- The Murderer- แฟนผมเป็นฆาตกร [แจ้งข่าว P.15 : 02/06/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - The Murderer- แฟนผมเป็นฆาตกร [แจ้งข่าว P.15 : 02/06/61]  (อ่าน 114918 ครั้ง)

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
อ่านแล้วลุ้นจริงๆว่าเลียมจะโดนเก็บรึเปล่า

ชอบเลียมนะ   คาร์เรย์ก็ชอบ

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
 :-[  น่าเอ็นดูอ่า

ออฟไลน์ saruwatari_guy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เลียมเก่งไป ซักวันจะตายมั้ย .....คาเรย์ไม่ควรก่อคดี ใกล้ตัวนะ เลียมแม่งเก่ง เดี๋ยว คราวนี้โป๊ะแตก แล้ว เจย์เดนจะอยู่กับใครล่ะ

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
 :a5:
เฮ้ยย มันอึนนนนนนนนนนนนน อ่ะ  :katai5:

ขอฉากสวีทๆหน่อยเต้อะ  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
ชอบบบบบบบ ชอบพ่อหนุ่มฆาตกรมากกกก :impress2:
จิตๆแบบนี้หายากนะ รอตอนต่อไปน้าาาา :กอด1:

ออฟไลน์ Linea-Lucifer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
สนุกมากกกกกกกกกกกกกก
ความรักแบบนี้ช่าง ///-///
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ ชมพูพาล

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Chapter 7 : “นี่เป็นการป้องกันตัว”

วันนี้ช่างเป็นเช้าที่สดใส

...ผมประชดนะครับ

“เจย์เดน เวอแกน”

เบื้องหน้าของผมคือพ่อของเลียม ท่านผู้บัญชาการผู้มีผ้ากระดับศีรษะจนดูไม่เคร่งขรึมเท่าแต่ก่อน จะบอกว่าผมไม่แปลกใจที่โดนเรียกตัวหลังท่านออกจากโรงพยาบาลก็คงโกหก เพราะผมพอเดาได้อยู่แล้วในเมื่อเลียมไม่ยอมเคลื่อนไหวอะไรเลยเพื่อตามจับคนร้ายให้พ่อของเขา

หากเป็นคนอื่น คงคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา

แต่สำหรับผู้เป็นพ่อ...ที่รู้ความสามารถลูกชายตัวเองดี กลับรู้ทันว่าคนที่ถ่วงแข้งถ่วงขานั้นคือใคร

“นี่คืออะไรครับ”

“เอกสารย้าย”

รวดเร็วจริงๆ

ผมไม่แม้แต่จะมองเอกสารเบื้องหน้าซะด้วยซ้ำ มันก็แค่แผ่นกระดาษ...เพราะอันที่จริง ตั้งแต่เข้าห้องมานั่งจ๋องอยู่ตรงนี้ ในใจของผมก็นึกถึงเอกสารอีกชุดหนึ่งที่เขาเป็นคนมอบให้เอง แต่ดูเหมือนว่าพ่อของเลียมจะมีหน้าที่แค่ส่งมอบจริงๆ และไม่ได้แอบดูเนื้อหาข้างในนั้นด้วย

“เมื่อวานไม่ได้คุยกับลูกชายเหรอครับ”

ผมถามอย่างยี่หระ ไม่เหมือนคนถูกสั่งย้ายแม้แต่น้อย

“...”

ความเงียบนั้นแปลได้สองอย่าง คือคุย แต่เลียมแพ้ กับไม่ได้คุย เพราะกลัวแพ้เลียม

อืม...เป็นอย่างไหนกันนะ

ผมโคลงศีรษะเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด หากถูกย้ายจริงๆ ผมคงลาออก เพราะมาทำงานก็เหมือนไม่ได้ทำอยู่แล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนที่ต้องพึ่งเงินเดือนคงรับเอกสารแล้วเดินไปเก็บของแต่โดยดี ทว่า...บ้านของผมกับคาร์เรย์อยู่ที่นี่ และผมก็ชอบเอามากๆ ด้วย

“ฉันเลื่อนยศให้เธอขั้นหนึ่ง เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นด้วย ถ้ายังไม่พอใจก็พูดมาตรงๆ อย่าไปยุ่งกับเลียม”

“งั้นผมขอลา...”

“พ่อ!”

ไอ้เด็กเวรส่งเสียงดังแต่เช้า ท่าทางกระหืดกระหอบอย่างหาได้ยาก แถมเสื้อยังยับเยินเหมือนถูกดึงแรงๆ คาดว่ากว่าจะฝ่ามาถึงห้องนี้ได้คงถูกห้ามปรามหลายต่อหลายครั้ง

“ไม่เห็นเหมือนกับที่ตกลงไว้เลยนี่!”

เลียมมาถึงก็แย่งเอกสารสั่งย้ายไปฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะเอาเข้าปากเคี้ยวหงุบๆ แล้วกลืนลงกระเพาะจนหน้าแดง...บ้าดีเดือดจริงๆ ผมเกือบปรบมือให้อยู่แล้วนะเนี่ย

“เลียม!”

สารวัตรใหญ่ที่โดนลูกชายหยามหน้าด้วยการประท้วงแบบโคตรหน้าด้านถึงกับตบโต๊ะอย่างโมโห

“เอาสิ ถ้าออกเอกสารอีก ผมก็จะกินให้หมดทุกแผ่น ดูซิว่าเจย์เดนจะถูกย้ายก่อน หรือผมจะท้องแตกตายก่อน!”

คำขู่ทุเรศฉิบเป๋ง!

ผมถึงกับหมดอารมณ์จะเอ่ยแก้คำเรียกอย่างเคย และนึกหมดอารมณ์ที่เคยชมไอ้เด็กเวรนี่ในใจว่าฉลาดนักหนาด้วย แต่เอาเข้าจริงๆ...วิธีสิ้นคิดแบบนี้กลับได้ผล เพราะพ่อเขากำลังทำหน้าดำหน้าแดง ชั่งใจว่าควรจะยิงลูกชายตัวเองทิ้งให้หมดปัญหาไปดีรึเปล่า

“งั้นพ่อจะย้ายแก!”

“งั้นผมก็จะกินเหมือนกัน!”

เลียมขู่กลับ ท่าทางจริงจังจนผมเองยังเชื่อว่าใจกล้าหน้าด้านแบบนี้พูดจริงทำจริงแน่นอน

“หัดเชื่อใจลูกชายตัวเองหน่อยสิพ่อ ผมแยกแยะได้น่า ไอ้ก่อนหน้านี้มันแค่เผลอไปหน่อย อีกอย่างเจย์เดนก็มีคนรักอยู่แล้ว ผมไม่บ้าไปตามตื้อเขาหรอก”

ตอแหลเห็นๆ

ผู้บัญชาการเองก็ดูจะไม่ค่อยเชื่อคำลูกชายตัวเองนัก มันก็สมควรในเมื่อหมอนี่มันวีรกรรมเยอะ

“ผมแค่อยากเป็นเพื่อนร่วมงานกับเขาเท่านั้น พ่อ...พ่อเองก็มีความรัก แถมยังเป็นความรักที่น่านับถือ ดูสิ แม่เหี่ยวขนาดนั้นพ่อก็ยังรักแม่ งั้นพ่อก็ต้องเข้าใจผมด้วยสิว่าการรักใครสักคนน่ะย่อมอยากอยู่ใกล้ๆ กัน อยากเห็นหน้ากันทุกวัน ถึงจะไม่สมหวัง แต่แค่เห็นเขามีความสุขก็พอแล้ว”

น้ำเน่าได้ใจ

ผมล่ะแทบจะทนฟังไม่ได้ ถึงจะแอบหลุดยิ้มกับการยกตัวอย่างของได้เด็กเวรก็เถอะ แต่มันก็ดูจริงใจจนผู้บัญชาการเริ่มคล้อยตาม

“เอาเถอะ ถือซะว่าฉันยอมแพ้ลูกบ้าของแก” พ่อของเลียมยอมในที่สุด แถมยังกุมขมับเหมือนไมเกรนจะขึ้น “พา ‘เพื่อน’ ของแกออกไป แล้วอย่าทำอะไรลับหลังฉันอีกล่ะ ไอ้ลูกเวร”

คราวนี้ผมหลุดยิ้มออกมาจริงๆ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายคิดกับลูกชายตัวเองเหมือนผม

มันเป็นเด็กเวรจริงๆ นั่นแหละ!

“ครับผม!”

เลียมขานรับเสียงดัง ก่อนจะรีบคว้าแขนผมออกจากห้องเหมือนกลัวท่านผู้บัญชาการจะเปลี่ยนใจ ให้ตายเถอะ พอเดินออกมาผมก็ยกมืออีกข้างปิดปากแล้วหัวเราะจนตัวสั่น เสียงที่พยายามกลั้นเอาไว้ฟังดูยียวนกว่าปกติหลายเท่า

“ทรมานมั้ยนั่น จะหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ”

ไอ้เด็กเวรช่วยลูบหลังผมแบบไม่มั่วซั่วสุดๆ ผมเลยยกมือบอกปัด อันที่จริงก็ไม่ใช่พวกเส้นตื้นขำกร๊ากออกมาเสียงดังอยู่แล้ว

“เป็นไง บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วง แค่นี้ผมจัดการได้อยู่แล้วล่ะน่า”

มันยังมีหน้ามายืดอกภูมิใจอีก ผมเลยได้แต่ส่ายหน้าให้แบบเพลียๆ

“จะทำอะไรก็ทำเถอะ”

“อ้าว ไม่ขอบคุณสักคำหน่อยเหรอ”

“เอาตีนแทนมั้ยล่ะ”

“แค่ตีนก็เอา ถึงจะอยากได้อย่างอื่นมากกว่าก็ตาม”

ไอ้เด็กเวรพูดซะผมหมดอารมณ์จะถีบ...เลยเดินหนีไปที่โต๊ะประจำแล้วนั่งทำเอกสารสรุปคดีเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะมีการฆ่าข่มขืนเกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะมีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนเยอะทีเดียวเนื่องจากเพิ่งมีเหยื่อรายที่สามสดๆ ร้อนๆ และทางตำรวจก็ไม่มีวี่แววว่าจะตามจับได้

“นั่นจะเป็นผลงานชิ้นต่อไปของผม”

เลียมที่เดินตามหลังมาพูดเมื่อเห็นผมมองรายละเอียดอย่างสนใจ

“สนใจร่วมมือกันมั้ยล่ะครับ”

“ฝันไปเถอะ” ผมทิ้งตัวลงนั่ง ขณะเดียวกันเลียมก็ถูกเพื่อนร่วมงานเรียกไปคุย ทำให้ผมสบายหูสักที

ที่สนใจไม่ใช่เพราะเหยื่อมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงหรอกนะ

แต่ว่า...สถานที่เกิดเหตุดันใกล้กับบ้านของคาร์เรย์

บ้านของเรา




(( วันนี้ผมกลับดึกนะครับ มีธุระด่วนเข้ามาจนต้องรีบจัดการ ))

เสียงคาร์เรย์หงอยซึมราวกับผมเป็นฝ่ายทิ้งเขาให้อยู่คนเดียวอย่างไรอย่างนั้น นึกแล้วภาพของชายหนุ่มก็ผุดวาบ เชื่อว่าตอนนี้คงนั่งอยู่ในห้องว่าที่ท่านประธาน ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างน่าสงสารอยู่แน่ๆ

“เอาน่า ตั้งใจทำงานให้ดีแล้วกัน”

ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ กับเรื่องแค่นี้ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอกครับ แม้จะเซ็งๆ อยู่บ้างเพราะดันกลับบ้านมาแล้ว และผมก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากินด้วยนี่สิ...ของสดมีอยู่ในตู้เย็นเหลือแล่ แต่ถ้าผมต้องกินฝีมือตัวเองโดยไร้ผู้ช่วยอย่างคาร์เรย์ อาจจะเกิดโศกนาฏกรรมอาหารเป็นพิษตายเอาได้

(( ถ้าหิวก็โทรสั่งอาหารได้นะครับ ผมเก็บใบปลิวร้านอาหารใกล้ๆ หมู่บ้านไว้ข้างโทรศัพท์บ้าน  บอกเขาลงชื่อคาร์เรย์ แอลเวลได้เลย ขากลับผมจะแวะไปจัดการเอง ))

คาร์เรย์ช่างรู้ใจผมจริงๆ มือหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือ อีกมือก็หยิบใบปลิวมาดู ตอนแรกเห็นเผินๆ นึกว่ากระดาษจดซะอีก

“นายเองก็อย่าลืมกินข้าวเย็นล่ะ”

(( เป็นห่วงเหรอครับ ))

ผมเห็นภาพคนรักยิ้มกรุ่มกริ่มผ่านเสียงดีใจนั้นทันที นึกแล้วก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

“ห่วงสิ ห่วงใครไม่รู้ที่โทรมากำชับให้ฉันหาของกินยัดท้องตัวเองนี่ไง” ผมว่าพลางเดินไปนั่งตรงโซฟา เลือกหยิบใบปลิวร้านอาหารที่น่าสนใจ

(( ดีใจจัง ))

คาร์เรย์รำพันเหมือนเด็กๆ

(( แต่เชื่อเถอะว่าผมห่วงคุณมากกว่าแน่ๆ ))

“มันใช่เรื่องที่ต้องมาแข่งกันมั้ยเนี่ย” ผมหัวเราะอย่างไม่จริงจังนัก ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะตอบแว่วๆ “แล้วนายไม่ไปทำงานรึไง คุยกับฉันไม่ยอมวางเป็นสิบนาทีแล้วนะ”

(( ก็ผมคิดถึงคุณนี่ ))

คาร์เรย์ว่าอย่างออดอ้อน พอดีกับเสียงเลขาที่เข้ามาบอกว่าได้เวลาประชุม

(( งั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ ที่รัก ))

“ตั้งใจทำงานเถอะ”



(ต่อข้างล่าง)

ออฟไลน์ ชมพูพาล

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0

ผมทิ้งท้ายก่อนเสียงสัญญาณจะขาดหาย เฮ้อ...แค่คุยโทรศัพท์ก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย นึกแล้วก็โคลงศีรษะอย่างแปลกใจกับท่าทางสาวน้อยของตัวเอง แค่ถูกเรียกว่าที่รักทำเอาหน้าแดงก่ำไปไม่เป็น น่าอายแท้ๆ

พอคาร์เรย์ไม่อยู่บ้านหลังนี้เหมือนจะกว้างกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งที่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร คาร์เรย์รู้รสนิยมผมที่ไม่ชอบความหรูหรา จึงเลือกซื้อบ้านหลังเล็กสองชั้น ด้านบนมีแค่ห้องนอนกับห้องน้ำ พ่วงด้วยระเบียงสำหรับออกไปตากอากาศ ส่วนชั้นล่างก็มีห้องนั่งเล่นพ่วงที่รับประทานอาหาร ห้องครัวขนาดเล็ก และห้องน้ำที่ไม่มีอ่างเท่านั้น

คาร์เรย์จ้างแม่บ้านทำความสะอาดทุกวันเสาร์ เสื้อผ้าก็ส่งซักรีดอย่างดี ทำให้ไม่มีคนนอกเข้ามาป้วนเปี้ยน ผมเคยถามว่าแล้วเขาไม่มีเพื่อนสนิทหรือ เด็กหนุ่มเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำ เป็นอันรู้กันว่าคนเพิ่งย้ายมาสดๆ ร้อนๆ อย่างเขาคงไม่มีมิตรสหายสนิทอะไร หรือไม่...ก็ไม่สนใจในเมื่อนอกจากเวลางานแล้วเขาล้วนเอาเวลาทั้งหมดมาอยู่กับผม

เหมือนว่าผมเป็นทั้งโลกของเขา

นึกแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอย่างสุขใจแปลกๆ ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญกับผมเท่านี้มาก่อน ไม่เคยมีใครให้ความรักกับผมมากเท่านี้มาก่อน หากรู้ว่ายังมีคาร์เรย์ที่พร้อมอยู่เคียงข้าง ผมคงรีบตามหาเขาก่อนที่เขาจะมาเจอผมไปนานแล้ว

ชักจะเพ้อเจ้อไปกันใหญ่

ผมส่ายศีรษะก่อนจะกดโทรสั่งอาหาร ไม่นานเสียงกริ่งก็ดังขึ้น

ผมหยิบกระเป๋าเงินไปด้วย ถึงอาหารมื้อนี้จะแพงกว่าที่เคยกินปกติสองเท่า แต่ผมไม่อยากให้คาร์เรย์ต้องเสียเวลาตอนขากลับกับเรื่องไร้สาระแบบนี้

“อ่ะ...”

แต่คนที่กดกริ่งไม่ใช่คนส่งอาหาร

“ช่วยด้วย”

เขาเป็นชายคนหนึ่ง...ที่ผมไม่รู้จัก รูปร่างเล็กและเตี้ยกว่าผมซะอีก ดูจากท่าทางคงเป็นเด็กมหาลัย ดูขี้โรคอ่อนแอและบอบบางอย่างบอกไม่ถูก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะอีกฝ่ายกำลังยืนพิงที่หน้าประตูบ้านของผมอย่างอ่อนแรง มือหนึ่งกุมสีข้างไว้แน่น พยายามหยุดเลือดสีแดงสดซึ่งล้นทะลัก

แผลถูกแทง...

“ช่วยด้วย ผมถูกคนโรคจิตทำร้าย เขาพยายามจะข่มขืนผม โชคดีที่หนีออกมาทัน แต่ว่า...”

เด็กหนุ่มทรุดลงไปนั่งกับพื้น เลือดยิ่งล้นทะลักกว่าเดิมจนคนใจดำอย่างผมทนมองไม่ได้

“เดี๋ยวค่อยเล่าแล้วกัน รีบๆ เข้าบ้านเถอะ”

ผมโน้มตัวเอาแขนอีกฝ่ายพาดไหล่ ก่อนจะประคองเข้าไปในบ้านอย่างทุลักทุเล อันที่จริงผมไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่ายๆ หรอกนะครับ แต่ก็ไม่บ้าขนาดปล่อยให้คนตายต่อหน้าทั้งที่วิ่งมาขอความช่วยเหลือเหมือนกัน อีกอย่าง...ไอ้หมอนี่ดูน่าจู่โจมจริงๆ นั่นแหละ ผิวขาวซีด ใบหน้าเรียว ปากนิด จมูกหน่อย นับเป็นคนหน้าสวย หากฆาตกรโรคจิตจะเลือกเหยื่อข่มขืน ก็คงหมายตาผู้ชายที่ท่าทางบอบบางแบบนี้ล่ะมั้ง

“อย่า...โทรแจ้งตำรวจนะครับ”

พอเอาคนเจ็บมากองไว้บนโซฟา เด็กหนุ่มก็พูดเสียงโรยแรงด้วยหน้าซีดเผือดเพราะเลือดไหลแทบหมดตัว

อืม...คาร์เรย์คงไม่โมโหที่ผมทำโซหาเลอะหรอกมั้ง

ผมคิดก่อนจะเดินหากล่องพยาบาลที่คุ้นๆ ว่าคนรักเคยหยิบมาหายาแก้ปวดหัวให้เมื่อวันก่อน อ่ะ...เจอแล้ว อยู่ในห้องครัวจริงๆ ด้วย คาร์เรย์คงคิดว่าที่นี่น่าจะสร้างบาดแผลให้ผมมากที่สุด ถึงตั้งใจเก็บไว้ใกล้มือแบบนี้

“นายต้องให้การกับตำรวจนะ”

พอได้ของที่ต้องการ ผมก็ทิ้งตัวข้างเด็กหนุ่มพลางเปิดเสื้ออีกฝ่ายขึ้น เผยให้เห็นแผลถูกแทงที่ไม่ยักลึกกว่าที่คิด น่าจะแค่ไม่กี่เซนต์ซะด้วยซ้ำ แต่ที่เลือดออกเยอะคงเป็นเพราะหมอนี่ฝืนร่างกายตัวเองวิ่งหนีมาหาผมแน่ๆ

“ผมไม่อยากให้คนรู้...ว่าถูกผู้ชายด้วยกัน...จับข่มขืน”

“แต่คำให้การของนายจะเป็นประโยชน์กับผู้เคราะห์ร้ายคนอื่นๆ มาก” ผมพยายามเกลี้ยกล่อม ราวตัวตนในส่วนลึกที่เคยภาคภูมิใจในอาชีพนี้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ต้องห่วง ฉันมีคนรู้จักกำลังรับผิดชอบคดีนี้อยู่ จะช่วยพูดให้เขาปกปิดเรื่องนายเป็นเหยื่อไว้แล้วกัน”

แน่นอนว่าคนคนนั้นก็คือเลียม

“...ขอบคุณครับ”

ผู้เคราะห์ร้ายผู้น่าสงสารเอ่ยเสียงโรยแรง ว่าง่ายกว่าที่คิด ซึ่งก็ดีแล้วเพราะผมเองก็ขี้เกียจเกลี้ยกล่อมเหมือนกัน ในเมื่อกำลังตั้งสมาธิกับการกอบกู้วิชาปฐมพยาบาลขั้นต้นที่เคยเรียนตอนเตรียมตำรวจว่าควรทำยังไง เฮ้อ...ศิษย์ลืมวิชาก็แบบนี้ หลังจากคิดอยู่นานผมก็ตัดสินใจห้ามเลือดแบบงูๆ ปลาๆ ไว้เลียมมาถึงค่อยให้จัดการที่เหลือเองแล้วกัน

“คุณใจดีจัง”

นับว่าความมั่วซั่วของผมยังมีดีอยู่บ้าง เพราะในไม่ช้าเลือดของอีกฝ่ายก็หยุดไหล...แน่ล่ะ แผลไม่ลึกอะไรมาก แค่พันหลายๆ ทบเข้าหน่อยก็โอเคแล้ว

“ฉันแค่ทำตามหน้าที่พลเมืองดีน่ะ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “แล้วนายวิ่งหนีท่าไหนมาหน้าบ้านฉันได้ล่ะเนี่ย”

นั่นเป็นสิ่งที่ผมสงสัยมากครับ คาร์เรย์เรียกซื้อบ้านหลังในสุด เพื่อไม่ให้ต้องมีคนเดินผ่านไปมาจนน่ารำคาญ ฉะนั้นการที่หมอนี่เข้ามาขอความช่วยเหลือผมได้ ถ้าไม่ใช่บ้านใกล้เรือนเคียง ก็แสดงว่าต้องวิ่งผ่านมาหลายหลังสุดๆ

แล้วทำไมถึงต้องเจาะจงเป็นที่นี่ด้วยล่ะ!?

“ผมถูกคนโรคจิตจับตัวแล้วลากมาแถวนี้น่ะครับ...คงเพราะตรงช่วงนี้ของหมู่บ้านค่อนข้างเงียบกว่าที่อื่น”

พอฟังขึ้น เพราะบ้านใกล้เรือนเคียงที่ว่าห่างจากที่พักของผมเกือบครึ่งกิโลฯ ระหว่างนั้นมีสวนธรรมชาติแทรกทำให้อากาศแถวบ้านผมดีเป็นพิเศษ และเงียบเชียบเป็นพิเศษด้วย

“ตอนแรกถูกปิดปากจนร้องโวยวายไม่ได้ แต่พอโดนโยนมาไว้ที่สวน หมอนั่นที่มัวแต่ถอดกางเกงตัวเองก็มีช่องว่างให้ผมสู้กลับแล้ววิ่งหนีออกมา แต่ถึงอย่างนั้น...ก็โดนทำร้ายจนบาดเจ็บอยู่ดี” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ เอื้อมมือจับต้นแขนผมอย่างต้องการที่พึ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ “บ้านของคุณใกล้ที่สุดผมเลยรีบวิ่งมา โชคดีที่กดกริ่งครั้งแรกคุณก็เข้ามาช่วยเหลือ คนโรคจิตนั่นเห็นถึงได้ยอมถอนตัวไป”

“แต่นายดูบาดเจ็บแบบขอไปทีมากกว่าคนที่เพิ่งสู้กับฆาตกรจนต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเลยนะ” ผมว่าพลางจับหน้าเด็กหนุ่มเอียงซ้ายเอียงขวา หมอนี่หน้าสวยอย่างร้ายกาจ แถมยังซูบซีดมากด้วย แต่กลับไม่ยักมีรอยถูกทำร้ายหรือรอยช้ำใดๆ ที่บ่งบอกว่าถูกลากหรือฉุดกระชากแม้แต่น้อย

“เข้ามาดูใกล้ๆ สิครับ ผมถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรงจนแทบหายใจไม่ออก คงยังเหลือรอยช้ำอยู่บ้าง” อีกฝ่ายว่าพลางรั้งคอเสื้อทรงสูงลงมา เรียกให้ผมชะโงกหน้ามองจนแทบกลายเป็นคร่อมเหนือร่างบอบบางนั่น แน่นอนว่าผมแค่ตั้งท่าไปงั้นล่ะ เพราะพอโน้มหน้าเข้าใกล้ มือที่ยังยึดต้นแขนผมไว้แน่นก็เปลี่ยนเป็นผลักกดลงกับโซหาอย่างรุนแรง!

ท่าทางอ่อนแอกลายเป็นแข็งกร้าว ดวงหน้าซูบซีดกลับประดับด้วยรอยยิ้มได้ชัย มือหนึ่งของอดีตเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายถือมีดพับเล่มบางเฉียบ ยังคงปรากฏรอยเลือดบนนั้น ซึ่งไม่ใช่เลือดใครที่ไหนนอกจากของตัวเอง

และอาจจะเพิ่มของผมไปด้วยเพราะตอนนี้ปลายคมนั้นกำลังจ่อที่ลำคอผมอย่างเยือกเย็น

“รู้มั้ย...คุณเป็นสเปคของผมเลย ผมแอบมองมาสองวันแล้ว...รอโอกาสที่คุณอยู่คนเดียวมาตลอด”

น้ำเสียงสั่นพร่าหวาดกลัวกลายเป็นความวิปริตเมื่อร่างนั้นโน้มหน้าเลียซอกคอผมอย่างหื่นกระหาย เล่นเอาขนลุกซู่ ผมล่ะแทบมือกระตุก หากไม่ติดว่าแขนทั้งสองถูกเข่าของอีกฝ่ายกดแน่นจนแทบชา

เป็นการจับล็อคสมบูรณ์แบบที่ผมเชื่อว่าหมอนี่คงใช้วิธีนี้หลอกล่อเหยื่อหลายต่อหลายครั้งจนเชี่ยวชาญ ให้ตายสิ...ถึงว่าตำรวจตามจับไม่ได้สักที ที่แท้ก็เพราะฆาตกรรูปร่างหน้าตาเหมือนเหยื่อซะเองแบบนี้ ใครจะไปนึกถึงกันล่ะ

ปลายมีดเริ่มลากไล้ลงมาเรื่อยๆ กรีดเสื้อของผมอย่างใจเย็นจนเริ่มหนาว

“ขอเตือนอย่างนะ” ผมพูดก่อนที่จะกลายเป็นชายเปลือยอกสมบูรณ์แบบ “ข้างในกระเป๋ากางเกงของฉันมีโทรศัพท์ที่กำลังโทรออกเครื่องหนึ่ง ถ้าไม่รบกวนอะไรช่วยพูดสายหน่อยได้มั้ย”

ฆาตกรหยุดชะงักทันที ก่อนจะเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวเมื่อสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง

ผมคงลืมบอกไปว่าตอนไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล ผมแอบกดโทรออกและอธิบายข้อสันนิษฐานคร่าวๆ ให้กับเพื่อนคนหนึ่งฟัง

(( สวัสดี ฉันชื่อเลียม เป็นเจ้าหน้าที่ที่กำลังจะเข้าจับกุมนาย และถ้าไม่รบกวนอะไร ช่วยเลิกคร่อมคนที่ฉันรักสักทีได้มั้ย เห็นแล้วมันบาดตาบาดใจน่ะ ))

...ไอ้เด็กเวร!

ผมกลอกตาเมื่อเสียงผ่านโทรศัพท์นั้นดังพร้อมกับเจ้าตัวที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมปืนหนึ่งกระบอก ผมคงไม่ต้องอธิบายสินะว่าตอนพาไอ้หมอนี่เข้ามารักษา ผมไม่ได้ล็อคประตู และนั่นทำให้เลียมเดินโทงๆ เข้ามาง่ายๆ

เพราะหากไม่ใช่คาร์เรย์...ผมไม่เชื่อใครทั้งนั้น แม้ว่าเขากำลังจะตายก็ตาม!

ฉะนั้น เมื่อยอมพาเข้ามา ผมก็คิดถึงสิ่งเลวร้ายที่สุดและการป้องกันไว้แล้ว!!

“วางมีดลง”

ไอ้เด็กเวรเอ่ยเสียงเรียบ ไร้ซึ่งคำยียวนเมื่อเดินเข้ามาจ่อปืนด้านหลังฆาตกร 

“ฉันบอกให้วางมีด แล้วยกมือขึ้นเหนือหัวซะถ้าไม่อยากโดนยิง”

ฆาตกรหนุ่มทำตามอย่างเชื่องช้า เหลือบมองผมอย่างเจ็บใจแฝงความคาดโทษ ก่อนจะค่อยๆ ลุกออกจากตัวผมเมื่อเลียมเอาปืนไถหัว ค่อยรู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อย

“คุณไปใส่เสื้อดีๆ เถอะ”

ไอ้เด็กเวรหันมาพูดกับผมที่เสื้อขาดครึ่งหนึ่ง สงสัยต้องแอบเอาไปทิ้งไม่ให้คาร์เรย์เห็นซะแล้ว...

“ถือซะว่ายกหนี้ให้ฉันแล้วกัน” ผมพูดเมื่อเลียมใส่กุญแจมือฆาตกร เรียกให้อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ก่อนจะหลุดยิ้มอ่อนใจเมื่อนึกได้ว่าเขาเคยยกผมเป็นลูกหนี้จากการช่วยปิดตาข้างหนึ่งจนคดีฆาตกรรมกลายเป็นการฆ่าตัวตายธรรมดา

 “ไม่นึกว่าคุณจะจริงจังขนาดนี้”

“หึ” ผมแค่นหัวเราะเป็นคำตอบ ใครกันแน่ที่จริงจัง ถึงตอนนั้นจะไม่ใส่ใจนัก แต่ผมรู้ดีว่าเลียมเป็นพวกตรงไปตรงมา ถ้าในอนาคตมีเรื่องสุดวิสัยขึ้นมาจริงๆ เขาต้องยกคดีนั้นมาอ้างกับผมแน่ เพื่อตัดปัญหาผมจึงยกคดีนี้เป็นผลงานให้เลียมเพื่อชดเชย

“ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นายเองก็เอาหมอนี่ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”

“ครับๆ” เลียมโคลงศีรษะ ลากฆาตกรหนุ่มติดมือขณะก้มลงหยิบมีดเพื่อนำไปเป็นหลักฐานเพิ่มเติม ทว่าในเสี้ยวพริบตานั้นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมแห้งกลับตวัดขาเตะมือที่ถือปืนของไอ้เด็กเวร เล่นเอาอาวุธทรงอานุภาพกระเด็นไปอยู่หน้าประตูบ้าน เลียมเห็นท่าไม่ดีรีบหยิบมีดขึ้นมาเป็นการป้องกันตัว แต่ก็ถูกเตะบ้องหูเข้าให้จนมึนไปวูบหนึ่ง

ท่าทางนั้นน่าสมเพชจนผมอดคิดไม่ได้ว่าผลการเรียนดีเด่นคงเอามาวัดกับสภาพจริงไม่ได้ เลียมจบหลักสูตรการอบรมด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่ง มีทักษะการป้องกันตัวเป็นเลิศ...ซึ่งคงใช้ได้ดีในกรณีเผชิญหน้าสู้กันตัวต่อตัวไม่ใช่การลอบกัด

ผมรีบวิ่งไปหยิบปืนตั้งแต่เด็กเวรล้มครั้งแรกแล้ว เพราะไม่คิดสู้กับฆาตกรที่พิสูจน์แรงกับตัวแบบไร้อาวุธแน่ๆ น่าเสียดายเพราะการจะวิ่งไปหน้าประตูทั้งที่เพิ่งหันหลังขึ้นบันไดไปเปลี่ยนเสื้อนั้นต้องผ่านดงสมรภูมิที่ไอ้เด็กเวรเพิ่งโดนถีบซ้ำจนหัวฟาดพื้น

ทุเรศจริงๆ พับผ่า

ผมวิ่งผ่านเลียม ก่อนจะล้มโครมตามไปอีกคนเมื่อฆาตกรเปลี่ยนเป้าหมายกะทันหัน เฮ้ย! จะเล่นงานเลียมก็จัดการไปซิวะ!!

“ทำผมไว้แสบมากนะ คนเก่ง”

เด็กหนุ่มร่างผอมบางกระชากเสื้อผมแล้วใช้น้ำหนักตัวกดแน่น ก้มหน้ากระซิบข้างหูพลางใช้ลิ้นเลียชวนน่าขยะแขยง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มคิดจริงจังว่าควรจะออกกำลังกายบ้างแล้ว หรือไม่ก็เพราะร่างกายทรุดโทรมทำพิษ กับอีแค่วิ่งหนียังโดนเด็กวัยมหาลัยตามทันง่ายๆ

ภายใต้ร่างกายบอบบางนั้นดูมีกล้ามเนื้อกว่าผมที่สูงกว่าซะอีก

ผมพยายามพลิกตัว แต่อีกฝ่ายรู้ทันจึงใช้สายโซ่จากกุญแจมือรัดรอบคอผมแน่น ก่อนจะดึงกระชากจนผมรีบผุดลุกตามแทบไม่ทันเพื่อไม่ให้คอหักไปซะก่อน

“อย่าขยับ” เด็กหนุ่มพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นจากอาการหอบหายใจเพราะเคลื่อนไหวร่างกายติดต่อกัน “ถ้าขยับผมจะหักคอคนนี้ทิ้ง เร็วยิ่งกว่าคุณจะเดินไปหยิบปืนซะอีก เจ้าหน้าที่เลียม”

ไอ้เด็กเวรกุมขมับที่โดนจับกระแทกพื้นจนแตกเลือดอาบพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโมโหชนิดที่หากทึ้งร่างอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ ได้ก็คงทำอย่างไม่ลังเล เพราะท่าทางของผมตอนนี้คือถูกสายโซ่รัดคอจนมือจิกเกร็งไปหมด ต่อให้ไม่ถูกหักคอตาย แต่ผมอาจจะขาดหายใจตายก่อนก็เป็นได้

รัดคอ...

วูบหนึ่งความทรงจำหวนคืนจนท่าทางเยือกเย็นโดยตลอดของผมแทบพังทลาย ภาพของเพื่อนรักพ่อที่บีบคอผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยเว้นจังหวะจวนเจียนจะขาดใจนั้นชำแรกในสำนึก แม้ความรู้สึกของมือกดรอบลำคอจะแตกต่างกับสายโซ่ที่แข็งขืนกว่านัก ก็ทำให้ผมรู้สึกตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว

สู้กลับสิเจย์เดน มือนายยังเป็นอิสระ ของแค่นี้สู้กลับสักหน่อยก็หลุดออกมาได้แล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนนายทำได้สบายมากไม่ใช่รึไง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน...

“แค่ก”

ผมสำลักเมื่อสายโซ่กดลึก เรียกความอึดอัดคุ้นเคยในความทรงจำฉายชัด

กลัว...ตอนนั้นผมกลัว...กลัวเหลือเกินจนร้องไห้ออกมา

ความรู้สึกนั้นปะปนในยามนี้ ผมยังไม่ร้องไห้ แต่ก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก แค่ขยับนิดหน่อยความเจ็บจากการเสียดสีของสายโซ่ก็ทำให้ผมตัวสั่น ไร้เรี่ยวแรงไม่ต่างจากตุ๊กตาที่ถูกลากไปไหนมาไหนโดยไม่ขัดขืน

“เดี๋ยวเขาก็ขาดอากาศหายใจตายหรอก!”

เลียมตะโกนลั่นเมื่อผมถูกลากอย่างทุลักทุเลไปที่หน้าประตู ฆาตกรคนนี้คงคิดจะให้ผมเป็นตัวประกันจนกว่าจะหลบหนีสำเร็จ

“ตายก็ดีน่ะสิ”

ฆาตกรเอ่ยเสียงแหบพร่า ลากเลียซอกคอผมผ่านสายโซ่อย่างรุนแรง

“ตายแล้วน่าหลงใหลกว่าเยอะ ฮ่าๆๆ!”

จริงสิ...คนคนนี้ถูกจับในข้อหา ‘ฆ่าแล้วข่มขืน’ ไม่ใช่ ‘ข่มขืนแล้วฆ่า’!

ผมเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆ ก็ตอนนี้ กลัวอย่างที่ในอดีตเคยกลัวแทบตายจนร้องไห้ออกมาเพื่ออ้อนวอนขอชีวิต แต่ตอนนี้ผมไม่มีโอกาสแม้จะส่งเสียงออกมาซะด้วยซ้ำ นอกจากเสียงสำลักเมื่อใบหน้าเชิดสูงเพราะสายโซ่รัดแน่นขึ้นจนได้แต่พยายามบ่ายเบี่ยงให้เจ็บปวดน้อยที่สุด

“เจย์เดน!”

เสียงหัวเราะต่ำๆ อย่างชอบใจดังข้างหู แต่กลับไม่อาจแทรกโสตประสาทผมได้ในเมื่อภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือน

‘ตายก็ดีน่ะสิ’

เสียงของฆาตกรซ้อนทับกับเสียงในความทรงจำที่พยายามฝังลึกที่สุด พร้อมความรู้สึกบางอย่างแทรกผ่านชวนหมดเรี่ยวแรง

ตาย...ก็ดี

ปัง!

เสียงปืนลั่นเรียกสติจนผมสะดุ้งเฮือก ก่อนความอึดอัดที่แย่งลมหายใจผมกลับถูกคลายออกพร้อมร่างที่ล้มโครมไม่เป็นท่า จริงอยู่ที่ผมหมดเรี่ยวแรง ได้แต่หอบหายใจโกยอากาศอย่างเดียว แต่สาเหตุหลักที่ผมล้มกลิ้งกับพื้นเป็นเพราะถูกน้ำหนักบางอย่างลากไปต่างหาก

บางอย่างที่ตอนนี้ตกตายจริงๆ...

“ที่รัก!”

เสียงเรียกคุ้นเคยเข้ามาประชิดตัวพลางช่วยดึงสายโซ่ออกจากลำคอของผม ก่อนจะรั้งร่างผมไว้แนบอกอย่างห่วงแหน ผมรู้สึกถึงใจของคาร์เรย์ที่เต้นรัว เต้นจนแทบวายตายคล้ายกลัวว่าจะสูญเสียผมไป

“ที่รัก...ที่รัก” คาร์เรย์จูบซ้ำๆ ที่ขมับของผมซึ่งยังหมดแรงขานตอบ ผมจึงได้แต่ครางในลำคอน้อยๆ เป็นเชิงไม่เป็นไร ก่อนจะเหลือบตามองคนที่เกือบคร่าลมหายใจซึ่งตอนนี้กลับนอนนิ่งเสียเอง...

ฆาตกรผู้นั้นถูกยิงทะลุกะโหลก ดวงตาเบิกกว้าง ตายทั้งที่ไม่รู้ตัว

ผู้กระทำคือคนที่กอดผมแน่นอยู่นี้...ในมือถือปืนคุ้นตาของเลียม

“เจย์เดน…”

ไอ้เด็กเวรที่ยังเลือดอาบหน้าครึ่งหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะชะงักเมื่อคาร์เรย์กวาดปืนเล็งใส่อย่างไม่ต่างจากสัตว์ป่าคุ้มคลั่ง

“อย่า...” ผมรีบเอ่ยรั้ง เมื่อเห็นว่าดวงตาของคนรักปรับเปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบอย่างไร้ขีดสุด เหมือนกับตอนที่เขาถามว่าจะให้จัดการพ่อของเลียมหรือไม่ ดวงตาของคนที่พร้อมลงมือฆ่า...โดยไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย!

“เขาทำคุณเจ็บตัว” คาร์เรย์แย้ง ไม่ยักฟังผมอย่างเคย ปืนยังคงเล็งไปที่เลียม ซึ่งไอ้เด็กเวรก็ดันยืนนิ่งให้เขาเตรียมยิงซะอย่างนั้น

“อย่า...” ผมพูดอะไรไม่ได้นอกจากคำนี้ พยายามเอื้อมมือแย่งปืนจากคนรัก แต่ขยับตัวได้เล็กน้อยก็ปวดหนึบที่คอจนสำลักไอออกมาตัวโยน เมื่อลองจับจึงพบเลือดไหลซิบๆ คงเป็นเพราะสายโซ่เสียดสีอย่างรุนแรง

คาร์เรย์สบถเสียงเบา ก่อนจะอุ้มผมทั้งตัวเตรียมพาส่งโรงพยาบาล

“คุณฆ่าคนตาย”

พอเดินผ่านเลียม ไอ้เด็กเวรกลับพูดจาน่าถีบซะได้

“นี่เป็นการป้องกันตัว”

คาร์เรย์ตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะสบตา เขาวางปืนคืนไว้แต่แรกที่ข้างศพ อีกทั้งยังทิ้งกุญแจบ้านไว้เหมือนฝากล็อคอีกต่างหาก เพราะเสียงปืนที่ดังสนั่นนั้นทำให้เพื่อนบ้านเริ่มรวมตัวอย่างช้าๆ และหนึ่งในนั้นก็แจ้งตำรวจไว้ด้วย หรือไม่...คนที่ควรจะมาส่งข้าวผมตามเวลาอาจจะเป็นคนเรียกตำรวจมาแทบทั้งกรม

“คุณเวอแกน...”

ตำรวจหน้าคุ้นๆ อุทานเมื่อคาร์เรย์อุ้มผมออกมาขึ้นรถโดยไม่คิดอธิบายเพิ่มเติม แต่ไม่ทันจะเดินเข้าไปในบ้านเพื่อสำรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้น เลียมก็เดินออกมาอธิบายเพื่อไม่ให้ชาวบ้านแตกตื่น

“เป็นการป้องกันตัว...”

คำอธิบายของไอ้เด็กเวรนั้นดังพร้อมกับเสียงปิดประตูรถ คาร์เรย์เดินอ้อมมาฝั่งคนขับก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ผมเหม่อมองเสี้ยวหน้ายากคาดเดาอารมณ์นั้นด้วยความรู้สึกปลอดภัยที่แฝงความกังวลลึกๆ

การฆ่าคนเมื่อครู่เป็นการป้องกันตัว

แต่ว่า...แววตาตอนเล็งปืนไปที่เลียมนั้น...


------------------

ตอนนี้ยาวกว่าเดิมแล้วนะคะ ไถ่โทษที่ตอนก่อนๆ ค่อนข้างสั้น  :mew2:
เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้น คราวนี้คาร์เรย์ก็ได้เจอะกับเลียมแบบต่อหน้าต่อตาอย่างเป็นทางการครั้งแรกสักที
ถึงจะไม่ค่อยเข้าอารมณ์ในตอนนี้เท่าไหร่...แต่ความจริงแล้ว...
คนแต่งชอบเลียมตอนนี้มากเลยล่ะค่ะ! อร๊าย~! คนอะไรกินกระดาษขู่ เท้เท่~~~!! :impress2: //โดนตบ

แล้วเจอกันในตอนหน้ากับหนุ่มฆาตกรนะคะ  o18

ออฟไลน์ Fellina

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 413
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
คาเรย์ตัดสินใจเด็ดขาดดีนะ
ถ้าเลียมเอาข้อหามาให้คาเรย์ไม่ยอมจริงๆด้วย
เพราะที่คาเรย์ทำแบบนั้นเป็นการป้องกันตัวจริงๆ
หากไม่ทำ เจย์เดนอาจม่องไปจริงๆก็ได้

ถึงความจริงคาเรย์จะสามารถเลือกยิงส่วนอื่นเช่นแขน ลำตัว
แต่คงไม่สะดวกเท่ายิงหัวสินะ
ผิดกับเลียม ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ประมาททำให้คนร้ายเล่นงานได้ง่ายๆ
ทั้งที่ถือปืนอยู่ในมือ


ออฟไลน์ heroza

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เกือบตายแล้วไง ฆ่าแล้วข่มขืนน่ากลัวจริงๆ :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
เลียมนี่ติ๊งต๊องมากอ่ะ กินกระดาษขู่พ่อตัวเอง :m20:
แต่ระวังตัวให้ดีนะฮะ ทำคาร์เรย์โมโหขีดสุดแบบนี้  :katai1:
เจย์เดนจะเก็บคนในอดีตไว้ได้นานขนาดไหนกันนะ ซักวันคาร์เรย์ต้องรู้และไม่ปล่อยไปเฉยๆแน่ :ling3:

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
 :sad3: :sad3: :sad3: :sad3:

อ้ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

พวกข่าวที่ว่าเกบ์ฆ่ากันเพราะหึงโหด มันเป็นแบบนี้ย่ะเองงง

ออฟไลน์ Linea-Lucifer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
โอ้ย ตอนนี้ลุนระทึกมากอ่ะ

นางเอกเราสเน่ห์แรงสุดๆ

คาเรย์เด็ดขาดมาก

ส่วนเลียมก็ดูดีสุดๆ

เราอิจฉานางเอกจิงจิงวุ้ย :katai2-1:

ออฟไลน์ เกลียวคลื่น

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อ๊าา เลียมจะตายไม่ตาย ชีวิตเลียมนี่เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ฮา

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ชอบเลียมอ่ะ.  :katai2-1:

คนอะไรกินกระดาษได้

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
เลียมบ้ามาก
 คาร์เรย์เท่มาก  ถ้าไม่นับว่าเป็นฆาตกรนะ

ออฟไลน์ oilzii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
พ่อหนุ่มฆาตรกรของเราต้องเป็นพระเอกนะ!!
 :m15:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
เลียม ไม่มีอะไรจะขู่พ่อแล้วเรอะ 555

คาเรย์เท่ห์มั่กมาก  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ช็อคโกแลตสีม่วง

  • I'm Hiddlestoner.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ rk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
 o18 o18พ่อหนุ่มโหดของฉัน

ออฟไลน์ knightprince

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
นี่ขนาดเจย์เดนยังอยุ่ในสภาพโทรมๆไม่สมบูรณ์แบบเมื่อก่อนยังเสน่ห์แรงขนาดนี้
ถ้าเราเป็นคาร์เรย์ก็คงหึง หวง ห่วง อย่างนี้เหมือนกันแหล

ออฟไลน์ ชมพูพาล

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Chapter 8 : “เขารักคุณมากใช่มั้ย”

“ทำไมถึงไม่โทรบอกผม!”

คาร์เรย์ถามเสียงเครียดหลังผมถูกแพทย์ตรวจทั้งตัวราวกลัวว่าจะมีรอยช้ำที่มองไม่เห็น และยืนยันให้นอนพักดูอาการที่โรงพยาบาล หากไม่ติดว่าผมที่เริ่มพูดเป็นประโยคได้ร้องห้ามแบบหัวเด็ดตีนขาด คาร์เรย์คงเป็นเอามากถึงขนาดให้ผมแสกนสมองด้วย

“คุณเรียกเลียมมาใช่มั้ย...ทำไมถึงเป็นเขา ไม่ใช่ผม”

คนรักพูดอย่างจริงจัง ไม่ใช่ความน้อยใจ แต่เป็นความโมโหที่พยายามกักเก็บอยู่ลึกๆ ผมซึ่งนอนบนเตียงคนไข้เอื้อมมือแตะริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา หวังบรรเทาอารมณ์ขุ่นมัวไม่ให้ระเบิดตูมออกมา

“นายติดประชุมอยู่...”

คาร์เรย์กัดนิ้วผมเบาๆ แต่เล่นเอาเลือดซึม บ่งบอกว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ

“เลียมตามคดีนี้ เขารู้ดีว่าควรจะจัดการยังไง”

คาร์เรย์กุมมือแน่น ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

“คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง ที่รัก” คาร์เรย์ประกบจูบก่อนจะขบกัดเบาๆ ที่หลังมือของผม “ผมรู้ดีว่า ‘ต้อง’ จัดการยังไง”

ใช่...ผมรู้ดี ถึงได้ไม่เรียกเขา

เพราะฆาตกรคนนั้นจะกลายเป็นของเหยื่อของจริง!

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะคาร์เรย์ ฉันไม่อยากให้นายต้องลงมือ...แบบนั้น”

ถึงจะพยายามหลับหูหลับตามาตลอด แต่ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องเปื้อนเลือดคนอื่นไปมากกว่านี้

ไม่อยากเห็นกับตาซะด้วยซ้ำ...

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ หึ!” คนรักแค่นหัวเราะเย้ยหยัน มองผมวูบหนึ่งราวกับย้ำเตือนว่าผมไม่ควรพูดคำนั้นออกมา “สุดท้ายคุณต้องเจ็บตัวเกือบตายแบบนี้น่ะเหรอ ถ้าผมกลับมาไม่ทันจะเป็นยังไง...ถ้าผมไม่ให้คนเฝ้าคุณเอาไว้...จะเป็นยังไง เจย์เดน!”

ครั้งนี้คาร์เรย์โมโหมากจริงๆ

แต่พอคิดในแง่ของเขา ผมก็เข้าใจ...เขาตามหาผมมาเจ็ดปี ทำเพื่อผมทุกอย่าง เฝ้าประคบประหงมผมในทุกเรื่อง ห่วงใยแม้กระทั่งอดีตของผม แต่กลับ...เกือบจะสูญเสียผมไปทั้งที่เพิ่งรักกันได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ซะด้วยซ้ำ

“ผมอยากฆ่าเลียม”

วูบหนึ่ง ดวงตาของคาร์เรย์กลับเป็นความเย็นชาไร้ก้นบึ้งอีกครั้ง ราวผืนน้ำเงียบสงบที่แฝงความคลุ้มคลั่งไว้ภายใน

“อย่าทำแบบนั้น”

“คุณห่วงเขา!” ความนิ่งสงบแปรเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด คาร์เรย์กุมมือผมแน่นจนเจ็บ อีกฝ่ายเองก็รู้แต่ไม่ยอมผ่อนแรง ราวกับว่าถ้าผมยอมรับ เขาจะเป็นฝ่ายฆ่าผมก่อนที่จะจัดการกับเลียม

“ฉันห่วงนาย...”

ผมพยายามใช้ไม้อ่อนเพื่อปลอบประโลม

“เลียมเป็นลูกชายของผู้บัญชาการเมืองนี้ ถ้านายฆ่าเขาตอนนี้ต้องโดนตามล่าแน่ มันไม่เหมือนกับที่ผ่านมานะคาร์เรย์...คดีที่ผ่านมาไม่มีใครรู้จักนาย คนที่ตายก็ไม่รู้จักนาย จึงไม่มีใครโยงมาได้ แต่ว่า...ครั้งนี้เลียมรู้จักนาย และจากวันนี้ทุกคนในกรมก็คงรู้จักนาย มันเสี่ยงเกินไป...”

ผมพูดช้าๆ เพราะยังเจ็บคอ และต้องการให้คาร์เรย์ฟังเหตุผลอย่างใจเย็น

“ฉันห่วงนาย ได้ยินมั้ย”

คนรักพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะแนบแก้มลงกับฝ่ามือผมอย่างอ่อนโยน

“ขอโทษที่ขึ้นเสียงนะครับ”

“ไม่เป็นไร” ผมโล่งอกเมื่อคาร์เรย์กลายเป็นเด็กน้อยขี้อ้อนอีกครั้ง เด็กหนุ่มประทับจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนมือผม ก่อนจะเลียเลือดที่ปลายนิ้วซึ่งเจ้าตัวกัดจนเลือดออก

“ขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บ”

“ไม่เป็นไร...” ผมหรี่ตาน้อยๆ เมื่อคาร์เรย์ใช้ลิ้นดุนดันอย่างวาบหวาม ลากไล้จากนิ้วชี้ตัวปัญหาไปยังนิ้วอื่นๆ อย่างเป็นธรรมชาติอย่างไม่เน่าเชื่อว่าเขากำลังปลุกปั้นอารมณ์กับคนเจ็บอย่างผม

“ที่นี่โรงพยาบาลนะคาร์เรย์”

ผมหอบหายใจน้อยๆ เมื่อปลายลิ้นอุ่นเริ่มไล่ลงมาถึงข้อมือ

“จริงสิ คุณไม่ชอบเซ็กส์แบบเอ้าท์ดอร์สินะ”

ผมหน้าแดงวาบเมื่อคนเด็กกว่าพูดเรื่องน่าอายอย่างจริงจัง คงเพราะเมื่อวันก่อนผมกับเขามีอะไรกันบนโซฟา และร่างกายผมก็ตอบสนองเขาไม่ได้อย่างที่ควร เด็กหนุ่มจึงสันนิษฐานว่าผมคงไม่ชินกับการร่วมรักนอกเตียง

“นอนหลับฝันดีนะครับ” คาร์เรย์ยอมปล่อยมือผมในที่สุด ก่อนจะโน้มตัวมาจูบหน้าผาก

“นายจะไปไหน” ผมถามเมื่อคนรักผุดลุกจากเก้าอี้ข้างเตียง ทำเอาใจโหวงเหวงชอบกล

“ผมต้องไปให้ปากคำแทนคุณนะ อย่าลืมสิ” คาร์เรย์ยิ้มอย่างไม่ถือสา ก่อนจะก้มมาจูบปากผมเบาๆ อย่างอดใจไม่ไหว “เดี๋ยวจะรีบกลับมาครับ ที่รัก”

“อืม...” ผมครางรับในลำคอ พลางหลับตาลงเมื่อฝ่ามืออุ่นที่ช่วยปิดเปลือกตาเชื่องช้าอย่างเอาใจใส่

เพิ่งนึกได้ว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรรองท้องซะด้วยซ้ำ หิวแทบขาดใจ แต่ความเหนื่อยล้าและอาการปวดหนึบๆ ที่ลำคอนั้นมีมากกว่า

ขอพัก...สักงีบเถอะ




“รับปากสิ...”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในความมืด ผมรู้ดีว่านี่เป็นความฝัน เพราะในความจริงเจ้าของเสียงนั้นตายไปแล้ว

“รับปาก...ว่าจะไสหัวไปจากที่นี่ จะไม่ยุ่งเรื่องนี้ และจะไม่ให้ฉันเห็นหน้าเธออีก รับปากสิ!”

แม้จะเป็นความฝัน แต่ความรู้สึกอึดอัดของสองมือที่บีบคอผมแน่นจนได้แต่ดิ้นทุรนทุรายนั้นยังคงสร้างความเจ็บปวดไม่เสื่อมคลาย...ผมปัดป่ายมือไปทั่ว พยายามดิ้นรั้น ทั้งข่วนใบหน้านั้น จิกนิ้วใส่ข้อมืออีกฝ่าย ฝังเล็บลึกจนกลิ่นเลือดโชย แต่กลับยิ่งทำให้แรงบีบนั้นทวีมากขึ้นไปอีก

“รับปาก!!”

ตัวผมเกร็ง ใบหน้าแหงนขึ้น ปากอ้ากว้างพยายามหาลมหายใจ ดวงตาเหลือกถลน เสี้ยวนาทีนั้นคิดว่าตัวเองคงต้องตายจริงๆ...ไม่เหมือนกับที่ถูกขู่สามครั้งก่อนหน้านี้

แต่แล้วในเสี้ยวนาทีที่ภาพเบื้องหน้าแทบจะกลายเป็นสีดำ แรงที่กดทับลำคอพลันคลายออก ผมสำลัก เกร็งตัวไออย่างทรมาน ไม่แม้แต่จะงอตัวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด เพราะกอบโกยลมหายใจได้ไม่ถึงหนึ่งนาที คอของผมก็ถูกกอบกุมอีกครั้ง

แรงขึ้น...แรงขึ้นทุกที กดทับตำแหน่งเดิมที่แดงจนขึ้นเป็นรอยนิ้ว กดทับหลอดลมที่ผมจดจำได้ว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหน มันแย่จนผมคิดว่าคอผมคงจะถูกบีบจนขาด ทั้งที่ไม่มีวันเป็นจริง

แต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันยิ่งกว่า!

หนีไม่พ้น! ทำอะไรไม่ได้! เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกด้อยกว่าโดยสิ้นเชิง มันทำให้น้ำตาไหลทะลักไม่หยุด คนที่เคยรักผมเหมือนลูกกำลังจะฆ่าผม เหมือนที่บีบให้พ่อฆ่าตัวตาย แค่นึกความกลัวพลันแล่นริ้วจนสติกระเจิดกระเจิง ผมกรีดร้อง ร้องออกมาสุดเสียงแม้จะฟังไม่เป็นคำ เสี้ยวนาทีนั้นลมหายใจที่เกือบถูกพรากไปอีกทำให้ผมเลือกจะวางทุกอย่างทิ้งแลกกับชีวิตของตัวเอง

ได้โปรด...พอสักทีเถอะ!

“ผมรับปาก...รับปากแล้ว ฮึก”

เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระ ผมก็ได้แต่คู้ตัวร้องไห้จะเป็นจะตาย ทั้งไอทั้งสำลัก หมดเรี่ยวแรงจนแทบไม่อาจบังคับร่างกายซึ่งสั่นระริกราวกลับไม่ใช่อวัยวะของตัวเอง

แต่เขาไม่ให้ผมมีสติมากนัก เพื่อนรักพ่อลากผมออกมา ออกจากห้องที่พ่อเคยฆ่าตัวตาย โยนกระเป๋าที่มีแค่เสื้อผ้าสองสามชิ้นและเงินอีกปึกหนึ่งเพื่อการหลบหนี

“ไปซะ แล้วอย่ากลับมาอีก”

ผมแทบจะคลานไปหยิบ กว่าจะพาร่างตัวเองวิ่งออกมาได้ก็ล้มลุกหลายต่อหลายครั้ง เจ็บไปทั้งตัวแต่ยังไม่เท่ารอยแดงตรงลำคอซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้ดี

อ่า...พอเถอะ พอสักที ทำไมต้องทำกับผมแบบนี้

ทำไม...ทำไม!

“ตายก็ดีน่ะสิ”

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ภาพถูกเปลี่ยนเป็นห้องสีดำทึบ ผมถูกจับนอนหงาย ดวงตาเหม่อลอยมองเพดานสีขาวสว่างด้วยเสียงหอบหายใจโรยริน

เสียงโซ่ดังทุกครั้งที่ขยับตัว

“นี่เพิ่งผ่านไปแค่สี่สิบแปดชั่วโมงเท่านั้นนะ ทำท่าจะไม่ไหวซะแล้วเหรอ”

ทำไม...ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้

ทำไมต้องเป็นผม

ทั้งที่...ทั้งที่...

“ให้ฉันสนุกกว่านี้อีกหน่อยสิ เจย์เดน”

ผมรักอย่างหมดหัวใจ

“คาร์เรย์...”

ผมกรีดร้อง พยายามหลุดจากความฝันอันทรมาน ความทรงจำที่พยายามปิดกั้นนั้นกำลังฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดกรีดหัวใจทั้งเป็น

พอสักทีเถอะ! พอได้แล้ว! ปล่อยผมออกไปจากตรงนี้สักที!!

“คาร์เรย์...”

ผมร้องเรียกคนที่รักผมทั้งใจ รักผมยิ่งกว่าที่ผมเคยรักใคร รักและหลงใหลในตัวผมอย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

ปล่อยให้ผมไปหาคนที่ต้องการผมจริงๆ...

“คาร์เรย์!!”

ไปหาคนคนนั้น!!

“เจย์เดน!”

เสียงตะโกนเรียกชื่อของผมทำให้เปลือกตาลืมตื่นในที่สุด ผมเบิกตากว้าง รู้สึกถึงความชื้นแฉะเพราะร้องไห้จนใบหน้านองน้ำตา เบื้องหน้าของผมคือชายหนุ่มสองคน...คนทางขวากุมมือผมแน่น ช่วยปัดเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อของผมอย่างอ่อนโยน และเอ่ยเรียกซ้ำๆ ด้วยความห่วงใย

“ที่รัก...”

คาร์เรย์...คาร์เรย์ที่รักผม คนที่รักผม ‘มาก’ คนนั้น

ผมหลับตานิ่ง พยายามปรับลมหายใจ หัวยังปวดตุบๆ ที่คอเองก็ยังเจ็บหนึบๆ แต่ดูเหมือนจะมีไอร้อนเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย สงสัยผมจะไข้ขึ้น ทำให้เพ้ออกมาได้ขนาดนี้

อ่า...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงทำให้ผมนึกถึงอดีตจน ‘กลัวขึ้นสมอง’ สินะ

“ที่รัก” คาร์เรย์เอ่ยเรียกอีกครั้งอย่างกังวล ผมจึงลืมตาอีกครั้งแล้วส่งยิ้มอ่อน คนทางซ้ายซึ่งยังหน้านิ่วคิ้วขมวดเลยยอมผ่อนอารมณ์ได้บ้าง

คนคนนั้นคือเลียม...เขามองผม เป็นห่วงผม แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมอง

“คาร์เรย์...” ผมซุกหน้ากับมืออุ่นของคนรัก รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที ด้วยความเชื่อมั่นว่ามือนี้จะไม่มีทางทำร้ายผมอย่างเด็ดขาด

“ชู่...มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น” คาร์เรย์จูบเปลือกตาผมอย่างรักใคร่ “ผมอยู่กับคุณตรงนี้ จะไม่มีใครทำอะไรคุณได้อีก”

เขาทำให้ผมเชื่ออย่างที่ไม่เคยเชื่อใครคนไหนทำได้หลัง ‘เหตุการณ์นั้น’ แม้กระทั่งเลียมที่ยอมทำผิดเพื่อผม ยอมปกปิดคดีเพื่อผม...ก็ไม่เคยทำให้ผมเชื่อได้เท่านี้

และนั่นคือสาเหตุที่ผมปฏิเสธเลียมมาตลอด

“กลับบ้านเรา...”

ผมเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงสั่นเครือเพราะก้อนสะอื้นยังจุกที่ลำคอ แม้คาร์เรย์จะช่วยจูบซับน้ำตา แต่ความรู้สึกนั้นยังคงหน่วงในอกจนผมแทบอาเจียนออกมา

“ครับ กลับบ้านเรา ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด” คาร์เรย์รับปากอย่างว่าง่าย ทั้งที่เมื่อคืนวานยืนยันให้ผมนอนดูอาการจนกว่าเขาจะวางใจ “ถ้ามีอะไรเรียกผมดังๆ นะครับ ที่รัก”

คาร์เรย์จูบปากผมเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผละออก ทำเหมือนกับว่าเลียมนั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ และก็จริงซะด้วยเพราะเขาเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองไอ้เด็กเวร

พอคนรักออกไป ผมที่เริ่มปรับสติสตางค์ให้เข้าที่ก็ยันตัวนั่งช้าๆ เลียมรีบเข้ามาช่วย แต่ไม่วายมองผมอย่างตัดพ้อน่าสงสาร

“เจ็บชะมัดเลย”

ข้างขมับของไอ้เด็กเวรมีผ้าพันแผลแปะเอาไว้จนเหมือนคนหัวปูด

“เจ็บที่ใจ...เจย์เดน คุณเล่นพลอดรักต่อหน้าผมแบบนี้จะใจดำเกินไปแล้ว”

“ก็นายอยู่เองนี่” ผมว่าอย่างใจดำยิ่งกว่า ถ้าเมื่อครู่ไม่ใช่คาร์เรย์...ไม่ได้หรอกนะ ผมคงไม่สงบเร็วขนาดนี้ เหมือนตอนที่รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นลูกบุญธรรมของพ่อ หากไม่ได้คาร์เรย์เคียงข้าง ผมก็คงไม่สามารถมาทำงานเหมือนไม่รู้สาได้ถึงขนาดนั้น

ราวรู้ดีว่าความสำคัญต่างกันแค่ไหน  ไอ้เด็กเวรจึงยิ้มเจื่อนอย่างรวดร้าว แต่เพียงพริบตาก็กลับมายิ้มกวนอย่างใจกล้าหน้าด้านเหมือนเดิม

“ผมรายงานเบื้องบนไปว่าผมเป็นคนยิงฆาตกรโรคจิตนั่นเอง” เลียมเอ่ย และนั่นคงเป็นสาเหตุที่คาร์เรย์ยอมให้ไอ้เด็กเวรนั่งเป็นอากาศในห้องนี้อยู่นานสองนาน “ไม่ใช่เพราะปกป้องเขา แต่เพราะชดเชยให้คุณ...ผมมันไร้ความสามารถเลยทำให้ทุกอย่างลงเอยแบบนี้ ทำให้คุณต้องเจ็บตัว...เจย์เดน ผมขอโทษ”

“แล้วรอยนิ้วมือล่ะ”

ผมไม่ยอมรับคำนั้น ถึงไอ้เด็กเวรจะไม่ตั้งใจ แต่การที่ความทรงจำในอดีตกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งทำให้ผมรู้สึกแย่มากจริงๆ หากไม่ติดว่าต้องนอนซมเพราะไข้ขึ้น ผมคงกระทืบไอ้เด็กเวรสักทีให้หายแค้น

“ผมเช็ดออกแล้วค่อยจับปืนอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมายอมรับเองโดยมีพยานทั้งหมู่บ้านของคุณเลยล่ะมั้ง” เลียมว่าพลางยิ้มขื่นๆ “เมื่อคืนวานก่อนสอบปากคำผมก็โทรไปตกลงกับเขาเพื่อคำให้การที่ตรงกัน เรื่องจะสรุปที่ว่าผมวิ่งไปหยิบปืนมายิงคนร้ายเพื่อช่วยคุณ ขณะที่เขากลับมาพอดี”

ทั้งที่รู้ชื่อแล้วแต่ไอ้เด็กเวรกลับไม่ยอมเรียก ‘คาร์เรย์’ สักคำ

“เจย์เดน...”

มาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มเบื่อที่จะแก้คำเรียกแล้ว ปล่อยให้เลียมทำตามใจชอบเถอะ

“เขารักคุณมากใช่มั้ย”

“ใช่” ผมตอบทันที ก่อนจะมองหน้าเลียมนิ่งๆ เมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีลังเลเหมือนมีบางอย่างในใจ

“ผมพยายามคิดหลายครั้ง ทำไมเขาถึงยิงปืนแม่นขนาดนั้น คุณอาจไม่เห็นเพราะหันหลัง แต่ผมเห็นทุกอย่าง ‘เขา’ กลับมาแล้วก้มลงเก็บปืน เล็งยิงอย่างไม่ลังเล กระสุนทะลุข้างขมับ ตายคาที่” เลียมพูดเสียงเครียด “ไม่มีกระทั่งอาการตื่นกลัว เจย์เดน...คุณรู้ใช่มั้ยว่าต่อให้เป็นตำรวจที่ฝึกยิงปืนมานาน แต่เมื่อลงภาคสนามจริงๆ คนที่จะทำได้แม่นยำเท่าที่ฝึกมานั้นยากแค่ไหน”

แน่สิ เพราะไอ้คนที่ได้คะแนนการต่อสู้เต็ม ยังถูกคนร้ายเตะหน้าทิ่มได้เลยนี่

แน่นอนว่าผมไม่พูดออกไป ข้อสงสัยของเลียมผมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

เพราะคาร์เรย์ฆ่าคนเยอะจนชินชา

“เขารักฉัน เลียม รักมาก...รักยิ่งกว่าที่นายรักฉันซะอีก” ผมพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ “ถ้าคนที่รักมากขนาดนั้นกำลังจะตาย นายจะยังลังเลได้อีกรึไง อีกอย่าง...คาร์เรย์เคยฝึกยิงปืนมาก่อน เขาเรียนเพื่อหวังมาปกป้องฉันอยู่แล้ว กับอีแค่เรื่องนี้ไม่เห็นจะน่าสงสัยเลย”

“แต่...” ไอ้เด็กเวรยังไม่เลิกเป็นเจ้าหนูจำไม “เรื่องที่ปกป้องคุณผมเข้าใจ แต่หลังจากนั้นที่เขาเล็งปืนมาทางผม คุณจะอธิบายว่ายังไง เจย์เดน คุณน่าจะรู้จักคนของตัวเองดีว่าตอนนั้นเขาคิดจะฆ่าผมจริงๆ...ไม่มีความลังเลเหมือนกับที่เพิ่งยิงคนตายไปนั่นแหละ”

“คาร์เรย์เข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ” แล้วทำไมผมต้องมานั่งอธิบายเรื่องพวกนี้ด้วยนะ “แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ยิงนายนี่”

“หึ...” เลียมแค่นยิ้ม ยังคงมองตาผมราวพยายามเค้นเอาความจริง “เอาเถอะ ผมยอมแพ้ ผมคงรักคุณไม่เท่าเขาถึงได้ไม่เข้าใจ อีกอย่าง...ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายผิด จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีกครั้งก็แล้วกัน”

ไอ้เด็กเวรว่าพลางผุดลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะส่งกระเช้าเยี่ยมคนป่วยขนาดใหญ่ซึ่งแนบการ์ดเขียนสั้นๆ ว่าหายเร็วๆ ให้จนผมได้แต่รับมากอดไว้ทั้งตัว

“ผมจะทำเป็นไม่เห็น...ดวงตา ‘ฆาตกร’ ก็แล้วกัน เจย์เดน”

ไอ้เด็กเวรเดินออกไป สวนกับคาร์เรย์ที่เดินเข้ามาพร้อมหมอเจ้าของไข้

“เขาพูดอะไรกับคุณรึเปล่า”

คาร์เรย์เหลือบตามองไปทางประตูอย่างสื่อความหมาย หลังรับกระเช้าไปถือไว้เองเพื่อให้หมอตรวจร่างกายผมสะดวกๆ นี่เป็นการเช็คครั้งสุดท้ายก่อนจะอนุญาตให้กลับบ้าน

“เรื่องคดีนิดหน่อยน่ะ” ผมบอกใบ้เป็นเชิงรู้เรื่องว่าทั้งคู่แอบตกลงลับหลังอย่างไร “กลับบ้านกันเถอะ คาร์เรย์”

“ครับ ที่รัก”



หลังจากวันนั้นผมก็ลาหยุดอย่างไม่มีกำหนด เลียมช่วยอ้างว่าเพราะจิตใจผมได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ว่าอะไรได้หรอก ในเมื่อผมจะไปทำงานหรือไม่ก็แทบมีค่าไม่ต่างกัน

“ต่างสิ”

มีเพียงคนเดียวที่หมั่นมาเยี่ยมผมอย่าสม่ำเสมอ

“ผมคิดถึงจะแย่ วันนี้ก็เผลอเดินไปโต๊ะคุณตั้งสามรอบ เหมือนคนบ้าเลยรู้มั้ย” ไอ้เด็กเวรพูดเว่อร์เกินจริง วันนี้เอาช่อดอกไม้มาฝาก แถมยังจัดใส่แจกันเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร ต้องบอกว่าโชคดีเพราะคาร์เรย์กำลังติดประชุมผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนท์อีกห้องหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเลียมคงไม่พูดจาถือดีแบบนี้ได้

เพราะเวลาสองคนนั้นอยู่ด้วยกันทีไร...เลียมจะนิ่งเงียบ เฝ้ามองคาร์เรย์ที่ช่วยดูแลผมเหมือนอากาศธาตุ ไม่ยักจะปากดีแบบนี้สิน่า
ตอนแรกคาร์เรย์พยายามจะไล่ไอ้เด็กเวรกลับบ้าน ไม่อนุญาตให้มาเยี่ยมผม แต่เลียมมันฉลาด มันอ้างเรื่องคดีทำเป็นปรึกษา หาว่ามีคนสงสัยบ้างล่ะ ไม่ก็ทำเป็นหาเหตุผลเพื่ออุดช่องว่างบ้างล่ะ ซึ่งของแบบนี้คงไปคุยที่อื่นไม่ได้ พอย้ายตัวเองเข้าบ้านสำเร็จ การมาเยี่ยมผมเลยกลายเป็นผลพลอยได้

ทั้งที่เป็นจุดประสงค์หลัก

มีหรือคาร์เรย์จะไม่รู้ ตอนไอ้เด็กเวรกลับไป เขาต้องทำหน้าบูดไม่พอใจทุกที แต่พอผมกล่อมว่าการที่เขาแสดงความรักผมต่อหน้าเลียมทุกวันอาจทำให้ไอ้เด็กเวรตัดใจได้ หลังๆ จึงกลายเป็นการเชื้อเชิญซะแทน เพราะเขาแทบทนรำคาญเลียมไม่ไหว กำจัดไปได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

เสียแต่...ไอ้เด็กเวรก็ยังเวรไม่เปลี่ยน ทั้งที่เจ็บปวดแทบตาย แต่ก็ยังไม่ตัดใจ

“นายชอบฉันตรงไหน”

ผมเลยถือโอกาสถามในวันนี้ซะเลย คนอย่างเลียมใช่ว่าจะเลวร้าย ถึงจะเวรไปนิดแต่ก็นับเป็นคนดีคนหนึ่ง มีน้ำใจ กล้าได้กล้าเสีย เป็นลูกผู้ชายที่ผู้หญิงชื่นชม แล้วทำไมถึงได้ตามตื้อผมขนาดนี้กันนะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

“นั่นสินะ” ไอ้เด็กเวรโคลงศีรษะขณะจัดดอกไม้ ฮัมเพลงอารมณ์อย่างกับคนละคนตอนเจอหน้าคาร์เรย์ “รู้ตัวอีกทีก็ชอบซะแล้ว เลยไม่รู้จะอธิบายยังไง เวลาจะตัดใจก็เลยไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ผมถึงได้แต่ต้องเทียวไปเทียวมาแบบนี้ไงล่ะ”

เลียมว่าพลางวางแจกันบนโต๊ะโซฟา

“หอมมั้ย ดอกกุหลาบสีขาวที่ผมเลือกเองกับมือ แถมยังจัดเองกับมือ”

“ห่วยแตกสุดๆ” ผมตอบตามจริง ไอ้เด็กเวรมันคงตกศิลปะ เพราะแจกันสวยที่เจ้าตัวไปหามาได้ในบ้านนั้นถูกกุหลาบขาวยัดๆ อย่างตั้งใจแต่ไร้ความสวยสิ้นดี

“โธ่ ผมอุตส่าห์ตั้งใจเอามาเยี่ยมคนป่วยเลยนะ”

“ฉันไม่ได้ป่วยสักหน่อย” นี่ก็ความจริงอีกเหมือนกัน แม้ผมจะไข้ขึ้นแต่ก็หายไปตั้งแต่วันแรกๆ เพราะได้คาร์เรย์ดูแลดี อันที่จริงอาการผมไม่ได้หนักหนาอะไรเลย ที่ป่วยก็เพราะกลัวขึ้นสมองไปเอง พอได้คนปลอบประโลมก็หายแค่ข้ามคืน แต่เพราะยังอยากอู้ คาร์เรย์จึงให้เลขาเอางานมาทำที่บ้าน เวลามีประชุมก็ต่อเข้าคอมพิวเตอร์ตลอด

ส่วนสาเหตุที่ผมไม่ยอมไปทำงาน เป็นเพราะรอยแผลจากสายโซ่ไม่หายสักที ถ้าพันผ้าเอาไว้จะเป็นจุดเด่น ต่อให้ใส่ผ้าพันคอคนที่รู้ข่าวก็จะชะเง้อมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ผมไม่ชอบ...เลยตั้งใจว่าจะรอให้หายแล้วค่อยเชิดหน้าชูคอไปทำงานแบบน่ารังเกียจเหมือนเดิม ไม่ใช่ให้มาเห็นใจ

“รอยแผลใกล้จะหายแล้วสินะ”

เลียมว่าพลางชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ อันที่จริงมันไม่ได้ร้ายแรงอะไรนักหรอก เพราะแค่ถูกเสียดสีจนเป็นรอยถลอกก็เท่านั้น นี่ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว รอยเริ่มเลือนเต็มที

“ขอผมดูชัดๆ หน่อย...”

“ที่รัก”

ไอ้เด็กเวรที่เข้าใกล้จนแทบจะจูบคอผมรีบกลับไปนั่งนิ่งทันที ทำเอาต้องกลั้นขำแทบแย่ ดูเหมือนการถูกมองด้วยดวงตา ‘ฆาตกร’ ในวันนั้นจะทำให้เลียมสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าคาร์เรย์ จะเพราะอะไรไม่ทราบแต่ผมคิดว่ามันตลกดี

ไอ้เด็กเวรเคยพึมพำตอนอยู่กันสองคนว่า

‘ผมเหมือนตายไปแล้วครั้งหนึ่งแน่ะ’

“เร็วจัง” ผมมองตามคนรักที่เดินมาทิ้งตัวนั่งข้างๆ ผิดกับเลียมที่ได้สิทธิ์แค่เก้าอี้เดี่ยววางถัดออกไปเกือบช่วงตัว

“ผมอยากรีบมาอยู่กับคุณนี่นา” คาร์เรย์ว่าพลางเหลือบมองไอ้เด็กเวรที่ยังเสนอหน้า แสร้งทำเป็นเปลี่ยนช่องโทรทัศน์อย่างไม่คิดกลับไปง่ายๆ แบบสื่อความนัย

“หิวรึยังครับ”

ก่อนจะทำให้อีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุโดยการจูบขมับผมเบาๆ อย่างรักใคร่

“อยากกินสปาเก็ตตี้ฝีมือนายจัง”

นี่เรียกว่าอ้อนรึเปล่านะ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะผมอยากกินจริงๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำมื้อแรกที่คาร์เรย์ทำอาหารให้ผมได้ แม้มันจะไม่อร่อยเท่าร้านอาหารหรู แต่ความใส่ใจนั้นเกินร้อย

“ไปทำด้วยกันมั้ย”

“เอาสิ” ผมผุดลุก เดินตามคาร์เรย์ที่จูงมือเข้าห้องครัว เมื่อชะโงกหน้าออกมาอีกทีเลียมก็กลับไปแล้ว

“เขาจะทำแบบนี้ถึงเมื่อไหร่ คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครเข้าบ้านของ ‘เรา’”

คาร์เรย์พึมพำเมื่อผมเดินเข้ามาบอก ไอ้เด็กเวรมักจะหายไปเงียบๆ ทุกครั้ง ทั้งที่ไม่ว่าจะมองไล่ หรือพูดอ้อมค้อมยังไงก็ไม่ไป

“เอาน่า” ผมหอมแก้มคนรักอย่างเอาใจ ไม่อยากให้เขาอารมณ์เสียเพราะเรื่องแค่นี้ จริงอยู่ ว่าผมแอบรำคาญเลียมบ้าง แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ สำหรับผมคงถือว่าเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญไปแล้ว

หลายครั้งไอ้เด็กเวรเผยสีหน้าเจ็บปวด บางครั้งถึงกับทดท้อ แต่การที่ยังปรากฏตัวให้เห็นทุกวัน กลับเป็นข้อพิสูจน์ที่ทำให้ผมยอมรับนับถือ และเปิดใจยิ่งกว่าเดิมว่าเขาคิดกับผมแบบไม่หวังผลตอบแทนจริงๆ

แต่ก็ยังไม่เชื่อใจ

“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...” คาร์เรย์เอ่ยเสียงอ่อน “อย่างน้อยเขาก็พอวางใจได้”

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ” กลายเป็นผมซะอีกที่ระแวงเมื่อคนรักพูดแปลกๆ ทั้งที่ปกติเกลียดเลียมเข้ากระดูกดำ

“ผมจะไม่อยู่สักสองสามวันนะที่รัก” คาร์เรย์รั้งเอวผมไปจูบปากหลังทำสปาเก็ตตี้เสร็จ แน่นอนว่าผมเป็นแค่ลูกมือคอยหยิบโน่นหยิบนี่เท่านั้น “ผมต้องขึ้นไปดูสาขาใหญ่ เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ”

“วันพรุ่งนี้เลยเหรอ”

“ครับ” คาร์เรย์จูบข้างแก้ม แอบงับเบาๆ “เมื่อกี้ที่ประชุมลงมติแล้วว่าจะให้ผมขึ้นเป็นประธานคนต่อไป ผมต้องขึ้นไปรับตำแหน่งที่สาขาใหญ่ แนะนำตัวกับหุ้นส่วนคนอื่นๆ ถึงจะกลับมาบริหารต่อที่นี่ได้”

“ยินดีด้วยนะคาร์เรย์!” ผมกอดเขาทั้งตัว ดีใจที่ในที่สุดเขาก็ได้รับความไว้วางใจจากแม่บุญธรรมและคนอื่นๆ สักที “ให้ฉันไปส่งมั้ย”

“ผมไปไฟลท์เช้า ไม่ต้องหรอกครับ” คาร์เรย์กอดตอบพลางหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข “แต่ผมเป็นห่วงคุณ...ที่รัก ถ้าเหงาจะให้เลียมมาค้างก็ได้นะ”

“นายยอมด้วยเหรอ”

ผมถามอย่างแปลกใจ คนขี้หึงแทบบ้าขนาดจะฆ่าไอ้เด็กเวรให้ตายเนี่ยนะ

“ผมเชื่อใจคุณ” คาร์เรย์จูบปากผมอีกครั้ง “อีกอย่าง ถ้าผมไม่อยู่ไอ้หมอนั่นต้องฉวยโอกาสอยู่แล้ว สู้บอกว่าผมอนุญาตจะสบายใจกว่า และผมเองก็ยังไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว...ในช่วงนี้ด้วย”

ผมหลุบตาพลางซุกหน้ากับอ้อมกอดอุ่นๆ เพราะหลายคืนมานี้ผมยังฝันร้ายติดต่อกัน แม้จะไม่เพ้อออกมาเท่าตอนอยู่โรงพยาบาล แต่คาร์เรย์ที่นอนกอดผมมาตลอดย่อมรู้สึกว่าผมนอนหลับไม่สนิท บางคืนถึงกับตัวสั่น ร้องไห้ออกมาเงียบๆ ทำให้เขาพลอยไม่ได้นอนไปด้วย

“ขอบคุณนะ”

...ขอบคุณที่เชื่อใจ ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณ ขอบคุณเหลือเกิน

คาร์เรย์คลายอ้อมกอด ก้มหน้ากระซิบข้างหูพลางกดริมฝีปากจุ๊บเบาๆ

“ก็ผมรักคุณนี่ครับ”

และขอบคุณ...ที่รักผมมากขนาดนี้


---------------------

จะปล่อยปลาย่างไว้กับแมวรึเปล่านะคาร์เรย์ อ่ะแฮ่ม กลับมากับหนุ่มฆาตกรกันอีกครั้งค่ะ
อดีตของเจย์เดนเริ่มเผย "คนคนนั้น" ใกล้จะมีบทออกในไม่ช้าแล้ว  :z2:

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
คนคนนั้น อยากให้คาเรย์รู้จริงๆ

สงสัยจะตายแบบทรมานกว่าทุกๆคนแน่ๆ

และการที่เจย์เดน เพ้อทุกคืน คิดว่าต้องมีหลุด รอลุ้น

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
คาร์เรย์น่ารักอ่ะ  :o8:
เลียมน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีในเร็วๆนี้ได้นะ :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ตอนที่เลียมกินกระดาษนั่น ดูเท๊เทจริงๆนะ  :impress2:
ถึงจะทำตัวเป้นพระเอกแค่ไหน ก็มักจะมีชะตาชีวิตเป้นพระรองตลอด ช่างน่ารันทดจริงๆ :sad4:

คาร์เรย์ ตอนนี้เหมือนจะสงบลงคล้ายคนทั่วไปได้หน่อยนึงล่ะ
แต่ถ้าใครมาทำร้ายเจย์เดนอาการคงกำเริบขึ้น

รอดู 'คนคนนั้น' คือใคร และสร้างอดีตอันแสนทรมานใจให้เจย์เดนอย่างไร

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ชอบฉากกินกระดาษ  :laugh: เป็นอะไรที่พ่อของเลียมขัดขืนไม่ได้จริงๆ

รอตอนต่อไปค่ะ  :katai2-1: 

ปล. แอบหวังให้เลียมทำสำเร็จจริงๆ  :hao7:

ออฟไลน์ ชมพูพาล

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Chapter 9 : “คุณต้องรับผิดชอบผมนะ”

ผมไม่ได้เรียกเลียมมาหรอก แต่ก็อย่างที่คาร์เรย์บอกไม่มีผิด พอไอ้เด็กเวรรู้ว่าผมอยู่คนเดียวสามวัน มันก็กลับไปขนของมานอนด้วยโดยไม่แม้แต่จะถามเจ้าของบ้าน

“รบกวนด้วยนะครับ”

ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!

ผมส่ายศีรษะอย่างปวดหัวเมื่อมันวางกระเป๋าเป้ไว้บนเตียงผม ทำท่าจะลงไปกลิ้งสักสองรอบ ติดก็แต่ถูกผมถีบตกลงมาซะก่อน

“ที่นอนนายอยู่นี่”

ผมชี้ไปที่ฟูกนอนข้างเตียง ก่อนไปคาร์เรย์เป็นคนปูเองกับมือ ไม่รู้ไปขุดหาจากไหน แถมยังมีหมอนและผ้าห่มครบเซ็ท กะไม่ให้เลียมฉวยโอกาสผมได้

“โธ่ เตียงตั้งใหญ่ ทำงกไปได้” ไอ้เด็กเวรทำหน้าหงอ แต่ก็ยอมเอาเป้วางกับฟูกแต่โดยดี

“ก็นี่มันเตียงฉันกับคาร์เรย์ อนุญาตให้นอนห้องเดียวกันได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าเรื่องมากน่า” บอกตรงๆ ว่าผมเกรงใจคนรักอยู่ไม่น้อยครับ ตอนแรกว่าจะให้เลียมไปนอนบนโซฟา แต่คาร์เรย์กลับแย้งว่าถ้าผมนอนฝันร้ายใครจะช่วยปลุก ทำเอาเถียงไม่ออก ได้แต่นึกขอบคุณน้ำใจคนรักไม่รู้ตั้งกี่ครั้งที่ยอมทำขนาดนี้

 “ไม่ต้องห่วงน่า ผมเป็นสุภาพบุรุษพอ” เลียมรีบอธิบายเมื่อเห็นผมทำหน้าเครียด “ตอนนี้คุณกับผมยังเป็นเพื่อนกัน ฉะนั้นวางใจเถอะ ผมรู้หน้าที่ตัวเองดี”

ไอ้เด็กเวรว่าพลางทิ้งตัวนอนกับฟูกอย่างเคลิบเคลิ้มราวเป็นเตียงของโรงแรมห้าดาว

“ผมไม่อยากให้คุณเกลียดหรอกนะ เจย์เดน”

เอาเป็นว่าผมจะพยายามเชื่อใจเลียมก็แล้วกัน



คืนนั้นผมฝัน...

“เพิ่งเข้างานวันแรกเหรอ ชื่ออะไรน่ะเรา”

“เจย์เดน...เจย์เดน เวอแกนครับ”

“หึ ดูหน้าเบื่อโลกดีนี่ ทั้งที่หน้าตาดีแท้ๆ น่าเสียดายนะ”

“…”

“เอาเถอะ น่าสนใจดี ยังไงก็ขยันทำงานด้วยล่ะ”

“...ครับ”

นั่นเป็นการเจอกันครั้งแรกของผมและ ‘คนคนนั้น’ เป็นการพบหน้าที่เหมือนปกติ ไม่มีอะไรแตกต่าง ด้วยหน้าตาของผมและท่าทางหาเรื่อง ก็ไม่แปลกที่จะมีคนเข้ามาทักทายด้วยความสนใจว่ากินอาหารบูดหรือท้องเสียรึเปล่า แต่ตอนนั้นผมยังไม่เละเทะเท่านี้ และไม่ผอมโซเท่านี้ด้วย ผมยังคงทำงาน แม้จะไม่กระตือรือร้น แต่ก็นับว่าทำงาน...และทำได้ดี

“เก่งนี่เรา”

“ขอบคุณครับ”

ผมตอบเมื่อได้รับคำชม เพราะเพิ่งไปเป็นนกต่อหลอกล่อเด็กวัยรุ่มกลุ่มหนึ่ง ทำให้รวบจับได้ยกแก๊งส์ มานึกดูดีๆ ผมก็เป็นคนขี้หนาวแต่ไหนแต่ไร ฉะนั้นเมื่อได้รับคำชวนให้ไปดื่มฉลอง จึงตอบรับอย่างไม่ลังเล

“ชื่ออะไรนะ”

“...เจย์เดน เวอแกนครับ”

“อืม...ฉันชื่อเบรด ถึงจะตำแหน่งสูงกว่า แต่เรียกฉันว่าพี่เบรดแล้วกัน”

เขาเป็นคนอัธยาศัยดี รักลูกน้อง ใจกว้าง ชอบความอิสระ มักเถลไถลตอนกลางคืนเป็นประจำจนเป็นหัวโจกในการพาลูกน้องเที่ยวกลางคืน

“อยู่คนเดียวสินะ”

“ครับ”

“งั้นมาค้างที่บ้านสิ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว”

“ไม่ดีกว่าครับ”

“เอาน่า อย่าเกรงใจ บ้านพี่อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงาน ตื่นสายได้สบายมากน่า”

ผมยอมรับน้ำใจของเขา แต่ก็ไม่อยากอาศัยกับคนแปลกหน้า เรื่องราวในอดีตยังสอนให้ผมระมัดระวังตัวเสมอ แต่เพราะมีเพื่อนร่วมงานคนอื่นบอกว่าจะไปค้างด้วย ทำรวมกับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมจึงยอมรับปาก

และเรื่องราวก็เวียนผ่านเช่นนั้นไปหลายต่อหลายครั้ง เบรดเข้าหาผมอย่างเป็นธรรมชาติ เริ่มจากตำแหน่งเจ้านาย มาเป็นพี่ชายคนสนิท จากนั้นจึงเป็นเพื่อนผู้รู้ใจ ก่อนจะพัฒนาเป็นคนรัก

เขาใช้เวลาถึงสองปีเต็ม

ทุกอย่างเป็นอย่างเชื่องช้า แต่กลับค่อยๆ แทรกเข้าไปในใจของผมอย่างลึกล้ำ รู้ตัวอีกทีผมก็ไม่ปิดกั้นเขาอีกต่อไป

ถ้าเป็นเขา...คงไม่เป็นไร

ผมคิดแบบนั้นเมื่อยอมตกลงมีอะไรกันครั้งแรก

ถ้าเป็นเขา...คงไม่เหมือนคนอื่น

ผมยังคงคิดแบบนั้น เมื่อเขายังคงเฮฮาเป็นกันเอง เทคแคร์ผมดีเยี่ยม ไม่มีเรื่องหึงหวง ไม่มีเรื่องการเป็นเจ้าของอย่างโจ่งแจ้ง ความสัมพันธ์ของเราเป็นความลับในที่ทำงาน แต่ก็ไม่เคยจืดจางลงสักวันเดียว

ถ้าเป็นเขา...

“เจย์เดน”

คืนหนึ่ง ผมตื่นมาในห้องคุ้นตา ถ้าจำไม่ผิดเป็นห้องใต้ดินที่เคยลงไปครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมลงไปหาของ แต่ก็ถูกเบรดจูงมือเดินออกมาบอกว่าซนนัก แม้จะถามว่าทำไมห้องใต้ดินถึงมีเตียงหลังเล็ก เขาก็บอกปัดเป็นเชิงสำรอง เพราะมีคนมาข้างที่ห้องเขาหลายครั้ง ผมจึงไม่ใส่ใจ

แต่ตอนนี้ผมกำลังนอนหงายบนเตียงนั้น

แกร่ก...

เสียงสายโซ่เรียกสติผมเอาไว้ เมื่อลองดูชัดๆ จึงพบว่าที่คอของผมมีปลอกคอสำหรับสัตว์ เกี่ยวสายโซ่คล้องกับหัวเตียง ล็อคแม่กุญแจแน่นหนา ความยาวนั้นทำให้ผมได้แต่อยู่บนเตียง ขณะที่ร่างเปลือยเปล่าไม่มีกระทั่งผ้าห่มปกปิด

“นี่มันอะไรครับพี่”

ผมเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เบื้องหน้ามีกล้องวีดีโอวางบนขาตั้ง ถ่ายมาที่ตัวผมซึ่งได้แต่เงยหน้าถามเขาด้วยความไม่เข้าใจ

“อย่าตกใจน่า พี่ก็แค่ทำอะไรสนุกๆ”

เบรดเข้ามาจับหน้าผมให้หันไปทางกล้องชัดๆ

“ยิ้มหน่อยสิครับ เจย์เดน”

และนั่นทำให้ผมรู้...ถึงนิสัยแท้จริงของเขาเป็นครั้งแรก!




(( เมื่อคืนเป็นไงบ้างครับที่รัก ไม่มีผมอยู่คิดถึงรึเปล่า ))

“คิดถึงสุดๆ เลย”

ผมตอบขณะมองดูไอ้เด็กเวรกำลังเก็บฟูกไม่ให้เกะกะทางเดิน เมื่อคืนผมฝันร้าย...แต่ไม่ว่าจะปัดป่ายอย่างไรก็ไม่เจออ้อมกอดอุ่นเหมือนเดิม มันทำให้ผมแทบบ้า ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเมื่อถูกเลียมเขย่าแรงๆ

ทั้งผมและเขาไม่พูดอะไรตลอดคืน ไอ้เด็กเวรไม่ถามสักคำ ส่วนผมก็ไม่อธิบายสักแอะ ท้ายที่สุดจึงได้แต่นอนกอดเข่าบนเตียง โดยมีเลียมนั่งบนฟูกเป็นเพื่อนอยู่ข้างล่าง แต่พอเช้ามาผมกลับอยู่ในท่านอนถูกห่มผ้าอย่างดี คงจะเผลอหลับไป...พอจะหันไปขอบคุณ ก็เจอไอ้เด็กเวรนอนซบหน้าอยู่ข้างเตียง สะกิดไปไม่กี่ทีก็ตื่น แต่หน้าซีกขวาเป็นรอยยับ เล่นเอาผมหลุดขำแต่เช้า

(( โทรหาผมตอนกลางคืนได้นะครับ ทุกครั้งที่คุณตื่นเพราะฝันร้าย ผมพร้อมจะกล่อมคุณให้หลับฝันดี ))

“ถ้านายอดนอนจนกลับมาหาฉันช้ากว่าเดิมก็แย่น่ะสิ” ผมพูดเป็นเชิงปฏิเสธ แม้จะอยากได้ยินเสียงคาร์เรย์จับใจ แต่ก็ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง อีกอย่าง การที่ไอ้เด็กเวรอยู่เป็นเพื่อนผม ก็ทำให้ใจสงบได้ระดับหนึ่ง

“คุณจะกินอะไร”

พูดถึงก็มา เลียมเปิดประตูระเบียงเข้ามาถามผม อยู่ในชุดลำลองสบายๆ ไม่เหมือนคนจะไปทำงานสักนิด

“ผมเพิ่งสร้างผลงานน่ะ จะขอลาหยุดสักวันสองวันก็สบายอยู่แล้ว” ไอ้เด็กเวรตอบเมื่อโดนผมมองตั้งแต่หัวจรดเท้า “สรุปคุณจะกินอะไร ถ้าทำได้จะลองดู ถ้าไม่ได้ก็จะสั่งให้ ผมหิวแล้ว”

“เอาเหมือนนายแล้วกัน”

ผมนึกอะไรไม่ออกเลยได้แต่ตอบส่งๆ ไป

“โอเค” เลียมยิ้มกว้าง บรรยากาศไม่ยักอึดอัดอย่างที่คิด พอเลียมปิดประตูระเบียง ผมก็ยกโทรศัพท์คุยกับคาร์เรย์ต่อ

(( หมอนั่นไม่ทำอะไรคุณใช่มั้ย ))

เสียงคาร์เรย์เย็นกว่าเดิมสองระดับ หากตอบว่าใช่ เชื่อว่าคงจะจับไฟลท์บ่ายบินกลับมาทันที

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันกับเลียมเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นแหละ” ผมยืนยัน พลางสูดอากาศยามเช้าเข้าลึกๆ ให้ตาย...ผมชอบบ้านหลังนี้จริงๆ แต่จะดีกว่านี้มากถ้ามีคนรักอยู่เคียงข้าง “แล้วรีบกลับมาล่ะ คาร์เรย์”

(( ครับ ที่รัก ))

บ้าชะมัด แค่วันเดียวผมก็คิดถึงจูบหวานๆ ของเขาซะแล้ว ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปก่อนจะยิ้มขันกับตัวเอง คาร์เรย์โอ๋ผมเกินไป ทำให้นิสัยเสียแล้วสิ

แต่พอเดินลงมาข้างล่าง กลิ่นเหม็นไหม้ก็ทำให้อารมณ์สดใสเพราะได้รับการปลอบโยนจากคนรักชะงักกึก

“ทำอะไรของนายน่ะ”

ผมชะโงกหน้าไปยังห้องครัว เห็นไอ้เด็กเวรกำลังทำการสังหารอะไรบางอย่าง เพราะมันดำปี๋จนดูไม่ออก

“อ่ะ ผมเห็นว่ามีไส้กรอก ก็เลยว่าจะทอดให้คุณกินซะหน่อย แต่ว่า...”

เลียมยกกระทะที่ก้อนดำๆ ติดแน่นด้วยสีหน้าจนใจ

“มันเป็นแบบนี้ซะแล้วน่ะ”

ไอ้-เด็ก-เวร!

ห้องครัวที่เคยเต็มไปด้วยไอความรักถูกกลบด้วยควันไหม้จนผมต้องรีบเปิดหน้าต่าง ก่อนจะเอากระทะไปล้างน้ำ เสียแต่ไม่ว่าจะขูดออกยังไงก้อนดำๆ ที่ว่าก็ยังติดแน่น บ้าจริง! ถึงผมจะห่วยด้านนี้ แต่ก็ไม่โง่ขนาดทอดของกินโดยไม่ใส่น้ำมันนะ!!

“ทำไม่เป็นแล้วจะเข้ามาทำลายของทำไมเนี่ย!”

หลังมั่นใจว่าได้ฤกษ์ซื้อกระทะใหม่แน่นอน ผมก็หันไปว่าเลียมอย่างโมโห

“ก็ผมไม่คิดว่ามันจะแย่ขนาดนี้นี่นา...เห็นเขาทำอาหารมัดใจคุณออกบ่อย ก็เลยอยากลองทำดูบ้าง...”

โหย ไม่เจียมฝีมือเลยนะไอ้เด็กเวร!

ผมกุมขมับ ไม่รู้จะอธิบายกับคาร์เรย์ยังไงตอนเขากลับมา

“อย่าโกรธน่า คุณไปแต่งตัวดีๆ แล้วออกไปหาอะไรกินนอกบ้าน จากนั้นค่อยแวะซื้อกระทะก็แล้วกัน โอเคมั้ย”

“มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว!”

ผมกระแทกเสียงก่อนจะเดินโครมๆ ขึ้นบันได อดคิดไม่ได้ว่าคาร์เรย์ไม่ต้องห่วงผมกับเลียมสปาร์คกันหรอก แต่ควรห่วงว่าผมจะเผลอทำร้ายการไอ้เด็กเวรมากกว่าต่างหาก!




ท้ายที่สุดพวกเราก็ออกไปกินข้าวที่หน้าหมู่บ้าน

ผมไม่กล้าไปไหนไกล แม้วันนี้ไอ้เด็กเวรจะหยุดงานคนเดียว แต่อาจจะมีคนรู้จักมาเห็นตอนเดินกับผมก็ได้ เป็นเรื่องขึ้นมาจะยุ่ง พ่อเลียมยิ่งไม่ชอบหน้าผมอยู่ ฉะนั้น หลังท้องอิ่ม พวกเราก็ไปซื้อกระทะที่ร้านอุปกรณ์ใกล้ๆ เพราะเลียมถ่ายรูปของเก่าเอาไว้ พอยื่นให้เจ้าของร้านดู จึงได้กระทะหน้าเดิมๆ กลับมาประจำที่ห้องครัวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าคาร์เรย์จะดูออกรึเปล่า

พอห้องครัวกลับสู่สภาพเดิม ไม่รู้ทำไมจากที่โกรธๆ พอมองหน้าเลียมอีกครั้งผมกลับหัวเราะออกมา ตั้งฉายาให้ไอ้เด็กเวรได้ซะงั้นว่า ‘ตัวทำลายกระทะ’

เลียมหัวเราะตอบ ดูภาคภูมิใจซะด้วยสิ ก่อนจะถามผมว่าแล้วจะทำอะไรกันต่อดี...นั่นสิ ปกติแล้วคาร์เรย์จะคอยนั่งทำงานข้างๆ ส่วนผมหากไม่นั่งอ่านหนังสือก็ดูหนังไปเรื่อยๆ มีหยอกล้อกันบ้างตามประสาคนรัก แต่จะให้นั่งทำแบบนั้นกับเลียมมีหวังตีกันตาย ท้ายที่สุดไอ้เด็กเวรจึงเสนอให้ผมไปเล่นกีฬาสักหน่อย นอนอืดอยู่บ้านมาหลายวัน กล้ามเนื้อคงเหี่ยวหมดแล้ว

ผมเห็นด้วย เพราะยังเจ็บใจที่วิ่งแพ้เด็ก อีกทั้งหลายปีมานี้ก็ไม่เคยออกกำลังกายจริงๆ จังๆ เลย ช่วงนี้หน้าตาผมเริ่มอุดมสมบูรณ์ขึ้นแล้ว จะขาดก็แต่กล้ามเนื้อนี่ล่ะ

“งั้นจะเล่นอะไรดีล่ะครับ”

ไอ้เด็กเวรชอบเตะบอล แต่จะให้เล่นบอลกันสองคนนี่โคตรเหงา ผมลองไปรื้อๆ ห้องเก็บของในบ้าน พบว่ามีลูกบาสเลยตกลงกีฬาได้แบบไม่ต้องมีตัวเลือก

พวกเราอพยพกันไปที่สวนซึ่งใช้เวลาเดินจากบ้านไม่ถึงห้านาที ที่นั่นมีแป้นบาสเตี้ยๆ สำหรับเด็ก ผมกับเลียมมองหน้ากัน ก่อนจะตกลงปลงใจกันเล่นบาสแบบทุเรศสายตาฉิบเป๋ง ยังดีที่วันนี้เป็นวันทำงาน เด็กก็ไปโรงเรียน อีกทั้งสวนนี้อยู่ท้ายหมู่บ้าน จึงไม่มีใครเห็นผู้ใหญ่สองคนเล่นแย่งบอลข้ามไปข้ามมาระหว่างแป้นบาสอันเท่าไหล่

“ดังค์!”

ยังจะเรียกว่าดังค์!

ผมมองเลียมขำๆ ไอ้เด็กเวรโชว์ความเทพหลายท่า ทั้งกระโดดชู้ต เอาบาสยัดห่วงทั้งสองมือ หรือโยนลูกข้ามหัว มันคงจะดูดีกว่านี้ถ้าไม่ใช่กับแป้นสำหรับเด็ก

“ผมชนะ”

“นายขี้โกง” ผมว่าหลังพยายามแย่งลูกจากอีกฝ่าย แต่โดนไอ้เด็กเวรลวนลามกลับแบบทีเล่นทีจริง ทำให้จากที่ควรเอาบาสยัดลงห่วง กลายเป็นปาลูกบาสกระแทกหน้าเลียมแทน

คะแนนที่ปรากฏคือ 30-0

แต่ถ้านับคะแนนจากการทำร้ายร่างกาย

คะแนนจะกลายเป็น 0-30

เลียมหน้าแดง มาจากความเหนื่อยและแรงกระแทกจนเห็นรอยช้ำ พอไอ้เด็กเวรทำท่ามึนๆ เบลอๆ ผมที่กำลังจะปาลูกบาสใส่เป็นครั้งที่ 31 ก็เริ่มสำนึกว่ามันเองก็เป็นคนเจ็บ แม้จะเอาผ้าพันแผลออกแล้วแต่ยังปิดพลาสเตอร์เอาไว้ หากได้รับการกระทบกระเทือนมากๆ อาจจะสมองเสื่อมเอาได้

“กลับกันเถอะ”

ผมลดลูกบาสในมือลง หอบหายใจเหนื่อยอ่อนเพราะต้องวิ่งไล่ไอ้เด็กบ้านี่เป็นเวลานาน

“ครับ” เลียมตอบรับง่ายๆ หรือไม่ก็เพราะไม่อยากเจ็บตัวมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังยิ้มออก แถมยังหัวเราะร่าเมื่อกลับถึงบ้านแล้วส่องกระจกเห็นหน้าบวมๆ ปูดๆ ของตัวเอง

“คุณต้องรับผิดชอบผมนะ”

“เออน่า” ผมตอบรับอย่างขอไปทีพลางผลักหัวไอ้เด็กเวรให้ไปอาบน้ำก่อน  เลียมทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ยอมรับผ้าเช็ดตัวจากผมแล้วเดินเข้าห้องน้ำชั้นบนไป

เห็นแบบนั้นผมก็โทรหาคาร์เรย์ เพราะไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วยเลยเพิ่งเห็นว่าเขาโทรมาถึงสามครั้ง และข้อความอีกสองฉบับ ตอนแรกผมแอบคิดว่าเทียบกับความห่วงของอีกฝ่ายแล้วออกจะน้อยไปสักหน่อย แต่พออ่านข้อความก็เข้าใจ

‘ครั้งหน้าจะออกไปไหนอย่าลืมเอาโทรศัพท์ไปด้วยสิครับ’

   เขารู้ว่าผมทำอะไรอยู่ คนที่ให้ตามผมไว้ช่างทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ

มันรู้สึกอุ่นแบบแปลกๆ เหมือนกับว่าตนอยู่ในสายตาของคนรักตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวนัก ผมอยากได้บรรยากาศแบบเป็นห่วงมากๆ เหมือนกันนี่นา

โอเค ผมยอมรับว่าผมโรคจิตพอตัว เป็นพวกโหยหาความรักอย่างที่สุด แต่ว่า...

‘กลับมาแล้วโทรหาผมด้วยนะ คิดถึงจัง’

ผมอมยิ้ม เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาวางไว้ที่โต๊ะข้างโซฟาก่อนจะกดโทรออกทันที

(( เหนื่อยมั้ยครับ ที่รัก ))

เสียงที่ชวนให้สบายใจทุกครั้ง แม้จะนึกตงิดกับการกระทำหลายๆ อย่างของคาร์เรย์ แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กัน หรือได้พูดคุยกันด้วยความรักใคร่อย่างแท้จริง ก็ทำให้ผมยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกอบโกยช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ให้นานที่สุด

“ถ้านายมาเล่นด้วยกันก็ดีน่ะสิ”

(( ผมนึกว่าคุณเกลียดการออกกำลังกายซะอีก ))

คาร์เรย์หัวเราะรวน นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเก็บอุปกรณ์กีฬาไว้ในห้องเก็บของโดยไม่คิดเอาออกมาเลยสักครั้ง

“นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอก ยืดเส้นยืดสายบ้าง ฉันจะสามสิบแล้วนะคาร์เรย์”

(( จะสี่สิบผมก็รัก ))

เหมือนจะคุยกันคนละเรื่อง แต่ก็ทำเอาผมใจสั่น

“คิดถึงนายจัง...”

ผมเผลอรำพันออกมา การได้ยินแค่เสียงหวานๆ ของคาร์เรย์แต่กลับไม่เห็นหน้าทำให้ผมได้แต่เฝ้าจินตนาการเพียงฝ่ายเดียว แทนที่จะคิดถึงน้อยลงกับทวีมากขึ้นกว่าเดิม

คำบอกรักนั้นควรได้ยินจากปาก ไม่ใช่ผ่านเสียงปลายสายแบบนี้

(( ผมดีใจนะที่คุณพูดออกมา ))

คาร์เรย์พูดเสียงอ่อน เชื่อว่าคงกำลังระบายยิ้มเต็มหน้า

(( จริงสิ ใกล้จะวันคริสมาสแล้ว คุณอยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า ผมจะได้ซื้อกลับไปฝาก ))

“อีกตั้งอาทิตย์กว่าๆ เนี่ยนะ”

(( วางแผนก่อนไงครับ นี่เป็นปีแรกเลยนี่นาที่ผมจะได้ฉลองคริสมาสกับคุณ ))

ใช่ เป็นปีแรกที่ผมจะได้ฉลองคริสมาสกับคนที่รักตอบอย่างมากล้นขนาดนี้

ในใจอุ่นวาบ ผมนึกไม่ออกหรอก ว่าต้องการของอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า เพราะแค่มีคาร์เรย์ ผมก็พอใจแล้ว

“งั้นคริสมาสนี้กินเค้กด้วยกันนะ”

(( เอ๋ แต่คุณไม่ชอบของหวานนี่ครับ ))

“ก็ไม่ถึงกับเกลียดหรอก แต่เพราะของแบบนั้นกินคนเดียวแล้วมันเหงา เลยกลายเป็นไม่ชอบน่ะสิ” ผมตอบตามจริง หลุดยิ้มน้อยๆ กับนิสัยเด็กของตนที่อยากแย่งกินเค้กปอนด์กับคนรักเคล้าเสียงหัวเราะ

คงเป็นคริสมาสที่มีความสุขมากทีเดียว

(( ผมรักคุณจัง ))

“อืม ฉันรู้”

น้ำเสียงของคาร์เรย์แฝงความรู้สึกมากมาย หนึ่งในนั้นคือความตื้นตันใจ

(( ผมจะรีบกลับไปหาคุณ รอผมนะครับ ))

“หึ ถ้าไม่รอนายแล้วฉันจะรอใครได้ล่ะ โชคดีล่ะ คาร์เรย์”

ผมวางสาย พอดีกับเลียมซึ่งเดินลงมาพอดีด้วยสภาพหัวเปียกโชก ไอ้เด็กเวรขนเสื้อผ้ามาเองจึงอยู่ในชุดนอนอุลตร้าแมนที่ผมไม่เคยเห็นคนอายุยี่สิบกว่าที่ไหนใส่แล้วเข้ากันได้ดีเท่านี้มาก่อน

“อุบ...” ผมหลุดขำ ปิดปากแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางแทบไม่ทัน

“จะหัวเราะก็หัวเราะออกมาสิครับ ผมเพิ่งซื้อชุดนี้มาเพื่อสร้างความประทับใจให้คุณเลยนะ” ไม่ว่าเปล่า ไอ้เด็กเวรยังเดินมาหมุนตัวข้างหน้าผม แล้วจบท้ายด้วยการทำท่าปล่อยท่าไม้ตายของอุลตร้าแมน

“ฟิ้วๆ ฟ้าวๆ ผมนี่ล่ะคือตัวแทนแห่งความยุติธรรม!”

คราวนี้ผมกลั้นขำไม่อยู่จริงๆ หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ้เด็กเวรเหมือนจะได้ใจเลยยิ่งทำท่าเตะต่อยใส่อากาศซึ่งจินตนาการเป็นปีศาจร้าย สมจริงจนผมเชื่อหมดใจว่าตอนเด็กเลียมต้องเคยทำแบบนี้หลายครั้งแน่ๆ

“เอ้าๆ พอได้แล้ว เพิ่งอาบน้ำมาเดี๋ยวก็เหงื่อออกอีกรอบหรอก”

ผมกวักมือเรียกไอ้เด็กเวรก่อนที่มันจะกระโดดหมุนตัวเตะกลางอากาศ ยิ่งปล่อยไปท่าก็ยิ่งพิสดารขึ้นทุกที

“คุณเรียกได้เวลาพอดี ผมกำลังสมองตันเลยล่ะ” ไอ้เด็กเวรสารภาพพลางทิ้งตัวนั่งข้างผม ยื่นหน้าช้ำๆ เข้ามาออดอ้อน “แต่เห็นคุณหัวเราะขนาดนั้นก็คุ้มแล้ว”

ผมจิ้มหน้าผากซึ่งเป็นรอยแดงแถมยังปูดออกมาน้อยๆ อย่างหมั่นไส้ เรียกให้เลียมร้องโอดโอย

“โอยๆ อุลตร้าแมนแพ้แล้วครับ สู้จอมมารเจย์เดนไม่ได้จริงๆ!”

“จอมมารเหรอไอ้เด็กเวร!” ผมชักเข้าใจความรู้สึกตามน้ำเหมือนที่ไอ้เด็กเวรเพิ่งจะโชว์กายกรรมเมื่อครู่แล้วล่ะ เพราะตอนนี้ผมกำลังรับบทจอมมาร ซ้ำเติมแผลให้เลียมมากกว่าช่วยรักษา

“นี่คุณกะให้ผมลาหยุดยาวเลยใช่มั้ยเนี่ย”

ไอ้เด็กเวรทักท้วงเมื่อผมพันผ้าทั้งหน้าให้จนเหมือนมัมมี่ ชอบเล่นดีนักก็ต้องโดนแบบนี้ล่ะน่า

“ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว นายก็เก็บของด้วยล่ะ”

“โธ่...ว่าจะแอบดูสักหน่อย โอ๊ย! ผมล้อเล่นครับคุณท่านเจย์เดน!!” เลียมซึ่งก้มหน้าพึมพำเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลร้องจ๊ากเมื่อผมตบหัวมันจนหน้าเกือบทิ่ม

“เพื่อนเล่นเหรอฮะ”

“ก็เพื่อนน่ะสิครับ” ไอ้เด็กเวรยังยิ้มออก เห็นแล้วผมก็เหนื่อยใจ หมดแรง แถมยังรู้สึกตัวเหม็นเหงื่อเอามากๆ เลยเดินไปอาบน้ำที่ชั้นบนโดยไม่สนใจเสียงเจือแจ้วไล่หลังอย่างสดใสของเลียม

พอกลับลงมาอีกครั้ง ไอ้เด็กเวรก็โทรสั่งอาหารเรียบร้อย จัดโต๊ะอย่างดี แถมยังรู้ใจสั่งของชอบผมมาด้วย แต่พอกินเสร็จปัญหาก็มาเยือนเมื่อมันอาสาล้างจาน ไอ้ผมก็ดันคิดว่าเรื่องแค่นี้คงทำได้ กว่าจะรู้ตัวว่าคิดผิดจานกระเบื้องของคาร์เรย์ก็แตกไปสองใบ กับแก้วน้ำอีกหนึ่งแก้ว...

“ถ้าทำไม่เป็นก็บอกแต่แรกสิ!”

ไอ้เด็กเวรหัวปูดอีกรอบ ก่อนจะช่วยเก็บกวาดเศษแก้วลงถังขยะ ผมแอบจดลิสต์ของที่ต้องซื้อพรุ่งนี้ในใจพลางกุมขมับ เห็นทีต้องห้ามเลียมเข้าห้องครัวอย่าถาวรซะแล้ว

พอเดินออกมา ไอ้เด็กเวรจอมสร้างเรื่องก็ยังไม่เจียม หยิบครอสเวิร์ดที่ลงทุนขนมาเองจากบ้านมาชวนผมเล่นบนห้องนอน แน่นอนว่าผมนั่งเตียง ส่วนมันนั่งพื้น เล่นไปเล่นมาปะทะฝีปากกันจนเหนื่อยอ่อน ผมก็เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

น่าแปลก...คืนนั้นผมไม่ฝันเลย


--------------------

วันหยุดยาวก็รีบอัพรัวๆ นี่เป็นช่วงทำคะแนนของเลียมโดยแท้ โฮกกก ใครคิดถึงหนุ่มฆาตกร รับรองว่าคาร์เรย์ไม่กล้าทิ้งให้เจย์เดนอยู่กับเลียมนานๆ หรอกค่ะ เดี๋ยวจิได้กลับมาทวงตำแหน่งคืน!!  o18

ปล.เจย์เดนไม่เอานาย มาเป็นของเราก็ได้นะเลียม...แค่ก!  :heaven



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด