กรรมโดนแฉกลางเรื่องเอิ้กๆ
ไม่จริงๆ
ผมเป็นคนชอบแก้ตัวซะด้วยสิ ( เขาว่ากันว่าเป็นคนดีใช่ปะ)
***************************************************************************
เก็บดาว
[wma=300,50]http://www.geocities.com/atcha_t/star.mp3[/wma]
*****************************************************************************
บทที่ 12 พี่ชายจากไป...น้องชายคนใหม่ก็มา
หลังจากสอบปลายภาคเรียนเสร็จสิ้น นักศึกษาบางสาขาวิชาของทั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องออกฝึกงานตามโรงงานอุตสาหกรรมหรือห้องปฏิบัติการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียน เพราะถือเป็นโปรแกรมบังคับของภาควิชา
ในฐานะของนักศึกษาภาควิชาเคมี ภูผาเลือกที่จะฝึกงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน เพียงเพราะไม่ต้องการกลับไปที่กรุงเทพฯ ปทุมธานีหรือนิคมอุตสาหกรรมชลบุรี ที่ล้วนแล้วแต่ค่อนข้างไกลจากเชียงใหม่และมีสภาพการจราจรที่ติดขัด
ส่วนฟ้าลั่นในฐานะนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม เขาจำเป็นต้องเข้าไปฝึกงานที่หน่วยบำบัดน้ำเสียของกองทัพอากาศ เนื่องจากมีหนังสือระบุมาจากทางกองทัพฯ ต้องการนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมเข้าร่วมฝึกงานและออกแบบบ่อบำบัดน้ำเสียของกองทัพ ร่วมกับวิศวกรผู้ชำนาญงานอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นงานที่สำคัญและต้องการความคิดใหม่ๆของนักศึกษาแม้จะยังไม่จบการศึกษาก็ตาม
ฟ้าลั่นพยายามสละสิทธิ์เพื่อจะอยู่ฝึกงานที่ลำพูนเช่นเดียวกับภูผา.....แต่ก็ถูกอาจารย์หัวหน้าภาควิชาเรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน สุดท้ายด้วยคำขู่และคำเกลี้ยกล่อมของอาจารย์ประกอบกับเพื่อรักษาชื่อเสียงของคณะ เขาจึงต้องตกปากรับคำอาจารย์ไปฝึกงานที่กองทัพอย่างไร้ข้อต่อรองใดๆ
ขณะฝึกงาน ฟ้าลั่นก็โทรหาภูผาแทบจะเป็นสามเวลาหลังอาหาร.....จนภูผาต้องคอยบอกว่าไม่ต้องโทรมาบ่อยมากนัก...วันละครั้งก็เพียงพอแล้ว
แต่ฟ้าลั่นมักจะตอบกลับมาเสมอว่า.....
“หมอกน่ะใจร้าย.....ไม่คิดถึงเราเลย.......ฟ้าลั่นคิดถึงหมอกนะ...เลยต้องโทรบ่อยๆ” ฟ้าลั่นอ้อนมาตามสาย ซึ่งทำให้ภูผายิ้มได้ทุกครั้ง แต่มิวายจะบอกกลับไปว่า
“หมอกก็คิดถึงฟ้าลั่นนะ....แต่ไม่ต้องโทรมาบ่อยนักก็ได้” ภูผาบอกฟ้าลั่นทุกครั้งก่อนวางสาย...แต่ก็ดูเหมือนคนฟังจะมิได้ยินประโยคที่สอง...คงได้ยินแค่คำว่า “คิดถึง” จากคนที่ตนรัก.....สุดท้ายเลยโทรมาสามเวลาหลังอาหารทุกวัน
ฟ้าลั่นกับภูผาไม่ได้คุยโทรศัพท์กันนานเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ ส่วนมากฟ้าลั่นจะเป็นฝ่ายโทรมาหา เพื่อบอกว่าคิดถึง แล้วจึงไต่ถามสั้นๆว่ากำลังทำอะไรอยู่ หลังจากนั้นก็วางสาย เพราะไม่อยากให้ผู้ร่วมงานสงสัยว่าตนเองกำลังคุยกับใครอยู่นั่นเอง.......ดังนั้นตลอดการฝึกงานของทั้งสองหนุ่ม โทรศัพท์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา
หลังฝึกงานเสร็จ ทั้งสองหนุ่มก็มีโอกาสกลับไปพักผ่อนที่บ้านของตนเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่จะนัดเจอกันที่สถานีรถไฟ เพื่อนั่งรถไฟตู้นอนชั้นหนึ่งขึ้นมาที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน.....
เนื่องจากภูผาชอบบรรยากาศของท้องทุ่งนาและบ้านคนที่รถไฟวิ่งผ่าน เขาจึงเลือกที่จะโดยสารรถไฟจากกรุงเทพมหานครเข้าสู่เชียงใหม่....ส่วนฟ้าลั่นก็ไม่ขัดข้อง แม้ว่าจะใช้เวลาในการเดินทางหลายชั่วโมง ...เพราะเขาตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่า.....การอยู่กับคนที่เรารัก....แม้เวลาจะผ่านไปยาวนานสักเพียงไหน กลับรู้สึกว่ามันช่างสั้นเหลือเกิน
ศิวะอยู่รอให้สองหนุ่มขึ้นมาเชียงใหม่เสียก่อน แล้วจึงบินลัดฟ้าไปอเมริกา เพื่อไปเตรียมตัวเข้าเรียนและจัดการเรื่องหอพักต่างๆ เพื่อรอมหาวิทยาลัยเปิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
ก่อนขึ้นเครื่องสองวัน ฟ้าลั่นและภูผาชวนศิวะไปเลี้ยงส่งที่ร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำปิงที่ชื่อว่า เดอะกู๊ดวิวส์ ซึ่งเป็นร้านอาหารบรรยากาศเป็นกันเอง เปิดรับลมเย็นสบายจากแม่น้ำให้ผ่านเข้าตัวร้านโดยตลอด สัมผัสกับแขกที่นั่งรับประทานอาหารและฟังดนตรีบรรเลงสดโดยวงที่มีชื่อเสียง นอกจากบรรยากาศจะดีแล้วอาหารที่นี่ยังอร่อยติดปากหลายๆคน จึงต้องแวะเวียนกลับมาเยือนร้านนี้หลายครั้ง
ทั้งสามหนุ่มใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โดยมีการดื่มเบียร์ รับประทานอาหารและฟังเพลง ตลอดจนสนทนาพูดคุยกันอย่างได้รส ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการหยอกล้อภูผา......บุคคลที่ครอบครองดวงใจของสองหนุ่มเพื่อความสนุกสนาน โดยไม่ลืมที่จะขุดเอาเรื่องเก่าๆ ที่น่าประทับใจมาพูดคุยกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ศิวะจะไปเรียนนานถึงห้าปี
การสนทนาดำเนินไปจนกระทั่งร้านปิด....ทั้งสามหนุ่มจึงเลือกที่จะขับรถเล่นชมเมืองเชียงใหม่ ก่อนที่จะย้อนกลับมาที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำปิงที่ไม่ไกลจากร้านอาหารเดิมนัก
บริเวณโดยรอบของสวนสาธารณะแห่งนี้ประดับประดาด้วยโคมไฟหลายดวงหลากขนาดและสีสัน ช่วยส่องให้เกิดความสว่าง....สายลมเย็นๆ ยังคงพัดผ่านผิวน้ำขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความสบายกายให้แก่คนที่นั่งเล่นอยู่ เช่นเดียวกับแสงไฟจากอาคารน้อยใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งตกกระทบผิวน้ำ เกิดเป็นประกายระยิบระยับนุ่มนวล สร้างความสวยงามให้กับสายตา
ฟ้าลั่นใจดีอนุญาตให้ศิวะโอบกอดภูผาขณะเดินเล่นริมแม่น้ำปิงได้ เพราะศิวะเข้ามาขออนุญาตด้วยตนเอง....เขาเห็นว่าศิวะต้องจากไปไกลหลายปี ดังนั้นอะไรที่เขาสามารถช่วยทำให้ศิวะมีความสุข และไม่เกินความสามารถ ฟ้าลั่นก็ยินยอม
“ฟ้าลั่นเค้าไม่รักน้องหมอกแล้ว...เห็นมั้ย.......เค้ายกน้องหมอกให้พี่กอดคืนนี้” ศิวะเปิดประเด็นร้อนให้ฟ้าลั่น ขณะเดินโอบกอดภูผาไปตามทางเดินเรียบลำน้ำ
“อ้าว.....พี่เสือ....หาเรื่องให้ผมอีกแล้ว.......” ฟ้าลั่นที่เดินอยู่ข้างๆรีบบอก ก่อนจะหันไปสบตากับคนรักของตน พลางส่ายหน้าตอกย้ำการปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
ภูผาเห็นดังนั้นจึงนึกสนุก จึงแกล้งเอาคืนสองหนุ่มข้างๆบ้าง......หลังจากหยอกล้อตนเองมาตลอดการรับประทานอาหารเย็น
“จริงเหรอฟ้าลั่น.....นายยกเราให้พี่เสือแล้วใช่มั้ย........ดีเลย......งั้นเราก็ตกลง” เจ้าตัวไม่พูดเปล่ากลับหันมาหอมแก้มพี่เสือทันที โดยแม้ศิวะเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว
ฟ้าลั่นเห็นดังนั้นก็เลยงอน รีบคว้าตัวภูผาเข้ามากอด แล้วก็ทำโทษด้วยการหอมแก้มซ้ายขวาข้างละที .....โดยที่คนถูกหอมกลับหัวเราะชอบใจในอาการหึงหวงของคนรัก
ฟ้าลั่นหันมาเอาเรื่องกับศิวะทันที
“พี่เสือ....เอาแก้มมา...ผมจะเช็ดเอาหอมที่หมอกให้ออก....ผมหวง” ฟ้าลั่นแยกเขี้ยวใส่ศิวะ โดยมือข้างหนึ่งยังคงโอบไหล่ภูผาไว้ไม่ห่างกาย
“เฮ้ย......ได้งัย.....ไม่ยอมหรอก.....นายได้ไปเยอะแล้ว.......ขอพี่นิดหน่อยน่า.....อย่าหวงมาก” ศิวะยักคิ้ว พูดย้อนกลับ
“ก็...ผมหวง” ฟ้าลั่นบ่นพึมพำ จนภูผาหัวเราะชอบใจอีกครั้ง
“เอาน่า...พี่เสือเค้าจะไปเรียนต่อแล้ว......เหลือนายคนเดียว......เราก็จะไม่หอมแก้มใครแล้ว......” ภูผาหันมาบอกฟ้าลั่น พลางยิ้มให้อย่างเอาใจ จนทำให้คนที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่ยิ้มออกมาจนได้
ศิวะเห็นความรักและความห่วงใยที่ทั้งคู่แสดงออกมาก็รู้สึกสบายใจ...เพราะแน่ใจแล้วว่า...ภูผาคงมีความสุขยามที่ฟ้าลั่นอยู่เคียงข้าง.....ศิวะยังคงมั่นใจเสมอว่าฟ้าลั่นจะดูแลภูผาได้เป็นอย่างดี
“เฮ้ย......อย่าหวานกันให้มากนัก.....สงสารคนอกหักคนนี้หน่อยซิ....พี่ยังทำใจไม่ได้นะ.....น้องหมอกครับมาให้พี่เสือกอดหน่อยนะครับ” ศิวะพูดออกไป พร้อมเอื้อมมือไปคว้าร่างภูผาให้มายืนอยู่ข้างตนเอง ก่อนจะโอบไหล่เบาๆ เดินไปบนทางเดินข้างแม่น้ำต่อไป โดยหันมายิ้มและยักคิ้วให้ฟ้าลั่นที่เดินตามมาอยู่ข้างหลัง....ไม่ห่างนัก
“คืนนี้ พี่เสือจะนอนที่ไหนครับ” ภูผาถาม
“ก็ต้องนอนกับน้องหมอกซิครับ.......ของมันแน่นอน” ศิวะกล่าวตอบ แล้วก็ไม่วายที่หันกลับมายักคิ้วให้ฟ้าลั่นเดินอยู่ข้างหลังอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ออกมา เพราะเห็นฟ้าลั่นแยกเขี้ยวใส่ตนอย่างอาฆาตแค้น
“ยอมให้คนแก่ซักวันหนึ่ง.....”ฟ้าลั่นบ่นเบาๆแต่ก็ตั้งใจให้ศิวะได้ยิน
“เฮ้ย....ยังไม่แก่ซักหน่อย...เนอะน้องหมอก....พี่เสือออกจะยังหนุ่ม....แถมหล่อกว่าฟ้าลั่นแฟนน้องหมอกอีกนะครับ” ศิวะหันมาถามภูผา โดยไม่ลืมที่จะกระเซ้าฟ้าลั่นอีกตามเคย
ภูผาเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะรู้ว่าถ้าตนเองตอบอะไรออกมา.....สองคนนี้คงต้องเหล่กันอีกยาว.....เลยนิ่งเงียบเสียเป็นดีที่สุด
หลังจากเดินเล่นซักพัก ทั้งสามคนก็กลับมานอนต่อกันที่ห้องของศิวะ เพราะว่ามีขนาดใหญ่กว่าห้องพักของฟ้าลั่นและภูผา...รวมถึงเตียงนอนก็ใหญ่กว่าด้วย
หลังจากที่สามหนุ่มอาบน้ำเสร็จ.....ก็เกิดศึกเล็กๆภายในห้องนอน.....เนื่องจากฟ้าลั่นจะเอาคืนศิวะโดยไม่ยอมให้ศิวะกอดภูผา แต่ศิวะก็อ้อนวอนโดยใช้เหตุผลที่ต้องไปเรียนต่อขึ้นมาอ้าง....รวมถึงบอกต่อว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้อยู่กับคนที่ตนรัก เขาสมควรจะได้รับของขวัญบ้าง.......
ภูผาเห็นใจทั้งสองฝ่าย แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรดี เพราะปกติก่อนหน้านั้นแม้ว่าจะนอนด้วยกันสามคน แต่ตนเองก็อยู่ในอ้อมกอดของฟ้าลั่นอยู่ตลอดเวลา
“เอาเป็นว่าผมให้พี่เสือกอดจนถึงหกโมงเช้าแล้วกันครับ.....จะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ด้วย....หลังจากนั้นผมก็จะไปนอนข้างฟ้าลั่นครับ......ห้ามเถียง...ห้ามมีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น........ผมง่วงนอนแล้ว.....จะนอนแล้วด้วย” ภูผาตัดสินใจไกล่เกลี่ยภายหลังเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ได้ข้อยุติ
“เฮ้อ....เหมือนตัวเองเป็นนางพิมพิลาไล ยังงัยก็ไม่รู้” ภูผาบ่นเบาๆ ก่อนจะนอนหลับไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นของศิวะ....คนที่แม้ภูผาจะไม่ได้รักแบบฟ้าลั่น แต่ก็มีความผูกพันในฐานะพี่ชายที่แสนดีคนเดียวของตนตลอดมา..........
จริงๆแล้วฟ้าลั่นก็เข้าใจดีว่าภูผารักพี่เสือแบบพี่ชาย....เพราะภูผาอธิบายให้ฟังตั้งแต่เมื่อคืนที่ทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่รีสอร์ทในครั้งนั้น......แต่เขาก็อดที่จะเหล่หรือแกล้งกันท่าศิวะเพื่อความสนุกไม่ได้......ซึ่งมักปรากฏว่าจะเกิดอาการของขึ้นกันอยู่บ่อยๆ ระหว่างทั้งสองหนุ่ม
ฟ้าลั่นได้ยินเสียงของภูผา....จึงบอกพูดออกมาเบาๆว่า
“ถ้าเป็นอย่างนั้น....เราก็เป็นขุนแผนแล้วกัน......ใครจะเป็นขุนข้างก็คิดเอาเอง”
*************************
ณ สนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ เวลา 20.30 น
ศิวะยืนอยู่ท่ามกลางบิดา มารดาและพี่ชายอีกสามคน ห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนๆ และ น้องๆจากคณะวิทยาศาสตร์ที่สนิทสนม รวมถึงฟ้าลั่นและภูผาด้วย ศิวะกำลังเตรียมตัวเดินทางโดยเครื่องบินไปที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เพื่อเดินทางต่อไปยังญี่ปุ่น ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องอีกครั้งไปสู่จุดหมายปลายทางที่นิวยอร์ก
ภูผาตัดสินใจซื้อผ้าพันคออย่างดีให้ศิวะโดยถือมามอบให้ที่สนามบินเพื่อให้ศิวะเก็บไว้ติดตัว เมื่อถึงนิวยอร์กก็จะนำเอามาใช้ได้ทันที ภูผาทราบดีว่าในเดือนพฤษภาคม อากาศที่นั่นยังหนาวอยู่แม้จะเป็นช่วง Spring ก็ตาม เพราะนิวยอร์กเป็นรัฐทางเหนือ แม้ว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ....แต่ตามความจริงใบไม้ยังไม่ค่อยจะผลิสักเท่าไร่เพราะอุณหภูมิที่ยังคงหนาวอยู่...กว่าจะต้นไม้จะผลิใบจริงๆก็เกือบจะถึงฤดูร้อนเลยทีเดียว
เมื่อฟ้าลั่นเห็นภูผาซื้อผ้าพันคอให้ศิวะ เขาจึงเลือกซื้อถุงมือหนังอย่างดีให้เพื่อเอาไปใช้คู่กับผ้าพันคอที่ภูผาซื้อให้ โดยไม่วายจะพูดหยอกศิวะว่า
“เห็นมั้ยครับ พี่เสือ ผมกับหมอกน่ะเกิดมาคู่กัน....หมอกเค้าซื้อผ้าพันคอให้พี่.....ผมก็ซื้อถุงมือให้.....ของสองอย่างนี้ใช้กันหนาว แล้วก็ต้องใช้คู่กันอีกต่างหาก” ศิวะฟังแล้วก็ส่ายหน้าหัวเราะชอบใจ เขารู้ดีว่าแม้ฟ้าลั่นจะพูดอย่างนั้น....หรือแม้แต่คอยกันท่าเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ในแววตาคู่นั้นของฟ้าลั่นก็แฝงด้วยความรัก เคารพและความเป็นเป็นห่วง มอบให้เขาเช่นเดียวกับภูผา
ทุกๆคนพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนัก เพื่อถ่ายรูปและกล่าวคำอำลากับศิวะ หลายคนน้ำตาคลอเพราะคิดถึงความจริงว่าคงจะไม่ได้พบหน้าศิวะบ่อยครั้งอย่างเช่นอดีต ศิวะพยายามแบ่งเวลาให้กับทุกๆคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทจนกระทั่งพนักงานประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง เขาจึงต้องกล่าวลา บิดามารดา และทุกๆคนที่มาส่ง สุดท้ายจึงเดินมาหาภูผาและฟ้าลั่นที่ยืนดูอยู่ห่างๆ แล้วดึงตัวทั้งคู่เข้ามากอด พร้อมกับบอกว่า
“ฟ้าลั่น...ดูแลน้องหมอกให้ดีๆนะครับ”
“น้องหมอกก็ต้องดูและฟ้าลั่นให้ดีๆด้วยนะครับ”
“แล้วพี่จะเมลล์มาหาเราทั้งคู่บ่อยๆนะครับ.....คิดถึงพี่ด้วยนะครับ ทั้งสองคน” ศิวะกล่าวตบท้าย
“ครับ....” ฟ้าลั่นและภูผารับปากพร้อมกัน พร้อมส่งยิ้มให้ศิวะอย่างจริงใจ หลังจากที่ศิวะคลายอ้อมกอดออกจากตนทั้งคู่
ครั้นเสร็จสิ้นจากการอำลา....ศิวะจึงเดินถือกระเป๋าเข้าประตูผู้โดยสารขาออก โดยไม่วายจะหันมาโบกมือให้ทุกๆคนที่ยังคงยืนอยู่นอกประตู ก่อนจะเดินลับสายตาไป
*****************************