เรื่องเล่าของ
“เด็กชายจากคณะละครสัตว์”“สมัยนี้ไม่มีใครเขาอยากดูพวกมึงกันแล้ว” คุณลุงที่เก็บผมมาเลี้ยงบอกกับผม ก่อนจะโยนเศษขนมปังแข็งๆเข้ามาในกรง....
แต่ก่อนที่ผมและคนอื่นๆจะได้มาอยู่ที่นี่ คุณลุงบอกว่าคณะละครสัตว์ของเราเป็นคณะที่รุ่งเรืองและทำรายได้งามที่สุดในยุคนั้น ทุกครั้งที่จัดงานวัด เด็กๆในละแวกนั้นจะรบเร้าขอพ่อกับแม่มาดูการแสดงกันแทบจะทุกบ้าน จนในหมู่บ้านนั้นแทบจะกลายเป็นเมืองร้างกันไปเลยทีเดียว
รายได้งามคืออะไร ผมเฝ้าสงสัยแต่ไม่กล้าถาม เพราะตัวผมนั้นอาศัยอยู่แต่ในกรง ไม่เคยได้ออกไปไหนๆ หรือแม้แต่โชว์ของคณะก็ยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำไป
‘รายได้ก็คือไอ้กระดาษสีๆนั่นไงเล่า.....แล้วมึงเห็นขวดเหล้านั่นไหม นั่นแหละคือสิ่งที่ใช้รายได้ซื้อ…’‘เอ๊า....ยังจะทำหน้างงอีก รายได้เก๊าะคือเงินยังไงเล่าไอ้หนู’มนุษย์ต้นไม้บอกกับผม เขาอายุมากและอยู่กับคุณลุงมานาน ผิวหนังของเขาปุ่มป่ำน่าเกลียดเหมือนกับต้นไม้....
จะว่าไปผมก็ไม่เคยเห็นต้นไม้หรอก ก็ผมอยู่แต่ในกรงนี่นะ
อยู่ในนี้ คอยฟังเรื่องที่เขาพูดกัน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง นานๆครั้งที่ใครสักคนจะพูดคุยกับผม ใครหลายคนแวะเวียนเข้ามาดูและจากไป บางคนเข้ามาซ้ำอีกจนผมจำหน้าได้ และเมื่องานวัดเลิก ผมกับคนอื่นๆก็ต้องย้ายไปอีกที่ และผมก็ลืมหน้าพวกเขา
คนพวกนี้แหละคือรายได้ มนุษย์ต้นไม้บอกผมอีกเช่นกัน เขาเหล่านั้นจ่ายเงินเพื่อเข้ามา ‘ดู’ สิ่งซึ่งแตกต่างจากตน หลายคนที่มองผมอย่างเคลือบแคลงสงสัย พร้อมกับพูดเบา ๆกับตัวเองว่า.....นั่นคือของจริงใช่ไหม และอีกหลายคนที่มีสีหน้ารังเกียจ ขยะแขยง มนุษย์ตัวเล็กส่วนมากจะแหกปากร้องลั่นเมื่อเห็นผม และอีกไม่น้อยเลยที่พยายามจะเอาไม้แหย่เข้ามา ผมจำต้องแยกเขี้ยวขู่หรือส่งเสียงคำราม เด็กพวกนั้นก็จะหัวเราะและวิ่งหนีไป
อาจเป็นเพราะผมดู ‘คล้าย’ กับพวกเขา
แค่คล้ายเท่านั้นล่ะมั้ง
แค่คล้าย....แต่ไม่ใช่...และไม่มีวันเป็นเช่นนั้นได้
.
.
.
.
.
“ตื่นๆๆๆ.....เดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว มึงจะมัวขี้เกียจอยู่ไม่ได้นะเว้ย....เอิ๊ก....ห่า.....คืนนี้ขอค่าเหล้าดีดีสักขวดก็ยังดี”นานแค่ไหนแล้วที่ถูกขังอยู่ในกรงแคบ ๆ ไม่ต่างจากสัตว์ ประทังชีวิตด้วยอาหารชั้นเลว
มนุษย์ต้นไม้บอกกับผมอีกเช่นกัน ว่าสิ่งที่ผมกินนั้น ไม่ต่างจากอาหารที่สัตว์ตัวอื่นๆกินสักเท่าไหร่ บางครั้งผมได้ลิ้มรสเนื้อย่าง หรือขนมหวาน แต่นั่นก็นานๆครั้ง บางครั้งคนที่เข้ามาดูก็จะยื่นห่อช็อคโกแลตให้ผม ผมต้องระวังไม่ให้คุณลุงเห็น มิเช่นนั้นแล้วผมก็จะถูกตี แล้วก็ถูกงดอาหารเป็นเวลาสามวันเต็มๆ
เพราะผมไม่ใช่มนุษย์ ผมเป็นสัตว์ สัตว์ต้องกินอยู่อย่างสัตว์ คุณลุงบอกกับผมเช่นนั้น มนุษย์ต้นไม้ไม่ใช่สัตว์ เขาจึงได้รับสิทธิ์ให้กินแบบมนุษย์ และหลายครั้งที่เดียวที่แกหยิบยื่นความเวทนาให้ โดยการแบ่งอาหารของแกให้กับผม แกบอกว่าไม่เช่นนั้นแล้ว ผมคงขาดสารอาหารตายก่อนจะโต
คนอื่นอาจมองว่าแกประหลาดไม่ต่างจากผม แต่สำหรับผม....มนุษย์ต้นไม้เป็นสิ่งดีดีเพียงไม่กี่อย่างในชีวิตที่ผมได้รับ และผมรักแกเหมือนพ่อ
พ่อ.....พ่อผมเป็นใครกันนะ
เอาเป็นว่าผมชินแล้ว ไม่ว่าคุณลุงจะโยนอะไรมาให้ ผมก็กินได้ทั้งนั้นแหละ อย่างน้อยก็ยังมีอาหาร อย่างน้อยก็ไม่ต้องอดตาย
อ้อ...เจ้าจระเข้ถูกคุณลุงขายไปแล้ว ต่อไปนี้ด้านซ้ายมือของผมคงเงียบเหงาแย่
โลกข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างนะ
เจ้าจระเข้จะอยู่สุขสบายไหม
หวังว่าคนที่ซื้อมันไปจะดูแลมันเป็นอย่างดี
ผมอยากออกไปข้างนอกบ้างจัง
.
.
.
.
.
.
.
เขาเป็นชายแก่ที่สวมชุดคลุมสีดำ และฟันของเขาน่าเกลียด
เขาต่างจากคนอื่นที่แวะเวียนเข้ามา เขาหยุดอยู่ตรงหน้ากรงของผม และจ้องมองอย่างสนใจ ไม่ใช่สนใจแบบคนอื่น ไม่ใช่สนใจว่าผมเป็นตัวประหลาดจริงไหม หรือว่าสนใจว่าผมจะมีความรู้สึกเหมือนกับพวกเขาหรือไม่
แต่เป็นการสนใจอีกแบบหนึ่ง แกจ้องมองผมและยิ้มให้ราวกับรู้จักผมเป็นอย่างดี สายตาแกบอกเช่นนั้น แกโบกมือทักทาย และกระซิบกระซาบเป็นคำพูดด้วยเสียงที่แหบพร่า
“สบายดีไหมไอ้หนู” แกถามผม และผมมีสิทธิ์ตอบได้เพียงแค่เสียงคำรามอย่างสัตว์เท่านั้น ในโลกของผม โลกของคณะละครสัตว์ ผมเป็นเพียงสัตว์ร้ายที่เอาไว้สำหรับโชว์ความน่าเกลียด น่าสะพรึงกลัว ให้ผู้คนได้ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ
มนุษย์ฉลาม นั่นคือสิ่งที่คุณลุงตั้งให้ผม เป็นชื่อที่ใช้ในการแสดงเลยนา....นั่นทำให้ผมภูมิใจมากเลยทีเดียว
“กรรรรรร์”“ยังดุเหมือนเดิมเลยนะ....เอ็งน่ะ....ไม่เหมือนตัวอื่นๆนะรู้ไหม”
ใช่....ไม่เหมือนคนอื่น ตาแก่คนนี้พูดถูก ไม่มีใครในที่แห่งนี้ทีมีดวงตาแบบผม ดวงตาดำสนิทปราศจากตาขาว และฟันเขี้ยวที่แหลมจนดูเหมือนฉลาม...
ผมไม่เคยเห็นฉลามหรอก....มนุษย์ต้นไม้บอกมาน่ะ
แต่ผมเคยเห็นตัวเองในโปสเตอร์นะ แต่ผมว่ามันดูน่ารักไปหน่อย
ที่นี่คือคณะละครสัตว์
และผมถูกจัดให้อยู่ในหมวดของสัตว์
ในซุ้มที่ผมแสดง มีทั้งสัตว์และมนุษย์ประหลาด ครึ่งหนึ่งเป็นของปลอม ไม่ว่าจะเป็นผีกระสือหรือนางเงือก สัตว์ที่ถูกย้อมสีหรือนำบางสิ่งมาต่อเติมลงไปจนดูผิดธรรมชาติ เสือหิมะผอมโซที่จะตายแหล่มิตายแหล่ นกเงือกที่ดูเหมือนกำลังเจ็บป่วยและทรมาน ช้างที่ต้องโชว์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และมนุษย์ประหลาดที่มีร่างกายผิดปกติ อย่างพวกคนแคระ ผู้หญิงมีหนวด ชายร่างยักษ์ และชายร่างสูง ตัวตลก
และมนุษย์ต้นไม้
แต่ไม่มีใครเลยที่เป็นแบบผม
ไม่ใช่ทั้งมนุษย์แล้วก็สัตว์
“สนใจมันหรือลุง” คุณลุงเรียกตาแก่คนนั้นว่าลุง นั่นหมายความว่าแกคงจะแก่มากแล้วจริงๆ ตาแก่เอาแต่จ้องมองผม และยิ้มแปลกๆจนผมรู้สึกอึดอัดชอบกล
“ไอ้เหี้ยนี่น่ะ....ฉันไม่ได้ตั้งชื่อให้มันหรอกลุง พี่ชายของฉันไปเจอมันมาตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยกเดียว กระเปี๊ยกเดียวจริงๆ กำลังแดกไส้แม่มันอยู่ในม่านรูด อีนั่นคงจะโดนผัวมันฆ่าตาย แต่ไอ้นี่มันดวงแข็ง ไม่ยอมตายตามแม่มันไป เด็กนรกมาเกิดแท้ๆเชียว.....”
คุณเล่าให้ชายแก่ฟัง เหมือนกับที่เคยเล่าให้คนอื่นๆฟัง เวลาที่มีใครถามถึงหรือทำท่าทีสนใจในตัวผม คุณลุงพยายามจะขายผมอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีใครสักคนยอมซื้อ
ก็ใครเล่าจะยอมจ่ายเงินซื้อตัวประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคน...ไม่ใช่ทั้งสัตว์
มันเป็นเรื่องจริงนะ....เรื่องที่คุณลุงเล่าให้ชายแก่และใครต่อใครฟังน่ะ แม้ว่าคุณลุงจะเป็นคนขี้โมโหและขี้โกหกอย่างหาตัวจับได้ยาก(มนุษย์ต้นไม้บอกแบบนั้น...โธ่เอ๊ยคุณ....ทั้งชีวิตในกรงของผมจะไปได้เห็นคนขี้โมโหแล้วก็ขี้โกหกอย่างคุณลุงได้ที่ไหนอีกเล่า) แต่เรื่องที่แกเล่าเกี่ยวกับตัวผมนั้นเป็นความจริง อย่างน้อยก็เกือบทั้งหมด
ผมมั่นใจ...เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ผมฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างแจ่มชัด วันที่ผมเกิด วันที่ลืมตาดูโลก แหวกผนังท้องและลำไส้ออกมาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกกระเสือกกระสนที่จะมีชีวิตรอดนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของผมมาจนถึงทุกวันนี้
ทุกครั้งที่ฝัน....ชายหนุ่มคนนั้น...คนที่มองผมอย่างตื่นตะลึง....นั่นคือพ่อของผมหรือเปล่า หรือเป็นแค่ใครบางคนที่บังเอิญผ่านมาเห็น
และหลายครั้งที่ผมฝันเห็นเรื่องอื่น....เรื่องที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับตัวผมเลย.....ผมฝันเห็นใครอีกคนหนึ่ง
‘เก่งมาก.....มึงกินเกลี้ยงเลย’
‘กูรักมึงนะ....’
‘ขอบใจมากที่อยู่กับกู.....ไม่ต้องรีบ....อาหารยังมีเหลืออีกเพียบ’
ในฝันผมเห็นตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดที่น่าเกลียดและน่ากลัวกว่านี้ ฝันเห็นผิวหนังตัวเองเป็นสีน้ำตาล หยาบและเหี่ยวย่นเหมือนกับหุ่นยางเก่าๆที่ถูกแดดส่องจนละลาย เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นโยนเนื้อดิบๆให้ผม.....ผมกินอย่างหิวโหย และส่งเสียงร้องประหลาดเพื่อที่จะขอกินอีก
เขาลูบหัวผม และผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก มันดีจนแทบจะไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยล่ะ
หรือว่านั่นจะเป็นพ่อของผม
“โธ่....ไอ้ขอทานเอ้ยยย....ทำเป็นจ้องอยู่ได้ตั้งนาน กูก็นึกว่าจะสนใจ.....ไอ้แก่เฮงซวย”
เสียงคุณลุงโวยวายลั่น หลังจากที่ชายแก่ชุดดำคนนั้นจากไปโดยที่ไม่ยอมซื้อผม แกบอกว่าผมไม่ใช่ของแกหรอก มีใครบางคนรอที่จะเป็นเจ้าของผมอยู่แล้ว
'เวลาแห่งความเจ็บปวดและทรมานสิ้นสุดลงแล้ว....ถึงเวลาที่เอ็งจะต้องเป็นอิสระเสียที....ไอ้หนูเอ๊ย' ตาแก่บอกผมแบบนั้น ก่อนที่จะโยนบางอย่างเข้ามาในกรงของผม
สิ่งที่จะนำไปสู่อิสรภาพ
.
.
.
.
.
.
ผมใช้กุญแจดอกนั้นไขพาตัวเองออกมาจากกรงอันแสนแคบ....
ร่างกายของผมไม่เคยได้เคลื่อนไหวมากขนาดนี้มาก่อน และอาหารสัตว์ที่คุณลุงให้ผมกินประทังชีวิตนั้น แทบจะไม่ได้ช่วยให้ผมมีเรี่ยวแรงขึ้นเลย
ทางออกอยู่ข้างหน้าโน้นแล้ว
โลกที่ผมอยากจะเห็น
อยู่อีกไม่กี่อึดใจ
อย่างน้อยสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดที่มีติดตัวมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ มันก็มากพอที่จะให้ให้ผมนั้นกระเสือกกระสนตัวเองออกไปจนได้สิน่า
ผมบอกกับตัวเองเช่นนั้น มี0อาหารมนุษย์เหลืออยู่บนโต๊ะ และผมเหลือบไปเห็น ผมจึงเบนตัวเองออกมาจากทางออกที่อยู่เพียงไม่กี่ก้าว กลับเข้ามาเพื่อที่จะกิน อย่างน้อยก็ขอให้ท้องอิ่มเสียก่อน ข้างหน้าค่อยว่ากันใหม่ ผมไม่อยากจะออกไปและจบชีวิตให้เป็นที่น่าอนาถอยู่เพียงแค่หน้าซุ้มเพียงไม่กี่ก้าว
อร่อยหรือ....ผมไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิดเดียว ผมแค่กินให้ได้มากที่สุดเพื่อให้มีแรงเท่านั้น แต่ดูเหมือนผมจะประมาทมากเกินไปหน่อย และเป็นโชคร้ายที่วันนี้คุณลุงไม่เมาเหมือนอย่างที่เคย
“จับได้แล้วไอ้ตัวประหลาด....บอกแล้วไงว่าอย่าคิดจะหนี อยากเจ็บตัวมากหรือไง”
ผมถูกคุณลุงกระชากตัวออกมาจากโต๊ะ และเหวี่ยงลงไปกองที่พื้น ผมอาเจียนอาหารที่กินเข้าไปออกมาบางส่วน และเงยหน้ามองด้วยความรู้สึกเจ็บแค้นอัดอั้นในใจ
ผมแค่อยากจะออกไปเท่านั้น
ชีวิตของผมมันควรจะเป็นของผมไม่ใช่หรือไง
ผมถูกขังในกรงแคบ....และทำรายได้ให้คุณลุงมานานเกินไปแล้ว....แลกกับขนมปังเก่า ๆขึ้นราก้อนเล็ก ๆที่ไม่เคยทำให้อิ่มท้องได้เลย
“อย่ามองกูแบบนั้น ถ้าไม่มีกู มึงตายห่าไปนานแล้ว ไม่มีใครเค้าอยากเอาเด็กหน้าตาประหลาดอย่างมึงไปเลี้ยงหรอก มึงมันลูกผี แดกเครื่องในแม่ตัวเอง....”
ผมถูกเตะที่ท้อง....
สาม...
สี่..ครั้ง
และก่อนที่จะมีครั้งที่ห้า ผมรวบรวมเรี่ยวแรงที่มี กอดขาของคุณลุงเอาไว้ แล้วกัดสุดแรง
“มึงสู้กูเหรอ....ไอ้ตัวจัญไร ไอ้เด็กผี......ได้.....กูจะฆ่ามึงแล้วจับดองแม่ง”
ร่างของผมลอยละลิ่วกระทบผนัง คุณลุงเดินย่างเข้ามาอย่างช้า ๆ พร้อมกับท่อนเหล็กในมือ
ผมต้องตายเสียแล้วหรือ....
โลกภายนอกเป็นอย่างไรผมยังไม่เคยได้เห็นเลย
ดวงอาทิตย์นั้นสวยแค่ไหน
ท้องฟ้าล่ะ....จะเหมือนอย่างในโปสเตอร์ไหม
น้ำตก....มีจริงหรือเปล่า น้ำมากมายจากไหนกันที่ไหลจากที่สูงลงมาโดยที่ไม่มีหมด
ต้นไม้....ของจริงจะเหมือนกับมนุษย์ต้นไม้ไหม
แล้วเจ้าจระเข้.....มันจะมีเพื่อนๆบ้างหรือเปล่า....คุณลุงบอกว่าคนที่ซื้อมันไป จะเอามันไปทำกระเป๋า....มันจะทำตัวเดียวไหวไหม....มือของมันเป็นแบบนั้นจะเย็บกระเป๋าได้อย่างไรกัน....ถ้ามันทำได้ มันคงเป็นจระเข้ที่เก่งที่สุด
“หนีไป.....ไปซะ”ผมค่อยๆลืมตาขึ้น และพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ คุณลุงนั้นนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าผม ท่อนเหล็กในมือยังถูกกำเอาไว้แน่น ดวงตาเหลือกลานแต่ดูไร้ชีวิต
ผมเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่ามนุษย์ต้นไม้กำลังมองตอบด้วยสายตาอาทร แกฉุดผมขึ้นมาจากพื้น และส่งบางอย่างให้กับผม
“เงิน....ในนี้เค้าเรียกว่าเงิน....ไปจากที่นี่เสีย....ไปให้ไกล....ไม่ต้องย้อนกลับมา”
“ไปกับผมไหม....คุณมนุษย์ต้นไม้”
“ไม่ได้....ไปไม่ได้....ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำ.....ไอ้หนู....มึงหนีไปเสีย....ไปหาคนช่วย......ต้องมีคนช่วยมึงได้...ไป!!!”
.
.
.
.
.
สายฝนกระหน่ำ
และตัวของผมเปียกปอน
ฝนมันเป็นแบบนี้....เย็นฉ่ำแต่ก็ทำให้เหน็บหนาว ผมเคยถูกมันสาดกระเซ็นเข้ามาโดนตัวอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มากเท่าครั้งนี้
ผมวิ่งออกไป....เท่าที่สองเท้าและเรี่ยวแรงของผมจะพาไปได้
วิ่งผ่านมนุษย์คนแล้วคนเล่า
บางคนหวีดร้อง
บางคนถอยหนี
ตัวประหลาด!!!
นั่นคนหรือเปล่า???
ยังเด็กอยู่เลย….
ช่วยผมด้วยสิ ช่วยหยุดผม แล้วถามผมทีว่าหิวไหม ถามผมทีว่าผมกำลังจะไปที่ไหน ไม่มีใครสนใจที่จะถามเด็กคนนี้เลยว่าหนาวไหม....ต้องการผ้าห่มอุ่นๆหรือเปล่า
ไม่มี....
โลกภายนอกที่ผมฝัน มันโหดร้ายแบบนี้เองหรือ....ผมนึกคำขู่ของคุณลุง ตอนที่ถูกฟาดด้วยแส้ ตอนที่ยังเด็กมากเหลือเกิน ผมถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ และต่อมาก็ในกรง ชีวิตที่เป็นวงจรและไม่มีวันจบสิ้น แต่ก็เป็นชีวิตที่คุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยเหลือเกิน
ระวัง!!!ใครสักคนตะโกน ซึ่งต่อมาผมก็เริ่มเข้าใจ บางอย่างที่มีทั้งใหญ่และเล็กพุ่งเข้ามาแฉลบเฉียดตัวผมไป ผมตกใจและหมุนคว้างอย่างทำอะไรไม่ถูก....เจ้าพวกนั้นคล้ายกับสิ่งที่เรียกว่า ‘รถยนต์’ แบบที่ผมเคยเห็นในโปสเตอร์ เสียงดังหนวกหูเหมือนกับเสียงนกหวีดดังขึ้นหลายเสียงประสานกัน ผมยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนที่เจ้ารถคันหนึ่งจะค่อยๆชะลอเข้ามาหยุดตรงหน้าผม
มีคนลงมาพร้อมกับร่ม ผมมองเขา และเขาก็มองผม สายฝนที่เริ่มซาทำให้ผมเห็นหน้าของเขาชัดเจนขึ้น เขาดูตกใจที่เห็นผม แต่ไม่ใช่ตกใจกลัวอย่างที่มนุษย์คนอื่นๆเป็นเวลาที่ได้เห็นใบหน้าของผม มันออกจะดูประหลาดใจมากกว่า
“ไอ้หนู......มายืนทำอะไรตรงนี้......หืม?” เสียงนกหวีดและเสียงตะโกนด่าทอยังคงดังขึ้นเป็นระยะ แต่ตอนนี้ไม่ได้สนใจมันอีกแล้ว ผมมองหน้าเขาอยู่นานทีเดียว ใบหน้าที่ดูคุ้นตา และทำให้หวนคิดถึงใครคนนั้น
.....กินเยอะๆ....ไอ้โจ๊ก......กูจะหาอาหารมาให้มึงอีก....
.....กิ๊......โจ๊ก....รัก...รักกล้า....กิ๊
“กล้า.....”
ต้นกล้า.....ชายในฝันของผมชื่อต้นกล้า เขาดูเหมือนชายคนนี้ จะผิดกันก็ตรงที่คนตรงหน้าผมนั้นดูเป็นผู้ใหญ่กว่า และมีหนวดเคราขึ้นเต็มไปหมด และต้นกล้าในฝันของผมก็ไม่ได้สวมแว่นตาแบบชายคนนี้ แต่ทว่าแววตาคู่นั้นยังคงเค้าเดิมไม่มีเปลี่ยน เหมือนมากเสียจนผมเผลอเรียกชื่อนั้นออกมา
และนั่นทำให้เขาดึงตัวผมไปกอดเสียแน่นเลย
“มึงกลับมาหากูแล้ว...ฮึก....ใช่มึงจริงๆด้วย.....ไอ้โจ๊ก.....”
“โจ๊ก...”
“ใช่....โจ๊ก....โจ๊กของกู....ของกู”
ชายคนนี้เรียกผมว่าโจ๊ก.....ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกหรือที่ฝันแบบนั้น นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่คุณน้าคนนี้กอดผมและร้องไห้สะอึกสะอื้น จนกลบเสียงต่างๆรอบตัวผมจนสิ้น แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้ในหัวของผมนั้นคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น....
ว่านี่เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นดีเหลือเกิน.
.
.
.
.
.
.
- End -
จบแบบนี้เลยดีมั้ยคะ????