอยากบอกก็ช่วยบอกอะไรที่มันเข้าใจง่ายๆไม่งั้นก็หุบปากของแกไปซะ”


   “ไม่เอาน่าคาโล คิดหน่อยสิ อย่างเจ้าน่าจะคิดออก”


   “รู้อะไรไหมคูลาตัส คำพูดของแกตอนนี้เป็นอะไรที่ฉันเกลียดที่สุดเลยว่ะ”คาเซอริโอพูดเสียงเรียบขวดเหล้าในมือถูกวางลงเพราะตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาถือขวดเหล้าแต่มีอารมณ์จะหยิบอย่างอื่นมาถือมากกว่า


   “เฮ้อ เจ้านี้นะก็ได้ข้ายอมแพ้ เห็นแก่ที่ข้าถูกใจเจ้าหรอกนะ อย่างที่ข้าบอกคาโลเจ้าไม่มีทางหาทางกลับได้เพราะเส้นทางพวกนั้นมันไม่ได้มีอยู่จริง”


   “ไม่มีทางงั้นเหรอ”


   “อืม ไม่มีทางเพราะมันไม่เคยมีทางมาจึงไม่มีทางกลับ เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องพายุ ฝน หรืออะไรสักอย่างมาแล้ว”


   “อือหึ”คาเซอริโอส่งเสียงในลำคอไม่แสดงว่ารู้หรือไม่รู้


   “พายุนั้นเกิดขึ้นเอง ไม่รู้ที่มา ไม่รู้ที่ไป  ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไหร่ แค่รู้ว่ามันเคยเกิดขึ้นเท่านั้น”


   “ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นที่ไหน นี้สินะที่ไม่มีทางของแก”


   “เริ่มฉลาดขึ้นมาแล้ว”คาเซอริโอแทบจะกุมขมับหากเป็นอย่างที่มันพูดจริงเขาก็ท่าจะมีปัญหาแล้ว แต่ก็ยังติดสินไม่ได้เพราะเรื่องของเจ้าคนที่ชื่อลีโอนั้นอีก


   “แกมั่นใจเรื่องนี้แค่ไหน”


   “อืม ก็แค่ข่าวจากคนวงในหละนะ”งูประหลาดตรงหน้ายกไวน์ขึ้นจิบอย่างมีมาด มันบอกว่าข่าววงในแล้วไอ้วงในของมันนะวงในแค่ไหน แล้วเขาจะเชื่อใจได้แค่ไหนก็ไม่รู้ ปากมันบอกว่าจะช่วยเขาแต่คำพูดของมันกลับเป็นการตัดความหวัง ปากมันบอกว่าถูกใจเขาแต่ทุกอย่างที่มันทำกับเขามันน่าเอาปืนกรอกปากมันตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็นั้นแหละไม่ว่าเรื่องที่มันกำลังพูดอยู่จะจริงหรือไม่จริงแต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขาคิดอะไรได้บางอย่าง


   “ขอบใจ อย่างน้อยครั้งนี้แกก็ช่วยฉันได้มากจริงๆ”


   “อือหึ ไม่มีปัญหา แล้วนี้เจ้าจะทำยังไงต่อ”


   “ก็ ในเมื่อมันไม่มีทางก็หาทางเองซะสิ”ขวดเหล้าเปล่าในมือถูกวางลงบนโต๊ะ ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้ว


   “หึหึ จะทำยังไงหละคาโล เหตุการณ์เหนือธรรมชาติแบบนั้นเจ้าจะทำยังไง เจ้าจะฝืนให้มันเกิดขึ้นงั้นเหรอ”


   “โทษที บังเอิญฉันไม่ใช่พระเจ้าว่ะ คงฝืนให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วถ้าแกถามว่าจะทำยังไง บอกได้เลยว่าฉันไม่รู้  แต่อย่างหนึ่งที่ฉันรู้คือหากมันส่งฉันมาได้มันก็ต้องส่งฉันกลับได้ แกบอกว่าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องเหลือธรรมชาติ ตลอดชีวิตฉันไม่เคยเจอเรื่องเหนือธรรมชาติ การเจอกับพวกแกก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างหนึ่งและฉันคิดว่าเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้มันสมควรจบลงได้แล้ว ตลอดมาฉันกำหนดโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้ฉันก็จะจบโชคชะตานี้ด้วยตัวเอง”


   “เจ้าเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนกันคาโล  แต่ก็เพราะความกล้าบ้าบิ่นของเจ้าแบบนี้หละมั้งถึงทำให้ข้าสนใจเจ้า”


   “เรื่องของแก ขอบใจที่ช่วย”เท้าสองข้างก้าวลัดเลาะไปตามชุดเก้าอี้ตาสอดส่ายบรรดาการ์ดมองหาเป้าหมายที่เขาจ้องมันมาตลอดจากโต๊ะ  ตลอดเวลาที่นั่งอยู่กับที่เขาจ้องมันตลอดจนกระทั้งเมื่อกี้  มันยังคงวนๆเวียนๆอยู่ที่เดิม ไม่ได้จากไปไหน และเจ้าหมานั้นก็หายไปนานแล้ว นานจนเขาคิดว่ามันอาจหลงทาง อุตสาห์รอให้มันเปิดเกมแต่อาจกลายเป็นว่าเขาคงได้เป็นคนเปิดเกมก่อน


   “จะไปไหน”การ์ดตัวยักษ์สองคนพุ่งเข้ามาขวางทันทีที่เขาเดินลัดเลาะมาถึงเป้าหมาย ชุดเก้าอี้หรูที่อยู่ในมุมลับตาที่สุดแต่กลับมองเห็นทั้งห้องได้ชัดเจนที่สุด


   “พอดีฉันมีเรื่องจะคุยกับเจ้านั้นนิดหน่อย”คาเซอริโอจงใจพยักเพยิดไปทางริวจิ เจ้าของชื่อที่นั่งหลบมุมอยู่ผุดลุกขึ้นทันควันที่เห็นหน้าเขา


   “แย่หละ รู้ตัวซะแล้ว”


ปัง


   เสียงเพชฌฆาตดังเปิดเกม  กระสุนสองนัดจากปืนสองกระบอกพุ่งเจาะกลางหน้าผากของการ์ดร่างยักษ์เร็วเกินกว่าที่พวกมันจะได้ตั้งตัว  เสียงกรีดร้องดังระงมเมื่อเลือดจากผู้เคราะห์ร้ายกระเด็นโดนสาวสวยที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน  ห่ากระสุนในมือสาดเข้าไปในกลุ่มผู้เคราะห์ร้าย  ขายาวก้าวเร็วๆเข้าไปตรงกลาง  มือคว้าเอาคอเสื้อเป้าหมายเหวี่ยงไปอีกด้านก่อนจะตามเข้าไปทันก่อนที่กระสุนนัดหนึ่งจะเจาะเข้าข้างกำแพงที่เขาแอบอยู่


   “คุณคาโล”


   “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ”แม็กกาซีนในมือชุดใหม่ถูกเปลี่ยนก่อนปืนจะยิงเข้าใส่การ์ดโชคร้ายที่วิ่งเข้ามาหา วัตถุสีดำในมือถูกหยิบขึ้นมาก่อนปากจะถูกใช้เป็นตัวปลดสลักแล้วขว้างออกไป


   “ไป”มือคว้าเข้าที่คอเสื้อของตัวประกันก่อนจะออกแรงกระชาก  เสียงระเบิดดังสะนั่นหวั่นไหวจากด้านหลัง  ฝุ่นควันสีดำพุ่งกระจายไปในอากาศ  ประกายสีแดงพุ่งวาบและเริ่มลามเลียไปยังส่วนต่างๆ บรรดาแขกมากมายก่อนหน้านี้ต่างพยายามกระเสือกกระสนไปยังทางออกทางเดียวอย่างแออัด  สภาพชุดเก้าอี้ที่โดนระเบิดเละไม่มีชิ้นดี บรรดาการ์ดที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างกระเสือกกระสนเพื่อเอาชีวิตรอด เขามีเวลาอีกนิดหน่อยก่อนพวกการ์ดจะฝ่าบรรดาแขกเข้ามาได้


   “ใคร  คนไหนที่ชื่อลีโอ”


   “คุณว่าอะไรนะ”


   “ฉันถามว่าไอ้คนที่ชื่อลีโอนะคนไหน”ไม่ถามเปล่า ปืนในมือยกขึ้นจ่อบนหน้าผากคนถูกถาม ดวงตาสีดำเรียวเล็กเบิกกว้างขึ้นอย่างตระหนก


   “ผม..”


   “ตอบ”คาเซอริโอเร่งเมื่อดวงตาสีดำมองหลุกหลิกสลับไปมาระหว่างเขาและประตูที่ยังคงมีบรรดาแขกแออัดกันเพื่อออกไปในขณะที่การ์ดก็พยายามฝ่าเข้ามา


   “เขา  เขาตายไปแล้วตอนระเบิดนั้นไง”


   “งั้นแกก็ไร้ประโยชน์”


ปัง


   กระสุนสีเงินพุ่งเฉียดปลายผมเหยื่อ ความร้อนที่พุ่งออกมาทำให้เกิดรอยไหม้และทิ้งคราบเขม่าเป็นทาง


   “ไง มันตายรึยัง”


   “ยะ  ยัง  เขาอยู่ที่โกดัง เขาชอบอยู่ที่โกดัง”


   “หน้าตายังไง”


   “ตัวสูง ผิวคลำ  ผมเกรียน มีรอยสักรูปหมาที่ต้นคอ”


   “แน่ใจนะ”


   “แน่ใจ ไว้ชีวิตผมนะ”


   “หึ ขอบใจ ขอให้โชคดี”เหยื่อในมือถูกปล่อยให้เป็นอิสระปลายเท้าก้าวไปบนเวทียกระดับ  ดวงตาสีเทาเหลือบมองสิ่งมีชีวิตที่ถูกขังอยู่ในกรง 2 ตัวเก่าหายไปถูกแทนที่ด้วยตัวใหม่อีก 2 ตัว ปืนในมือยกขึ้นสูงก่อนจะเหนี่ยวไก


ปัง


   แม่กุญแจกรงขังแตกกระจายเป็นส่วนๆ หมาปีศาจในร่างคนและกึ่งคนเหลือบมองเขาก่อนจะคำรามลั่นและเปลี่ยนร่างเป็นหมาปีศาจเต็มตัว  เสียงคำรามดังลั่นไปทั่วห้องขนาดเล็ก เสียงกรงขังถูกเปิดออก หมาปีศาจทุกตัวพุ่งเข้าไปหามนุษย์ในห้องด้วยความโกรธแค้น หนึ่งในนั้นพุ่งเข้าไปหาริวจิ กรามใหญ่กัดขย้ำลงบนแขนข้างที่ถือปืนเอาไว้ก่อนจะกระชากเต็มแรง  เลือดสีสดสาดกระจายไปทั่วห้องท่ามกลางเสียงกรีดร้อง


   ล็อคประตูถูกยิงจนกระจุยก่อนฝ่าเท้าจะยกขึ้นถีบ  บานประตูกระแทกเข้ากับผนังดังโครม ปืนในมืออยู่ในระดับเตรียมพร้อม ขายาวก้าวเข้าไปในประตู ทิ้งภาพความวุ่นวายและกลิ่นคาวเลือดของห้องประมูลไว้ด้านหลัง ดวงตาสอดส่องเข้าไปในทางเดินมืดที่มีเพียงแสงสว่างจากคบไฟ  ทางเดินขนาดกว้างที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต ไม่ได้ทำให้เขาไว้ใจอะไรได้เลย ทุกครั้งที่มีการประมูลและสินค้าตัวใหม่จะถูกนำขึ้นมามันจะถูกพามาทางประตูบานนี้ หน้าแปลกที่ตอนนี้มันกลับไม่มีใครอยู่ ดวงตาสีเทาคู่คมมองสำรวจประตูก่อนจะปิดมันกลับไปเหมือนเดิมเสียงจากห้องประมูลเบาลงจนแทบจะกลายเป็นปิดสวิตซ์  แบบนี้สินะเขาถึงไม่ได้ยินสัญญาณจากเจ้าหมานั้น


   ฝ่าเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเหงื่อมากมายที่ไหลหยดมาตามปลายผม เสียงคำรามของบางอย่างทำให้คาเซอริโอหันควับดวงตาสีเทาตวัดมองไปตามทางเดินก่อนจะออกวิ่งผ่านทางเดินใต้ดินยาวๆ ยาวจนไม่รู้ว่ามันจะพาเข้าไปที่ไหน


กรร!!


   เสียงขู่คำรามพร้อมภาพด้านหน้าทำให้ใจเต้นระรัว ภาพหมาปีศาจตัวสูงสีน้ำตาลขาวกำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของมนุษย์ที่มีอาวุธครบมือ จำนวนคนมันมากซะจนไม่มีใครประจำอยู่ตามทางเดิน ทุกคนต่างกำลังสนุกกับการต้อนหมาปีศาจที่บาดเจ็บ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากบาดแผลมันมากมายซะจนแทบจะอาบให้ร่างทั้งร่างกลายเป็นสีเลือด


   “ไอ้หมาโง่”


   “เอาดีๆนะโว๊ย นานๆทีจะมีรนมาหาถึงที่ ตัวผู้แบบนี้ขายได้ราคาดีไม่หยอก”เสียงพูดจากตัวที่น่าจะเป็นหัวหน้า ผู้ชายร่างสูงประมาณ 6 ฟุต ผิวคลำ ผมเกรียนและรอยสักรูปหมาขนาดยักษ์ที่ไม่ต้องเสียเวลาสังเกตเพราะมันพาดยาวจากต้นคอลงไปที่แผ่นหลังเปลือย


   “มันบ้าอะไรกันวะ”เป้าหมายที่อยากเจอตัวดันเป็นตัวสำคัญแถมยังอยู่ในวงล้อมลูกน้องเป็น 10 แบบนี้หายนะชัดๆ ในกระเป๋ายังเหลือระเบิดมืออีกลูก กระสุนอีกไม่เท่าไหร่ หากขวางระเบิดออกไปมีหวังได้เละกันหมด ถึงห้องมันจะไม่ถล่มแต่วงล้อมเล็กขนาดนั้นได้เละกันหมดแน่โดยเฉพาะเจ้าหมานั้น แต่จะให้ยิงเข้าไปมีหวังกระสุนเขาหมดก่อนเพราะของเขามันแค่ปืนพกสั้น ส่วนของพวกมันนะขนมาหมดทั้ง HK ทั้ง M


   “อย่าเพิ่งรีบตายหละเจ้าหมา”ปลายเท้าลัดเลาะไปตามลังไม้ที่เรียงกันเป็นทรงสูง หมอบตัวผ่านกรงขังเหล็กที่มีหมาปีศาจอยู่ด้านใน เสียงคำรามดังขึ้นเมื่อเขาก้มคลานผ่านแต่โชคดีเป็นของเขาที่เสียงต่อสู้จากกลางวงทำให้พวกมันเข้าใจว่าเป็นเสียงคำรามตามปกติ


   “หืม เหมือนชะตาแกยังไม่ถึงฆาตนะเจ้าหมา”ดวงตาสีเทาเป็นกระกายวาววับเมื่อมองเห็นลังไม้ด้านหน้า  ลังไม้ที่ถูกเปิดฝาออกค้างไว้  ด้านในคืออาวุธสีดำเมื่อมกระบอกยาว ปืนสั้นคู่ใจถูกเก็บใส่ซองก่อนปืนสีดำในกล่องจะถูกยกขึ้นมาเซ็คความพร้อม  ดวงตาสีเทามองหาเป้าหมายปืนในมือกระชับแน่นเข้ากับบ่า ระยะแค่นี้ยิงหวังผลได้สบาย


ปัง ปัง


   กระสุนสองนัดพุ่งออกจากกระบอกปืนเจาะเข้าหลังเป้าหมาย เสียงโห่ร้องหยุดลงเมื่อร่างหนึ่งร่วงไปกองกับพื้น ดวงตาหลายคู่เลิกหลั่กหาคนทำรวมทั้งเจ้าหมาที่เลือดอาบไปทั้งตัว  ดวงตาสีน้ำตาลหันมามองเขาก่อนทั้งร่างจะกระโจนพรวดคว้าเข้าที่ไหล่ตัวหัวหน้าพร้อมกับห่ากระสุนที่ดังออกจากปากกระบอกปืน เสียงดังยาวนานพร้อมกับร่างที่ค่อยๆล่วงลงไปทีละร่าง  ทีละร่างจนหมดพร้อมกับปลอกกระสุนที่หล่นเกลื่นพื้น ปลายเท้าย่างเข้าไปกลางวงช้าๆปืนที่หมดประโยชน์ในมือถูกโยนทิ้ง ปืนสั้นคู่ใจถูกควักขึ้นมา กระสุนในมือเจาะเข้ากลางศีรษะของเหยื่อที่พยายามจะยกปืนมายิงเขา


   “ไปจัดการเรื่องของแกก่อนที่พวกนั้นจะแห่กันลงมา”กรามกว้างปล่อยเหยื่ออกจากปาก ร่างที่แขนข้างหนึ่งห้อยร่องแร่งทรุดตัวลงกับพื้น  หมาปีศาจเดินผ่านไปด้านหลังก่อนเสียงลูกกรงที่ถูกฉีกกระชากจะดังขึ้น


   “ไง แกลีโอสินะ”


   “แกเป็นใคร”


   “เป็นใครไม่สำคัญ สำคัญว่าฉันจะได้อะไรจากแกมากกว่า”


   “แกต้องการอะไร”


   “ข้อมูลนิดหน่อย แลกกับการที่ไอ้หมาข้างหลังปล่อยแกไป”


   “แก..”


   “ว่าไง แกพอจะบอกฉันได้ไหมว่าแกไปเอาอาวุธพวกนั้นมาจากไหน”


   “แกสินะที่ไล่ฆ่าคนของเรา”


   “ก็น่าจะไม่ผิด จะบอกฉันได้รึยังว่ามันได้มาจากไหน”


   “หึ  บอกไปแล้วยังไง ไม่บอกแล้วยังไง”


   “ดูท่าแกจะฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องสินะ”ดวงตาสีเทาเหลือบมองไหล่ที่ยังคงมีเลือดไหลอาบก่อนกระสุนในมือจะพุ่งทะลุสีข้าง


   เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วห้องใต้ดิน


   “แก..คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะรอดไปรึไง”


   “นั้นไม่ใช่เรื่องที่แกจะมาคิดแทน ตอบมาว่าได้มันมาจากไหน”


   “หึ มันก็ไม่ใช่ความลับหรอกนะ ปกติมันจะมีพายุพาของพวกนี้มาจากทางนั้น”


   “พายุ จะมาเมื่อไหร่”


   “หึ ฉันไม่รู้เพราะแบบนี้ไงหละมันเลยไม่เป็นความลับ”


   “แต่มีคนบอกฉันว่าแกรู้”


   “หึๆ  มันก็คงโกหกแกหละมั้ง ของแบบนี้ใครมันจะไปบอกได้”


   “แล้วแกตามไปเก็บมันมาได้ยังไงห๊ะ”ฝ่ามือคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อก่อนจะออกแรงเขย่า ความหวังที่กำลังจะริบหรี่กำลังจะทำให้เขาบ้า


   “หึหึ  สัญชาตญาณหละมั้ง”


   “แล้วตอนนี้สัญชาตญาณแกมันบอกยังไง  มันจะเกิดขึ้นที่ไหน”


   “ไม่รู้สิ”รอยยิ้มที่แย้มขึ้นทำให้ทำให้อารมณ์เดือดพุ่งสูงก่อนร่างทั้งร่างจะถูกปล่อยให้ร่วงลง ฝ่าเท้าประเคนซ้ำเข้าไปตามแรงอารมณ์ เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากปากของเหยื่อที่กำลังยิ้มกว้างและหัวเราะลั่น


   “นรกเฮ้ย”เขากำลังโมโห โมโหอย่างที่สุด เขามีเบาะแส มีความหวังแต่พอตามมาความหวังต่างๆกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง มันเหมือนเป็นความหวังลมๆแล้งๆที่เขาหวังไปเองคนเดียว  ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่บอกไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนเจ้าคนที่ควรจะบอกได้ก็ไม่รู้หรือบางทีมันอาจจะรู้แต่ไม่บอกออกมา และแน่นอนรอยยิ้มของมันเมื่อครู่เหมือนกับรอยยิ้มดับฝันของเขา วงการมืดที่อยู่มานานทำให้เขารู้ว่าคนประเภทไหนที่ทรมานแล้วจะได้คำตอบแต่ประเภทแบบมันเขาไม่มีทางได้คำตอบจากการทรมาน เขาต้องหาทางอื่นให้มันคายออกมาแต่เขาไม่มีเวลาอีกแล้ว ไม่มีโอกาสเข้ามาหามันเป็นครั้งที่ 2 แน่


   เสียงคำรามที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้ดวงตาสีเทาตวัดไปมองด้านหลัง ชายในชุดสูทเปื้อนเลือดคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาพวกเขาช้าๆ เสียงขู่คำรามจากหมาปีศาจที่ถูกปล่อยออกมาหลายตัวไม่ได้ทำให้ฝีเท้านั้นช้าลงแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเป็นพวกหมาที่เป็นฝ่ายถอยออกไปช้าๆ


   “แหมๆช่วยออกมาหมดแบบนี้ก็แย่สิ”


   “แก คูลาตัส”


   “ข้าบอกเจ้าไปแล้วนะว่ามันไร้ค่า”


กรร


   เท้าที่กำลังก้าวเข้ามาหยุดชะงักไปในที่สุดเมื่อหมาปีศาจตัวใหญ่กระโดดขวางหน้า หมาปีศาจที่ร่างกายทั้งร่างอาบไปด้วยเลือด


   “หึ เจ็บหนักเหมือนกันนี้ แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว”


   “แก อั๊ก”ร่างทั้งร่างลอยวืดก่อนจะปะทะกับลังไม้ด้านหลังแล้วไหลลงพื้น  แรงปะทะจากปลายหางขนาดใหญ่ ชั่วขณะที่เจ้าหมานั้นหันกลับมามองเขาร่างของมันก็โดนฟาดด้วยท่อนห่างใหญ่ขนาดต้นไม้ยักษ์ นี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ร่างงูของมันเต็มตาแต่ไม่เต็มใจที่จะเห็น


   “แกคิดจะทำอะไร”คาเซอริโอเค้นเสียงถามทั้งๆที่จุกไปทั่วท้องและเสียดไปทั่วแผ่นหลัง


   “รู้ไหมว่างูแบบข้านะกินเนื้อและเนื้อที่ข้าชอบที่สุดก็คือเนื้อของพวกมันโดยเฉพาะของพวกตัวผู้นะอร่อยและอิ่มนานอย่าบอกใคร”ร่างที่ท่อนบนยังคงสภาพคนหันมาตอบก่อนด้วงตาสีทองกรอบดำจะเหลือบมองหมาปีศาจที่กำลังพยุงตัวยืนด้วยขาสี่ข้าง


   “ไอ้หมาโง่ ระวัง”เสียงเตือนของเขาส่งไปทันการณ์ ร่างของหมาปีศาจกระโดดหลบจนตัวลอย ส่วนลำตัวที่พลาดเป้าจึงได้กระแทกเข้ากับกำแพง ฝุ่นผงมากมายล่วงลงมาพร้อมกับเศษไม้ของคาน ลำตัวส่วนบนที่เป็นคนค่อยๆเปลี่ยนเป็นงูช้า งูสีทองขีดดำตัวใหญ่ยักษ์


   “วันนรกของแท้”คาเซอริโอสบถในลำคอเมื่อหมาและงูเริ่มเข้าสู้กันเอง ห้องใต้ดินที่ดูเหมือนจะแข็งแรงในตอนแรกเริ่มถล่มลงมาเมื่อต้องเจอกับการต่อสู้ปีศาจสองตัว 


เปรี้ยง


   เสียงฟ้าผ่าทำให้เพดานที่กำลังจะถล่ม ถล่มลงมาในที่สุด  ฝุ่นควันดำคลุ้งกระจายไปทั่วก่อนจะจางหายไปเพราะสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา


   “นั้นมัน..”เสียงในลำคอของเขาดังขึ้นอย่างแหบแห้งเมื่อมองเห็นภาพด้านหลังของสายฝนได้อย่างชัดเจน ภาพของเมืองที่แสนคุ้นตา ภาพของบ้านที่เขาอยากกลับไปแทบขาดใจ ภาพที่มีเพียงป่าและถนนมืดๆแต่เขากลับจำมันได้ไม่เคยลืม


   “หึ มาได้ผิดที่ผิดเวลาจริงๆนะ”เสียงจากคนที่นอนหายใจรวยรินดังขึ้นจากด้านหลัง เลือดสีสดยังคงไหลออกมาจากปากแผลไม่ขาดสายและอีกไม่นานคงพรากลมหายใจของมันไป


   “ธรรมชาติรักษาสมดุลของมันเสมอเมื่อมีทางมาได้ก็มีทางกลับไปได้”คำพูดลอยๆที่เหมือนไม่ได้จงใจพูดกับเขา ดวงตาสีเทาหันไปไปมองที่สายฝนด้านบนอีกครั้งก่อนจะพบกับสิ่งมีชีวิตสีดำขนหยิกขนาดเล็ก


บ็อก


   “ซ็อค”เสียงเห่าเบาๆแต่ดังไปทั้งใจคนฟังอย่างเขา  ตอนเขามาเขาก็เห็นมันเป็นอย่างสุดท้ายแล้วหากเขาจะกลับ ยังไม่ทันจะหาคำตอบได้ขาสั้นๆนั้นก็ก้าวเดินเข้าไปในภาพลางๆนั้น  ขาทั้งสองข้างออกแรงถีบตัวจากพื้นอาการจุกแทบจะหายไปเมื่อใจลิงโลดไปข้างหน้า  ฝ่าเท้าสองข้างออกแรงวิ่งไปจนถึงพื้นตรงที่ถล่มลงก่อนจะออกแรงปีนขึ้นไปด้านบน


ปัง  ปัง


   กระสุนที่ยิงมาจากด้านบนทำให้มือที่จับแน่นบนก้อนดินแทบหลุดพลาด ต้องขอบคุณสายฝนที่ทำให้มันยิงไม่แม่นนัก มือและขาสองข้างออกแรงปีนส่งเจ้าของขึ้นไปด้านบน  ร่างทั้งร่างหมอบแนบไปกับพื้นถนน ดวงตามองตรงไปยังร่างเล็กๆสี่ขาที่เหมือนจะยืนรอเขาอยู่  เข่าทั้งสองข้างออกแรงยันตัวเองอีกครั้ง กระสุนที่ยิงเข้ามาทำให้เขาต้องหมอบต่ำแต่กลับไม่สามารถหยุดขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าได้ ปลายนิ้วเอื้อมออกไปข้างหน้าตรงกลางของภาพมายาที่อีกด้านควรเป็นกำแพงแต่ปลายนิ้วเขากลับทะลุออกไป


   “ฮ่าๆๆ “คาเซอริโออยากหัวเราะให้สะใจกับความดีใจครั้งนี้ เขากำลังจะได้กลับบ้าน


กรร


   เสียงคำรามจากด้านหลังเรียกให้ดวงตาสีเทาต้องตวัดไปมอง  ภาพของหมาตัวใหญ่ที่ถูกงูรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา ลำตัวที่เต็มไปด้วยเกร็ดกำลังบีบรัดเหยื่อแน่นเข้า แน่นเข้าเรื่อยๆ  เหยื่อสี่ขาที่กำลังกระเสือกกระสนและตะกายตัว  ตะกายตัวเพื่อให้หลุดพ้นแต่แทนที่จะสนใจศัตรูดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นกลับมองมาที่เขา มองมาทางเขาที่กำลังจะทิ้งมันไป


   เสียงคำรามของมันดังสวนทางกับเจ้าหมาตัวเล็กด้านหลัง ภาพมายาที่เขาเห็นกำลังเล็กลงและจางลงเรื่อยๆ กระสุนที่สาดมายังปลายเท้าทำให้เขาเผลอก้มตัวหลบ ดวงตาประสานกับเจ้าหมาที่ใช้ขาหน้าตะปบลงเกร็ดหนา  กรามกว้างอ้าออกกัดงับลงบนลำตัวงูจนเลือดอาบแต่ถึงแบบนั้นดวงตานั้นก็ไม่ยอมละไปจากเขา  มันกำลังอ้อนวอนเขา


   ปืนในมือที่ถืออยู่สั่นระริกหากเขากลับไปช่วยมันโอกาสกลับบ้านของเขาก็คงหมดไป และเขาก็อาจไม่มีโอกาสที่สอง แต่หากเขาไม่ช่วยมัน


บ็อก


   เสียงเห่าเรียกจากด้านหลังดังขึ้นพร้อมขาที่ก้าวไปด้านหลังและเสียงปืนที่ดังสนั่นจนหมดแม๊ก ร่างทั้งร่างถูกกระชากด้วยแรงมหาศาลลมรอบตัวตีกันอื้ออึ้ง  รุนแรงจนเหมือนจะเฉือนเนื้อให้ขาด ถูกจับเหวี่ยงไปมาเหมือนอยู่ในเครื่องปั่น ชั่วขณะที่เขาไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่มันกลับนานจนแทบขาดใจร่างก็ร่วงกระแทกพื้น  พื้นหญ้านุ่มๆที่คันยิบๆ


   ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยแตกยันตัวเองขึ้นจากพื้น  แสงจันทร์สาดส่องให้เห็นแนวป่าจากด้านหลังและถนนเส้นเล็กที่อยู่ด้าน  แสงไฟจากบางอย่างสาดส่องเข้ามาก่อนจะหยุดนิ่ง  ขาทั้งสองข้างออกแรงดันตัวเองขึ้นจากพื้นก่อนจะเดินเข้าไปช้าๆ  ฝ่ามือเคาะลงไปที่กระจกเสียงดังก่อนบานกระจกจะถูกลดลง


   “มีอะไรว่ะแมร่ง เฮ้ย”ร่างที่กำลังเริ่มต้นบทรักเร่าร้อนถึงกับผงะหงายเหมือนเห็นคนเรียกเต็มๆตา


   “ขอยืมมือถือหน่อย”ร่างที่นั่งอยู่ในรถหน้าซีดเผือดเมื่อปืนในมือจ่อประชิดกลางหน้าผาก


   “ครับๆ  เอาไปเลยครับ”มือถือสีดำเครื่องเล็กถูกรับมา ปลายนิ้วสั่นระริกกดเบอร์ปลายทางที่จำได้ใจขึ้นอย่างรวดเร็ว  เสียงรอสายที่ดังขึ้นช้าๆทำให้ใจเต้นกระหน่ำรัวขึ้นด้วยความหวัง ก่อนลมหายใจจะสะดุดเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย


   “ครับ”


   “ออกมารับฉันที เฟอร์ดิน”





ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ตอนที่ 30 สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการกลับไป                                                        03/02/2558


   ริมฝีปากบอบบางที่แตกระแหงตะโกนเสียงดัง เข่าเล็กๆคู่นั้นล้มกระแทกพื้นหินเมื่อฝ่าเท้าเปลือยเปล่าสะดุดล้ม ฝ่ามือสองข้างที่เต็มไปด้วยคราบสีแดงและเศษดินรีบยันกับพื้นเพื่อพยุงตัวขึ้น ฝ่าเท้าที่เต็มไปด้วยดินโคลนก้าววิ่งอีกครั้ง ไม่สนใจเลือดสีเข้มที่ไหลลงมาจากหัวเข่า เข่าที่แตกเพราะกระแทกพื้นหิน เนื้อตัวที่มอมแมมยิ่งกว่าเศษผ้าขี้ริ้ว ฝ่ามือเล็กๆยื่นออกมาข้างหน้าหวังไขว่คว้าบางอย่าง  ตะโกนบางอย่างสุดเสียง


   “คาโล”


   ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือก เหงื่อมากมายไหลอาบตัวจนเปียกชุ่ม หอบหายใจแรงเหมือนไปวิ่งมาเป็นกิโลๆ ลมหายใจกระชั้นจนเจ็บไปทั่วทั้งปอด ฝ่ามือขาวตามเชื้อชาติยกขึ้นเช็ดเหงื่อที่อาบไปทั่วหน้า ดวงตาสีเทาใต้เปลือกตากวาดมองไปรอบๆก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ห้องกว้างสีเทาควันบุหรี่ เพดานกว้างสีเดียวกันที่มีเพียงหลอดไฟทรงกลมสีขาวนวลที่บัดนี้ปิดสนิท เตียงกว้างขนาดคิงไซส์ที่มีหมอนหนานุ่มสีขาวเพียง 1 ใบและผ้านวมสีขาว เขากลับมาแล้ว


   ปลายเท้าเปลือยก้าวเหยียบลงบนพรมนุ่มก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ฝ่ามือเปิดน้ำเย็นให้รินรดตัวเองแทนน้ำร้อนที่น่าจะไม่ทำให้กายหนาวสะท้าน  แต่ข้อดีของน้ำเย็นคือมันทำให้เขาสดชื้นขึ้นสมองแล่นจนแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กในความฝันมาก่อน แต่ทำไมเขาถึงได้คุ้นเคยกับมันขนาดนั้น คุ้นเคยจนเหมือนอยู่ด้วยกันมานาน


   น้ำเย็นถูกปิดลงไปก่อนคนที่เพียงผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่จะเดินไปหยุดอยู่หน้าอ่างล้างหน้า ส่องกระจกดูบรรดาหนวดเคราที่ขึ้นครึ้มจนอดไม่ได้ที่ต้องหยิบเอาครีมโกนหนวดมาโป๊ะลงไปแล้วลงมือโกนเหมือนที่เคยทำ


   ดวงตาสีเทามองสบกับตัวเองในกระจกก่อนรีบโกนหนวดให้เสร็จแล้วถลาออกจากห้องน้ำทั้งๆที่มีผ้าเพียงผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว ถลาเข้าไปเปิดโทรทัศน์เพื่อให้แน่ใจบางอย่าง เสียงรายงานข่าวไม่น่าสนใจเท่ากับตัวเลขบางอย่างที่หมุนวนอยู่บนจอ  เลขของเวลาและวันที่


   “บ้าน่า”ขาทั้งสองข้างทรุดฮวบลงที่ปลายเตียง เขาเพิ่งหายไปแค่ 3 วัน 3 วันของที่นี้แต่ของที่นั้นมันยาวนาน เวลาที่แตกต่างกัน อยู่ที่นั้นเขาไม่ต้องโกนหนวดแบบที่เคยทำเป็นประจำ แม้จะดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเหมือนกันแต่เวลากลับเดินต่างกันจนน่าเหลือเชื่อ


   “มีอะไร ได้ เดี๋ยวไป”เสียงโทรศัพท์บนหัวเตียงปลุกเขาออกจากภวังค์ ลุกขึ้นไปแต่งตัว หยิบเสื้อเซิ๊ตจากหนึ่งในจำนวนมากมายที่แขวนเรียงกันอยู่ในตู้ หยิบเอากางเกงขายาวเนื้อนิ่มออกมาใส่ด้วยความเคยชิน คว้าเอานาฬิกาที่ใส่อยู่เป็นประจำขึ้นมาใส่ไว้ที่ข้อมือข้างซ้าย เซ็คตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปจากห้อง มองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ปิดสนิท ก้าวลงบันไดและเลี้ยวเข้าสู่ส่วนของห้องครัว หยิบเอาขนมปัง 2 แผ่นใส่ลงในเครื่องปิ้ง หยิบเอากระติกเก็บความร้อนใบเล็กเทเอากาแฟที่ใครบางคนชงไว้ให้ใส่แก้ว คว้าเอาขนมปังสองแผ่นใส่ปากทั้งๆที่ร้อนจนแทบจะทำปากให้ลวกได้แล้วคว้าเอาแก้วกาแฟออกไปนั่งที่ชุดรับแขกซึ่งจะใช้เป็นที่นั่งเล่นมากกว่ารับแขก หยิบเอาหนังสือพิมพ์ที่มักวางอยู่บนโต๊ะกระจกตรงหน้าเสมอขึ้นมาอ่าน เลขวันที่ทำให้ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ตั้งแต่กลับมาเขาก็หลับไป 1 วันกับอีก 1คืน ก่อนจะฟื้นมาอีกครั้งในเช้าวันนี้ แต่คงจะไม่เช้าเท่าไหร่เพราะไม่เห็นหัวเจ้าคนร่วมบ้านอีกคน


   กาแฟที่หมดแก้วถูกโยนลงอ่างล้างจานก่อนจะเปิดน้ำแช่มันไว้ ก่อนขายาวๆจะก้าวออกไปตามทางเดินหินกรวด ผ่านพุ่มกุหลาบที่ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กบ้าบางคนสะดุดหน้าทิ่มลงพุ่มกุหลาบจนทั้งตัวลายพร่อยไปด้วยรอบข่วน ทางเดินหินกรวดเส้นเล็กที่ทอดยาวสู่คฤหาสน์สีขาว ตลอดทางเต็มไปด้วยชายชุดดำที่หันมาทักทายเขาด้วยคำสั้นๆก่อนจะหันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อหรือไม่ก็ก้าวเร็วๆไปทำงาน แต่บางคนก็บ้าพอจะเดินไปคุยไปตะโกนไปเพื่อให้ได้คุยกับเขามากขึ้น


   เสียงคุยทักทายเงียบลงเมื่อปลายเท้าเหยียบลงบนพื้นหินอ่อนแล้วเดินเลี้ยวไปตามทางเดินที่คุ้นเคย


   “ไง”คาโลส่งเสียงทักทายคนที่เพิ่งปิดประตูห้องออกมา  ดวงตาสีทองภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองคนทักเพียงเล็กน้อยก่อนจะใช้ปลายนิ้วดันแว่นที่ตกลงมาด้วยความเคยชิน พฤติกรรมแบบเดิมๆที่เขาเห็นกี่ทีก็ไม่เคยชอบใจ


   “ดีใจที่คุณกลับมา แต่คิดอีกทีกลับมาแบบนี้ สู้ไม่กลับมาจะดีกว่า”ถ้อยคำเรียบๆก่อนที่คนพูดจะเดินผ่านเข้าออกไป คำทักผ่านๆที่หากเป็นปกติเขาคงทำเป็นไม่ใส่ใจเจ้าคนที่ชอบพูดหนึ่งคำตีความได้หลายประโยค แต่ครั้งนี้อะไรบางอย่างเตือนเขาให้ใส่ใจคำพูดของมัน แต่กว่าเขาจะคิดได้และหันกลับไปถามมันก็เดินเลี้ยวหายไปซะแล้ว บางทีเขาคงต้องรีบถามเมื่อเจอมันอีกครั้ง


   “ขออนุญาตครับ”ประตูบานหนาสีเปลือกไม้ถูกผลักเข้าไปก่อนคนพูดจะก้าวตามไปติดๆและปิดงับประตูตามหลังลงอย่างเรียบร้อย


   “มาแล้วเหรอคาโล นั่งสิ”ขายาวขยับไปนั่งที่โต๊ะรับแขก ดวงตาสีเทาเหลือบมองคนนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ผู้ชายที่เขาขวานขวายทำทุกอย่างเพื่อให้กลับมาหาคนๆนี้ได้อีกครั้ง ผู้ชายที่แม้จะอายุมากขึ้นแต่ก็ยังดูดีเหมือนวันแรกที่เขาได้เจอ เทวาที่ดึงเขาขึ้นมาจากปลักโคลน คนที่ผลักเขาให้เข้ามาในวงเวียนของกลิ่นคาวเลือด วงเวียนที่เขาใช้สองมือนี้ปลิดชีพเหยื่อมามากมายเพื่อให้ตัวเองได้อยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ ยอมให้เลือดที่หลั่งรินของศัตรูเป็นเหมือนเชือกที่ผูกรัดเขาเอาไว้กับคนๆนี้ คนที่เขาผูกพันด้วยชีวิต


   “กลับมาแล้วครับดอน”


   “หายไปนานเลยนะ”


   “ขอโทษด้วยครับ”


   “ขอโทษเรื่องอะไร ฉันสิที่ควรขอโทษนาย”


   “ผม..”


   “ทั้งๆที่ฉันขอให้นายไปทำงานนี้ให้ แต่เพราะงานนี้นายกลับ  เฮ้อ...”


   “ขออภัยครับผม..”


   “หายไปไหนมาคาโล”ประโยคเรียบๆที่ทำให้ริมฝีปากคนฟังชะงัก แม้จะเตรียมใจมาแล้วว่าต้องถูกถามด้วยคำถามนี้แต่พอเอาเข้าจริงๆเขากลับพบว่าตัวเองไม่พร้อมที่จะตอบ


   “ขออภัยที่ทำงานผิดพลาดครับ”


   “หืม ผิดพลาดงั้นเหรอ”


   “ครับ ผมทำให้ดอนผิดหวัง ผมยินดีรับโทษทุกอย่างครับ”


   “นายแน่ใจแล้วเหรอที่พูดออกมาแบบนั้นคาโล”ความเงียบแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง แม้จะนั่งห่างกันมาก แม้จะไม่ได้เผชิญหน้ากันโดยตรงแต่คาเซอริโอกลับรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทั่วท้อง


   “ครับ”


   “นายแปลกไปนะคาโล แค่ไม่กี่วันที่นายจากไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะคาโลว่านายหายไปไหนมา”


   “ผม..”


   “คาโล  คาโลหนอคาโล มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ”เสียงเบาๆเกิดขึ้นจากการเสียดสีของเนื้อผ้าเมื่อใครคนหนึ่งก้าวเดินช้าๆจากด้านหลังโต๊ะทำงาน เดินอ้อมมาหยุดอยู่ด้านหน้าเขาก่อนจะเดินช้าๆเพื่อมาทิ้งตัวนั่งลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ที่เขานั่ง ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมเย็นๆที่แสนคุ้นเคยของใครคนนั้น


   “นายกำลังปกปิดอะไรฉันงั้นเหรอ”


   “ขออภัยครับผม  ผมแค่..”


   “ไหนบอกฉันมาหน่อยสิว่าเธอปิดบังอะไรฉัน”ฝ่ามือขาวเอื้อมจับที่บ่าข้างหนึ่งก่อนจะบีบเบาๆ


   “วันนั้นที่ริโอ ผมเล่นงานพวกนั้นแต่ก็โดนต้อนจนมุม ตัวเองบาดเจ็บหนักของที่ได้มาก็เลย...”


   “หืมแล้วไงต่อ”


   “ผมบาดเจ็บก็เลยหนีไป ระหว่างนั้นก็ไปซ่อนตัว ก่อนจะหาทางกลับมาที่นี้”


   “อืม คงลำบากแย่เลยสินะ”


   “ขออภัยครับผม..”


เพียะ


   ใบหน้าสะบัดไปตามแรงฝ่ามือ ความเจ็บวิ่งริ้วมาพร้อมความแสบร้อนและรสเลือดที่ไหล่ซึมออกมาจากริมฝีปาก ทำได้เพียงใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเลือดที่ไหลเลอะออกมาและกลืนกลิ่นรสคาวบางส่วนในปากลงคอไปเท่านั้น


   “นายทำให้ฉันผิดหวังนะคาโล เฮ้อ ฉันส่งนายไปเพื่อทวงของๆฉัน แต่กลับกลายเป็นว่านายหายไป รู้ไหมว่าตอนนั้นฉันห่วงนายแค่ไหน รู้บ้างไหม”ฝ่ามือที่มอบความเจ็บแสบที่แก้มลากแผ่วๆที่ข้างลำคอ ฝ่ามือที่แม้จะอบอุ่นแต่เขากลับรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งหัวใจ


   “แต่ก็เอาเถอะตอนนี้นายก็กลับมาแล้ว ของที่ให้ทวงก็ไม่ถือว่าเหลวซะที่เดียวหรอกนะ”ของบางอย่างถูกว่างลงตรงหน้า ปากกาสีดำราคาแพง ของที่ดอนให้เขาไปทวงถึงริโอ


   “ไปพักเถอะ เพิ่งฟื้นมายังไม่หายดีนิ”


   “ขอตัวครับ”แผ่นหลังที่งองุ้มลงเมื่อครู่ยืดตรงขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือที่เย็นเฉียบเอื้อมจับแน่นที่ลูกบิดประตู


   “อ๋อ แล้วก็แผลนั้นนะไปให้หมอดูหน่อยก็ดีนะ ถ้ามันรักษาได้ก็รักษาอย่าปล่อยให้เรื้อรัง แต่หากมันรักษาไม่ได้ก็ตัดมันทิ้งไปซะ รอยแผลนั้นไม่เข้ากับหน้าของนายหรอกนะ”เสียงทิ้งท้ายเรียบๆก่อนคนพูดจะกลับไปนั่งทำงานอีกครั้งปล่อยตัวมือขวาอย่างเขาให้เดินออกมาจากห้องเงียบๆ แผ่นหลังกว้างพิงเข้ากับบานประตูอย่างอ่อนแรง


   ความเสียใจท่วมท้นในอก อึดอัดจนเหมือนจะบีบหัวใจให้แตก เขาทำงานล้มเหลว ทำงานที่ดอนให้เหลวไม่เป็นท่า  งานชิงปากกา เหอะ การเจรจาที่ไม่ลงรอยเมื่อครั้งก่อนนำไปสู่การเขม้นกัน ขนสินค้าทับเส้นทาง ก่อกวน ทำให้ดอนต้องส่งเขาไปถึงริโอเพื่อไปชิงปากกาที่อดีตคู่ค้าชอบใช้ ส่งเขาไม่เล่นงานศัตรูแบบเบาะๆและหยิบเอาปากกาที่ราคาไม่เท่าไหร่จากคฤหาสน์พักร้อนของศัตรูเท่ากับการประกาศศักดาเหยียบจมูกกันแบบไม่ไว้หน้า ทันทีที่ได้ของและอาละวาดมาจนพอใจเขาก็แผ่นแผ่วออกมาด้านนอก แต่กลุ่มอื่นที่ไม่เคยมีส่วนได้ส่วนเสียดันเกิดอยากได้เสียมาซะงั้นทำให้ต้องยิงถล่มกันกลางริโอแล้วเขาก็พลาด


   พลาดจนไปโผล่ที่อีกโลกหนึ่ง หายไปจากโลกนี้หลังวันยิงถล่มกัน 3 วัน แน่นอนว่าดอนหาปากกาหนึ่งในภารกิจที่เขาต้องไปทำเจอ แต่กลับหาเขาไม่เจอและเขาทำให้ดอนเป็นห่วง เหนืออื่นใดคือเขาโกหกและดอนจับได้


   ปากกาแค่ด้ามเดียวในริโอ ดอนกลับหามาได้แล้วคนทั้งคนแบบเขาดอนกลับหาไม่เจอนี้สินะคำพูดของเจ้าเทโซ กลับมาแบบนี้สู่อย่ากลับมาซะยังจะดีกว่า แล้วยังคำพูดทิ้งท้ายของดอนที่ทำให้เขาต้องรีบสะบัดเรื่องของตัวเองให้ลงไปนอนตะกอนที่ก้นบ่อก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังด้านหลังของคฤหาสน์หลังใหญ่ ตรงสู่บ้านพักหลังเล็กที่ปลูกยื่นลงไปในบ่อน้ำที่ขุดเอง บ้านของหมอคิริว


โครม


   เสียงโครมครามเหมือนของหนักตกกระแทกพื้นทำให้เท้าที่เดินเร็วๆมาแทบจะกลายเป็นวิ่ง ยิ่งเห็นจำนวนคนมากมายที่ยื่นล้อมอยู่ด้านนอกบ้านยิ่งทำให้คิ้วสีทองกดลึกก่อนจะรีบแหวกบรรดามาเฟียมุงทั้งหลายเข้าไปในบ้าน


   “เฮ้ย”คนที่พรวดพราดเข้ามาร้องเสียงหลงเมื่อบางอย่าง หรือคิดอีกทีคือบางคนถูกเหวี่ยงลอยจนทั้งร่างกระแทรกโครมเข้ากับพนังที่หากเขาหลบไม่ทันอาจได้เป็นเบาะรองให้มันแทนที่กำแพง และเป็นเขาอีกนั้นแหละที่ต้องลงไปจุกกุมท้องอยู่บนพื้นแทนมัน


   “มันเรื่องบ้าอะไรกันห๊ะ”ยังไม่ทันจะได้มีใครหันมาตอบคำถามเขา เศษอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเก้าอี้ก็พุ่งปะทะเข้ากับผนังเฉียดหน้าเขาไปไม่กี่เซ็นต์ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมที่วูบผ่านไป


   “ใครสักคนบอกฉันหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้น”เจ้าเด็กที่หน้าตาคุ้นๆหันมามองเขาก่อนคิ้วคนมองจะขมวดฉับ


   “คาโล”


   “ก็ฉันนะสิ ไหนแกช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นห๊ะ เฟอร์ดิน”


   “โผล่มาทำไมตอนนี้ ห๊ะ ระวัง” ไอ้เด็กตรงหน้าร้องเสียงหลงเมื่ออะไรบางอย่างพุ่งมาหาเขา เร็วจนหลบไม่ทัน แรงจนทำให้ร่างทั้งร่างเซถอยหลัง ตกใจจนแทบจะสะบัดมันทิ้งหากไม่ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหู


   “คาโล  คาโล”เสียงเรียกแผ่วเบาที่ดังขึ้นข้างหู พร้อมแรงกอดรัดที่แน่นจนกระดูกแทบแหลกเหลว ลมหายใจร้อนๆที่เป่ารดขมับ กลิ่นคุ้นเคยที่อวนรอบกายทำให้ตัดสินใจยกมือขึ้นโอบรัดแผ่นหลังกว้างและลูบเบาๆก่อนแผ่นอกที่อิงซบจะค่อยๆผ่อนแรงลง เมื่อลมหายใจหอบกลายเป็นเพียงจังหวะธรรมดาถึงได้ออกแรงดันมันออกเบาๆเพื่อมองสบดวงตาสีน้ำตาลคู่คมคู่นั้น


   “ซาเวียร์”เจ้าของชื่อยิ้มกว้างกอดรัดเขากลับไม่เหมือนเดิมและก็เป็นเขาเองที่รีบดันมันออกเหมือนต้องของร้อนก่อนจะมองสำรวจไปทั่วแผ่นอกเปลือยเปล่าและช่องท้องที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวที่บัดนี้มีกลุ่มเลือดสีแดงซึมออกมา


   “แหม ถ้ารู้ว่าตามมาแล้วสงบง่ายแบบนี้ตามมานานแล้ว”เสียงพูดกวนๆดังขึ้นก่อนคนพูดจะโผล่ออกมาจากกรอบประตูที่ตอนนี้บานประตูหล่นหาย ในมือยังคงถือเข็มยาอันใหญ่เอาไว้


   “คิริว”


   “ไงคาโล ไม่เจอกันนานนะ”คนพูดยิ้มกว้างในขณะที่คนฟังอย่างเขาได้แต่ตีหน้าเรียบมองไปมาสลับระหว่างเจ้าหมอเถื่อนอย่างคิริว สภาพห้องที่เละเหมือนผ่านสงคราม ลูกน้องที่กองระเนระนาดเหมือนโดนพายุเล่นงาน


   “มันเรื่องบ้าอะไรกัน”


   “ก็แค่เด็กนั้นอาละวาดนะ”แม้คนพูดจะไม่ได้ออกชื่อว่าหมายถึงใครแต่ดวงตาสีฟ้าที่มองมายังคนที่ถือวิสาสะโอบเอวเขาเอาไว้ก็พอจะเดาได้ เจ้าหมาบ้าที่เขาเผลอใจอ่อนให้เสมอ หมาปีศาจที่แม้จะสู้ติดพันอยู่กับงูยักษ์แต่ดวงตาคู่นั้นไม่เคยละไปจากเขา ไม่แม้จะรู้ว่าเขาอาจจะกำลังจะทิ้งมันและมันก็ทำสำเร็จเมื่อเขาเผลอใจอ่อน ปืนในมือจึงยิงใส่เจ้างูนั้นจนหมดแม๊ก ความเจ็บปวดทำให้มันเผลอคลายแรงรัดเพียงชั่วขณะที่หมายักษ์กระเสือกกระสนวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อมาหาเขา เหมือนกับจะใช้แรงทั้งหมดวิ่งมาเพื่อให้ทันเขาและแน่นอนว่ามันมาทันเลยหล่นปุกลงข้างๆเขา ดีที่มันหล่นลงมาในร่างคน


   “งั้นเหรอ แล้วมันได้เผลอทำอะไรแปลกๆไปรึเปล่า”แม้จะพามันมาในร่างคนและแม้มันจะสลบไปในร่างคนแต่เขาก็ยังแอบหวั่นว่าระหว่างที่เขาหลับไปมันได้คืนร่างเป็นหมารึเปล่าเพราะถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องอะไรมันคงวุ่นวายกว่าที่คิด


   “ก็ไม่นิ..”


   “เหอะ น้อยซะเมื่อไหร่ครับ”เสียงกวนๆของเจ้าเด็กอีกคนดังแทรกเสียงพูดของหมอเถื่อน


   “มันทำอะไร”


   “เผื่อคุณไม่เห็นนะคาโล ไอ้บ้านั้นมันอาละวาดแบบนี้มาตั้งแต่เช้า แล้วดูที่มันทำ”เด็กบ้าจอมกวนโอ๊ยมีท่าที่หงุดหงิดเมื่อเห็นสภาพเละเทะของห้องและลูกน้อง


   “แล้วคุณหละคิดว่าไงหมอ”คนเป็นหมอหนึ่งเดียวในที่นี้เบิกตาก่อนจะยิ้มกว้าง


   “ก็แค่เด็กๆอาละวาดหละน่า ฉันคิดว่าบางทีเขาอาจจะแค่ตกใจที่ตื่นมาในที่ไม่คุ้นชินนะ”


   “แล้วตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่หละ”คาเซอริโอถามผ่านๆขณะที่ยกมือข้างหนึ่งไปลูบผมสีน้ำตาลที่เริ่มจับตัวกันเหนียว เจ้าคนโดนลูบหัวยิ้มกว้างก่อนจะเอนหน้าซบลงที่ไหล่เขา อ้อนเหมือนหมาตัวใหญ่อ้อนเจ้าของไม่มีผิด เรียกรอยยิ้มล้อเลียนจากหมอเถื่อนได้ไม่ยากในขณะที่เด็กอีกคนกลับหน้าหงิกแบบไม่ปิดบังสักนิด


   “ชิ อ้อนได้ทุเรศเหลือเกินนะครับ”


   “แหมๆ อิจฉาเหรอเฟอร์ดินา มาซบไหล่ฉันก็ได้นะ”คำพูดของหมอเถื่อนสูงวัยที่ไม่เจียมสังขารทำให้เจ้าของชื่อตวัดสายตาเฉือดเฉือนมองสบ


   “เก็บความหวังดีคุณไปเถอะครับหมอคิริว ผมไม่ต้องการ”ว่าจบคนพูดก็หมุนตัวเดินโครมๆออกไปข้างนอก ก่อนบรรดาลูกน้องชุดดำทั้งหลายจะค่อยๆหอบสังขารบอบช้ำออกไปด้านนอก เหลือเพียงเขากับคิริวหมอสูงวัยและเจ้าหมาที่ยังซบไหล่อ้อนเขาไม่เลิก


   “แล้วเข็มนั้นมันอะไรกัน”คาเซอริโอเหลือบมองเข็มยักษ์ในมือหมอเถื่อนอย่างไม่ไว้ใจ


   “อย่าสลบนะ พอดีฉันจะทำแผลให้เขาแต่เขาดันตื่นขึ้นมาแล้วอาละวาดนะ ทำยังไงก็ไม่ยอมสงบ พอดีเฟอร์ดินาผ่านมาเลยจะเข้ามาช่วยแต่ก็ไม่ไหวขนาดฉีดยาเข้าไปได้บางส่วนก็ยังไม่ยอมสงบอึดเป็นบ้า แถมแผลหายเร็วอย่าบอกใคร”คนเป็นหมอเดินไปวางเข็มขนาดยักษ์ลงบนโต๊ะที่สภาพไม่ค่อยจะเหมือนโต๊ะแล้วเดินไปเรื้อค้นบางอย่างที่เหมือนอุปกรณ์ทำแผลออกมาจากกองซากปรักหักพัง


   “คาโล  คาโล  &()_*_%##@f^&j)k^?@ ”เสียงเรียกชื่อทำให้คาเซอริโอหันมามองเจ้าหมาที่ทำตาปรอยก่อนตัวสูงๆนั้นจะค่อยๆทรุดลงโดยลากเอาตัวเขาไปด้วย


   “8($%*( )_+# @!#(?J } j” ดวงตาสีน้ำตาลนั้นปรือปรอยก่อนจะปิดลงทิ้งหัวใหญ่ๆลงนิ่งกับตักเขาที่ทรุดตัวนั่งเป็นหมอนให้มัน


   “อ๋อ นี้ก็อีกเรื่องที่จะถาม ไปเก็บมาจากไหนหละนั้น ตื่นขึ้นมาก็พูดอะไรไม่รู้  รู้เรื่องอยู่คำเดียวคือชื่อนาย นอกนั้นฟังไม่รู้เรื่องสักอย่าง ฉันว่าตัวเองก็เดินทางไปรอบโลกแล้วนะแต่ก็ไม่เคยได้ยินการออกเสียงทำนองนี้มาก่อนเลย”คนเป็นหมอลากเอาอุปกรณ์ทำแผลมานั่งลงข้างๆก่อนจะออกแรงผลิกร่างที่นอนคว่ำให้หงายขึ้น วูบหนึ่งที่ทั้งร่างนั้นเกร็งกระตุกเหมือนจะตื่น แต่พอเขาเอามือลูบไหล่เปลือยนั้นเบาๆมันก็กลับไปกรนสบายใจเหมือนเดิม


   “เชื่องกับนายดีนะ ขอทำแผลหน่อยก็แล้วกันนะไอ้หนู เฮ้อ แผลเปิดอีกแล้วสิเนี่ย”เสียงบ่นงึมงำของหมอสูงวัยไม่เข้าหัวเมื่อดวงตาสีเทาทำเพียงทอดมองหมาปีศาจในร่างคนที่หลับอุตุอยู่บนตักเขา


   มันพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง ทำไมเขาไม่เคยสังเกตมาก่อนนะ เขาแทบไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าเจ้าหมานั้นคุยกันรู้เรื่องทั้งๆที่เขาพูดกับมันเป็นภาษาของตัวเอง ตอนที่เขาอยู่ที่นั้น  เขาพูดภาษาของตัวเองแต่พวกมันทุกตัวกลับตอบโต้เขารู้เรื่องและเขาก็ฟังมันรู้เรื่อง เขาไม่เคยเอะใจเรื่องนี้เลยสักนิดจนกระทั่งตอนนี้ที่เขาพามันมาด้วย เขายังคงพูดภาษาของตัวเองเหมือนที่เคยทำ มันก็ตอบโต้เขาเหมือนที่เคยแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเขาฟังมันไม่รู้เรื่องอีกต่อไป ทำไมเขาไม่เอ๊ะใจ ไม่เอ๊ะใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอพวกมัน ทั้งเจ้างูนั้น ทั้งเจ้าหมาทำไมเขาไม่เอ๊ะใจเลยสักนิด


   “นี้หมอ เอากลับไปด้วยได้ไหม”


   “อืม ความจริงฉันก็อยากให้นอนอยู่ที่นี้หรอกนะจะได้ดูอาการใกล้ๆแต่จากสภาพแล้วเอากลับไปเถอะ ฉันยังไม่อยากสร้างบ้านใหม่ตอนนี้หรอกนะ เอาเป็นว่าจะยอมเสียสละเวลาเดินไปบ้านนายแล้วกัน แผลก็ไม่ร้ายแรงเท่าไหร่แล้วด้วยหายเร็วเป็นบ้า”


   “อืม”คาเซอริโอตอบรับคำสั้นๆมองหมาปีศาจที่ยังคงหลับอุดตุบางทีถ้ามันตื้นขึ้นมาแล้วเขาคงต้องคุยกับมันให้รู้เรื่อง ถ้ายังคงคุยกันเข้าใจหละนะ



      

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ตอนที่ 31 คนยิ่งมากเรื่องยากยิ่งเยอะ                                                      18/02/2558



   ขวดเบียร์เล็กในมือถูกยกขึ้นจบ  รสชาติขมปร่าแล่นผ่านคอ แสงสว่างจากตู้แช่ขนาดเล็กในห้องทำให้ห้องที่สลัวด้วยแสงจากโคมไฟสว่างขึ้นไปอีกนิดก่อนจะมืดลงอีกครั้งเมื่อคิดได้ว่าเผลอเปิดตู้เย็นนานเกินควร เดี๋ยวเบียร์ที่เอาไปแช่ใหม่ก็เย็นไม่ทันกันพอดี


   “เฮ้อ”เผลอทอนหายใจออกมารอบที่เท่าไหร่ของวันก็สุดจะนับ มีคนเคยพูดว่ายิ่งถอนหายใจมากก็จะยิ่งแก่ไวและจากเหตุการณ์ในวันนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคงแก่ขึ้นไปอีกหลายปี  อะไรบางอย่างที่เจ้าเฟอร์ดินมันเรียกว่าตีนกาคงชัดขึ้นอีกหลายเส้น


   “แกจะหลับไปอย่างนี้อีกนานแค่ไหนหึ เจ้าหมา”อดจะเอาก้นขวดเบียร์เคาะหัวเจ้าตัวที่นอนหลับยึดเตียงเขาสบายใจด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้  แต่จะไปโทษใครนอกจากตัวเขาเองที่ดันทะลึ่งขอมันมาจากหมอ พอขอมาได้ก็ไม่รู้จะเอาหมายักษ์ขนาดมันไปทิ้งไว้ตรงไหน จะทิ้งไว้พื้นก็ดูจะทารุณเกินไปนิด ทิ้งไว้โซฟาก็ดูจะเกะกะขว้างทางนั่ง ถ้าจะเอามาไว้ในห้องนอนก็มีแค่ห้องเขากับเจ้าเฟอร์ดิน เลิกความคิดที่จะไปฝากไอ้หมาบ้าไว้ที่ห้องไอ้เด็กนั้นได้เลย ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ขนาดเฟอร์ดินเจ้าเด็กที่เขาไว้ใจได้มากขนาดนั้นยังไม่ฝากไม่ได้ แล้วเขาจะไปฝากใครได้อีกหละ ดอนงั้นเหรอ ไม่มีทางเพราะเป็นผู้ชายคนนั้นเองนั้นแหละที่เอ่ยปากบอกให้เขาทิ้งมันไปซะ


   “......ถ้ามันรักษาได้ก็รักษาอย่าปล่อยให้เรื้อรัง แต่หากมันรักษาไม่ได้ก็ตัดมันทิ้งไปซะ รอยแผลนั้นไม่เข้ากับหน้าของนายหรอกนะ” รอยแผลบนหน้าที่ไม่มีจริง กับบางสิ่งหรือบางคนที่เขาหิ้วกลับมาด้วย แค่ดอนยอมให้เขาเอามันมาอยู่ในบ้านหลังนี้มันก็มากเกินไปแล้ว


   “ฉันจะทำยังไงกับแกดีนะ ไอ้หมาโง่”เส้นผมสีน้ำตาลที่ยาวจนปิดเปลือกตาไปข้างหนึ่งถูกปลายนิ้วของคนที่นั่งอยู่ข้างๆปัดมันขึ้นไปจนเผยให้เห็นคิ้วหนา และขนตายาวบนเปลือกตาที่ปิดสนิทนั้น ทำไมเขาถึงใจอ่อนให้มันตามมา  ทำไมกันนะ


   “ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”เสียงเรียกจากประตูห้องฉุดเรียกให้คนที่กำลังจมอยู่ในหวงความคิดลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริง


   “อืม เดี๋ยวตามไป”คนที่มาเรียกปิดงับประตูลงอีกครั้ง ทำให้เผลอฉุกใจคิดได้ว่ามันลืมที่จะเคาะประตูหรือเขาใจลอยจนไม่ได้ยินเสียงเคาะกันแน่ อันตรายเกินไปแล้ว มาเฟียที่ปล่อยตัวเองให้ใจลอยแบบนี้ไม่ดีเลยสักนิด


   “แกทำอะไรกับฉันกันนะไอ้หมาโง่”เผลอบ่นทิ้งท้ายให้คนบนเตียงก่อนจะก้าวยาวๆลงไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเผชิญหน้ากับใครอีกคนที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้


   “แกมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน”


   “ความจริงผมว่าจะชวนคุณดื่มสักหน่อย แต่เหมือนจะไม่ทันแล้วสินะ”ตาสีเขียวอมฟ้าทอดมองขวดเบียร์ในมือเขาก่อนจะยกแก้วเบียร์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง


   “แกคิดว่าฉันจะเชื่อเรื่องชวนดื่มไร้สาระของแกรึไง”คนพูดทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยกขาขึ้นวางบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าด้วยความเคยชิน


   “อ่า นั้นสินะครับ เป็นคุณคงไม่เชื่ออยู่แล้ว”


   “มีเรื่องอะไรก็ว่ามา อย่าอ้างนู่นนี้มันน่ารำคาญ”


   “งั้นเข้าเรื่องเลยนะครับ ผมแค่อยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”ขวดเบียร์ที่กำลังจะยกขึ้นดื่มหยุดค้างอยู่ท่าเดิม บทจะให้มันตรง มันก็ตรงอย่างเหลือเชื่อ


   “ผู้ชาย แกหมายถึงใครซาเวียร์งั้นเหรอ”


   “ถ้าเขาคือคนที่คุณอนุญาตให้นอนบนเตียงก็คนนั้นหละครับ”ทำไมเขาถึงได้รู้สึกนะว่าน้ำเสียงมันเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็นั้นแหละมันจะไม่พอใจเรื่องอะไรหละ ก็ในเมื่อนั้นมันเตียงเขา เขาจะให้ใครนอนเขาก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตมันนี่


   “ไอ้คนที่นอนบนเตียงฉันนะมันชื่อซาเวียร์ แกมีปัญญาอะไรรึไง”


   “มีแน่นอนครับ”


   “หืม อย่าบอกนะว่าเรื่องนอนบนเตียงฉัน”คาเซอริโอเย้าเล่นขำๆ


   “นั้นก็เรื่องหนึ่งครับ แต่ก็มีเรื่องอื่นด้วย”


   “อ่าห่ะ  คิดเล็กคิดน้อยเป็นผู้หญิงไปได้แกนี่ เตียงนั้นมันก็เตียงฉันจะให้ใครนอนมันก็เรื่องของฉัน”


   “แต่คุณไม่เคยให้ผมนอนเลยนะครับ”


   “แกเป็นเด็กทารกรึไงถึงต้องนอนกับพ่อแม่นะห่ะ”


   “แล้วถ้าตอนนี้ผมจะขอนอนจะให้ผมนอนด้วยไหมหละครับ”


   “จะมานอนเบียดกันทำไมตั้ง 3 คน”


   “ถ้าหากไม่มีผู้ชายคนนั้น คุณจะให้ผมนอนด้วยไหมหละครับ”ประโยคสนทนายาวเหยียดที่เหมือนการโต้วาทีหยุดชะงักลงเหมือนปิดสวิตซ์ ดวงตาสองสีจ้องมองสบกันก่อนที่คนอายุมากกว่าจะเป็นฝ่ายหลบสายตา แสร้งยกเบียร์ในมือขึ้นจิบแทน หากไม่มีซาเวียร์จริงๆเขาจะให้ไอ้เด็กบ้าตรงหน้าขึ้นไปนอนร่วมเตียงด้วยรึเปล่านะ แค่คิดก็ขนลุกพรึบไปทั้งตัวแล้ว แล้วทำไมเขาถึงยอมให้เจ้าหมานั้นเข้าไปนอนร่วมเตียงและหลายครั้งที่มันมากกว่าการนอนร่วมเตียงกันแบบธรรมดา


   “นี้แกจะมาเถียงกับฉันเรื่องนอนร่วมเตียงอะไรพวกนั้น งั้นเหรอ”


   “เฮ้อ ผมก็แค่ถามไปอย่างนั้นเองหละครับ เอาเถอะเรื่องจริงๆที่ผมอยากถามคือคุณหายไปไหนมาต่างหาก”ดวงตาสีเทามองสบคนถามก่อนจะเล่าวีรกรรมที่ตัวเองไปก่อมาให้เจ้าเด็กตรงหน้าฟัง แน่นอนว่ามันเป็นวีรกรรมแบบเดียวกับที่เล่าให้ดอนฟัง เขากำลังโกหก โกหกทั้งดอนและกำลังโกหกเจ้าเด็กตรงหน้าด้วยอีกคน


   “คุณบาดเจ็บแล้วหนีไปซ่อนตัว ส่วนคนที่ช่วยคุณไว้คือไอ้คนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงของคุณตอนนี้”


   “ก็ทำนองนั้น”คาเซอริโอตอบรับเสียงเรียบ พยายามจะไม่ใส่ใจกับคำเรียกที่เจ้าเด็กตรงหน้าใช้เรียกใครบางคน


   “คุณโกหก”ดวงตาสีเทามองสบคนพูดก่อนจะยกขวดเบียร์ขึ้นจิบด้วยท่าทางสบายๆไม่เดือดร้อนที่ถูกจับได้


   “ก็นับว่าแกฉลาด”


   “คุณ ทำไม ไม่สิ คุณคงไม่ได้บอกดอนแบบนี้หรอกใช่ไหมครับ”


   “หึ เสียใจด้วยเจ้าหนู ฉันบอกดอนแบบที่บอกแกทุกอย่าง”


   “คาโล นี่คุณ”ร่างสูงถลามาตรงหน้ามือแข็งแรงสองข้างกำแน่นที่ปกเสื้อออกแรงกระชากจนอึดอัด ดวงตาสองสีประสานกันเหมือนจะมองลึกลงไปให้เห็นถึงบางสิ่งที่ซ่อนเอาไว้ภายใน ก่อนที่คนอายุน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายถอนหายใจยอมแพ้กลับไปนั่งในที่ตัวเองในที่สุด


   “ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับคุณดี”


   “ก็แค่พูดสิ่งที่แกคิดออกมา  คิดยังไงก็พูดออกมาแบบนั้น”คาเซอริโอตอบเสียงเรียบยกเบียร์ขึ้นมาจิบอีกครั้ง ราวกับไม่สนว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเขากับไอ้เด็กตรงหน้าเกือบจะได้ออกกำลังกายกันยามดึก แต่บางทีลูกผู้ชายคุยกันด้วยกำปั้นมันอาจจะง่ายกว่าพูดกันด้วยปาก


   “งั้นผมถามได้ไหมว่าคุณรู้สึกยังไงกับ ไอ้บ้าที่คุณปล่อยให้มันนอนบนเตียง”


   “นี่มันร่วมอยู่ในเรื่องที่ฉันต้องตอบแกใช่ไหม”


   “ใช่ครับ และมันก็เป็นคำตอบที่สำคัญมาก ก่อนที่ผมจะตัดสินใจทำบางอย่างลงไป”แน่นอนว่าตอนท้ายประโยคมันแผ่วเบาซะจนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับมันอย่างเขาไม่ได้ยิน  คิดยังไงกับมันงั้นเหรอ ดูเหมือนเขาจะถามตัวเองด้วยคำถามทำนองนี้มาหลายต่อหลายครั้ง ใช่  เขาถามตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วนแต่กลับไม่เคยได้คำตอบเลยสักครั้ง ไม่เคยเลย


   “ฉันไม่รู้”


   “หึ ไม่สมกับเป็นคุณเลยนะครับ”


   “ฉันขอใช้สิทธิเปลี่ยนคำถามได้ไหม”


   “ก็ได้ครับ งั้นผมถามใหม่ คุณจะให้ไอ้บ้านั้นอยู่ที่นี้ในฐานะอะไรกัน”


   “แกแน่ใจนะว่าเปลี่ยนคำถามใหม่แล้ว”


   “แน่ใจครับและหวังว่าครั้งนี้คุณจะไม่ตอบผมว่าไม่รู้อีก เพราะถ้าหากคุณตอบแบบนั้นผมอาจต้องถามคุณว่าคุณยังจำได้รึเปล่าว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร มีหน้าที่อะไรและกำลังทำอะไรอยู่”


   “เหอะ  นี่แกคงไม่ได้กำลังสอนฉันอยู่ใช่ไหม”


   “ผมก็ได้แต่หวังว่าตัวเองไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น”


   “มันจะมากไปหน่อยไหมไอ้ลูกหมา”


   “หึ ผมยินดีทำครับ หากมันทำให้คุณจำได้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรกันแน่ คุณรู้รึเปล่าว่าคุณเปลี่ยนไป  คุณไม่เหมือนเดิม คุณโกหกผม  คุณโกหกดอน”


เพล้ง


   “ฉันไม่ได้บอกแกเพื่อให้แกมาตวาดฉันแบบนี้นะไอ้เด็กเวร”ขวดเบียร์ที่ขว้างกระทบผนังแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี ขวดเบียร์ที่ขว้างเฉียดหน้าเจ้าเด็กอวดดีไปเพียงนิด


   “แล้วทำไมคุณไม่บอกความจริงกับดอนไปหละครับ คุณโกหกดอนทำไม”


   “ฉันไม่ได้ตั้งใจโกหกดอน ฉันไม่มีวันโกหก ฉันไม่มีวันทรยศผู้ชายคนนั้น”


   “แต่คุณก็ทำไปแล้วไม่ใช่รึไงครับ”


   “ไอ้เด็กเวร”


พลั่ก


   หมัดหนักๆกระทบข้างแก้มคนอ่อนกว่าตรงหน้า  ใบหน้าขาวขึ้นรอยเปื้อนสีแดงที่ไม่นานคงปล่อยเป็นช้ำ เลือดสีสดไหลออกมาตามมุมปาก


   “นานแล้วนะครับที่ไม่ได้โดนคุณต่อยแบบนี้”


   “ก็เพราะแกยั่วโมโหฉัน”คนที่เพิ่งกระโดดข้ามโต๊ะไปวางมวยกับเด็กถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ


   “ผมแค่พูดความจริง แต่มันคงเป็นความจริงที่คุณไม่อยากฟัง”


   “เด็กอย่างแกจะมาเข้าใจอะไร”


   “แต่เด็กอย่างผมก็เป็นคนที่รักคุณและห่วงคุณที่สุดไม่ใช่หรือไงครับ”ดวงตาสีเขียวอมฟ้ามองสบคนอายุมากกว่า ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักอย่างสุดแสน


   “ผมเป็นห่วงคุณนะครับ ผมไม่อยากให้คุณทำผิดไปมากกว่านี้ หากถอนตัวได้ก็ถอนตัวซะ ผมไม่อยากเสียคุณไป”อ้อมแขนแข็งแรงโอบรัดแผ่นหลังเขาแน่น  แน่นจนเขาเผลอจูบขมับมันไปเบาๆก่อนที่ขยี้ผมนั้นจนฟู


   “ไปนอนได้แล้วไป  พรุ่งนี้แกต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่รึไง”


   “ผมเป็นห่วงคุณนะ”


   “อืม ฉันรู้ไปนอนได้แล้ว”อ้อมแขนที่รัดแน่นยอมผละออกในที่สุด  คาเซอริโอขยับไปยืนข้างๆเปิดโอกาสให้ไอ้เด็กที่ถูกเขาคร่อมมานานสองนานได้เป็นอิสระ


   “ราตรีสวัสดิ์ครับ”


   “ราตรีสวัสดิ์”คาเซอริโอตอบรับเสียงเรียบโดยไม่ได้หันไปมอง เขาเหนื่อยจนอยากจะพัก เครียดจนอยากจะหาอะไรมาคลายเครียดสักหน่อย บุหรี่ก็ดีนะ แล้วมันยังอยู่ไหมนะ เจ้าเด็กนั้นยังซื้อมาเขาเหมือนเดิมรึเปล่า


   “คาโล”เสียงเรียกแผ่วเบาจากด้านหลังทำให้คนที่อยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองหันกลับไปตามเสียงเรียก หมาปีศาจในร่างคนยืนนิ่งอยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นชั้น 2


   “ตื่นแล้วเหรอ ตื่นนานรึยัง แกหิวรึเปล่า”เปิดปากถามไปเพื่อทำลายความเงียบแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมาจากคนที่ถูกถาม  มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ


   “นั้นสินะ ฉันก็ลืมไปว่าแกไม่เข้าใจที่ฉันถามอีกแล้ว”ปลายเสียงสั่นไหว ไม่หนักแน่นเหมือนที่เคยเมื่อคิดได้ว่าคนตรงหน้าไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดอีกต่อไปแล้ว หรือบางที่เขาควรจะคิดเรื่องการสอนภาษามันแบบจริงๆจังๆสักทีนะ หากคิดที่จะอยู่ที่นี้ไปนานๆ บางทีเขาควรจะสอนมันพูด


   “คาโล”เจ้าของเสียงเรียกเดินตรงมาด้านหน้า  ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองตรงมาทางเขาและเป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายหลบตาและเดินหนีมือที่พยายามคว้าเขาเข้าไปกอด


   “แกคงหิวแล้ว ฉันหมายถึงกินนะ”คาเซอริโอทำท่าทางเหมือนหยิบบางอย่างเข้าปากซึ่งเจ้าหมาตรงหน้าก็ทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆเท่านั้น ก็ดีที่อย่างน้อยมันยังเข้าใจภาษาใบ้ของเขาหละนะ


   “อ๊า รอเดี๋ยวนะฉันก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเฟอร์ดินมันทำอะไรไว้บ้าง โอ้นี้ไงสเต๊กกินได้ใช่ไหม  ว่าไง”มือชูกล่องใส่เนื้อสเต๊กที่ค้นเจอในตู้เย็นไปทางเจ้าหมาที่ยืนอยู่ด้านหลังและอีกครั้งที่มีเพียงการพยักหน้ารับ


   “คิดว่าคงกินได้หละนะ”มือวางกล่องใส่เนื้อหมักลงบนเคาเตอร์ครัวก่อนจะหันไปจับกระทะตั้งเตาใส่เนยไว้เตรียมพร้อมก่อนจะหย่อนชิ้นเนื้อลงไป แม้เขาจะไม่ถนัดทำอาหารแต่คิดว่าทอดสเต็กแค่นี้คงไม่ใช่ปัญหา


   “แกชอบแบบไหนหละ สุกไปเลยหรือสุกปานกลางดี แต่ฉันว่าแกคงกินได้ทุกแบบนั้นแหละนะ”


   “คาโล”อีกครั้งที่มันเรียกชื่อเขาแต่ครั้งนี้ที่ต่างออกไปคือมันกอดเขาได้สำเร็จ  แขนแข็งแรงสีน้ำผึ้งสอดมากอดเขาจากด้านหลัง  ปลายคางที่มีเคราจางๆซบลงที่ไหล่ก่อนออกแรงรัดช่วงเอวเขาแน่นจนเจ็บ  เจ็บแน่นที่หัวใจ บางทีหากเขาปล่อยแขนนี้ไปเขาจะยังเจ็บอยู่ไหมหรือไม่รู้สึกอะไรเลยกันแน่


   “ปล่อยเถอะ เดี๋ยวเนื้อไหม้หมดพอดี ไปนั่งรอที่โต๊ะดีกว่า”สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายแกะมือมันออกลากเอาตัวใหญ่ๆนั่นไปทิ้งลงบนโซฟาโดยไม่ยอมสบตากับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น  บรรยากาศรอบตัวอึดอัดจนเผลอคิดไปว่าหากเปิดหน้าต่างออกบ้างจะดีไหมแต่ทั้งหมดนั้นก็เพียงความคิดจนกระทั่งเนื้อบนเตาเสร็จ ท่าทางก็ดูดีน่าจะกินไป


   “เรียบร้อย เบียร์สักหน่อยไหม”จานอาหารที่มีเพียงสเต๊ก 1 ชิ้นถูกวางลงตรงหน้าหมาปีศาจในร่างคน เบียร์ในมือถูกยื่นไปเสริมเมื่อมันพยักหน้ารับก่อนเขาจะยกเบียร์อีกขวดขึ้นมาจิบ นี้เขากินไปกี่ขวดแล้วนะ


   “ทำไมไม่กิน อร่อยนะเฟอร์ดินนะทำอร่อย อ๋อ ลืมไป”มือขาวตามเชื้อชาติลากจนอาหารมาไว้ตรงหน้าของตัวเองก่อนจะลงมือตัดเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆแล้วยื่นกลับไปตรงหน้าอีกครั้ง เหมือนจะมีครั้งหนึ่งที่มันเคยบอกเขาว่าไม่ถนัดใช้มีดตัดชิ้นเนื้อ


   “กินซะ”รอยยิ้มกว้างถูกจุดขึ้นบนใบหน้าคมเข้มนั้นอีกครั้งก่อนจะลงมือทานอาหารของตัวเองช้าๆ บรรยากาศที่หนักอึ้งเหมือนจะเบาบางลงนึกดีใจที่ไม่ได้ไปเปิดหน้าต่างแบบที่นึกเอาไว้


   “เสร็จแล้วก็ไปนอนกันเถอะ”จานอาหารที่หมดไปแล้วถูกคว้าไปวางบนอ่างรอคนมาล้างก่อนจะลากเอาเจ้าหมาตัวโตที่ตอนนี้ทำตัวเหมือนเด็กเข้าไปด้วย  ตอนที่ขึ้นมาถึงชั้นบนประตูห้องฝั่งตรงข้ามก็ปิดสนิทไม่มีแสงไฟลอดออกมา คงนอนไปแล้ว


   “แกอาบน้ำได้รึยังนะ  แผลหายดีแล้วใช่ไหม”เมื่อจัดการลากเอาเจ้าหมาตัวโตไปปล่อยไว้ในห้องน้ำเสร็จ เจ้าของห้องก็ง่วนกับการเดินหาผ้าขนหนูผืนใหม่และเสื้อให้เจ้าหมาปีศาจร่างยักษ์ใส่ แต่เสื้อตัวไหนๆของเขาก็เหมือนมันจะใส่ไม่ได้ทั้งนั้นแล้วเขาเองก็ไม่ใจด้วยว่ามันจะยอมใส่ไหมเมื่อเขาไม่เคยเห็นมันใส่เสื้อผ้ามาก่อน


   “คาโล”


   “หืม”เจ้าของชื่อเผลอตอบรับไปด้วยความเคยชินก่อนที่ตัวจะลอยวืดไปกองอยู่บนเตียงไม่นานก็ถูกทาบทับด้วยร่างหนาและริมฝีปากที่ประกบลงมาอย่างรุนแรง ริมฝีปากที่บดลงมาบนปากเขามันไม่มีความอ่อนหวาน มันมีเพียงความปรารถนาความต้องการที่ทำให้เขาสั่นสะท้านเมื่อนึกถึง จนต้องออกแรงผลักมัน


   “ปล่อยฉันซาเวียร์”


   “คาโล #%$ คาโล”ริมฝีปากหนาละจากริมฝีปากหันไปซุกไซ้ลำคอ ฝ่ามือทั้งสองข้างบีบขย้ำไปตามร่างกาย สัมผัสที่จาบจ้วงและรุนแรง


   “ฉันบอกให้ปล่อยไงวะ”เข่าข้างหนึ่งกระทุ้งเข้าเต็มท้องคนด้านบน เพียงชั่วขณะที่มันจุกเขาก็รีบผลักมันออก  ยันกายขึ้นบนเตียงแต่ฝ่ามือหนาก็คว้าหมับเข้าที่แขน สัญชาตญาณสั่งให้ฟาดมือไปด้านหลัง ฝ่ามือกระทบเข้ากับคอหนา ดวงตาสีน้ำตาลวาวโรจน์ ตัวหนากระโจนเข้าหา โถมทับจนเขาล้มไปกองกับพื้น  ริมฝีปากจู่โจมเข้าที่ลำคอเมื่อเขาเบี่ยงหน้าหลบ ดิ้นรนขันขืนสัมผัสในครั้งนี้  สัมผัสที่ทำให้เขาหวาดกลัว  มันกำลังทำให้เขาหวาดกลัวสัมผัสจากมัน


   “ปล่อยฉัน ซาเวียร์ ฉันบอกให้แกปล่อยหูแตกรึไงวะ”


   “คาโล เกิดอะไรขึ้นคุณเป็นอะไรรึเปล่า”เสียงทุบประตูโครมๆด้วยความร้อนรนจากคนร่วมบ้านอีกคนทำให้หมาป่าตรงหน้าชะงักเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาถดตัวไปข้างหลังมือสอดเข้าที่ด้านหลังโทรทัศน์เครื่องบางคว้าเอาบางอย่างสีดำเมื่อมออกมาไว้ในมือ


   “ฉันไม่เป็นอะไรแกไปนอนเถอะ”


   “คุณแน่ใจนะ  เปิดประตูให้ผมหน่อย”


   “ฉันบอกว่าไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นสิวะ ไปนอนได้แล้ว”คาเซอริโอตวาดลั่นมือที่ถือปืนไว้สั่นระริกจนต้องยกมืออีกข้างขึ้นมาช่วยประคองไม่ให้มันสั่นไหว  เสียงหน้าห้องเงียบไปก่อนจะตามด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงบานประตูที่ปิดลง


   “หยุดอยู่ตรงนั้นซาเวียร์ อย่าเข้ามา อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ายิงแก”คาเซอริโอพูดเสียงเบาน่าแปลกที่เสียงเขามันสั่นจนหน้าใจหาย  ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองสบตาเขาก่อนจะมองเลยไปยังมัจจุราชสีดำในมือของเขา แต่มันก็ไม่ได้หยุด มันยังคงคลานมาหาเขาช้าๆ


   “ฉันบอกให้หยุดไม่ได้ยินรึไง”คาเซอริโอตวาดซ้ำแต่คนตรงหน้ากลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงเขา  ขาสองข้างยังคงคลานเข่าเข้ามาหาเขาช้าๆมือมันข้างหนึ่งเอื้อมออกมาข้างหน้าแต่ก่อนที่ปลายนิ้วนั้นจะได้สัมผัสลงบนตัว ด้ามปืนก็พาดออกไปเต็มแรง


   ฝ่ามือสีน้ำผึ้งข้างนั้นชะงักก่อนจะปล่อยลงข้างตัวเหมือนคงหมดแรง ร่างนั้นหยุดชะงักกลับไปนั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าพร้อมหยดเลือดสีแดงสดที่ไหลลงมาจากขมับซ้าย ไหลเอื้อยลงมาจากแผลที่เขาเป็นคนทำ


   “สงบสติอารมณ์ของแกซะ”คาเซอริโอผวาลุกขึ้นเปิดประตูด้วยมือที่สั่นเทาก่อนจะก้าวออกข้างนอกแล้วปิดประตูลง ความเงียบสงบกลับมาเยือนอีกครั้งเงียบจนเขาไม่ได้ยินเสียงใดๆนอกจากเสียงลมหายใจที่หนักหน่วงของตัวเอง








  กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน นางมารทำการอัพรวดเดียวเพื่อให้ทันกับฝั่งนู่น หลังจากตอนนี้จะเป็นการอัพคู่ขนาน สองเว็บในครั้งเดียวนะคะ

    เหตุผลที่ต้องรีบเนื่องจากเรื่องกำลังจะจบแล้ว และนางมารกำลังดำเนินการเรื่องการรวมเล่มจึงไม่อยากให้ค้างคา

    ในตอนนี้เหตุการณ์ก็เข้มข้นอีกแล้วคงต้องติดตามกันต่อไปว่าตอนจบจะเป็นยังไง ไม่นานเกินรอแน่นอน  ขอบคุณนักอ่านที่ยังติดตามทุกท่านคะ 
:กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2015 23:02:45 โดย tamako »

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
โหยๆๆๆๆๆ เจ็บปวดสุดๆไปเลย สงสารคาโลแปป สงสารพี่หมาด้วย
ดราม่าน้ำตาตกเลยทีเดียว ฮือออ

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ตอนที่ 32 เรื่องบางอย่างยิ่งคิดมากยิ่งทรมาน                                     08/04/2558




   “เฮ้อ”เสียงถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้เมื่อคนทำเหนื่อยเกินจะนับมัน  ดวงตาสีเทาที่เคยกร้าวแกร่งบัดนี้กลับอ่อนแสง  มันทอดมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย หลายครั้งที่มีประกายสับสนวาดผ่านก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเบาๆอีกรอบ


   “โอ๊ะ โอ้ นั่งอยู่แบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วหละ”เสียงทักที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังแต่เขาก็ไม่ได้สนใจหันกลับไปมอง ทำเพียงยกเบียร์ในมือขึ้นจิบเบาๆเท่านั้น


   “ไม่รู้สิ”


   “ให้เดาไหม คงทั้งคืนงั้นสินะ”


   “ก็เรื่องปกติ”


   “ไม่ปกตินะ ทำเหมือนคนอกหักงั้นแหละ”


   “หึ เหมือนขนาดนั้นเชียว”


   “ก็ใช่นะสิ  เหมือนหนุ่มน้อยที่โดนหักอกดังเปราะจนต้องมาดื่มเหล้า เคล้าน้ำตาคนเดียว โอ๊ะโอ ใครกันนะผู้โชคร้ายคนนั้น ดอนงั้นเหรอ”


   “หมอ”เจ้าของฉายาหมอยกมือสองข้างเหมือนยอมแพ้ก่อนจะถอยห่างออกไปก้าวแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


   “ล้อเล่นนะ อย่างซีเรียส”


   “พวกลูกน้องมันคงไม่ขำด้วย”


   “ฮะๆ งั้นเหรอ คงไม่มีใครคิดหรอกเพราะอีกไม่นานเราคงมีข่าวดีกันแล้วกับคุณหนูอลิซาเบทนั้นไง”


   “อือหึ”คาโลทำเพียงตอบรับในลำคอก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้งเหมือนไม่ใส่ใจ เขารู้มานานแล้วเรื่องบอสกับคุณหนูอลิซาเบท ลูกสาวเจ้าของโรงแรมหรูที่ครอบคลุมส่วนแบ่งการโรงแรมในอิตาลีกว่าครึ่ง


   “ไม่รู้สึกอะไรรึไง”


   “จะให้รู้สึกอะไรหละ ข่าวเก่าออกซะขนาดนั้น”


“อ๋า งั้นผู้โชคร้ายครั้งนี้คงไม่ใช่ดอนจริงๆสินะ”คนเป็นหมอพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองเบาๆ


   “นายเปลี่ยนไปเยอะนะคาโล”


   “งั้นเหรอ”


   “นายอาจจะไม่รู้ตัว แต่นายเปลี่ยนไปมากจริงๆนะ ดู มีหัวใจมากขึ้นหละมั้ง”


   “หึ ฉันก็มีหัวใจอยู่เสมอนั้นแหละ”


   “นี่ไม่รู้จริงๆนะเหรอว่าตัวเองเลือดเย็นขนาดไหนนะ เอาเถอะ มันก็เป็นการเปลี่ยนที่ฉันค่อนข้างชอบหละนะ ถึงแม้อีกหลายคนอาจจะไม่ชอบมันก็ตาม”


   “พูดเรื่องอะไร”


   “เปล่า  อ๋อ เจอนายก็ดีเลยจะถามหน่อยว่าเจ้าเด็กนั้นเป็นยังไงบ้าง”


“เด็ก หมายถึงซาเวียร์งั้นเหรอ”


   “ถ้าใช่คนไข้รายล่าสุดของฉัน ก็คนนั้นแหละ”


   “อืม ก็ดี”คนฟังเลิกคิ้วข้างหนึ่งเหมือนต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม


   “ก็ดี แข็งแรง..ดีแล้ว”คำว่าแข็งแรงกลับทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ที่มันเหวี่ยงเขาลงบนเตียงและพยายามจะคุกคามเขาแบบนั้น


   “อ่างั้นเหรอ งั้นคงไม่น่าห่วงแล้วสินะพอดีฉันต้องเดินทางไปทำงานนะ”คาเซอริโอเหลือบมองคนพูดที่ยักไหล่เหมือนยอมรับสภาพตัวเอง


   “เอาเป็นว่าดูแลหน่อยแล้วกัน ถ้าปวดแผลก็หายาแก้ปวดให้กินเข้าไป ถ้าเป็นอย่างที่นายพูดคิดว่าแผลคงหายดีแล้ว งั้นเอาไว้เจอกันแล้วกัน เหมือนมีคนอยากคุยกับนายมากกว่าฉัน”คนเป็นหมอยกมือลาก่อนจะขอตัวเองออกไปจากซุ้มดอกไม้ทรงสูงที่เขาอาศัยเป็นที่ดื่มมาตลอดทั้งคืน  ซุ้มดอกไม้ที่กรุกระจกโดยรอบและชุดเก้าอี้สีขาวเป็นสถานที่อันเงียบสงบเหมาะสำหรับการดื่มและนั่งคิดอะไรเงียบๆ ที่เหมือนวันนี้จะไม่เงียบอย่างที่ใจคิด เมื่อเขามีแขกมาเยือนถึง 2 คน หนึ่งคือหมอฉายาหมอปีศาจที่เรียนจบมาหลายสาขาจนน่ากลัวจะตีกันมั่ว มือเปื้อนเลือดคนไข้มากพอๆกับเลือดเหยื่อที่ถูกฆ่าไป


   “คุณพอจะมีเวลาว่างคุยกับผมสักหน่อยไหมครับ”เจ้าของใบหน้าเรียบเฉย ทรงผมและชุดสูทสุดเนี๊ยบก้าวเข้ามาในซุ้มดอกไม้ของเขาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


   “ก็เข้ามาแล้วนี่”


   “งั้นผมก็จะถือว่าคุณอนุญาตแล้วนะครับ”เจ้าของเสียงพูดพลางใช้ปลายนิ้วดันแว่นให้เข้าที่แบบเดียวกับที่ชอบทำเสมอและเขาเองก็ไม่เคยชอบใจเลยสักครั้ง


   “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”ดวงตาใต้กรอบแว่นมองคนถามอย่างเขาด้วยความนิ่งสงบ


   “คนๆนั้นเป็นใคร”


   “หึ ใครหละที่แกหมายถึง”คาเซอริโอยิ้มแสยะ พอให้ถามมันก็ฟาดคำถามเปรี้ยงตีแสกหน้าทันที


   “ผมรู้ว่าคุณรู้ และตอนนี้คุณกำลังเลี่ยงจะตอบคำถามผม”


   “ใครว่าฉันเลี่ยง แล้วถ้าฉันเลี่ยงไม่ตอบจริงๆจะทำไม”


   “คุณก็รู้ดีว่าผมจะทำอะไร”


   “แกกำลังขู่ฉันงั้นเหรอ”


   “หึ ใครจะไปกล้าขู่มือขวาจอมบู๊แบบคุณหละครับ ผมก็แค่ถามดูในฐานะมือซ้ายเท่านั้น”ดวงตาสีเทาจ้องคนพูดนิ่ง เกมจ้องตาที่เขาต้องเป็นฝ่ายขอยอมแพ้ หากเขาอยู่ในฐานะฝ่ายบู๊มันก็อยู่ฝ่ายบุ๊น  หัวสมองเจ้าแผนการ


   “หากคุณรู้สถานะของคุณดี  คุณเองก็ควรรู้ฐานะของผมเหมือนกัน  ผมเป็นมือซ้ายของดอนทำทุกอย่าง คิดทุกอย่างเพื่อนดอน รวมถึงกำจัดสิ่งที่จะเป็นภัยกับดอนด้วยเช่นกัน”


   “แต่ฉันไม่คิดเหมือนแก”


   “งั้นเหรอครับ น่าเสียดาย”


   “หึ แกก็อยู่ส่วนแก อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน”


   “ผมคงต้องปฏิเสธเพราะการกระทำของคุณตอนนี้กำลังเป็นภัยกับดอน”


   “ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายดอน”


   “งั้นก็ตอบผมมาสิครับว่าผู้ชายคนที่คุณพามาเป็นใครกัน”


   “หึ แกกำลังสงสัยมัน  สงสัยคนที่ฉันพาเข้ามา ไม่เท่ากับสงสัยฉันรึไง”


   “โอ้ ไม่หรอกครับ ดอนไว้ใจคุณ ผมเองก็เช่นกันแต่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่”


   “มันมากับฉัน”


   “ปกป้องถึงขนาดนั้นคงสนิทกันน่าดูสินะครับ  มันออกจะดูผิดวิสัยไปสักหน่อย”


   “ไม่นิ มันมีบุญคุณช่วยฉัน ฉันจะปกป้องมันบ้างก็ไม่แปลก”


   “อ๋อ งั้นหากผมขอให้เขาออกไปคุณคงไม่ว่าสินะครับ”


   “หมายความว่ายังไง”


   “คุณบอกกับดอน กับทุกคนว่าเขาคือคนที่ช่วยเหลือคุณเมื่อคุณพลาดท่า มาตอนนี้เขาบาดเจ็บคุณพาเขามารักษาถึงในแฟมมิลี่ของเราทั้งๆที่พาไปที่โรงพยาบาลดีๆสักทีก็ได้ มันก็น่าจะเหมาะสมกันแล้ว ตอนนี้เขาเองก็หายดี การจะให้เขาออกไปมันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ”ประโยคสาธยายยาวยืดของมัน บ่งบอกเป้าหมายของมันได้ดี มันกำลังจะไล่เจ้าหมาซาเวียร์นั้นออกไปโดยอ้างเหตุผลการตอบแทนบุญคุณที่เหมาะสมและเท่าเทียม แน่หละหากเป็นแค่การตอบแทนบุญคุณแค่ผู้ช่วยเหลือกับผู้ถูกช่วยเหลือมันก็สมควรแล้ว แต่เขากับมันไม่ได้อยู่ในฐานะที่เขาป่าวประกาศออกไป เขากับมันเป็นมากกว่านั้น อยู่ด้วยกันในฐานะ...


   “หากคุณเห็นด้วยผมจะให้คนพาเขาไปส่ง”


   “อย่ายุ่งเรื่องของฉัน”


   “มันไม่ใช่เรื่องของคุณตั้งแต่คุณพาเขาเข้ามาในแฟมมิลี่แล้ว เรื่องของคุณมันหมายถึงความลับของเราและความปลอดภัยของดอน”เสียงเรียบๆแต่คมยิ่งกว่าไม้แหลมที่เสียบเข้ากลางอก เขาพามันเข้ามาทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่เหมาะ รู้ว่าอาจไม่ปลอดภัยกับดอนแต่เขาปล่อยมือจากมันไม่ได้  ปล่อยมือจากหมาโง่ที่ดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อตามเขามาไม่ได้ ทำไมกัน  ทั้งๆที่เขากับมันก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน ใช่มันไม่มีสถานะระหว่างเขากับมัน แค่คนที่นอนด้วยกันไม่กี่ครั้ง แค่คำรักที่มันบอก มันไม่ได้หมายความว่าเขากับมันเป็นคนรักกัน หากจะบอกว่าเป็นเพื่อนเขากับมันก็เลยสถานนะนั้นไปแล้ว เซ็กซ์แฟรนด์งั้นเหรอ ดูเข้าท่าที่สุดแต่ก็ยอมรับไม่ได้มากที่สุดเหมือนกัน


   “คุณเปลี่ยนไปนะคาโล”


   “ฉันก็ยังเป็นฉันเหมือนเดิม”คาเซอริโอตอบเสียงเรียบ


   “คุณจะหลอกคนอื่นไปถึงเมื่อไหร่ คุณอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกคนที่อยู่กับคุณมาทั้งชีวิตไม่ได้หรอกนะ และที่สำคัญที่สุดคือคุณไม่มีทางหลอกตัวเองได้”


   “หึ พูดเหมือนเป็นตัวฉันเองเลยนะ”


   “ผมแค่พูดไปตามที่เห็นเท่านั้นแหละครับ  สายตาที่คุณมองเขา  ไม่สิสายตาที่ผู้ชายคนนั้นมองคุณ ผมเห็นแล้วขนลุกแทนจริงๆ หวังว่าคุณยังคงไม่ลืมกฎ 10 ข้อของเราหรอกนะครับ เพราะตอนนี้ผมเริ่มขนลุกขึ้นมาอีกแล้วสิ”


   “แก”คอเสื้อของคนตรงหน้าถูกกระชากเต็มแรงจนเจ้าของมันตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ ดวงตาใต้กรอบแว่นวาววับไม่มีแม่แต่ความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว


   “หึ ใกล้ไปแล้วครับ เดี๋ยวคนอื่นๆก็เข้าใจผิดกันพอดี ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบคุณนะครับ”


   “ไอ้บัดซบ”ร่างทั้งร่างลอยวืดเมื่อโดนผลักเต็มแรง  คนที่ตัวบางกว่าล้มกระแทกกับพื้นเสียงดัง


   “ฉันไม่ได้เป็นแบบที่แกคิด”คอปกเสื้อเชิ้ตเนื้อดีถูกกระชากขึ้นมาอีกครั้ง


   “หึ แล้วเหตุผลอะไรหละครับที่ทำให้คุณพาคนๆนั้นเขามากกถึงในบ้านตัวเอง”


พลั่ก


   “แกกำลังดูถูกฉัน”ใบหน้าขาวหันไปตามแรงหมัด รอยปื้นสีแดงปรากฏขึ้นบนแก้มพร้อมรอยเลือดที่ถูกมันคายทิ้งจากปาก


   “แหมทำอะไรไม่กลัวคนสายตาคนอื่นบ้างเลยนะครับ”ดวงตาสีเทาเบิกกว้างก่อนจะละสายตาจากคู่กรณีมองไปรอบๆซุ้มดอกไม้ที่ตอนนี้มีบรรดาลูกน้องในชุดดำหลายๆคนเมี่ยงมองเข้ามาด้านใน


   “บัดซบ”


   “คุณทำตัวเองทั้งนั้น ผมเตือนคุณแล้วว่าหากกลับมาแบบนี้สู้ไม่กลับมาจะดีกว่า แต่ก็เอาเถอะ เห็นแก่ความที่อยู่ด้วยกันมานานผมจะถือว่าครั้งนี้คือการเตือน หากไม่อยากให้สิ่งที่ผมคิดกลายเป็นความคิดของคนอื่นคุณก็ควรจัดการอะไรให้ได้ดีกว่านี้ เรื่องวันนี้ผมจะแก้ตัวกับพวกข้างนอกเอง คุณก็อย่ากระโตกกระตากไปหละ”คนที่นั่งกองอยู่กับพื้นยื่นมือข้างหนึ่งมาด้านหน้า  คาเซอริโอมองมือข้างนั้นนิ่งก่อนจะคว้าจับแล้วดึงมันขึ้นมาแต่คนที่ถูกดึงกลับทำตัวโอนจนเซมาทางเขา ช่วงที่กำลังคิดจะผลักออก มันก็หยุดตัวเองได้ก่อน


   “รีบหน่อยก็ดีนะครับ แม้ตอนนี้จะมีแค่ไม่กี่คนที่สงสัย แต่คุณก็ไม่ควรลืมว่าความลับไม่มีในโลก คุณควรเลือกได้แล้วว่าจะเลือกใครระหว่างดอนหรือคนๆนั้นของคุณ ผมไปนะ”ฝ่ามือขาวยกขึ้นตบบ่าเขาเบาๆก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปเผชิญหน้าพวกที่อยู่ด้านนอก ไม่นานพวกนั้นก็แยกย้ายกันหายไปเหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยื่นนิ่งอยู่ในซุ้ม


   “โธ่โวย”ชุดเก้าอี้ล้มระเนระนาดตามแรงแตะ  ฝ่าเท้าใต้รองเท้าหนังเจ็บแปลบเมื่อกระแทกเข้ากับชุดโต๊ะที่ทำมาจากเหล็ก แต่ความเจ็บมันกลับลากจากเท้าลามไปทั่วตัว  เขาต้องทำยังไง เขาต้องทำยังไงดี


   “ทำไมกลายเป็นแบบนี้ได้ว่ะ”ฝ่ามือขาวยกขึ้นขยี้ผมด้วยความกลัดกลุ้ม  ทำไมต้องกลุ้มใจ ทำไมต้องว้าวุ้นแค่เพียงมันบอกให้เขาเลือก ทำไม  ทำไมกัน


   “คาโล”เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เจ้าของชื่อหันไปมองก่อนจะสบเขากับดวงตาสีน้ำตาลคู่หนึ่ง  ดวงตาของคนที่อยู่ในบทสนทนาของเขาและเจ้าแว่นบ้านั้นมาตลอด


   “คาโล %#^ILUN_)*&HRp”เสียงพูดที่เขาไม่เข้าใจความหมายและฝ่าเท้าที่ก้าวเข้าหาทำให้เขาเผลอก้าวถอยไปเรื่อย เขายังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมจะเจอมันตอนนี้ เขายังไม่อยากเจอมัน เขาอยากได้เวลา อยากได้ระยะห่าง อยากได้ ทำไมหละ เพื่ออะไรกัน เขาแค่ยังไม่อยากเจอมัน ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่


   “หยุด  ออกไป  ออกไปจากตรงนี้  ฉันบอกให้ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกไม่ได้ยินรึไง”ท้ายเสียงตะโกนฝ่าเท้าคู่นั้นก็หยุดลงอย่างที่เขาต้องการ ความเงียบและบรรยากาศอันแสนอึดอัดกระจายไปทั่วซุ้มดอกไม้  อึดอัดจนหายใจไม่ออก


   “ได้ ก็ได้ ถ้าแกไม่ไป ฉันไปเอง”คาเซอริโอพูดเสียงเบา ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบแล้วสาวเท้าเร็วๆออกไปข้างนอกปล่อยให้เสียงเรียกชื่อตัวเองจากใครอีกจางหายไปกับสายลม













   สวัสดีคะนักอ่านทุกท่าน  คราวนี้กลับมาพร้อมกับตอนใหม่ที่ยังคงความเศร้าและเจ็บหน่วงได้อย่างถึงใจอีกตอน

คาโลกำลังอยู่ในภาวะสับสน  ต้องการตัวกระตุ้น  ส่วนพ่อหมาซาเวียร์เองก็อยู่ในภาวะแปลกๆแบบหาที่มาไม่ได้  แต่แน่นอนว่าเรา

มีเฉลยภาวะแปลกๆของพ่อหมาเอาไว้ในตอนหน้า ทนทรมานกับความหน่วงอีกนิดเพราะมันยังไม่จบหรอกนะ  555

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าคะ
:กอด1:

ออฟไลน์ AoMSiN555

  • กรูบ้า.....อย่าทักกรู
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :z3: หน่วงๆจังตอนนี้ อึดอัดแทนคาโล  :เฮ้อ:

รอคนเขียนนะ ให้กำลังใจนะจ๊ะ :กอด1:

ถึงไม่ได้มาแม้นบ่อย แต่ก็มาส่องถี่ๆนะจ๊ะ :impress2:

สู้นะ  :-[

ออฟไลน์ ncnck.p

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอต่อไปปป

เป็นกำลังใจให้เน้ออ :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ gwaiplay

  • ♛ Victoria 。
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3

ออฟไลน์ sowza3366

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ดราม่าน้ำตาตกในแปป สงสารคาโล พี่หมาก็หน้าสงสาร
โอ๊ยยยย จะเป็นไงต่อเนี่ย อยากรู้ๆ มาต่อไวๆน้า ><

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ตอนที่ 33 When I Fall in LoVe                                                       28/04/2558




   ท่ามกลางความทรงจำที่แสนจะเลือนรางในวัยเด็ก  ความทรงจำที่ยังจำได้ติดตาคือ สีแดงฉานของเลือดและเสียงกรีดร้องโหยหวนของใครบางตน 


   “นะ  หนีไป”เสียงที่แหบพร่าจนแทบจะเลือนหายไปถูกเค้นออกจากปากที่ฉ่ำไปด้วยเลือด ร่างสีขาวที่เคยสวยงามบัดนี้กลับถูกอาบย้อมจนแดงฉาน ไหล่ข้างหนึ่งยังคงถูกเขี้ยวคมกัดจนจม  ฉีกขย้ำ สะบัดกระชากจนเลือดสีแดงสาดกระเซ็น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน  ฝ่าเท้าทั้งสี่ข้างสั่นเทา เรี่ยวแรงอ่อนล้าแทบจางหายก่อนเจ้าของมันจะสบกับดวงตาสีดำคู่วาวโรจน์  กรามคู่ใหญ่กัดขย้ำลงยังคอเหยื่อที่หมดสิทธิอุทธรณ์ขอชีวิต ปลิดลมหายใจสุดท้ายให้หลุดหายออกจากร่าง


   เจ้าของขาอันสั่นเทาหันหลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตท่ามกลางเสียงขู่กรระโชกที่ตามมาจากด้านหลัง  ต้นหญ้าสูงขูดบาดไปตามแผ่นท้องขาวเนียน เส้นขนสองสีเปรอะไปด้วยเศษดิน ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายหวาดกลัว  สมองว่างเปล่าปราศจากคำสั่งการ  ร่างกายวิ่งตามสัญชาตญาณที่บอกให้วิ่ง ต้องวิ่งไปเพื่อให้ตนเองอยู่รอด


กรร


   เสียงขู่ดังมาพร้อมเสียงลมที่หวีดหวิวอยู่ข้างหู ร่างเอี้ยวหลบพ้นคมเขี้ยวแต่ก็แลกมาด้วยตัวที่ร่วงถลาไปในทางลาด  เล็บที่ยังไม่ถูกฝึกให้คมจิกเกร็งแน่นเพื่อยึดเศษดินไว้ แต่เรี่ยวแรงและความอ่อนล้าก็ทำให้ปลายเล็บนั้นเลื่อนไถล ร่างร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก  ภาพสุดท้ายที่เห็นคือดวงตาสีดำของหมาปีศาจตัวใหญ่ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนฆ่าแม่ของข้าตายต่อหน้าต่อตา


   แม้จะเชื่อว่าตัวเองตายไปแล้วแต่ความเจ็บปวดที่วิ่งเสียดแทงมาจากทั่วทั้งร่างก็ทำให้ข้ารู้ว่าตนเองยังไม่ตาย ร่างที่เล็กจนเหมือนซากขยะนอนนิ่งท่ามกลางความเย็นชื้นของพื้นดิน จมูกสีน้ำตาลอ่อนสัมผัสได้ถึงความชื้นก่อนที่ฝนแรกของการอยู่คนเดียวจะตกลงมา  ความหนาวเย็นคืบคลานมาตามกลุ่มขนที่เปียกชุ่ม ขาที่อ่อนแรงทั้งสี่ข้างยันขึ้นอย่างสั่นเทาก่อนจะล้มลงไปพร้อมความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นจากแรงกระแทก ความพยายามครั้งที่สอง สาม สี่เกิดขึ้นตามมาติดๆ หลายครั้งที่อ่อนแรงจนล้มลงทั้งๆที่เพิ่งเดินไปได้แค่ 2 ก้าวแต่ในที่สุดข้าก็สามารถพาตัวเองไปหลบฝนในโพรงที่เล็กจนเหมือนโพรงหนูได้สำเร็จ 


   ความเย็นจากสายฝนที่สาดผ่านโพรงเล็กๆเข้ามาทำให้ทั้งกายหนาวเหน็บแต่ที่หนาวเหน็บยิ่งกว่าคือใจเมื่อไร้ผู้เคียงข้าง  ผู้ที่เป็นแม่ แม้จะมีความทรงจำมากเท่าที่ลูกหมาตัวหนึ่งจะมีได้แต่มันก็เลือนราง เหลือเพียงภาพสีแดงฉานและความตายของผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งข้าเคยเรียกนางว่าแม่ 


   ตัวข้าผู้เป็นลูกของนางนั้น หลังข้าเกิดพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าก็ถูกหมาปีศาจตัวผู้ตัวใหม่โค่นลงเพื่อขึ้นเป็นจ่าฝูง  แน่นอนว่าตัวเมียทุกตัวเป็นสิทธิของจ่าฝูงตามกฎโบราณแสนคร่ำครึ ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และอีก 1 กฎที่ต้องทำคือการฆ่าลูกของหัวหน้าตัวเก่า นางยอมตายเพื่อปกป้องข้า ช่างเป็นความอ่อนแอที่น่าสมเพช หากนางกล้าพอที่จะหนีออกมาตั้งแต่วันที่ชายผู้ได้ชื่อว่าพ่อข้าตาย หรือกล้าพอที่จะเก่งกล้ากว่านี้นางคงไม่ตาย นางตายเพราะความอ่อนแอของตนเอง ตายจากไปพร้อมกับความอบอุ่นข้างกาย ทิ้งข้าไว้เพียงลำพังท่ามกลางโลกที่โหดร้าย


   เมื่อปราศจากไออุ่นข้างกาย  ปราศจากคนหาอาหารให้สิ่งแรกที่ข้าต้องทำคือการเอาตัวรอดให้พ้นจากความอ่อนแอที่เกาะกุม  การออกล่าครั้งแรงด้วยตนเองล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อขาอ่อนทั้งสี่ข้างไม่อาจวิ่งทันลูกกระต่าย  ข้ามันอ่อนแอ  ท้องที่ส่งเสียงประท้วงด้วยความหิวทำให้ข้าพยายามอีกหลายๆครั้ง  หลายๆครั้งอย่างคนอ่อนแอที่น่าสมเพช ความหิวจนตาลายทำให้ข้าล่าหนูตัวน้อยที่วิ่งผ่านมาได้สำเร็จ กลิ่นเหม็นสาบของมันช่างน่าสะอิดสะเอียน แต่ก็ต้องกล้ำกลืนอาหารมื้อแรกที่หาได้ด้วยตนเอง  หนูสกปรกจาก 1 เป็น 2 นานนับอาทิตย์ที่หมาปีศาจอย่างข้าต้องจับหนูตัวสกปรกเป็นอาหารประทังชีวิต ทุกครั้งที่กินพวกมันข้าได้แต่สาปแช่งความอ่อนแอของตัวเอง ก่อนจะยิ้มร่าเมื่อจับกระต่ายตัวแรกได้สำเร็จ


   แต่มันก็แค่ความสำเร็จจอมปลอมที่ไม่สามารถชื่นชมได้นาน เมื่อกระต่ายตัวที่สองของข้าโดนแย่งไปจากอุ้งเท้าด้วยนักล่าอีกตัวที่ตะปบข้าจนกระเด็นติดต้นไม้  ความเจ็บปวดที่เพิ่งห่างหายพุ่งขึ้นมาตามร่าง  ดวงตาของข้าวาวโรจน์ก่อนจะกระโจนเข้าหาศัตรูที่ตัวใหญ่กว่าเกือบ 2 เท่า คมเขี้ยวของข้าฉีกกระชากช่วงไหล่มันในขณะที่เขี้ยวของมันกระชากขาข้าแทบขาดแต่ท้ายที่สุดข้าก็ได้ชัยชนะ ชัยชนะที่มาพร้อมเลือดที่อาบร่าง ข้ากินเนื้อมันเป็นอาหาร เลือดที่หวานและหอมหวนด้วยชัยชนะอาบร่างของข้าจนแดงฉาน ข้าผู้ได้ชัยชนะต้องนอนซมไปอีกหลายวันและต้องกลับไปกินหนูสกปรกประทั่งชีวิตอีกครั้ง ศัตรูตัวนั้นมันสอนให้ข้ารู้จักสู้  รู้จักความยินดีในชัยชนะและความเจ็บปวดของการพ่ายแพ้


   ข้าออกเดินทางไปเรื่อยๆเพียงลำพัง การเดินทางสอนให้ข้ารู้จักอาหาร  การพบปะผู้อื่นสอนให้ข้ารู้จักประมาณตน  กาลเวลาทำให้ข้ากร้าวแกร่งและแข็งแรง  ร่างกายขยายขนาดใหญ่โตขึ้น กำยำด้วยกล้ามเนื้อ แต่ชีวิตอันโดดเดี่ยวทำให้ข้าลืมสิ้นซึ่งการพูดคุย  จนกระทั่งเจอนาง นางหมาปีศาจที่มีกายสีทองสง่า ตัวที่เล็กกว่าข้ากว่าครึ่ง



   ข้าไม่ได้สนใจนางไปมากกว่าผู้คนที่เคยพบพานแบบทั่วไป แต่นางกลับขยันที่จะวนเวียนมาหาข้า คอยพูดคุย คอยถามคำถามมากมายกับข้าและหนึ่งในคำถามมากมายพวกนั้นคือถามว่าข้าชื่ออะไร ข้าเข้าใจที่นางพูดเพราะเหมือนเมื่อนานมาแล้วเคยมีสตรีนางหนึ่งพูดคุยกับข้าด้วยการออกเสียงแบบนี้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้ออกเสียงจึงลืมเลือนไปแล้วซึ่งการพูดคุย  ท้ายที่สุดความพยายามของนางก็สำเร็จผลเมื่อข้ามาเยือนที่ฝูงของนางตามที่นางต้องการ ฝูงที่มีจ่าฝูงเป็นหมาปีศาจสีดำตัวใหญ่ผู้มีดวงตาสีเงินสว่าง การเข้ามาของข้าทำให้ข้าได้พบกับหมาปีศาจที่ข้าสามารถบอกชื่อของตนได้เป็นครั้งแรก


   ชีวิตอันโดดเดี่ยวของข้าเริ่มมีสีสัน หัวใจที่เงียบงันเริ่มเต้นกระหน่ำเหมือนมีชีวิต  ร่างที่เคยเดิน 4 ขามาตลอดหัดที่จะเดิน 2 ขา หัดที่จะทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นสตรีนางหนึ่งหน้าแดงเมื่อเห็นข้าในร่างมนุษย์ครั้งแรก นางเกาะติดข้าก่อนจะกลายเป็นข้าที่เริ่มเกาะติดนาง แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ เปลี่ยนฝูงไปอย่างไรแต่กฎโบราณคร่ำครึก็ยังคงได้รับการสืบทอดเหมือนโรคร้าย ไม่นานเมื่อนางโตเป็นสาวสะพรั่ง วันนั้นก็มาถึง วันที่นางต้องเป็นของจ่าฝูง ประโยคแรกที่ข้าพูดกับนางคือ


   “หนีไป กับ ข้า...”


   แต่ประโยคของข้ากลับได้รับน้ำตาเป็นสิ่งตอบแทน  นางหลั่งน้ำตาก่อนจะหันหลังจากไปกลายร่างเป็นนางหมาปีศาจขนสีทองที่แสนสง่า ถูกจ่าฝูงตัวใหญ่เสพย์สมต่อหน้าข้าที่นางพร่ำบอกว่ารัก  ความรักคืออะไร  ความเจ็บปวดที่อกซ้ายมันคืออะไรข้าตัดสินใจยืนขึ้นอีกครั้งพุ่งกระแทกเจ้าหมากักขฬะจนล้มกันไปทั้งคู่ ทอดมองนางที่เคยบอกรักข้าทำตัวอ่อนแอเหมือนใครอีกตัวที่ข้ารู้จัก จัดการพวกตัวผู้ที่พุ่งเข้าหาและเผ่นทะยานออกมานอกฝูงอีกครั้ง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือมีใครอีกคนตามข้ามาด้วย


   “ไง ข้าบอกชื่อตนเองแกเจ้าไปแล้วหลายรอบ ข้าชื่อเยอร์เซ็พ คราวนี้ข้าแหกคอกออกมากับเจ้า เจ้าจะบอกชื่อตนกับข้าได้หรือยัง”


   “ข้า  ซาเวียร์”ครั้งแรกที่ข้าบอกชื่อตนเองกับคนอื่น  ชื่อที่สตรีนางหนึ่งเรียกข้าครั้งแรกเมื่อข้าลืมตา  ชื่อที่ข้าไม่ได้บอกกับใครแม้แต่หญิงที่บอกว่ารักข้า แต่ข้ากลับบอกมันกับใครอีกคนที่วิ่งฝ่าดงเขี้ยวออกมาพร้อมข้า  การเดินทางเพียงลำพังสิ้นสุดลง ข้าอบอุ่นเมื่อมีคนข้างกาย  มีใครอีกคนคอยระวังภัย มีใครอีกคนสอนข้าพูดภาษาแบบมนุษย์จนมันเองก็กลายเป็นพวกพูดเยอะขึ้น  สอนข้าใช้ชีวิตแบบมนุษย์  เจ้าหมาที่ข้าเรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน  เพื่อนที่แข็งแกร่งทัดเทียมกัน แต่แน่นอนว่าใจข้ายังหนาวเหน็บและว่างเปล่า  ช่องว่างที่เหมือนจะขยายกว้างกว่าเดิม


   การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่มาถึงเมื่อเราทั้งคู่เจอฝูงใหม่ แต่ฝูงนี้ต่างออกไป  ความแปลกประหลาดทำให้เราตัดสินใจจะซุ่มดู กลุ่มที่ปักหลักและใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์มากกว่าทุกกลุ่ม ย้ายถิ่นฐานเพียงนานๆครั้ง ปักหลักใกล้แหล่งน้ำเพื่อจับปลาทำอาหารเลี้ยงตนเอง ป้องกันตนเองด้วยกองกำลังพวกตัวผู้ ในวันหนึ่งที่ฝูงโดนบุกเป็นข้ากับหมาอีกตัวที่ข้าเรียกว่าเพื่อนกระโดดออกไปช่วยและนั้นทำให้ข้าได้รู้จักกับชายที่ชื่อว่าทิเบอริส   จ่าฝูงที่มีร่างใหญ่โตแต่กลับกระทำแตกจากจ่าฝูงทั่วไป ความแปลกประหลาดนั้นทำให้ข้าเฝ้ามองห่างๆ หาอาหารเลี้ยงตนเองไปท่ามกลางการเฝ้ามองฝูงใหม่นั้น


   ในวันหนึ่งชายคนนั้นได้เดินเข้ามาพร้อมบางอย่างในมือ


   “เนื้อกวางย่าง  ลองกินสิ ย่างไม่สุกนักหรอกถือว่าตอบแทนที่พวกเจ้าช่วยข้าเมื่อวันนั้น”พูดแบบนั้นแล้วก็เดินจากไปทั้งร่างมนุษย์ ปราศจากการป้องกันที่หากตะปบเพียงครั้งเดียวคออาจขาดได้ นั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ลิ้มลองอาหารอื่นๆนอกจากเลือดสดๆและเนื้อดิบๆ มื้อแรกนั้นทำให้ข้ากับเยอร์เซ็พเข้าร่วมฝูงใหม่  ฝูงที่มีจ่าฝูงชื่อทีเบอริส  ฝูงที่จ่าฝูงไม่ทำตามกฎบ้าๆแสนโบราณนั้น จ่าฝูงที่พูดว่า


   “...คิดซะว่าที่นี้เป็นที่พักอาศัยแล้วกัน มันอาจไม่ได้ดีจนเรียกได้ว่าเป็นบ้านแต่หากเหนื่อยและอยากพักก็มาที่นี้ได้เสมอ ข้ายินดีต้อนรับพวกเจ้าในฐานะสหาย..”และในที่แห่งนั้นเยอร์เซ็พก็ได้พบกับผู้ที่มันเรียกว่าคู่  ในฐานะเพื่อนข้ายินดีที่สหายได้พบกับคู่ของตนเอง เจ้ามนุษย์สีผิวขาวเหลืองตัวเล็กผอมที่มีวิธีการรักษาที่ประหลาด  ความจริงเจ้านั้นไม่ใช่มนุษย์คนแรกของที่นั้น มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วอีกคน แต่ข้าไม่ได้สนใจ เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ยังไงซะก็อ่อนแออยู่ร่ำไป



   วันเวลาของข้าผ่านไปอย่างเรียบเรื่อย มีความอบอุ่นข้างกายมากขึ้นแต่ใจข้ายังคงไม่อบอุ่น แม้จะมีสตรีมากกมายเมียงมองมาแต่ข้ากลับไม่สนใจเพราะพวกนางเหล่านั้นล้วนอ่อนแอ ความอ่อนแอที่ข้าแสนเกลียดชัง  จนกระทั่งวันหนึ่งที่ข้าได้พบกับเขา ชายผู้หนึ่งที่นั่งทับอยู่บนเข่าตัวเอง ตัวอาบไปด้วยเลือด  ร่างโงนเงนจนแทบจะพยุงตัวไม่อยู่แต่มือกลับไม่ปล่อยดาบเล่มสั้นนั้น ดวงตาสีเทาคู่นั้นมองตรงมาที่ข้ามันปราศจากความลังเล  ปราศจากความหวาดกลัวมีเพียงความมุ่งมั่นที่ทำให้ใจข้ากระตุก ก่อนที่ร่างทั้งร่างของมันจะล้มโครม


   นั้นเป็นครั้งแรกที่ใจข้ากระตุกเพราะใครบางคน ความรู้สึกที่ไม่ได้พบเจอมานานทำให้ข้าเริ่มสงสัยแม้ทั้งร่างจะอาบไปด้วยเลือดแต่ข้ากลับได้กลิ่นมนุษย์โชยออกมาชัดเจน  มนุษย์ที่จ้องข้าโดยไม่หลบตาไม่เคยมี แต่ตอนนี้ข้าพบแล้ว


   ครั้งที่สองกลางลานประชุมเป็นอีกครั้งที่ข้าอดแปลกใจไม่ได้เมื่อร่างกายนั้นเคลื่อนไหวต่อสู้ไปรอบๆวง การเคลื่อนไหวร่างกายที่เป็นจังหวะและแสนจะมีเสน่ห์ชวนมอง สะกดสายตาข้าให้จับจ้องอยู่เพียงคนๆเดียวท่ามกลางฝูงหมาปีศาจแต่เพราะความอ่อนแอของร่างกายนั้นทำให้พลาดท่าและเป็นข้าที่ถลาเข้าขวางและออกปากขอดูแลเพื่อเยื้อชีวิตอ่อนแอนั้นเอาไว้ ความสับสนนั้นวนเวียนในหัว ทั้งๆที่รู้ว่าอ่อนแอแต่ทำไมข้ายังสนใจสะดุดตาได้ขนาดนั้น  มันทำให้ข้าละสายตาไปไม่ได้จนต้องมองอยู่ห่างๆ


   ร่างกายที่อ่อนแอนั้นแข็งแรงขึ้นตามลำดับ  อยู่อาศัยและเคลื่อนไหวรวมกลุ่มไปได้อย่างแนบเนียน แต่ถึงแบบนั้นก็แสนจะดึงดูด มีหลายตัวที่จับตาดูอย่างใกล้ชิดแบบที่ข้าไม่ชอบใจจนต้องเดินออกไปทัก  การออกไปทักของข้าทำให้เจ้านั้นร่วงลงมาจากหลังคา ข้าเบิกตากว้างมองคนที่ห้อยต่องแต่งแต่กลับไม่ตกลงมาด้วยความสนใจ  ร่างกายตอบสนองเป็นเยี่ยมแถมปากยังร้ายสุดยอด ข้าตัดสินใจอีกครั้งว่าจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดแต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อถูกเยอร์เซ็พลากออกไปลาดตระเวนเพราะมันเป็นเวรข้า  แต่การลาดตระเวนที่แสนน่าเบื่อนั้นก็จบลงเมื่อข้าได้กลิ่นเลือดและได้ยินเสียงปืน


   ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ออกวิ่งสุดฝีเท้า  กลิ่นจางๆที่ลอยมาตามลมทำให้ข้าออกออกแรงวิ่งเพื่อทิ้งระยะห่างเยอร์เซ็พที่ตามมาไม่ห่างช่วง เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ข้าพุ่งชนใครบางคนที่เริ่มมีกลิ่นกายอันคุ้นเคยก่อนจะออกแรงคาบขึ้นบนหลังแล้ววิ่งหายไป ทิ้งซากศพมนุษย์พวกนั้นไว้ด้านหลัง  ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ข้ากลับเชื่อว่าหากปล่อยมนุษย์ที่ชื่อว่าคาโลเอาไว้ตรงนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่


   ช่วงเวลาที่คนตรงหน้าหลับทำให้ข้าได้พิจารณามันอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก ทั้งเส้นผมสีทองแสนนุ่มมือที่มีกลิ่นแบบที่ข้าชอบ  หน้าผากเกลี้ยงเกลา ผิวที่ขาวเหมือนพวกทางเหนือ จมูกโด่งๆ ริมฝีปากสีส้มที่แสนนุ่มมือ ไรหนวดจางๆที่ทำให้คนตรงหน้าดูหล่อเหลา งดงาม ช่วงคอยาวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วงไหล่กว้างที่แข็งแรงลงตัวได้รูปสวย แต่ชื่อบางคนที่ออกจากปากบางนั้นกลับทำให้ข้าชะงักก่อนจะโดนผู้ที่ได้ชื่อว่ามนุษย์ต่อย มนุษย์คนแรกที่กล้าต่อยข้าและมันเจ็บน่าดู


   การพูดคุยกับใครคนนั้นทำให้ข้าทั้งสนใจและหมั่นไส้ไปพร้อมกัน ริมฝีปากสีส้มที่ได้ครอบครองเพียงชั่วขณะกลับทำให้ใจเต้นกระหน่ำ โหยหาความนุ่มหยุ่นที่ได้สัมผัส เวลามันน้อยเกินไป  ข้าอยากได้มากกว่านี้  อยากครอบครองมากกว่านี้


   เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะการรุกรานจากมนุษย์ภายนอกทำให้ทั้งกลุ่มหวาดหวั่นแต่ความหวาดหวั่นนั้นไม่ใช่จากภัยภายนอก แต่เป็นภัยจากภายในที่มองไม่เห็นต่างหาก ทีเบอริสฉลาดและมองการณ์ไกล แต่เมื่อเขาไม่มีคำสั่งข้าก็ไม่จำเป็นต้องสอดจมูกเข้าไปยุ่ง เพียงแต่วินาทีที่ใครบางคนกระโดดเข้ามายุ่งมันกลับทำให้ใจข้าสั่นไหว สั่นไหวเพียงได้กลิ่นกายที่คุ้นเคย สมองข้าจดจ่อกับสถานการณ์วุ่นวายของพวกมนุษย์และพวกตัวเมียแต่ใจข้ากลับวิ่งไปอีกทาง และเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดมาจากทิศทางที่ใจใฝ่หาข้าก็วิ่งเต็มแรง เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นต่อสู้อย่างห้าวหาญมันกลับทำให้หัวใจพองโตด้วยความปลาบปลื้มก่อนจะฝ่อลงเมื่อเห็นพวกลอบกัด ร่างกายที่เคลื่อนไหวไปเองทำให้ข้าเอาตัวเองบังทางกระสุนพวกนั้น  แม้จะเจ็บกายแต่พอได้เห็นดวงตาสีเทานั้นทอประกายห่วงใยมันกลับทำให้หัวใจที่เคยเย็นเฉียบนั้นอบอุ่น  หากข้าจะขอยึดความอบอุ่นนี้ไว้กับตัวมันจะได้หรือไม่


   ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับมนุษย์คนนั้นมันทำให้ข้าไม่เหงา  ทำให้หัวใจข้าอบอุ่นแต่ชื่อของ อเรสซิโอจากปากสีส้มนั้นกลับเหมือนหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงและข้ากลับปัดมันออกจากหัวได้ในวินาทีที่ได้ครอบครองร่างนั้น  ร่างกายที่สวยงาม กลิ่นกายที่ข้าหลงใหล ความสมบูรณ์แบบและความแข็งแกร่งที่ถูกข้ากลืนกลิ่นอย่างตะกุกตะกลาม เติมเต็มร่างกายและหัวใจที่ว่างเปล่าของข้าได้อย่างท่วมท้นจนล้นปรี่ มันเป็นวินาทีที่ข้ากล้ายอมรับกับตัวเองว่าข้าชอบทุกอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ชอบผู้ชายที่นอนหลับอยู่ในอ้อมกอดข้า ข้ากำลังหลงใหลร่างกายนี้ หลงใหลจนกระทั่งคลั่งไคล้ในตัวคนๆนี้ อยากอยู่ใกล้ อยากมองเห็น อยากได้กลิ่น อยากอยู่แบบนี้ มีชายคนนี้ในอ้อมกอดไปเรื่อยๆและหากสิ่งที่ข้าเป็นมันเรียกว่ารัก  ข้าคงตกหลุมรักชายคนนี้จนหมดหัวใจ 


   วินาทีที่ข้าแน่ใจว่ารักก็เป็นดั่งวินาทีที่เหมือนตกนรกเพราะชายคนที่ข้าเพียงเคยได้ยินชื่อ  ชายที่คาโลมักละเมอถึงออกมาและเป็นชายคนสำคัญของคนที่ข้ารัก อเรสซิโอ ข้าเกลียดมัน  เกลียดจนอยากฆ่าให้ตายด้วยมือคู่นี้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ แม้จะอยากอาละวาดให้สาสมกับความทรมานในอก แม้จะอยากหนีไปให้ไกลจากคนที่ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์และตกนรกได้ในเวลาเดียวกันแต่ข้าก็ทำไม่ได้ เพียงแค่ดวงตาสีเทาคู่นั้นมองมาที่ข้าด้วยความอ่อนโยนข้าก็พ่ายแพ้ทุกอย่าง   พ่ายแพ้กับความพยามอันแสนจะอ่อนแอของตนเอง ข้ายอมก้มหน้ารับกับความขมขื่นเพื่อแลกกับเวลาแห่งความอบอุ่นและความสุขที่เคยได้รับ โดยหวังว่าสักวันข้าได้รับความสุขที่แท้จริงเสียที


   แต่วันนั้นมันไม่เคยมาถึง  และอาจไม่มีวันมาถึง แม้คาโลจะยอมให้ข้ากอด ยอมอยู่ในอ้อมแขนข้าแต่บ่อยครั้งที่ดวงตาแสนสวยคู่นั้นกลับทอดมองไปยังสถานที่ห่างไกล ทอดมองไปยังใครบางคนที่ข้าไม่มีสิทธิห้ามปราม  เจ้าอาจไม่รู้แต่ข้าทรมานทุกครั้งที่เห็นสายตานั้นจากเจ้า เพราะช่วงเวลานั้นใจเจ้าไม่ได้เป็นของข้า สิ่งที่ข้าทำได้คือกอดเจ้าได้เพียงกายแต่กลับไม่ถึงหัวใจ  ข้าอาจจะเป็นหมาโง่งมตัวหนึ่งที่หลงวนเวียนอยู่ในความเมตตาเพียงน้อยนิดที่เจ้ามอบให้  แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง อยากหนีเพียงไหนก็ทำไม่ได้เพราะทุกครั้งที่พยายามจะตัดใจก็เป็นเจ้าเองที่ดึงข้ากลับมา แค่ความพยายามเพียงน้อยนิดของเจ้าก็ทำให้ข้ายอมสยบแทบเท้า หรือจะเป็นข้าเองที่อ่อนแอเกินกว่าจะเดินจากเจ้าไป  ขอเพียงเจ้าเมตตาข้าสักนิดข้าก็พร้อมจะอยู่ข้างเจ้า จนกว่าวินาทีที่เจ้าไม่ต้องการ แม้การอยู่ข้างเจ้ามันจะหมายถึงความสุขที่แสนทรมาน แต่ข้าก็จะทำแม้มันจะหมายถึงการทรยศต่อคนทั้งโลกก็ตามขอเพียงเจ้ามองมาที่ข้าบ้าง


   คำภาวนาของข้าไม่เป็นจริง สิ่งที่เจ้ามอบให้ข้าคือเศษเสี้ยวแห่งความสงสาร  ที่เจ้ามอบให้กับหมาตัวหนึ่ง  หมาโง่งมที่หลงรักความแข็งแกร่ง  ความสดใส ความเป็นตัวเจ้าจนหมดหัวใจ และแล้ววินาทีที่ข้าหวากลัวที่สุดก็มาถึง วินาทีที่เจ้าไม่ต้องการข้า


     แม้การอยู่กับคาโลมันจะทำให้ข้าทั้งสุขและทุกข์ไปในคราวเดียวกันแต่มันก็เป็นความสุขที่ข้าต้องการ และความทุกข์ที่ข้ายอมรับได้  แต่ทุกอย่างมันเริ่มเลวร้ายเมื่อคาโลต้องการจะกลับไป  กลับไปยังที่ๆเขาจากมา กลับไปหาใครคนนั้น


    คาโลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจสูง เรื่องนั้นข้ารู้ดีและชื่นชอบมันเสมอ  แต่ความมุ่งมั่นที่จะกลับไปหาใครคนนั้นมันให้ข้าแสนเกลียดและหวาดหวั่น  ข้าหวั่นว่าหากกลับไปแล้วเขาจะลืมเลือนข้า หลงลืมหมาโง่ๆตัวหนึ่งที่หลงรักเขาอย่างงมงาย  ข้าอยากเยื้อเขาเอาไว้ อยากทำทุกอย่างเพื่อเยื่อเอาไว้แต่ข้ากลับทำไม่ลง  แค่เห็นความพยายามในดวงตาคู่นั้น  เห็นความผิดหวังเมื่อหนทางกลับนั้นแสนริบรี่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก ข้าพูดไม่ได้ ขอร้องให้เขาอยู่กับข้าไม่ได้ทำได้เพียงปล่อยให้เขาไป และตามติดเขาไปเหมือนหมาโง่ ด้วยความปรารถนาเพียงขอให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมแม้จะเจอใครคนนั้น


   และแน่นอนที่ความปรารถนาของข้าไม่เป็นจริงอีกครั้ง คาโลยินดีที่ได้กลับไปแต่ข้ากลับเศร้าตรม ข้ายินดีที่เห็นเขาอยู่ตรงหน้าแต่ก็ทรมานเมื่อเขามองข้าอย่างไม่เข้าใจ  ดวงตาสีเทาคู่นั้นเบิกกว้าง มันมองตรงมาที่ข้าเหมือนข้าเป็นตัวประหลาด  เขาไม่ตอบคำถามข้าเช่นเคยเป็น เหมือนเขาไม่เข้าใจ


     สิ่งที่ข้าคิดมันเป็นจริง  คาโลไม่เข้าใจข้า เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดอีกต่อไปแล้ว ความจริงที่ได้รับรู้มันทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองนั้นช่างแตกต่าง คาโลมีโลกที่เขาแสนคุ้นเคย โลกอันสมบูรณ์แบบมีคนที่เขารัก มีคนที่รักเขาซึ่งมันไม่มีข้า  ข้าพยายามแล้วที่จะสื่อสาร  พยายามแล้วที่จะเข้าใกล้แต่กลับเป็นเขาเองที่ถอยห่างจากข้าไป ไปอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคน  ใครอีกคนที่เจ้าสวมกอดเขาด้วยความยินดีและหมางเมินหนีจากข้า  แม้ท่าทางเจ้าจะเหมือนเดิมแต่แววตาเจ้ากลับไม่เหมือน แม้อาหารมื้อนั้นที่เจ้าทำให้ข้าทานจะเลิศรสเพียงใดแต่สิ่งที่ลิ้นข้าสัมผัสได้คือความขมปร่าและสากระคายยิ่งกว่าเนื้อหนูสกปรกที่ได้กินครั้งแรก


   ข้าพยายามเข้าหาเจ้าอีกครั้ง  อธิบายบอกเจ้าเป็นร้อยพันตะโกนบอกรักเจ้าเป็นล้านครั้งแต่เจ้ากลับไม่ได้ยิน  เพียงแค่คิดที่จะคว้าเจ้ามาอยู่ในอ้อมกอดเหมือนเคยกลับเป็นเจ้าที่เอาเจ้ามัจจุราชสีดำจ่อมาที่ข้า น่าแปลกที่ข้าไม่ได้กลัวมันหากยินดีรับมันด้วยความเต็มใจ  อย่างน้อยการได้ตายด้วยมือเจ้ามันคงรู้สึกดีมากกว่าการอยู่โดยถูกเจ้าหวาดกลัว  เจ้าหวาดกลัวข้าเสียแล้ว  ทำไมต้องกลัวข้าหละ  ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้าหรอกคาโล ข้าไม่มีวันทำร้ายดวงใจของข้าได้


   แต่ความในใจของข้ามันก็ไม่สามารถสื่อไปถึงเจ้าได้อีกแล้ว ไม่ได้อีกต่อไป เจ้าวิ่งหนีข้าเหมือนข้าเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียดแม้ข้าจะนั่งรอเจ้าอยู่ตรงนั้นเจ้าก็ไม่ย้อนกลับมา  ข้าแพ้แล้วงั้นเหรอ  หัวใจที่เจ็บจนแทบร้าวรานสั่งให้ข้าไปหาเจ้าแต่ภาพความสนิทสนมที่เจ้าให้กับทุกคนยกเว้นข้ามันยิ่งทรมานแต่มันเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด  เจ้าไม่ต้องการข้าอีกต่อไป เจ้าออกปากไล่ดังเช่นที่หวาดหวั่น  ดวงตาคู่นั้นไม่สะท้อนภาพของข้าอีกแล้วแม้ข้าจะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า ข้าพ่ายแพ้แล้วให้กับความอ่อนแอของตนเอง  พ่ายแพ้แล้วให้กับความแข็งแกร่งของเจ้าที่แม้จะไม่มีข้าเจ้าก็ยังคงเปล่งประกายน่าหลงใหล เป็นข้าเองที่หวังไปเพียงลำพัง ขอให้เจ้ารักข้าบ้าง แต่ความหวังนั้นก็ไม่เคยเป็นจริง  เจ้าไม่เคยรักข้าสินะคาโล










    ส่งตอนใหม่แล้วคร๊า  เป็นตอนใหม่ที่rewrite เป็นรอบที่สองเพราะหน่วงไม่สะใจเท่าไหร่  หวังว่ารอบนี้จะดีขึ้นแล้วหละนะ

    ตอนนี้ขอเสริฟความหน่วงแบบต่อเนื่องแต่เปลี่ยนมาเป็นบทของพ่อหมา  ทนกันอีกนิดบทหน่วงจะหายไปแล้ว


ปล.ขอบคุณนักทุกท่านที่ติดตาม เหมือนตอนที่แล้วจะความคิดเห็นเยอะสงสัยเพราะชอบตอนหน่วงๆเศร้าๆกันสินะ

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ซืดดดด หน่วงสะใจซะจริงๆ อดีตของพ่อหมาอารมย์ดีช่างน่าสงสาร
ทำไมถึงน่าสงสารได้ถึงขนาดนี้นะ ฮืออออ น้ำตาไหลพรากๆเลย
คาโล มองที่น้องหมาตัวนี้หน่อยได้มั้ย รักพี่หมาสักนิดก็ยังดี แบบนี้มันเจ็บปวด
เจ็บทั้งคาโลทั้งพี่หมาเลย เฮ้อ~ มาซะหน่วงแบบนี้ มาต่อตอนใหม่เร็วๆเลยนะ เราจะรอนะ ><

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :3123: :pig4: :pig4: :pig4:
 
อ่านยาวรวดเดียวเลยค่า   :pig4:

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ตอนที่ 34 การตัดสินใจแห่งอนาคต               12/06/2558



   อาการปวดหัวที่พุ่งเข้ามาเหมือนสายฟ้าฟาดทำให้ตาที่เพิ่งลืมขึ้นต้องปิดลงและคงจะปิดเพื่อให้ได้หลับยาวไปอีกรอบหากบรรยากาศรอบข้างไม่แปลกไปจนต้องฝืนเปิดเปลือกตาขึ้นมามองให้ชัดๆ


   ที่ที่เขากำลังนอนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ซุ้มดอกไม้ แต่กลับเป็นห้องนอนที่เขาจะแสนจะคุ้นเคย เขากลับมาได้ยังไง ใครพาเขามา ไม่สิเขามาเองนี่น่า หลังจากคุยกับเจ้าสองคนนั้นที่ทำเขาปวดหัวจนแทบระเบิด มันก็เดินเข้ามาหาเขา เจ้าหมาบ้านั้น มันพยายามพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่ก็เป็นเขาเองที่ไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับมันจนต้องไล่มันไป แต่เมื่อมันไม่ไปก็เป็นเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายไป


   พอคิดมาถึงตอนนี้ก็ปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ เขาเดินหนีมันมา แล้วมานอนบนนี้แล้วมันหละไปไหน ดวงตาสีเทาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังที่นอนข้างตัวมันวางเปล่าและแสนจะเย็นชืด หึ มันหายไปแล้วเขาจะไปนึกถึงมันทำไมกันนะ


   “เข้ามา”เสียงเคาะประตูเบาๆเป็นจังหวะทำให้หลุดออกจากภวังค์ความคิดและอนุญาตให้ใครก็ตามที่อยู่หน้าประตูได้เข้ามา


   “ผมนึกว่าคุณยังไม่ตื่นซะอีก”เจ้าเด็กหน้าคุ้นก้าวเข้ามาในห้องพร้อมบ้างอย่างในมือ


   “ก็กำลังคิดว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อย”คนที่นอนอยู่บนเตียงยันตัวขึ้นนั่งก่อนจะพบว่าตัวเองเปลือยท่อนบน แต่นั้นหละใครจะสน


   “ยังปวดหัวอยู่ไหมครับ”บางอย่างที่น่าจะเป็นอาหารเช้าพร้อมกาแฟกลิ่นหอมถูกวางลงข้างเตียง


   “นิดหน่อย นี้ฉันหลับไปนานแค่ไหน”


   “คืนหนึ่งได้ครับ”คืนหนึ่งงั้นเหรอ ก็แสดงว่าตอนนี้เจ้าหมานั้นหายไปจะครบ 24 ชั่วโมงอยู่แล้วสินะ


   “เห็นมันบ้างไหม”คนที่ยืนอยู่ข้างเตียงชะงักไปเพียงนิดก่อนจะหยิบเอาขวดน้ำออกมาจากตู้เย็นเล็กในห้อง


   “เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อเช้าวานครับ”


   “งั้นเหรอ”มันหายไปจริงๆสินะ หายไปไหนกันนะ


   “คุณดูไม่ห่วงเท่าไหร่นะครับ”ขวดน้ำถูกวางลงข้างถาดอาหารเช้าแต่คนที่ทำตัวเหมือนบริกรโรงแรมก็ไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกไปข้างนอกทั้งๆที่มันก็อยู่ในชุดที่พร้อมจะไปทำงานได้ทุกเมื่อ


   “มันโตแล้วดูแลตัวเองได้”


   “งั้น แปลว่าคุณจะปล่อยไป”ปล่อยไปงั้นเหรอ  หากเป็นที่นั้น เป็นที่ที่มันจากมาเขาคงไม่ห่วงที่มันหายไป 1 หรือ 2 วัน แต่ที่นี่มันไม่ใช่  มันเป็นที่ของเขาไม่ใช่ของมัน  มันมีเขาเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวแล้วเขาก็เพิ่งไล่มันไปกับมือเมื่อวาน


   “แบบนั้นอาจจะดีกว่า”


   “ตัดสินใจเถอะครับ ดอนคงไม่รอไปมากกว่านี้อีกแล้ว”


   “แกหมายความว่ายังไง”


   “คนนอกในแฟมมิลี่ ไม่นานดอนคงมีคำสั่งมา หากคุณภักดีและเทิดทูลดอนจริง คงไม่พ้นที่คุณต้องฆ่ามันด้วยตัวคุณเอง”ดวงตาสองคู่ของคนสองวัยสบกันนิ่ง  ความเงียบที่แสนจะอึดอัดแผ่กระจายไปทั่วห้องก่อนที่คนอ่อนวัยกว่าจะเป็นฝ่ายหลบตา


   “ผมไปทำงานก่อนนะครับ  คงกลับมาพรุ่งนี้สายๆ คุณก็ทานอาหารด้วยนะครับเดี๋ยวจะปวดท้องเอา ในตู้เย็นมีอาหารที่ผมทำไว้นิดหน่อยหิวก็เอาออกมาทานนะครับ ผมไปหละ”เงาร่างสูงใหญ่หายไปหลังประตูพร้อมความเงียบที่มาเยือน  เสียงท้องร้องประท้วงว่าเขาขาดอาหารมานานเกินไปแต่อาการหน่วงๆในอกมันทำให้เขาแทบไม่อยากอาหาร  หัวที่เริ่มดีขึ้นก็กลับมาปวดอีกครั้งจนต้องทิ้งตัวลงบนหมอน แล้วนอนมองเพดานสีเทาควันบุหรี่ที่แสนจะคุ้นตา


   ทำไมทุกคนต้องบังคับให้เขาเลือกด้วยนะ  ระหว่างดอนกับเจ้าหมานั้น ไม่ต้องถามเลยหากให้เขาเลือก เขาก็ต้องเลือกดอนอยู่แล้ว แต่ทำไมในหัวถึงมีดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเข้ามาวนเวียนกันนะ  หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลือกดอนอย่างไม่ลังเล  เขาไม่ลังเลที่จะฆ่าทุกคนตามคำสั่งของผู้ชายคนนั้น  ให้มือตัวเองอาบเลือดเพียงเพราะผู้ชายคนนั้นต้องการ  ดิ้นรนทุกอย่างเพื่อกลับมาหาผู้ชายคนนั้น  กลับมาอยู่ข้างๆผู้ชายคนนั้น เทวดาของเขา หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ลังเลที่จะฆ่าใครก็ตามขอเพียงผู้ชายคนนั้นสั่ง  แต่ทำไมครั้งนี้เขาถึงไม่ทำ ดอนรู้เรื่องมันแล้วและเขาเลือกที่จะโกหกดอนเรื่องของมัน  แม้เรื่องที่เขาเจอจะดูน่าเหลือเชื่อแต่หากเป็นเขาเมื่อก่อนคงบอกดอนออกไปแบบไม่ลังเล แต่ทำไมครั้งนี้เขาต้องโกหก  ทำไมต้องพามันมาถึงที่นี่ทั้งๆที่รู้ว่าต้องมีเรื่องมากมายตามมา ไม่สิ เป็นเพราะมันเองต่างหากที่ฝืนตามเขามา แต่หากเขาไม่ต้องการมันจริงๆแค่สลัดมันทิ้งในโลกที่เขาคุ้นเคยมันก็ง่ายแสนง่าย แต่ก็เป็นเขาเองที่เอามันเข้ามาในบ้าน  ให้มันนอนบนเตียงทั้งๆที่ไม่ยอมให้เจ้าเฟอร์ดิน่าที่เป็นเหมือนลูกได้นอน ทำไมกัน  นี่ความรักของเขาที่มีให้กับดอนโดนมันสั่นคลอนงั้นเหรอ  เขารักดอน  รักดอนจริงๆหรือว่ารักใครกันแน่ ความรักของดอนมันเป็นแบบไหนกันนะ รักข้างเดียวงั้นเหรอ แล้วทำไมเวลาดอนจะไปกับผู้หญิงคนอื่นเขาถึงไม่รู้สึกอะไร แล้วถ้าเจ้าหมานั้นมันกอดกับคนอื่นต่อหน้าเขาหละ


   “ถ้าแกทำจริงๆฉันฆ่าแกแน่ๆไอ้หมาเวร”คำที่เผลอพูดออกไปทำให้ทั้งร่างชะงักมันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่  นี่เขาหงุดหงิดแค่เพราะคิดว่ามันมีใครอีกคนนอกจากเขางั้นเหรอ  ตอนนี้มันก็หายไป ถ้าหากตอนนี้มันไปกอดคนอื่นอยู่หละ ร่างที่นอนอยู่ทะลึ่งพรวดขึ้นบนเตียง ก่อนจะชะงักไปอีกครั้ง


   “ไม่มีทาง”ร่างถูกทิ้งบนเตียงอีกครั้งก่อนคนทำจะถอนหายใจออกมาเหนื่อยๆ อย่างมันไม่มีทางไปหาคนอื่นหรอกก็มันหลงเขาออกขนาดนั้น  หลงเหรอ พอคิดถึงตรงนี้หน้าขาวๆก็แดงซ่านจนคนรับตัวเองไม่ได้ต้องยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเอง  แต่ถ้าตอนนี้มันไม่ได้ไปอยู่กับคนอื่นมันจะไปอยู่ไหน 


   “คนนอกในแฟมมิลี่ ไม่นานดอนคงมีคำสั่งมา หากคุณภักดีและเทิดทูลดอนจริงคงไม่พ้นที่คุณต้องฆ่ามันด้วยตัวคุณเอง”ดอนเคยมีคำสั่งเปรยๆกับเขามาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เพราะเขาก็โกหกดอน ขนาดเจ้าพวกนั้นยังรู้สึกว่าเขาแปลกไปแล้วดอนหละ  เจ้าหมอนั้นหายไปทำงานตั้งแต่เมื่อวานเช้า  ส่วนเฟอร์ดินก็เพิ่งหายออกไป  แล้วถ้างานที่พวกมันต้องไปทำเกี่ยวข้องกับเจ้าหมานั้นหละ


   “ไม่จริงน่า”แค่คิดว่าเจ้าหมานั้นกำลังอยู่ในอันตรายใจที่เคยสงบก็เต้นรัวจนต้องผุดลุกขึ้นจากเตียง  หัวใจเต้นกระหน่ำและหวาดหวั่นกับบางสิ่งที่ไม่คุ้นเคย


   “ช่างหัวมัน เจอหน้ามันก่อนค่อยคิดแล้วกัน”คนที่ไม่ถนัดจะคิดอะไรวิ่งพล่านไปทั่วห้องเพื่อหาเสื้อและอุปกรณ์จำเป็นก่อนจะวิ่งลงมาด้านล่าง  พระอาทิตย์ที่อยู่ตรงกลางหัวทำให้รู้ว่าเวลามันเลยมานานแล้วตั้งแต่เขาคุยกับเจ้าเฟอร์ดินครั้งนั้น


   “บ้าจริง”มือขาวกระชากประตูรถกระโดดเข้าไปและปิดมันลงเสียงดังสนั่น เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มก่อนเจ้าพาหนะสีดำจะกระชากตัวออกไปวิ่งบนถนน มือข้างหนึ่งคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่เขาจำได้ขึ้นใจแต่กลับไม่สามารถติดต่อได้


   “บัดซบ”อีกเบอร์ของเจ้าหมอโรคจิตถูกกดเป็นเบอร์ต่อไป  แต่เบอร์นี้กลับไม่มีเสียงสัญญาณ


   “นรกเฮ้ย  พวกมันทำอะไรกันอยู่กันแน่”มือสองข้างทุบพวงมาลัยด้วยความกลัดกลุ้ม  พวกมันหายไปทั้งคู่  แล้วเจ้าหมานั้นหละ มันไปทำงานอื่นหรืองานของเจ้าหมานั้นกันแน่


   “แกหายไปไหนกันนะเจ้าหมาบ้า”ดวงตาสีเทากวาดมองไปบนท้องถนนก่อนจะหักรถกลับเข้าถนนอีกเส้นกะทันหันเสียงบีบแตรไล่จากรถคันอื่นดังระงม ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามันไปไหน เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มหามันจากที่ไหน รู้แค่ว่าเขาต้องหามัน  หามันให้เจอก่อนที่พวกนั้นจะหาเจอ  ก่อนที่มันจะเป็นอะไรไป


   เวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆพร้อมความกังวลใจที่มากขึ้นจากเที่ยงเป็นบ่าย จากบ่ายเป็นเย็นจนค่ำ อากาศที่เริ่มเย็นและหมอกที่ลงหนาเริ่มทำให้ผู้ตามหาเริ่มกังวล หิมะอาจกำลังตก หนาวขนาดนี้มันจะไปอยู่ตรงไหนได้นะ


บรู๊วว


   เสียงหมาที่หอนยาวช่างคุ้นเคยในความทรงจำ


   “หมาจากไหนก็ไม่รู้หอนได้น่ากลัวเป็นบ้า”เจ้าเด็กปั๊มที่เขามาจอดเติมน้ำมันบ่น


   “ได้ยินเมื่อไหร่”


   “ห๊ะ”


   “ฉันถามว่าได้ยินเสียงตั้งแต่เมื่อไหร่”ความใจร้อนทำให้เผลอตะคอกไปจนเจ้าเด็กหน้าซีด


   “เมื่อคืนนะ เหมือนมีคนเห็นหมาป่าด้วยนะ เลยออกไล่มันใหญ่ไม่รู้ตัวเดียวกันรึเปล่า”


   “ไอ้หมาโง่  ไม่ต้องทอน”เงินฟ่อนใหญ่ถูกโยนให้เด็กปั๊มก่อนที่คนใจร้อนจะรีบบึ่งรถจากไป


   “อ้าวคุณ...”


   “อย่าเป็นอะไรไปนะ ไอ้หมาโง่”มือสองข้างกำแน่นที่พวงมาลัย เท้าเหยียบคันเร่งจนแทบมิด  บรรยากาศขมุกขมัวทำให้ทัศนวิสัยแย่แต่กลับไม่เป็นผลกับคนใจร้อนที่ขับรถไปตามจุดที่คาดว่าจะเป็นต้นกำเนิดของเสียง  กลุ่มคนที่มุ่งตรงไปทางเดียวกันพร้อมอาวุธทั้งมีดและปืนในมือทำให้ใจกระตุกก่อนจะตัดสินใจหักรถเข้าขวาง


   “เฮ้ย  ทำบ้าอะไรว่ะ”เสียงตะโกนดังลั่นด้วยความโมโหจากหนึ่งในกลุ่มคนที่เขาขับรถตัดหน้า


   “ไม่เอาน่าพี่ชาย หมาตัวนั้นนะให้ฉันจัดการเองดีกว่านะ”คาเซอริโอที่ก้าวลงจากรถมาพูดเสียงเรียบ อากาศด้านนอกหนาวจนเขาอดจะนึกห่วงหมาบ้าบ้างตัวไม่ได้


   “แต่ว่า..”เสียงของชายคนเดิมเงียบหายไปเมื่อเพื่อนสะกิดยิกๆให้มองมัจจุราชสีดำในมือคนมาใหม่


   “เออ  เอามันไปให้พ้นๆทีแล้วกัน”กลุ่มคนกลุ่มย่อยๆยอมถอยห่างไป  ดวงตาสีเทามองตรงเข้าไปในซอกตึกก่อนจะออกแรงวิ่งเมื่อเห็นเงาบางอย่างในหางตา


   “แกจะหนีฉันไปไหน”คาเซอริโอตวาดเสียงลั่นท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด  ดวงตาสีน้ำตาลบนใบหน้าแหลมยาวเหลือบมองมาทางเขาเพียงนิดก่อนจะวิ่งต่อไปข้างหน้า


   “แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นงั้นเหรอ”มนุษย์สองขาที่ชินพื้นที่มากกว่าออกแรงวิ่งตามสุดฝีเท้า แม้จะคุ้นเคยพื้นที่มากกว่าแต่จะให้คนมาวิ่งตามหมายังไงก็ไม่มีทางทัน


   “แกบังคับฉันเองนะ”ปืนในมือถูกยกตรงไปข้างหน้าก่อนจะเล็งไปยังเป้าหมาย


ปุ้ง!


   เสียงสนั่นของกระสุนปืนถูกกลืนหายไปเกือบหมดด้วยกระบอกเก็บเสียง หมาปีศาจสีน้ำตาลขาวหยุดชะงักเมื่อกระสุนเจาะพื้นห่างปลายเท้าหน้าไปเพียงไม่กี่นิ้ว และนั้นเป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจะกระโดดเข้าหามันและรัดมันแน่นด้วยสองแขนของเขา


   “แกจะหนีฉันไปไหน  ฉันไม่อนุญาตให้แกไปไหนทั้งนั้น”หมาในอ้อมแขนดิ้นรนหนีจากพันธนาการ  ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวอ้ากว้างส่งเสียงขู่ขำรามอย่างหน้ากลัวแต่เขากลับไปกลัวมันแม้แต่น้อย


   “แกต้องกลับไปกับฉันเข้าใจไหม”ดวงตาสองสีมองสบกันแม้มันจะไม่เข้าใจที่เขาพูดแต่เขาก็แน่ใจว่ามันต้องเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อแน่ๆ


   หมาปีศาจตัวใหญ่สงบลง มันยืนนิ่งมองตรงมาที่เขาก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายคลายแรงรัดลงและซบหน้าลงบนหน้าผากที่เย็นชื้นนั้น


   “ฉันขอโทษ อย่าหนีฉันไปไหนอีกเลยนะ”ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าหมาโง่มีเพียงลิ้นสีชมพูสดที่แลบเลียไปตามใบหน้าเป็นคำตอบเรียกรอยยิ้มให้แย้มขึ้นบนริมฝีปากของคนพูด















     มาส่งตอนใหม่แล้วคะ  อ่านตอนนี้จบคงหายหน่วงกันแล้วเนอะ 555 แต่แหมเรื่องความรักมันยังไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกคะ       ก็คาโลเรายังไม่บอกรักพ่อหมาเลยนี่  จะบอกรักเมื่อไหร่ตอนไหน จะได้อยู่ด้วยกันไหมติดตามต่อได้เร็วๆนี้คะ

ออฟไลน์ paojijank

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ขอบคุณค่ะ ในที่สุดคู่นี้ก็จบแฮปปี้แล้ว ว่าแต่จะมีภาคพ่องูไหมนะ

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ตอนที่ 35 รักหรือไม่รัก                  24/06/2558



   หิมะแรกตกมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้จึงเหลือไว้เพียงความเย็นเฉียบและเกร็ดละอองสีขาวที่โปรยปรายไปทั่วทั้งถนนและบริเวณรอบๆเปลี่ยนบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยสีสันให้เหลือเพียงสีขาวที่เย็นชาและแสนเศร้า


   “ดอนต้องการพบคุณครับ”นั้นคือคำบอกกล่าวแรกทันทีที่ปลายเท้าในรองเท้าหนังมันปลาบเหยียบลงบนพื้นดินของคฤหาสน์


   “อืม”เสียงรับคำในลำคอแบบสั้นๆซึ่งผิดวิสัยทำให้คนสนิทผู้ไม่คุ้นชินตวัดตามองคนพูดก่อนจะปล่อยให้ความสงสัยตกเป็นตะกอนขุ่นไว้ด้านในเมื่อเจ้าของเสียงตอบรับแปลกๆในลำคอทำเพียงก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างมั่นคง ตรงไปสู้ด้านในของคฤหาสน์อย่างคุ้นเคย


   “ขออนุญาตครับ”


   “เข้ามาได้”ประตูไม้เนื้อหนาขยับเปิดออกโดยปราศจากเสียงก่อนจะปิดงับลงเช่นเดิม


   บรรยากาศในห้องนั่งเล่นของดอนอเรสซิโอเต็มไปด้วยความเงียบงัน นานๆครั้งถึงจะมีเสียงดังของหมากรุกที่ถูกจับวางในกระดานสีเหลี่ยมตรงหน้าชายผู้เป็นใหญ่ซึ่งนั่งเล่นกระดานหมากอยู่เพียงลำพัง


   “งานเป็นยังไงบ้างเฟอร์ดินา”


   “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”


   “งั้นเหรอ ฉันไว้ใจเธอได้สินะ”


   “ครับ แต่คงยังไม่ดีเหมือนตอนคาโล..”


   “ไม่เอาน่า เธอทำได้ดี ได้ดีเสมอตลอดเวลาที่ผ่านมา  ตลอดเวลาที่คาโลไม่อยู่”ดวงตาที่ก้มมองพื้นอยู่เสมอเผลอมองขึ้นสบตาคนพูด


   “ดอนหมายความว่ายังไงครับ”แม้น้ำเสียงจะดูเหมือนปกติแต่คนพูดกลับรู้สึกเหมือนน้ำลายนั้นช่างเฝื่อนคอนัก


   “หึ  นิสัยแบบนี้เหมือนคาโลนะ ไม่อ้อมค้อมตรงไปตรงมา”มือขาวจับหมากในกระดานขยับไปด้านหน้าก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบช้าๆ


   “คนๆนั้นเป็นยังไงบ้าง”


   “ดอนหมายถึง..”


   “คนนอก ผู้ชายคนนั้น”


   “ผม ไม่ได้สนิทกับเขานัก เขาพูดกับผมไม่ค่อยรู้เรื่องแต่โดยทั่วไปก็ไม่มีพิรุธอะไรครับ”


   “เธอ พูดจากใจจริงรึเปล่า จะโกหกฉันเหมือนคาโลอีกคนงั้นเหรอ”ฐานแก้วไวน์เนื้อดีกระทบเข้ากับโต๊ะแม้เสียงจะเบาแต่กลับกังวลไปทั้งใจของคนฟัง


   “ไม่ได้โกหกครับ ผมพูดความจริง”


   “งั้นเหรอ หึ ฉันจะถือว่าไม่ได้ยินแล้วกันนะ ส่วนเรื่องของคาโล ไม่สิของคนๆนั้นฉันคงปล่อยผ่านไปไม่ได้อีกแล้ว เธอเข้าใจความหมายของฉันใช่รึเปล่าเฟอร์ดินา”


   “เข้าใจครับ”เสียงตอบรับในลำคอเรียบเฉยแต่มือที่อยู่ข้างตัวกลับกำแน่นจนเล็บสั้นๆนั้นจิกเข้าไปในเนื้อ


   “นั้นสินะ  เธอฉลาด เรื่องแค่นี้คงเข้าใจได้ไม่ยาก หมากนะเราต้องรู้จักใช้ บางครั้งบางคราวเราก็จำเป็นต้องเสียสละหมากบางตัวเพื่อให้เราสามารถเดินต่อไปได้ ฉันหวังในตัวเธอนะเฟอร์ดินา ฉันไม่อยากผิดหวัง หัวใจฉันมันเจ็บช้ำมามากพอแล้วกับคนที่เปรียบเสมือนน้องชายเหมือนลูกของฉัน หึหึ อย่าถือสาคนแก่เลยนะฉันก็พูดไปเรื่อย  เธอไปพักเถอะ ยังไงฝากเรียกเทโซเข้ามาหาฉันที”


   “ครับ ผมขอตัวครับ”แม้จะมีคำพูดมากมายที่อยากพูดออกไปแต่กลับไม่มีคำไหนได้พูดออกมา มันเหมือนน้ำท่วมปาก ทุกอย่างน่าอึดอัดและตื้อไปหมด


   ประตูไม้บานหนาและหนักถูกเปิดออกและปิดลงอีกครั้งทิ้งห้องนั่งเล่นของดอนไว้เบื้องหลัง


   “คุณเฟอร์ดินาครับ”คนสนิทที่รออยู่ตรงหน้ารีบพุ่งมาหาเจ้าของชื่อที่มีสีหน้าไม่ดีนัก


   “ครับ ผมไม่เป็นหรอกแค่รู้สึกอยากพักสักหน่อยหลังไม่ได้นอนมาทั้งคืนแค่นั้นเอง”


   “เออ ครับ”แม้จะอยากถามแต่เพราะเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาทำให้ทั้งคู่ปิดปากเงียบ


   “สวัสดีครับคุณเทโซ ดอนรอพบคุณอยู่ด้านในนะครับ”


   “อืมงั้นเหรอ  สีหน้าแบบนั้นคำสั่งออกมาแล้วสินะ หึ ดอนคงเมตตาผู้ชายคนนั้นจริงๆสินะถึงได้ส่งเธอซึ่งเป็นเหมือนลูกไปจัดการ อย่าให้พลาดซะหละ”


   “ผมขอตัวครับ”ผู้อ่อนวัยกว่ารีบขอตัวแล้วสาวเท้ายาวๆเพื่อไปให้พ้นคนตรงหน้า  ผู้ชายคนนั้นกล้าดียังไงถึงได้พูดแบบนั้น กล้าดียังไงกัน


   “โธ่เว้ย”คนที่เก็บอารมณ์ดีได้เสมอมาเตะกระถางต้นไม้หน้าบ้านเต็มแรงจนกระถางเคราะห์ร้ายตกกระแทกพื้นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆแต่คนทำกลับไม่ใส่ใจทำเพียงก้าวยาวๆเข้าไปในบ้านหลังเล็กแล้วกระชากประตูออก ก้าวขาผ่านห้องนั่งเล่นและห้องครัวที่ว่างเปล่าเดินเร็วๆไปที่ชั้น 2 แล้วกระชากประตูบานหนึ่งออก


   “คาโล”ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อ ห้องที่น่าจะมีใครอีกคนนอนอยู่กลับว่างเปล่า เตียงนอนที่ยับย่นและถาดอาหารเช้าของเมื่อวานที่วางอยู่ที่เดิมโดยปราศจากการเตะต้อง  ฝ่ามือขาวตามเชื้อชาติหยิบเอาช้อนมาคนซุปที่เย็นชืดก่อนคนทำจะทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง ยกมือสองข้างขึ้นกุมขมับอย่างครุ่นคิด


   ตลอดเวลาที่คาโลหายไปเขาเอาแต่ครุ่นคิดและเป็นกังวลไปต่างๆนานาๆ แม้คาโลจะหายไปทำงานนานๆบ่อยครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนเหมือนครั้งนี้ คาโลหายไปนาน ขาดการติดต่อเหมือนคนตายที่หายไปจากโลก เขาแทบบ้าเมื่อรู้ว่าติดต่อคาโลไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะเสียสติไปจริงๆคาโลก็กลับมาพร้อมผู้ชายอีกคนที่เขาไม่เคยรู้จัก ผู้ชายที่คาโลเป็นคนประครองเอาไว้ในอ้อมแขน  แววตาสีเทาที่ทอดมองไปยังคนๆนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้เจ้าตัวจะพยายามกลบกลื่นแค่ไหนแต่ทุกครั้งที่คิดว่าเขาไม่เห็นดวงตาคู่นั้นก็จะทอประกายอ่อนโยนออกมาเสมอ คาโลของเขาเปลี่ยนไป


   เมื่อก่อนเขาเคยนึกอิจฉาดอน  อิจฉาที่ได้ความรักความใส่ใจจากคาโลไป แต่เมื่อเขาโตขึ้นเขากลับเริ่มสงสัยในความรักนั้นของคาโล จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นก้าวเข้ามา ความสงสัยของเขาก็กลับกระจ่างใสขึ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวก็ตาม คาโลไม่ได้รักดอนแต่กับผู้ชายคนนั้น


   คิดมาถึงตรงนี้มือทั้งสองข้างก็เผลอกำแน่นจนเจ็บนิ้ว ก่อนคนตัวสูงจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวยาวๆออกไปนอกบ้าน


   เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มก่อนตัวรถจะกระชากออกไปเต็มแรง


   “คุณทำแบบนี้ถือว่าเมตตามากไปนะครับ”


   “หือ นึกว่านายจะบอกว่าฉันโหดร้ายซะอีก”คนที่ยังนั่งโขลกหมากรุกอยู่ที่เดิมถามขึ้น


   “หึ นั้นสิครับ ให้คนที่เป็นเหมือนลูกไปฆ่าพ่อ ดูยังไงก็เป็นการลงโทษที่แสนจะทรมาน แต่หากคิดในมุมกลับนั้นเป็นการกระทำที่เมตตาอย่างถึงที่สุด หากเฟอร์ดินาจะแอบเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้วปล่อยให้หายไปมันก็เป็นเรื่องง่ายๆเลยนะครับ”


   “นั้นสินะ แล้วนายคิดว่าเฟอร์ดิน่าจะเลือกทางไหน”คนที่ยืนมองจากหน้าต่างหมุนตัวกลับเข้ามาในห้องเมื่อมองเห็นรถอีก 3-4 คันขับตามคันแรกออกไป


   “มันไม่สำคัญหรอกครับว่าผมเลือกทางไหน มันสำคัญที่คนๆนั้นจะเลือกทางไหนมากว่า”


   หมากสีดำถูกผลักให้เดินไปด้านหน้าก่อนจะกวาดหมากสีขาวหนึ่งตัวออกจากกระดาน คำสั่งครั้งนี้เป็นคำสั่งที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว  ตัวแรกคือกำจัดคาโลไปให้พ้นทาง ตัวที่สองคือเฟอร์ดินา มันคือบททดสอบความสามารถและความจงรักภักดีของคนๆนั้น ฝีมือของเฟอร์ดินา คาโลเป็นคนถ่ายทอดให้ คาโลเป็นคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก กับดอนผู้เป็นเจ้านายและสมาชิกคนอื่นๆในแฟมมิลี่ เฟอร์ดินาต้องเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกใคร



   เสียงเบรกห้ามล้อดังสนั่นก่อนรถสีดำสนิทจะจอดสนิทที่ด้านหน้าของโรงแรมขนาดเล็ก เสียงสัญญาณมือถือในมือกระพริบถี่ๆบอกได้ว่ามันพาเขามาถึงเป้าหมายแล้ว ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยนี้ที่ทำให้เขาไม่ต้องสะกดรอยตาม


   รองเท้าหนังมันปลาบก้าวลงมาจากรถ ดวงตาคู่สวยภายใต้แว่นกรอบดำมองรถป้ายทะเบียนคุ้นตาที่จอดอยู่ด้านหน้า  รถของคาโล ฝ่ามือขาวในเสื้อโค้ทกำแน่นจนขึ้นข้อ ก่อนจะก้าวช้าๆไปยังทางเขาด้วยใจที่เต้นระทึก


   “จะเปิดห้องงั้นเหรอ”เสียงทักมาจากด้านหลังลูกกรงจากคนที่ทำหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์


   “อืม”


   “จ่ายมา ราคา..”เสียงบอกราคากลืนหายไปในลำคอเมื่อสิ่งที่ยื่นเข้าไปในช่องเล็กๆของลูกกรงไม่ใช่แบงค์ธนบัตรแต่เป็นวัตถุสีดำที่คร่าชีวิตคนได้


   “นั่งนิ่งๆไปเหมือนเดิมนั้นแหละ แล้วอย่าคิดจะแจ้งตำรวจหรือกดสัญญาณเตือนภัยที่ใต้โต๊ะหากยังไม่อยากให้กระสุนมันฝั่งเข้าไปในหัวนะครับ”เจ้าของปืนพูดเสียงเรียบก่อนจะคว้าเอากุญแจห้องพวงใหญ่ขึ้นมาจากเจ้าของ


   บันไดเล็กๆส่งเสียงดังทุกครั้งที่ถูกเหยียบย่างขึ้นไปด้านบน ประตูห้องถูกไขเปิดออกอย่างเงียบกริบที่ละห้อง ทีละห้อง


   “เฮ้ย อะไรวะ”เสียงผู้ชายตัวอ้วนที่เปลือยล่อนจ้อนตะโกนด่าเสียงดังเมื่อประตูถูกเปิดเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่ก่อนที่จะได้อ้าปากโวยวายก็ต้องหุบปากหน้าซีดถอยไปรวมกับผู้หญิงที่นั่งสั่นอยู่หัวเตียงแทบไม่ทันเมื่อตามองเห็นมัจจุราชสีดำในมือ


   ดวงตาคู่สวยมองสัญญาณกระพริบบนมือถือที่ยังกระพริบอยู่ที่เดิมก่อนจะก้าวขึ้นไปบนชั้น 3 และลงมือไขประตูห้องช้าๆ


แกร๊ก


   เสียงลูกบิดที่ถูกปลดล็อคดังลั่นถามกลางความเงียบก่อนมือขาวจะดันประตูสีน้ำตาลบานเก่าให้เปิดออกช้าๆ ห้องขนาดเล็กที่สลัวด้วยแสงสีส้มจากโคมไฟอันเก่า บรรยากาศอึมครึมไม่ทำให้ใจคนมองเย็นเฉียบได้เท่ากับร่างของใครบางคนที่นอนหลับพริ้มอยู่บนเตียงในสภาพที่ท่อนบนเปลือยเปล่า


   “คาโล”





ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
กรร


   ขาวยาวที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องหยุดชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงขู่จากใครบางคนที่นั่งอยู่บนเตียงในสภาพที่มีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำใส่ไว้อย่างหมิ่นเหม่


   เหมือนมีสายฟ้านับพันฟาดลงมาบนใจของเฟอร์ดินา ห้องพักเก่าๆกับผู้ชายสองคนที่แทบจะไม่มีเสื้อผ้าติดกาย คนหนึ่งคือคาโลผู้ชายที่เขาคุ้นหน้า อีกคนคือคนแปลกหน้าที่ไม่อยากแม้จะมองหน้ามัน


   “แก”ปืนในมือถูกยกเล็งไปด้านหน้า สันกรามขบกันแน่นจนได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะในสมอง แม้จะเผลอคิดไปถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก่อนมาที่นี้ แต่พอมาเห็นเองกับตา กลับเป็นเขาที่ทนมองแทบไม่ได้ ในหัวเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ จนโป่งพองจนคล้ายระเบิดลูกยักษ์ที่รอเวลาระเบิดออก


   “ถอย ออกมาจากคาโลซะ  ออกมาจากตรงนั้น”เฟอร์ดินาตวาดก้อง หอบหายใจเหมือนคนเหนื่อยจัด ช่องอกบีบรัดจนเจ็บไปทั่ว และยิ่งเจ็บแน่นขึ้นไปเมื่อคนที่เขาต้องการให้มันออกห่างจากคาโลดันขยับเข้าไปชิดพร้อมทั้งขู่คำรามใส่เขา และในขณะเดียวกันเสียงตวาดของเขาก็ทำให้คนที่นอนนิ่งมาตลอดตื่นขึ้นมา


   “เฟอร์ดินา”ดวงตาสีเทาเบิกกว้างมองเจ้าของชื่อนิ่ง ก่อนจะมองสลับไปมาระหว่างเจ้าของชื่อและคนข้างตัว


   “เออคือ แกกำลัง คือ.”คนที่มั่นใจตัวเองอยู่เสมอกลับติดอ่างขึ้นมากะทันหัน มือขาวรนรานคว้าเอากางเกงเนื้อดีที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นมาใส่ แต่ยิ่งทำแบบนั้นก็ยิ่งเหมือนเป็นการเติมเชื้อไฟในคนหน้าห้อง ที่ขบกรามแน่นจนเส้นเลือปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก


   “บ้าจริง มัน โธ่โว้ย..”คนที่เคยมีสติอยู่เสมอเหมือนจะสติแตกขึ้นมากะทันหันเมื่อเหตุการณ์มันไม่เป็นอย่างใจคิด ไม่สิเขาเคยคิดเอาไว้แต่คิดไม่ถึงเท่านั้นเองว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้


   “คุณทำแบบนี้ได้ยังไง”เสียงถามจากคนที่ยังยืนถือปืนนิ่งอยู่หน้าห้องทำให้ในอกเจ็บแปลบเหมือนมีมีดมาเฉือน มันคงผิดหวังในตัวเขาสินะ


   “ขอโทษทีนะ”


   “ขอโทษทำไม คุณทำอะไรผิด บอกผมมาสิ บอกผมมา”เสียงตวาดกร้าวจากเด็กตรงหน้าทำให้อดรู้สึกแปลกในอกขึ้นมาไม่ได้ เขาหวังว่ามันจะทำมากกว่ามายืนด่าเขาแบบนี้อย่างน้อยก็คิดว่าคงโดนสัก 2 หมัด


   “ก็อย่างที่เห็น”ดวงสีประหลาดของเด็กตรงหน้าเบิกกว้างขึ้น


   “คุณนอนกับมัน”


   “อืม”สิ้นเสียงตอบรับในลำคอ เงาสีดำก็วูบผ่านมาตรงหน้าก่อนหมัดขวาจะฮุกเข้าเต็มแก้มซ้ายแรงโถมปะทะและแรงหมัดทำให้ทั้งตัวล้มกระแทกพื้น


   “ไม่ต้อง”เสียงตวาดลั่นจากคนที่เป็นรองทำให้เจ้าหมาปีศาจตัวโตในร่างคนหยุดชะงัก อุ้งมือแข็งแกร่งสวนหมัดที่สองเข้าที่แก้มเขา รสเค็มประแล่มของเลือดกระจายในปากแต่เขากลับไม่คิดจะห้ามมัน


   “ทำไม ทำไมคุณทำแบบนี้ ทำแบบนี้ทำไม ทั้งๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจ”หมัดที่สองหยุดลงไม่มีหมัดที่สาม เมื่อมือคนทำไม่ว่างพอ บัดนี้มือสองข้างที่กำลังเท้าคร่อมตัวเขามันสั่นระริก  เส้นผมสีทองสั้นยุ่งเหยิงและชื้นเหงื่อปิดบังซ่อนแววตานั้นจากเขา


   “คำตอบยังไงหละ คำตอบที่แกเคยถามฉัน”


   “ทำไมหละ คุณเลือกแล้วงั้นเหรอ”


   “ใช่ ฉันเลือกแล้ว”คาเซอริโอตอบเสียงเบาแต่กลับหนักแน่น คำถามที่มันเคยถามเขาเมื่อตอนที่เขากลับมาที่นี่ใหม่ๆ เขาคิดจะทำอะไร เขาคิดยังไงกับเจ้าหมาบ้าซาเวียร์ ตอนนี้เขาคิดว่าเขาตอบตัวเองได้แล้ว  ตอบได้แล้วว่าทำไมถึงไม่ยอมสลัดมันให้พ้นตัว ตอบได้แล้วว่าทำไมถึงยอมโกหกดอนเพื่อปกป้องเจ้าตัวโตหัวฟูนั้น และทำไมถึงต้องมาตามมันถึงที่นี่


   “งั้นหากผมจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างคุณคงไม่โกรธสินะครับ”


   “แล้วถ้าฉันโกรธแกจะไม่ทำงั้นเหรอ”


   “หึ นั้นสิครับ แต่ต่อให้คุณโกรธผมเกลียดผม ผมก็จะทำแม้มันจะหมายถึงการฆ่าคุณก็ตาม”ปืนพกสั้นอีกกระบอกถูกหยิบขึ้นมาจ่อหน้าเขา ท่ามกลางเสียงขู่คำรามของเจ้าหมาตาสีน้ำตาล


   “แกคิดจริงๆหรือว่าปืนแค่นั้นจะฆ่าฉันได้”คาเซอริโอถามเสียงเรียบไม่ยี่ระต่อปืนที่จ่อประชิดหน้าผาก


   “เมื่อก่อนถ้าเป็นผมสมัยยังเป็นเด็ก ผมคงไม่มีสิทธิแม้แต่จะเล็งปืนไปทางคุณด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ ผมในตอนนี้กำลังเอาปืนจ่อคุณอยู่นะครับคาโล”ดวงตาสีเขียวผมฟ้าสีนิ่งกับดวงตาสีเทา ช่วงเวลาสั้นๆที่แทนพูดได้มากมาย


   “ฉันคงทำให้แกผิดหวัง ขอโทษด้วย”


   “ผมผิดหวังเพราะคำขอโทษจากคุณมากกว่า คนอย่างคุณที่ไม่เคยขอโทษใคร แต่มาตอนนี้ หึ  ผมขอถามอะไรคุณเป็นอย่างสุดท้ายได้ไหมครับ”


   “ว่ามาสิ”


   “คุณมีความสุขรึเปล่า”บรรยากาศเงียบงันแผ่กระจายไปทั่วห้องพักขนาดเล็กก่อนที่คาเซอริโอจะยกยิ้มบางๆที่มุมปาก


   “นั้นสินะ”


   “ลาก่อนครับคาโล”รอยยิ้มจากคนสองคนที่ผูกพันกันมากว่าครึ่งชีวิต รอยยิ้มบางๆก่อนที่คนซึ่งเป็นรองมาตลอดจะเบี่ยงตัวหลบ มือประกบแย่งปืนมาพร้อมกับพลิกตัวขึ้นคร่อม


แกร็ก


ปัง


   กระสุนเพชฌฆาตพุ่งออกจากปากกระบอกปืนกระทบเข้ากับผนังห้องฝั่งตรงข้าม สกัดให้กลุ่มคนที่เพิ่งวิ่งขึ้นมาชะงัก


   “ไป”ฝ่ามือขาวกระชากแขนเจ้าหมาที่ยืนนิ่ง ขายาวถีบโครมที่บานหน้าต่างเก่าจนหลุดกระเด็น โผตัวออกจากชั้น 2 อาศัยชั้นพักเล็กๆเป็นฐานในการกระโดดต่อมาชั้น 1 ต่างจากเจ้าหมาบ้าที่กระโดดพรวดเดียวถึงพื้น    


   ปืนในมือสาดกระสุนกลับไปบนช่องหน้าต่างก่อนจะออกแรงวิ่ง


   “เป็นอะไรไหมครับ”คนสนิทถามพร้อมพยุงคนที่ล้มไปกองอยู่บนพื้น


   “ไม่เป็นไร รีบตามไปเร็วครับ”เฟอร์ดินาพูดเร็วๆก่อนจะวิ่งลงไปที่ชั้น 1 กลุ่มคนกว่า 20 คนกระจายตัวกันอยู่ด้านหน้า ขายาวก้าวผ่านรถคันคุ้นตาที่จอดนิ่งไปยังด้านหลังโรงแรม ตรอกเล็กๆอันคดเคี้ยวเขามองไม่เห็นคาโลแล้วแต่ทันเห็นหลังลูกน้องไวไว


   “ตามไป”คนเป็นหัวหน้าออกคำสั่ง กลุ่มคนในชุดดำกลุ่มเล็กๆวิ่งตามไปทันทีรวมกับพวกก่อนหน้านี้ไม่น่าจะเกิน 10 คน


   “แล้วคุณหละครับ”คนสนิทหันมาถามคนที่ยังยืนนิ่ง


   “ผมจะไปดักอีกทางครับ  คนอย่างคาโลนะวิ่งหลบบนถนนเล็กๆได้ไม่นานหรอก”ร่างสูงตามวัยหมุนตัวกลับไปที่รถส่วนตัวก่อนจะกระชากรถออกไปด้วยความเร็ว ด้านหลังเป็นรถลูกน้องที่ขับตามมาอีก 3-4 คัน คุณทำตามการตัดสินใจของคุณงั้นผมก็ขอทำการ
ตัดสินใจของตัวเองบ้างนะครับ



   เสียงฝีเท้า 2 คู่วิ่งเคียงกันไปบนถนนเล็กๆของเมือง ยามเช้าที่อากาศแสนเย็นสบายผู้คนค่อนข้างน้อยแต่ก็มีให้เห็นบ้างประปราย เสียงกรีดร้องดังระงมเมื่อผู้ชายกลุ่มใหญ่วิ่งไล่กันมาพร้อมกับเสียงปืนที่ดังสนั่น


   “บ้าชิบ”คาเซอริโอพิงหลังเข้ากับพนังบ้านหลังหนึ่ง ปืนในมือเหลือกระสุนอยู่ไม่มาก เขาไม่มีเวลามากพอที่จะวิ่งไปเอาปืนที่รถ ทั้งของตัวเองทั้งของที่ชิงมาจากจ้าเฟอร์ดิน น่าจะต้านอยู่ไม่นาน แล้วยิ่งการยิงแบบไม่หวังชีวิตแบบนี้มันเปลืองกว่าการฆ่าทิ้งนะเจ้าพวกบ้า


ปัง ปัง


   กระสุนสองนัดถากกำแพงด้านข้างจนเสียงดังลั่น  คาเซอริโอคอยจับจังหวะก่อนจะยิงปืนสวนแล้วพุ่งตัวออกไปด้านหน้าปืนสองกระบอกในมือสาดกระสุนใส่พวกที่ตามมา หลายคนล้มลงไปนอนกับพื้น เขายิงสุ่มๆเพื่อสกัดมากกว่าหวังชีวิตแต่ก็ไม่แน่ว่าอาจมีบางคนดวงถึงฆาตตายไปบ้างและเขาก็ไม่มีเวลาว่างขนาดจะหันกลับไปดูขายาวๆรีบก้าวข้ามถนนไปพร้อมกับเจ้าหมาที่วิ่งตามมาติดๆ ปืนที่หมดประโยชน์ทั้งสองกระบอกถูกปาทิ้งไปข้างทาง ก่อนปืนคู่กายจะถูกหยิบขึ้นมา ขายาววิ่งเร็วๆไปด้านข้างเสียงบีบแตรดังลั่นเมื่อเขาโผล่พรวดไปกลางถนน ร่างสูงของใครบางคนที่วิ่งตามมาจากด้านหลังโผล่ขึ้นมาขวางหน้า เสียงเบรคดังสนั่น รถจอดสนิทชิดท่อนขายาวโดยที่ฝาประโปรงหน้ายุบไปหลายนิ้วเพราะฝ่ามือสีน้ำผึ้งคู่นั้น


   “เฮ้ยอยากตายรึไง..”


   “ยืมรถหน่อยสิ”เสียงตวาดด่าจากเจ้าของรถร่างยักษ์หลุดหายไปในลำคอเมื่อมัจจุราชสีดำจ่อประชิดหน้าผากก่อนที่เจ้าของจะรีบกระเสือกกระสนลงจากรถ เสียงปิดประตูสองข้างดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ฝ่าเท้ากระทืบลงบนคันเร่ง รถคันเล็กกระชากตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเทามองกระจกส่องหลังสลับกับมองทางข้างหน้าเป็นระยะ พวกที่วิ่งมาเมื่อกี้คงตามมาไม่ทันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีพวกที่ขับรถตาม


เอี๊ยด


   เสียงยางรถบดถนนดังสนั่นเมื่อรถสองคันหักหลบกะทันหัน


   “นั้นมัน”รถสีขาวคันคุ้นตาที่ขับตามมาติดๆคือรถของเจ้าบ้าเฟอร์ดิน มันขับพุ่งเข้ามาแทบจะชนเขาทำให้เขาต้องหักหลบแต่ที่เขาแปลกใจจริงๆคือเจ้าหมาสีดำตัวเล็กแสนคุ้นตาที่มุมถนนนั้นต่างหาก


   “ซ็อค”เสียงที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้นและมันตรงกับสิ่งที่เขาคิดมากที่สุด ไอ้หมาปีศาจที่หายไปทันทีที่เขากลับมาโผล่ที่นี่ มันโผล่มาหลังจากหายไปแบบนี้หมายความว่ายังไง


   “หมอบลง”ตวาดเสียงลั่นพร้อมมือที่กดหัวฟูสีน้ำตาลให้ก้มลง กระจกหลังแตกกระจายพร้อมเสียงปืนที่ดังสนั่น ช่วงขณะหนึ่งที่รถสีขาวด้านหลังเบี่ยงหลบออกไปด้านข้าง เจ้าลูกน้องด้านหลังก็ยิงปืนสวนขึ้นมา


   “อยากให้ตำรวจแห่กันมานักรึไงไอ้พวกโง่”คาเซอริโอบ่นเสียงดัง เจ้ารถคันขาวขับมาจ่อติดท้ายอีกครั้ง


   “คิดจะเทียบรุ่นกับฉันยังเร็วไปไอ้หนู”คาเซอริโอยกยิ้มที่มุมปาก มือจัดการหักพวงมาลัย เสียงล้อบดถนนดังสนั่นรถตีวงโค้งกลับเกือบ 180 องศาก่อนจะเบี่ยงอีกครั้งเพื่อวิ่งไปในทางแคบ เสียงกรีดร้องดังระงมเมื่อบรรดาเก้าอี้ที่ตั้งไว้เตรียมเปิดร้านถูกชนล้มระเนระนาด ดวงตาสีเทากวาดมองถนนเส้นเล็กก่อนะจะหักรถอีกครั้งเพื่อเข้าสู่ถนนที่มุ่งตรงออกนอกเมือง ที่ปลายของฟ้าด้านหนึ่งปรากฏพายุที่แสนจะคุ้นเคยขึ้นมา นี้อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้


   “จับแน่นๆหละไอ้หมาโง่”ฝ่าเท้าเหยียบลงบนคันเร่งเกือบมิด รถคันเล็กพุ่งทะยานไปยังพายุด้านหน้า การหักเข้าทางลัดเมื่อครู่ทำให้เขาสะบัดพวกนั้นหลบไปได้แต่ก็ยังเหลือเจ้าเด็กบ้าคนหนึ่งที่ตามเขามาติดๆ


   “ตามมาให้ได้ตลอดนะเจ้าเด็กโง่”เสียงล้อรถบดถนนดังลั่นเมื่อรถตีวงโค้งกลับมาเกือบ 180 องศาและพุ่งทะยานตรงเข้าหารถยนต์สีขาว ระยะห่างที่น้อยลงเรื่อยๆเป็นเสมือนการวัดใจก่อนที่รถยนต์สีขาวจะเป็นฝ่ายหักหลบและจอดนิ่งที่ข้างทาง


   “ไง ทำได้แค่นี้งั้นเหรอ”ประตูสีขาวเปิดกระแทกออกจนคนที่คิดจะเดินมาทักจุกไปทั่วท้อง


   “ผมทำได้มากกว่าที่คุณคิด”เสียงจากคนที่เพิ่งออกจากรถดังลั่น ก่อนขาวยาวๆจะตวัดเข้ากลางลำตัว คาเซอริโอยกแขนขึ้นกัน มือคว้าจับที่ข้อเท้าพลิกกระชากอีกคนจนล้มหงาย ฝ่าเท้าตามกระทืบซ้ำ คนเด็กกว่ากลิ้งตัวหลบรีบพยุงตัวขึ้นหมักฮุกซ้ายขวาตามติดมาแต่คนที่มากประสบการณ์กว่าก็หลบได้ทุกครั้งก่อนหมัดหนักๆจะสวนเข้าเต็มท้อง ลมที่เริ่มพัดแรงขึ้นทำให้ฝุ่นหมุนวนจนแทบมองไม่เห็นแต่กลับไม่ส่งผลใดๆต่อเขากับไอ้เด็กตรงหน้า


   “คาโล”เสียงเรียกจากคนที่ถูกกันให้อยู่นอกวงดังขึ้น หลังจากคาเซอริโอถีบคนเด็กกว่าจนล้มไปกองกับพื้นอีกครั้ง


   ภาพมายาของป่าที่ไม่คุ้นตาปรากฏขึ้นที่ขอบเขาสูงด้านข้างทาง เจ้าหมาตัวโตในร่างมนุษย์ยืนนิ่งรอเขาอยู่ตรงนั้น อีกฝั่งคือเจ้าเด็กเฟอร์ดินที่ยังคงนั่งกองอยู่กับพื้น ด้านหลังคือรถสีดำที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้ของพวกลูกน้อง


   ตอนที่ถูกส่งไปที่โลกนู้นในใจเขาคิดเพียงการกลับ กลับมาหาดอนคนที่เป็นยิ่งกว่าพี่ เป็นยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ตลอดเวลาที่อยู่ที่โน่นเขาพยายามที่จะกลับมาตลอด แต่เมื่อได้กลับมาจริงๆเขากลับพบว่าการกลับมาที่เดิมมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดอีกต่อไป ดอนไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาอีกต่อไป ดอนไม่ได้เปลี่ยนทุกคนไม่ได้เปลี่ยนแต่เป็นเขาเองที่เปลี่ยน
ไป


   “แม้อยากจะขอโทษแค่ไหนแต่คิดว่าดอนคงไม่รับคำขอโทษจากฉัน”ดวงตาสีเทามองสบคนตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมา


ปัง


   “คาโล”เสียงตะโกนเรียกจากคนสองคนดังสนั่นหลังเสียงลั่นของกระสุนปืน แต่เสียงสนั่นนั้นก็เทียบไม่ได้กับอ้อมกอดที่โอบกอดเขาแน่นจนแทบจะจมหายไปในอก


   “คาโล”เสียงทุ้มๆที่แสนคุ้นหูกระซิบแผ่วเบาแต่เหมือนเสียงสะท้อนที่ดังก้องไปมาไม่จบสิ้น เป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าเขาจะปลอดภัยจากแรงมหาศาลที่กำลังเหวี่ยงเขาไม่มาเหมือนกับเครื่องปั่น


   “ฉันก็อยู่ตรงนี้แล้วไง”เจ้าของชื่อตอบเสียงเบาแต่กลับหนักแน่น ฝ่ามือโอบกอดแผ่นหลังกว้าง ความอ้างว้างที่เกิดขึ้นเหมือนจะถูกความอบอุ่นนั้นปัดเป่าให้หายไป มันอบอุ่นไม่ใช่แค่ที่กายแต่อุ่นไปถึงหัวใจ


   “ขอบคุณที่อยู่ข้างฉันแล้วก็ขอโทษที่ทำแบบนั้น”อ้อมกอดนั้นรัดแน่นขึ้นแต่มันกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลาเขาคิดเสมอว่าดอนคือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่วันหนึ่งที่มีใครอีกคนก้าวเข้ามาเขากลับพบว่ามันไม่ใช่ ดอนคือเทวดาที่ช่วยพาเข้าออกมาจากความเลวร้ายในวัยเด็ก มอบเพชฌฆาตสีดำเป็นของขวัญให้เขาในวันแรกที่ได้อยู่ด้วยดัน เขาถูกเฟอร์โร่สอนให้ทำงานรับใช้ดอน มอบชีวิตให้ดอน เขามองเพียงดอน ทำงานตามคำสั่ง ต่อให้มือนี้จะต้องเปื้อนเลือด ต่อให้ต้องฆ่าคนที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทเคยพูดคุยด้วยแต่หากเป็นคำสั่งของดอนเขาก็พร้อมจะทำ แม้จะบาดเจ็บจากงาน หลายครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่พอเขาได้รับคำชมจากดอน ความเจ็บปวดนั้นก็หายไป แต่คนที่คอยดูแลเขากลับเป็นเฟอร์โร่คนตัวใหญ่ปากร้ายที่เลี้ยงเด็กไม่เป็นคนนั้น คนที่เขาเรียกได้เต็มปากว่าเป็นพ่อในวันที่ใครคนนั้นจากไป คนที่เคยบอกว่าเขาดูโดดเดี่ยวแม้จะมีผู้คนมากมายล้อมรอบ และในวันที่ผู้ชายคนนั้นจากไปเขาก็ได้ของขวัญเป็นเจ้าเด็กเฟอร์ดินคนที่ทำให้ชีวิตเขามีแต่ความยุ่งและวุ่นวาย


   เด็กขี้แยที่วันหนึ่งๆเอาแต่ตามเขาต้อยๆ เด็กที่โดนเขาขู่จนหยุดร้องไห้ เด็กที่เขาสอนให้จับปืนฆ่าคนเพื่อดอน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเด็กนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปยังคงเป็นเด็กโง่ที่ยอมปล่อยเขามา มันยอมปล่อยเขามา  ยอมทำตามแผนของดอน


   หากเทวดาของเขาจะฆ่าเขาให้ตายมันมีทางที่ง่ายกว่านั้นอย่างเจ้าหมอโรคจิตหรือเจ้าเทโซนั้น แต่กลับสั่งให้เจ้าเฟอร์ดินมาจัดการเขา  เจ้าเด็กโง่ที่เขาเป็นคนสอนทุกอย่างให้มันเองกับมือคนนั้น  เทวดาคนนั้นใจดีเกินไป ปล่อยให้เขาไปแต่ก็ไปแบบคนทรยศ เขาไม่มีทางได้กลับไปที่นั้นอีกเมื่อขึ้นชื่อว่าทำร้ายมือขวาคนใหม่ของดอนอย่างเจ้าเฟอร์ดินและลูกน้องในแฟมมิลี่ ดอนบีบให้เขาออก ออกไปจากแฟมมิลี่ และต้องแน่ใจว่าเขาจะไม่เอาความลับของแฟมมิลี่ไปบอกใครจึงได้ส่งลูกน้องพวกนั้นตามมา แม้เจ้าเฟอร์ดินจะแอบช่วยเขาแต่นี้ก็เป็นทางเดียวที่มันไม่ต้องรับโทษ เขาต้องหายไปพร้อมความลับของแฟมมิลี่ การเลือกเดินทางมากับเจ้าหมาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อคนอื่น แต่ที่เขาทำแบบนี้มันเป็นการเลือกเพื่อตัวเองต่างหาก


   ดอนมอบอาวุธให้เขาใช้ฆ่าคน  เจ้าหมานั้นก็มอบปืนคืนให้เขาทั้งๆที่มันรู้ว่าเขาฆ่าคนด้วยปืนได้ ล่าพวกมันด้วยปืนได้แต่มันก็ทำ มันแสดงให้เขาเห็นว่าตัวเองแสนกวนประสาทเอาตัวมาเกี่ยวพันกับเขาทำตัวเหมือนหมาโง่ปัญญาอ่อน เพียงเพราะมันบอกว่ารักเขา แต่ความแกล้งโง่ของมันก็ทำให้เขาหลงกลมัน ยอมให้มันอยู่เหนือกว่า  ยอมให้มันกกกอด มอบความอบอุ่นที่เคยคิดว่าจะได้จากคนอีกคน  เจ้าหมาโง่มันทดแทนส่วนนั้นได้ดี ดีจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจูบมันได้โดยไม่รู้สึกผิดในใจ กอดมันได้โดยที่ไม่ต้องคิดเรื่องใดๆ อยู่ในอ้อมกอดของมันได้โดยที่สามารถหลับได้อย่างสบายโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก


   หมาโง่ที่ยอมอยู่ข้างเขาแม้เขาจะทำร้ายมันทุกทางทั้งร่างกายและจิตใจเขารู้ดีว่าการแอบปรารถนาให้คนที่เราหมายปองมองลงมามันทรมานแค่ไหน แต่เจ้าหมานั้นมันก็ยอมที่จะเจ็บ ที่จะทนเพื่อได้อยู่กับเขา  ยอมทรยศกลุ่มเพื่อทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง ขอร้องอ้อนวอนตามเขามาทั้งๆที่รู้ว่าต้องทรมาน แต่ก็ยังยอมเสี่ยง  เสี่ยงโง่ๆในแบบของมัน


   ตอนนี้ความพยายามและความเสี่ยงแบบโง่ๆของมันสำเร็จแล้ว ไม่สิ อาจจะสำเร็จตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่ยอมรับมัน เขายังคงรั้นที่จะกลับมาเชื่อว่าสิ่งที่เขามีให้ดอนคือความรักแต่ความจริงไม่ใช่เลย มันคือความเทิดทูลบูชา เขาบูชาดอนเหมือนเทวดาทำตามบัญชาทุกอย่างโดยไม่ปริปากบ่น  ในขณะที่มันมอบให้และอยู่เคียงข้างเขามาตลอด


   “ฉันรู้ว่ามันอาจดูไม่ดีเท่าไหร่ที่พูดแบบนั้นตอนนี้ ตอนที่ฉันตัดสินใจจะกลับมากับแกเหมือนคนที่ไม่มีที่ไป แต่ฉันอยากให้แกรู้ว่าครั้งนี้ฉันเลือกมากับแกด้วยความเต็มใจ และฉันไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ฉันเลือก ฉันอาจจะเคยทำไม่ดีกับแกและจากนี้ฉันก็ไม่สัญญาว่าจะทำดีกับแกได้มากกว่าเดิม ฉันเป็นมาเฟียเคยฆ่าคน ไม่อ่อนหวานหรือน่ารักเหมือนหมอฮิโตะ ไม่ได้ตัวผอมเหมือนเจ้าริวจิ ฉันอาจจะทำร้ายร่างกายแกอีกในอนาคต แต่สิ่งที่ฉันสัญญาได้คือจะใจดีกับแกให้มากขึ้น ใส่ใจแกให้มากขึ้น ได้ไหมให้ฉันได้อยู่ข้างๆแกได้ไหม”


   “เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ข้าชอบที่เจ้าเป็นเจ้า รักเจ้าที่ความแข็งแกร่งนี้  ร่างกายนี้  หัวใจนี้ ต่อให้เจ้าไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ข้าก็รักเจ้า ข้ารักเจ้าได้ยินไหมคาโล”


   “อืม ฉันยอมให้ขนาดนี้ถ้าทำฉันเสียใจหละก็ฉันยิงแกทิ้งแน่  แล้วก็ฉันก็รักแกนะไอ้หมาโง่”


   พูดออกไปแล้ว  ทำไมถึงได้รู้สึกร้อนไปทั้งตัวขนาดนี้ ตัวพองเหมือนจะลอยได้แต่อ้อมกอดที่รัดแน่นจนเจ็บนั้นก็ทำให้รู้สึกดีอย่างประหลาด แบบนี้ดีที่สุดแล้วหละ



                                                                                END














          มาส่งตอนจบ  ตอนสุดท้ายให้แล้วคะ  เย้ๆ

           ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบแบบแฮบปี้แม้จะยากลำบากกว่าคาโลจะบอกรักซาเวียร์แต่ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้เเม้จะต้องลุ้นกันจนจบเรื่องก็เถอะ  และเเม้จะเป็นคำบอกรักก็ยังไม่ทิ้งลายความเป็นคาโลอยู่ได้ โหดได้อีกแน่ใจนะว่านี่คือ นายเอก 555

           สุดท้ายนี้ขอขอบคุณเล้าเป็ดที่เปิดพื้นที่ในการลงนิยายให้นะคะ ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาให้กำลังผ่านทางยอดวิวและคอมเม้นนะคะ  เเม้เรื่องนี้จะรีบๆลงทำให้ลงได้ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นักจนเผลอคิดไปว่าคงไม่มีใครมาคอมเม้นแน่แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาดคะ ขอบคุณจริงๆคะ หากมีโอกาสจะนำเรื่องใหม่มาลงให้อ่านกันนะคะ ส่วนนักอ่านท่านใดที่สนใจเรื่องนี้ในรูปแบบหนังสือสามารถติดตามได้ที่เด็กดี ค้นหาโดยใช้ชื่อเรื่องนี้ได้เลยคะ ขออภัยที่ไม่ได้ลงที่กระทู้ซื้อขายให้เรียบร้อยเนื่องจากเป็นรอบพิเศษก่อนส่งต้นฉบับให้โรงพิมพ์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Glitterycandy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สนุกมากกกก แต่งดีมากๆ อ่านรวดเดียวเลย

จะมีตอนพิเศษต่อไหมน้า :))

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
โอ๊ยยย ปวดใจสุดๆ สงสารคาโลจริงๆเลย แต่ก็ยังดีนะที่พี่คาโลเลือกตามที่หัวใจเรียกร้อง
กว่าจะยอมรับนะ เกือบตายไปก็หลายรอบอยู่ =.=; เหอๆ ตอนจบนี้ยังบีบหัวใจได้อีก
จบแล้วววว ชอบๆๆ ชอบเรื่องนี้มาก ติดตามมาตลอด ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านนะคะ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ karashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
    • นิยาย นิยายแจ่มใส นิยายมือสอง
ขอบคุณที่นำมาลงให้อ่านนะคะ ^^

ออฟไลน์ sawapalm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
นึกว่าฟาร์ดิน จะติดตามมาด้วยซะอีก ฮ่าๆๆๆ สนุกค่ะ :impress2:

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เกือบแล้ว เกือบไม่ได้เจอหมาโง่อีกแล้วนะคาโล
ต้องเจอตัวกระตุ้นแรงๆถึงจะรู้สึก
สงสารหมาโง่ตาใสๆที่รักและซื่อสัตย์เสมอ
สุดๆคงเป็นคูลาตัส งูที่สุดจะลึกลับ
สุดท้ายตัวเองเลวเอง อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด