Chapter 6 : “ทำไมถึงฆ่าอีกแล้วล่ะ”
หัวบุหรี่สีแดงวาบตัดกับพื้นขาวโรยหิมะอย่างสิ้นเชิง
ผมมองกลุ่มควันอ่อยอิงกึ่งเหม่อลอย อากาศหนาวทำให้ต้องซุกมือหนึ่งในเสื้อโค้ทอย่างช่วยไม่ได้ ท่าทางผ่อนคลายไม่ต่างจากการชมวิวแก้เซ็ง
แต่ถ้ามองไปด้านหลังผม จะพบว่าเจ้าหน้าที่หลายนายกำลังทำงานหน้าเครียด สาเหตุเพราะเช้าวันนี้มีคดีน่าปวดหัว ผู้เคราะห์ร้ายเป็นชายวัยกลางคน จากการตรวจเลือดพบว่ามีแอลกอฮอล์สูงในระดับผิดปกติ หรือก็คือเมาหัวทิ่ม ผู้แจ้งความเป็นแฟนสาว บอกว่าเมื่อคืนคนรักมีนัดกับใครสักคน คาดว่าคงกลับดึก แต่เมื่อเช้าตรู่ กลับมีศพลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำด้านหลัง ห่างจากบ้านพักไปเกือบกิโลฯ เชื่อว่าไม่เมาหัวทิ่มจริงๆ ก็คงถูกฆาตกรรม
“สรุปๆ ไปว่าตายเพราะความประมาทก็จบ”
ตำรวจนายหนึ่งพูดกับเพื่อนร่วมงาน เพราะเขาพยายามเก็บร่องรอยหลักฐานเกือบสามชั่วโมง แต่ก็ไม่เจอเบาะแสของคนที่ผู้ตายนัดออกมาแม้แต่น้อย เลียมสันนิษฐานว่าทั้งสองคงจะนัดกันที่อื่น แล้วค่อยนำศพมาทิ้งไว้ตรงนี้
“ไม่เท่ากับว่าต้องคลำหาให้ทั่วรึไง” นายตำรวจอีกนายบ่น วันนี้เลียมดูขยันขันแข็งเป็นพิเศษ คงคิดจะสร้างผลงานเพื่อเอาใจพ่อ เป็นเด็กหนุ่มไฟแรงก็ดีอยู่ แต่ถ้าจะให้ดีต้องดูไฟเพื่อนร่วมงานด้วย เพราะในอากาศหนาวจัดหลังหิมะตกตลอดคืนแบบนี้ จะไปหาหลักฐานที่ไหนได้ งมเข็มในมหาสมุทรชัดๆ!
“หนาวมั้ย”
ตายยากชิบเป๋งผมมองเลียมที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ผิดกับเพื่อนร่วมงานที่ไม่ต่างจากผีตายซาก แน่นอนว่าผมถูกทุกคนมองด้วยความโมโห เพราะมาทั้งทีแต่ไม่ช่วยอะไรสักอย่าง เอาน่า...ผมก็ไม่ได้อยากมานักหรอก ถ้าไม่ติดว่าเมื่อเช้าโดนไอ้เด็กเวรพูดลอยๆ ใส่จนตาสว่าง
‘คนที่ตายคือคนที่ปาหินใส่รถพ่อ’
เท่านั้นแหละ ผมรีบกระโดดขึ้นรถแทบไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกพามาทิ้งไว้ตรงนี้ ผมเลยหามุมเหมาะๆ จุดบุหรี่สูบ ดูความสวยงามของพื้นหิมะอันขาวโพลนที่ตอนนี้ถูกเจ้าหน้าที่เหยียบย่ำไม่เหลือสภาพ
“ผมนึกว่าคุณเลิกบุหรี่แล้วซะอีก”
ไอ้เด็กเวรยังชวนคุย ผมเลยเลิกคิ้วยียวนหนึ่งที ก่อนจะหันไปมองอย่างอื่นเช่นเดิม อืม...นายตำรวจคนอื่นๆ เริ่มอู้กันแล้ว
“หรือเพราะหนาว?”
ถูกเผง
นับตั้งแต่เจอคาร์เรย์ ไอ้นิสัยเสเพลติดเหล้าสูบบุหรี่ก็ลดน้อยลงไปโข อาจเพราะเขาชอบจูบปากผมซ้ำๆ ชอบกอด ชอบซุกไซ้ผมไม่ต่ำกว่าสามครั้งต่อวัน ผมเลยไม่อยากให้มีกลิ่นบุหรี่ติดตัว ส่วนไอ้เรื่องดื่มนี่ก็มีบ้าง แต่เป็นการดวลกันเล่นๆ กับอีกฝ่าย ดื่มแก้หนาว ดื่มเพื่อความเฮฮา ไม่ใช่ดื่มเป็นบ้าแก้เหงาเหมือนเมื่อก่อน
“รู้ได้ยังไงว่าคนตายใช่คนคนนั้น”
พอสูบบุหรี่หมดม้วน ผมที่หนาวจนปากแข็งก็เริ่มเข้าเรื่องเข้าราวได้สักที
“เดาน่ะ”
...ไอ้เด็กเวร!นี่ผมเสียเวลานั่งเล่นนอนเล่นในที่ทำงานเพราะการเดาเนี่ยนะ บ้าชะมัด!
“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียน่า” เลียมว่าพลางส่งกระป๋องกาแฟที่เพิ่งกดจากตู้เครื่องดื่มไม่ใกล้ไม่ไกลให้ แน่นอนว่าไม่ได้เอามาดื่ม แต่เอามาอังมือต่างหาก “เมื่อวานตอนผมไปดูกล้องวงจรปิดรอบสถานที่เกิดเหตุ ผมนั่งจับเวลาคร่าวๆ ตอนที่พ่อโดนปาหิน และจำลองว่าตัวเองเป็นคนขับรถจักรยานยนต์ดู จากนั้นก็นำมาเทียบกับถนนทางเข้าออกในระแวกนั้น โชคดีแล้วล่ะเพราะแถวที่พักของคุณค่อนข้างเปลี่ยว แล้วยังเป็นถนนเส้นเล็ก พอกล้องจับภาพชายคนนี้ได้ในเวลาใกล้เคียงที่สุดผมเลยขึ้นป้ายต้องสงสัยไว้ก่อน”
ไอ้เด็กเวรว่าพลางคลี่ยิ้มกว้าง
“อันที่จริงก็ยังมีอีกเกือบสิบรายน่ะนะ แต่ผมตัดผู้หญิงและคนแก่ออก พวกที่แต่งตัวทำงานอย่างดีก็ตัดทิ้ง เพราะถ้าไม่ร้อนเงินจริงๆ คงไม่รับจ้างทำร้ายตำรวจแน่ๆ ตัดไปตัดมาก็เหลือแค่ไม่กี่คน แต่พอเกิดเหตุในวันนี้ ก็เลยยิ่งมั่นใจ”
ให้ตายเหอะ!ผมอยากจะสบถจริงๆ นะ รู้อยู่ว่าไอ้เด็กเวรมันฉลาด แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดมีเวลาว่างนั่งจับเวลาและนั่งดูกล้องวงจรปิดรอบเมืองขนาดนี้!
“แต่วิธีนี้ไม่นับว่าเป็นหลักฐานอะไร ผมถึงเรียกว่า ‘เดา’ ไงล่ะ”
เลียมยิ้มให้ผม แต่ผมทำหน้าบูดตอบ จริงอยู่ว่าการซุ่มเวลาไม่ต่างจากการคาดเดา และไม่สามารถใช้ในการจับตัวผู้ต้องหาได้ เพราะมีโอกาสผิดตัวสูง แถมถ้าถูกฟ้องร้องกลับ ไอ้เด็กเวรจะโดนพ่อด่าระยำย่ำแย่กว่าเดิม
“ไหนบอกจะวางมือไง” ผมนึกอยากจะสูบบุหรี่ขึ้นมาจริงๆ ซะแล้ว ไม่ใช่เพื่อแก้หนาวด้วย
“ผมแค่ทำเพื่อความปลอดภัยต่างหาก เกิดภาพในกล้องเป็นคุณขึ้นมา ผมจะได้ช่วยลบทิ้งให้ไง” เลียมว่าอย่างเอาใจ แต่ผมไม่ยักดีใจสักนิด ไม่รู้ว่าหมอนั่นทำจริงอย่างที่พูด หรือแค่อ้างเพื่อให้ผมเกลียดขี้หน้าน้อยลงกว่าเดิม
“เอาเป็นว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ผมได้ข้อมูลของชายคนนี้โดยบังเอิญ ว่าจะเอาทิ้งอยู่แล้วหากไม่ติดว่ามีคดีเข้ามาซะก่อน แล้วคุณคิดว่า...คนที่เพิ่งรับจ้างไปทำร้ายผู้บัญชาการ จู่ๆ จะกินเหล้าตกบ่อตายรึเปล่าล่ะ เจย์เดน”
“เวอแกน” ผมแก้พลางนวดขมับ สังหรณ์ลึกๆ ว่าคงเกี่ยวกับคาร์เรย์แหงแซะ สงสัยเย็นต้องกลับไปถามเขาอีกแล้ว บ้าชะมัด ไม่มีวันไหนที่เราจะมีบทสนทนาสมเป็นคู่รักธรรมดาๆ บ้างรึไงนะ จริงอยู่ว่าผมช่วยปิดความผิดให้เขา เพราะเขาทำเพื่อผม แต่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกเสียทีเดียว
มันกำลังตกตะกอน ค่อยๆ สะสมในใจทีละน้อย
ก็ไม่แปลกนักหรอก ในเมื่อผมยังเป็นคน ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างนี่นา
แต่ก็เพราะแบบนี้ เมื่อคาร์เรย์ทุ่มเทความรักให้จนหมดหัวใจ คนธรรมดาอย่างผมจึงพร้อมจะหลับหูหลับตาได้เหมือนกัน
“อยากให้สรุปว่าเป็นอุบัติเหตุรึเปล่าล่ะ”
“แลกกับอะไร” ผมเงยหน้ามองไอ้เด็กเวรที่นับวันก็ยิ่งเวรขึ้นทุกทีด้วยใบหน้าคิ้วขมวด ยื่นข้อต่อรองแบบนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“เย็นนี้ไปเยี่ยมคุณพ่อกับผม”
“ไม่”
ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด หากเป็นแต่ก่อนยังพอไหว แต่ตอนนี้แค่เห็นหน้าพ่อของเลียม ผมก็จะนึกไปถึงซองเอกสาร และเมื่อนึกถึงสิ่งนั้น ข้อความทุกอย่างก็จะปรากฏ ไม่เว้นกระทั่งสำเนารับรองที่ยืนยันว่าผมเป็นแค่ลูกบุญธรรม...
แค่นึกผมก็รู้สึกสะท้านน้อยๆ ในใจ แม้ทุกอย่างจะถูกเผาไฟจนหมดสิ้น แต่กลับยังฉายชัดในความทรงจำ
“เฮ้ ไม่อยากไปก็ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นหรอกน่า” เลียมเลิกลั่ก เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อผมยกมือปิดตาครู่หนึ่ง อันที่จริงแค่ทำสมาธิ ผมไม่บ้าร้องไห้ต่อหน้าเด็กเวรหรอกนะ
“โอเค ครั้งนี้ผมจะยอมก่อน คุณติดหนี้ผมหนึ่งครั้งแล้วกัน”
“ตามสบาย” ผมละมือออก เผยใบหน้ายียวนไร้ซึ่งความโศกเศร้า ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ไอ้เด็กเวรอ้าปากค้าง แต่ไม่ทันพูดต่อผมก็เดินไปรอในรถเตรียมกลับที่ทำงานแล้ว
ได้ยินเสียงถอนหายใจดังไล่หลัง ก่อนเลียมจะหันไปเรียกรวมตัวทุกคน จากนั้นจึงสั่งแยกย้าย สรุปคดีว่าเป็นการดื่มเหล้าแก้หนาวจนพลัดตกลงไปตายนั่นเอง
อันที่จริง ต่อให้เลียมไม่ยื่นข้อเสนอ เขาก็หาหลักฐานจับตัวคาร์เรย์ไม่ได้หรอก
แต่ที่ผมกังวล ไม่ใช่ว่าเลียมจะจับคนรักเข้าคุก แต่กลัวว่าไหวพริบของเขาจะทำให้ฉุกใจและเริ่มเชื่อมโยงเข้ากับคาร์เรย์ และเมื่อนั่น...คนที่ตายคนต่อไปคงไม่ใช่ใครอื่นไกล
ถึงผมจะเกลียดขี้หน้าเลียม แต่ก็ไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่ตายหรอกนะ
อย่างน้อยในหนึ่งปีมานี้ก่อนจะมาเจอคาร์เรย์...เลียมก็เป็นคนเดียวที่คุยกับผมมากที่สุด เอาใจใส่มากที่สุด...และจริงใจมากที่สุด
แม้จะน่ารำคาญไปหน่อยก็เถอะ!
“สนุกมั้ยครับ”
ผมที่กำลังนั่งกินป็อปคอร์นระหว่างดูหนังแก้เบื่อชะงักเมื่อคาร์เรย์เดินเข้ามาหอมแก้ม ตอนนี้ก็ปาไปสามทุ่มแล้ว...คาร์เรย์มีประชุมผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ หลังกินข้าวเย็นเสร็จเขาจึงเก็บตัวอยู่ในห้องเงียบเกือบสองชั่วโมง และเพิ่งออกมาแหย่ผมเล่นแถมยังนั่งเบียดบนโซฟาตัวเดียวกันอีกต่างหาก
เด็กหนุ่มรั้วเอวผมขึ้นมาวางบนตักเหมือนเบาหนักหนา จากนั้นก็กอดหมับไม่ยอมปล่อย แถมยังซุกหน้ากับศีรษะผมดังฟอด
“หอมจัง”
“ก็เพิ่งอาบน้ำเสร็จนี่นา” ผมตอบพลางขยับตัวนั่งดีๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายเหน็บกิน ก่อนจะเอียงถุงป็อปคอร์นในมือเป็นเชิงถาม
แต่คาร์เรย์ดันอ้าปากด้วยท่าทางน่ารักเป็นคำตอบซะงั้น
อืม...มีแฟนเด็กต้องหมั่นเอาใจสินะ ผมป้อนป็อปคอร์นใส่ปากคนรัก แต่พอจะป้อนตัวเองมือที่กอดผมหนึบหนับไม่ยอมปล่อยก็ถือป็อปคอร์นมาจ่อปากแล้ว
“พลัดกันไงครับ” คาร์เรย์ยิ้มหวาน เห็นแบบนั้นผมก็ยอมกินแบบทุลักทุเล ป้อนเด็กน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถูกเด็กป้อนนี่สิมันน่าอายแปลกๆ
หลังจากกินป็อปคอร์นไปจนหมดถุง ผมก็นั่งผึ่งพุงเอนตัวพิงคาร์เรย์ซะเต็มคราบ พอดีกับหนังที่เริ่มเข้าสู่ฉากไคลแมกซ์ ยิงกันสนั่นหวั่นไหวแบบโอเวอร์เกินจริงจนผมปิดปาดหาว
“ง่วงแล้วเหรอครับ”
“เปล่า มันน่าเบื่อน่ะ” ผมว่าพลางตัดสินใจเปลี่ยนช่องไปดูข่าว ประจวบเหมาะกับการออกจากโรงพยาบาลของผู้บัญชาการหน้าคุ้นตา จริงสิ ครบสองวันที่เลียมบอกแล้วนี่นะ
“คาร์เรย์”
“มีอะไรเหรอครับที่รัก”
อ่า...ความตั้งใจแทบอ่อนยวบเมื่อถูกเรียกเสียงหวานหยด ผมซึมซับความรู้สึกนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามเสียงจริงจัง เพราะแม้จะถูกกอดอยู่แบบนี้ แต่ความค้างคาในใจก็ทำให้ผมไม่ผ่อนคลายเต็มที่
“ทำไมถึงฆ่าอีกแล้วล่ะ”
คาร์เรย์เกร็งตัวชั่ววูบ หากไม่นั่งทับอยู่แบบนี้คงไม่รู้สึก
“...ตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัวนิดหน่อยน่ะครับ” นิ่งอยู่นานก่อนจะตอบเสียงเรียบ ท่าทางเหมือนไม่อยากให้ผมถามซอกแซกมากนัก เขาคงคิดไม่ถึงว่าผมจะรู้ล่ะมั้ง ความจริง...หากเลียมไม่บอก ผมก็คงไม่สนใจซะด้วยซ้ำ
“จริงเหรอ”
คาร์เรย์ซุกหน้ากับไหล่ของผมเป็นคำตอบ สองมือโอบกอดแน่นขึ้น ท่าทางเหมือนเด็กน้อยทำอะไรผิดที่ไม่กล้าสู้หน้าผู้ใหญ่
“คาร์เรย์ นายปิดบังอะไรฉันรึเปล่า”
“...ผมฆ่าปิดปาก” เด็กหนุ่มพูดอู้อี้เพราะยังซุกหน้านิ่ง “นัดเขาออกมารับเงิน ทำให้สลบ จากนั้นก็ฉีดแอลกอฮอล์ใส่ร่างกาย ก่อนจะนำไปโยนทิ้งในบ่อน้ำ”
กลายเป็นผมซะอีกที่นั่งตัวเกร็ง แทบจะลุกหนีออกมา แต่คาร์เรย์กลับกอดแน่นไม่ปล่อย
“คนคนนั้นเป็นพวกติดยาอยู่แล้ว รอยเข็มจึงพอกลมกลืนไปได้ แถมเมื่อคืนยังหิมะตกหนัก ไม่มีใครเห็นหรอกครับ ไม่มีหลักฐานมาถึงผมแน่นอน แต่ถ้ายังปล่อยเอาไว้ คนติดยาพรรคนั้นอาจนำเรื่องนี้มาต่อรองกับผมได้ ผมไม่อยากเสี่ยง”
หลังสารภาพมาจนหมด คาร์เรย์ก็เงยหน้าขึ้น มือซึ่งกอดผมแน่นสั่นระริก ไม่ต่างจากดวงตาที่มองผมด้วยความหวาดกลัวบางอย่างหมดใจ
“เกลียดผมมั้ย...”
เสี้ยวนาทีนั้น ความรู้สึกแย่ๆ ในใจของผมคล้ายถูกบรรเทาลง แทนที่ด้วยความอุ่นวาบในอก มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนผมได้แต่ถอนหายใจปลงตกออกมา
บ้าชะมัด ผมควรจะว่าเขาสักยกสองยกสิ แม้เหตุผลจะฟังขึ้น แต่ในความรู้สึกกลับเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง เป็นความรู้สึกที่ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ทว่า...
“ไม่เกลียดหรอกน่า” ผมเงยหน้าประทับริมฝีปากกับเขาแผ่วเบาอย่างปลอบโยน “แต่อย่าลุกไปตอนกลางคืนแบบนั้นอีกล่ะ ฉันหนาวนะรู้มั้ย”
“ครับ ผมจะไม่ให้คุณนอนหนาวคนเดียวอีกเด็ดขาด” คาร์เรย์กอดผมแน่นอย่างมีความสุข คงคาดไม่ถึงว่าผมจะเป็นพวกความรู้สึกไวขนาดนั้น
หึ ถ้าไม่ติดว่าต้องนอนกอดตัวเองทุกวัน หวาดหวั่นว่าจะมีคนถามมาขู่ฆ่า หรือกลัวที่จะถูก ‘คนคนนั้น’ ตามเจอ ผมก็คงไม่ประสาทไวตอนกลางคืนขนาดนี้
“ว่าแต่...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นคนลงมือ”
เลียมผมตอบในใจ แต่ไม่โง่พอจะเอ่ยชื่อออกมา
“ก็นายเล่นหายไปตอนกลางดึก ตื่นเช้ามาก็มีคดีคนตาย ฉันเลยเดาซุ่มน่ะสิ”
“ผมน่าระแวงขนาดนั้นเลยเหรอครับ” คาร์เรย์พูดอย่างน้อยใจ ปกติทำแล้วน่ารัก แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกหมั่นไส้แปลกๆ เลยดีดนิ้วใส่หน้าผากหมอนั่นไปหนึ่งที
“ทีนายยังให้คนตามดูฉันเลยไม่ใช่รึไง”
“ก็ผมเป็นห่วงคุณนี่นา” คาร์เรย์รีบง้อเมื่อเห็นผมหน้าบูด หอมแก้มซ้ำๆ จนผมต้องยกมือกันก่อนจะช้ำไปกว่านี้
“ห่วงหรือหวงกันแน่” ผมว่าพลางกอดอกอย่างจริงจัง ปฏิเสธหลายต่อหลายครั้งว่าไม่คิดอะไรแท้ๆ นึกแล้วก็อดโมโหไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่กลับมาทีไร เป็นต้องนั่งถกประเด็นเรื่องเลียมทุกที
“ทั้งห่วง...”
เพื่อปลอบประโลมขุ่นมัว คาร์เรย์จึงจูบไหปลาร้าผมอย่างอ่อนโยน
“ทั้งหวง...”
ก่อนจะไล่มาถึงหลังหูจนรู้สึกจั๊กจี๋
“และทั้งหึงเลยล่ะ”
จากนั้นค่อยมาจบที่ริมฝีปาก เสียแต่ไม่แค่แตะเบาๆ เพราะคราวนี้พวกเราจูบอย่างดูดดื่ม ก่อนคาร์เรย์จะดันตัวผมนอนลงบนโซฟาอย่างเชื่องช้า สร้างอารมณ์วูบไหวจนสมาธิกระเจิง
...เอาอารมณ์โมโหผมกลับมานะ บ้าที่สุด!
--------------------------
มองซ้ายมองขวา มีคนรอคอยหนุ่มฆาตกรคนนี้มั้ยคะ
อาทิตย์ที่ผ่านมาติดธุระหลายอย่างเลยต้องมาลงวันศุกร์แทน อ่า...วันศุกร์แสนสุขเพราะมีวันหยุดรอคอยอีกสองวันติด ฮืออ สวรรค์!!!
ถึงจะไม่ตอบเม้น แต่เราอ่านทุกคอมเม้นท์นะคะ มีคนชอบพ่อหนุ่มฆาตกรเยอะกว่าที่คิด ดีใจจังเลย
มาร่วมติดตามไปด้วยกันนะคะ!