กรงรัก...พันธนาการใจ(ฉบับรีเมก) : ตอนพิเศษ:(เพิ่มเติม)17/10/57- (นิยายจบแล้วค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงรัก...พันธนาการใจ(ฉบับรีเมก) : ตอนพิเศษ:(เพิ่มเติม)17/10/57- (นิยายจบแล้วค่ะ)  (อ่าน 95179 ครั้ง)

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
 o13
จัดไปอย่าให้เสีย(ของ) มือซ้ายและมือขวาต้อง"กด"กัน
แต่...ใครเป็นรับคะ?

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เหมาะค่ะ ปกติ มือซ้ายมือขวาของตัวเอกมักจะกินกันเองอยู่แล้ว ถถถถ :jul3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
รีเมกแล้วเนื้อหาเข้มข้นขึ้นเยอะเลย ^^

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
เรื่องของสองหนุ่มบอร์ดีการ์ดเต็มที่เลยค่ะ จัดไป

555

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ใครที่สงสัยสถานะรุกรับของคนสนิททั้งสองของป๋าริวยะ   ปัดตั้งใจไว้ให้ ทาคุรับ อากิระรุก น่ะค่ะ แต่รับรายนี้โหดเล็กน้อย ไม่ยอมให้กดได้ง่าย ๆ เท่าไรนัก เพราะพี่แกเป็นศิลปะการต่อสู้แทบทุกรูปแบบเลยทีเดียว 555



บทที่ 6

   

   เสื้อนอนผ้าไหมเย็นนุ่มสบายผิวที่ยูคิจำใจต้องหยิบมันมาใส่ แม้จะรู้สึกลำบากใจเพียงใด แต่เด็กหนุ่มก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยเนื้อผ้าลื่นเนียนเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความสบายผิดกับชุดนอนเดิม ๆ ก่อนหน้านั้นที่เคยใส่อยู่มากเลยทีเดียว

   “ช่วยไม่ได้ ยังไงก็ต้องใส่ ...เพราะขืนไม่ใช้เสื้อผ้าพวกนี้ คุณริวยะก็คงไม่พอใจอีกแน่”

   เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง พลางทิ้งกายลงบนที่นอนนุ่มเบื้องหน้าอากาศภายนอกค่อนข้างเย็นจนยูคิเลือกที่จะไม่เปิดแอร์ เจ้าตัวนอนแผ่แขนกว้างเหม่อมองเพดานอยู่สักพัก จึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง แล้วนิ่วหน้าเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง

   “มัวแต่มึน ๆ เรื่องย้ายที่อยู่...เลยยังไม่ได้ถามถึงเรื่องพวกหนังสือเรียนกับข้าวของเครื่องใช้จากบ้านเก่าเลยแฮะ...แต่ว่าจะไปถามตอนนี้ก็ดูจะรบกวนไปสักหน่อยล่ะนะ”

   ยูคิเหลือบดูนาฬิกาที่เป็นเวลากว่าสามทุ่ม เขาไม่แน่ใจว่าริวยะจะเป็นพวกนอนดึกไหม แต่ขืนชายหนุ่มนอนเร็วและกำลังพักผ่อนอยู่ การที่เขาจะไปขัดจังหวะคงจะไม่ดีแน่

   “งั้นไว้ถามพรุ่งนี้แทนแล้วกัน...ยังไงก็ไม่อยากจะหยุดเรียนไปมากกว่านี้แล้วด้วย”

   ยูคิพึมพำกับตนเองเมื่อหวนนึกถึงช่วงงานศพบิดาที่ผ่านมา ช่วงนั้นเขาก็หยุดเรียนตลอด มาถึงวันนี้เขาก็ไม่อยากให้เพื่อนและอาจารย์ที่โรงเรียนต้องเป็นห่วงอีก ที่สำคัญเขาสาบานกับอัฐิพ่อไว้แล้วว่า จะเข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปสู่อนาคตอย่างไม่ย่อท้อ เขาจึงไม่อยากให้ความโศกเศร้ามาเป็นอุปสรรคขวางทางตนอยู่เช่นนี้

   “ก่อนอื่นก็ต้องไปขอยืมสมุดจดจากแต่ละคนในห้อง....อ้อ เดี๋ยวต้องไปขอโทษกัปตันชมรมเคนโด้ด้วยนี่นะ ฝึกได้แค่อาทิตย์กว่าก็ต้องหยุดยาวเสียแล้ว...อืม นอกจากนั้นก็ต้องไปไล่ขอบคุณพวกอาจารย์ที่มาช่วยงานศพพ่อด้วย...แล้วก็ยังต้องไปลาพวกคุณป้าข้างห้องอีก...”

   ยูคิไล่กำหนดการของตนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเผลอหลับไปเองในที่สุด

   

   เสียงนกร้องและแสงสว่างที่รอดผ้าม่านเข้ามา ทำให้เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ ๆ อย่างงัวเงีย ก่อนจะชะงักเมื่อตะแคงพลิกกายหันข้าง แล้วลืมตาขึ้นมามองเห็นหญิงสาวต่างวัยสองคนอยู่ในห้องของตน

   “อ้าว...ตื่นแล้วหรือคะ อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณยูคิ เป็นยังไงบ้างคะ หลับสบายดีไหม”

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมาขยี้ตาแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้

   “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชิโนะ ...เอ่อ...”

   ยูคิมองสาวใช้คนที่ตามชิโนะมาด้วย ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเป็นคนที่คอยมาตามรับส่งเวลาเขาไปกินข้าวเมื่อวานนี้

   “ดิฉันชื่อโทโมโยะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณยูคิ”

   อีกฝ่ายแนะนำตัวเองพร้อมโค้งทำความเคารพ ซึ่งยูคิก็รีบโค้งตอบ ทำให้ชิโนะต้องสั่นศีรษะน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป

   “พวกดิฉันมาเก็บผ้าไปซักค่ะ แล้วก็ตั้งใจจะมาปลุกคุณทีหลัง เพราะท่านริวยะจะรับอาหารเช้าตอนเจ็ดนาฬิกาเป็นประจำน่ะค่ะ คุณยูคิจะนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้นะคะ”

   ยูคิเหลือบมองนาฬิกาซึ่งเป็นเวลา 6.15 น. ก่อนจะหันมายิ้มให้กับหญิงสาวทั้งสอง

   “ผมว่าผมตื่นเลยดีกว่าครับ ...อ๊ะ! จริงสิครับ คุณชิโนะ ที่นี่มีอะไรให้ผมช่วยบ้างครับ ผมทำงานบ้านได้ทุกอย่างเลยนะครับ ถึงอาจจะไม่เก่งเท่าพวกคุณชิโนะก็ตาม”

   ผู้ดูแลประจำคฤหาสน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหวานอ่อนโยนตามมา

   “ไม่ได้หรอกค่ะ คุณยูคิเป็นแขกคนสำคัญของท่านริวยะ จะให้มาช่วยงานพวกดิฉันได้ยังไง...และขืนปล่อยให้คุณทำเช่นนั้น พวกดิฉันคงโดนท่านริวยะตำหนิแน่”

   “แต่ว่า…”

   ยูคิเตรียมจะท้วง ทว่าหญิงวัยกลางคนก็หันกลับไปสั่งให้หญิงสาวที่มาด้วยยกตะกร้าผ้าออกไป ส่วนเธอก็หันมาทางเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มหวาน หากแต่นัยน์ตานั้นแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

   “แต่ละคนในที่นี้ก็มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นของตัวเองต่างกัน สำหรับพวกดิฉันคือการรับใช้เจ้านายและแขกของเจ้านาย ส่วนคุณก็ควรปฏิบัติตนให้สมกับเป็นแขกคนสำคัญ ดิฉันว่าแบบนี้จะดีกับทั้งตัวคุณและพวกดิฉันเองนะคะ คุณยูคิ”

   ยูคิรับฟังคำพูดนั้นด้วยความอึ้ง ก่อนจะพึมพำตอบกลับเสียงแผ่ว

   “เอ่อ...ครับ...”

   ชิโนะยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงโค้งศีรษะนิด ๆ ก่อนจะขอตัวออกไป ทว่าพอเธอเดินไปถึงประตู้ห้อง ยูคิก็เอ่ยขึ้นตามมาอีก

   “แต่การตอบแทนน้ำใจให้กัน บางทีมันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องหน้าที่รับผิดชอบไม่ใช่หรือครับ ...ถ้าคุณชิโนะไม่รังเกียจ ผมก็อยากจะหาโอกาสตอบแทนน้ำใจของพวกคุณที่มีต่อแขกอย่างผมบ้าง ...หวังว่าผมคงจะได้มีโอกาสนั้นบ้างนะครับ”

   หญิงวัยกลางคนหันกลับมาจ้องมองเด็กหนุ่มนิ่งชั่วครู่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนตามมาทำให้ยูคิที่กำลังใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ รู้สึกโล่งอก

   “ถ้าไม่บ่อยนัก ก็ไม่เป็นไรค่ะ...”

   คำตอบของชิโนะเรียกรอยยิ้มกว้างของเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ทำให้ผู้ดูแลประจำคฤหาสน์รู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเอ่ยปากขอตัวไปทำงานต่อ ซึ่งยูคิก็รีบโค้งตอบรับการอำลาของหญิงสาวอย่างรวดเร็วเช่นกัน



   พอใกล้ถึงเวลาอาหารเช้า ยูคิก็หยิบเสื้อผ้าที่ริวยะจัดเตรียมไว้มาใส่ ซึ่งก็ทำให้ทั้งคนมาตามและคนที่รอร่วมมื้อเช้ามีสีหน้าพึงพอใจ จนเด็กหนุ่มรู้สึกโล่งอก  และระหว่างที่กำลังนั่งรอมื้อเช้ามาเสิร์ฟ ยูคิจึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนกับริวยะทันที

   "เอ่อ...คุณริวยะครับ คือผมอยากทราบว่าเสื้อผ้ากับของใช้เดิมจากบ้านเก่าของผมย้ายมาที่นี่หรือยังครับ...แบบว่า ผมอยากได้หนังสือเรียนกับเครื่องแบบน่ะครับ ผมหยุดเรียนมาหลายวันมากแล้ว เดี๋ยวจะเรียนไม่ทันเพื่อนเอา"

   ริวยะชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนจะเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ   

   "ฉันก็ว่าจะบอกเธอวันนี้พอดี เรื่องที่ฉันจะให้คนไปยื่นเรื่องย้ายโรงเรียนให้เธอจากโรงเรียนเก่า มาโรงเรียนที่ฉันจัดเตรียมไว้ให้แทนน่ะ"

    ยูคิรับฟังพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ก่อนจะรีบแย้งกลับไปอย่างลืมตัว

   "แต่ว่าผมไม่ได้อยากย้ายนี่ครับ..."

   เด็กหนุ่มหยุดพูดค้างแค่นั้น เพราะถูกจ้องด้วยสายตาคมกริบจากคนซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา

   "จริงอยู่ที่โรงเรียนเก่าของเธอมีการเรียนการสอนที่มาตรฐาน แต่ฉันต้องการให้เธอได้รับการศึกษาที่มีระดับสูงมากขึ้นไปกว่านั้น เพื่อที่จะได้เหมาะสมกับสติปัญญาและความสามารถที่เธอมีอยู่"

   ริวยะอธิบายเสียงเรียบ ทำให้ยูคิต้องก้มหน้าสลดเถียงไม่ออกไปชั่วครู่ ทว่าสักพักเด็กหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย พร้อมกับเอ่ยถามออกไปเสียงค่อย

   "แล้วคุณจะให้ผมย้ายไปโรงเรียนไหนหรือครับ"

   "โรงเรียนเอกชนยามิคุระ"

   ริวยะตอบสั้น ๆ แต่กลับทำให้คนฟังที่รู้จักชื่อนั้นดี ถึงกับเบิกตากว้างแล้วเผลอตอบกลับด้วยเสียงดังอย่างตกใจ

   "ไม่มีทาง! โรงเรียนหรูขนาดนั้น ผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าเทอมหรอกครับ!"

   ริวยะขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเช่นเคย

   "แล้วใครว่าเธอจะต้องจ่าย ฉันเป็นคนส่งให้เธอไปเรียน ฉันก็ต้องรับผิดชอบค่าเล่าเรียนทั้งหมดสิ เธอก็มีหน้าที่เรียนไปตามปกติเท่านั้นก็พอ"

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเตรียมอ้าปากเถียง ทว่าสาวใช้ในบ้านก็ยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟที่โต๊ะเสียก่อน

   "กินข้าวให้เรียบร้อย แล้วอยากถามอะไรก็ถามมา ฉันมีเวลาตอบให้เธอจนถึงแปดโมงเช้า เพราะฉันต้องออกไปทำธุระที่อื่นต่อหลังจากนี้"

   คำพูดของริวยะทำให้ยูคิต้องหุบปากสนิท และนั่งกินอาหารมื้ออร่อยตรงหน้าอย่างแทบจะไม่รู้รสสัมผัส เนื่องจากมัวแต่คิดมากเรื่องที่อีกฝ่ายตัดสินใจแทนเขาอยู่นั่นเอง



   เมื่ออาหารมื้อเช้าถูกเก็บไปหมดแล้ว ริวยะก็นั่งเงียบ ๆ รอคอยให้เด็กหนุ่มตั้งคำถาม ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ยูคิก็ไม่กล้าโต้แย้งอะไรออกไปนัก เนื่องจากเกรงกลัวต่อสายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่จ้องมองอยู่

   "ตกลงไม่มีอะไรจะถามแล้วหรือไง"

   ริวยะเอ่ยปากขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาสักพัก ซึ่งก็ทำให้ยูคิสะดุ้งโหยงแล้วจึงตัดสินใจพูดออกไปบ้างในที่สุด

   "เอ่อ...ผมคิดว่า การที่คุณส่งผมไปเรียนที่ยามิคุระมันค่อนข้างจะดีกับผมจนเกินไปนะครับ ...ถึงคุณจะบอกว่าต้องการให้ผมช่วยงานคุณในอนาคตก็ตาม แต่ต่อให้เรียนที่โรงเรียนรัฐบาลธรรมดา ผมก็สามารถตั้งใจเรียนได้เหมือนกัน และผมสัญญาว่าจะพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อให้ได้ครับ"

   ริวยะนิ่งเงียบรับฟังระหว่างที่เด็กหนุ่มพูด และพอยูคิพูดจบเขาก็เอ่ยสวนกลับไปเรียบ ๆ ทว่าแววตาที่จ้องมานั้นคมกริบวางอำนาจจนคนมองหวั่นไหว

   "ฉันเข้าใจในจุดนั้น แต่ฉันก็มีเหตุผลของฉันที่จะให้เธอได้เรียนที่ยามิคุระ ซึ่งเหตุผลนั่นเธอจะรู้ได้เองในภายหลัง...ที่สำคัญฉันก็ยังคงยืนยันความคิดเดิมว่า ระดับสติปัญญาของเธอนั้น เหมาะสมกับโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนทางด้านวิชาการเป็นพิเศษ เหมือนอย่างเช่นโรงเรียนเอกชนยามิคุระแห่งนี้อยู่ดี"

    ยูคินิ่งอึ้งเถียงอะไรไม่ออก เพราะไม่ว่าเขาจะใช้เหตุผลอะไรอธิบายไป ก็ดูเหมือนว่าริวยะนั้นจะยืนกรานความคิดเดิมของเจ้าตัวไม่เปลี่ยน

   "เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น ผมอยากจะขอโอกาสไปลาเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนเก่าด้วยตัวเอง...จะได้ไหมครับ"

   ริวยะจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่งด้วยสายตาที่ทำให้ยูคิรู้สึกอึดอัด ทว่าสักพักชายหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจ้องมองอีกฝ่าย

   "ถ้าเธอต้องการเช่นนั้นจริง ตอนแปดโมงก็ให้มารอฉันที่ห้องนี้ ฉันจะพาไปที่โรงเรียนของเธอเอง จะได้ไปยื่นเอกสารย้ายโรงเรียนให้เธอภายในวันนี้เสียเลย"

    ยูคินิ่งอึ้ง เพราะไม่คิดว่าริวยะจะตัดสินใจรวดเร็วขนาดนี้ ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะยอมอนุญาตให้เขาไปด้วยก็ตามที   

   "แต่คุณว่าคุณมีธุระต้องไปทำ..."

    ยูคิอ้างในสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้านั้น เพราะเขาอยากจะไปโรงเรียนด้วยตนเองมากกว่าที่จะให้ชายหนุ่มไปด้วยกัน

   "ไม่เป็นไร ธุระที่ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก"

   ริวยะตอบเรียบ ๆ หากแต่กลับทำให้คนฟังชะงัก เพราะฟังแล้วรู้สึกเหมือนกับว่า ชายหนุ่มเห็นเขานั้นสำคัญกว่าธุระของตัวเองเสียอีก

   'มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า ยูคิ'

   เด็กหนุ่มคิดในใจ ก่อนจะโค้งศีรษะนิด ๆ ให้อีกฝ่ายที่เดินผ่านตนไป เขาตัดสินใจนั่งรอริวยะที่ห้องนั้น โดยไม่คิดจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ เนื่องจากชุดที่ใส่อยู่นั้นดูดีและสุภาพพอที่จะเข้าไปยังโรงเรียนเดิมของเขาได้อยู่แล้วนั่นเอง



   พอถึงเวลานัด ริวยะในชุดสูทสีดำเด่นดูสง่างาม ก็เดินมาพร้อมกับทาคุและอากิระ ที่สวมชุดสูทเช่นเดียวกัน เพียงแต่สูทที่อากิระสวมใส่นั้นเป็นสูทกึ่งแฟชั่นที่สามารถใส่ทำงานได้  ส่วนทาคุนั้นสวมสูทสุภาพเรียบร้อยตามแบบที่เจ้าตัวนิยมใส่อยู่เสมอ

    "ฝากเรื่องทางนั้นด้วยแล้วกันนะอากิระ"

   "ได้ครับท่านริวยะ ไว้ใจผมได้เลยครับ"

   อากิระยิ้มพร้อมโค้งตอบรับ ก่อนจะหันมาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับยูคิ แล้วจึงเดินจากไป ทำเอาเด็กหนุ่มที่รีบโค้งตอบ ถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงเหลือบมามองคนอีกสองคนที่เหลืออยู่

   "ตามฉันมา...ทาคุจะเป็นคนขับรถพาพวกเราไปที่โรงเรียนเดิมของเธอ และช่วยจัดการดำเนินเรื่องเอกสารที่จะย้ายเธอออกจากที่นั่นด้วย"

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคอต่อคำบอกเล่าที่ฟังดูคล้ายกับคำสั่ง เขาพยักหน้านิด ๆ รับรู้ ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปห่าง ๆ จนกระทั่งถึงรถ ทาคุก็เปิดประตูหลังรอพร้อมกับยืนนิ่งเป็นเชิงบังคับให้เด็กหนุ่มต้องตามขึ้นไปนั่งคู่กับเจ้านายของตน จนยูคิปฏิเสธไม่ออกและจำต้องขึ้นไปนั่งเคียงข้างริวยะอยู่เบาะหลังอย่างจำยอม

   "โรงเรียนเธอเข้าเรียนเก้าโมงเช้าสินะ"

   "อะ....ใช่ครับ"

   "ถ้าอย่างนั้นเธอก็ใช้เวลาช่วงก่อนจะเข้าเรียนลาเพื่อนเธอให้เรียบร้อย ฉันกับทาคุจะจัดการเรื่องเอกสารเอง"

   ริวยะบอกแล้วก็นั่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สักพักก็หยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ถึงใครบางคน ทว่าคำพูดที่ได้ยินกลับทำให้คนนั่งข้างขมวดคิ้วยุ่งอย่างแปลกใจ

    "สวัสดีครับท่านผอ. ผมมุราคามิเองนะครับ...ขออภัยที่ต้องเลื่อนนัดท่านให้ไวขึ้นอีกวัน... มาตอนไหนน่ะหรือ ...อืม...ผมออกจากบ้านมาแล้ว คาดว่าน่าจะไปถึงในช่วงแปดโมงครึ่งไม่เกินนั้นเห็นจะได้...ครับ ขอบคุณนะครับที่ให้ความร่วมมือ...แล้วเจอกันครับ"

    พอยูคิฟังจบ เขาก็แทบจะไม่ต้องคิดเลยว่า ผอ.ที่ชายหนุ่มคุยด้วย คงจะเป็นคนอื่นไปเสียไม่ได้ นอกจากผู้อำนวยการโรงเรียนของเขาเท่านั้น

   

   เมื่อมาถึงโรงเรียน ยูคิ จึงเดินลงมาพร้อมกับริวยะและทาคุ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นรองผู้อำนวยการ และอาจารย์ฝ่ายปกครอง มายืนรอรับริวยะด้วยตัวเอง ถึงหน้าประตูทางเข้า โดยมีนักเรียนคนอื่นมองมาที่เขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นอยู่ห่าง ๆ

   "เธอแวะไป ลาเพื่อน ลาอาจารย์ของเธอให้เรียบร้อย ...เอามือถือมาด้วยใช่ไหม...ไว้ถ้าฉันเสร็จธุระแล้วฉันจะโทรตามแล้วกัน"

    ริวยะหันมาบอกกับเด็กหนุ่มซึ่งยูคิก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหันไปโค้งให้กับรองผู้อำนวยการและอาจารย์ฝ่ายปกครองของตน จากนั้นจึงรีบวิ่งตรงไปยังอาคารเรียนทันที

   

   ในห้องพักครู อาจารย์ไซโจกำลังมึนงงเมื่อลูกศิษย์ของเธอตรงเข้ามาบอกเรื่องจะย้ายโรงเรียน แถมพอลองซักไซ้ไล่เรียงดู ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มไม่เต็มใจจะเล่าที่มาที่ไป ของผู้ปกครองคนใหม่ของเจ้าตัวสักเท่าใด   "เฮ้อ! เอาเถอะ การที่เธอมีคนคอยรับอุปการะดูแลให้การศึกษาต่อแบบนี้ ก็ถือเป็นเรื่องดีนั่นล่ะ...ยังไงครูก็ยินดีด้วยนะทานากะ"

   หญิงสาวบอกพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งยูคิก็โค้งศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างตื้นตัน

   "ขอบคุณอาจารย์ในทุกสิ่งที่ผ่านมานะครับ"

   "ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ครูก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำก็แค่นั้นล่ะ"

   ยูคิเงยหน้ามายิ้มให้อาจารย์สาว จากนั้นจึงหันไปล่ำลาอาจารย์แต่ละคนที่เคยสอนเขามา และเมื่อเด็กหนุ่มขอตัวออกไปลาเพื่อนฝูงต่อ อาจารย์คนหนึ่งก็เริ่มต้นเล่าในสิ่งที่ตนแอบรู้มาให้เพื่อนอาจารย์ที่รู้สึกแปลกใจในเรื่องที่เด็กหนุ่มย้ายโรงเรียนกะทันหันนี้ฟังทันที 

   "ผมได้ข่าวมาว่า ผู้ปกครองคนใหม่ของทานากะ เป็นคนดังมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ ถึงขนาดผอ.เรายังต้องเกรงใจเลยเชียวนะ ไม่รู้ไปรู้จักกับเด็กได้ยังไง แต่ก็ถือเป็นโชคดีของทานากะเขานั่นล่ะ"

   "โชคดีอย่างนั้นหรือ...ถ้าได้แบบนั้นก็คงดีนะคะ"

   อาจารย์ไซโจพึมพำตอบ เพราะเธอรู้สึกสงสัยแกมประหลาดใจ เมื่อยามได้เห็นสีหน้าอึดอัดของลูกศิษย์เมื่อตอนเธอถามถึงผู้ปกครองใหม่คนนี้

   "ก็ต้องโชคดีสิ...พูดแล้วอย่าเอ็ดไปนะ ผมได้ยินตอนผอ.ท่านคุยโทรศัพท์เมื่อวาน เห็นว่าโรงเรียนที่ทานากะจะย้ายไปน่ะ คือโรงเรียนยามิคุระเลยทีเดียวนะ!"

   "ยามิคุระ! โรงเรียนเอกชนสุดหรูนั่นน่ะรึ!"

   เสียงประสานกันดังจนอาจารย์ผู้นั้นต้องทำเสียงจุ๊ปากให้ทุกคนเบาเสียงลง จากนั้นจึงพูดเสริมตามมาต่อ

   "ใช่แล้ว! ผมถึงว่าทานากะเขาโชคดียังไงล่ะ...น่ากลัวคุณผู้ปกครองคนใหม่จะเล็งเห็นความสามารถของเด็กคนนี้...ทานากะเขาเก่งเรื่องเทคโนโลยีมากเลยนะ มีอยู่ครั้งหนึ่งคอมผมเสียเปิดไม่ติด เด็กคนนั้นผ่านมาเจอเข้า เลยช่วยดูให้ ทำอะไรอยู่สักพักไม่รู้ คอมใช้ได้เหมือนเดิม เก่งน่าดูทีเดียวล่ะ"

   เสียงพึมพำตอบรับดังขึ้นเบา ๆ อาจารย์แต่ละคนที่เคยสอนเด็กหนุ่มเองต่างก็พอจะเข้าใจในจุดนี้ เพราะผลการเรียนแต่ละวิชาของเด็กหนุ่มก็อยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เคร่งเครียดอะไรนัก มิหนำซ้ำยังแบ่งความสนใจไปให้ด้านกีฬาและกิจกรรมงานโรงเรียนเสมออีกด้วย 

   "ก็หวังว่าเขาคนนั้น คงจะให้ทั้งการศึกษา และความรักความอบอุ่นกับทานากะ เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกันนะ...ฉันไม่อยากเห็นเด็กร่าเริงคนนั้นต้องเศร้าหมองอีกแล้วล่ะค่ะ..."

   อาจารย์ท่านอื่นพากันหันมามองอาจารย์สาว แล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้ เพราะรู้ดีว่าอาจารย์ไซโจเป็นคนที่พยายามและทำเพื่อเด็กในปกครองโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ซึ่งความตั้งใจของเธอ ก็ส่งผลมาให้พวกเขารู้สึกถึงความกระตือรือร้นในการตั้งใจสั่งสอนนักเรียนให้ได้ดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว



... TBC ...


** มาต่อแล้วค่ะ ขออภัยมาช้าไปหน่อย ^^"  ตอนนี้ เปลี่ยนพล็อตอีกแล้ว แต่ก็ยังคงให้ย้ายโรงเรียนตามเดิม  แล้วก็มีที่เปลี่ยนอีกอย่างคือบุคลิกของคุณผู้ดูแลชิโนะ ที่คนเก่าดูอ่อนหวานใจดีไปหน่อย พอดีคิดว่าไหน ๆ ก็เป็นผู้ดูแลของตระกูลใหญ่ น่าจะมีความเจ้าระเบียบและแอบเด็ดเดี่ยวเหมือนคุณแม่ดุ ๆ บ้าง (แต่จริง ๆ ก็ใจดีนั่นล่ะ)  ก็เลยเปลี่ยนนิดหน่อย แล้วก็ได้เพิ่มตัวละครประกอบผู้ช่วย ที่ว่าจะให้มีบทมาเสริม ๆ อย่างโทโมโยะ (แน่นอนว่าเธอคือสาวY)   

สำหรับความสัมพันธ์ของริวยะกับยูคิ ในฉบับรีไรท์นี้ จะไม่บุ่มบ่าม ปุบปับเหมือนของเก่า แต่ยังไงน้องหนูก็ไม่รอดป๋าแกแน่ เพียงแต่ต้องรอสถานการณ์ก่อนเท่านั้นเอง ภาครีเมกนี้ อยากให้รู้สึกดี ๆ เข้าใจกัน แล้วค่อยมีสัมพันธ์กันมากกว่า

อาจจะเขียน เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็จริง แต่จะพยายามแต่งให้เข้มข้นและได้ทุกรสชาติมากกว่าของเดิมนะคะ ชอบใจไม่ชอบใจยังไงก็พูดคุยกันได้ค่ะ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ต่อไปนี้ก็จะได้เพื่อนใหม่แล้วนะ ยูคิจัง

ริวยะ ก็อ่อนโยนกับ ยูคิจัง หน่อยสิ


ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

บทที่ 7



   อีกด้านหนึ่งยูคิซึ่งแวะมาที่ห้องเรียนของเขา ก็กำลังถูกรุมล้อมด้วยเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ เพราะเวลานี้ก็ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วนั่นเอง

   "ไม่จริงอะ! ทำไมทานากะคุงต้องย้ายโรงเรียนด้วยล่ะ!"

   "ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ผู้ปกครองคนใหม่ของฉันเขาต้องการแบบนั้นนี่"

   ยูคิแก้ตัวเมื่อเพื่อนสาวคนหนึ่งโวยวายใส่ อีกฝ่ายพอได้ยินก็เริ่มสะอื้นจนยูคิพูดไม่ออก

   "อย่าร้องไห้น่ามินามิ ทานากะคุงเขาจำเป็นนี่นา"

   เพื่อนอีกคนปลอบเด็กสาว แต่พอได้ยินดังนั้นแทนที่เธอจะหยุดเธอกลับร้องไห้โฮลั่นแทน

   "ก็คนหน้าตาดีหายไปทั้งคน ใครมันจะทนได้ล่ะ! แล้วดูที่เหลือนี่สิ หน้าตาก็งั้น ๆ มองแล้วห่อเหี่ยว แล้วทีนี้ฉันจะเอากำลังใจที่ไหนมาโรงเรียนกัน!"

   เพื่อนผู้ชายในห้องมองตากันเองปริบ ๆ ก่อนจะเลิกสนใจเด็กสาว และลากแขนยูคิให้ไปคุยกันห่าง ๆ

   "ช่างยัยมินามินั่นเหอะ ว่าแต่นายจะย้ายไปที่ไหนล่ะ ใกล้แถวนี้ไหม เผื่อพวกฉันจะได้แวะไปหาบ้าง"

   ยูคิชะงักกึกกับคำถามนั้น และดูเหมือนว่าแต่ละคนก็พากันสนใจโรงเรียนแห่งใหม่ของอีกฝ่ายกันยกใหญ่

   "เอ่อ...ไม่รู้สิ ยังไงฉันก็แล้วแต่ผู้ปกครองคนใหม่เขาจะให้ย้ายไป...สำหรับฉันไม่ว่าที่ไหนก็เรียนได้ทั้งนั้น"

   ยูคิตัดสินใจโกหกเพื่อน ๆ แทน เพราะขืนบอกไปตามตรงว่าเขาต้องไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนยามิคุระ มีหวังเขาจะต้องถูกซักไซ้ยิ่งกว่าเดิมแน่

   "ว้า...อย่างนั้นรึ! ไม่เป็นไร ไว้รู้โรงเรียนที่ย้ายแล้ว อย่าลืมโทรมาบอกกันล่ะ"

   เด็กหนุ่มที่ชื่อโกและสนิทกับยูคิเป็นพิเศษบอกพร้อมรอยยิ้ม และเพราะอย่างนั้นจึงทำให้คนอื่นที่ไม่มีเบอร์มือถือของเด็กหนุ่ม ต่างพากันรุมขอและแลกเบอร์กันยกใหญ่ จนยูคิต้องเมมเบอร์ของเพื่อนเสียจนมือเป็นระวิงเลยทีเดียว

   "อ๊ะ! สายเข้า...เบอร์คุณริวยะนี่นา...เอ่อ ทุกคน ผู้ปกครองฉันโทรตามแล้วล่ะ ฉันขอตัวก่อนนะ"

   "อื้อ! ไว้ว่าง ๆ จะโทรไปหานะยูคิ!"

   "โชคดีนะ ทานากะ!"

   "คิดถึงฉันบ้างนะ ทานากะคุง! โฮ!"

   เสียงแหลมของหญิงสาวพร้อมเสียงร้องไห้โฮปิดท้าย ทำให้เพื่อน ๆ พากันสั่นศีรษะ ส่วนยูคิทั้งลำบากใจทั้งระอา เด็กหนุ่มเอ่ยปลอบโยนให้อีกฝ่ายใจเย็น ก่อนจะโบกมืออำลาเพื่อนฝูง แล้วจึงออกจากห้องพร้อมกับกดรับโทรศัพท์ที่สัญญาณเรียกเข้ายังคงดังอยู่

   "ทำไมรับช้า...ทำอะไรอยู่"

   เสียงเข้มจากปลายสายทำเอายูคิสะดุ้งนิด ๆ เจ้าตัวลอบถอนหายใจแล้วจึงตอบออกไปตามตรง

   "ขอโทษนะครับ พอดีกำลังคุยกับเพื่อนติดพันอยู่น่ะครับ แต่ตอนนี้ออกจากห้องมาแล้ว"

   ปลายสายเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยต่อ

   "ทางนี้ฉันธุระจัดการเสร็จแล้ว ไปเจอกันที่รถได้เลย...อย่าช้านักล่ะ"

   ท้ายประโยคเน้นย้ำชัด ๆ เสียจนคนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอ ยูคิตอบรับคำเสียงแผ่วกลับไป แล้วจึงจ้องมองโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายกดวางสายไปแล้วด้วยสายตาเหนื่อยล้า

   "หรือว่าเราจะคิดผิด ที่เลือกมาอยู่กับเขากันนะ"

   ยูคิพึมพำ ก่อนจะชะงักแล้วสลัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไป

   'ไม่ได้! เขาอุตส่าห์ทำเพื่อเราขนาดนี้...เราต่างหากที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับเขาให้ได้... ใช่! เราไม่เหลือใครแล้ว...เราต้องพยายามอดทน...ใช่ อดทนให้ถึงที่สุด'

    เด็กหนุ่มเฝ้าบอกกับตัวเองในใจ และเมื่อเดินออกมาทางด้านหน้าประตูเขาก็เห็นว่าริวยะกำลังยืนคุยอยู่กับผู้อำนวยการโรงเรียนที่ลงทุนออกมาส่งอีกฝ่ายถึงหน้าทางเข้าโรงเรียนเลยทีเดียว

   "อ้าว! ทานากะ มาแล้วหรือ มา ๆ ยินดีด้วยนะที่จะได้ศึกษาในโรงเรียนชั้นนำอย่างยามิคุระน่ะ!"

   เสียงของผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นไม่เบาเลย และยูคิมั่นใจว่า หลังจากที่เขากลับไป เพื่อนของเขาคงจะได้รู้ข่าวเรื่องนี้กันในไม่ช้าเป็นแน่

   "ยังไงผมก็ขอบคุณ ผอ.อีกครั้งนะครับ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องเอกสารให้รวดเร็วเช่นนี้"

   "เรื่องเล็กน้อยน่ะครับ แค่คุณมุราคามิมาเยือนที่นี่ก็เป็นเกียรติมากแล้วครับ"

   ผู้อำนวยการโรงเรียนรีบตอบกลับ จากนั้นริวยะจึงขอตัวแล้วโอบบ่าพายูคิเดินไปขึ้นรถด้วยกัน เรียกสายตาชื่นชมจากคนที่มองตามไปโดยถ้วนหน้า

    "ถ้าเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิง คงดูเป็นคู่ที่น่าอิจฉาทีเดียวเลยล่ะ"

   เสียงซุบซิบพึมพำดังขึ้นไล่หลัง และก็แว่วมาเข้าหูยูคิเข้าให้ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเหลือบมองคนที่โอบไหล่ตนอยู่ ซึ่งริวยะก็หันมาสบตาเข้าให้พอดี

   "มีอะไร"

   "มะ...ไม่มีครับ"

   ยูคิรีบบอกแล้วก้มหน้างุด ๆ จึงไม่ทันได้มีโอกาสเห็นสีหน้าระบายยิ้มของคนที่มองอยู่  สักพักริวยะจึงเหลือบไปมองยังตำแหน่งห้องเรียนของเด็กหนุ่ม และก็เห็นว่ามีเพื่อนฝูงของยูคิกำลังยืนออกันจ้องมองพวกเขาอย่างสนอกสนใจเต็มไปหมด

   "ป็อบปูล่าจังนะ..."

   น้ำเสียงพึมพำกึ่งบ่นทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่แปลกใจ แต่พอเหลือบมองอีกฝ่ายก็ได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมกึ่งบึ้งตึง ทำเอายูคิต้องรีบก้มหน้าหลบอีกครั้งด้วยความหวาดหวั่นแกมงุนงง

   

   อีกด้านหนึ่งทาคุที่มองอยู่พอเห็นปฏิกิริยาของผู้เป็นเจ้านาย เขาก็ต้องลอบถอนหายใจ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความหึงหวงและแสดงความเป็นเจ้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน เนื่องจากก่อนหน้านั้นพวกเขาเดินออกมานอกอาคารพร้อมผู้อำนวยการโรงเรียน แล้วริวยะกับเขาก็บังเอิญได้เห็นยูคิกำลังถูกรุมล้อมด้วยเพื่อนฝูงมากมายจากห้องบนตึกชั้นสอง แถมยังถูกหลายคนในนั้นโอบกอดใกล้ชิดสนิทสนมอีกด้วย

   "เชิญครับ ท่านริวยะ"

   ทาคุเปิดประตูรถด้านหลังให้ทั้งคู่ ซึ่งริวยะก็ดันร่างเล็กให้เข้าไปก่อน ส่วนเขาก็ก้าวตามไปนั่งข้าง ๆ และเมื่อทาคุขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ ยังไม่ทันที่รถจะเคลื่อนออกไป เสียงโทรศัพท์ของยูคิก็ดังขึ้นเสียก่อน

   "...ทำไมไม่รับล่ะ เพื่อนโทรมาไม่ใช่หรือ"

   ริวยะเปรยเสียงเรียบติดห้วน เมื่อเห็นยูคิจ้องรายชื่อตรงหน้าจออย่างลังเล

    "เอ่อ...ครับ ...สวัสดี.."

   ยังไม่ทันที่ยูคิจะพูดทักปลายสายเสียงจากทางนั้นก็ดังขึ้นมาก่อน จนเด็กหนุ่มตกใจ   

   "เฮ้ย! ยูคิ! ไหงไม่เห็นนายบอกเลยว่าผู้ปกครองใหม่ของนายเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวขนาดนั้น! นี่ยัยมินามิกำลังคลุ้มคลั่ง อยากรู้จักว่าเขาเป็นใครอยู่ใกล้ ๆ ฉันเนี่ย!"

   "เอ่อ...เบา ๆ หน่อยโก ...ฉันนั่งอยู่ในรถน่ะ"

   ยูคิพยายามจะสื่อว่าคนที่เพื่อนของเขาถามถึงนั้นนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา และอยากให้อีกฝ่ายลดเสียงลงหน่อยนั่นเอง

   "เออ! ฉันรู้ ก็เห็นเดินขึ้นไปบนรถแล้วไง ถึงได้โทรไป...ก็ไหงนายเคยบอกฉันว่าไม่มีญาติฝั่งไหนของพ่อแล้วก็แม่เหลืออีกแล้วนี่ ...ทีแรกฉันก็คิดว่าผู้ปกครองคนใหม่นั่นจะเป็นญาติห่าง ๆ ของฝั่งตาหรือยายนาย แต่นี่มองยังไงก็ไม่ใช่คนต่างจังหวัดชัด ๆ เลยนะ!"

   เพื่อนที่สนิทคุ้นเคยกันดีโพล่งตามมา ทำเอายูคิรู้สึกอึดอัด ยิ่งมองไปทางริวยะก็เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งเฉย เมินไม่มองเขา แต่บรรยากาศกลับดูเย็นชาผิดเคยเสียจนยูคิต้องอุบอิบบอกเพื่อนไป

   "ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังนะโก...แค่นี้นะ เดี๋ยวฉันขอปิดเครื่องก่อน"

   "เอ๋? คุยไม่ได้หรือ ผู้ปกครองคนใหม่ของนายเขาเคร่งมารยาทขนาดนั้นเลยหรือไง"

   ยูคิไม่รู้จะตอบออกไปยังไง ทางปลายสายพอเห็นเพื่อนเงียบก็เลยหันไปทำสัญลักษณ์ให้คนอื่นที่ตะโกนถามโน่นนี่อยู่ด้านหลังตนเงียบบ้าง ก่อนจะหันไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทต่อ

   "โอเค...งั้นฉันจะรอนายติดต่อมาเองแล้วกัน ยังไงก็ฝากขอโทษผู้ปกครองคนใหม่นายด้วยนะ ถ้าฉันโทรมารบกวนเขาน่ะ แค่นี้นะ โชคดีล่ะยูคิ...ยังไงนายก็ยังมีเพื่อนที่ห่วงนายอยู่อย่างพวกฉันนะ อย่าลืมล่ะ"

   "อืม...ขอบใจ นายก็เหมือนกัน ตั้งใจเรียนบ้างนะ อย่าเอาแต่โหมเรื่องกิจกรรมชมรมนักล่ะ"

   ยูคิเอ่ยตอบไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แต่นั่นกลับทำให้คนที่เหลือบมองมาเห็นพอดีไม่สบอารมณ์ เจ้าตัวมองไปที่กระจกหน้ารถและสบสายตากับคนขับที่กำลังจ้องมองมา

   "ทาคุ...กลับบ้านเลย ไม่ต้องไปต่อแล้ว"

   "...ครับท่านริวยะ"

   ทาคุขานรับคำสั่ง ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มอย่างนึกสงสาร เพราะดูเหมือนว่ายูคิจะกำลังเป็นกังวลที่จู่ ๆ คนนั่งข้างก็เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมา ซึ่งทาคุมั่นใจว่ายูคิคงไม่รู้หรอกว่า แท้จริงแล้วริวยะนั้นอารมณ์เสียเพราะสาเหตุใดกันแน่

   

   เมื่อมาถึงบ้านพักริวยะก็ลงจากรถแล้วเดินลิ่วเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจอีกคนที่ลงมาด้วยกัน ทำให้ยูคิมีสีหน้าสลด เพราะเกรงว่าริวยะนั้นจะโกรธเรื่องที่เขากับเพื่อนคุยกันในรถนั่นเอง

   "ท่านริวยะไม่ได้โกรธคุณหรอกครับ...ท่านแค่หงุดหงิดบางอย่างเล็กน้อยก็แค่นั้น"

   ทาคุเอ่ยขึ้นข้าง ๆ ทำเอาคนซึ่งกำลังยืนมองไล่หลังคนที่เดินจากไปถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วจึงหันกลับมามองด้วยสีหน้าคาดหวัง

   "จริง ๆ หรือครับ"

   "ครับ...ผมอยู่กับท่านมานานจนพอจะรู้ดีว่าท่านคิดอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นคุณก็อย่าวิตกไปเลยครับ"

   ทาคุบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้ยูคิยิ้มตอบ และรู้สึกโล่งอกตามมา

   "ดีจัง...ผมคิดว่าคุณริวยะเขาจะโกรธเรื่องที่เพื่อนของผมพูดเสียอีก...โก เขาเป็นคนโผงผางพูดจาตรงไปตรงมาแบบนั้นล่ะครับ แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร"

   "ท่านริวยะเองถึงภายนอกจะดูเงียบขรึม แต่ท่านก็ไม่ใช่คนดุร้ายหรือคบยากอะไรนักหรอกครับ ผมว่าคุณลองพูดคุยกับท่านบ่อย ๆ ก็จะสามารถทำความเข้าใจในตัวท่านริวยะได้เองล่ะครับ"

   ยูคิพยักหน้ารับฟังในสิ่งที่ชายหนุ่มพูด จากนั้นทาคุก็ขอตัวเอารถยนต์ไปเก็บ เด็กหนุ่มจึงเดินเข้ามาในบ้านเพียงลำพัง ทว่าเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นริวยะกำลังยืนรออยู่หน้าห้องรับแขก ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังห้องส่วนตัวของเขานั่นเอง

   "ทำไมถึงตามเข้ามาช้านัก...หรือว่ามัวแต่โทรคุยอยู่กับเพื่อนสนิทของเธอกัน"

   คำถามติดค่อนขอดทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง พลางหวนคิดถึงคำพูดของทาคุที่ผ่านมา แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา

   'ไหนว่าไม่โกรธเรื่องนี้ไง ...แล้วทำไมถึงยกมาพูดแถมทำหน้าดุใส่เราด้วยล่ะ'

   "เอ่อ...คือคุยกับคุณทาคุอยู่น่ะครับ เลยเข้ามาช้าไปหน่อย"

   คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนอย่างลืมตัว

   "คุยเรื่องอะไร?"

   ยูคิชะงัก เขาจ้องมองอีกฝ่ายแล้วนึกลังเลขึ้นมา แต่พอหวนคิดถึงคำพูดของทาคุก่อนหน้านั้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจตอบออกไปตามตรง

   "ผมกลัวว่าคุณจะโกรธเรื่องที่เพื่อนผมพูดตอนอยู่ในรถ...แต่คุณทาคุบอกว่า คุณไม่ได้โกรธเรื่องนั้น...แล้วคุณทาคุก็ยังบอกอีกว่า...เอ่อ..."

     ยูคิจ้องมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังจับจ้องมองมาที่เขานิ่ง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยต่อในสิ่งที่ได้รับฟังก่อนหน้านั้น

   "คุณทาคุบอกว่า...คุณริวยะถึงจะดูเงียบขรึม แต่ไม่ใช่คนคบยากอะไร และให้ผมลองชวนคุณพูดคุยบ่อย ๆ ก็จะสามารถทำความเข้าใจในตัวคุณได้เองน่ะครับ"

   ริวยะพอได้ฟังดังนั้น เขาก็นิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วจึงหลุดรอยยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ ที่ทำให้ยูคิถึงกับตกตะลึงเมื่อได้เห็น

   "หมอนั่น...จริง ๆ เลยนะ"

   ชายหนุ่มพึมพำถึงลูกน้องคนสนิท ก่อนจะชะงักเมื่อได้เห็นดวงตากลมโตของคนตรงหน้าจ้องมองเขานิ่งคล้ายกำลังตกใจบางอย่าง

   "มีอะไร...ทำไมทำหน้าแบบนั้น"

   แม้จะเป็นคำถามห้วน ๆ แต่น้ำเสียงก็ฟังดูอ่อนลงกว่าก่อนหน้านั้น และนั่นก็ทำให้คนฟังสะดุ้ง พลางหน้าแดงระเรื่อตามมาอย่างห้ามไม่อยู่

   "มะ...ไม่มีอะไรครับ...ผมแค่ตกใจ ที่เห็นคุณ...เอ่อ...ยิ้มแบบนั้น"

   ริวยะเลิกคิ้ว แต่เขาก็รู้สึกดีที่ได้เห็นปฏิกิริยาเขินอายที่เด็กหนุ่มมีต่อเขาเช่นนี้

    "ถ้าอยากเห็นฉันยิ้มบ่อย ๆ ก็อย่าพยายามขัดใจฉันนักก็แล้วกัน"

   ริวยะเปรยบอก แต่นั่นกลับทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วขมวดคิ้วนิด ๆ อย่างลืมตัวแทน ภาพสีหน้าเช่นนั้นทำให้คนมองนึกขำแกมเอ็นดูขึ้นมาทันที

   "หึ...ไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เราถึงจะไปที่โรงเรียนเอกชนยามิคุระเพื่อจัดการเรื่องย้ายโรงเรียนของเธอให้เรียบร้อย"

   "อ๊ะ...ครับ"

   ยูคิรีบขานตอบ แล้วมองตามคนที่เดินกลับห้องพักตนเองไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของตน

   "...ผมอยากรู้จักคุณให้มากขึ้นกว่านี้จัง...คุณริวยะ...ถ้าเรารู้จักกันมากขึ้นแล้ว คุณจะยิ้มให้ผมแบบนั้นบ่อย ๆ ใช่ไหม..."

   ยูคิพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเดินเหม่อ ๆ ตรงกลับห้องพักไปเช่นเดียวกัน

   

   อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ริวยะกลับมาถึงห้อง เจ้าตัวก็ถอดเสื้อสูทแขวนไว้กับที่แขวน แล้วจึงเดินไปนั่งลงบนเตียงนอนคิงไซส์กลางห้อง พลางหวนนึกถึงใบหน้าหวานแดงระเรื่อที่แสนน่ารักของคนที่เขาเพิ่งจากมา

   "ยูคิ...เธอมีสีหน้าแบบนั้น แสดงว่าฉันยังคงมีความหวังใช่ไหม"

    ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองแล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ สักพักใบหน้าหล่อเหลาจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ทว่านัยน์ตาคมกริบกลับเป็นประกายวาววับอย่างมุ่งมั่น

   "ไม่สิ...ถึงเธอจะคิดกับฉันยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ...เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะต้องทำให้เธอเป็นของฉัน ทั้งร่างกายและหัวใจให้ได้...ยูคิ"



   ทางด้านยูคิ เมื่อกลับมาถึงห้องเขาก็นั่งเล่นอยู่ในห้องครู่ใหญ่ แต่แล้วก็รู้สึกเบื่อ จึงเดินออกมาจากห้องส่วนตัว และเข้ามาห้องข้าง ๆ เปิดประตูนั่งชมวิวตรงระเบียงอยู่สักพัก ทว่าจู่ ๆ เสียงมือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตก็ดังขึ้น จนยูคิต้องรีบหยิบออกมาเปิดรับ

   "โก...โทรมาได้ยังไงน่ะ นี่นายน่าจะกำลังเรียนอยู่ไม่ใช่หรือไง"

   ยูคิถามปลายสายไปอย่างแปลกใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็หัวเราะร่าเริงตอบกลับ

   "ก็แกล้งทำเป็นปวดท้องแล้วขออนุญาตอาจารย์มาห้องน้ำแทนยังไงล่ะ ...อ๊ะ ว่าแต่นายตอนนี้อยู่คนเดียวหรืออยู่กับใครเนี่ย สะดวกคุยไหม"

    "อือ...ฉันอยู่คนเดียวน่ะ คุยได้"

   ยูคิรับคำ เขาได้ยินเสียงปลายสายถอนหายใจเฮือก ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดตรงถามเข้าประเด็นทันที

   "นี่! เล่ามาเลยนะ ทำไมผู้ปกครองของนายถึงได้กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มหล่อเฟี้ยวมาดเท่แถมยังท่าทางจะมีชื่อเสียงมาก ขนาดผอ.เรายังเกรงใจได้  อ้อ! ที่สำคัญ เขากับนายมีความสัมพันธ์แบบไหน ทำไมเขาถึงย้ายนายไปเรียนที่ยามิคุระ โรงเรียนค่าเทอมแพงแบบนั้นได้กัน!"

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เพราะเรื่องการย้ายโรงเรียนใหม่ของเขานั้นล่วงรู้ไปถึงหูของเพื่อนสนิทเร็วกว่าที่คาดไว้เสียอีก   

    "ง่า...ฉันเองก็ไม่รู้จักเขาดีสักเท่าไหร่นักหรอก ...รู้แต่ว่า เขารับส่งเสียเลี้ยงดูฉัน เพราะทำตามคำสั่งเสียของพ่อก่อนตายเท่านั้นนั่นล่ะ"

   ปลายสายนิ่งอึ้งไปเมื่อได้รับฟัง แต่ถึงอย่างนั้นโกเองก็ยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ดี

   "ก็พอจะเข้าใจในเรื่องคำสั่งเสียอะไรนั่นหรอก...แต่พ่อนายมีบุญคุณอะไรกับเขานักหนา เขาถึงยอมทุ่มทุนย้ายนายไปอยู่ที่โรงเรียนหรูหราขนาดนั้นเลยน่ะ"

   ยูคิเงียบกริบไปชั่วครู่ เขาคิดว่าคนที่มีบุญคุณน่าจะไม่ใช่พ่อแต่เป็นเขามากกว่า แม้ว่าจนป่านนี้เขายังประหลาดใจว่า ทำไมอีกฝ่ายต้องทำเพื่อเขาขนาดนี้ ทั้งที่เขาช่วยเหลือเจ้าตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

   "ก็ไม่เชิงหรอก...เห็นเขาว่าสนใจอยากให้ฉันทำงานด้วยตอนเรียนจบ ก็เลยจัดแจงให้ไปเรียนโรงเรียนที่มีการสอนเข้มข้นเป็นพิเศษแทนน่ะ"

   เพราะเคยสัญญากับริวยะว่าจะไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับชายหนุ่ม ยูคิจึงเลี่ยงบอกความจริงเพื่อนไปเพียงบางอย่าง ซึ่งพอได้ยินดังนั้นเสียงร้องอ๋อของโกจึงดังขึ้นตามมา

   "อ๋อ! แบบนี้นี่เอง ถ้างั้นก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะ เพราะนายเก่งจริงอยู่แล้วนี่นา...แต่สงสัยคงจะเตรียมใช้งานนายหนักแหงม เล่นส่งให้เรียนโรงเรียนหรูขนาดนั้น ...ระวังเรียนจบไปจะต้องทำงานแบบไม่ได้รับเงินเดือนแทนนะเพื่อน!"

   ปลายสายล้อเลียนตามมา ซึ่งยูคิก็หัวเราะเบา ๆ แต่ในใจคิดว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง บางทีเค้าอาจจะสบายใจมากกว่า ที่จะให้ริวยะทำอะไรเพื่อเขามากเกินไป โดยไม่ยอมเรียกร้องสิ่งตอบแทน ดังเช่นทุกวันนี้

   "อ๊ะ! งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ ออกมานานเกินไป เดี๋ยวอาจารย์จะสงสัยเอาเข้า"

    โกที่เหลือบดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ รีบบอกเพื่อน ซึ่งยูคิก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับ

   "เออ! รีบกลับไปเรียนเถอะ"

   "แล้วไปเรียนที่ใหม่ก็อย่านอกใจกันนะที่รัก ไม่งั้นเค้าจะงอนตัวเองด้วยล่ะ!

   โกแกล้งบอกตามมา ทำให้ยูคิหลุดหัวเราะเสียงใส จนใครบางคนที่กำลังเดินมาใกล้ห้องชะงักฝีเท้า

   "รู้แล้วน่าที่รัก จะไม่นอกใจนายหรอก ไปเข้าเรียนได้แล้วน่า เดี๋ยวก็โดนอาจารย์เล่นงานพอดี!"

    ปลายสายหัวเราะเบา ๆ ตอบ ก่อนตัดสายไป ทางด้านยูคิเก็บมือถือเข้ากระเป๋าเสื้อ แล้วสั่นศีรษะอย่างระอา ทว่ายังมีรอยยิ้มปรากฏให้คนที่ก้าวเข้ามาได้ทันเห็น

   "มิน่า...ถึงแสดงออกว่าไม่อยากจะย้ายโรงเรียนนัก ถ้าอาลัยอาวรณ์กันขนาดนั้น จะให้ฉันช่วยย้ายคู่รักของเธอไปเรียนด้วยกันสักอีกคนไหมล่ะ"

   น้ำเสียงห้วนฟังประชดประชันดังขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ชะงัก ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ

   "คุณริวยะ!"

   "ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเธอคุยกับคู่รักของเธอหรอก...ก็แค่ว่าจะแวะมาพูดถึงเรื่องที่ต้องเตรียมพรุ่งนี้ก็แค่นั้น...แต่ดูเหมือนตอนนี้เธอคงอยากจะอยู่นั่งคิดถึงคู่รักเธอตามลำพังมากกว่าล่ะสินะ"

    ยูคิขมวดคิ้วยุ่ง ทีแรกเขาตั้งใจจะแก้ตัวว่าริวยะนั้นเข้าใจผิด แต่ถ้อยคำประชดประชันและแววตาที่คล้ายกับว่าเขาทำผิดหนักหนาเสียเต็มประดานั่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มเลือกที่จะเงียบแทน และนั่นจึงทำให้ริวยะเม้มปากน้อย ๆ ด้วยความหงุดหงิด เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะรีบแก้ตัวว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเพียงเรื่องที่เขาเข้าใจผิดไปเอง

   "...ฉันกลับล่ะ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็ไปถามทาคุเอาแทนแล้วกัน"

   ชายหนุ่มบอกเสียงห้วน แล้วเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิด ส่วนยูคินั้นพอลับร่างสูงไปแล้ว เด็กหนุ่มก็ทิ้งกายลงนอนหงายบนผืนเสื่อในห้อง พลางพึมพำแผ่วเบากับตนเองอย่างเหนื่อยล้า

   "เป็นอะไรของเขาอีกกันนะ...ผมไม่เข้าใจคุณเลย คุณริวยะ...ไม่เข้าใจจริง ๆ"



... TBC ...

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
ตอนนี้เป็นลุงขี้หึงแถมขี้งอนด้วย
อยากเห็นเวอร์ชัน"ลุงหื่น"เร็วๆ :ling1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ป๋าจะจัดการเด็กยังไงน๊าา

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
หึงก็บอกไปเถอะน่าา แหม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
หนุกๆๆ ชอบ  :mew1:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
ขี้หึงจริงๆ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
*หลังจากตอนนี้อาจจได้อ่านวันเว้นวัน หรือไม่บ่อยนักนะคะ แต่พยายามจะไม่ให้หายตัวค่ะ* 
 :katai4:   



บทที่ 8



    ทางด้านริวยะนั้นกลับมาที่ห้องส่วนตัวของตนอย่างหงุดหงิด จริง ๆ เท่าที่เขาฟังยูคิสนทนากับปลายสาย ก็พอจะรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแลดูคล้ายจะพูดเล่นมากกว่าจริง แต่คำพูดที่ได้ยินมันก็ทำให้เขาอดโมโหไม่ได้ จนต้องหลุดประชดไปแบบนั้น และเขาก็หวังว่าจะได้ยินคำแก้ตัวทันทีจากอีกฝ่าย แต่การที่ยูคิเลือกที่จะนิ่งเงียบแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาไม่สบอารมณ์มากขึ้น

   "ต่อให้เธอมีคนรักแล้วจริง ๆ ก็ตาม แต่ยังไงฉันก็ไม่มีวันจะยอมปล่อยเธอให้หลุดมือแน่ ยูคิ...ถ้าฉันเลือกเธอแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์!"

   ริวยะพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจออกเดินทางไปที่บริษัท หลังจากทีแรกตั้งใจว่า วันนี้เขาจะหยุดงานและใช้เวลาว่างนั่งพูดคุยสบาย ๆ กับเด็กหนุ่ม เพื่อทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้นกว่าเดิม 



   ทางด้านยูคิ เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน สาวใช้โทโมโยะก็เข้ามาบอกเขาว่าจะเลือกรับอาหารที่ห้องหรือไปกินที่ห้องอาหารแทน

   "เอ๋? ได้หรือครับ แล้วคุณริวยะล่ะครับ"

   คำถามของเด็กหนุ่มทำให้อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ แล้วรายงานไปตามตรง

   "ท่านริวยะ ไปทำงานแล้วค่ะ"

   ยูคิชะงักเล็กน้อย พลางแอบคิดว่าที่ริวยะออกนอกบ้านไป สาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดขึ้นมาจากตัวเขาก็เป็นได้ หากแต่เมื่อนึกถึงสีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มก็รีบสลัดความรู้สึกผิดออกไป แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องโดยการถามบางอย่างกับสาวใช้ตรงหน้าแทน

    "เอ่อ...ขอโทษนะครับคุณโทโมโยะ ผมอยากรู้ว่าข้าวของผมจากบ้านเก่า ถูกย้ายมาหรือยัง คุณพอจะทราบบ้างไหมครับ"

     "เอ...เรื่องนี้ดิฉันไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ แต่คุณทาคุน่าจะทราบนะคะ ยังไงคุณยูคิก็ลองสอบถามคุณทาคุดูนะคะ"

    สาวใช้บอกพร้อมรอยยิ้มซึ่งยูคิก็พยักหน้าพร้อมยิ้มตอบ จากนั้นเขาจึงบอกว่าจะรับอาหารกลางวันที่ห้องอาหารแทน เนื่องจากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายต้องเดินมาเสิร์ฟตนถึงที่ห้องนี้นั่นเอง

   

   และเมื่อโทโมโยะจากไปแล้ว ยูคิจึงเดินไปยังห้องของทาคุแล้วลองเคาะประตูดู สักพักชายหนุ่มที่อยู่ในห้องก็ออกมาหาแล้วเอ่ยถาม

   "มีธุระอะไรหรือครับคุณยูคิ"

   "คือ...ผมอยากทราบว่าของใช้ส่วนตัวของผมที่ห้องเก่าย้ายมาหรือยังน่ะครับ ถ้ายังไม่ได้ย้าย วันนี้ผมจะได้ออกไปเก็บด้วยตัวเอง จะได้ไปลาเพื่อนบ้านที่นั่นด้วย"

   ทาคุเงียบไปชั่วครู่ เขาหวนคิดถึงบางสิ่งที่ริวยะกระทำ แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบไปตามตรง

   "ท่านริวยะจัดการย้ายมาให้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องกลับไปลาเพื่อนบ้าน คงไม่ต้องแล้วก็ได้ครับ...เพราะแมนชั่นนั้นตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงประกาศรื้อถอน ...ผู้อยู่อาศัยแต่ละห้อง ต่างก็ได้รับเงินค่าชดเชยเรียบร้อย แล้วก็มีบางบ้านกำลังเตรียมย้ายออกไปแล้วล่ะครับ"   

    ยูคิเบิกตากว้างอย่างตกใจ แล้วจึงรีบย้อนถามกลับไปทันที

   "ประกาศรื้อถอน! ทำไมล่ะครับ!"

   ทาคุเงียบไปสักพัก ก่อนจะเลี่ยงตอบคำถามเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจไปกว่านี้

   "ท่านริวยะเห็นว่าทำเลแถวนั้นดี จึงคิดจะสร้างย่านธุรกิจละแวกนั้น ก็เลยจัดแจงซื้อขายไปตั้งแต่เมื่อวันที่คุณย้ายออกมานั่นล่ะครับ"

   ชายหนุ่มบอกไปโดยเลี่ยงความจริงอีกอย่างที่ว่า ที่ริวยะตัดสินใจแบบนี้ เพราะไม่ต้องการให้ยูคิมีที่กลับหรือคิดแยกห่างจากตนไปไหนนั่นเอง

    ทางด้านเด็กหนุ่มที่กำลังคิดลังเลเรื่องการอยู่อาศัยในสถานที่แห่งนี้ร่วมกันริวยะถึงกับนิ่งอึ้ง แล้วยืนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จากนั้นเจ้าตัวจึงพึมพำขึ้นมาแผ่วเบา

   "หรือครับ...แล้วข้าวของผมที่เหลือล่ะครับ"

   "อยู่ในห้องข้าง ๆ นี่ล่ะครับ"

   ทาคุบอกพร้อมกับนำไปห้องนั่งเล่นข้าง ๆ ทำเอายูคิประหลาดใจ เพราะทีแรกเขาเห็นห้องนั้นโล่ง ๆ จึงไม่ได้คิดว่า มุมห้องซึ่งเป็นที่แขวนภาพ จริง ๆ เป็นบานประตูเลื่อน แล้วในนั้นก็มีข้าวของจากบ้านเก่าเก็บใส่กล่องตั้งวางอย่างเป็นระเบียบแถมยังแยกประเภทให้เรียบร้อย

   "จริง ๆ ท่านริวยะได้ให้คนจัดเตรียมบางอย่างไว้ให้คุณอีก...แต่ให้ท่านเป็นฝ่ายบอกด้วยตนเองจะดีกว่า"

   คำพูดของทาคุทำให้ยูคิหันไปมอง พลางหวนนึกถึงคนที่เขาเดาใจได้ยากคนนั้น

   "เขาอาจจะไม่อยากพูดกับผมก็ได้ครับ ... เมื่อเช้าก็ดูไม่ค่อยจะพอใจผมสักเท่าไหร่"

   ยูคิหลุดพึมพำออกมา ทำให้ทาคุนิ่งเงียบ เขาอยู่ห้องถัดไป ทำให้ได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ดี และก็พอจะรู้ว่าริวยะนั้นโมโหจนต้องเลี่ยงออกไปนอกบ้านแทนด้วย

   "คนเรา ถ้าไม่พูดไม่ถาม ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่...และยิ่งถ้าเกิดการเข้าใจผิดจากคำพูดที่สื่อถึงกัน ถ้าไม่รีบแก้ไข ก็จะยิ่งบานปลายทำให้ผิดใจกันไปใหญ่นะครับ"

   ยูคิหันไปมองชายหนุ่ม แล้วก็พอจะคาดเดาได้ว่า ทาคุคงได้ยินคำพูดของริวยะบ้างแล้วนั่นเอง

   "...สำหรับบางคน เขาอาจจะยึดติดกับคำว่าศักดิ์ศรีจนไม่ยอมเป็นฝ่ายลงก่อน แม้จะรู้ว่าตัวเองผิดก็ตาม ...แต่ถ้ามีใครบางคนจะยอมใจกว้างพอ และไม่เก็บเรื่องเหล่านั้นมาเป็นทิฐิอารมณ์ ยอมเป็นฝ่ายให้อภัยก่อน ...บางทีเรื่องราวก็อาจจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นก็เป็นไปได้นะครับ"

   ทาคุบอกพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ยูคิชะงัก เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร

   "ครับ...ผมจะลองดู"

   ยูคิพึมพำ เพราะจะว่าไปเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรในเรื่องนี้มากนัก และอีกอย่างเขาก็เป็นเด็กกว่ามาก การจะให้ริวยะมาเป็นฝ่ายขอโทษก่อน ก็คงจะมองดูไม่ดีนัก

   "ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ...ถึงตอนนี้คุณอาจจะคิดว่าเขาไร้เหตุผล แต่ผมเชื่อมั่นว่า ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปเขามีเหตุผลรองรับเสมอ...ถึงเหตุผลที่ว่านั่น สำหรับคุณแล้วอาจจะทำให้คุณมองเขาในแง่ลบเพิ่มขึ้นก็ตาม"

    ทาคุทิ้งท้าย ทำเอายูคินิ่งอึ้ง แต่เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจแล้วว่า เขาจะเป็นฝ่ายขอโทษก่อน และก็ได้แต่หวังว่าเมื่อขอโทษแล้ว ริวยะคงจะกลับมาทำดีกับเขาเหมือนก่อนหน้านั้นอีกครั้งหนึ่ง

   

   และเมื่อริวยะกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น ชายหนุ่มจึงเรียกทาคุไปสอบถามถึงเรื่องยูคิตามปกติ ซึ่งทาคุก็รายงานออกไปตามตรงอย่างไม่คิดปิดบัง

   "...ก็มีมาสอบถามเรื่องข้าวของบ้านเก่า และอยากขอไปลาเพื่อนบ้าน ผมก็เรียนไปตามตรง ว่าท่านซื้อที่นั่นแล้ว และกำลังก่อสร้างเป็นย่านธุรกิจอยู่น่ะครับ"

   ริวยะชะงัก เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะย้อนถามกลับไปด้วยสีหน้าที่แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ

   "อย่างนั้นหรือ แล้วเด็กคนนั้นว่าอะไรบ้างล่ะ"

   "ก็ไม่ว่าอะไรครับ มีตกใจบ้าง แล้วก็รับทราบเอาไว้แค่นั้น"

   ริวยะพยักหน้ารับรู้ แม้จะยังโมโหเรื่องเมื่อช่วงสาย แต่กระนั้นเขาก็ยังคงอดคิดถึงใบหน้าหวาน ๆ ของเด็กหนุ่มไม่ได้อยู่ดี

   "คุณยูคิบอกว่าเย็นนี้มีเรื่องอยากจะคุยกับท่าน...แต่ถ้าท่านยังไม่อยากพบหน้าเขา เดี๋ยวผมไปแจ้งให้ก็ได้ครับ"

   ทาคุบอกเรียบ ๆ แต่นั่นกลับทำให้คนฟังชะงัก แล้วทำเสียงในลำคอตามมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะแสร้งทำเป็นบอกด้วยสีหน้านิ่งเฉย

   "ไม่ต้อง...ถ้าเขามีเรื่องอยากคุยจริง เดี๋ยวฉันจะรอฟังก็ได้"

   "ครับ...ถ้าเช่นนั้นผมจะเรียนคุณยูคิตามนั้นนะครับ"

   ทาคุบอกพร้อมลอบยิ้มน้อย ๆ ทำให้ริวยะรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เพราะพอจะมองออกว่าคนสนิทรู้เท่าทันในความรู้สึกของตน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีที่เป็นทาคุ เพราะหากเป็นอากิระ เขาคงจะถูกแอบล้อเลียนผ่านคำพูดเข้าให้แล้วก็เป็นได้

   

   ทางด้านยูคิ เด็กหนุ่มรู้สึกใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เมื่อโทโมโยะมาแจ้งว่า ให้ไปร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นพร้อมริวยะเช่นเคย เด็กหนุ่มเดินช้า ๆ และพยายามคิดหาถ้อยคำที่จะพูดกับอีกฝ่าย แต่พอมาถึงห้องอาหารและเห็นใบหน้านิ่งเฉยของคนที่รอคอยอยู่ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตอนนี้สมองกลับมาว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกเข้าให้อีกแล้ว

   "เอ่อ..."

   ยูคิเตรียมจะเริ่มบทสนทนา แต่แล้วก็ต้องเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดถึงเรื่องผิดใจกันเมื่อเช้ายังไงดี

   "มีอะไร...เห็นทาคุบอกว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับฉันไม่ใช่หรือ"

   ริวยะบอกเสียงเรียบ ซึ่งก็ทำให้คนฟังสะดุ้งแล้วมีสีหน้าหวั่นวิตกเสียจนคนมองอดถอนหายใจไม่ได้ และเมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบไปนาน ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเปรยขึ้นก่อนค่อย ๆ

   "เรื่องเมื่อเช้า ฉันเองก็...ฉุนเฉียวใส่เธอเกินไปสักหน่อย"

   ริวยะพูดแค่นั้นแล้วก็หยุดเงียบด้วยสีหน้าลังเลนิด ๆ ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนฟังนิ่งอึ้ง แล้วจึงหวนคิดถึงสิ่งที่ทาคุพูดเมื่อกลางวัน ก่อนจะตัดสินใจพูดแทรกขัดไป

   "ผมต่างหากครับที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณ...ผม...เอ่อ...ผมไม่รู้ว่าคุณโมโหอะไร...แต่ถ้าเป็นเพราะผม...ผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ"

   ริวยะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ช้อนตาขึ้นสบกับเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

   "เธอไม่ผิดหรอก...ฉันก็แค่หงุดหงิดอารมณ์เสียบางอย่าง แล้วระบายอารมณ์ใส่เธอเท่านั้น"   

   ริวยะเอ่ยออกไปทั้งที่ยังคงสบตาอีกฝ่ายนิ่ง จนคนถูกจ้องเริ่มรู้สึกตัวและหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   "เธอโกรธฉันไหม ...ยูคิ"

   คำถามที่ตามมาทำให้ยูคิสะดุ้งเล็กน้อย เขาหลุบตาหลบแววตาคมกริบนั้น ใบหน้าร้อนวูบวาบ แล้วจึงเอ่ยตอบเสียงแผ่ว

   "ไม่โกรธหรอกครับ...แค่ไม่เข้าใจว่าทำไม คุณถึงโมโหเท่านั้น"

   ริวยะมองอีกฝ่ายเขานิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งอาหารเย็นถูกนำมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มยังคงไม่พูดอะไรต่อเขานิ่งเงียบ จนยูคิตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มลงมือคีบอาหารตรงหน้าแทน แต่แล้วเสียงทุ้มนุ่มจากคนที่นิ่งเงียบมานานก็ดังขึ้น ทำเอาคนกำลังคีบกุ้งทอดชะงักมือกึก

   "เธอมีคนรักแล้วอย่างนั้นหรือยูคิ"

   คนถูกถามคำถามส่วนตัวถึงกับนิ่งอึ้ง จนเผลอทำกุ้งที่คีบไว้ตกลงบนโต๊ะ เจ้าตัวรีบกล่าวขอโทษพร้อมกับเก็บกุ้งใส่จาน ก่อนจะก้มหน้างุด ๆ ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย    แต่ก็ยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่น

   "ยะ...ยัง...ไม่มีหรอกครับ"

   "แล้วทำไมถึงได้เรียกคนที่เธอโทรมาว่าที่รักล่ะ"

   คำถามถัดมาทำให้คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ เด็กหนุ่มไม่อยากจะคิดว่า นี่อาจจะเป็นสาเหตุของการโมโหของอีกฝ่าย เพียงแต่จากน้ำเสียงที่ฟังดูเข้มขึ้นของริวยะ มันก็ทำให้เขายากที่จะคิดเป็นอย่างอื่นได้

   "...นั่นเพื่อนผมโทรมาครับ เราพูดคุยแหย่กันเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร...อีกอย่างหมอนั่นก็เป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย"

   ยูคิบอกอุบอิบ แล้วตัดสินใจเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย ซึ่งเขาก็ได้เห็นสีหน้าขรึมของคนตรงหน้า ทั้งคู่สบตากันอยู่สักพัก ชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้น

   "ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แล้วไป...ฉันอยากรู้แค่นั้นล่ะ"

   ยูคิพูดอะไรไม่ออก และเมื่อเห็นริวยะลงมือทานอาหาร เขาจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารบ้างเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นพอรู้สึกตัว เด็กหนุ่มก็พบว่าตนกำลังแอบลอบมองคนผู้นี้อยู่โดยไม่รู้ตัวเข้าให้แล้ว

   

    เมื่อมื้อเย็นสิ้นสุดลง ริวยะไม่ได้ตรงกลับห้อง หากแต่กลับเดินตามยูคิไปด้วย ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ  ทว่าพอริวยะสั่งให้คนงานนำตู้บูชามาตั้งไว้ในมุมด้านในของห้องนั่งเล่นที่ติดกับห้องของยูคิ  เด็กหนุ่มก็ถึงกับต้องนิ่งอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะแทบพูดอะไรไม่ออกเมื่อริวยะให้เขานำอัฐิของบิดาไปวางที่ตู้บูชาในห้องนั้นแทน

   "...ขอบคุณครับ...คุณริวยะ"

   ยูคิเอ่ยบอกเจือสะอื้นนิด ๆ อย่างตื้นตัน ทำให้คนมองมีสีหน้าอ่อนโยนลง ชายหนุ่มเดินโอบไหล่อีกฝ่ายให้นำอัฐิไปวาง แล้วจึงนั่งคุกเข่าทำความเคารพอัฐินั้นเคียงข้างกัน โดยมีสายตาชื่นชมของลูกน้องคนสนิททั้งสองเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ

   

   คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ยูคิได้หลับอย่างสบายใจ นับตั้งแต่การเสียชีวิตลงของมาซายะผู้เป็นบิดา เขาฝันเห็นมาซายะตรงมากอดเขา แต่พอเขาจะเดินตามไปด้วย อีกฝ่ายกลับยกมือห้าม แล้วชี้ให้เขาเห็นว่ามีใครอีกคนกำลังยืนรอคอยเขาอยู่ด้านหลัง ซึ่งพอยูคิหันกลับไปมองเขาก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นคือริวยะที่กำลังยืนคอยเขาอยู่ เด็กหนุ่มหยุดยืนนิ่งจนกระทั่งริวยะเดินมาหา และโอบบ่าเขาไว้อย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยกับบิดาเขาว่า จะคอยปกป้องดูแลเขาจากนี้ตลอดไป ซึ่งมาซายะก็ยิ้มรับ แล้วจึงหันหลังเดินหายไปท่ามกลางแสงสว่างเบื้องหน้านั้นในที่สุด

   "พ่อครับ..."

   ยูคิพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า เขากะพริบตาถี่ ๆ จนกระทั่งรู้สึกตัว ก่อนจะหน้าแดงวาบเมื่อหวนคิดถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา

   "ก็แค่ฝัน...ไม่มีอะไรสักหน่อย..."

   ยูคิพึมพำแก้ตัวกับตนเอง แม้จะยังคงรับรู้สึกถึงความอบอุ่นอ่อนโยนในความฝันนั้นเป็นอย่างดีก็ตาม

   

   เช้าวันนี้ ริวยะซึ่งยังคงอยู่ในชุดยูกาตะแลดูอารมณ์ดีเสียจนคนที่รอรับคำสั่งเรื่องงานอดอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้

   "วันนี้ก็คงไม่เข้าบริษัทอีกตามเคยสินะครับท่านริวยะ"

   คำถามนั้นทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะแสร้งย้อนกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

   "ทำไม... หรือไม่มีฉันแล้วนายทำงานเองไม่ได้"

   "หึ...ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ช่วงนี้ไม่มีเรื่องด่วนต้องให้ท่านเซ็นอนุมัติเท่าไรด้วย ทางนี้สิที่สำคัญกว่า...ไหนจะต้องพาคุณยูคิไปสมัครเรียน ไหนจะต้องเตรียมความพร้อมเรื่องต้อนรับคุณยูคิเข้าสู่ตระกูลมุราคามิอีก"

   "อากิระ!"

   น้ำเสียงของริวยะเข้มขึ้น แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานก็พอจะมองออกว่า อารมณ์ไหนที่อีกฝ่ายขุ่นเคืองจริงหรือแค่หงุดหงิดปกติ

   "ขออภัยครับที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของท่าน"

   อากิระบอกพลางโค้งให้อย่างนอบน้อม ทว่าริวยะมองดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นแสร้งทำไม่ได้คิดขอโทษเขาจริง ๆ แต่อย่างใด

   "อากิระ...เสร็จธุระทางนั้นแล้วขอคุยด้วยหน่อยนะ"

   คนสนิทอีกคนที่ผ่านมาและทันได้เห็นพฤติกรรมของชายหนุ่มดี เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ทำเอาอากิระชะงักกึก ส่วนริวยะนั้นมองผ่านไปยังลูกน้องอีกคนของตน

   "มีอะไรหรือทาคุ"

   "พอดีผมมาตามหาอากิระเรื่องที่จะฝากให้เขาเอาคอมพิวเตอร์จากบริษัทมาเผื่อทางนี้สักเครื่อง เพราะเห็นว่าคุณยูคิควรจะมีติดตัวไว้บ้าง จะได้ใช้ศึกษาเรียนรู้และแก้เบื่อได้น่ะครับ"

   ทาคุบอกเจ้านายของตนไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าอากิระที่ทันได้เห็นแววตาคมกริบที่ตวัดมองมาทางตน รู้ดีว่าเพื่อนสนิทนั้นขุ่นเคืองเรื่องที่เขาทำตัวไม่สมควรต่อหน้าริวยะลงไปเมื่อครู่นั่นแน่

   "อา...จริงสิ ฉันก็ลืมไป ถ้ายังไงนอกจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้ว ช่วยหาแบบพกพาให้เขาใช้อีกเครื่องด้วยแล้วกันนะอากิระ"

   ริวยะหันมาสั่งมือขวาคนสนิท ซึ่งอากิระก็โค้งรับคำสั่ง

   "นอกเหนือจากพวกนี้แล้ว ถ้าเขาอยากได้อะไรก็ให้เขาบอกมาผ่านนายได้เลยนะทาคุ ...ไม่สิ อย่างเด็กนั่นคงไม่กล้าขอเองแน่  ยังไงก็วานนายช่วยตะล่อมถามเขาให้หน่อยก็แล้วกันนะ ได้ความยังไงก็แจ้งมาที่อากิระให้เขาจัดการให้แล้วกัน"

   ริวยะสั่งความทาคุต่อ ซึ่งชายหนุ่มก็โค้งรับอย่างสุภาพ และเมื่อริวยะปลีกตัวไปกินมื้อเช้า อากิระที่เตรียมจะหลบฉากกลับห้องก็ถูกเพื่อนสนิทเรียกดักเอาไว้เสียก่อน

   "เดี๋ยวสิ อากิระ...จะรีบไปไหนกัน"

   "แหะ ๆ พอดีฉันลืมไปว่ามีงานที่ทำค้างไว้ที่ห้องน่ะ...เฮ้ย!"

   อากิระร้องเสียงหลงเมื่อหมัดขวาตรงของเพื่อนสนิทเข้ามาใกล้ เขาเอียงศีรษะหลบได้ทันอย่างหวุดหวิด แล้วก็ต้องรีบยกแขนขึ้นป้องกันเมื่อทาคุพลิกกายกลับพร้อมฟาดขาแบบคาราเต้มาต่อเนื่อง

   "ทาคุ! เดี๋ยว! ฉันยอมแล้ว ฉันขอโทษ!"

   ทาคุชะงักเท้าที่เตรียมจะฟาดซ้ำ เขาลดเท้าลงแล้วขยับเสื้อเชิ้ตให้เข้าที่ ก่อนจะเปรยบอกเสียงเรียบ

   "ทำไมต้องขอโทษ ฉันก็แค่ฝึกร่างกายไม่ให้มันเฉื่อยชา แล้วบังเอิญนายก็มายืนขวางทางอยู่ ก็แค่นั้นเอง"

   บอกจบชายหนุ่มก็หันขวับเดินจากไป ทิ้งเพื่อนสนิทยืนอึ้งอยู่กับที่ ก่อนเจ้าตัวจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างนึกขำแกมระอา

   "แสบจริง...แต่ก็เพราะแบบนี้ล่ะนะ ถึงได้ชอบน่ะ"

   ท้ายประโยคอากิระพึมพำกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินฮัมเพลงกลับห้องพักตนไปบ้างอย่างอารมณ์ดี 



   มื้อเช้านี้ ยูคิได้แต่ลอบแอบมองคนในชุดยูกาตะสีดำที่นั่งขัดสมาธิหลังโต๊ะญี่ปุ่นตรงหน้าเขาเป็นระยะ และพอนึกถึงความฝันเมื่อคืน เด็กหนุ่มก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนต้องคอยหลบหน้าหลบตาหลุกหลิกเสียจนริวยะที่เห็นเข้าต้องเอ่ยทักขึ้นเสียงเข้ม

   "เป็นอะไรไป ทำไมถึงทำเหมือนไม่อยากจะมองหน้ากัน"

   ยูคิสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำถามนั่น เขารีบเงยหน้าสั่นศีรษะปฏิเสธ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูอึ้ง ๆ ของอีกฝ่ายก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นระบายยิ้มน้อย ๆ ตามมา และนั่นก็ยิ่งทำให้ใบหน้าร้อน ๆ ของยูคิยิ่งร้อนวาบและแดงหนักเข้าไปใหญ่

   "สีหน้าดีนี่...ฉันชอบแบบนี้นะ"

   ริวยะเปรยกระเซ้า ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร แต่การที่ยูคิมีปฏิกิริยาเขินอายกับเขาเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขาต้องการกำลังจะสำเร็จในไม่ช้า

   "เอ่อ...ผม..."

   ยูคิพูดอะไรไม่ออก รู้แต่เพียงว่ายิ่งได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมนั้นมีรอยยิ้มยามใด หัวใจของเขาก็มักจะเต้นระส่ำอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

   "วันนี้ฉันจะพาเธอไปสมัครเรียนและทำความรู้จักกับสถานที่เรียนใหม่ของเธอ...พอดีวันเสาร์ที่นั่นมีเรียนแค่ครึ่งวัน เราไปตอนบ่าย ๆ ก็แล้วกัน จะได้เดินชมโรงเรียนสบาย ๆ หน่อย"

   ยูคิชะงักเล็กน้อยกับเรื่องที่ได้ยิน แม้จะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่พอคิดว่าตนจะต้องไปเรียนร่วมกับพวกลูกคนรวย ๆ ในโรงเรียนแห่งนั้น เขาก็รู้สึกลำบากใจทุกที 

   "ครับ..."

   ยูคิรับคำเสียงแผ่ว เรื่องโรงเรียนใหม่มีส่วนกลบให้ความเขินอายก่อนหน้านั้นเบาบางลง และเมื่อได้เห็นสีหน้าซึม ๆ ของเด็กหนุ่ม ริวยะก็ลอบถอนหายใจ ก่อนจะเปรยต่อ

   "ถ้าลองเรียนดูสักพักแล้วเธอปรับตัวเข้ากับที่นั่นไม่ได้จริง ๆ เราค่อยมาคุยเรื่องย้ายโรงเรียนกันอีกทีก็ได้"

   คำพูดของริวยะทำให้ยูคิมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะตามมาด้วยอาการยิ้มแย้มยินดีที่ทำให้คนมองยิ้มตอบ  ทว่าพวกชิโนะและคนงานที่กำลังนำอาหารมาเสิร์ฟและได้ยินเข้า ต่างแอบสะดุ้งและประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นนายเคยยอมลงให้ใครถึงขนาดนี้มาก่อน และจากหลาย ๆ อย่างที่ริวยะแสดงออก ก็ทำให้ผู้คนที่นี่พอจะเข้าใจแล้วว่า ยูคินั้นเข้ามาอาศัยในสถานที่แห่งนี้ด้วยสถานะใดกันแน่




... TBC ....




** แจ้งกันอีกครั้งนะคะ เพื่อกันสับสนสำหรับคนอ่านฉบับเดิม **

ฉบับรีเมกนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหารายละเอียดปลีกย่อยบ้างไม่มากก็น้อย (ส่วนใหญ่จะมาก)
 
แต่เนื้อหาหลัก ๆ อย่างเช่นยูคิต้องไปเข้าโรงเรียน หรือคุณ ผอ.โรงเรียนใหม่เป็นเพื่อนกับริวยะ ก็ยังคงเดิมค่ะ เปลี่ยนแค่การดำเนินเรื่องให้มันเหมาะกับบุคลิกที่ปูมาแต่แรก(ของฉบับรีเมก) ค่ะ  เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ก็เท่ากับว่าแทบจะได้อ่านเรื่องราวใหม่ ๆ เกี่ยวกับความรักของทั้งคู่ ที่อาจจะไม่เร่งรัดนัก แต่จะค่อย ๆ บ่นเพาะความผูกพันที่แปรเปลี่ยนเป็นความรักทีละน้อยแทน (จริง ๆ ในฉบับรีเมกนี้ หนูยูคิก็ปิ๊งริวยะตั้งแต่ตอนเด็กแล้วล่ะนะ พอมาเจออีกครั้งก็เลยสปาร์กกันได้ง่ายกว่าเดิมค่ะ หุๆ )



ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
ทาคุสู้ๆ :mc4:

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
อากิระ ดูแล้วจะเป็นพวกมาโซหรือเปล่าเนี่ย

5555

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ตายแล้ว ยูคิ ก็แอบสปาร์คริวยะเหรอเนี่ย

จิตใจตรงกัน ผูกพันธ์รักใหม่  :hao7:

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
หมั่นไส้คุณริวยะจริงๆเล้ยยย

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
บทที่ 9 มาแล้วค่ะ ช่วงอาทิตย์นี้มีธุระต้องเคลียร์ +ไปโน่นนี่ เลยไม่ได้มีเวลามาต่อเท่าไหร่ พอว่างก็เหนื่อยแล้ว -- แต่ก็จะพยายามโพสเรื่องนี้ให้ต่อเนื่องนะคะ  ห่างกับที่เขียนอยู่ล่าสุดแค่ตอนเดียวแล้วค่ะ



บทที่ 9



    ยูคิจ้องมองผ่านกระจกรถยนต์ที่ตนนั่งด้วยความตกตะลึง เมื่อยามที่ทาคุเลี้ยวรถพาเขาและริวยะเข้ามาในเขตของโรงเรียนเอกชนยามิคุระ  ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่และได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐานการศึกษาระดับชั้นแนวหน้า มิหนำซ้ำยังเป็นโรงเรียนที่บรรดานักธุรกิจและนักการเมืองมักจะส่งบุตรหลานมาเรียนกันมากมาย  และจำนวนนักเรียนสามในสี่ที่ผ่านการศึกษามัธยมปลายจากสถานที่แห่งนี้ ก็ล้วนแล้วแต่สอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยระดับชั้นนำของประเทศได้แทบทั้งนั้น

   'ใหญ่โตชะมัดเลย...แค่สนามกีฬาข้างนอกนั่น ก็ใส่อาคารเรียนที่โรงเรียนเก่าไปได้สบาย ๆ แล้ว'

   ยูคินึกในใจ สีหน้าทึ่ง ๆ และแสดงออกถึงความตื่นเต้นนั่น ทำให้คนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ และเมื่อทาคุเลี้ยวรถมาจอดยังหน้าอาคารสีขาวที่โค้งออกมาเป็นครึ่งวงกลมเบื้องหน้า และอยู่ระหว่างกึ่งกลางของอาคารเรียนทั้งหมดที่เชื่อมต่อกันเป็นรูปตัว U ชายหนุ่มก็จอดรถแล้วลงมาเปิดประตูให้ริวยะกับยูคิลงมาข้างนอก

   "ขอบใจ นายรอข้างนอกนี่ก็ได้ทาคุ เดี๋ยวฉันเสร็จธุระแล้วจะโทรมาบอก"

   ริวยะบอกกับคนของตน ซึ่งทาคุก็โค้งรับ แล้วขับรถไปจอดยังโรงจอดรถของโรงเรียน ส่วนริวยะก็หันไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างตน ซึ่งตอนนี้กำลังมีสีหน้าหวั่นวิตกเล็กน้อยให้ได้เห็น

   "มาสิ ยูคิ...เดี๋ยวฉันพาไปห้องของผู้อำนวยการที่นี่เอง"

    ยูคิสะดุ้งแต่ก็ต้องพยักหน้าตามมา ทว่าเมื่อชายหนุ่มโอบบ่าของเขาให้เดินไปพร้อมกัน เด็กหนุ่มก็รู้สึกใจเต้นและขัดเขินขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

   "เอ่อ...คุณริวยะ ผมเดินเองก็ได้ครับ"

   ยูคิพึมพำ และนั่นก็ทำให้คนฟังชะงักเล็กน้อยก่อนจะย้อนถามเสียงเข้ม

   "ทำไม...รังเกียจที่ฉันถูกตัวหรือไง"

   ยูคิสะดุ้งแล้วรีบเงยหน้าขึ้นบอกปฏิเสธทันที

   "ไม่ใช่นะครับ! เพียงแต่...เอ่อ..."

   ท้ายประโยคเจ้าตัวชะงักค้างไว้ไม่กล้าพูดต่อ ทว่าสีหน้าแลดูขัดเขินนั่นทำให้คนมองหายหงุดหงิดได้ชะงัด

   "เอ่อ...ผมกลัวคุณจะเดินลำบากน่ะครับ..."

   ยูคิบอกอุบอิบแก้ตัวไปแทน  ทั้งนี้เพราะเขาไม่กล้าบอกว่าที่จริงแล้วตนนึกเขินและรู้สึกแปลก ๆ ที่ถูกริวยะสัมผัส  เนื่องจากเกรงว่าริวยะจะไม่พอใจเข้าให้

   "อย่างนั้นหรอกหรือ..."

   ริวยะพึมพำ ทว่ากลับโอบกระชับร่างเล็กมาใกล้มากขึ้น แล้วยิ้มที่มุมปากนิด ๆ ก่อนบอกอีกฝ่าย

   "ฉันไม่รู้สึกลำบากอะไรสักนิด เพราะงั้นเธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรนักหรอก"

   คนฟังหน้าแดงระเรื่อแล้วจึงพยักหน้าค่อย ๆ แทนคำตอบรับ และพยายามบอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา แถมจะว่าไปแล้วเขากับริวยะก็ยังเป็นผู้ชายด้วยกันอีกต่างหาก

 

   เมื่อเข้ามาในตัวอาคาร ริวยะกับยูคิก็ได้พบชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งยืนรอคอยต้อนรับพวกเขาอยู่ โชคดีของยูคิที่ริวยะยอมปล่อยมือที่โอบบ่าตน มิเช่นนั้นเด็กหนุ่มคงวางสีหน้าไม่ถูกแน่

    "ทีแรกผมก็นึกแปลกใจที่ท่านผู้อำนวยการเข้าโรงเรียนวันนี้...เพราะมีนัดกับคุณริวยะนี่เอง"

    "พอดีผมกำชับไว้ด้วยน่ะ ว่าอย่าเบี้ยว ไม่อย่างนั้นกว่าจะเจอตัวทีก็ยากเย็นเหลือเกิน"

     จากคำพูดสนทนาระหว่างกัน ทำให้ยูคิมั่นใจว่าชายหนุ่มหน้าตาคมคายและดูภูมิฐานคนนี้ จะต้องรู้จักริวยะเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นเขาคงไม่ได้เห็นท่าทางผ่อนคลายยามสนทนากับอีกฝ่ายเช่นนี้จากริวยะเป็นแน่

    "แล้วเด็กคนนี้..."

   อีกฝ่ายหันมามองยูคิ ซึ่งยูคิก็สะดุ้งโหยงแล้วรีบโค้งแนะนำตัวเองทันที

   "ผมทานากะ ยูคิ ครับ"

   "สวัสดีครับทานากะ ยูคิคุง ...ผมคางาวะ ฮิโรโตะ เป็นเลขาของท่านผู้อำนวยการ ยามิคุระ อิชิโจ ครับ"

   "ผมตั้งใจจะพายูคิมาสมัครเรียนที่นี่น่ะ"

   ริวยะบอกพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับฟังแล้วยิ้มตอบ

    " ...ท่านผู้อำนวยการเองก็เปรย ๆ เรื่องนี้ให้ฟังไว้บ้างแล้วล่ะครับ"

     รอยยิ้มดูแปลกตาเล็กน้อยที่ได้เห็น ทำให้ริวยะต้องถอนหายใจออกมาแผ่วเบาด้วยสีหน้าเอือมระอา 

   "หวังว่าหมอนั่นคงไม่พูดอะไรไร้สาระกรอกหูคุณมาด้วยหรอกนะ  คุณฮิโรโตะ"

   คนฟังพอได้ยินก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับไป

   "ก็รับฟังแค่ว่าจะพามาสมัครเรียนเป็นกรณีพิเศษเท่านั้นล่ะครับ...เชิญทางนี้ครับ"

   ยูคิกลืนน้ำลายลงคอ เมื่ออีกฝ่ายพาเขาและริวยะมาหยุดยืนหน้าลิฟต์  และแม้อาคารเรียนของที่นี่จะมีสามชั้นก็จริง แต่โดมครึ่งวงกลมกึ่งกลางระหว่างตึกนั้น มีความสูงสี่ชั้น ซึ่งจะว่าไปความสูงแค่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีลิฟต์ติดตั้งแต่อย่างใด ทว่าถ้านับจากการตกแต่งอย่างหรูหราของสถานที่ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากโรงเรียนทั่วไป การที่มีลิฟต์ติดตั้งในอาคารก็คงจะดูเป็นปกติของที่นี่ล่ะนะ

   "ตัวลิฟต์ของอาคาร อนุญาตให้ใช้เฉพาะอาจารย์กับแขกของโรงเรียนเท่านั้นล่ะครับ ถ้านักเรียนทั่วไปก็เดินขึ้นลงบันไดตามปกติ"

   คนนำทางที่พอจะอ่านสีหน้าของเด็กหนุ่มออกบอกกับอีกฝ่าย ทำเอายูคิที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้สะดุ้งโหยง แล้วส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้แทน

    "ตรงโดมสี่ชั้น แต่ละชั้นจะแบ่งเป็นห้องทำงานของอาจารย์ในโรงเรียนแห่งนี้ ส่วนชั้นสี่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านผู้อำนวยการ ทางอาคารสามชั้นปีกซ้ายจะเป็นส่วนของมัธยมต้น และปีกขวาจะเป็นส่วนของมัธยมปลายน่ะครับ"

   ฮิโรโตะอธิบายให้เด็กหนุ่มฟังเกี่ยวกับสถานที่เรียนแห่งนี้ ซึ่งยูคิก็พยักหน้ารับรู้อย่างสนใจ และเมื่อลิฟต์มาถึงชั้นสี่ เลขาหนุ่มก็เดินนำแขกทั้งคู่มาที่หน้าบานประตูไม้ใหญ่เบื้องหน้า

   "ท่านผู้อำนวยการครับ คุณริวยะมาถึงแล้วครับ"

   "เชิญ"

   เสียงทุ้มด้านในดังขึ้นตอบรับ ฮิโรโตะจึงหันไปโค้งให้กับริวยะให้อีกฝ่ายเดินนำเข้าไปแทน

   

   ยูคิเหลียวมองรอบห้องด้วยความตะลึงงัน ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่แล้วว่าที่นี่เป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียน เขาก็คงคิดว่าตนเข้ามาอยู่ในห้องชุดของโรงเรียนหรูห้าดาวที่ไหนสักแห่งเป็นแน่

   "ไง ริวยะ...คนนี้น่ะหรือเด็กน้อยน่ารัก ที่นายเอามาฝากให้ฉันน่ะ"

   คนพูดเป็นชายหนุ่มไว้ผมยาวรองทรงละต้นคอ รูปร่างโปร่งเพรียวและมีส่วนสูงพอ ๆ กับริวยะ ใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตาชนิดที่ว่าถ้าออกไปเดินข้างนอกแล้วไม่รู้จักกันมาก่อน ยูคิคงนึกว่าอีกฝ่ายเป็นดาราหรือนายแบบเป็นแน่

   "ฉันพาเขามาสมัครเรียน ไม่ได้เอามาเป็นของฝากนาย...ใช้คำพูดให้มันถูก ๆ หน่อย อิชิโจ"

   ริวยะบอกเสียงเข้ม เพราะคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่นั้น ฟังยังไงก็มีเจตนาจะหยอกเขาเล่นชัด ๆ

   "หึ ๆ ก็เหมือน ๆ กันล่ะน่ะ...มาอยู่ที่นี่ก็เหมือนเป็นคนของฉันแล้วอยู่ดี"

   อีกฝ่ายแย้งด้วยสีหน้าระรื่นจนคนมองหงุดหงิด ส่วนฮิโรโตะเมื่อเห็นเจ้านายแหย่เพื่อนสนิทของเจ้าตัวไม่เลิก เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขัดการสนทนาระหว่างทั้งคู่ โดยการหันไปคุยกับทางยูคิแทน

   "...ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายน่ะครับ เลยมักจะพูดจาเย้าแหย่กันเช่นนี้ประจำ ...แต่คุณไม่ต้องห่วงนะครับ ถึงผู้อำนวยการโรงเรียนจะประพฤติตัวไม่น่าเลื่อมใสนักก็ตาม  แต่อาจารย์ท่านอื่นไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน เรื่องระเบียบวินัยก็เช่นกัน ที่นี่เน้นเรื่องเหล่านี้ไม่แพ้กับเรื่องเรียนเลยทีเดียวล่ะครับ"

   ยูคิส่งยิ้มเจื่อนให้เลขาหนุ่ม ส่วนผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นทำเสียงฮึในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ที่โดนขัดคอแถมว่าประชดเข้าให้ ทว่าทางด้านริวยะกลับยิ้มน้อย ๆ และรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแทน ที่เห็นเพื่อนสนิทโดนเลขาของตนต่อว่ากลาย ๆ ให้เช่นนี้

   "แค่แหย่นิดแหย่หน่อยก็ไม่ได้...อ้อ! ถึงที่นี่จะเน้นเรื่องระเบียบวินัย แต่นักเรียนทุกคนก็มีสิทธิในการแสดงความคิดอย่างอิสระ ถ้าตราบใดที่จะไม่ทำให้คนรอบข้างและตัวเองเดือดร้อนล่ะนะ"

   หลังจากบ่นอุบอิบกับตัวเองแล้ว ผู้อำนวยการหนุ่มจึงหันไปบอกกับยูคิพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งก็ทำให้ยูคิเผลอยิ้มตอบออกไป และนั่นก็ทำให้คนที่หันมาเห็นเข้าชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตงิด ๆ

   "เอ้า! ไหนล่ะเอกสาร เอามาสิ เดี๋ยวจะได้จัดการให้เรียบร้อย และจะได้พานักเรียนใหม่ของฉันชมโรงเรียนต่อ"

   อิชิโจแสร้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิท ไม่ใช่เพราะเขากลัวริวยะโกรธตน  แต่เขาเกรงว่าเด็กน้อยข้าง ๆ จะกลายเป็นที่รองรับอารมณ์โมโหของเพื่อนสนิทโดยไม่จำเป็น  ถึงแม้เขาจะนึกแปลกใจอยู่มากก็ตาม เมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทให้ความสำคัญกับเด็กหนุ่ม ที่เจ้าตัวบอกเขาว่าเพิ่งรับมาอุปการะเมื่อไม่กี่วันนี้

   'สงสัยไอ้ที่พูดเล่น ๆ กับฮิโรโตะก่อนหน้านั้น จะกลายเป็นเรื่องจริงเข้าให้แล้วก็ได้มั้ง'

   ทางด้านริวยะนั้นพยายามควบคุมอารมณ์หึงหวงของตนอย่างเต็มที่ แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดไม่ถึงเลยว่า ตนเองจะหลุดแสดงอาการออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้ โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นเพื่อนสนิทของเขา หาไม่เช่นนั้นถ้าเป็นศัตรู เขาคงจะถูกจับจุดอ่อนได้โดยง่ายเป็นแน่

    "อืม...ผลการเรียนดี...เข้าร่วมกิจกรรมชมรม คอมพิวเตอร์ แล้วก็ เคนโด้หรือ...ทำไมแตกต่างกันจังล่ะนั่น"

   อิชิโจเงยหน้าถามเด็กหนุ่มหลังจากอ่านประวัติการศึกษาและชมรมที่อีกฝ่ายอยู่สมัยเรียนที่เก่าผ่านตาคร่าว ๆ

   "เอ่อ...คือตอน ม.ต้น ผมเล่นเคนโด้อยู่แล้วน่ะครับ พอ ม.ปลาย มีชมรมคอมพิวเตอร์ให้เลือก ผมก็เลยเปลี่ยนเข้าชมรมใหม่แทน ...แล้วพอในชมรมเริ่มจะมีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้ต้องจ่าย ผมก็เลยเปลี่ยนกลับมาเล่นเคนโด้อีกครั้งน่ะครับ"

   ยูคิบอกไปตามตรง ซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงอ่านข้อมูลของเด็กหนุ่มที่โรงเรียนเก่าส่งมาอีกรอบ ก่อนจะวางเอกสารนั้นลง พร้อมกับยิ้มกว้างแล้วเอ่ยถาม

   "ว่าแต่ตอนนี้เธอยังยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มแฮกเกอร์กลุ่มเดิมที่เธอเคยทำงานร่วมด้วยอยู่หรือเปล่าน่ะ ทานากะ ยูคิ"

   ยูคิสะดุ้งโหยง ขณะที่ริวยะขมวดคิ้วยุ่งแล้วจ้องหน้าคนถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

   "อย่าทำหน้าบูดบึ้งแบบนั้นสิริวยะ ก็เขาเป็นเด็กพิเศษที่นายเป็นคนฝากฝังให้ทั้งที่ ฉันก็ต้องเช็คประวัติให้ละเอียดกว่าคนอื่นน่ะสิ ใช่ว่าฉันจะไม่ไว้วางใจคนของนายซะเมื่อไหร่"

   ทางด้านยูคิพอได้ยินก็หน้าซีดเผือด เขาเหลือบมองริวยะที่มีสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะหันไปโค้งศีรษะให้กับอิชิโจ พร้อมโพล่งขอร้องขึ้นเสียงดัง

   "ขอโทษครับ! เรื่องพวกนี้ผมทำเองคนเดียว คุณริวยะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรสักนิดเลยนะครับ! ถ้าคุณจะแจ้งตำรวจจับผม ผมก็พร้อมยอมรับความผิด แต่อย่าลากคุณริวยะมาพัวพันด้วยเลยนะครับ!"

   ริวยะนิ่งอึ้งในสิ่งที่ได้ยิน พอ ๆ กับอิชิโจ และฮิโรโตะที่อยู่ด้วยในห้องนั้น สักพักผู้อำนวยการหนุ่มและคนเป็นเลขาก็แย้มยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตามมา

   "ใครจะแจ้งตำรวจจับเธอได้ลงคอกันเล่าเด็กน้อย ...อีกอย่างงานนั้นที่เธอรับทำนั่น มันก็งานที่ได้รับจากตำรวจโดยตรงอีกต่างหาก ขืนจับเธอส่งตำรวจก็ได้เรื่องแตกวุ่นวายกันใหญ่ ที่สำคัญขืนฉันทำแบบนั้นจริง ๆ คนข้างตัวเธอคงได้ฆ่าฉันทิ้ง ก่อนที่ฉันจะโทรบอกตำรวจแน่ล่ะนะ"

   อิชิโจบอกกึ่งขำเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนสนิทที่ยังคงจ้องมองร่างเล็กอย่างนิ่งอึ้งไม่วางตาด้วยความลืมตัวเช่นนั้น

   "คุณริวยะคงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ...คุณริวยะ เอ่อ..."

   ยูคิพึมพำเมื่อได้ยินสิ่งที่อิชิโจบอกท้ายประโยค ทว่าพอเขาหันไปสบตาอีกฝ่าย เขาก็ต้องชะงักแล้วหน้าร้อนวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะริวยะนั้นกำลังจับจ้องมองเขานิ่งไม่ยอมย้ายสายตาไปที่ใด ทำให้อิชิโจที่มองอยู่ต้องแสร้งทำเป็นกระแอมขัดจังหวะ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเสียเวลาไปกับโลกส่วนตัวไปมากกว่านี้

   "อะแฮ่ม!! เอาเป็นว่าฉันอนุมัติเรื่องที่เธอจะย้ายเข้ามาเรียนที่นี่เลยแล้วกัน ส่วนเรื่องเครื่องแบบและตำราเรียน ...อืม...เย็นวันอาทิตย์จะให้คนไปส่งให้ที่บ้านแล้วกันนะ วันจันทร์ก็มาเรียนได้เลย  อ้อ! ช่วยส่งข้อมูลเขาไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาห้อง Z ด้วยนะ ฮิโรโตะ"

   ทางด้านริวยะตั้งแต่ได้ยินเพื่อนสนิทกระแอม เขาก็ได้สติแล้วหันกลับไปฟังอีกฝ่ายพูด ส่วนยูคินั้นก้มหน้าก้มตาหลบเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองยังหน้าร้อนวูบวาบไม่หายอยู่เลย

   "ห้อง Z ...ชั้นเรียนพิเศษอย่างนั้นหรือ...หวังว่าคงไม่มีพวกเด็กใช้บารมีพ่อแม่ทำตัวงี่เง่ารวมอยู่ด้วยในนั้นหรอกนะ"

    ริวยะพึมพำเมื่อทราบว่าเพื่อนจะจัดให้คนในปกครองไปอยู่ในห้องเรียนแบบไหน

   "ไม่มีหรอกน่า หรือถึงจะมีก็ไม่มีปัญหา เพราะห้องนั้นหลานฉันก็เรียนอยู่ด้วย เดี๋ยวฝากให้ดูแลให้ก็ได้น่า"

   อิชิโจบอกตามมาอย่างอารมณ์ดี และพอได้ยินดังนั้นริวยะก็มีสีหน้าดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดแม้จะยังคงสงสัยบางอย่างอยู่บ้าง

   "อารากิ เรียนอยู่ห้อง Z ด้วยรึ? ...ตอนปีหนึ่ง ฉันจำได้ว่าเขาเลือกอยู่ห้องK ที่เน้นเรื่องกิจกรรมกีฬาโดยเฉพาะไม่ใช่หรอกหรือ"

   อิชิโจอมยิ้มนิด ๆ แล้วตอบออกไปอย่างนึกขำในตัวของหลานชายตน

   "ก็ใช่...แต่พอดีเขาได้เป้าหมายชีวิตใหม่ ก็เลยบังคับขอฉันให้ย้ายมาอยู่ที่ห้อง Z นี่แทนน่ะ"

   ริวยะขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ พร้อมกับพึมพำออกมา

    "ถ้ามีอารากิอยู่ด้วยแบบนี้ ก็พอจะวางใจได้หน่อย"

    อิชิโจที่ได้ยินคำพูดนั้นหัวเราะในลำคอแล้วเปรยขัดขึ้นอย่างนึกขำ

   "รับรองพอบอกว่านายเป็นคนฝากฝังให้ดูแล เด็กนั่นร่วมมือเต็มที่แน่ ก็นายเป็นไอดอลของเขานี่"

   "ไอดอล?"

   เสียงยูคิแทรกขัดขึ้นมาอย่างแปลกใจ

   "หืม...อืม...ใช่แล้วล่ะ หลานชายของฉันคลั่งไคล้หมอนี่มากเลยล่ะ ...เอ อย่างนี้จะกลายเป็นว่าจะอิจฉาเธอ แล้วเขม่นเข้าให้แทนหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ"

    อิชิโจแสร้งกระเซ้าแหย่เด็กหนุ่ม แต่คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ร่างเล็กก็กระแอมเบา ๆ แล้วเปรยแย้งอย่างเอือมระอา

   "อารากิไม่ใช่เด็กนิสัยเสียอย่างนายสักหน่อย เขาแยกแยะได้อยู่แล้วล่ะ"

   ยูคิชะงักเมื่อเห็นริวยะแก้ต่างให้หลานชายของผู้อำนวยการ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความอิจฉาที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และพอรู้สึกตัวเขาก็ต้องรีบก้มหน้าหลบตาทุกคนในห้อง มือที่กำหลวม ๆ มีเหงื่อออก ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ในขณะที่เจ้าตัวพยายามบอกกับตัวเองในใจว่าไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษกับคนข้างกาย ไปมากกว่าสำนึกบุญคุณที่ได้อุปการะตนเพียงเท่านั้น

     

   ทางด้านริวยะหลังจากพูดคุยกับอิชิโจได้สักพัก เขาก็หันกลับมามองเด็กหนุ่มข้างกาย แล้วก็นึกแปลกใจที่เห็นยูคิก้มหน้าก้มตาหลบหน้าตน แถมยังมีท่าทางแปลก ๆ ให้ผิดสังเกตอีกด้วย

   "ยูคิ...เป็นอะไรไปหรือเปล่าน่ะ"

   คนถูกเรียกชื่อสะดุ้งโหยง แล้วรีบเงยหน้าตอบรับอีกฝ่ายทันที

   "มะ...ไม่มีอะไรครับ!"

   บอกจบเด็กหนุ่มก็เผลอหลบตาอีกครั้ง แถมใบหน้าซึม ๆ ที่ได้เห็นก็ทำให้ริวยะเม้มปาก แล้วจึงหันไปบอกกับเพื่อนสนิทที่มองอยู่

   "ถ้าเรียบร้อยแล้วฉันขอพาเขากลับเลยแล้วกัน"

   "อ้าว! แล้วจะไม่เดินชมโรงเรียนกันก่อนหรือไง!"

   อิชิโจเอ่ยทักเมื่อเห็นเพื่อนตัดสินใจปุบปับเช่นนั้น

   "ไม่ล่ะ ไว้วันจริงก็ได้เห็นอยู่ดี...แค่นี้นะ ขอบใจที่ช่วยจัดการให้"

   ริวยะตัดบท ทีแรกเขาตั้งใจจะโอบไหล่ยูคิให้เดินไปด้วยกัน แต่พอเห็นอาการสะดุ้งแล้วหลบตาก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสบ่าอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ชะงักมือ ก่อนจะลดมือลงพร้อมกับมีสีหน้าและแววตาที่เพื่อนสนิทอย่างอิชิโจถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว

   "ฉันกลับล่ะ..."

   ริวยะบอกกับเพื่อนของตน แล้วหันไปพยักหน้าตอบรับกับฮิโรโตะที่โค้งให้เขา จากนั้นจึงเปรยบอกเด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ โดยไม่หันมามองหน้า

   "กลับกันได้แล้วยูคิ"

   บอกจบริวยะก็ก้าวเดินนำไปก่อน ทำเอายูคิสะดุ้ง เด็กหนุ่มรีบหันไปโค้งอำลา อิชิโจ กับ ฮิโรโตะ แล้วเร่งฝีเท้าจ้ำตามคนที่เดินนำไปแล้วอย่างเร่งรีบ


    หลังจากลับร่างของทั้งสองไปแล้ว อิชิโจก็เปรยขึ้นมาพร้อมกับสั่นศีรษะอย่างเอือมระอา เพราะมองดูเพื่อนสนิทเพียงไม่นานก็รู้แล้วว่า คิดยังไงกับคนที่เจ้าตัวพามาด้วย และถ้าจะมีคนมองไม่ออก ก็คงจะมีแค่เด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้นล่ะนะ

   "โธ่เอ๋ย เพื่อนฉัน ไอ้เราก็ลุ้นว่าตัวจริงของหมอนี่จะเป็นแบบไหน...ที่แท้ก็ดันมากลายเป็นพวกชอบเด็กไปเสียอย่างนั้น...หึ ๆ นี่ถ้ามานาเบะรู้ คงรีบแจ้นไปหาถึงบ้านหมอนั่นเป็นแน่"

   "อย่าหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวเลยครับ ถ้าไปทำให้คนนั้นขุ่นเคืองเมื่อไหร่ คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันสร้างความยุ่งยากให้ขนาดไหน"

   เลขาหนุ่มเอ่ยเตือนผู้เป็นเจ้านาย ทว่าอีกฝ่ายนั้นยักไหล่แล้วหันมายิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากให้กับคนที่มองตนอยู่

"มุราคามิน่ากลัวก็จริง แต่ยามิคุระเองก็ใช่ว่าจะยอมให้ใครแตะต้องกันได้ง่าย ๆ นักหรอกนะ"

   คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปรยตอบ

   "เรื่องนั้นผมรู้ ...และผมก็มั่นใจว่าคุณเข้าใจความหมายในสิ่งที่ผมเตือนไปเป็นอย่างดีเสียด้วย"

   อิชิโจหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมา เมื่อเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของเลขาหนุ่ม

   "ฮะ ๆ ขอโทษที ...ฉันรู้หรอกน่าว่าริวยะเวลาโกรธมันน่ารำคาญ และคนที่จะคอยเคลียร์เรื่องเวลาพวกฉันทะเลาะกันก็คือนาย ...งั้นฉันยังไม่บอกมานาเบะมันก็ได้  เพราะถ้าลองริวยะให้ความสำคัญกับเด็กนั่นถึงขนาดนี้ ไม่ช้าหรือเร็ว มานาเบะมันก็คงรู้ได้เองอยู่ดีนั่นล่ะ!"

   บอกจบอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นยืนแล้วบิดกายคล้ายเกียจคร้าน ทว่าก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตรงออกไปนอกห้อง เลขาหนุ่มที่ยืนอยู่ก็จับหมับที่ข้อมือของผู้เป็นเจ้านายเสียก่อน

   "จะไปไหนกันครับ"

   "ง่า...ก็ไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายน่ะ"

   คนฟังยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับโค้งศีรษะอย่างรับรู้ ทว่ามือข้างนั้นก็ยังคงไม่ยอมปล่อยอยู่ดี

   "ถ้าคุณจะไปเดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน...ถ้าหายเมื่อยแล้ว เราจะได้กลับมาเคลียร์งานที่คุณต้องเซ็นรับรองกันต่อ"

      อิชิโจยิ้มเจื่อนส่งให้ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นจงใจตามไปประกบไม่ให้เขาหนีงานนั่นเอง

   "ฮึ...ก็ได้ แต่ถ้าวันนี้ฉันขยันทำงานเป็นอย่างดี ...คืนนี้ นายก็ต้องจัดหนักให้ฉันพอใจด้วยนะ"

   ท้ายประโยคเจ้าตัวชะโงกหน้าไปกระซิบพร้อมกับถอยออกมายิ้มหวานยั่ว ทำให้อีกคนชะงัก แล้วถอนหายใจตามมาเฮือกใหญ่

   "ถ้าตั้งใจทำงานจริง ๆ อย่างที่พูด...ก็ไม่มีปัญหาครับ"

   คนฟังหัวเราะเบา ๆ อย่างถูกใจ แล้วจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างประจบ เมื่อเป็นดังนั้นฮิโรโตะจึงได้ยอมปล่อยมือให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ ซึ่งอิชิโจก็เดินฮัมเพลงกลับไปทำงานอย่างสบายอารมณ์แทน ทำเอาคนที่มองอยู่ถึงกับต้องถอนหายใจอีกครั้งอย่างนึกระอา เพราะพอเขาลืมตัวจัดหนักให้ตามคำขอทีไร คนที่ออกคำสั่งก็มักจะมาโวยวายใส่เขาประจำ แล้วก็ยังทำตัวงอแงสั่งห้ามไม่ให้เขามีอะไรกับเจ้าตัวไปเป็นอาทิตย์ แต่พอเขายอมอดทนทำตามที่สั่งก็ดันคอยมายั่วยวนให้เขาตบะแตกอยู่เสมอ

   มีเจ้านายเป็นคนรักแบบนี้มันเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งหัวใจจริง ๆ เลยล่ะนะ!

 

 
... TBC ...

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
ยูคิเข้าโรงเรียนใหม่แล้วว
อิตาริวยะขี้หึงจริงๆเล้ยย

ออฟไลน์ KhunToOk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-4
อยากอ่านต่อแว้ววว  สนุกมากเลยค่ะ  อิอิ  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ริวยะ ขึ้หึงมากอ่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้บอกความในใจตัวเองให้ ยูคิจัง รับรู้เลย

หึงออกนอกหน้ามากกกกกกกก

หมั่นไส้จริงๆ


ออฟไลน์ wews

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-0
ชอบฉบับรีเมกมากๆ ให้ความรู้สึกค่อยเป็นค่อยไป
เห็นบุคลิกของแต่ละคนมากขึ้น
 :L1: :L1:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สนุกมากๆ เลย
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

บทที่ 10



   ยูคิเดินตามร่างสูงที่ก้าวเท้าฉับ ๆ เดินนำเขาไป เด็กหนุ่มลนลานจนเผลอสะดุดเท้าตัวเองแล้วล้มไปกับพื้น และนั่นจึงทำให้คนที่เดินนำไปรอที่ลิฟต์ชะงักฝีเท้าพลางหันกลับมามอง

   "อูย...เจ็บชะมัด"

   ยูคิพึมพำ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อริวยะเดินกลับมาหาเขา แล้วยื่นมือส่งให้

   "แค่ช่วยดึง...คงไม่ทำให้เธอลำบากใจมากนักหรอก ใช่ไหม"

   ริวยะเปรยเสียงเข้มเมื่อเห็นอาการชะงักงันของอีกฝ่ายยามที่เขายื่นมือส่งให้ และเพราะน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเย็นชาผิดจากปกติ ก็ทำให้ยูคิเริ่มนึกได้ว่าชายหนุ่มน่าจะดูผิดปกติไปจากเดิม และเมื่อหวนทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นในห้อง ก็ยิ่งทำให้เขาพอจะเข้าใจได้ว่า เหตุใดริวยะจึงเป็นฝ่ายเดินลิ่วนำไปโดยไม่คิดจะรอเขาเลย 

   "เอ่อ...จริง ๆ แล้วผมไม่ได้นึกลำบากใจอะไรนั่นเลยนะครับ ...ผม..เอ่อ...เพียงแค่รู้สึกแปลก ๆ เวลาคุณอยู่ใกล้ผม...ก็เท่านั้นเองครับ"

   ยูคิพยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายฟังแล้วรู้สึกไม่ดี ทว่าพอได้ยินดังนั้นริวยะก็ขมวดคิ้วยุ่งพร้อมกับย้อนถามทันที

   "รู้สึกแปลก ๆ รึ ...มันยังไงกัน"

   ยูคิอ้ำอึ้ง แล้วจึงตัดสินใจบอกออกไปตามตรงอย่างที่ตนคิด

   "ไม่รู้เหมือนกันครับ...แต่พอคุณอยู่ใกล้ ๆ ...ผมก็เกิดวางตัวไม่ค่อยถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น... อ๊ะ! แต่ไม่ใช่ในแง่ไม่ดีนะครับ...แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม..."   

    ริวยะพอรับฟังเขาก็เงียบกริบไปชั่วครู่ ก่อนที่สักพักใบหน้าเย็นชาจะเริ่มผ่อนคลายลงและแปรเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มน้อย ๆ

   "ถ้าแบบนั้นก็ไม่เป็นไร...แค่รู้ว่าเธอไม่รู้สึกรังเกียจหรือกลัวกัน ฉันก็พอใจแล้ว"

   พอริวยะบอกแบบนั้น คนที่กำลังหน้าแดงด้วยความสับสนก็รีบแย้งกลับไปอย่างตกใจ

   "ผมไม่เคยนึกรังเกียจคุณริวยะเลยสักครั้งนะครับ!"

   พูดจบเจ้าตัวก็ต้องชะงัก เมื่อได้เห็นริวยะจ้องมองเขาตอบอย่างตกใจนิด ๆ แต่สักพักชายหนุ่มก็มีรอยยิ้มปรากฏให้เขาได้ชวนหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง จนต้องรีบก้มหน้าหลบตามเคย

   "แล้วกลัวล่ะ"

   คำถามถัดมาทำให้เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อย แล้วจึงอุบอิบตอบไปตามตรง

   "ก็ยังกลัวบ้างนิด ๆ น่ะครับ..."

   เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจสะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ก่อนจะรู้สึกโล่งอกเมื่อได้เห็นใบหน้าระบายยิ้มของอีกฝ่าย

   "งั้นฉันจะพยายามทำให้เธอกลัวน้อยลงนับจากนี้แล้วกัน"

   ริวยะเอ่ยตามมา ซึ่งก็ทำให้คนฟังพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่ใบหน้าแดงระเรื่อ เห็นดังนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ทว่าระหว่างที่ยูคิเดินตามอีกฝ่ายที่จูงมือตนไป จู่ ๆ ริวยะก็หยุดเดินแล้วหันมามองคนที่จ้องตอบตนอย่างสงสัยนั่น

   "ฉันมีเรื่องอยากจะถาม... ก่อนหน้านั้นที่อยู่ในห้อง ฉันสังเกตเห็นว่าเธอดูท่าทางซึม ๆ ผิดปกติไป...เป็นอะไรไปหรือเปล่า"

   ท้ายประโยคนั้นน้ำเสียงที่ถามฟังดูอ่อนโยนผิดจากทุกครั้ง จึงทำให้ยูคิไม่กล้าโกหก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ที่จะทำให้ริวยะไม่คิดว่าเขาดูแปลกนัก

   "เอ่อ...คือ..."

   "ทำไมล่ะ...หรือว่าจะเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้"

   ริวยะถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น และพอเห็นยูคินิ่งเงียบ ชายหนุ่มก็เกือบที่จะไม่อยากรอฟังคำตอบนั้นด้วยความหงุดหงิดเข้าให้แล้ว ทว่าคนที่อ้ำอึ้งมานานสุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด

   "ผม...เอ่อ...รู้สึกอิจฉาคนชื่ออารากินิดหน่อย...ที่เห็นคุณดูสนิทกับเขาขนาดนั้น... อ๊ะ! ขอโทษนะครับ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแบบนี้แท้ ๆ ขอโทษจริง ๆ นะครับ!"

   ยูคิรีบโค้งศีรษะปลก ๆ เมื่อเห็นสีหน้าตกใจนิด ๆ ของอีกฝ่าย  ทว่าริวยะที่เป็นเช่นนั้น สักพักเจ้าตัวก็หลุดยิ้มตามมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบศีรษะของเด็กหนุ่มแผ่วเบา

   "...เธอไม่ต้องกังวลหรือขอโทษอะไรเรื่องนี้ฉันหรอกนะ...ตรงกันข้าม ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอมากกว่า"

   ยูคิชะงักพลางจ้องมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง ซึ่งริวยะก็อมยิ้มแล้วตัดบทไปเสียก่อน

   "อย่าสนใจเลย ไม่มีอะไรมากหรอก ... และสำหรับเรื่องอารากิ เด็กนั่นสนิทกับฉันก็จริง แต่ไม่ได้คลั่งไคล้อะไรฉัน เหมือนอย่างที่อิชิโจบอกหรอก หมอนั่นชอบพูดเวอร์ ๆ ไปแบบนั้นล่ะ...ฉันกับอารากิ ก็เหมือนกับคนรู้จักที่สนิทสนมกัน ก็เท่านั้นเอง"

   ยูคิรับฟังแล้วก็ต้องหน้าร้อนวูบวาบ รู้สึกอับอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ที่ดันเผลอไปคิดอิจฉาความสัมพันธ์ของริวยะกับอารากิ และพอมาหวนคิดดู เรื่องที่เขาเล่าความรู้สึกของตนเองออกไปให้ริวยะฟัง มันก็ช่างดูพิลึกและน่าอาย โชคดีที่ชายหนุ่มไม่ได้นึกขุ่นเคืองหรือมองเขาแปลก ๆ ให้เห็น

   ทางด้านริวยะ ชายหนุ่มนั้นรู้สึกอารมณ์ดีจนยากจะเก็บอาการเอาไว้ได้ ปฏิกิริยาซื่อตรงที่ยูคิมีต่อเขา มันทำให้เขาอดจะคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า เด็กหนุ่มเองก็เริ่มที่จะมีใจให้เขาบ้างแล้ว เพียงแต่ด้วยความด้อยประสบการณ์เรื่องรัก จึงอาจจะไม่รู้ตัวเองว่าความรู้สึกนั่นเป็นแบบไหนก็เท่านั้น  และเขาเองก็จะถือโอกาสนี้ พยายามสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้ยูคิมีต่อเขา จนมันพัฒนาไปสู่ความรักในที่สุดให้จงได้



   สีหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอายนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องลอบมองเป็นระยะ ทว่าพอลงลิฟต์และเดินออกมายังด้านนอก เขาก็ขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อเห็นอาจารย์บางคนที่เดินสวนมาหยุดยืนโค้งให้เขาแต่กับเหลือบสายตาไปมองเด็กหนุ่มที่เขาพามาด้วยความสนใจเสียอย่างนั้น

   "ยูคิ...มานี่"

   คนที่ยอมปล่อยมือให้เด็กหนุ่มเดินตามหลังออกจากลิฟต์ เริ่มแสดงความเป็นเจ้าของอีกครั้งโดยการโอบไหล่อีกฝ่ายมาแนบชิดแล้วเดินไปด้วยกัน ทำเอายูคิที่ไม่กล้าขัดขืนต้องก้มหน้างุด ๆ เดินไปตลอดทางเลยทีเดียว

   "อยากเดินชมโรงเรียนก่อนกลับไหม"

   ริวยะที่เริ่มอารมณ์ดีอีกครั้ง เอ่ยถามคนข้างกาย ซึ่งยูคิเองแม้จะนึกสนใจอยู่บ้าง แต่ถ้าต้องเดินในสภาพนี้ ก็ไม่แคล้วจะกลายเป็นจุดเด่นกับพวกอาจารย์และนักเรียนที่ยังอยู่ชมรมเป็นแน่

   "ไม่ดีกว่าครับ..."

   ริวยะเลิกคิ้วน้อย ๆ แต่พอหวนคิดว่าถ้าตนพาเด็กหนุ่มเดินชมโรงเรียน ยูคิก็อาจจะตกเป็นเป้าสายตาให้คนที่สนใจมองอีกก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นริวยะจึงพยักหน้ารับรู้โดยง่าย แล้วโทรตามให้คนสนิทขับรถมารับพวกตนที่หน้าอาคารรูปโดมทันที

   

   ทาคุจอดรถที่หน้าอาคารแล้วลงมาโค้งให้ พร้อมกับเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ทั้งคู่ขึ้นรถ ชายหนุ่มลอบมองผู้เป็นนายของตน ก่อนจะเหลือบมองยูคิที่ยังคงมีสีหน้าแดงระเรื่อให้ได้สังเกตเห็น และจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ว่าจะได้ยินมาจากคนในบ้านหรือสังเกตด้วยตนเองก็ตาม ก็ทำให้ทาคุรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อได้เห็นคนอย่างริวยะ สามารถอ่อนโยนและมีเหตุผลกับผู้อื่นขึ้นมาได้ แม้ว่าความมีเหตุผลนั่นจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความเอาแต่ใจของเจ้าตัวเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม

   "ท่านริวยะจะกลับที่พักเลยไหมครับ"

   ทาคุถามขณะที่กำลังแล่นรถออกไปจากโรงเรียนมัธยมยามิคุระ ทางด้านริวยะนั้นนิ่งคิดชั่วครู่ แล้วจึงหันมาถามเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตน

   "เธอมีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษไหม ยูคิ"

   คำถามนั้นทำให้แม้แต่ทาคุยังแอบสะดุ้ง เพราะหากไม่ใช่เรื่องงานแล้ว แทบหาได้น้อยครั้งที่ริวยะจะเป็นฝ่ายถามความคิดเห็นของคนอื่นก่อนเช่นนี้

    "ที่ที่อยากไปหรือครับ...เอ่อ..."

   ยูคิเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเกรงใจ และก่อนที่จะเอ่ยปากปฏิเสธ ริวยะก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

   "ไม่ต้องเกรงใจหรอก อีกอย่างนาน ๆ ฉันถึงจะอารมณ์ดีแบบนี้สักครั้งนะ"

   คำพูดของชายหนุ่มทำให้ยูคิเผลอขมวดคิ้วนิด ๆ เพราะแม้อีกฝ่ายจะให้เขาเป็นคนเสนอความคิด แต่คำพูดนั่นก็ไม่แคล้วบังคับกลาย ๆ อยู่ดี

   "ถ้างั้น..."

   ยูคินิ่งคิดถึงสถานที่หนึ่ง แล้วจึงตอบออกไปในที่สุด

   "ผมอยากจะไปดูบ้านเก่าน่ะครับ...ไม่ใช่หลังที่แมนชั่นนั่นหรอกนะครับ...แต่เป็นหลังเก่าที่ผมเคยอยู่กับพ่อและแม่เมื่อตอนเด็ก ๆ น่ะครับ"

   คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังชะงัก พลางหวนคิดถึงสถานที่ซึ่งตนเคยได้พบกับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก  ซึ่งแน่นอนว่ายูคิคงจำไม่ได้หรอกว่า ตนเองเคยได้พบกับเขามาก่อนหน้านั้นเมื่อหลายปีมาแล้ว

   "เอ่อ...คุณริวยะครับ ถ้ามันไกลไป จะไม่ไปก็ได้นะครับ"

   ยูคิบอกอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ หลังจากบอกที่ตั้งของบ้านเก่าให้ชายหนุ่มฟัง แต่ดูเหมือนริวยะจะเหม่อ ๆ จนเหมือนจะไม่ได้ยินที่เขาบอกด้วยซ้ำ

   "หือ...ไม่เป็นไร แถวนั้นไม่ไกลนักหรอก ...ทาคุ ยังจำได้ใช่ไหมแถวนั้นน่ะ"

   ริวยะซึ่งรู้สึกตัวบอกกับเด็กหนุ่ม แล้วจึงหันไปถามคนสนิท ซึ่งอีกฝ่ายก็รับคำสั้น ๆ พลางพยักหน้ารับรู้ แม้ในใจจะเผลอคิดว่า มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง ๆ ที่เด็กน้อยน่ารักคนนั้นเมื่อหลายปีก่อน จะเป็นคนเดียวกับยูคินั่นเอง... มิน่าอากิระถึงชอบทำเป็นแกล้งพูดว่าเรื่องของริวยะกับยูคิสงสัยจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิต เห็นทีกลับไปที่พักเมื่อไหร่ เขาคงต้องเล่นงานเพื่อนสนิทคนนี้เสียหน่อย โทษฐานที่อีกฝ่ายนั้นรู้ทั้งรู้ดีอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมบอกเขาเรื่องนี้เลยสักนิด

   

   ภาพบ้านไม้สองชั้นเบื้องหน้า ทำให้ยูคิที่ก้าวลงมาจากรถ เหม่อมองไปด้วยสายตาซึมเศร้า จนริวยะที่ลงมายืนข้าง ๆ ต้องจับบ่าอีกฝ่ายบีบเอาไว้เบา ๆ และนั่นจึงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัว และหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนที่ตั้งใจปลอบเขา

    "ขอบคุณนะครับ...ผมไม่เป็นไรหรอกครับ"

   บอกจบยูคิก็หันกลับไปมองบ้านหลังเดิมที่เขาเคยอยู่

   "ผมเคยตั้งใจไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งผมเรียนจบได้งานทำเมื่อไหร่ ...ผมจะมาขอซื้อบ้านหลังนี้กลับคืน และให้พ่อออกจากงานนักข่าวมาอยู่กับบ้าน...ส่วนผมก็จะทำงานเลี้ยงดูพ่อบ้าง ให้พ่อได้อยู่สบาย ๆ ในบั้นปลายชีวิตของท่าน"

   ยูคิพึมพำเล่าความฝันของตนให้อีกฝ่ายฟัง จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยืนนิ่งสักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา แล้วจึงหันมาทางริวยะ พร้อมกับโค้งศีรษะให้ชายหนุ่ม

   "ขอบคุณนะครับ ที่พาผมมาที่นี่ ...ผมดีใจที่ได้มีโอกาสเห็นมันอีก"

   ริวยะนิ่งเงียบไปสักครู่ แล้วจึงย้อนถามกลับไปเสียงเรียบ

   "แล้วหลังจากนี้ต่อไปล่ะ ...เธอยังอยากได้บ้านเดิมของเธอคืนมาอีกไหม"

   ยูคิชะงัก แล้วจึงหวนกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีกครั้ง และเมื่อเห็นเด็กชายตัวเล็กอายุราวสามขวบที่อยู่ในบ้าน เกาะบานกระจกใสจากด้านในบนชั้นสอง มองดูพวกเขาที่อยู่ด้านนอกอย่างประหลาดใจ เด็กหนุ่มก็ต้องอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปตอบคำถามนั้นของริวยะ

   "ไม่แล้วล่ะครับ...ผมก็แค่ต้องการสถานที่ซึ่งเอาไว้สร้างความทรงจำดี ๆ กับพ่อในอนาคตเท่านั้น และตอนนี้พ่อเองก็ไม่อยู่แล้วด้วย... อีกอย่างผมคิดว่ากว่าผมจะเรียนจบ และทำงานเก็บเงินได้จำนวนพอที่จะซื้อบ้านมาได้ ...บางทีครอบครัวที่อาศัยบ้านนี้อยู่มาหลายปีเช่นกัน ก็คงจะเกิดความผูกพันจนไม่อยากย้ายออกไปแล้วก็ได้"

   ริวยะพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงคิดล้มเลิกที่จะซื้อบ้านหลังนี้เก็บไว้ให้อีกฝ่าย  เพราะจะว่าไปแล้ว สถานที่ซึ่งเขาต้องการให้ยูคิอยู่ในอนาคต ก็คือที่ข้างกายเขาเพียงเท่านั้นนั่นเอง

   "ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านของเรากันเถอะ"

   คำพูดนั้นแม้ทำให้ยูคิสะดุดหูอยู่ไม่น้อย ทว่ารอยยิ้มอ่อนโยนและอ้อมแขนที่โอบบ่าเขาอย่างอบอุ่น ก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่คิดที่จะโต้แย้งอันใดออกไป เขาได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มน้อย ๆ ตอบรับ ก่อนจะยอมเดินตามอีกฝ่ายขึ้นรถไปอย่างว่าง่าย สร้างความโล่งอกและสบายใจให้กับทาคุที่มองอยู่ห่าง ๆ 

    ในความคิดของทาคุนั้น ถ้าหากยูคิมีใจกับริวยะบ้างเช่นกัน เรื่องปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เขาเคยนึกกังวล ก็คงจะลดน้อยถอยลงไปมากกว่าเดิม และทั้งคู่ก็คงไม่ต้องพบกับความเจ็บปวด อย่างที่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นนั่นเอง   



   ระหว่างนั่งรถกลับบ้านไปเพลิน ๆ อยู่พักใหญ่ ยูคิก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นทาคุเลี้ยวไปอีกทาง แทนที่จะเป็นซอยลัดในเมืองที่แออัด แต่พอเขาเหลือบไปมองริวยะก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเคร่งเครียดจนผิดสังเกตเลยทีเดียว

   "เอ่อ...มีอะไรหรือครับ คุณริวยะ"

   ริวยะกับทาคุชะงักเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ทางด้านริวยะสบถเบา ๆ กับตัวเอง เพราะดันเผลอเครียดจนแม้แต่ยูคิยังรู้สึกตัว ชายหนุ่มฝืนยิ้มนิด ๆ แล้วบอกกับคนข้างกาย

   "เรามีปัญหากันนิดหน่อย แต่เธอไม่ต้องห่วงไปหรอก...รับรองว่าฉันจะปกป้องเธอให้ปลอดภัยแน่...ฉันสัญญา"

    ยูคินิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาก็พอจะเข้าใจด้วยตัวเองว่า อีกฝ่ายน่าจะกำลังประสบกับเรื่องยุ่งยากอยู่ เพราะตอนเขาเจอชายหนุ่มครั้งแรก รถของริวยะก็โดนไล่ตามล่า ...ทว่าแม้จะรู้สึกตกใจและกลัว แต่เพราะถ้อยคำสัญญาอันอ่อนโยนนั่น ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและสบายใจ จนหลุดเผลอยิ้มแล้วพยักหน้าตอบกลับไป

   "ครับ...ผมเชื่อใจคุณ"

   ริวยะชะงักก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตอบ  ส่วนทาคุถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเขาไม่คิดว่า จะมีศัตรูของริวยะตามไล่ล่าประกบเช่นนี้ จะว่าไปเขาก็ประมาทเองที่ไม่ได้ติดต่อทีมเสริมให้ตามมาด้วยกัน เพราะเข้าใจว่าริวยะคงอยากจะใช้เวลาส่วนตัวกับยูคิโดยไม่มีคนตามติดมาเป็นขบวนเช่นนั้นมากกว่า

   "คุณริวยะกับคุณยูคิรัดเข็มขัดหน่อยนะครับ...เดี๋ยวผมจะสลัดพวกนั้นให้หลุดเอง"

   ทาคุบอกกับคนทั้งสองด้านหลังเขา ซึ่งริวยะก็พยักหน้ารับรู้ ส่วนยูคินั้นมองหาเข็มขัดนิรภัยด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กจนคนมองอดยิ้มไม่ได้ จากนั้นริวยะจึงเป็นฝ่ายลงมือคาดเข็มขัดให้เด็กหนุ่ม ซึ่งยูคิก็พึมพำขอบคุณด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ เพราะรู้สึกเขินที่ได้ใกล้ชิดกับริวยะเช่นนี้

   "เท่าที่เห็นมีรถตามมาแค่คันเดียว ...คงจะเป็นพวกศัตรูที่มักจะคอยสะกดรอยตามท่านเวลาออกมาข้างนอก ซึ่งกว่ามันจะติดต่อพรรคพวกให้มาสมทบ ผมคิดว่าคงมีเวลามากพอที่ผมจะสลัดพวกมันให้หลุดออกไปได้แน่ครับ"

   ทาคุบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เสียจนยูคิต้องกลืนน้ำลายลงคอ ส่วนริวยะยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากอย่างเชื่อมั่น

   "ฉันอนุญาตให้นายจัดการได้เต็มที่เลย...ทาคุ"

   ใบหน้าที่ปกติมักจะเคร่งขรึมของคนขับ เริ่มมีรอยยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับถ้อยคำที่ตอบรับสั้น ๆ

   "ครับท่าน"

   จากนั้นทาคุก็เร่งความเร็วของรถขึ้นไปอีก ชายหนุ่มขับแซงซ้ายป่ายขวาอย่างเชี่ยวชาญ จนถ้าอีกฝ่ายมาบอกว่าเคยขับรถแข่งในสนามมาก่อน ยูคิคงเชื่ออย่างสนิทใจเลยทีเดียว

   ริวยะเหลือบมองคนที่กำมือแน่นแล้วมีสีหน้าซีด ๆ ข้างกายเขา ชายหนุ่มจึงใช้มือของตนเอื้อมไปเกาะกุมมือที่วางกำแน่นบนเบาะนั้น ทางด้านยูคิสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอเขาหันไปสบตากับชายหนุ่มแล้วได้เห็นสีหน้าและแววตาอ่อนโยนที่มองสบกับตน ก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ มือที่เคยเกร็งและเย็นเฉียบด้วยความหวาดหวั่นก็เริ่มคลายลงและกลับมาอุ่นดังเดิมจนคนที่เกาะกุมมือปลอบโยนไว้พึงพอใจ

   "น่าจะพ้นแล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมจะตีรถอ้อมกลับบ้านพักแล้วให้คนของเราออกมาสมทบด้วย เผื่อพวกมันจะตามไปดักหน้า จะได้จัดการให้เรียบร้อยไปเลย"

   ทาคุบอกเสียงเรียบแต่ก็ทำให้คนฟังอย่างยูคิลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะไม่คิดว่าคนที่สุภาพและมีมารยาทงามอย่างอีกฝ่าย จะดูเด็ดขาดถึงขั้นนี้

   

   ระหว่างทางขากลับที่ดูจะปลอดภัยดีแล้ว ยูคินั้นยังคงปล่อยให้ริวยะกุมมือของตนอยู่โดยไม่ได้แย้ง และริวยะเองก็ยังคงจับมือเล็กข้างนั้นเอาไว้โดยไม่คิดจะปล่อยเองอีกด้วย

   "คุณริวยะเจอแบบนี้บ่อย ๆ เลยหรือครับ"

   คำถามที่ดังขึ้นหลังจากในรถเงียบสงัดมานาน ทำให้ริวยะชะงักและทาคุเหลือบมองคนถามผ่านทางกระจกมองหลัง

   "ถ้าพวกคอยขับตามประกบไล่ยิง ก็เจอบ้างประมาณเดือนละครั้งสองครั้ง...แต่ถ้าพวกดักซุ่มยิงนี่ก็มีบ่อย แต่ส่วนใหญ่เอาจริง ๆ ก็จะรอดปลอดภัยเกือบแทบทุกครั้ง...ยกเว้นประมาทเมื่อไหร่ก็มีเจ็บหนักตามมาบ้างล่ะนะ"

   ยูคินิ่งเงียบรับฟังพลางหน้าซีดเมื่อหวนคิดถึงตอนที่เขาเจอกับอีกฝ่ายที่หน้าอพาร์ตเมนต์ครั้งนั้น  ริวยะจึงเพิ่มแรงบีบมือเล็กนั้นค่อนข้างหนัก ขณะที่จับจ้องมองดวงหน้าหวานด้วยสายตาจริงจัง 

   "ฉันไม่คิดจะปิดบังอะไรเธอหรอกนะยูคิ...สำหรับฉันแล้ว การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นทางด้านธุรกิจที่ฉันทำอยู่ มันทำให้ฉันมีศัตรูหมายหัวมากมาย ...แม้แต่ลูกน้องของตัวเอง บางครั้งก็ยังทรยศกันได้ลงคอ ...นอกจากตัวเองแล้ว คนที่เชื่อใจได้ก็มีน้อยเสียจนน่าใจหาย ...แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็อยากให้เธอ เป็นหนึ่งในคนที่ฉันจะเชื่อใจได้ตลอดไป"

   ริวยะเอ่ยในสิ่งที่ทำให้ยูคิและแม้กระทั่งทาคุตกตะลึง ทางด้านริวยะเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะหลุบตาลงแล้วเอ่ยพึมพำตามมา

   "แต่หากเธอหวาดกลัวเกินกว่าที่จะอยู่เคียงข้างฉัน...ฉันก็จะไม่บังคับเธอ...แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องคอยดูแลเธอตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณมาซายะอยู่ดี....ถ้าเธออยากไปอยู่หอพักที่โรงเรียนล่ะก็..."

   "ผมจะอยู่กับคุณที่บ้านหลังนั้นครับ!"

   ยูคิโพล่งขัดมาก่อนที่ริวยะจะพูดจบ ทีแรกเขานึกกลัวเรื่องอันตรายที่เกิดรอบด้านริวยะก็จริง แต่พอได้ยินที่ริวยะบอกว่าอยากให้เขาเป็นคนที่เจ้าตัวจะฝากความไว้วางใจได้ ก็ทำให้เขารู้สึกตกใจคาดไม่ถึง ก่อนจะตามมาด้วยความยินดีลึก ๆ ในใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงออกไป ริวยะก็ดูเหมือนจะเข้าใจผิดขึ้นมา จนเขาต้องรีบเอ่ยค้านออกไปอย่างเสียมารยาทเช่นนั้น

   "...เอ่อ ขอโทษนะครับ ที่ตะโกนใส่ แต่ผมกลัวคุณจะเข้าใจผิด...ก็เลย..."

   ริวยะนิ่งอึ้งชั่วครู่ ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยของตนแล้วขยับเข้าไปจ้องหน้าเด็กหนุ่มให้ชัดถนัดตากว่าเดิม จนยูคิรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกรอบ

   "เธอจะบอกว่า เธอไม่กลัวที่จะอยู่เคียงข้างฉันใช่ไหม ยูคิ"

   ยูคิช้อนตามองคนพูด ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อ แต่ก็ยังเลือกตอบออกไปตามตรง

   "จริง ๆ ก็กลัวอยู่บ้างล่ะนะครับ...แต่ผมเชื่อว่า ถ้าอยู่กับคุณ ...คุณจะคุ้มครองผมให้ปลอดภัยได้ เหมือนที่คุณสัญญาเอาไว้เมื่อครู่นั้น...เพราะอย่างนั้น ผมก็อยากตอบแทนเรื่องที่คุณรับผมมาอุปการะ โดยการคอยช่วยเหลือเป็นกำลังให้คุณ ในสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้น่ะครับ"

   ริวยะเงียบกริบ ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะเริ่มมีรอยยิ้มอ่อนโยนในแบบที่ชวนให้คนมองใจเต้นแรงอีกครั้งหนึ่ง

   "ขอบคุณ...ฉันดีใจนะที่เธอตัดสินใจแบบนั้น"

   ริวยะบอกพร้อมกับชะโงกหน้าไปจูบแก้มเนียนของเด็กหนุ่มแผ่วเบา ทำเอาใบหน้าหวานอมชมพูระเรื่อ กลายเป็นแดงเข้มขึ้นมาอย่างน่าขำ

   "คุณริวยะ...เมื่อครู่...เอ่อ....คะ..คือ...มะ...ไม่มี...อะไร...ครับ"

   คนถูกหอมแก้มพูดตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา ทำให้แม้แต่คนที่วางตัวนิ่งเฉยมาตลอดอย่างทาคุยังอดหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   "ทาคุ ห้ามบอกอากิระเรื่องนี้นะ"

   ริวยะหันไปกำชับกับคนสนิทค่อย ๆ ซึ่งทาคุก็อมยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ จากนั้นริวยะจึงหันมาหาคนหน้าแดงข้างกายแล้วจึงเปรยขึ้นพร้อมรอยยิ้มติดเจ้าเล่ห์นิด ๆ

   "เฉพาะกับคนที่ฉันไว้ใจมาก ๆ เท่านั้นนะ ฉันถึงทำแบบนี้...และฉันก็ยินดีเสมอ หากเธอจะทำกับฉันบ้างเป็นครั้งคราว...เหมือนเมื่อครู่นี้น่ะ"

   ยูคิหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาหลบคนข้างกายตน....ด้วยความที่เป็นเด็กตัวเล็กกว่าวัยและยังมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาคนอื่น  ยูคิจึงมักจะโดนคนอายุมากกว่าแสดงความรักแบบเดียวกับที่ริวยะทำอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมากมายนัก  ทว่าพอริวยะมาทำแบบเดียวกัน เด็กหนุ่มก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างประหลาด แล้วจึงพยายามบอกตัวเองว่า นี่ก็เป็นแค่การแสดงความเอ็นดูประสาผู้ใหญ่มีกับคนอายุน้อยกว่าเพียงเท่านั้น

 

... TBC ...

คู่รีเมกนี่เน้นค่อย ๆ รัก มากกว่าจับปล้ำก่อนค่อยบอกรักนะคะ ...แต่เรื่องหื่น + หึง นี่พี่แกไม่เปลี่ยนค่ะ  อารมณ์ร้อน เอาแต่ใจ ขี้หงุดหงิด ก็ยังยกมาครบ 555  แต่ที่เปลี่ยนก็คือหวานน้ำตาลหกยิ่งกว่าเดิมนั่นเอง

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
มาเฟียไร่อ้อย  :z3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หนูยูคิน่ารักจริงๆ

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
พ่อมาเฟียไร่อ้อยมาแล้วค่ะ (ขอยืมคำพูดของคุณวัวพันปีมานะคะ ชอบจริง ๆ)  ตอนนี้ยกอ้อยมาเสิร์ฟทั้งไร่เลยค่ะ


บทที่ 11



    เมื่อกลับมาถึงที่พัก อากิระซึ่งได้รับแจ้งจากลูกน้องเรื่องของพวกริวยะ ก็รีบออกมาจากบริษัท มารอคอยผู้เป็นนายและเพื่อนสนิทอยู่ที่บ้านพักด้วยความเป็นห่วง

   "ไง...โดดงานหรืออากิระ"

   คำทักทายพร้อมยิ้มแย้มที่นาน ๆ จะได้เห็น ทำให้อากิระนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่พอเหลือบเห็นยูคิที่เดินก้มหน้าก้มตาอาย ๆ เพราะถูกริวยะจูงมือไม่ปล่อยนั่น ก็ทำให้เลขาหนุ่มร้องอ๋อในใจ

   "ผมเคลียร์งานสำคัญไว้เรียบร้อยหมดแล้วล่ะครับ แต่พอดีได้ข่าวว่าท่านกำลังตกอยู่ในอันตรายก็เลยเป็นห่วงแล้วรีบกลับมา เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง"

   ระหว่างพูดเจ้าตัวก็เหลือบไปมองเพื่อนสนิทที่มีสีหน้านิ่งขรึมลงเมื่อสบตาเขา อากิระซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้าก่อนจะหันกลับมาทางผู้เป็นนายอีกครั้ง

   "นายไม่ต้องห่วงมากหรอก มีทาคุอยู่กับฉันทั้งคน  เขาไม่ปล่อยให้ฉันเป็นอันตรายง่าย ๆ อยู่แล้ว"

   ริวยะตอบอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงขอตัวพาคนที่จูงมืออยู่ไปนั่งพักผ่อนพูดคุยกันส่วนตัวต่อ ทำให้มือขวาคนสนิทถึงกับอมยิ้มมองไล่ตามไปจนลับสายตา ก่อนจะหันมาทางทาคุที่สั่งให้คนงานในบ้านแถวนั้นเอารถขับไปเก็บ ส่วนเขาก็ยังคงยืนรออยู่ด้านหน้าทางเข้าบ้านพักอีกครู่ใหญ่ โดยไม่ได้เดินตามริวยะเข้าไปด้านในแต่อย่างใด

    "ไง...ทาคุ  เห็นพวกนั้นบอกฉันว่านายพาท่านริวยะไปนั่งรถซิ่งมาสินะ"

    อากิระหันมาทักทายเพื่อนของเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเจ้าเล่ห์ ซึ่งก็ทำให้คนฟังทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์นัก

   "เฮ้อ! นึกถึงตอนฉันที่ทำให้ท่านริวยะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายนั่นจังเลยนะ ...หมัดนายตอนชกฉันนั่นหนักไม่ใช่เล่นแท้ ๆ"

   คำเปรยที่ได้ยินทำให้ทาคุชะงัก เขาเดินตรงมาหาอากิระ แล้วเผชิญหน้ากับชายหนุ่มด้วยแววตาแน่วแน่จริงจัง

   "ครั้งนี้ฉันประมาท จนเกือบทำให้ท่านริวยะได้รับอันตราย ...ถ้านายอยากจะแก้แค้นเรื่องที่ฉันเคยลงมือกับนายในเรื่องเดียวกันนี้เมื่อครั้งก่อนนั่นก็เชิญตามสบาย ไม่ต้องมาย้อนโน่นนี่อะไรให้มากความ"

   อากิระอมยิ้มน้อย ๆ นิสัยจริงจังแบบนี้ของทาคุ ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้เขาและหลายคนในบ้านนิยมชมชอบและเอือมระอาไปในตัวเลยทีเดียว

   "งั้นถ้าฉันเอาคืน แล้วนายห้ามโกรธฉันด้วยนะ"

   อากิระแกล้งถาม ซึ่งทาคุก็จ้องนิ่งตอบ

   "ฉันไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นหรอก จะทำอะไรก็รีบทำ เดี๋ยวเผื่อท่านริวยะเรียกใช้งานแล้วไม่เจอ ฉันจะโดนตำหนิเอา"

   อากิระผิวปากน้อย ๆ เขาแสร้งทำเป็นดัดมือไปมา แล้วบอกให้อีกฝ่ายกัดฟันแล้วหลับตา ซึ่งทาคุก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ยอมทำตามนั้น

   "เอาล่ะนะ ...เตรียมตัวเอาไว้ล่ะ"

   เสียงของอากิระดังขึ้นใกล้ ๆ ทาคุหลับตารอคอยความเจ็บจากหมัดที่จะเข้ามา ทว่า...

   "ชื่นใจจัง...แก้มนายนี่หอมชะมัด"

   สัมผัสอุ่น ๆ ที่แตะแก้มของตนพร้อมกับคำพูดหลังจากนั้น ทำให้ทาคุนิ่งอึ้งไปหลายวินาที ก่อนจะลืมตามองคนที่ยืนยิ้มเจ้าเล่ห์ตรงหน้าเขา ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาของหนุ่มหน้าสวย เริ่มแดงเข้มด้วยความอายปนโมโห จนอากิระที่มองอยู่ต้องรีบท้วงออกไป

   "เดี๋ยวสิ! ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะไม่โกรธน่ะ!"

   "นั่นมันหมายถึงหากนายชกฉันกลับคืน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ทำเรื่องน่าอายแบบนี้สักหน่อย!!"

    ทาคุตวาดกลับลั่น ทำให้คนงานที่ทำงานอยู่ละแวกนั้นทยอยโผล่หน้าออกมาดูกันอย่างสนอกสนใจ เพราะคุณพี่เลี้ยงของเจ้านายพวกตน ไม่ค่อยจะแสดงอาการอารมณ์เสียหงุดหงิดโวยวายเช่นนี้ให้ได้เห็นบ่อยนัก

   "ไม่เอาน่า...ตอนนั้นที่ฉันถูกนายชกเพราะมีส่วนทำให้ท่านริวยะบาดเจ็บ แต่ของนายนี่ท่านริวยะปลอดภัยดี ซ้ำยังดูอารมณ์ดีผิดหูผิดตา แล้วเกิดขืนฉันชกนายไป มีหวังได้โดนท่านริวยะเล่นงานซ้ำแน่ ...เพราะงั้นหอมแก้มแบบเมื่อครู่น่ะดีแล้วล่ะ"

   ทาคุชะงัก เขากัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิดที่เสียรู้เพื่อนของตนอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินก้าวเท้าฉับ ๆ ผ่านร่างของอีกฝ่ายไปโดยไม่คิดแม้แต่จะมองหน้าด้วยความโมโห ทำให้อากิระต้องถอนหายใจยาว พลางพึมพำกับตัวเองออกมาอย่างยังคงอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย

   "ช่วยไม่ได้ สงสัยต้องตามไปง้อเสียแล้ว ไม่งั้นเกิดงอนไม่ยอมพูดด้วยอีกไปนาน ๆ แบบนี้ คงเหงาแย่เลย...หึ ๆ"

   

   อีกด้านหนึ่ง หลังจากพายูคิมาถึงห้องนั่งเล่นห้องเล็ก ซึ่งติดกับห้องนอนของเด็กหนุ่ม  ริวยะก็ยอมปล่อยมือที่จูงอีกฝ่ายมาตลอด ทำให้คนถูกจูงมือรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ทั้งนี้เนื่องจากระหว่างทางนั้น เขารู้สึกว่าตนเองถูกสายตาจากคนในบ้านลอบมองอยู่เป็นระยะนั่นเอง

   "พอจะว่างนั่งคุยกันเรื่อย ๆ หรือเปล่าล่ะ...หรืออยากจะกลับห้องไปพักผ่อนคนเดียวก็แล้วแต่เธอนะ"

   ท้ายประโยคริวยะถามด้วยสีหน้าที่ขรึมลงเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของเด็กหนุ่ม ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้มีความขุ่นเคืองหรือหงุดหงิดให้สัมผัส แต่ออกจะคล้ายน้อยใจนิด ๆ ด้วยซ้ำ และนั่นจึงทำให้ยูคิตัดสินใจตอบกลับไปในที่สุด

    "ได้สิครับ...ถ้าคุณริวยะไม่เบื่อที่จะคุยกับผมเสียก่อน"

   คำตอบของเด็กหนุ่มเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ บนใบหน้าหล่อเหลาของฝ่าย นั่นทำให้ยูคิรู้สึกใจเต้นและร้อนวูบวาบที่ใบหน้าของตนเองอีกครั้ง เด็กหนุ่มเดินตามไปนั่งคุยกันกลางห้อง ยูคิเริ่มเล่าเรื่องส่วนตัวของตนให้ริวยะฟัง แม้ทีแรกจะพูดด้วยน้ำเสียงติดขัดหรือดูเกรงใจไปบ้าง แต่พอสักพักเด็กหนุ่มก็เริ่มชิน เพราะคนฟังนั้นมีรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ตนอยู่เสมอ จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ คนที่นั่งคุกเข่าคุยอยู่ก็เริ่มที่จะนิ่วหน้า

   "เป็นอะไรไปน่ะ"

   ริวยะถามอย่างนึกเป็นห่วง ซึ่งยูคิก็ยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้

   "เหน็บกินน่ะครับ สงสัยจะนั่งคุกเข่านานไปหน่อย"

   คนฟังชะงัก ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะมีรอยยิ้มกึ่งขำให้ได้เห็น

   "แล้วทำไมไม่เปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิแทนล่ะ"

    "เอ่อ...มันจะดูไม่เหมาะน่ะสิครับ ...ก็คุณริวยะเป็นเจ้าของบ้าน แล้วก็เป็นผู้ใหญ่กว่าด้วย"

   ยูคิแย้งกลับไปเสียงอ่อย ซึ่งริวยะก็สั่นศีรษะอย่างระอาแล้วพยักหน้าพร้อมบอกให้อีกฝ่ายเปลี่ยนท่านั่งเสีย  และพอยูคิเริ่มขยับตัวเพื่อเปลี่ยนท่า เขาก็เจ็บขาจี๊ดจนเผลอเสียหลักจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น ทว่าริวยะที่มองอยู่และไวพอก็ขยับตัวมารับร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ทัน จนกลายเป็นว่ายูคินั้นกึ่งนั่งกึ่งนอนซบลงบนอกกว้างของริวยะเข้าให้พอดี

   "เอ่อ...ขอบคุณนะครับคุณริวยะ"

   คนที่ล้มลงมาเงยหน้าขึ้นบอกอย่างนึกเขิน ทว่าเด็กหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อแววตาคมกริบของอีกฝ่ายนั้นจับจ้องมามองเขานิ่ง และในแววตาคู่นั้นหากยูคิมองไม่ผิด มันแฝงไว้ซึ่งความปรารถนาอันร้อนแรงบางอย่างที่มันทำให้ใบหน้าของเขาร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นแรง หากแต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดหรือกระทำอะไรลงไป ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลานั้นก็โน้มต่ำลงมาใกล้มือใหญ่เลื่อนมาจับเชยคางมนให้เผชิญหน้ากับตน ลมหายใจร้อนผ่าวเป่าร้อนใบหน้า สุดท้ายริมฝีปากหนานุ่มได้รูปก็ค่อย ๆ ประทับลงมาประกบปิดกับริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มที่กำลังตกตะลึงอยู่ในขณะนี้

   "คุณ...ริวยะ..."

   ยูคิพึมพำเรียกชื่อของอีกฝ่ายที่ถอนริมฝีปากออกไป ริวยะแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้กับสีหน้าตื่นตระหนกของเด็กหนุ่ม เขารู้สึกยินดีที่แม้อีกฝ่ายจะดูตกใจในสิ่งที่เขากระทำก็ตาม แต่กลับไม่มีความรังเกียจหรือหวาดกลัวแสดงออกมาให้เห็น เหมือนที่เคยกังวลอยู่บ้างเมื่อก่อนหน้านั้น

   "ยูคิ...ฉันน่ะ..."

   ริวยะพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนจะชะงักเมื่อใบหน้าของอีกฝ่ายแดงก่ำแล้วเบือนหลบตนทันที ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะประคองร่างของเด็กหนุ่มให้ราบไปกับพื้นเสื่อ พร้อมกับตัวเขาที่เอนตามไปด้วย อ้อมแขนยาวยังคงกักร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดไม่ยอมปล่อย

    "ถ้าไม่ยอมรับฟังกันดี ๆ ตอนนี้...คราวหน้าจะไม่พูดให้ฟังอีกแล้วนะ"

   น้ำเสียงนุ่มเอ่ยกระซิบขู่ข้างหู ทำให้เด็กหนุ่มหน้าร้อนวูบวาบ หัวใจที่เต้นตึกตักอยู่แล้วก็ยิ่งเร่งจังหวะรัวแรงมากขึ้น แม้จะพยายามบอกตัวเองก่อนหน้านั้น ว่าการกระทำแปลก ๆ ของริวยะในบางครั้งมันเป็นเพียงการเอ็นดูในตัวเขา ...แต่มายามนี้ เวลานี้ ยูคิแทบจะคิดอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าริวยะนั้นมีความสนใจในตัวเขาเป็นพิเศษในแบบฉันชู้สาวนั่นเอง

   "หลังจากที่ฉันจูบเธอไปแล้ว เธอยังจะยืนยันคำเดิมว่าไม่รังเกียจกันอีกหรือเปล่า..."

   ชายหนุ่มถามลองเชิงกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูขรึมซึมลง ซึ่งก็ทำให้ร่างเล็กในอ้อมกอดสะดุ้ง แล้วรีบหันกลับมามองจ้องเขาอย่างตกใจนิด ๆ

   "แน่นอนครับ ผมไม่ได้รังเกียจ...คุณ..."

   ยูคิหยุดชะงักไว้แค่นั้น เพราะคนที่เขากลัวว่าจะมีสีหน้าเจ็บปวด  ตอนนี้กลับกำลังแย้มยิ้มส่งให้เขาแทนอย่างพึงพอใจอยู่

   "...คนเจ้าเล่ห์...คุณหลอกผมนี่"

   "ก็เธออยากหนีหน้าฉันทำไมล่ะ ฉันรึอุตส่าห์รวบรวมความกล้าที่จะสารภาพรักกับเธออยู่แท้ ๆ"

   ยูคินิ่งอึ้งใบหน้านั้นแดงก่ำมากขึ้นเสียจนริวยะทั้งขำทั้งเอ็นดู ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปจูบหน้าผาก แก้ม และริมฝีปากของร่างเล็กในอ้อมกอด ก่อนจะบอกกับเด็กหนุ่มที่เขาพึงใจออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   "ยูคิ...ฉันรักเธอนะ...แล้วเธอล่ะ จะรับรักฉันตอบบ้างได้ไหม"

    คำสารภาพรักที่ทำให้คนฟังแอบอึ้งเล็กน้อย ส่วนคนสารภาพที่ใช้ถ้อยคำหวานซึ้งกึ่งบังคับให้คนฟังรับรักก็ยังคงแย้มยิ้มรอฟังคำตอบ และก็เริ่มเปลี่ยนเป็นตีหน้าขรึมย้ำคำแทน เมื่อยังเห็นเด็กหนุ่มนิ่งอึ้งอึกอักไม่ให้คำตอบตนสักที

   "ยูคิ...ฉันยังรอฟังคำตอบอยู่นะ"

   "เอ่อ...ผม...ไม่รู้...ว่าจะตอบยังไงดีนี่ครับ..."

   ริวยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่งยิ้มหวานปนเจ้าเล่ห์ส่งให้

   "ก็ตอบมาสิว่า เธอเองก็รักฉันเหมือนกัน...เธอไม่ได้รังเกียจฉันไม่ใช่หรือไง"

   "ไม่ได้รังเกียจ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า...เอ่อ...จะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันนี่ครับ"

    คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังชะงัก และเปลี่ยนสีหน้าเป็นเงียบขรึม ก่อนจะพึมพำตอบกลับแผ่วเบา

   "อย่างนั้นหรอกหรือ...ฉันคงคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปสินะ" 

   ริวยะบอกแล้วยันกายลุกขึ้นมายืนก่อนเตรียมเดินออกจากห้อง ทว่ายูคิที่รู้สึกตัวรีบยันกายนั่งแล้วคว้าข้อมือของชายหนุ่มเอาไว้ก่อน

   "เดี๋ยวก่อนครับ!"

   ริวยะชะงักพลางซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า แต่กลับทำเป็นตีหน้าขรึม แล้วหันมาย้อนถาม

   "มีอะไร"

   พอเห็นอีกฝ่ายดูเงียบเฉยติดเย็นชา ก็ทำเอายูคิชะงักแล้วอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าพูดออกไป

   "เอ่อ...คือ..."

   "ถ้าไม่มีอะไรฉันขอตัวไปพักก่อน...เธอจะได้สบายใจไม่อึดอัดเวลาที่มีฉันอยู่ด้วยแบบนี้"

   ริวยะบอกแล้วใช้มือที่ว่างของเขาแกะมือเล็กที่จับข้อมือของตนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินออกจากห้องไปช้า ๆ ทางด้านยูคิพอเห็นเช่นนั้น เขาก็อ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบไปและก้มหน้าลงมองพื้น ริวยะชำเลืองมามองก่อนจะลอบถอนหายใจ พลางคิดว่าเห็นทีคงต้องให้เวลากับเด็กหนุ่มให้คุ้นชินกับตนมากกว่านี้

    "งั้นฉันไปละ  เธอก็ไปพักผ่อนเถอะ"

    น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนโยนลง ทำให้คนที่ก้มหน้ามองพื้นเสื่อและนิ่งคิดบางอย่างชะงัก ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นแล้วตะโกนตามไล่หลังคนที่กำลังก้าวเดินออกจากห้องไป

   "ผมเองก็ชอบคุณเหมือนกันครับ!"

   ริวยะชะงักฝีเท้า พลางหันกลับมามองเด็กหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง  ส่วนยูคิหลังจากพลั้งปากออกไปแล้ว เจ้าตัวก็มีใบหน้าแดงระเรื่อแล้วบอกต่อมาอย่างอึกอักเล็กน้อย

   "ผม...เอ่อ...ผมไม่รู้ใจตัวเองหรอกครับว่ารักคุณไหม...แต่ผมไม่คิดรังเกียจคุณสักนิด ...เวลาที่คุณทำ...เอ่อ...แบบนั้นกับผม"

   พอนึกถึงเรื่องที่โดนจูบใบหน้าขาวระเรื่อนั้นก็แดงเข้มขึ้นอีก เจ้าตัวพยายามข่มความอายแล้วบอกต่อ

   "แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดว่าเรื่องรักสำหรับผมมันดูเร็วไป...แล้วอีกอย่างผมไม่เคยรักใครในแบบนั้น ...ก็เลยไม่แน่ใจนัก"

   พอพูดถึงตรงนี้ยูคิก็จ้องสบตากับร่างสูง แม้ว่าแววตากลมโตจะสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่นให้เห็นบ้างเล็กน้อยก็ตาม

   "แต่ถึงยังไงผมก็ชอบคุณ และไม่ได้รังเกียจคุณเลยสักนิด....เอ่อ...ถ้าคุณริวยะจะให้เวลาผมสักหน่อย...ผมก็คิดว่า...คงจะรับรักคุณตอบได้ไม่ยากนักครับ"

   พอบอกจบยูคิก็หน้าแดงเข้มขึ้นด้วยความอาย แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องหลุดอุทานแผ่วเบาด้วยความตกใจ เมื่อริวยะที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่เมื่อครู่เดินตรงเข้ามารวบร่างเขากอดแน่น

    "ฉันจะรอวันนั้นมาถึงอย่างคาดหวังนะ"

   "ครับ..."

   ยูคิตอบกลับเสียงแผ่ว แขนทั้งสองของเขาโอบร่างสูงตอบกลับอย่างลืมตัว พวกเขายืนกอดกันเช่นนั้นอยู่สักพัก เสียงถอนหายใจของริวยะก็ดังขึ้น

   "เฮ้อ...ฉันว่าเธอกลับห้องไปเสียก่อนดีกว่านะยูคิ ขืนอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่ออีกสักพัก...ฉันว่าฉันคงจะควบคุมตัวเองไม่ไหวแน่"

   ยูคิเงยหน้ามองคนพูดอย่างงุนงง แต่พอลองคิดตามคำพูดนั้น ใบหน้าขาวระเรื่อก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง  เด็กหนุ่มผละออกจากร่างของอีกฝ่าย แล้วรีบโค้งให้ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าห้องไปด้วยความอายอย่างรวดเร็ว ทำให้คนมองตามไปถึงกับหลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน  ซึ่งหากใครในบ้านที่รู้จักชายหนุ่มดีได้ผ่านมาเห็นสีหน้ายามนี้ของริวยะเข้า คงจะต้องได้ตกใจกันบ้างไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

 

... TBC ...

ออฟไลน์ greenapple

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-5

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โถ่ๆ หวานก็เป็นนี่ป๊า ใจเย็นๆนะป๊าเดี๋ยวไก่ตื่น

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด