:: CHAPTER 3 :: หลังจาก ‘พี่’ พรตแนะนำตัวเสร็จแล้วผมก็พูดอะไรไม่ออกอีกเลย รู้แค่ว่าเขาหันมาโบกมือแล้วเดินไปรวมกับพวกพี่ปีสามคนอื่นๆ ที่ปรบมือต้อนรับกันสนั่น ใครจะไปคิดล่ะครับว่าเขาโตกว่าผมสองปี แล้วทำไมพอมองอีกทีมันคุ้นจังวะ
...หรือว่าเป็นคนที่พลูถามถึง
“ฮ่าๆๆ สรุปเพื่อนมึงนี่เป็นพี่เนียนใช่ป่ะ”
เสียงไอ้โอมที่กำลังลากผมเข้าไปคุยเรื่องเมื่อวานหัวเราะร่า ทำเอาผมรู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมาอีกระลอก เข้าใจทำนะพวกพี่เนียนนี่ เล่นล่อให้ผมจ้องแต่พวกที่คาแรคเตอร์จัดๆ จนไม่คิดเลยว่าพวกเงียบๆ ดูไม่ค่อยประสีประสาจะลุกขึ้นกระชากวิกผมออกมาเป็นรุ่นพี่ที่ดูจัดจ้านสุดๆ ได้เลย
“เออ ไง”
ผมตอบไปส่งๆ แม่งเอ๊ย...ผมยอมรับว่าจำไม่ได้จริงๆ เพราะพออยู่กับผมนักเรียนแล้วดูจะจืดชืดไม่เตะตาด้วยซ้ำ แต่พอเปลี่ยนทรงเท่านั้นแหละ ใบหน้าก็ดูโดดเด่นสมกับที่จะให้น้องสามผมกรี๊ดได้เลย
“แล้ววันนี้พี่เขาจะทำอะไรอีกวะ”
ผมไม่ค่อยคาดหวังอะไรจากการรับน้องวันที่สองแล้วหลังจากถูกหลอกจนเปื่อยไปเมื่อวาน อะไรวะ ทำถึงขนาดทิ้งกระเป๋าใส่บัตรนักเรียนเอาไว้ คงกะให้รีบเอามาคืนตอนเช้า แล้วผมคงพลาดเองแหละที่ไม่ได้เช็คให้แน่ใจว่าบัตรนักเรียนมันหมดอายุไปตั้งแต่ปีไหน
“ก็คงไม่มีอะไรมากมั้ง วันที่สองเองมึง”
“เออๆ เดี๋ยวกูแวะซื้อน้ำแปป”
ผมนำไอ้โอมไปเซเว่นที่ไกลจากคณะไปไม่มาก คิดว่าคงไม่ได้มีโอกาสกลับออกมาซื้อน้ำแล้วล่ะ ผมเดินไปต่อแถวประมาณคนที่สามโดยมีโอมยืนรออยู่ข้างๆ และเมื่อผมเตรียมหยิบเงินออกมาเรียบร้อยแล้วไอ้โอมก็สะกิดผมรัวๆ
“เฮ้ยมึง รุ่นพี่”
ผมรีบหันตามโอมไปทางม้านั่งข้างเซเว่น เลยได้เห็นกลุ่มรุ่นพี่ประมาณสี่ห้าคนใส่เสื้อสีเดียวกันเป็นทีมนั่งรวมกันอยู่ คิดว่าคงจะแวะซื้อของก่อนเข้าไปจัดกินกรรมรับน้องเหมือนกันล่ะมั้ง
“คนนั้นพี่มึงป่ะ”
“คนไหน...”
และก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรไปมากกว่านี้ ผู้ชายหน้าตาคุ้นๆ ที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมที่มองไปพอดี ก่อนเขาจะโบกมือทักทายเหมือนเจอเพื่อน ทำเอาผมชะงักไปนิดนึงแล้วโบกมือกลับ
“เฮ้ยมึง รุ่นพี่ ต้องไหว้เว้ย”
...ชิบหาย พอไอ้โอมพูดผมเลยเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วรีบยกมือไหว้ทันที ความจริงผมค่อนข้างจริงจังกับการนับรุ่นนะ มาก่อนเป็นพี่ มาหลังเป็นน้อง แต่อะไรวะ ผมยังชินกับการเรียกชื่อ ‘พรต’ อยู่เลยด้วยซ้ำ ถึงจะเพิ่งได้รู้จักแค่สองวันก็เถอะ
พอซื้อน้ำจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วผมเลยถือโอกาสบ่นระหว่างทางเดินไปคณะ
“กูยังไม่ชินเลยว่ะ”
“เอ้า! มึงก็รีบชินดิวะ”
โอเค สรุปว่าพรานผิดเองแหละ...ผมเลยไม่อยากบ่นอะไรให้มันฟังไปมากกว่านี้ เดินดูดน้ำเงียบๆ จนเดินเข้าประตูกลางของคณะ ทั้งเพื่อนและรุ่นพี่เดินกันพลุกพล่านจนแทบไม่มีที่ยืนที่จะไม่เกะกะ จนสุดท้ายผมเลยไปยืนรอริมกำแพงใกล้ลานกิจกรรม
“น้องเข้าเลยครับ!”
พอได้ยินเสียงตะโกนของพี่แล้ว ปีหนึ่งทุกคนเลยทยอยกันเดินเข้าไปนั่งตรงกลางลาน พร้อมพี่สองสามคนเดินเข้ามาข้างหน้าแล้วให้น้องนับเลขต่อกันไปเรื่อยๆ เพื่อสรุปจำนวนคนมาในวันนี้ และเมื่อคนสุดท้ายนับเสร็จก็เป็นจำนวนประมาณสองร้อยกว่า ซึ่งถือว่าเยอะพอควร
“น้องครับ! เมื่อวานเราแนะนำตัวกันไปแล้ว วันนี้พี่จะให้ป้ายชื่อ ใส่มาทุกวันด้วยนะครับ”
ผมเห็นด้วยกับไอเดียป้ายชื่อนะ สำหรับคนขี้ลืมอย่างผมอย่างน้อยพอนึกชื่อใครไม่ออกจะได้แอบเหลือบดูป้ายได้ อีกอย่างคือจะได้ชินว่าหน้าตาแบบนี้คือคนชื่อนี้เป็นต้น
“พี่ช่วยไลน์น้องไปหาพี่หกคนนี้ด้วยครับ”
พอพูดจบ ก็มีรุ่นพี่เข้ามายืนหน้าแถวแล้วพาลุกไปหาทีมเขียนป้ายชื่อซึ่งยืนรออยู่ข้างม้านั่งโดยมีกองป้ายชื่อทำจากกระดาษแข็งสีเหลือกผูกเชือกและปากกาตราม้าอยู่ในมือ ไม่รู้โชคร้ายเกินไปรึเปล่าผมกับไอ้โอมเลยต่อเป็นคนสุดท้ายของแถวที่ยาวที่สุด จนแถวอื่นเริ่มจะเสร็จกันหมดแล้วแถวผมยังคงยาวอยู่เหมือนเดิม
ผมพยายามสบตากับพี่ที่พาไลน์แถวเข้ามาซึ่งกลังเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น และเหมือนโชคจะเข้าข้างอยูบ้างเพราะเขาหันกลับมาเห็นพอดี
“ทำไมกายมันเขียนช้าจังวะ...น้องไปต่อแถวนั้นแทนเลยค่ะ”
ผมเลยถูกพาไปอีกแถวแทน และแถวนี้ขยับเร็วกว่ามากจริงๆ รอไม่นานผมก็ได้เลื่อนเป็นคนหน้าๆ แล้ว บรรยากาศตอนนี้วุ่นวายมากเพราะการเขียนป้ายชื่อของคนสองร้อยคน ต้องมีพี่คอยเคลียร์ให้น้องกลับไปนั่งที่ลานกิจกรรม พี่ที่เขียนป้ายชื่อก็รีบเขียนกันมือเป็นระวิง
“มาเลยครับ”
ผมมัวแต่มองนู่นมองนาจนถึงคิวตัวเอง และเมื่อหันกลับไปหาพี่ที่จะเป็นคนเขียนป้ายชื่อให้ก็ต้องชะงักไปนิดนึง...พี่พรต
เขายิ้มให้เหมือนทักทายก่อนจะหันไปหยิบป้ายชื่อแผ่นใหม่ขึ้นมา แล้วเอ่ยปากถามโดยที่เอาแต่ก้มหน้ามองกระดาษเตรียมจรดปากกาเขียนชื่อให้
“น้องชื่ออะไรครับ”
เอ่อ...เมื่อกี้พี่เขายังโบกมือทักทายผมอยู่เลย อย่าบอกว่าจำได้แค่หน้า
“นายพรานครับ”
“ไม่เอาชื่อเต็มดิ เอาชื่อเล่น”
ผมไม่เข้าใจคำถาม เมื่อกี้ผมก็บอกชื่อเล่นไปแล้ว จะถามอะไรอีก
“นายพรานครับ”
พอตอบไปแบบเดิม พี่พรตก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมขมวดคิ้วเหมือนไม่ได้อย่างใจ ก่อนจะพูดรัวใส่ด้วยท่าทางเร่งรีบสุดชีวิตอย่างกับว่ามีคนต่อแถวอีกยี่สิบคนทั้งที่ผมเป็นคนสุดท้าย
“ไม่ๆๆ ก็บอกว่าไม่เอาชื่อเต็มไง ชื่อที่ไม่ใช่พวก ‘นาย’ ‘นางสาว’ ไรงี้”
“...พราน ครับ”
“เออ นั่นแหละ”
พอได้คำตอบที่พอใจแล้ว พี่พรตก็เขียนให้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงสามวินาทีแล้วยื่นป้ายชื่อให้ ก่อนผมจะถูกพี่ไลน์แถวบอกให้กลับไปนั่งรวมกับคนอื่น ผมเลยได้แต่ไว้อาลัยให้กับชื่อเล่นที่แม่บรรจงตั้งให้อยู่เงียบๆ หยิบป้าชื่อมาคล้องคอก่อนจะก้มลงไปอ่านมันอีกครั้ง
‘พราน IA’
ตัวอักษรไอเอคือชื่อภาคของผมครับ ย่อมากจาก Interior Architecture หรือสถาปัตยกรรมภายใน และเมื่อกี้ผมยังไม่ได้บอกภาคของตัวเองแสดงว่าพี่พรตคงพอจำได้บ้างว่าผมอยู่ภาคไหน แต่ก็นั่นแหละ จำภาคไปแล้วได้อะไรวะ สุดท้ายเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่
“น้องยืนแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ!”
หลังจากทุกคนกลับเข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว พี่ก็สั่งให้แนะนำชื่ออีกครั้ง ทำเอาผมกับเพื่อนอีกหลายคนบ่นงึมงำแข่งกันจนเสียงกระหึ่ม และแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งรุ่นพี่ตั้งแต่สองวันแรก ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าใครจะแนะนำตัว ยังไงก็จำไม่ได้ภายในวันนี้ มันต้องค่อยๆ รู้จักถึงจะจำได้ป่ะวะ
ผมเปิดโปรแกรมแชทขึ้นมาและพบว่าใบพลูส่งไลน์มาสิบกว่าข้อความ แต่เมื่อกดเข้าไปก็เห็นรูปผู้ชายเต็มจอ ตอนนี้อย่างน้อยถ้าผมคุ้นหน้าถูกคน ผมคิดว่าผมจะสามารถตอบน้องได้แล้วล่ะว่าชื่ออะไร อยู่ปีไหน ดีไม่บอกว่าโดนหลอก
‘ตกลงรู้รึยังว่าปีไหน’
‘คิดว่าเป็นคนนี้ ชื่อพรต อยู่ปีสาม’
ผมพิมพ์กลับอย่างรวดเร็ว และมันขึ้นว่า read ทันที ท่าทางน้องผมจะอาการหนัก อะไรจะอยากรู้ขนาดนั้นวะ แค่ผู้ชายคนเดียวทำไมจะต้องติดใจอะไรมากมาย
‘เคยคุยยัง? ขอไลน์ให้หน่อยดิ’
อ้าวเวรแล้วไง ได้คืบจะเอาศอก ผมรีบพิมพ์ตอบกลับให้น้องมันเปลี่ยนใจ แต่แล้วก็มีรุ่นพี่คนนึงตะโกนเสียดังลั่นทั้งลาน ทำเอาทุกคนหยุดนิ่งรวมถึงการแนะนำตัวชะงักไป
“จะเล่นมือถือหรือฟังเพื่อนแนะนำตัวครับ?!?”
เสียงโหดๆ จากรุ่นพี่คนหนึ่งดังขึ้นจากกลางวง ผมไม่รู้หรอกว่าใครพูดแต่แค่เสียงก็ไม่กล้าหันหลังกลับไปแล้วล่ะ ผมกับเพื่อนหลายคนรีบเก็บมือถือลงกระเป๋าแต่โดยดีแล้วนั่งฟังเพื่อนแนะนำตัวไปเรื่อยๆ เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงโดยที่ยังจำใครไม่ได้เหมือนเดิม หรือเป็นเพราะผมจำชื่อคนไม่เก่งเองกันแน่วะ
ในที่สุดพอกิจกรรมแนะนำตัวจบลง รุ่นพี่ก็ปล่อยให้ไปเช็คชื่อตามภาควิชาของแต่ละคนซึ่งก็ไม่มีอะไรมากนอกจากทำความรู้จักเพื่อนร่วมภาคและรุ่นพี่ในภาคซึ่งมีเยอะเกินที่ผมจะจำได้อยู่ดี สุดท้ายวันนี้เลยเหมือนกับผมมาเสียเวลาฟรีแค่การแนะนำตัวให้เพื่อนฟังเท่านั้นแหละ
ไม่นานหลังจากพี่ในภาคปล่อยให้น้องกลับบ้านได้ ไอ้โอมก็รีบฝ่าฝูงชนที่ทยอยเดินออกมาหาผมทันทีพร้อมคว้าแขนไว้แน่นเหมือนกลัวเด็กหลง
“มึงไปห้องทะเบียนกับกูหน่อยดิ”
“ไปทำไมวะ”
ผมว่าแล้วว่ามันต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างถึงได้ลงทุนเดินมาหาขนาดนี้ เพราะปกติมันจะชอบรออยู่ที่หน้าประตูเลยมากกว่า
“กูยังไม่ได้ส่งรูปให้ทะเบียน มึงแค่รออยู่หน้าห้องก็ได้เว้ย เดี๋ยวกูเข้าไปเอง”
“เออๆ รีบหน่อยแล้วกัน กูหิว”
ความจริงถึงมันไม่ถามผมก็ต้องเดินไปกับมันอยู่แล้วล่ะ รอเพื่อนแค่ห้านาทีสิบนาทีไม่ได้ทำให้ผมหิวมากขึ้นเท่าไหร่ แถมยังเป็นเพื่อนคนเดียวในคณะที่รู้จักอีกต่างหาก จะให้กลับบ้านหรือไปกินข้าวกับคนอื่นมันก็ไม่ใช่แล้วล่ะ
ห้องทะเบียนของคณะต้องเดินไปฝั่งซ้ายของอาคารซึ่งเป็นโซนที่เด็กปีหนึ่งอย่างผมไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่ เพราะรุ่นพี่เคยบอกว่าช่วงนี้ให้พวกเราใช้แค่ลานกิจกรรมและที่นั่งฝั่งซ้ายของตึกเท่านั้น แต่เมื่อมันเลี่ยงไม่ได้ผมกับโอมเลยต้องเดินผ่านกลุ่มรุ่นพี่ที่นั่งคุยกันอยู่บริเวณนั้นไปอย่างเร็วและเงียบที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ
จนเดินไปถึงหน้าประตูห้องทะเบียนซึ่งอยู่ถัดจากลานนั่งเล่นของรุ่นพี่พอดี โอมก็หันมาพูดกับผมด้วยเสียงที่เบากว่าปกติ
“มึงรอข้างประตูนี้แล้วกัน คงไม่มีใครสังเกต”
ผมพยักหน้าก่อนเบี่ยงตัวออกมายืนพิงกำแพง มองกลุ่มรุ่นพี่หลายกลุ่มนั่งคุยกันเฮฮาจนรู้สึกอยากเดินเข้าไปร่วมด้วย ที่ลานนี้มีโต๊ะไม้ติดเก้าอี้ประมาณสิบโต๊ะ บางกลุ่มที่มีคนเยอะหน่อยก็เลื่อนโต๊ะมาชนแล้วสุมหัว ผมหวังว่าปีหน้าผมจะได้มีโอกาสนั่งอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ สนุกไปด้วยกันแบบที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้านี้ และเมื่อยิ่งมองรุ่นพี่ผมก็ยิ่งคิดนะว่า ช่วงเวลาห้าปีต่อจากนี้นี้คงเหมาะสมกับการถูกเรียกว่า ‘สนุกที่สุดในชีวิต’ แล้วล่ะ
“เฮ้ย! น้อง มานี่หน่อย”
ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมา ความจริงผมจะไม่สนใจแล้วล่ะถ้าไม่ติดว่าตรงนี้มีผมที่เป็น ‘น้อง’ และเมื่อผมหันไปเห็นคนเรียกเท่านั้นแหละผมก็แทบหันกลับทันที
...พี่พรต
รู้ๆ กันอยู่ว่าถ้ารุ่นพี่เรียกมันก็ขัดไม่ได้ ถึงจะเป็นรุ่นพี่ที่หลอกผมได้อย่างเจ็บแสบแค่ไหนก็เถอะ แต่ไม่มีใครอยากมีปัญหาอะไรกับรุ่นพี่ตั้งแต่สองสามวันแรกหรอก ผมแอบเหลือบเข้าไปในห้องทะเบียนไอ้โอมก็ยังจัดการธุระไม่เสร็จสักที...เอาก็เอาวะ ยังไงพี่เรียกก็ต้องไป
ผมเดินไปที่โต๊ะซึ่งมีพี่พรตกับรุ่นพี่ที่ผมไม่รู้จักอีกห้าคนล้อมวงกันอยู่โดยมีกล้องตัวนึงวางอยู่บนโต๊ะและทันทีที่เดินไปถึงพี่พรตก็ชิงถามขึ้นก่อน
“น้องชื่ออะไรนะ”
“...นายพรานครับ”
เป็นครั้งที่สามที่คนๆ นี้ถามชื่อผม เข้าใจว่าพี่เขาคงมีปัญหากับการจำชื่อคนไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกแต่อย่างน้อยคนที่เจอกันบ่อยๆ มันควรจะจำได้โดยอัตโนมัติไม่ใช่เหรอ
“อ้าว แล้วทำไมป้ายชื่อเขียนว่า พราน”
“กูเขียนเองแหละ รีบ”
“พรตแม่งมั่ว มึงแหย่น้องอ่ะดิ”
บทสนทนาที่ดูเหมือนจะคุยกันเองแต่มีผมเป็นหัวข้อเล่นเอาทำตัวไม่ถูก หนึ่ง เรียกผมมาทำไม สอง พี่พรตดูไม่เหมือนกับคนที่อยู่ด้วยกันวันนั้นเลยสักนิด ตอนนั้นดูผู้ดีและคุยง่ายกว่านี้ แล้วนี่มันอะไรกันวะ
“เฮ้ยๆๆ พวกมึงหยุด น้องพรานครับ”
พี่พรตหันกลับมามองหน้าผมอีกรอบ พร้อมกับหยิบกล้องโปรที่วางอยู่กลางโต๊ะขึ้นมากดซ้ำไปเรื่อยๆ เหมือนกำลังหารูปอะไรบางอย่าง
“ไอ้เชี่ยพรตมึงอย่าแกล้งน้อง”
“รักหรอกจึงหยอกเล่น”
เอ่อ...ผมว่ามันไม่ใช่แล้วว่ะ แม่งไม่ได้รักผมหรอก แต่ไอ้แกล้งนี่ท่าทางจะทำจริง
“ฮิ้วววว...ถุ้ย!! น้องอย่าไปฟัง ไอ้นี่มันสำส่อน”
“ไอ้กล...นี่มึงกล้าด่ากูเหรอ”
“เปล่า กูด่าไอ้เป้”
“เฮ้ย กูนั่งของกูเฉยๆ มึงอย่าโยนขี้”
ผมกลั้นหัวเราะกับการด่าแบบโยนกันไปโยนกันมา ก่อนพี่พรตจะเขยิบมานั่งข้างๆ แล้วส่งกล้องในมือมาให้ผมดู และเมื่อเห็นรูปที่พี่พรตตั้งใจหามาให้ก็แทบจะเขวี้ยงกล้องทิ้งแล้วกระทืบซ้ำคาพื้นตรงนั้น...แม่งเอ๊ย จะตอกย้ำเหรอวะ
“โคตรตลกอ่ะ”
พี่พรตยื่นมือมากดซูมแล้วเลื่อนจนเห็นใบหน้าผมในระยะประชิด มันเป็นรูปตอนวันแรกพบที่ผมโดนพี่สั่งให้เต้นและท่ามันทุเรศมาก จำได้ว่าวันนั้นไอ้พี่พรตยังนั่งขำอยู่ข้างๆ และที่ผมนั่งเงียบไม่โวยวายแบบนี้นี่ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไร แต่แค่เห็นว่าเป็นรุ่นพี่
“น้องคนนี้ที่มึงลงทุนขุดเอาบัตรนักเรียนไปฝากไว้คืนนึงป่ะ”
อยู่ๆ รุ่นพี่อีกคนที่นั่งอยู่ก็ถามแทรกขึ้นมา อะไรนะ...
“เฮ้ย นี่พี่ตั้งใจเหรอ”
คราวนี้ผมอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปโดยไม่สนใจความเป็นรุ่นพี่หรืออะไรอีกต่อไป ไม่คิดว่าจะลงทุนหลอกกันขนาดเตรียมย่ามใส่บัตรนักเรียนแล้วทิ้งให้ผมเอากลับบ้านไปด้วยทั้งคืนแบบนี้ แค่ใส่ชุดนักเรียนกับใส่วิก ขอโทษนะครับ...ผมก็เชื่อจะตายห่าอยู่แล้ว
“รักหรอกน่า”
“ไอ้พราน!! ทำไมไปนั่งตรงนั้นวะ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงไอ้โอมเรียกผมก็รีบลุกพรวดแล้วเดินเร็วๆ ออกมาจากวงล้อมรุ่นพี่โดยไม่สนใจอะไรอีก ตอนนี้ขอผมหนีก่อนนะไอ้ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเอาไว้ทีหลังแล้วกัน ผมเร่งฝีเท้าออกจากลานนั้นให้เร็วที่สุดก่อนที่ไอ้โอมจะยกมือขึ้นโอบบ่าแล้วหันมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เมื่อกี้เกิดไรขึ้น”
“พี่แม่งแกล้ง”
ผมตอบตามความเป็นจริงไป แต่เหมือนความสงสัยของไอ้โอมจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น
“แล้วทำไมกูได้ยินเขาบอกรักมึงวะ”------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เห็นทุกคนชอบเลยฮึดขึ้นมาแต่งให้อีกตอนค่ะ พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้วว ตื่นเต้นแบบขี้เกียจๆ 555
ขอบคุณนักอ่านทุกนะคะ ปลื้มมาก
ปล. ขอแยกเป็นอีก reply เพื่อตอบคอมเม้นท์นะคะ