Chapter 4 : “ผมทำทุกอย่างได้เพื่อคุณ ที่รัก”
“แล้วงานนายล่ะ”
ผมถามหลังขึ้นมานั่งบนรถ คาร์เรย์รู้ใจผมดีพอที่จะขับไปห้องพักเก่า ไม่ใช่ที่บ้านพักสุดหรูในโครงการพันล้านของตัวเอง
“คุณแม่ช่วยทำแทนแล้วล่ะครับ เพราะผมบอกว่าติดธุระด่วนกะทันหัน” ชายหนุ่มตอบสุภาพ ถ้าจำไม่ผิด คาร์เรย์เล่าว่าแม่ของเขาอยู่ที่สาขาใหญ่ในเมืองหลวง ซึ่งเด็กหนุ่มก็อยู่ที่นั่นมาตลอดจนกระทั่งเรียนจบ ตามข้อตกลงที่ให้กับแม่บุญธรรมว่าจะคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาครอง แล้วสืบสานกิจการต่อ โดยแลกกับที่เขาสามารถทำตามใจชอบอย่างตอนนี้
“เมื่อกี้เลียมสารภาพรักกับฉัน”
คาร์เรย์กำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดปูน
“แต่ฉันปฏิเสธอย่างเป็นทางการแล้ว”
คาร์เรย์เผลอถอนหายใจ ท่าทางนั้นน่ารักจนอีกฝ่ายได้แต่ยิ้มเขินๆ เมื่อถูกผมจ้องอย่างหยอกล้อ
“อันที่จริงไอ้เด็กเวรนี่ก็เทียวมาเทียวไปมานาน พยายามสนิทสนมกับฉันมาหนึ่งปีเต็ม แต่ฉันก็ไม่เคยเล่นด้วย ทำให้ความสัมพันธ์คลุมเครือมาตลอด แต่ในเมื่อฉันตัดสินใจคบกับนายแล้ว จะปล่อยไว้แบบนี้ก็คงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ”
คาร์เรย์พยักหน้ารับด้วยท่าทางเหมือนเด็กได้ของขวัญ
“ก็นั่นแหละ ฉันเลยนัดออกมากินข้าว เพื่อจะได้ปฏิเสธให้มันจบไปสักทีไง ไม่ดีเหรอคาร์เรย์”
“ดีสิครับ” คนรักยืนยันตั้งแต่ผมยังพูดไม่จบประโยคดีซะด้วยซ้ำ “ผมดีใจมากเลย”
ผมเอานิ้วจิ้มแก้มที่กำลังบานเป็นจานเชิงเพราะคาร์เรย์ยิ้มไม่หุบ ช่างน่ารักน่าเอ็นดูชะมัด ยิ่งเขากุมนิ้วผมแล้วจรดริมฝีปากจนดังจุ๊บก็ยิ่งทำให้ใจเต้นโครมคราม ไม่อยากเชื่อว่าคนสุภาพแบบนี้จะทำเพื่อผมจนลงมือโหดเหี้ยมขนาดนั้นได้
“ให้ผมลงไปด้วยมั้ย”
คาร์เรย์ถามเมื่อรถหรูเลี้ยวเข้าสู่ที่คุ้นตา หอพักขนาดสามชั้นแสนโทรมไร้มาตรฐานจนราคาถูกเรี่ย หากหมอนี่เดินลงไปมีหวังเป็นที่ฮือฮาแย่ เพราะแค่จอดรถข้างหน้า ก็มีหลายคนชะเง้อออกมาดูว่าห้องไหนถูกรางวัลรึเปล่า
“ไม่ต้องหรอก ฉันคุยกับเจ้าของแป็ปเดียวแล้วว่าจะแวะไปดูห้องสักหน่อย ไม่เกินสิบห้านาทีแน่ๆ”
“ไม่ต้องรีบหรอกครับ ผมรอได้” คาร์เรย์ยิ้มหวาน อาจเพราะเขากำลังอารมณ์ดีจึงยอมฟังอย่างว่าง่าย ผมเลยให้รางวัลเป็นการหอมแก้มหนึ่งที ก่อนจะรีบเดินลงจากรถเพราะกลัวคนที่ชะเง้อหน้าคอแทบหลุดนั้นจะเห็น แม้ว่ารถของคาร์เรย์จะติดฟิลม์ดำอย่างดีก็ตาม
“อ่ะ คุณเวอแกน”
โชคดีที่เจ้าของหอพักเป็นหนึ่งในบรรดาคนมุงด้วย ผมจึงไม่ต้องเดินไปหาที่ห้อง
“สายันต์สวัสดิ์ครับ ผมจะมาขอยกเลิกสัญญา แต่ไม่ต้องห่วง ค่าเช่าของเดือนนี้จะจ่ายเต็มเดือนแน่นอน”
เจ้าของหอพักเป็นหญิงแม่ม่ายที่อายุเกือบห้าสิบปี เธอให้ความเอ็นดูผมมากทีเดียว แต่ก็แค่นั้น เพราะวันหนึ่งผมไข้ขึ้นจะเป็นจะตาย ขอร้องให้เธอพาส่งโรงพยาบาล กลับถูกปฏิเสธเพราะกลัวว่าผมจะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา ทำให้เธอที่เป็นคนพาไปพลอยซวยไปด้วย
และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมโคตรดีใจที่มีเบอร์เลียม
แต่ไอ้เด็กเวรก็เป็นไอ้เด็กเวร หลังจากวันนั้นมันก็จู้จี้ผมจนน่ารำคาญกว่าเก่า และทำให้ผมที่ชอบออกไปเดินเล่นกลางดึกกลายเป็นพวกเก็บตัวกับห้องของจริง เล่นเอากำลังวังชาเหือดหายไปเกือบหมดเพราะเอาแต่นอนทั้งวัน
จบการย้อนความก่อน เพราะเจ้าของหอพักที่มักมีปัญหาเรื่องการผ่อนจ่ายค่าเช่ากำลังส่ายหน้าบอกผมด้วยรอยยิ้มเป็นเชิงไร้ปัญหา แถมยังมองกึ่งๆ อิจฉาอีกต่างหาก เธอคงเห็นตอนผมเปิดประตูลงจากรถว่ายังมีผู้ชายอีกคนหนึ่งรูปร่างหล่อเหลาส่งยิ้มให้ เป็นอันหาข้อสรุปได้ว่าผมไม่ได้ไปถูกรางวัลที่ไหน แต่โดนเด็กจับกินจนตกถังข้าวสารต่างหาก
“แหมๆ คุณเวอแกน เสน่ห์แรงไม่เบานะคะเนี่ย แล้วเด็กอีกคนเอาไปไว้ไหนซะแล้วล่ะ”
อย่างที่บอกว่าผมเคยโทรเรียกเลียมมาที่นี่ เจ้าของหอจึงรู้จักเขาด้วย
“เขาอยู่ไหนก็อยู่ตรงนั้นนั่นแหละครับ” ผมตอบกึ่งยียวน ยั่วให้เธอลอบมองอย่างอิจฉา ในใจคงคิดว่ารูปร่างเหมือนคนติดยาอย่างผมเอาอะไรไปจับผู้ชายได้ เอาเถอะ...เสน่ห์ของผมมันจำกัดอายุผู้ถูกดึงดูดด้วยน่ะครับ ย่อมใช้กับเธอไม่ได้ผลอยู่แล้ว ยิ่งสภาพแบบอดนอนอย่างนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“ผมจะขึ้นไปดูของสักหน่อย แล้วจะลงมาคืนกุญแจนะครับ ของที่เหลือคุณสามารถจัดการได้ตามใจชอบ ผมไม่เอาแล้ว”
เจ้าของพอตาวาวทันที ถึงจะเป็นข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็นับว่าสามารถทำกำไรได้ในสภาพหอพักที่ทรุดโทรมลงทุกวันๆ
“อ้อ จริงสิคุณเวอแกน”
“ครับ?”
เจ้าของหอเอ่ยทักก่อนที่ผมจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม
“มีคนมาขอพบคุณเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แถมยังเป็นตำรวจยศสูงอีกต่างหาก ฉันก็เลยถือวิสาสะเปิดห้องด้วยกุญแจสำรองให้เขาเข้าไปรออยู่ก่อนแล้ว”
นายตำรวจยศสูง?
ผมคิ้วขมวด นึกในใจว่าคงไม่ใช่เลียม เพราะเธอรู้จักดี และคงไม่ใช่เพื่อมร่วมงานคนไหนด้วย เพราะหากมีคดีอะไรเลียมมักจะฉวยโอกาสในการเข้าหาผมก่อนอยู่เสมอ ถ้าอย่างนั้น...ก็ต้องเป็นตำรวจต่างถิ่น!
วูบหนึ่งผมเผลอนึกถึง ‘เขาคนนั้น’ ก่อนจะปฏิเสธในใจว่าคงเป็นไปไม่ได้
“ขอบคุณที่บอกครับ”
เพราะนึกไม่ออก สุดท้ายผมเลยได้แต่บอกขอบคุณก่อนไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง ไม่ต้องกลัวหรอกน่าเจย์เดน นายเจออะไรมาเยอะแล้ว คาร์เรย์เองก็รออยู่ข้างล่าง ยังไงนายก็มีคนหนุนหลัง ต่อให้เป็นเขาคนนั้นมาเองก็ไม่เห็นต้องกลัว!
แต่ไม่รู้ทำไมมือของผมถึงสั่นอย่างนี้...
ห้องพักของผมอยู่ชั้นสาม ห้องที่สองจากบันได เมื่อลองเปิดประตูก็พบว่าห้องไม่ได้ล็อค
เป็นไงเป็นกันล่ะวะ
ผมกลั้นใจเปิดประตูพรวด เพราะเป็นห้องพักราคาถูก ขนาดเล็กกะทัดรัด จึงไม่แปลกหากผมเปิดประตูแล้วจะเผชิญหน้ากับแขกผู้มาเยือนพอดิบพอดี
คนคนนั้นนั่งกับพื้น ถอดเสื้อโค้ทกันลมพับเรียบร้อย ใบหน้าเคร่งขรึมสูงวัย เผยให้เห็นเครื่องแบบและยศซึ่งผมรู้จักดี
เขาคือพ่อของเลียม!
“สะ....สายันต์สวัสดิ์ครับ”
กว่าจะกลั่นกรองเสียงออกมาเป็นประโยคทักทายได้ผมแทบยืนขาแข็งหน้าห้อง ก่อนจะได้สติรีบปิดประตูด้วยความสงสัยสุดๆ ชายเบื้องหน้าต้องการอะไรจากผมกันแน่ หรือว่าสิ่งที่ผมให้เลียมทำไปเมื่อตอนเย็นจะความแตก...
ไอ้เด็กเวร ไร้ฝีมือชะมัดเลย!
ผมเคยเจอหน้าพ่อเลียมแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งมักจะเป็นการนั่งจ้องหน้าจากการเรียกตัวเพื่อตักเตือนความประพฤติ ซึ่งผมก็ได้แต่เออออขอไปที ขนาดเลียมไปช่วยพูดก็ยังถูกเตือนอย่างน้อยสองเดือนครั้งอยู่ดี และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ไอ้เด็กเวรเริ่มจะให้ผมสร้างผลงานเพื่อไม่ให้พ่อของมันหงุดหงิดไปกว่าเดิม เนื่องจากการกระทำของผมส่งผลกระทบต่อเชื่อเสียงและหน้าที่ของเขาด้วยเมื่อมีคนร้องเรียน
ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าเขาใจดีกว่าที่เห็น ไม่งั้นจะมีใครยอมขนาดนี้เพื่อลูกชายบ้าง แต่พอได้ฟังความจริงจากเลียม...ผมก็รู้ว่าเขาทำเพราะไปรับปากกับอีกคนหนึ่งไว้ต่างหาก
การแต่งกายสวมชุดสูทสีดำสนิท แสดงว่าเพิ่งกลับจากงานศพ
หรือว่าพอคนตาย เขาก็จะไล่ผมออกกันนะ
“เจย์แดน เวอแกน” พ่อของเลียมเรียกชื่อผมเสียงเรียบ พอเห็นผมเดินเข้ามาในห้อง เขาก็หยิบเสื้อโค้ทสวม และเดินสวนออกมาทันที อ้าวเฮ้ย? นี่แค่มานั่งพักรึไง
พลันชายแก่หยิบซองสีน้ำตาลสำหรับใส่เอกสารให้ผม
“ครับ?”
ผมรับมางงๆ ไม่เข้าใจอะไรสักนิดเดียว
“เพื่อนของฉันพูดเสมอว่าถ้าเป็นอะไรไปให้นำของสิ่งนี้มาให้เธอ โชคดีที่เขาเก็บของสิ่งนี้ในตู้เซฟอย่างดี จึงไม่ถูกเผาไปด้วย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าข้างในเป็นอะไร แต่แค่ทำความตั้งใจของเพื่อนที่เสียให้สำเร็จก็เท่านั้น”
ไม่บอกก็รู้ว่าเพื่อนคนนั้นคือคนไหน
“ขะ...ขอบคุณครับ”
ผมรับซองเอกสารมาถือด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เพื่อนรักของพ่อยังต้องการอะไรจากผมอีก เขาเคยขู่ฆ่าผมด้วยการบีบคอจนแทบขาดอากาศหายใจ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อสติแทบจางหาย แม้ผ่านไปหลายปีผมก็ยังจำสีหน้าและท่าทางของเขาได้ คล้ายจะเจ็บปวด และจำยอม แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไร ความรู้สึกของแรงที่กดหลอดลมจนได้แต่ดิ้นทุรนทุรายนั้นไม่ต่างจากมือของมัจจุราช ถ้าแค่ครั้งเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่เขาทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าผมจะรับปากและยอมเก็บข้าวของหนีออกไปจากเมือง
แน่นอนว่าหลังถูกบีบคอเป็นครั้งที่ห้า ผมที่เคยอวดดีก็ขวัญกระเจิง ถึงขนาดร้องไห้อ้อนวอนให้เขายอมปล่อยซะด้วยซ้ำ
และนั่นก็เป็นการพบกันครั้งสุดท้าย...
“เธอคบกับเลียมรึ”
ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ การระลึกถึงอดีตถูกแทรกด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งกว่าตอนส่งเอกสารให้ซะอีก
“เปล่าครับ” ผมตอบสุภาพ ก่อนจะรีบตีหน้าไม่สนใจเมื่อนึกได้ว่าต้องทำตัวให้คนอื่นเกลียดเข้าไว้ การเจอคาร์เรย์ทำให้ผมหวนเป็นตัวเองในอดีต มันช่างดีและไม่ดีในคราวเดียวกัน เพราะหากพ่อของเลียมให้ความเอ็นดูผมในฐานะที่ลูกชายเขาพึงใจขึ้นมา ผมจะถูกประจบจนน่ารำคาญทันที ขณะเดียวกัน ลับหลังก็จะถูกนินทายิ่งกว่าที่โดนเป็นประจำ
เป็นวัฐจักรที่น่าเบื่อ...
“ไม่ต้องตีหน้าแบบนั้นหรอก ฉันรู้ว่าเธอเป็นเด็กดี เขาเล่าไว้มาก บอกว่าเมื่อก่อนเธอเป็นคนขยัน เก่งกล้า ไม่กลัวใคร ทำให้สร้างผลงานใหญ่ๆ ได้เยอะ ถ้าไม่เพราะเขาอวดสรรพคุณอย่างดี ฉันก็คงไม่ทนเธอมาได้ถึงขนาดนี้”
‘เขา’ ที่ว่าคงไม่พ้นเจ้าของเอกสารที่ตายไปแล้ว...
เช่นเดียวกับตัวผมผู้เก่งกล้าสามารถที่ตายไปแล้ว วัยคะนองก็คือวัยคะนอง ตอนนี้ผมเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาด หวาดกลัวซะทุกสิ่งแม้กระทั่งชายเบื้องหน้า สงสัยนักว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
“เลียมถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด แต่ก็มีน้ำใจดี ฉันไม่เคยยุ่งเรื่องความรักของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าฉันประมาทความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ การที่เด็กนั่นยอมลงให้กับใครสักคน ถึงขนาดยอมทำผิดทั้งที่รู้ว่าผิด มันทำให้ฉันกังวลว่าเลียมอาจหลงจนหน้ามืดตามัว”
“...เหรอครับ” ผมตอบอย่างขอไปที บอกตรงๆ ว่าไม่ได้อยากรู้เรื่องไอ้เด็กเวรเลยสักนิด แม้จะแอบสะดุ้งที่ว่าหมอนั่นทำงานไม่ได้เรื่อง ถูกพ่อตัวเองจับได้ทั้งที่ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงก็เถอะ
“ฉันเลยคิดจะย้ายเธอไปทำงานอีกที่หนึ่ง และเลื่อนยศให้ เธอคิดว่าไงล่ะเจย์เดน เวอแกน”
หึ พวกตำแหน่งใหญ่ก็แบบนี้ นึกอยากทำอะไรก็ทำ ราวกับควบคุมทุกอย่างที่ด้อยค่ากว่าตัวเองได้เพียงพลิกฝ่ามือ
“ไม่ต้องกังวลเรื่องผมหรอกครับ เพราะผมมีคนรักแล้ว และผมเองก็เพิ่งบอกปฏิเสธเลียมอย่างจริงจังในวันนี้” ผมตอบตามจริง “ฉะนั้นปัญหาไม่ใช่ตัวผม แต่เป็นตัวลูกชายของท่านต่างหาก ถ้าเป็นห่วงลูกชายตัวเอง ก็ไปเตือนเขา ไม่ใช่มาพูดกับผมด้วยท่าทางเป็นคนดีแบบนั้นหรอกครับ”
เพราะมันน่าสะอิดสะเอียน!
ผมเดินสวนออกจากห้อง หมดอารมณ์จะเช็คของโดนสิ้นเชิง เฮ้อ...ยกให้เจ้าของหอพักไปให้หมดก็แล้วกัน!
นึกแล้วก็น่าโมโห ตอนแรกนึกว่าจะมีอะไร ที่แท้ก็อ้างคำสั่งเสียของเพื่อนเพื่อกีดกันลูกชายตัวเองต่างหาก ผมรีบเดินลงบันไดไปคืนกุญแจ ก่อนจะเดินขึ้นรถที่คาร์เรย์รออยู่แล้วด้วยรอยยิ้มเปี่ยมรักไม่เสื่อมคลาย
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
รอยยิ้มน่ารักเปลี่ยนความเป็นห่วงทันทีเมื่อเห็นสีหน้าผมไม่สู้ดีนัก คาร์เรย์ยื่นมือทาบหน้าผาก ก่อนจะไล่มาข้างแก้ม และลำคอด้วยความกังวลนักหนา
“มีปัญหานิดหน่อยน่ะ” ผมพยายามฉีกยิ้ม พอดีกับพ่อของเลียมเดินลงมา คาร์เรย์เหลือบมองร่างนั้นอย่างนิ่งงัน วูบหนึ่ง ผมเห็นดวงตาแสนสวยนั้นประกายวาบ ราวกับสัตว์ป่าที่เล็งเหยื่อพร้อมขย้ำ
“ผมจัดการให้มั้ยครับ...”
น้ำเสียงอบอุ่นของคาร์เรย์คล้ายจะกดต่ำหลายจุด ผมเพิ่งเคยเห็นเขาแบบนี้เป็นครั้งแรก และนั่นก็เป็นการยืนยันอย่างดีว่าเขาคือคนที่จัดการทุกอย่างจริงๆ
“ไม่ต้องหรอก” ผมแตะมือของเขา พลางประสานนิ้วแน่นและบีบเบาๆ “เขาไม่เกี่ยว แค่เป็นผู้ส่งสารเท่านั้น คนที่เป็นปัญหานายช่วยจัดการให้ฉันแล้วไม่ใช่รึไง”
ผมถามลองเชิง บอกใบ้กลายๆ
“คุณรู้แล้วเหรอครับ” ผิดคาด คาร์เรย์ไม่แม้แต่จะปิดบัง แต่กลับดูดีใจซะด้วยซ้ำ แถมยังกุมมือผมกลับแนบแน่น ราวตื่นเต้นดีใจที่จะได้รับคำชมก็ไม่ปาน “คุณชอบมั้ย...”
ชอบอะไร?
ชอบนาย ชอบการกระทำของนาย หรือว่า...
ชอบที่นายฆ่าคน
ผมไม่ตอบคำ แต่ก็บีบมือตอบอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นชอบอย่างไหน คาร์เรย์ฉีกยิ้มกว้าง พลิกมือจูบเบาๆ บนหลังมือของผม ก่อนจะยื่นหน้ามาประทับริมฝีปากอย่างนุ่มนวล
“ผมรักคุณ”
คาร์เรย์บอกรักอย่างไม่รู้เบื่อ
“ผมทำทุกอย่างได้เพื่อคุณ ที่รัก”
คาร์เรย์ไม่เคยโกหกผม
ทุกคำพูดของเขาล้วนจริงใจ มาจากหัวใจ และพร้อมทำเช่นนั้นจริงๆ
ผมเชื่อตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเขา เพราะคงไม่มีคนบ้าที่ไหนตามหาคนเป็นเจ็ดปีเพื่อความรักแค่ผิวเผิน ผมจึงเชื่อ...และเชื่อมาตลอด เช่นเดียวกับที่เชื่อว่าเพื่อนรักของพ่อทรยศอย่างเลือดเย็น พ่อผมไม่อาจทนรับไหวจึงฆ่าตัวตายโดยไม่แม้แต่จะคิดถึงลูกชายที่เหลืออยู่
ผมเชื่ออย่างนั้น
แต่ว่า...ของในซองเอกสารสีน้ำตาลกลับทำให้ความเชื่อของผมพลิกกลับ!
เพราะมันคือบันทึกคำสนทนามากมายของพ่อ ที่เขียนโต้ตอบกับเพื่อนรักสมัยเมื่อมีชีวิต แม้จะเป็นเพียงตัวพิมพ์ที่ถูกปริ้นออกมาหลายต่อหลายแผ่น แต่ผมก็เชื่อว่านั่นคือพ่อของผม...พ่อที่เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็ก คนที่เคยบอกรักผมหมดใจ
แต่เขาคนนั้นกลับบอกรักอีกคนที่รักยิ่งกว่า!
‘ฉันรักนาย’
‘ถึงนายจะแต่งงาน ฉันก็ยังรักนาย’
นั่นเป็นข้อความของสิบห้าปีก่อน ผมอายุแค่สิบสามปี จำได้ว่าวันนั้นพ่อยังจับผมแต่งตัวใส่ชุดสูทเกินวัย พาไปงานแต่งงานของเพื่อนด้วยสีหน้าแสดงความยินดีซะด้วยซ้ำ แต่ว่า...ทั้งหมดเป็นแค่การแสดง
จากที่อ่าน พบว่าสองคนนี้แอบรักกันอย่างลับๆ มานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกใครเพราะอีกฝ่ายมีตำแหน่งสูงกว่า อีกทั้งครอบครัวยังไม่ยอมรับ พ่อจึงยอมเก็บงำมาตลอด แม้กระทั่งผมก็จับสังเกตไม่ได้ ไม่สิ...ตอนนั้นผมมัวแต่โหมงานหนัก ถูกคำชื่นชมหลอกตา ทำให้ลืมมองไปว่าพ่อกำลังมีปัญหา เพราะในช่วงหลายเดือนก่อนที่พ่อจะฆ่าตัวตาย ทั้งสองคนเริ่มระหองระแหง ทะเลาะกันหลายครั้ง ก่อนจะมีปากเสียงหนักมากเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะมีลูก
-ไหนนายบอกว่ารักฉัน-
-ไหนกันคำบอกรัก แล้ว ‘เจย์เดน’ ล่ะ เจย์เดนเป็นอะไรสำหรับนาย!-
ผมชะงัก...ทำไมถึงมีชื่อผมในบทสนทนานี้กันล่ะ
แต่เมื่ออ่านของบันทึกในวันถัดไป ชื่อของผมก็เหมือนถูกลืม เพราะเพื่อนรักพ่อกำลังถูกจับได้ว่าแอบค้ายา ดูเหมือนพ่อเองก็รู้มาตลอด หรือไม่...เงินที่ส่งเสียผมเรียนจนจบอาจมาจากการร่วมมือกันของสองคนนี้ในเรื่องผิดกฎหมาย
ผมเคยสงสัยมานานแล้วว่าพ่อที่ใช้เงินอย่างประหยัดทำไมถึงมีค่าเล่าเรียนโรงเรียนชื่อดังเพื่อเตรียมเป็นตำรวจให้ผมได้ แต่เพราะถูกบอกว่าเป็นเงินเก็บสมัยยังหนุ่ม จึงปัดความคิดนั้นตกไป
บันทึกสนทนาช่วงท้ายๆ เริ่มเป็นการตกลงว่าจะทำยังไงหากถูกจับได้ เพื่อนรักพ่อบอกว่าจะหาคนอื่นเป็นแพะรับบาป โดยเสนอชื่อคนที่ผมรู้จักขึ้นมา แต่พ่อไม่ยอม
-ไหนเมื่อนายไม่รักฉันแล้ว ก็บอกมาตรงๆ เถอะ ฉันจะแบกรับความผิดทั้งหมดเอง จะได้ไปให้พ้นๆ จากชีวิตนายสักที!-
อีกฝ่ายพยายามเกลี้ยกล่อม แต่ไม่ว่าพูดยังไงพ่อก็มีเพียงคำตัดพ้อ แถมยังหนักถึงขั้นบอกว่าจะฆ่าตัวตาย
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ชื่อของผมถูกกล่าวถึง
-เจย์เดนล่ะ นายจะทิ้งเจย์เดนได้ลงคอรึไง-
เพื่อนรักพ่อทักท้วง ราวกับว่าชื่อของผมจะช่วยเปลี่ยนความคิดที่คล้ายสิ้นหวังนั้น
แต่นั่นเปรียบเสมือนคำยืนยัน...ว่าเขาไม่เหลือรักให้พ่ออีกแล้ว
-ถ้านายหมดรักฉัน เจย์เดนก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป-
และนั่นเป็นประโยคสุดท้าย เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยอะไร พ่อก็ไม่ตอบอีก
วันต่อมาพ่อฆ่าตัวตาย...
ผมยืนนิ่ง พิงกับขอบระเบียงชั้นสองที่ปลีกตัวออกมาระหว่างคาร์เรย์อาบน้ำ อากาศตอนกลางคืนหนาวจัด แต่ที่หนาวเหน็บกว่านั้นคือหัวใจของผมที่แทบแบกรักความจริงไม่ได้
ในซองนั้นไม่มีเพียงบันทึกการสนทนา เพราะยังมีบัญชีธนาคารในชื่อของผม...ที่คาดว่าเพื่อนรักของพ่อคงตั้งใจเก็บเอาไว้เป็นการชดเชย
และ...สำเนาเอกสารใบหนึ่ง
มันคือใบยินยอมเลี้ยงเด็กบุญธรรม!
ชื่อของเด็กคือเจย์เดน ชื่อผู้รับอุปการะคือชื่อของพ่อ
แต่ไม่มีเพียงแค่นั้น
เพราะถัดมายังมีชื่ออุปการะร่วมอีกด้วย และนั่นคือชื่อของเพื่อนรักพ่อ
‘ถ้านายหมดรักฉัน เจย์เดนก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป’
ผมเคยได้ยินว่าคู่รักร่วมเพศนั้นมักแก้ปัญหาการมีลูกโดยรับเด็กมาเป็นลูกบุญธรรม...ลงชื่อเพื่อให้เป็นผู้ปกครองร่วม ไม่ต่างจากพยานรักทดแทนที่ไม่อาจอุ้มท้องได้เหมือนคู่รักอื่น
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงได้ทอดทิ้งไม่แม้แต่คำลา จดหมายที่ทิ้งไว้นั้นก็เหมือนไม่ได้บอกกับผม
เพราะผมไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา!
อ่า...มิน่าล่ะพ่อถึงไม่เคยเล่าเรื่องแม่ ตอนเด็กๆ เองเพื่อนรักพ่อก็ชอบมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ แถมยังบังคับให้เรียกพ่อทูนหัวอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นการที่ฝากฝังให้พ่อของเลียมดูแลผมคือการชดเชยในฐานะพ่อบุญธรรมอีกคนงั้นหรือ!? ที่ขู่ผมไม่ให้เปิดเผยความจริง แต่ไม่กล้าฆ่าทิ้งทั้งที่เด็ดขาดขนาดนั้น ก็เพราะยังเห็นใจว่าผม ‘เคย’ เป็นพยานรักของพวกเขางั้นเหรอ!?
ผมมองสมุดบัญชีที่เหมือนแสดงสิทธิ์ในการรับผิดชอบด้วยสายตาเกลียดชัง
มันช่าง...
“ที่รัก”
คาร์เรย์ที่อาบน้ำเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้โอบกอดผมจากข้างหลัง จูบบนขมับแผ่วเบา แถมยังโยกตัวผมน้อยๆ ราวปลอบโยน เพราะตอนนี้ผมกำลังร้องไห้...ร้องไห้อย่างเงียบงันและปัดมืออย่างลนลานพยายามจุดไฟเผาทุกสิ่งทุกอย่างทิ้ง
“ผมจัดการเอง”
คาร์เรย์แย่งไฟแชคในมือผมก่อนจะจุดไฟใส่ตัวเอง เขาไม่แม้แต่จะอ่าน เพราะแค่เห็นสำเนารับรองการเลี้ยงบุตรบุญธรรมก็พอเข้าใจแล้วว่าผมกำลังเสียใจแทบตายเพราะอะไร
เพียงพริบตาเอกสารทั้งหมดก็ถูกเพลิงสีส้มแสดลุกไหม้ คาร์เรย์เดินเข้าไปหยิบถังขยะมารองกันไม่ให้ไฟลาม ก่อนจะกอดผมแนบแน่นพร้อมบอกรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมรักคุณ”
เขากดจูบบนแผลไฟไหม้ที่ต้นแขนผม
“ผมรักคุณ...รักทุกอย่างของคุณ”
ผมไม่เคยเสียใจกับรอยแผลเกียรติยศเลยสักครั้ง แม้มันจะน่าเกลียด หยาบกร้าน แต่กลับเป็นความภาคภูมิใจที่สุด และในตอนนี้ ผมก็รู้สึกเช่นนั้นจากใจ
ดีเหลือเกินที่คาร์เรย์อยู่กับผมตอนนี้
อย่างน้อย...ผมก็ได้รู้ว่ายังมีคนคนหนึ่งรักผมหมดหัวใจจริงๆ!
---------------
ยังแค่เริ่มต้นความดราม่าของเจย์เดนค่ะ และในตอนหน้าเลียมจะมีบทบาทมากขึ้น เราจะพยายามมาอัพให้สม่ำเสมอ หวังว่าทุกคนจะติดตามและร่วมลุ้นไปกับหนุ่มๆ นะคะ
ปล.ปุจฉา...พ่อของเลียมจะรอดหรือไม่