The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ  (อ่าน 25829 ครั้ง)

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ง่ะกำลังอ่านสนุกๆ55 รอตอนต่อไปฮะ

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 33 แม่

.........................

พอรัตติกับมาริโอเดินออกจากตรอกซอยนั้นแล้ว เด็กหนุ่มก็หยิบแผนที่จากในกระเป๋าขึ้นมากางดูแต่ก็พบกับความล้มเหลว เนื่องด้วยดินแดนเอลฟ์ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในตัวแผนที่ จึงทำให้รัตติไม่สามารถรู้ตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ในขณะนี้ได้ ส่วนเรื่องจะถามทางกับพวกเอลฟ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่รัตติเดินย่างกรายเข้าไป พวกเอลฟ์ก็พากันเดินหนีหรือไม่ก็ปิดหน้าต่างประตูใส่หน้าทันที

แล้วแบบนี้จะเดินไปที่ตึกรับภารกิจได้ยังไงกันล่ะ

รัตติครุ่นคิดอย่างหนักใจ ส่วนมาริโอที่กอดแขนรัตติอยู่นั้น มันเองก็รู้สึกถึงอารมณ์ของรัตติได้เช่นกัน ดังนั้นมาริโอจึงกอดแขนรัตติแน่นขึ้น เพื่อให้เด็กหนุ่มได้รู้ว่าตอนนี้ยังมีมันอยู่ด้วยนะ ทว่ารัตติกับมาริโอเดินไปได้สักพัก ที่กลางถนนก็ได้มีพวกเอลฟ์ยืนมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งรัตตินึกสนใจจึงเดินลากมาริโอฝ่าฝูงชนเอลฟ์เข้าไปดูด้วยบ้าง เมื่อเดินแทรกไปจนสำเร็จแล้ว รัตติก็ได้ภาพของหนุ่มเอลฟ์ที่รัตติช่วยไว้เมื่อก่อนหน้านี้กำลังถูกพวกเอลฟ์ด้วยกันนับสิบรุมทำร้ายอยู่

บึก!

“อั่ก!” หนุ่มเอลฟ์กระอักเลือดทันทีที่ถูกถีบเข้าที่ช่วงท้อง ซึ่งทำเอารัตติถึงกับโมโห

อะไรของพวกเขา นี่คนโดนทำร้ายอยู่นะ ทำไมถึงยังนิ่งเฉยได้!

รัตติด่าทอพวกเอลฟ์ที่ยืนมองโดยไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือในใจ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาพวกนั้นทันทีโดยไม่สนใจมาริโอที่พยายามยื้อยุดไม่ให้รัตติเข้าไปช่วย

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” รัตติตะโกนห้าม ซึ่งทำเอาพวกเอลฟ์ตัวใหญ่สิบตนหันหลังกลับมามองรัตติพร้อมกัน “เป็นเอลฟ์ซะเปล่า ทำไมถึงต้องรุมกันด้วย คนนั้นเขาทำอะไรผิดถึงต้องซ้อมจนซะเกือบปางตาย”

หนึ่งในเอลฟ์ที่ถีบท้องหนุ่มเอลฟ์มองรัตติตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า

“เป็นมนุษย์ก็อยู่ส่วนของมนุษย์ อย่ามาเสือกยุ่งเรื่องของเอลฟ์หน่อยเลย”

“ผมคงต้องยุ่ง เพราะผมทนเห็นเอลฟ์สิบคนรุมรังแกเอลฟ์คนเดียวไม่ได้” รัตติตอบเสียงเข้มพลางใช้มือขวาแตะฝักดาบเตรียมพร้อมสู้ทุกเมื่อถ้าหากพวกนั้นเข้ารุมเขาจริงๆ ส่วนพวกเอลฟ์ที่ได้ยินคำพูดของรัตติแล้วถึงกับส่งเสียงหัวเราะเยาะ

“ฮะๆ แล้วแกคิดหรือว่าไอ้นี่จะยอมรับความช่วยเหลือจากแกนะไอ้มนุษย์” เอลฟ์ตนเดิมพูดพลางดึงผมหน้าของหนุ่มเอลฟ์ที่ตอนนี้โทรมจนดูไม่ได้ขึ้นมาให้รัตติเห็นชัดๆ “จะบอกให้เอาบุญ ไอ้หมอนี่น่ะเป็นถึงเจ้าชายเอลฟ์ แถมเป็นเจ้าชายนอกสายเลือดที่แม้กระทั่งราชาเอลฟ์ที่สวรรคตไปยังไม่เหลียวแลซะด้วย หึ รู้แบบนี้แล้วแกยังคิดจะช่วยไอ้เจ้าชายเอลฟ์อยู่ได้อีกรึไอ้มนุษย์ ไอ้นี่หยิ่งเสียจนขนาดตัวองครักษ์ของมันเอง มันยังไม่ยอมให้องครักษ์เข้ามาช่วยเลย ฮะๆ”

หนุ่มเอลฟ์ที่รัตติคิดว่าสลบไปแล้ว เหลือบตาซ้ายที่ยังปกติขึ้นมาก่อนจะเอ่ยปากพูดว่า

“ข้า…ไม่ต้องการ…ความ…ช่วยเหลือ…จากเจ้า…ไอ้…มนุษย์”

“ฮะๆ เห็นไหมล่ะ นี่ขนาดโดนซ้อมจนเกือบปางตายแล้ว มันยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเจ้าเลย!” เอลฟ์ที่จับผมหนุ่มเอลฟ์พูดไปหัวเราะไป

“แล้วยังไงล่ะครับ ถึงเขาจะเป็นเจ้าชายนอกสายเลือดหรือจะหยิ่งตามที่พวกคุณว่า แต่ผมก็จะช่วยเขาอยู่ดีนั่นแหละครับ” คำพูดของรัตติทำเอาเอลฟ์ตนนั้นถึงกับหยุดหัวเราะ ก่อนจะมองรัตติอย่างเอาเรื่อง

“ฮึ พูดวอนหาเรื่องเองนะไอ้มนุษย์” เอลฟ์พูดเสียงเข้มก่อนจะหันไปเชิดหน้าให้กับพรรคพวก “เฮ้ย พวกแกจัดการสั่งสอนไอ้มนุษย์นี่หน่อยซิ จะได้เลิกอวดดีซักที”

แล้วพวกเอลฟ์ก็เดินออกมาสามตน ซึ่งรัตติเห็นดังนั้นจึงพูดกับมาริโอเบาๆว่า

“มาริโอคอยช่วยผมด้วยนะครับ แต่อย่าให้ถึงตายนะ”

“อื้อ ได้อยู่แล้ว” มาริโอตอบก่อนจะปล่อยแขนรัตติออกเพื่อให้รัตติได้สู้สบายๆ ส่วนมันก็รีบตั้งท่ารอเตรียมพร้อมสู้ แล้วเอลฟ์สามตนก็ดาหน้าเข้ามาโดยไม่ให้สัญญาณ ซึ่งทีแรกรัตติตั้งใจว่าจะใช้ดาบในการต่อสู้ แต่พอเห็นทั้งสามตนไม่ได้ใช้อาวุธสักชิ้น เด็กหนุ่มจึงปล่อยมือออกจากฝักก่อนจะกำหมัดตั้งท่าเตรียมสู้ แล้วทันใดนั้นเอลฟ์ตนหนึ่งเข้ามาประชิดรัตติจากด้านหน้าพลางใส่หมัดอย่างเร็วหมายจะตะบันหน้าหวานของอีกฝ่ายให้ยับเยิน แต่ทว่ารัตติสามารถหลบได้ทันก่อนจะสวนหมัดกลับไปอย่างเร็ว ทำให้โดนแก้มของอีกฝ่ายเข้าไปเต็มๆ

ตูม!

150


ร่างของเอลฟ์กระเด็นกลิ้งกับพื้นก่อนจะสลบไปในคราเดียว ซึ่งทำให้พวกเอลฟ์ที่จ้องมองการต่อสู้ของพวกรัตติแล้วพากันมองเด็กหนุ่มผมสีเงินด้วยความตะลึง

“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 10 หน่วย”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งรัตติไม่ได้สนใจที่จะฟังเพราะมัวแต่มองพวกเอลฟ์

“เด็กหนุ่มที่เป็นมนุษย์ไม่ธรรมดาเลยนะ สามารถล้มเจ้าหมอนั่นได้ด้วยหมัดเดียว”

“หรือว่ามันจะไม่ใช่มนุษย์ เพราะถ้าเป็นมนุษย์จริง ไม่น่ามีพลังมากถึงขนาดนี้”

พวกฝูงชนเอลฟ์ต่างพูดวิเคราะห์ในตัวของรัตติอย่างสงสัย ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งเอลฟ์ร่างยักษ์ที่เคยสั่งพรรคพวกให้รุมรัตติด้วย

“เมื่อกี้เจ้านั่นก็แค่ลื่นหกล้ม อย่าทำเป็นได้ใจไปนะไอ้มนุษย์” จากนั้นเอลฟ์ตนนั้นก็หันไปหาพรรคพวกที่เหลือ “โต๊ะจีนเว้ย สหาย”

สิ้นเสียงคำสั่ง บรรดาเอลฟ์ต่างกรูเข้าใส่รัตติจากทุกด้าน ทำให้รัตติรีบผลักมาริโอให้ไปไกลๆก่อนที่ตัวเขาเองขยับออกห่างจากมาริโอให้ได้มากที่สุด แล้วหันไปรับมือกับพวกเอลฟ์ที่เข้ามาประชิดตัวเขา

บึก! ผลัก! ตุบ!

199

180

196


รัตติทั้งศอกทั้งเข่าใส่เอลฟ์เพื่อเอาตัวรอด ซึ่งแทนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของพวกเอลฟ์อย่างที่ควรจะเป็น แต่นี่กลับไม่เจ็บปวดเลยสักนิด แถมพวกเอลฟ์ที่ถูกรัตติจัดการนั้นกลับร้องด้วยความเจ็บปวดแทน และนอกจากนี้รัตติยังรู้สึกถึงความคุ้นเคยรูปแบบการต่อสู้ที่เขากำลังงัดขึ้นมาใช้กับพวกเอลฟ์ ทั้งๆที่เขาจำไม่ได้ว่าเคยฝึกมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเอลฟ์หลายตนต้องลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้นด้วยอนุภาพของศอกอันแหลมคม บ้างก็จุกจนตัวงอเพราะถูกเข่าแทงเข้ากลางลิ้นปี่ บ้างก็โดนศอกงัดเข้าที่คางจนสลบไปเลยก็มี ส่วนมาริโอที่โดนรัตติผลักไปก่อนหน้านี้ก็เข้ามาช่วยรัตติจัดการด้วยการกระโดดเหยียบหัวพวกเอลฟ์

ป๊อก! ป๊อก!

100

120


“แม่งเอ้ย! เก่งดีนักใช่ไหม ลองนี่หน่อยเป็นไร” เอลฟ์ตนหนึ่งทนเห็นความแกร่งกาจของรัตติไม่ไหวจึงงัดมีดสั้นออกมาเสียบแขนเด็กหนุ่มทันที ซึ่งแน่นอนว่ารัตติเองก็คาดไม่ถึง จึงโดนมีดเสียบเข้าที่แขนอย่างจัง

ฉึก!

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์โดนโจมตีจากเอลฟ์ พลังลดลง30หน่วย”

เสียงระบบประกาศก่อนที่เกล็ดแข็งสีฟ้าโผล่ออกมา ซึ่งทำให้มีดสั้นที่จมหายไปในเนื้อถึงกับหลุดออกมาในรูปหงิกงอราวกับโดนของแข็งเข้าไป ส่วนบาดแผลที่รัตติมีอยู่นั้นก็ค่อยฟื้นฟูสภาพทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งทำเอาพวกเอลฟ์ที่จ้องมองรัตติถึงกับตะลึง

“เด็กหนุ่มคนนี้เป็นมังกรนี่!” เอลฟ์ผู้ที่อยู่ใกล้รัตติสุดตะโกนพูดด้วยความตกใจ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงพูดของพวกเอลฟ์ที่ตกใจจนเข่าอ่อนเมื่อได้รู้เผ่าพันธุ์ที่แท้จริงของเด็กหนุ่ม

“โอ้ท่านผู้สูงศักดิ์ โปรดให้อภัยกับความโง่เขลาของพวกเราด้วย”

“เอ๋?!” รัตติร้องอุทานด้วยความแปลกใจ แล้วทันใดนั้นพวกเอลฟ์ต่างพากันนั่งลงก้มหัวขอโทษเด็กหนุ่มอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งพวกเอลฟ์ที่หาเรื่องรัตติด้วย

“ทะ…ท่าน…ผู้สูงศักดิ์โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย! พวกข้าผิดไปแล้ว” ความเปลี่ยนแปลงของพวกเอลฟ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำเอารัตติกับมาริโอถึงกับมึนงง เมื่อรัตติเห็นว่าอีกฝ่ายร้องขอชีวิตจากเขาแล้ว จึงใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ซะเลย

“ถ้างั้นก็เลิกรังแกคนไม่มีทางสู้ซะ โดยเฉพาะเจ้าชายคนนี้ ห้ามรังแกอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน”

“ขอรับ” แล้วพวกเอลฟ์ที่รังแกเจ้าชายเอลฟ์ก็พากันแบกร่างพรรคพวกเดินหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเหลือก็แต่พวกฝูงชนที่ยังคงนั่งก้มหัวให้รัตติอยู่อย่างนั้น

“พวกคุณก็ด้วย ขืนนั่งก้มหัวอยู่อย่างนี้อีก ผมจะไม่เกรงใจอีกแล้วนะ”

“ขอรับ!” เมื่อพูดจบ พวกเอลฟ์ก็รีบพากันแยกย้ายสลายโต๋ไปอย่างเร็ว ซึ่งภาพที่เอลฟ์พากันหวาดกลัวรัตตินั้นทำเอามาริโอนึกอะไรบางอย่างออกได้

หึๆ ในเมื่อพวกนี้เกรงกลัวรัตติกันถึงขนาดนี้

โป๊ก!

เสียงมาริโอถูกรัตติเขกกะบาล

“อย่าแม้แต่จะคิดครับคุณมาริโอ” รัตติพูดเตือนเสียงเข้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว “เอ๊ะ นี่ผมทำอะไรลงไปครับเนี่ย”

มาริโอได้ยินที่รัตติพูด มันก็นึกดีใจที่ความทรงจำของรัตติกำลังใกล้จะกลับคืนมาในไม่ช้านี้แล้ว เพราะตั้งแต่รัตติความจำเสื่อม เด็กหนุ่มแทบไม่เคยลงโทษมาริโอด้วยการทุบตีเลยสักครั้งเดียว ผิดกับรัตติที่ยังคงสับสนว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกหมั่นไส้มาริโอไม่หายสักที แล้วหลังจากนั้นรัตติก็หันไปรักษาเจ้าชายเอลฟ์ที่นอนอยู่กับพื้น ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก บาดแผลที่เคยมีก็พลันหายไปพร้อมกันเป็นปลิดทิ้ง ทำให้เจ้าชายเอลฟ์ลืมตาขึ้นมาดูผู้ที่รักษาให้กับตัวเอง

“เอ่อ…ขะ”

“กระหม่อมต้องไปแล้ว ขอให้พระองค์ทรงรักษาพระวรกายด้วย” รัตติพูดตัดบทเพราะไม่อยากจะสร้างความรำคาญใจให้กับเจ้าชายเอลฟ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันไปจูงมือมาริโอให้ออกเดินต่อ

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป!” เจ้าชายเอลฟ์ตะโกนเรียก ซึ่งทำเอารัตติหยุดเดินพลางหันหน้ากลับมามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย “ขะ…ข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเอลฟ์ผู้ต้อยต่ำอย่างข้าเอาไว้ถึงสองครั้งสองครา”

รัตติได้ยินถึงกับอึ้งเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดขอบคุณนี้จากเจ้าชายเอลฟ์

“พระองค์ทรงตรัสชมกระหม่อมมากเกินไปแล้วพะยะค่ะ” รัตติพูดแย้งกลับไปบ้าง “กระหม่อมก็เพียงแค่ทำหน้าที่ๆทุกคนควรพึงกระทำเท่านั้น หากพระองค์ทรงไม่พอพระทัย กระหม่อมยินดีขอรับความผิดทุกเมื่อพะยะค่ะ”

พอรัตติพูดจบก็รีบก้มหัวลงขอโทษ ซึ่งทำเอาอีกฝ่ายถึงกับตกใจสุดขีด

“ท่านอย่าก้มหัวให้ข้าแบบนี้สิ” เจ้าชายเอลฟ์พูดเสียงลนลานพร้อมกับหันซ้ายหันขวาราวกับกลัวว่าจะมีใครมาเห็น “ถึงแม้ตัวข้าจะเป็นถึงเจ้าชายเอลฟ์ แต่กับท่าน...ท่านเป็นถึงชนเผ่ามังกร เป็นผู้มีศักดิ์และสิทธิ์เหนือกว่าเอลฟ์อย่างข้ามากนัก”

เมื่ออีกฝ่ายบอกไม่ให้รัตติก้มหัว เด็กหนุ่มก็เลยต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายเอลฟ์ตามเดิม แต่ทว่ารัตติยังไม่ได้ทันเอ่ยปากพูดอะไรอีก ก็เห็นพวกปฐพีที่รัตติคิดว่ากลับห้องพักไปแล้ว กำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“ในที่สุดก็เจอซักที หาอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็อยู่แถวนี้นี่เอง” ปฐพีพูดเสียงห้วน ซึ่งทำให้เจ้าชายเอลฟ์ที่ยืนมองรัตติอยู่นั้นต้องหันหลังกลับไปดู

“โอ คนพวกนี้คือข้ารับใช้ของท่านใช่ไหม” เจ้าชายเอลฟ์ถามรัตติอย่างคาดเดา

“พะยะค่ะ”  จู่ๆ ศาสตราก็พูดแทรกกะทันหัน ทำให้รัตติกับมาริโอหันไปมองศาสตราอย่างสงสัย แต่แล้วพิภพที่ยืนอยู่ด้านหลังปฐพีกลับก้าวเท้าเดินออกมายืนอยู่ข้างหน้าพลางก้มหัวลงทำความเคารพให้กับเจ้าชายเอฟ์ แล้วจึงค่อยเงยหน้าขึ้นตอบ

“ต้องขออภัยที่พวกกระหม่อมแนะนำตัวช้าไป พวกกระหม่อมทั้งสามคนเป็นข้ารับใช้ของท่านรัตติพะยะค่ะ” พิภพพูดพลางหันหน้ามาขยิบตาให้กับรัตติ “เพราะพวกเราสามคนมัวแต่ชื่นชมทัศนียภาพของเมืองเอลฟ์จนลืมท่านไป โปรดให้อภัยกับละเลยในหน้าที่ของพวกเราด้วยนะขอรับท่านรัตติ”

ทีแรกมาริโอจะพูดแย้งว่าสามคนนี้ไม่ใช่ข้ารับใช้ของรัตติแต่เป็นคนรู้จักกันเท่านั้น แต่พอรู้สึกรังสีอำมหิตจากพวกปฐพีกับรัตติแล้ว มันก็ยอมเงียบแต่โดยดี

“ไม่เป็นไร ผมให้อภัยพวกคุณ” รัตติตอบ แล้วหลังจากนั้นเจ้าชายเอลฟ์ก็ได้เอ่ยปากชักชวนให้เข้าไปพักในวังหลวงด้วย ซึ่งรัตติรีบพูดปฏิเสธก่อนจะขอตัวแยกย้ายกลับที่พักพร้อมกับสามหนุ่มอย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังที่อีกฝ่ายพยายามตะโกนเรียกชื่อเด็กหนุ่มเลยสักนิด แต่ทว่าเรื่องของรัตติที่เป็นมังกรนั้นพวกเอลฟ์ได้ลือกันทั่วบ้านทั่วเมือง จึงทำให้พวกรัตติที่เดินกลับไปถึงที่พักแล้ว พวกขุนนางของเอลฟ์ต่างมาเตรียมการต้อนรับเด็กหนุ่มเป็นอย่างดี จัดหุงหาอาหารพร้อมนางระบำให้พร้อมเสร็จสรรพ จนรัตติพูดปฏิเสธไม่ทัน ส่วนพวกสามหนุ่มกับมาริโอที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทางของรัตติก็จำต้องโยกย้ายมาเป็นข้ารับใช้ของรัตติอย่างช่วยไม่ได้

................

ที่นี่มันที่ไหนกัน?

ร่างเด็กหนุ่มหน้าหวานผมสีเงินสั้นยืนหันซ้ายหันขวาอย่างสับสน เพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด อากาศเย็นยะเยือกส่งผลให้รัตติที่มีเพียงแค่ชุดนอนบางเบาต้องเอามือกอดอกเพื่อคลายความหนาวเย็น

ทำไมมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดไปหมด

รัตติครุ่นคิดในใจอย่างสับสน แต่พออยู่นานๆเข้า จิตใจของเด็กหนุ่มก็เริ่มหวาดกลัวจนถึงกับก้าวเท้าไม่ออก เพราะนอกจากที่นี่จะมืดกับอากาศหนาวเย็นสุดขั้วแล้ว แม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเองก็ยังไม่ได้ยิน

มานี่สิ

เอ๋?


รัตติขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้

มาทางนี้สิจ้ะ

เสียงนั้นเรียกเด็กหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าต้นเสียงนั้นเป็นใครกันแน่

หรือว่าจะเป็น…ผี

เมื่อนึกถึงจุดนี้แล้ว เด็กหนุ่มได้แต่ยืนขาสั่น ก้าวเท้าไม่ออก เหงื่อแตกพลั่ก ขนลุกชูชันทั้งตัว

ไม่ใช่ผีจ้ะ เสียงนั้นตอบปฏิเสธรัตติ ซึ่งทำให้รัตติถึงกับสะดุ้งตกใจ มาทางนี้สิรัตติ

เสียงนั้นยังคงเรียกให้รัตติเดินไปหา จึงทำให้เด็กหนุ่มยอมเดินไปแต่โดยดี ซึ่งรัตติเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นร่างบางสูงเพรียวในชุดกิโมโนยืนอยู่ท่ามกลางความมืด

มองไม่เห็นหน้าเลยแฮะ รัตติคิดในใจพลางหรี่ตามองดูให้ชัดๆ แต่ก็ไร้ผล เด็กหนุ่มเห็นแต่เพียงรูปร่างกับเสื้อผ้าที่สวมใส่เท่านั้น ว่าแต่คุณเป็นใครหรือครับ แล้วเรียกผมมาที่นี่ทำไม

อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับยื่นมือเรียวขาวละหงมาจับแขนขวาของรัตติก่อนจะเข้าสวมกอดได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งทำเอารัตติถึงกับสะดุ้งตกใจเป็นครั้งที่สอง

ไม่ต้องกลัวนะจ้ะ โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวนะ

เสียงกระซิบพูดปลอบใจรัตติดังอย่างแผ่วเบาราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล ซึ่งรัตติรู้สึกถึงมือของอีกฝ่ายที่มาลูบหัวของเขาอย่างนุ่มนวล ถึงแม้รัตติจะไม่รู้จักใบหน้าค่าตาหรือชื่อของอีกฝ่ายก็ตาม แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับอ้อมกอดนี้มานานแสนนาน

หรือว่าคนๆนี้จะเป็น...

ท่านแม่


พอคิดได้ดังนั้น น้ำตาก็พลันไหลลงอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว ความอบอุ่นที่ห่างเหินไปนานก็ได้หวนกลับมาอีกครั้ง

กาเหว่าเอย                ไข่ให้แม่กาฟัก
แม่กาหลงรัก                        คิดว่าลูกในอุทร

คาบข้าวมาเผื่อ            คาบเหยื่อมาป้อน
ปีกหางเจ้ายังอ่อน                   สอนร่อนสอนบิน

แม่กาพาไปกิน             ที่ปากน้ำแม่คงคา
ตีนเหยียบสาหร่าย                  ปากก็ไซ้หาปลา
         
กินกุ้งกินกั้ง                กินหอยกระพังแมงดา
กินแล้วบินมา                       จับต้นหว้าโพธิ์ทอง
         
นายพรานเห็นเข้า         เยี่ยมเยี่ยมมองมอ
ยกปืนขึ้นส่อง                       หมายจ้องแม่กาดำ
         
ตัวหนึ่งว่าจะต้ม           ตัวหนึ่งว่าจะยำ
แม่กาตาดำ                          แสนระกำใจเอย


ครั้นเมื่อเสียงเพลงกล่อมเด็กจบ ร่างเด็กหนุ่มก็ผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาในอ้อมกอดของผู้หญิงที่ตนไม่รู้เลยว่าเป็นแม่ที่ถอดวิญญาณออกมาเข้าฝันลูกชายของตัวเอง

แม่ขอโทษที่แม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับลูกไม่ได้ เหม่ยจิงครุ่นคิดในใจพลางก้มมองลูกชายที่เติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ซึ่งเธอนึกเสียดายที่ไม่ได้ดูแลลูกชายด้วยมือของเธอเอง เหม่ยจิงมองลูกชายได้ไม่นานนัก เธอก็วางลูกชายลงนอนกับพื้นอย่างนุ่มนวลเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่น แล้วแม่จะกลับมาเยี่ยมลูกอีก

ราตรีพิสุทธิ์

แล้วร่างบางในชุดกิโมโนก็พลันหายไป โดยปล่อยทิ้งให้ลูกชายนอนอยู่ตรงนั้น 

..............................

 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: The Real of Life Online (บทที่ 33 แม่ (update 100%) P.3 2/03/58)
«ตอบ #62 เมื่อ02-03-2015 17:57:09 »

บทที่ 34 ไม่คาดฝัน

.........................

เช้าวันต่อมารัตติต้องเดินออกมาหาตึกรับภารกิจด้วยตัวคนเดียว เนื่องจากสามหนุ่มกับหนึ่งตัวต้องทำงานที่พวกเอลฟ์ให้ทำอยู่ ยกเว้นรัตติเพียงคนเดียวที่พวกเอลฟ์ไม่ยอมให้ทำเนื่องจากรัตติเป็นมังกรชั้นสูง ดังนั้นจึงทำให้เด็กหนุ่มต้องเดินออกมาจากที่นั่นพร้อมแผนที่เมือง ซึ่งพวกขุนนางของเอลฟ์มอบไว้ให้ใช้ฟรี หลังจากรัตติเดินออกมาจากที่พักแล้ว เขาก็เดินตรงไปยังตึกรับภารกิจที่มีเขียนไว้บนแผนที่ทันที

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” พนักงานสาวกล่าวพลางพนมมือยกไหว้เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเดินเข้ามาถึงเคาน์เตอร์ ซึ่งทำเอารัตติแทบยกมือขึ้นไหว้ไม่ทัน

“เอ่อ ผมจะมาสอบถามเกี่ยวกับภารกิจพิเศษนะครับ” รัตติตอบก่อนจะถามต่อ “ภารกิจระดับเอ เอ่อ กู้วิกฤตดินแดน…เอลฟ์นะครับ”

พนักงานสาวได้ยินที่รัตติพูดก็ฉีกยิ้มหวานก่อนจะตอบกลับไปว่า

“งั้นกรุณารอสักครู่นะคะ” แล้วพนักงานสาวก็คีย์ข้อมูลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบรัตติว่า “ภารกิจนี้คุณผู้เล่นจะต้องช่วยเหลือเจ้าชายเอลฟ์ค่ะ แต่ทางเราไม่สามารถบอกได้ว่าคุณผู้เล่นจะต้องช่วยยังไง อ้อ แล้วภารกิจนี้คุณผู้เล่นสามารถขอให้ผู้เล่นคนอื่นช่วยได้นะคะถ้าหากคุณมีระดับที่ต่ำกว่ายี่สิบค่ะ”

รัตติขมวดคิ้วคิดย้อนกลับไปตอนที่เขาเปิดหน้าต่างสถานะดู ซึ่งตัวเขาในตอนนี้มีระดับแค่สิบเท่านั้นเอง

“แล้วภารกิจนี้เขาจำกัดจำนวนคนที่จะช่วยผมหรือเปล่าครับ”

“ไม่จำกัดจำนวนคนค่ะ ภารกิจนี้แล้วแต่คุณผู้เล่นนะค่ะ” พนักงานสาวตอบก่อนจะพูดอธิบายต่อ “แต่ภารกิจนี้จะพิเศษกว่าภารกิจอื่นตรงที่ทางเราจะมีของพิเศษมอบให้ไว้ใช้ยามจำเป็นด้วยค่ะ”

“ท่านได้รับชุดเซตตัวช่วยภารกิจพิเศษระดับเอ กู้วิกฤตดินแดนเอลฟ์เป็นจำนวน 1 เซต”

“ของชิ้นนี้คุณสามารถเปิดดูได้ค่ะ แต่ยังใช้ไม่ได้ถ้ายังไม่ถึงเวลานั้นจริงค่ะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

จากนั้นรัตติก็ถามถึงเรื่องเวลาของการทำภารกิจนี้ ซึ่งพนักงานสาวบอกว่าต้องทำให้สำเร็จภายในเจ็ดวัน เมื่อหมดคำถามแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินออกจากตึกรับภารกิจทันที ซึ่งหลังจากนี้รัตติคิดว่าจะลองเดินสำรวจเมืองเล่นดู เผื่อจะเจอข้อมูลดีๆเกี่ยวกับภารกิจนี้ก็เป็นได้ ทว่าการเดินทางตามหาข้อมูลนั้นไม่ใช่ของง่าย เพราะไม่ว่าเขาเดินไปทางไหน พวกเอลฟ์ต่างมองด้วยสายตาชื่นชมซึ่งผิดกับเมื่อวานลิบลับ

สงสัยต้องไปหาเจ้าชายเอลฟ์ซะแล้วมั้ง

รัตติคิดในใจก่อนจะเดินเข้าไปถามเอลฟ์หญิงวัยกลางคนที่ยืนขายผลไม้แผงลอยอยู่ข้างทาง เมื่อทราบที่อยู่ของเจ้าชายพร้อมกับผลไม้จำนวนหนึ่งที่ได้มาฟรีจากแม่ค้าเอลฟ์คนนั้นแล้ว รัตติก็มุ่งตรงไปยังที่อยู่ของเจ้าชายเอลฟ์ทันที พอถึงวังหลวงแล้ว พวกขุนนางที่เคยต้อนรับเขาเมื่อคืนนี้ต่างกรูเข้ามาต้อนรับรัตติทันทีที่พวกทหารยามไปแจ้งบอกกับพวกเขา

“เอ่อ ผมไม่ได้คิดจะมาเที่ยวหรอกครับ ผมก็แค่ต้องการมาหาเจ้าชายเอลฟ์นะครับ” รัตติรีบบอกเพราะกลัวอีกฝ่ายจะพาเขาเดินชมวังหลวง ซึ่งคำถามของเขาทำเอาเอลฟ์ชายวัยกลางคนที่มีผมขาวเกรียนสั้นติดหนังหัวอ้วนท้วมไปด้วยไขมันถึงกับชะงัก

“ท่านต้องการพบใครหรือขอรับ”

“เจ้าชายเอลฟ์นะครับ” พอสิ้นคำตอบ พวกเอลฟ์ที่ยืนล้อมรัตติพากันสะดุ้ง

“เมื่อครู่นี้ท่านพูดอะไรนะขอรับ พอดีข้าได้ยินไม่ชัด” เอลฟ์อ้วนเผละถามพลางเอามือขึ้นเช็ดเหงื่อ

“เจ้าชายเอลฟ์ ผมต้องการพบกับเจ้าชายนะครับ” รัตติตอบก่อนจะนึกถึงคำพูดของพวกนักเลงเอลฟ์ในเมื่อวานนี้ได้ “เอ่อ ถ้าไม่สะดวกจะพาไปล่ะก็ ผมไม่ไปหาเจ้าชายแล้วล่ะครับ ขอตัวกลับก่อน”

แล้วรัตติก็หมุนตัวเดินกลับทางเดิน โดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่ายเลยสักนิด ทว่ารัตติเดินออกไปได้ไม่พ้นประตูวังหลวงดี ก็ชนกับใครบางคนที่เดินสวนเข้าอย่างจัง

ผลัก!

100


รัตติเกือบล้มหงายท้องแต่โชคยังดีที่อีกฝ่ายจับมือเขาไว้ได้ทัน ซึ่งเป็นหนุ่มเอลฟ์หน้าหวานผมสีน้ำตาลยาวถูกรวบด้วยเชือก สวมเสื้อสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงิน กางเกงผ้าฝ้ายสีดำ ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าบูตสีน้ำเงินเข้ม

“ท่านเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ?” อีกฝ่ายถามด้วยสีหน้ากังวล ซึ่งรัตติกำลังจะอ้าปากตอบว่าไม่เป็นไร เอลฟ์ที่เป็นขุนนางอ้วนๆคนเดิมที่เคยคุยกับรัตติก็สาวเท้าเข้ามาตบหน้าของหนุ่มเอลฟ์ผมสีน้ำตาลอย่างแรง

ฉาด!

“เป็นอดีตองครักษ์แท้ๆ ดันมีหน้าสะเออะมาชนท่านผู้นี้ได้!” เอลฟ์ขุนนางอ้วนด่าอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะหันไปสั่งทหารที่อยู่ใกล้ๆ “ทหาร! จับตัวไอ้องครักษ์นี่ไปขังคุกเดี๋ยวนี้!”

“ดะ...เดี๋ยวก่อนสิครับ ผมว่ามีอะไรเข้าใจผิดกันเล็กน้อยนะ” รัตติรีบแย้งทันควัน ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับชะงัก

“แต่ท่านโดน...”

“ถึงโดนชนแต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนี่ครับ เห็นไหม” รัตติพูดพลางหมุนซ้ายขวาให้ทุกคนดู ก่อนจะหยุดหมุนแล้วพูดต่อ “เห็นไหมว่าผมไม่ได้เป็นอะไร เอ่อจริงสิ คุณเป็นองครักษ์ของเจ้าชายใช่ไหม”

“ชะ...ใช่ขอรับ” อดีตองครักษ์ถึงกับสะดุ้งเมื่อรัตติถาม

“ถ้างั้นช่วยพาผมไปหาเจ้าชายหน่อยได้รึเปล่าครับ” รัตติพูดพลางคว้าแขนขวาอดีตองครักษ์ขึ้นมา

“เอ่อคือ...ก็ได้ขอรับ”

“งั้นมัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบพาผมไปสิครับ” รัตติพูดพลางดึงแขนให้อีกฝ่ายออกเดินนำ ซึ่งหนุ่มเอลฟ์เห็นดังนั้นจึงรีบทำตามคำสั่งแต่โดยดี โดยที่ปล่อยให้พวกขุนนางยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก หลังจากรัตติพาอดีตองครักษ์เดินออกมานอกวังหลวงแล้ว รัตติก็หยุดเดินพลางปล่อยมือของอีกฝ่ายออกก่อนจะหันหน้ากลับไปมองหนุ่มเอลฟ์ผมสีน้ำตาล

“ดีนะที่รีบออกมา ไม่อย่างนั้นมีหวังคุณได้โดนเอลฟ์อ้วนคนนั้นจับคุณไปขังแน่ครับ” รัตติพูดยิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่คุณคือองครักษ์ของเจ้าชายจริงๆใช่ไหมครับเนี่ย”

“ใช่ขอรับท่าน” อีกฝ่ายตอบอย่างสุภาพ ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกเขินเล็กน้อย

“แล้วเจ้าชายอยู่ที่ไหนล่ะครับ ผมอยากพบเขา”

“ท่านรู้จักเจ้าชายด้วยหรือขอรับ ท่านผู้สูงศักดิ์” เอลฟ์หนุ่มถามอย่างสงสัย

“ก็ใช่…รู้จักกันเมื่อวานนี้นะครับ” รัตติตอบก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะ ผมรัตติ”

อีกฝ่ายได้ยินที่รัตติถามถึงกับสะดุ้งตกใจ

“โอ ข้าผู้นี้ต่ำต้อยนัก มิบังอาจบอกนามให้ท่านทราบได้ขอรับท่านผู้สูงศักดิ์”

“นี่แสดงว่าคุณรู้เรื่องเมื่อวานนี้แล้วงั้นสิครับ” รัตติพูดพลางนึกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพวกเอลฟ์ที่เจอมา ซึ่งทุกคนล้วนเห็นเขาราวกับเป็นเทพมาจุติ “เฮ้อ ถึงผมจะเป็นมังกรแต่ผมก็ไม่ได้สูงค่าอย่างที่พวกคุณคิด เพราะฉะนั้นคุณบอกชื่อมาเถอะ”

“แต่ว่า…ก็ได้ขอรับ ข้าน้อยมีนามว่าราเชลขอรับท่าน ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ” เมื่อทราบชื่อแล้ว ราเชลอดีตองครักษ์ของเจ้าชายก็ได้พารัตติไปหาเจ้าชายตามคำขอ ซึ่งทีแรกรัตติคิดว่าที่พักของเจ้าชายจะเป็นพระราชวังตามที่เข้าใจคิด แต่พอได้เห็นจริงๆเข้ากลับเป็นเพียงบ้านซอมซ่อหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ท้ายสุดของวังหลวงติดกับป่าแทน

รู้อยู่หรอกว่าเป็นเจ้าชายนอกสายเลือด

แต่ไม่ยักกะรู้ว่าที่พักจะเป็นแบบนี้


รัตติครุ่นคิดในใจ

“ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะพบเจ้าชายนะขอรับ” ราเชลถามย้ำกับรัตติเป็นครั้งที่สองหลังจากที่เคยถามมาก่อนหน้านี้แล้ว “ข้าน้อยเกรงว่าเจ้าชายจะทรงพิโรธถ้าหากมีใครมา…”

“ข้าไม่โกรธหรอกถ้าคนนั้นเป็นท่านมังกร” เสียงคุ้นแว่วดังจากด้านหลัง ทำให้รัตติรีบหันกลับไปดูก็พบว่าคนพูดเป็นเจ้าชายเอลฟ์ ซึ่งสวมเสื้อผ้าทรงเดียวกับเมื่อวาน แต่ผิดตรงที่สีของเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น

“เอ่อ อรุณสวัสดิ์พะยะค่ะเจ้าชาย”

“เรียกข้าว่ารูนน์เถอะท่านมังกร” เจ้าชายรูนน์บอก ซึ่งทำเอาเด็กหนุ่มเบ้ปากเล็กน้อยกับคำว่า’ท่านมังกร’

“กระหม่อมว่าพระองค์ทรงตรัสนามของท่านผู้นี้ผิดนะพะยะค่ะ ความจริงแล้วท่านมีนามว่ารัตติพะยะค่ะ” อดีตองครักษ์หรือราเชลพูดกระซิบข้างหู

“ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าพูดนะราเชล” เจ้าชายรูนน์พูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาราเชลถึงกับหน้าหงอยพลางเดินถอยห่างออกมาสองสามก้าวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “แล้ววันนี้ท่านมาหาข้ามีธุระอันใดรึท่านรัตติ”

คำถามของเจ้าชายรูนน์ทำเอารัตติถึงกับพูดไม่ออก เพราะถ้าจะให้ตอบว่ามาทำภารกิจที่ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยก็คงดูแปลกๆ แล้วถ้ายิ่งถามเกี่ยวกับเนื้อหาภารกิจ สองคนนี้ก็คงตอบคำถามเขาไม่ได้อยู่ดี เพราะทั้งคู่เป็นแค่เอ็นพีซีเท่านั้น

“เอ่อ กระหม่อมก็แค่อยากจะชวนพระองค์เสด็จทอดพระเนตรที่ตลาดนะพะยะค่ะ”

“ชมตลาดงั้นรึท่าน”

“พะยะค่ะ” รัตติตอบส่งเดช เพราะเขาไม่รู้จะเริ่มต้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจนี้ยังไงดี จึงเล็งไปที่ตลาดแทน ซึ่งอาจจะมีข้อมูลของภารกิจนี้หลงโผล่ออกมาบ้างเหมือนตอนที่เขาได้เจอกับเจ้าชายรูนน์โดยบังเอิญ

“ตกลงตามนั้น ข้าจะไปกับท่าน” เจ้าชายรูนน์ตอบ ก่อนจะพูดต่อด้วยประโยคที่ทำให้ราเชลถึงกับหยุดชะงักเดินทันที “ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่ราเชล ข้ากับท่านรัตติจะไปกันแค่สองคน”

“แต่กระหม่อมเกรงว่าพระองค์ทรงอาจจะมีอันตราย...”

“ข้าอยู่กับท่านรัตติไม่มีคำว่าอันตราย” เจ้าชายรูนน์ตอบเสียงเข้ม “ไปกันเถอะท่านรัตติ ข้าไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นาน”

แล้วเจ้าชายรูนน์ก็ดึงแขนของรัตติให้ออกเดินทันที ซึ่งพอมาถึงตลาด แน่นอนว่าพวกรัตติเป็นที่จับตามองของพวกเอลฟ์ โดยเฉพาะเจ้าชายรูนน์ที่ถูกพวกเอลฟ์ชาวบ้านซุบซิบนินทาอยู่ตลอดทาง

“ดูมันทำสิ คงอยากจะได้หน้าถึงทำเป็นสนิทชิดเชื้อท่านมังกรผู้สูงศักดิ์”

หรือไม่ก็

“ไม่ไหว เดินข้างท่านทำให้ท่านต้องมัวหมองเลย”

รัตติได้ยินคำพูดเหล่านั้นชัดเจนแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สรุปว่าวันนั้นรัตติไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับภารกิจเลยสักนิด มีแต่ได้ยินเสียงนินทาเจ้าชายเพียงอย่างเดียว แล้ววันต่อมารัตติก็ชวนเจ้าชายรูนน์เที่ยวอีกไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันเวลาออนไลน์ของรัตติก็เข้าวันที่หกของการออนไลน์เกม คราวนี้รัตติกับเจ้าชายรูนน์ไม่ได้เดินตลาดแต่เป็นเดินเล่นในป่าที่อยู่นอกริมชานเมือง

“ท่านอย่าเดินออกไปไกลนะขอรับ เพราะตอนนี้พวกกองทัพราชาปีศาจยังเดินเพ่นพ่านอยู่” ทหารเอลฟ์ที่เฝ้าประตูเมืองบอกรัตติ ซึ่งเขาพยักหน้าตอบแต่โดยดี ก่อนจะออกเดินต่อโดยที่เจ้าชายรูนน์ยืนรออยู่ห่างๆแล้ว

แม้กระทั่งทหารก็ยังไม่คิดจะห่วงเจ้าชายรูนน์ รัตติคิดในใจพลางมองอีกฝ่ายด้วยความสงสารที่ถูกคนในดินแดนเอลฟ์หมางเมิน ซึ่งมีคนเดียวที่ห่วงเจ้าชายรูนน์ก็คือราเชล อดีตองครักษ์ที่กำลังแอบเดินตามหลังมาห่างๆ คงจะเป็นห่วงเจ้าชายรูนน์

รัตติรับรู้การเดินตามของราเชลได้เพราะเขามีพลังจิตอยู่ในตัว และเนื่องด้วยรัตติเป็นมังกรแถมมีพลังจิตเหนือกว่าเจ้าชายรูนน์กับราเชลจึงรีบหยุดเดินเพราะได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยผ่านเตะจมูก

“หยุดเดินทำไมหรือท่านรัตติ” เจ้าชายรูนน์ถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติยังไม่ทันได้ตอบ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้น

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!”

“แย่ล่ะ ต้องรีบเข้าไปช่วยแล้ว!” เจ้าชายรูนน์ตะโกนก่อนจะออกวิ่งนำรัตติ เมื่อรัตติวิ่งตามหลังไปก็พบว่าเด็กผู้ชายประมาณสิบขวบกำลังถูกหมาป่าตัวหนึ่งทำร้าย ส่วนเจ้าชายรูนน์กำลังทำอะไรบางอย่างที่มันคล้ายกับร่ายเวทมนตร์

ทำแบบนั้นมันช้าเกินไปแล้วเจ้าชาย!

รัตติคิดได้ดังนั้นจึงรีบหยิบมีดสั้นออกมาสองเล่มจากกระเป๋า ก่อนจะใช้มือสองข้างจับมีดสั้นเขวี้ยงใส่หมาป่าตัวที่กำลังขย้ำเด็กผู้ชายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

ฉึก!

1500

ฉูด!


“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับค่าประสบการณ์ 20หน่วย”

มีดสั้นสองเล่มเฉาะเข้าหน้าผากหมาป่าอย่างจังเบอร์ ทำเอาเลือดพุ่งกระฉูดเป็นน้ำพุ ซึ่งประจวบเหมาะที่เจ้าชายรูนน์ร่ายเวทมนตร์เสร็จพอดี

“พลังสายฟ้าเอ๋ยจัดการเจ้าหมาป่าเดี๋ยวนี้”

เปรี้ยง!

2000


หมาป่าตัวนั้นถูกสายฟ้าฟาดเพียงครั้งเดียวก่อนจะหายไปในพริบตา ซึ่งรัตติมองเจ้าชายรูนน์ด้วยความตะลึง

พลังเวทย์ของพี่แกแรงโคตร!

โดนทีมีหวังตายซี่แหงแก๋


แล้วเจ้าชายรูนน์ก็วิ่งเข้าไปดูร่างเด็กผู้ชายที่จมกองเลือด ก่อนจะร่ายมนตร์รักษาให้อย่างรวดเร็วจนเด็กน้อยกลับมาหายเป็นปกติ เหลือเพียงแต่เสื้อผ้ายังคงเปื้อนเลือดตามเดิม หลังจากรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกรัตติก็พาเด็กคนนี้กลับเข้าเมืองต่อ โดยที่เจ้าชายยังคงอุ้มเด็กคนนี้ไว้เพราะเด็กชายบอกว่ากลัวจนหมดแรงที่จะเดินแล้ว

“นั่นลูกชายของข้านี่!” เสียงเอลฟ์ชายในวัยกลางคนร้องตะโกนเมื่อเห็นพวกรัตติกำลังเดินตรงมายังทางปากเข้าเมือง ซึ่งทำให้พวกชาวบ้านอีกหลายคนที่ยืนรวมกลุ่มพร้อมทหารหันไปมองพร้อมกัน ซึ่งครั้งนี้เป็นความโชคร้ายของเจ้าชายรูนน์ที่บังเอิญเดินนำหน้ารัตติ จึงทำให้พวกเอลฟ์ไม่เห็นเขา

“แกนี่มัน...เป็นเจ้าชายที่ชั่วจริงๆ”

“เอ๋?” รัตติเพิ่งจะได้ยินคำพูดถึงกับมึนงง แต่ยังไม่ทันจะได้ถาม เด็กชายที่เจ้าชายเคยอุ้มกลับถูกพวกทหารแย่งตัวกลับคืนไป

ปึก!

ก้อนหินก้อนหนึ่งถูกขว้างจากที่ไหนไม่รู้ลอยมาโดนหน้าผากเจ้าชายรูนน์ไปเต็มๆ ทำให้เลือดไหลย้อยลงอาบจมูกของเจ้าชาย

“อย่าเข้ามาใกล้พวกข้านะไอ้ตัวกาลกิณี!” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนด่าทอด้วยความโกรธเคือง “เพราะแกคนเดียว ทำให้เด็กคนนี้ต้องบาดเจ็บ!”

“เดี๋ยวฮะท่านพ่อ เจ้าชายไม่ได้...”

“ลูกไม่ต้องพูด ประเดี๋ยวบาดแผลจะเปิดเอานะ” คนเป็นพ่อแย้งลูกชายที่ถูกทหารอุ้มไว้อยู่ ก่อนจะหันมาด่าเจ้าชายต่อ “ไอ้เจ้าชายเฮงซวย แกมันพวกนอกรีต ข้าว่าแล้วเชียวว่าแกจะต้องนำพาเรื่องร้ายมาให้พวกข้า เฮ้ย! พวกเราจัดการขว้างหินมันเร็วเข้า อย่าให้มันเดินกลับเข้ามาในเมืองได้!”

“โอ้!” เสียงโห่ร้องดังพร้อมเพรียงก่อนที่พร้อมใจกันขว้างปาก้อนหินใส่เจ้าชายรูนน์อย่างกระหน่ำ ซึ่งทำเอารัตติที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าชายต้องรีบโผล่ตัวออกมาช่วย

ปึก!

100


ก้อนหินก้อนหนึ่งปะทะเข้าที่แก้มซ้ายของรัตติ ก่อนจะเห็นเปลือกแข็งสีฟ้าโผล่ออกมากันมิให้ก้อนหินทำอันตรายกับเขาได้ ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่กำลังขว้างปาก้อนหินพากันหยุดชะงัก

“แย่ล่ะ ก้อนหินโดนท่าน”

“พระเจ้าช่วย ลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำ” ชาวบ้านพากันพูดด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

“เห็นไหม เป็นเพราะท่านพ่อเลยทีเดียว ไม่ฟังข้า! ท่านมังกรเลยต้องบาดเจ็บ” เด็กชายว่าพ่อของตัวเอง ก่อนจะพูดต่อ “เจ้าชายไม่ได้ทำร้ายข้าเลย พระองค์เป็นคนช่วยข้าจากปีศาจหมาป่าตั้งหากล่ะ”

ชาวบ้านที่ได้ยินเด็กชายพูดหันไปมองเจ้าชายอย่างไม่เชื่อสายตา

“ลูกพูดจริงหรือ เจ้าชายเป็นคนช่วยลูกจากปีศาจหมาป่าจริงๆหรือ” ผู้เป็นพ่อถามย้ำอีกรอบอย่างไม่แน่ใจ

“ก็จริงสิท่านพ่อ ข้าจะไปพูดโกหกทำไมกัน”

เมื่อรู้ความจริงจากเด็กชายแล้ว ชาวบ้านต่างพากันก้มลงกราบขอประทานอภัยเจ้าชายรูนน์ทันที หากแต่ด้วยความเขินอาย เจ้าชายจึงตรัสโดยไม่มองหน้าพวกชาวบ้านว่า

“ไม่เป็นไร ข้าทำไปก็เพื่อประชาชนของข้า”

แล้วชาวบ้านก็พูดแย้งมาว่า “แต่พวกเราทำไม่ดีกับพระองค์ไว้มามากนะพะยะค่ะ”

ด้วยทรงมีพระเมตตาเจ้าชายรูนน์จึงแสร้งตรัสกับพวกชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่เคยโกรธพวกเขาเรื่องใดๆเลยว่า

“พวกเจ้าพูดอะไรกัน เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ”

หลังจากนั้นพวกชาวบ้านก็ก้มกราบขอโทษรัตติอีกครั้งเพราะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ซึ่งรัตติก็บอกไปว่าไม่เป็นไร ก่อนจะพาเจ้าชายกลับที่พัก การเดินเที่ยวครั้งนี้รัตติรู้สึกว่าคุ้มเสียเหลือเกินที่ทำให้เจ้าชายรูนน์เป็นที่เคารพของพวกชาวบ้าน เพราะอย่างน้อยดีกว่าเก่าเยอะ ซึ่งในขณะที่รัตติจะอ้าปากบอกเจ้าชายรูนน์ที่เดินนำหน้าเขาเล็กน้อยว่าพรุ่งนี้จะชวนเจ้าชายไปทำความรู้จักกับมาริโออยู่นั้น จู่ๆ ก็มีมือปริศนาเข้าโอบกอดแขนสองข้างของรัตติอย่างแน่นหนา ก่อนจะรู้สึกถึงผ้าที่มีกลิ่นเหม็นของยาโปะเข้าจมูกกับปาก

อ๊ะ เสร็จกัน! ภาพเบื้องหน้าที่เคยเห็นชัดเจนก็เริ่มเลือนราง ทำให้เขาได้เห็นว่าเจ้าชายรูนน์มีอยู่สองคนกำลังหันมามองเขาด้วยสีหน้าตกใจ หนีไป…เจ้าชาย

แล้วสติก็ดับวูบลงไม่รู้สึกอะไรอีกเลย

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์โดนโปะยาสลบ จึงทำให้ท่านอยู่ในสถานะหมดสติ”

................................

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 35 หนี

....................

ท่าน…

ท่านรัตติ…


เสียงทุ้มแว่วดังลอดผ่านอย่างแผ่วเบา ทำให้เจ้าของนามรู้สึกตัวก่อนจะลืมตาขึ้นมา

“ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่” เจ้าของเสียงพูดอย่างดีอกดีใจ

“ที่นี่…ที่ไหน” รัตติถามพลางหลับตาลงเพราะเขาเห็นภาพเจ้าชายมีสองคน ครั้นพอเขาจะขยับมือขยับแขนเพื่อคลายความเมื่อยล้า กลับขยับไม่ได้ราวกับมีอะไรบางอย่างมัดข้อมือของเขาไว้เสียแน่น

“ข้าคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นคุกใต้ดินนะท่านรัตติ” เจ้าชายรูนน์ตอบก่อนจะพูดต่อ “ท่านอย่าขยับข้อมือสิ ประเดี๋ยวเชือกจะบาดข้อมือของท่านเอาได้หรอก”

เชือก?

รัตติครุ่นคิดก่อนจะรีบลืมตาขึ้นมามอง ซึ่งคราวนี้เขาสามารถมองเห็นได้ชัดกว่าครั้งแรก ภาพเจ้าชายรูนน์กำลังนั่งคุกเข่าหน้าซีด โดยที่แขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล็ก

“พวกนั้นก็แย่เหลือเกิน โปะยาสลบท่านยังไม่พอ ยังจะจับท่านมัดเชือกซะแน่นแถมยังเหวี่ยงท่านลงพื้นซะแรงอีก นี่ถ้าข้าหลุดไปได้ล่ะก็…ฮึ่ม” เจ้าชายรูนน์พูดกระชากเสียงอย่างฉุนเฉียว ซึ่งทำเอารัตติยิ้มแห้งๆ

“แล้วพระองค์ทรงทราบไหมพะยะค่ะว่าคนที่จับพวกเรานั้นเป็นใคร” รัตติถามต่ออย่างสงสัย โดยที่เขาพยายามขยับข้อมือให้หลุดออกจากเชือกไปด้วยพร้อมกัน

“จะเป็นใครที่ไหนได้นอกจากข้ากับท่านขุนนางสล๊อต” เสียงแปลกหน้าดังขึ้นแทรกขัดจังหวะ ทำให้รัตติต้องหยุดมือก่อนจะเงยหน้ามองผู้มาใหม่ ทำให้เห็นสองร่างที่กำลังยืนอยู่นอกกรงขัง ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นขุนนางเอลฟ์อ้วนๆที่เคยทำการต้อนรับเขาตอนมาวันแรก ส่วนอีกคนนั้นเป็นหนุ่มเอลฟ์ผิวดำเข้มสูงเพรียวในชุดรัดรูปสีดำที่แฝงไปด้วยไอปีศาจลอยครุกกรุ่นยืนแสยะยิ้มให้อยู่

“นี่แกกล้าพาพวกดาร์คเอลฟ์เข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์รึไอ้สล๊อต!” เจ้าชายรูนน์ตะโกนถามด้วยเสียงอันดัง ซึ่งทำให้สล็อตที่เป็นขุนนางเอลฟ์อ้วนผมสีขาวเกรียนในชุดหรูหราคราครั่งไปด้วยเครื่องประดับราคาแพงเต็มตัวพูดตอบกลับเจ้าชายมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า

“หึ กล้าไม่กล้าไม่รู้ แต่กระหม่อมพาดาร์คเอลฟ์เข้ามาตั้งนานพอดูแล้วล่ะเจ้าชายเอ๋ย”

“กร็อด!” เจ้าชายรูนน์กัดฟันด้วยความโกรธเมื่อได้ยินคำพูดของสล็อต “แต่แกไม่น่าจะลักพาตัวท่านรัตติมา ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยสักนิด!”

 “มันจะเกี่ยวข้องก็ตั้งแต่ท่านรัตติเริ่มเข้าไปช่วยพระองค์ไม่ให้ถูกนักเลงซ้อมแล้วล่ะเจ้าชายรูนน์” สล็อตพูดตอบพลางก้มมองรัตติที่ถูกมัดนอนอยู่กับพื้นด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าชายรูนน์ต่อ “คืนนี้พระองค์ทรงบรรทมให้สบายเถอะพะยะค่ะ เพราะพรุ่งนี้เช้าจะเป็นวันตายของพระองค์กับท่านรัตติ กลับกันเถอะดาร์คเอลฟ์ ฮะ…ฮะๆ!”

“อืม” แล้วสองร่างก็เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ ซึ่งทำเอาเจ้าชายรูนน์แทบร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่ง

“พระองค์ทรงเงียบหน่อยสิพะยะค่ะ กระหม่อมกำลังพยายามแกะเชือกอยู่” รัตติบอกพลางลงมือทำสิ่งที่ค้างไว้ต่อ

“แกะเชือก?” เจ้าชายรูนน์พูดอย่างฉงนสงสัย เมื่อก้มลงมองเห็นข้อมือของรัตติที่พันธนาการด้วยเชือกเส้นโตไปมา ก็เริ่มเข้าใจคำพูดของรัตติทันที “แต่ท่านจะมีแรงแกะเชือกได้หรือท่านรัตติ มันออกจะ…เส้นใหญ่และแข็งแรงเกินไปสำหรับท่านนะ”

“กระหม่อมทราบดีพะยะค่ะ แต่กระหม่อมจะไม่ยอมให้พระองค์ทรงโดนประหารแน่ อ๊ะ หลุดแล้ว” รัตติตอบพลางดึงเชือกที่พันข้อมือออกทันที ก่อนจะหันมาแกะเชือกที่พันข้อเท้าออกอย่างเร็ว

“เหลือเชื่อ พลังของมังกรนี่ช่างแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน” เจ้าชายรูนน์พูดด้วยความตะลึง

“ไม่ถึงขนาดหรอกพะยะค่ะ กระหม่อมแค่ใช้ความพยายามนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง” รัตติตอบพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะรีบไปช่วยแกะโซ่เหล็กที่มัดข้อมือสองข้างของเจ้าชายรูนน์ต่อ หากแต่โซ่เหล็กมันแข็งแรงเกินไป รัตติจึงหลับตาแล้วสูดลมหายใจรวบรวมสติอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตามังกรสีฟ้าคราม ซึ่งทำเอาคนมองแทบลืมหายใจไปเลยทีเดียว “ย้าก!”

เคล้ง!

โซ่ขาดกระจายเป็นชิ้นๆ ด้วยฝีมือดึงของรัตติเพียงครั้งเดียว

“ว่าแต่เสียงดังขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีทหารได้ยินเลยล่ะ” เจ้าชายรูนน์พูดอย่างฉงน

“กระหม่อมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” รัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “กระหม่อมว่าพวกเรารีบออกไปกันเถอะ ขืนอยู่นานเกิดพวกนั้นกลับมาล่ะแย่แน่”

“อืม เข้าใจแล้วล่ะ”

เมื่อได้คำตอบแล้ว รัตติก็รีบเดินนำเจ้าชายก่อนจะใช้มือคว้าโซ่เหล็กที่พันประตูกรงเหล็กให้ออก

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

1500


จู่ๆ กระแสไฟฟ้าโผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ช็อตเข้าร่างของรัตติอย่างแรง ทำเอารัตติถึงกับกระเด็นลอยมาชนกำแพงของห้องขังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามประตูเสียงดังโครม

“ท่านรัตติ!” เจ้าชายรูนน์ร้องเรียกพลางวิ่งเข้ามาดูร่างของรัตติด้วยความเป็นห่วง

“อึก…กระหม่อม…ไม่เป็น…ไร แค่กๆ!” รัตติพูดพลางกระอักเลือด “ขุนนางอ้วนตนนั้นร้ายกาจไม่เบาเลยนะพะยะค่ะ กระหม่อมนึกไม่ถึงเลยว่าพวกนั้นจะวางเขตอาคมที่ประตูไว้ด้วย”

“แล้วนี่พวกเราจะทำยังไงกันดีต่อล่ะท่านรัตติ ในเมื่อพวกมันวางกับดักไว้” เจ้าชายรูนน์พูดอย่างเป็นกังวล ซึ่งรัตติไม่ตอบเดี๋ยวนั้น กลับค่อยลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆโดยมีเจ้าชายรูนน์คอยช่วยพยุง

“พระองค์ทรงไม่ต้องเป็นกังวลไป กระหม่อมมีอาวุธอยู่ในตัว” รัตติบอกพลางเอามือทำท่าหยิบของในกระเป๋า หากแต่ข้างกายของรัตติกลับว่างเปล่า “ให้ตายสิ กระเป๋าไอเทมถูกยึดไปรึเนี่ย”

“เดี๋ยวข้าจะลองใช้เวทมนตร์ทำลายดูดีกว่านะท่านรัตติ” เจ้าชายพูดออกความเห็น

“พระองค์ทรงอย่าทำแบบนั้นพะยะค่ะ ประเดี๋ยวจะทรงโดนเหมือนกระหม่อม แค่กๆ”

“แต่ท่านบาดเจ็บออกซะขนาดนั้น จะให้ข้าทนดูท่านทรมานได้ยังไงกัน” เจ้าชายรูนน์พูดอย่างเป็นกังวล “ขอร้องล่ะท่านรัตติ ขอให้ข้าได้ใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลของท่านสักหน่อยก็ยังดีนะ”

ในเมื่ออีกฝ่ายพูดอ้อนวอน จึงทำให้รัตติถึงกับใจอ่อน

“เอาอย่างนั้นก็ได้พะยะค่ะเจ้าชาย” แล้วเจ้าชายรูนน์ก็รีบจัดการร่ายมนตร์รักษารัตติทันที ทำให้บาดแผลภายในของรัตติที่เคยบอบช้ำก็พากันหายสนิท

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับพลังรักษา ทำให้ค่าพลังเลือดเพิ่มขึ้น100%”

“รัตติอยู่ที่ไหน!”

เสียงคุ้นหูตะโกนแว่วดังจากนอกลูกกรง ทำให้รัตติรีบเงยหน้าขึ้นตะโกนกลับไปว่า

“ผมอยู่ทางนี้มาริโอ! ผมติดอยู่ในคุกกับเจ้าชาย ออกไปไม่ได้!”

“ดูเหมือนเสียงมาจากทางนั้น! รีบไปเร็วพี่ราเชล”

“อืม”


แล้วเสียงฝีเท้าวิ่งกรูมาทางนี้ สักพักหนึ่งตัวกับอีกหนึ่งร่างได้วิ่งผ่านกรงของพวกเขาไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งทำเอารัตตินึกฉุน

“ข้าอยู่ทางนี้เฟ้ยไอ้เห็ดงี่เง่า!” รัตติเผลอตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำเอาเสียงที่วิ่งเลยผ่านไปแล้วเกิดหยุดชะงักเบรกขึ้นมา “แฮ่กๆ นี่ผมพูดอะไรออกไป...”

แปลบ!

“อ็อค!”

พรวด!

รัตติกระอักเลือดอีกครั้ง ทำเอาเจ้าชายรูนน์ที่ยืนอยู่ข้างๆต้องรีบเข้ามาประคองร่างรัตติที่กำลังจะล้มลงกับพื้นอย่างเร็ว

“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์เคยได้รับพิษจากปีศาจรากไม้ ทำให้ค่าพลังเลือดลดลง 60%”

ถึงแม้พี่ปฐพีจะเล่าให้รัตติฟังว่าเขาได้รับพิษจากปีศาจรากไม้ก็จริง แต่ไม่คิดว่าพิษจะกลับมากำเริบในเวลาอันตรายนี้ได้

ให้ตายสิ เรานี่ช่างโชคร้ายซะจริง

นอกจากความจำเสื่อมแล้ว ยังต้องมาทรมานเพราะพิษนี้อีก


“รัตติจริงๆด้วย!” เสียงมาริโอตะโกนร้องเรียกรัตติ ครั้นพอเห็นร่างของผู้เป็นนายเต็มไปด้วยเลือดก็ถึงกับตกใจ “รัตติเป็นอะไร! ใครทำให้เจ้าบาดเจ็บนะ!”

“อย่าพูดเสียงดังสิครับมาริโอ ประเดี๋ยวพวกทหารที่อยู่ข้างนอกจะได้ยินเข้าหรอก แค่กๆ” รัตติเงยหน้าบอกพลางกระแอมไอ ซึ่งทำให้เจ้าชายรูนน์นึกเป็นห่วงรัตติจึงรีบหันไปมองราเชลที่กำลังยืนอึ้งอยู่นอกกรงขัง

“อย่ามัวยืนเซ่อสิราเชล รีบๆจัดการเขตอาคมที่อยู่กับประตูนี้เร็วเข้า”

“พะยะค่ะเจ้าชาย”

หลังจากที่ราเชลได้จัดการเขตอาคมเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายก็ให้รัตติขี่หลังตัวเองเพราะเห็นว่าไม่มีแรงที่จะวิ่งหนีแล้ว ก่อนจะพากันออกวิ่งโดยมีมาริโอเป็นตัวนำทาง ส่วนราเชลรั้งท้ายเจ้าชายกับรัตติเพราะกลัวว่าจะมีใครลอบกัดทางหลังเอา ซึ่งพวกเขากำลังวิ่งตรงไปยังทางออก ก็ได้เจอกับใครบางคนกำลังยืนถือดาบสีดำออกมารอด้านหน้าทางออกแล้ว

“เอลฟ์ตนนี้...” มาริโอพูดพลางมองอีกฝ่ายอย่างระหวาดระแวง “...ไม่ธรรมดาเลย ไอปีศาจเยอะมาก ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นดาร์คเอลฟ์สินะ”

ส่วนอีกฝ่ายมองหน้ามาริโออย่างสนใจที่ถูกมันจับผิดได้ว่าเป็นดาร์คเอลฟ์

“หึ เจ้าเองก็ไม่ใช่ธรรมดาเลยนะ เป็นมอนสเตอร์แท้ๆ กลับพูดจาฉะฉานได้เยี่ยงมนุษย์”

“ก็ยังดีกว่าแกแล้วกันไอ้มืด” มาริโอพูดเปลี่ยนสรรพนามของอีกฝ่ายได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งทำเอาดาร์คเอลฟ์จากที่เคยแสยะยิ้มกลับต้องหุบลงฉับพลัน “ทำไม่ดีกับรัตติเอาไว้ ระวังกรรมจะตามสนอง”

“มาริโอ” รัตติที่นั่งอยู่บนหลังของเจ้าชายได้ยินคำพูดของมันถึงกับเป็นปลื้ม

ถ้าหนีออกไปจากที่นี่ได้ เขาจะพามันไปทานอาหารที่มันชอบละกัน

แต่ทว่ามาริโอไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กับดาร์คเอลฟ์เพราะว่าราเชลเดินออกมาอยู่หน้ามาริโอก่อนจะชักดาบสีขาวขึ้นมา

“ถอยไปมาริโอ เดี๋ยวพี่จะจัดการเจ้านี่เอง ส่วนเจ้าก็รีบพาเจ้าชายกับท่านรัตติหนีไปซะ”

“แล้วจะหนีไปได้ยังไงล่ะ ในเมื่อมันเฝ้าประตูทางออก…”

“เชิญหนีได้ตามสบาย ถ้าหากหนีพ้นนะ หึๆ”

ดาร์คเอลฟ์พูดเชิญชวนพลางเดินหลบทางให้ ซึ่งมาริโอเห็นดังนั้นจึงรีบพาทั้งคู่วิ่งออกไปอย่างเร็ว เมื่อพวกรัตติได้หนีออกมาจากคุกแล้ว พิษจากปีศาจรากไม้ก็ได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง ทำให้รัตติผล็อยหลับไปไม่รู้ตัว

................

“เจ้าแน่ใจรึว่าพาข้าออกมาถูกทางนะมาริโอ”

เจ้าชายรูนน์ถามย้ำครั้งที่สองอย่างไม่แน่ใจเมื่อมาริโอได้พาตนมายังห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องเล็กห้องหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งอับและทั้งเหม็น ส่วนมาริโอนั้นก็ตอบไม่ถูก เพราะมันวิ่งตามเส้นทางที่ราเชลเคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่พอมันวิ่งนำทางมาเรื่อยๆ กลับเจอทางตัน โดยสุดทางเดินมีเพียงประตูบานเดียว

“ชุดเซตตัวช่วยภารกิจพิเศษระดับเอ กู้วิกฤตดินแดนเอลฟ์ได้ถูกเปิดออกใช้งานแล้ว”

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้รับชุดหน้ากากทักซิโด้ 1 ชุด”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งเป็นเสียงที่รัตติไม่มีวันที่จะได้ยินมัน

“หนูไม่รู้ หนูแค่วิ่งมาตามเส้นทางที่พี่ราเชลเคยบอกไว้นะฮะเจ้าชาย” มาริโอตอบอย่างจนมุม ก่อนจะเดินสำรวจหาทางออก ส่วนเจ้าชายเองก็ช่วยเดินหาทางออกด้วยเช่นกัน ทว่าเจ้าชายเดินไปได้สักพัก กลับสะดุดอะไรบางอย่างเข้า ทำให้เจ้าชายที่อุ้มรัตติอยู่นั้นถึงกับหกล้มหน้าคว่ำลง “เกิดอะไรขึ้น?!”

มาริโอร้องตะโกนถามพลางวิ่งเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรมาริโอ ข้าแค่เดินสะดุดอะไรบางอย่างเข้านะ” เจ้าชายบอกพลางขยับตัวลุกขึ้นโดยมือขวายังคงจับรัตติที่อยู่หลังไว้กันตก “ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมท่านรัตติ”

ทว่าคนถูกถามกลับเงียบไป ซึ่งมาริโอหันมาดูก็พบว่าเจ้านายของตัวเองได้สลบไปแล้ว

“แย่ล่ะสิ รัตติสลบไปแล้ว สงสัยพวกเราต้องรีบๆกันหน่อยแล้วล่ะฮะเจ้าชาย”

“อืม”

เจ้าชายตอบก่อนที่จะเห็นแสงระยิบระยับสะท้อนเข้าตา จึงก้มลงหยิบมันขึ้นมาดู ซึ่งสิ่งที่เจ้าชายหยิบขึ้นมานั้นเป็นสร้อยคอล็อกเกตสีทองในสภาพบิดเบี้ยวมีเลือดติดเล็กน้อย

คุ้นๆชอบกล

เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


“มาริโอ ข้าฝากเก็บล็อกเก็ตนี้ไว้กับเจ้าหน่อยได้ไหม” มาริโอทำหน้างวยงงเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้าชาย แต่ถึงกระนั้นมาริโอก็ยอมเก็บล็อกเก็ตตามคำสั่งของเจ้าชายแต่โดยดี

กริ๊ง!

เสียงกริ่งดังขึ้น ทำเอาสองร่างสะดุ้งตกใจ

“เสียงอะไรนะ!” มาริโอร้องถามอย่างสงสัย

“คงจะเป็นสัญญาณเตือนของพวกมันนะ” เจ้าชายรูนน์ตอบพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันไปพูดกับมาริโอว่า “มาริโอ เจ้าหนีไปคนเดียวก่อนแล้วกัน ตอนนี้ข้ากับท่านรัตติคงจะหนีไปด้วยไม่ได้แล้วล่ะ”

“ไม่เอา ถ้าจะหนีก็หนีไปด้วยกันสิ” มาริโอพูดเสียงงอแง ซึ่งทำเอาเจ้าชายรูนน์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นกระดาษกองหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง

น่าสงสัย เจ้าชายคิดพลางสาวเท้าเดินเข้าไปดูอย่างไว ก่อนจะจับกระดาษชุดนั้นขึ้นมาดูคร่าวๆ เมื่อได้เห็นอะไรบางอย่างในกระดาษแล้ว เจ้าชายรูนน์ถึงกับฉีกยิ้มอย่างพอใจ หึ แค่นี้หลักฐานก็พร้อมมูลที่จะดึงมันให้หลุดจากตำแหน่งขุนนางขั้นสูงแล้ว!

แล้วเจ้าชายก็เรียกมาริโอให้เข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับมัน

“เข้าใจใช่ไหม ทำตามที่ข้าบอกแล้วท่านรัตติจะปลอดภัย”

“ฮะ”

เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายรูนน์ก็ร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายให้มาริโอ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ขั้นสุดยอดที่เขาเคยเรียนมา แถมเคลื่อนย้ายได้แค่คนเดียว ฉะนั้นเจ้าชายรูนน์จึงตัดสินใจส่งมาริโอไปแทนที่จะส่งรัตติไปเพื่อให้มันได้ทำตามที่เขาสั่งไว้ ครั้นพอมาริโอหายไปพร้อมกับลำแสงดาวแล้ว ร่างของเจ้าชายรูนน์ก็ทรุดลงหอบหายใจราวกับไปวิ่งแข่งมาราธอนสิบกิโลได้ ซึ่งประจวบเหมาะกับที่สล๊อตได้เข้ามาพร้อมกับทหาร ก่อนจะสั่งให้เข้าไปจับเจ้าชายรูนน์กับรัตติที่สลบไปแล้วนำกลับไปขังคุกที่ใหม่เพื่อรอการตัดสินโทษประหารในวันรุ่งขึ้นถัดไป

.............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: The Real of Life Online (บทที่ 35 หนี (update 100%) P.3 2/03/58)
«ตอบ #64 เมื่อ02-03-2015 19:09:12 »

บทที่ 36 พลังใหม่

......................

เช้าวันต่อมาทหารได้ประกาศบอกพวกชาวบ้านทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าคฤหาสน์ของขุนนางสล๊อต ซึ่งทำเอาชาวบ้านต่างพากันซุบซิบไปมาอย่างไม่เข้าใจว่าสล๊อตจะเรียกพวกเขามาทำไม

“เงียบๆหน่อย!” สล๊อตเดินออกมาบอกให้พวกชาวบ้านหุบปาก ซึ่งพอเสียงเงียบไปแล้ว สล๊อตก็กระแอมไอหนึ่งครั้งก่อนจะพูดว่า “ที่ข้าเรียกพวกท่านมานี้ก็เพื่อจะประกาศข่าวบางอย่างที่ไม่ดี เพราะเมื่อวานนี้มีทหารได้เดินไปเห็นเจ้าชายรูนน์กำลังทำพิธีเรียกราชาปีศาจโดยใช้ท่านมังกรเป็นเครื่องสังเวย!”

“อะไรนะ!!” ชาวบ้านต่างพากันร้องอุทานอย่างตกตะลึงกับข่าวที่ได้ยินมา แต่ด้วยข่าวลือที่เจ้าชายทรงเคยช่วยเด็กไว้เมื่อวานนี้ทำให้ชาวบ้านเริ่มสับสน

“และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ข้าขอตัดสินโทษเจ้าชายรูนน์ให้ตัดหัวเสียบประจาน” สล๊อตบอกก่อนจะพูดสั่งต่อ “ทหาร ลากตัวไอ้คนนอกรีตออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้!”

“ครับ!” แล้วทหารก็เดินหายเข้าไปในคฤหาสน์สักพักก่อนจะเดินกลับมาพร้อมเจ้าชายรูนน์ที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่

“เดี๋ยวก่อนท่านสล๊อต แล้วท่านมังกรล่ะ ตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้างแล้วครับ” หนึ่งในชาวบ้านที่มายืนมองยกมือขึ้นถาม ซึ่งสล็อตหันหน้าไปมองผู้พูดก่อนจะตอบกลับว่า

“ท่านผู้นั้นกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ในคฤหาสน์นะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเราได้เห็นหน้าท่านมังกรหน่อยสิท่านสล๊อต”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้” สล๊อตตอบก่อนจะหันไปสั่งทหาร “ไปพาท่านมังกรมาสิ ระวังๆหน่อยนะ เพราะท่านยังไม่ได้สติดี”

“ครับท่าน”

แล้วทหารสองคนก็เดินหายเข้าไปในคฤหาสน์ได้สักพัก ก็กลับออกมาพร้อมเปลซึ่งมีเด็กหนุ่มผมสีเงินนอนหน้าซีดไม่รู้สึกตัวอยู่บนนั้น ทำเอาชาวบ้านที่ได้เห็นต่างร้องเสียงโอดครวญ บ้างก็ส่ายหน้า บ้างก็ร้องไห้ ซึ่งบางรายถึงกับสวดภาวนาต่อพระเจ้าให้ช่วยเหลือท่านมังกรก็มี

“ตอนนี้ท่านมังกรยังไม่ค่อยได้สติดี จึงยังไม่สามารถพูดให้การอะไรใดๆทั้งสิ้น” สล๊อตบอกพลางสั่งทหารให้วางเปลลงกับพื้น “และเพื่อให้ความยุติธรรมกับท่านมังกร ดังนั้นข้าจึงขอตัดสินลงโทษเจ้าชายรูนน์ตามที่เคยประกาศไว้เมื่อครู่นี้”

ทีแรกชาวบ้านเกิดความลังเลเพราะเมื่อวานนี้เจ้าชายได้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่พอได้เห็นท่านมังกรนอนไม่ได้สติแล้ว ความคิดก็พลันเปลี่ยนฉับพลัน

“เรื่องช่วยเด็กก็อีกเรื่อง แต่เรื่องของท่านผู้สูงศักดิ์เรายอมไม่ได้!”

“ใช่ๆ ยอมไม่ได้ เจ้าชายโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”

“โหดเหี้ยมถึงขนาดเอาท่านไปเป็นเครื่องสังเวยปีศาจ แบบนี้ให้อภัยไม่ได้!”

“ฆ่าตัดหัวมันซะ!”

ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!

เสียงชาวบ้านพูดพร้อมกันอย่างเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำให้สล๊อตถึงกับอมยิ้มอย่างดีใจกับแผนการของตัวเอง

หึ เท่านี้ข้าก็สามารถครอบครองดินแดนเอลฟ์ไร้ข้อกังขาแล้ว!

“เอาล่ะ เงียบหน่อยๆทุกคน” สล๊อตบอก ซึ่งพวกชาวบ้านก็พากันเงียบ “ถึงเวลาประหารแล้ว ทหาร! จัดการประหารเจ้าชายซะ”

“ครับท่าน!”

แล้วทหารก็เดินออกมาพร้อมดาบเล่มใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆเจ้าชายที่ถูกบังคับให้นอนกับพื้น เนื่องจากเจ้าชายโดนปิดปากไว้ จึงได้แต่หลับตาลงรอความตายเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่สามารถพูดโต้แย้งอะไรได้ ในขณะที่ทหารกำลังใช้ดาบบั่นหัวเจ้าชายอยู่นั้น จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างพุ่งผ่านหน้าทหารอย่างกะทันหัน

เฟี้ยว! ฉึก!

เจ้าชายที่หลับตาอยู่นั้นได้ยินเสียงอะไรปักอยู่กับพื้นเบื้องหน้าตน จึงรีบลืมตาขึ้นมองก่อนจะเห็นเห็ดก้อนกลมที่ถูกเสียบด้วยไม้ปลายแหลมปักอยู่

เห็ด?

แล้วเจ้าชายกับทุกคนก็ต่างเงยหน้ามองทิศทางที่เห็ดบินลอยมา ก่อนจะพากันอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเห็ดรูปร่างยักษ์สวมหน้ากากสีขาวในชุดทักซิโด้สีดำกำลังยืนอยู่บนตึกข้างซ้ายของคฤหาสน์โดยมือกอดอกแอ่นตัวเชิดหน้าหยิ่งเล็กน้อยก่อนจะพูดเก๊กเสียงหล่อสุดชีวิต

“คิดจะประหารใครทำไมไม่ตัดสินให้ชัดแจ้ง ไม่คิดจะถามผู้เห็นเหตุการณ์ให้ถ้วนถี่ซะก่อน แล้วอย่างนี้ใครจะไปนับถือแกได้กันล่ะไอ้ขุนนางอ้วนเน่าเฟะ”

โอ้แม่เจ้า! เห็ดพูดได้!!

ทุกคนที่เพิ่งเคยเห็นมาริโอเป็นครั้งแรกต่างพากันคิดแบบเดียวกัน ยกเว้นเจ้าชายรูนน์กับรัตติที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาทันเห็นมาริโอปรากฏตัวพอดี ส่วนพวกดนัยกับปริญที่จับตาดูพวกรัตติอยู่นอกเกมนั้นถึงกับหัวเราะลั่นห้องทำงาน เพราะได้เห็นมาริโอเลียนแบบท่าทางตัวละครที่ชื่อหน้ากากทักซิโด้จากเรื่องเซเลอร์มูนนั่นเอง ในขณะที่ทุกคนจับตามองมาริโอกันเป็นตาเดียว ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรพวกปฐพีกำลังแอบซุ่มดูอยู่เงียบๆ

“รัตติปลอดภัย ตอนนี้ฟื้นแล้วด้วย” พิภพพูดในขณะที่ใช้กล้องส่องทางไกลมอง “ว่าแต่ทำไมต้องแกล้งให้มาริโอใส่ชุดหน้ากากทักซิโด้ด้วยล่ะ”

“อ้าว ก็ชุดเก่ามันเปื้อนเลือดนี่ ฉันก็เลยหาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน” ศาสตราย้อน

“แต่นายน่าจะเอาชุดอื่นที่ดีกว่านี้นะ ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นชุดทักซิโด้เลย”

“โห่ ก็ฉันมีแค่ชุดนั้นที่เป็นชุดสำหรับพวกทาสรับใช้นี่หว่า นอกนั้นมันใส่ได้ซะที่ไหน” ศาสตราพูดแก้ แต่พอได้เห็นสายตาของพิภพกับปฐพีจ้องมองอย่างเอาเรื่อง จึงทำให้ศาสตราถึงกับยอมแพ้ “โอเคๆ ฉันผิดเองก็ได้ ฉันจงใจแกล้งมันเองแหละ นี่ยังดีที่เป็นชุดทักซิโด้ เพราะขืนเป็นชุดกะลาสีเรือมีหวัง…ฮะๆ”

ปฐพีกับพิภพได้ยินที่ศาสตราพูดถึงกับส่ายหน้า

ทำเล่นเป็นเด็กขายของไปได้

“คอยดูให้ดีละกัน ถ้าพวกทหารกับไอ้ขุนนางอ้วนเริ่มมีพิรุธเมื่อไหร่ พวกเราก็เข้าไปช่วยได้เลยนะ” ปฐพีบอก ซึ่งศาสตรากับพิภพต่างพยักหน้าตกลงก่อนจะหันไปดูสถานการณ์ตรงหน้าต่อ ซึ่งตอนนี้สล๊อตกำลังหน้าดำหน้าแดงเพราะถูกมาริโอด่าว่าเป็นขุนนางอ้วนเฟะ

“กะ...แก...บังอาจว่าข้ารึไอ้เห็ดทักซิโด้!”

“ก็ใช่นะสิไอ้อ้วน” มาริโอตอบด้วยน้ำเสียงเก๊กหล่อสุดชีวิตแต่แฝงไปด้วยกวนบาทา “นอกจากจะอ้วนแล้ว ยังไม่มีความยุติธรรมต่อเจ้าชายกับรัตติเอาเสียเลย อย่างเจ้าน่ะน่าจะไปทำงานเกี่ยวกับโรงฆ่าสัตว์มากกว่าจะเป็นขุนนางอีกนะเนี่ย”

คำพูดของมาริโอทำเอาสล๊อตโกรธจนหน้าเขียว

“ทหาร! จับมันลงมาจากตึกนั้นเดี๋ยวนี้!”

“ครับท่าน!”

“เดี๋ยวก่อน!” มาริโอในคราบชุดทักซิโด้ตะโกนห้าม ซึ่งทำให้พวกทหารที่กำลังวิ่งมาจับมาริโอถึงกับหยุดชะงัก “คิดจะจับข้าด้วยข้อหาอะไรมิทราบ ข้าแค่มาช่วยเจ้าชายเพื่อมิให้ถูกลงโทษโดยที่ไม่มีความผิดตั้งหากล่ะ จะบอกให้เอาบุญล่ะกันพวกชาวบ้านหน้าโง่ทั้งหลาย เมื่อวานเจ้าชายไม่ได้ทำพิธีเรียกราชาปีศาจโดยใช้ท่านมังกรเป็นสังเวยสักหน่อย แต่เป็นเรื่องที่ไอ้หมูอ้วนนี่กุขึ้นมาเองตั้งหาก”

พอมาริโอพูดจบ ชาวบ้านต่างพากันซุบซิบอีกครั้ง ซึ่งทำเอาสล๊อตเริ่มใจคอไม่ดี

“แกอย่ามาพูดมั่วหน่อยเลยไอ้เห็ดทักซิโด้” สล๊อตแย้งก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้านะรึจะพูดโกหก พวกทหารของข้าก็บอกอยู่ว่าเจ้าชายทรงใช้ท่านมังกรเป็นเครื่องสังเวยในการเรียกราชาปีศาจอยู่”

“แค่บอกว่าทหารของตัวเองเป็นคนเห็น ใครๆก็พูดกันได้ แล้วอีกอย่างข้าก็มีหลักฐานฟ้องเจ้าได้นะไอ้หมูอ้วน” มาริโอพูดพลางชูกระดาษชุดหนึ่งให้ทุกคนดูก่อนจะเหวี่ยงขึ้นฟ้า ซึ่งทำให้กระดาษชุดนั้นถึงกับปลิวกระจัดกระจาย “ดูซะ แล้วพวกแกก็จะได้ตาสว่างเลิกนับถือไอ้อ้วนี่ได้สักที”

พอมาริโอพูดจบ พวกชาวบ้านต่างพากันกุลีกุจอจับเอกสารที่ลอยปลิวลงมาดูอย่างเร็ว ซึ่งพวกชาวบ้านพอได้จับเอกสารมาดูได้สักพักแล้ว ต่างพากันตกใจเมื่อเห็นข้อความบนกระดาษ

ภาษีของประชาชนของเดือนนี้ได้ถูกโอนมอบให้แก่ขุนนางสล๊อต

ภาษีท้องพระคลังหลวงได้ถูกโอนมอบให้แก่ขุนนางสล๊อต


และอื่นอีกมากมายที่ทำให้ชาวบ้านถึงกับหน้าแดงด้วยความโกรธ

“ไอ้ขี้โกง หลอกลวงกันนี่!”

“ใช่ๆ หลอกประชาชนไม่พอยังเอาเงินท้องพระคลังหลวงไปกินฟรีอีก ยอมไม่ได้!”

“เงียบ!” สล๊อตตะโกนเสียงดังลั่น ทำให้ชาวบ้านถึงกับหุบปากเงียบ “ขืนพูดมากอีก เดี๋ยวจะให้พวกทหารจับเข้าคุกให้หมดเลย ส่วนแกไอ้เห็ดทักซิโด้ คิดหรือว่าหลักฐานเอกสารพวกนี้จะยืนยันบริสุทธิ์ให้กับเจ้าชายได้งั้นรึ แล้วไอ้ของพวกนี้บางทีอาจจะเป็นของที่แกสร้างขึ้นมาก็ได้ใครจะไปรู้”

มาริโอได้ยินดังนั้นก็ยืนหน้าซีดตัวสั่น เพราะมันไม่รู้จะทำยังไงดีต่อ

เปิดล็อกเกตสิหนูมาริโอ

เสียงพรายกระซิบดังแว่วเข้ามา ซึ่งมาริโอคาดคิดว่านี่คงจะเป็นเสียงของพวกพี่ศาสตรา จึงรีบหยิบล็อกเกตจากในกระเป๋าขึ้นมาเปิดตามคำสั่งของเสียงนั้นทันที แล้วจู่ๆแสงสีเขียวก็โผล่ขึ้นมาจากข้างในล็อกเกตก่อนจะเผยให้เห็นเงาคนๆหนึ่ง ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนมีเส้นผมสีทองแกมขาวขึ้นประปรายในชุดเสื้อผ้าผู้ป่วย

“ทะ...ทะ...ท่านราชาเอลฟ์!”

ทุกคนในที่นี้ยกเว้นมาริโอ เจ้าชายรูนน์ และรัตติที่ยังอยู่ในสภาพเบลอพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียวเมื่อได้เห็นภาพราชาเอลฟ์ในรูปสามมิติ

“เจ้าชายรูนน์ที่ทุกคนได้รู้จักว่าเป็นนอกสายเลือดของเราแล้ว ความจริงแล้วเป็นผู้สืบสายเลือดแท้จริงของเรา ฉะนั้นหลังจากที่เราได้สวรรคตไปด้วยอะไรก็ตาม ผู้สืบทอดบัลลังก์ดินแดนแห่งเอลฟ์นี้เราขอมอบให้แก่เจ้าชายรูนน์! ลงชื่อ เคฟรอน ราชันย์แห่งเอลฟ์”

พอราชาเอลฟ์ตรัสจบ ภาพก็พลันหายไป แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ ถ้าไม่มีเสียงคนหนึ่งพูดแทรกออกมา ทุกคนก็ยังคงยืนเงียบอยู่อย่างนั้น

“เอ๊ะ นี่มันเอกสารขอยืมยาสารหนูเมื่อสมัยห้าปีก่อนไม่ใช่รึไง” เสียงพูดนั้นทำให้ทุกคนหันไปมอง ก่อนจะเผยให้เห็นเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนวัยสิบห้าสิบหก มีนัยน์ตาสีเขียวข้างขวาเพียงข้างเดียวส่วนอีกข้างถูกปิดด้วยผ้าคาดสีดำ มาด้วยชุดผ้าฝ้ายสีขาวกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเขียวใบไม้เข้มกับรองเท้าบู๊ตสีน้ำตาลเข้ม โดยที่ใบหูสองข้างแหลมเหมือนพวกเอลฟ์ไม่มีผิด กำลังยืนถือเอกสารใบหนึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชาวบ้าน และข้างกายของผู้พูดยังมีหนึ่งหนุ่มผิวสีแทนผมสีทองเกรียนสั้นที่เป็นมนุษย์ในชุดเกราะสีดำ กับ อีกหนึ่งหนุ่มผมสีดำผู้มีนัยน์ตาสีแดงกับร่างกายสีผิวเขียวเข้มสูงใหญ่เกินมนุษย์มาด้วยชุดเกราะสีดำเช่นเดียวกับคนข้างๆ “ส่วนผู้ยืมเป็น…ขุนนางสล๊อต โหย นี่จะเอาไปฆ่าล้างพันธุ์หนูรึไง ถึงได้หยิบยืมมาทุกวี่ทุกวันได้ ถึงจะยืมวันละนิดวันละหน่อยก็เถอะ”

พวกพี่…ปฐพีนี่

รัตติคิดในใจพลางมองสามหนุ่มอย่างยากลำบาก เพราะพิษจากปีศาจรากไม้ที่ยังคงกำเริบอยู่ จึงทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถลุกขึ้นขยับเข้าไปช่วยเหลือเจ้าชายรูนน์ที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ได้

“หุบปากเน่าๆเลยพวกแก ข้าจะยืมไปทำอะไรมันก็เรื่องของข้า” สล๊อตรีบพูดโดยที่ใบหน้าของมันมีเหงื่อไหลย้อยอยู่เต็มไปหมด “ทหาร มัวยืนบื้ออะไรอยู่อีกล่ะ ไม่รีบจัดการเล่า”

“อ๊ะๆ เดี๋ยวก่อนสิ ผมยังพูดไม่ทันจบเลยนะท่านสล๊อต จะรีบร้อนไปไหนกันล่ะ”

เด็กหนุ่มคนเดิมหรือศาสตราพูดแย้ง ทำเอาพวกทหารที่กำลังทำตามคำสั่งของสล๊อตชะงัก

“พวกแกต้องการอะไรกันแน่ไอ้พวกเบ้ของท่านมังกร”

“หึ ต้องการอะไรนะรึ” คราวนี้ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มผิวสีคล้ำผมสีทองสั้นเกรียน ซึ่งเป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกจากปฐพี “เผยความจริงให้ทุกคนรู้ยังไงล่ะ ว่าขุนนางอ้วนอย่างแกยืมสารหนูไปทุกวันเพื่อวางยาองค์ราชันเอลฟ์”

“ว่ายังไงนะ!”

ชาวบ้านทุกคนร้องอุทานพร้อมกันอย่างตกใจเมื่อได้รู้ความจริง ซึ่งในระหว่างที่ทุกคนกำลังสนใจสามหนุ่มอยู่นั้น มาริโอได้แอบด้อมเดินเข้าไปช่วยเจ้าชายรูนน์อย่างเงียบๆ แต่ก็ยังเข้าไปใกล้ไม่ได้อยู่ดี เพราะเจ้าชายรูนน์กำลังถูกทหารคุมตัวไว้อยู่ ส่วนรัตตินั้นก็ถูกทหารเฝ้าไว้อยู่ข้างกายด้วยเช่นกัน

“ไม่มีพยานอย่าพูดซี้ซั้วนะไอ้พวกเบ้!” สล๊อตเถียงหน้าดำหน้าแดง

“หึ พยานรึ ได้ ออกมาสิราเชล เอามาให้ขุนนางอ้วนนี่ดูเร็ว”

ปฐพีบอกก่อนที่จะมีใครเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาด้วยสภาพสะบักสะบอมไปด้วยเลือด ในมือได้ดึงร่างอีกคนเดินตามมาด้วย ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่ได้เห็นถึงกับร้องอุทานอย่างตกใจเป็นรอบสอง

“ดาร์คเอลฟ์!!”

ราเชลเดินมาถึงตรงพวกปฐพีแล้วก็หยุดเดินก่อนจะพูดว่า

“เมื่อวานนี้ข้ากับเห็ดทักซิโด้ได้เห็นขุนนางสล๊อตกับไอ้มืดนี่เข้ามาลักพาตัวท่านมังกรกับเจ้าชายรูนน์ไปกุมขังไว้ในคุกของคฤหาสน์นี้ ก็เลยเข้าไปช่วยแต่เจอไอ้มืดนี่เข้าพอดีเลยจับมาด้วยซะเลย”

“จริงหรือท่านองครักษ์ ที่ท่านพูดมานั้นเป็นความจริงหรือ” หนึ่งในกลุ่มชาวบ้านถามราเชล

“ก็จริงนะสิ” ราเชลตอบ “ดาร์คเอลฟ์ตนนี่มันสมรู้ร่วมคิดกับสล๊อตมานานตั้งแต่สมัยองค์ราชันยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่”

“ไม่จริง แกพูดโกหกราเชล ข้าไม่เคยรู้จักไอ้ดาร์คเอลฟ์นี่สักหน่อย!”

สล๊อตพูดเถียงหน้าซีดตัวสั่น ซึ่งทำเอาดาร์คเอลฟ์ได้ยินถึงกับเถียงย้อน

“ไม่จริง! เจ้ากับข้ารู้จักกันมานานแล้ว” ดาร์คเอลฟ์กัดฟันพูดเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง “เจ้าเป็นคนบอกข้าเองว่าถ้าร่วมมือด้วยเจ้าจะมอบดินแดนเอลฟ์ส่วนหนึ่งให้กับข้า ฮึ แล้วสาเหตุที่ราชันตายก็เพราะแกไอ้สล๊อต แกมันเป็นคนวางยาราชาเอลฟ์!”

“ไม่จริง เจ้าพูดโกหก ข้าไม่ได้…”

“ทั้งหลักฐานทั้งพยานก็พร้อมแล้ว ท่านยังมีอะไรจะแก้ตัวอีก”

ราเชลพูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาสล๊อตเดินถอยหลังไปสองสามก้าว

“ข้า…ข้า” สล๊อตพูดติดอ่าง ตอนนี้มันจนมุมต่อหลักฐานและพยาน ถึงจะคิดหนีก็คงหนีไม่รอด แต่แล้วมันก็เหลือบเห็นร่างเด็กหนุ่มผมสีเงินนอนอยู่บนเปลโดยมีทหารสองคนเฝ้าอยู่ แล้วทันใดนั้นสล๊อตก็ได้ฉีกยิ้มพลางวิ่งเข้าไปคว้าร่างนั้นออกมาจากพวกทหาร ก่อนจะชักมีดสั้นที่อยู่ข้างกายตนดึงออกมาจ่อลำคอของรัตติ “ใครคิดจะฆ่าข้าอย่าได้หวัง ไอ้เด็กมังกรนี้ตายคามีดข้าแน่”

คนอื่นเห็นดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไร เพราะต่างกลัวว่ารัตติจะได้รับอันตราย ส่วนมาริโอได้แต่กัดฟันโมโหตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเจ้านายได้

“หึๆ ไม่กล้าเข้ามาล่ะสิไอ้พวกหน้าโง่ ฮ่าฮะๆ”

ในขณะที่สล๊อตกำลังหัวเราะด้วยความลำพองใจนั้น เกล็ดย้อนของเหม่ยจิงเกิดเปล่งแสงขึ้นมา ก่อนที่ลำแสงนั้นจะยิงไปที่มาริโอ ส่วนสล๊อตรู้สึกร้อนมือจึงเผลอปล่อยรัตติออกมา แล้วจังหวะนี้ปฎิหาริย์ก็บังเกิด

“MATRIX EVOLUTION”

รัตติพูดโดยที่สติยังคงเบลอรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แล้วร่างของรัตติก็เลือนหายไปก่อนจะกลายเป็นแสงสีรุ้งพุ่งเข้าร่างมาริโอที่ยืนมึนงง

Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi
           
Kokoro no katachi Kimi wa kami ni kakeru kai?
Ichibyou goto ni iro mo kaeru mono da yo
           
Shinjiru koto ga donna koto ka wakaru kai?
Kimi no subete ga tamesarete iru nda yo
           
Yuuki dake ja Todokanai nda
Osore made hitotsu ni natta Sono toki
           
Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Subete ga michita shunkan
Ima Sore ga ima!
Zero e to kawaru kokoro ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi
           
 Kodou de sae mo Onaji rizumu kizameba
Afureru chikara Kanji toreru hazu darou
           
Tatakau tame ni Hitotsu ni naru koto yori
Wakari au tame Hitotsu ni natta hazu sa
           
 Kasanete kita Jikan no tsubu ga
Kiseki no tobira o hiraku Sono toki
           
Mirai o erabu chikara ga
Mezameru Matrix Evolution
Kimitachi ni shika dekinai
Saa Me o hirake!
Sagashi tsuzuketa kotae ga
Riaraizu suru Evolution
Kokoro no katachi awasete
Nido to Hanasanai de
           
 Dou naru no ka ga wakaranai
Michi no chikara no kowasa mo
Futari de koete yuku nda
Saa Me o hirake!
Mirai o erabu chikara ga
Mezameru Matrix Evolution
Kimitachi ni shika dekinai
Sore ga Saigo no shinka
           
 Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Subete ga michita shunkan
Ima Sore ga ima!
Zero e to kawaru kokoro ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi


“บอสเห็ดมาริโอเปลี่ยนร่าง!” ร่างของราตรีกับมาริโอรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นนักดาบที่สวมชุดหนังมังกรสีแดง มีผิวสีครีมอมชมพู บนหัวมีเห็ดดอกใหญ่บานเป็นหมวก “เป็นเกรียนIมWรัตติมาริโอ”

พอรวมร่างเสร็จ เกรียนIมWรัตติมาริโอก็แสดงฝีมือโดยกลิ้งตัวหลบออกมาห่างๆสล๊อต ก่อนจะพ่นสปอร์พิษใส่

“อั่ก!”

1100

สล๊อตกระอักเลือดก่อนจะวิ่งเข้าหาเจ้าชายรูนน์ แต่ทว่าเกรียนIมWรัตติมาริโอวิ่งเข้าไปขวางมันโดยเอาฝักดาบกระแทกเข้าที่หน้าแล้วถีบมันออกไป

ผัวะ!

1290


แล้วสล๊อตก็ดึงดาบที่อยู่ข้างกายออกจากฝักหมายมาดจะสู้ แต่เกรียนIมWรัตติมาริโอไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ กลับตวัดดาบใส่มันแบบไม่ยั้งจนนับไม่ถ้วน

“สัส มึงคิดจาจับกูเป็นตัวประกันหรอ ไอ้กากสลัด ป้อมึงตาย เจี้ย นี่แน่ะๆๆๆ ขุดๆๆๆ กระบวนดาบขุดมู้ แสดดด”

แล้วเกรียนIมWรัตติมาริโอก็เก็บดาบเข้าฝักเหมือนเดิม พอดาบเสียบเข้าฝักปุ๊บ เสื้อผ้าของไอ้อ้วนก็ขาดทันที

แควก!

ส่วนดาบในมือของสล๊อตก็หักเป็นแว่นๆ จังหวะนั้นดาร์คเอลฟ์สะบัดหนีจากการจับกุม แต่เกรียนIมWรัตติมาริโอขว้างหัวเห็ดใส่มัน ทำให้ไอ้มืดเสียหลักล้มลง แล้วหัวเห็ดที่บินไปแล้วก็กลับมามือของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งเกรียนIมWรัตติมาริโอก็ได้ใช้หัวเห็ดนี้เป็นโล่ป้องกัน แล้วชาร์จพลังยิงลำแสงเกรียนIมWบลัสเตอร์ใส่มันปิดท้ายด้วยคำพูดเท่ๆ

“กูIมWสาด ข้องใจตัวตัวนอกจอกูได้เว้ย ไอ้ลูกตุ๊ด แค่นี้ก็จอดแล้ว โด่ นู้บว่ะ”

.......................

 :laugh: :laugh: :laugh: :m20: :m20: :m20:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ร่วมร่างได้ด้วย 555

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 37 ทวีปหลัก
 
...............

“ไม่น่าเชื่อวะ มอนสเตอร์กับผู้เล่นรวมร่างกันได้”

ปริญพูดพลางมองหน้าจอที่แสดงภาพมาริโอกับรัตติรวมร่างกัน

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละปริญ” ดนัยเทพพูดพลางจดรายละเอียดทักษะใหม่ที่รัตติกับมาริโอได้มาอย่างบังเอิญ ถึงแม้รัตติจะไม่ค่อยรู้สึกตัวก็เถอะ “ทักษะรวมร่างนี้มันต้องอัพความสนิทสนมกับทาสรับใช้อย่างน้อยระดับสิบ แล้วก็ต้องอยู่ในสภาวะคับขันโดยที่ผู้เล่นตกอยู่ในอันตรายเหมือนผู้เล่นไอดีแปดพัน ถึงจะสามารถรวมร่างกันได้”

“อืม ฟังดูน่าสน นี่ถ้าฉันเข้าไปเล่นแบบไอดีนี้บ้างก็คงดีไม่น้อย” ปริญพูดเอามือลูบคางตัวเองอย่างสนอกสนใจกับทักษะใหม่นี้ ซึ่งทำให้ดนัยเทพต้องหันมาเหล่ตามองเพื่อน

“แกยังต้องทำงานอยู่นะไอ้ปริญ” ดนัยพูดขู่ ก่อนจะหันไปเขียนบันทึกต่อ “เดี๋ยวคืนนี้ต่อโอทีอีกสองชั่วโมงแล้วแกค่อยไปพักแล้วกัน”

คนฟังถึงกับหน้าซีด

“ไม่นะ ฉันยังไม่ได้นอนมายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว!”

“ไม่รู้ล่ะ แกอยากโดดงานแอบเข้าไปดูไอดีแปดพันตอนเล่นเกมเองนี่นะ”

สุดท้ายปริญก็ต้องอยู่ทำโอทีกับเพื่อนร่วมงานอีกคน โดยที่ดนัยเทพขอลาไปนอนพักผ่อนเอาแรงสำหรับงานพรุ่งนี้เช้า

...................

ย้อนกลับมาทางด้านรัตติที่ยังคงรวมร่างกับมาริโออยู่ เมื่อจับกุมสล๊อตได้แล้ว พวกชาวบ้านกับพวกทหารที่เคยพากันเข้าใจเจ้าชายรูนน์ผิดๆ ต่างกราบขอประทานอภัยกันเป็นวรรคเป็นเวร ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าชายรูนน์ไม่ถือเอาความ ในระหว่างเจ้าชายรูนน์กำลังเคลียร์เรื่องสล๊อตกับดาร์คเอลฟ์อยู่นั้น พวกปฐพีก็ได้เดินเข้ามาสำรวจเกรียนIมWรัตติมาริโออย่างสงสัย

“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าจะรวมร่างกันได้” ศาสตราพูดพลางมองร่างใหม่ของรัตติกับมาริโอตั้งแต่หัวจรดเท้า “ว่าแต่…ตอนนี้มาริโอหรือรัตติที่กำลังคุมร่างล่ะ”

“ต้องเป็นหนูสิฮะพี่ศาสตรา” เสียงมาริโอตอบ

“ห๊ะ? มาริโอหรอกรึ” ศาสตราร้องอ้าว “แล้วรัตติล่ะ รัตติหายไปไหน”

“รัตติยังอยู่ข้างในฮะพี่ศาสตรา ถ้าอยากคุยเดี๋ยวหนูเรียกให้”

“อืม เอางั้นก็ได้”

แล้วมาริโอก็หลับตาลง สามหนุ่มรออยู่ได้สักพักอีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เผยให้เห็นนัยน์ตามังกรสีฟ้าครามซึ่งผิดกับนัยน์ตาเมื่อครู่นี้ที่เป็นสีดำธรรมดา

มองกี่ทีๆก็ยังดูสวยแหะ

สามหนุ่มคิดในใจ

“พวกพี่เรียกผมมีธุระอะไรเหรอครับ” น้ำเสียงคนพูดยังดูเบลอๆ ราวกับเพิ่งจะได้สติไม่นานมานี้

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากจะถามว่าทักษะรวมร่างนี้น้องไปหามาจากไหน” คราวนี้พิภพเป็นคนถาม “เผื่อว่าพวกพี่จะได้ลองเอาไปใช้ดูบ้าง”

รัตติในคราบใหม่ได้ฟังที่พิภพถามแล้วก็พลันส่ายหน้าไปมา

“ผมไม่ทราบครับ มันมีมาของมัน…” รัตติพูดยังไม่ทันจบ ร่างเกิดทรุดลงกะทันหัน ทำเอาสามหนุ่มรีบเข้าไปจับแทบไม่ทัน

“เฮ้ย ทำไมอยู่ๆ ก็ทรุดล่ะ” ศาสตราถามอย่างสงสัย

“ถามฉันแล้วฉันจะตอบแกได้ไหมล่ะ”

“ลองถามน้องมาริโอดูก็จะรู้เองแหละ” ปฐพีพูดตัดบทอย่างรำคาญ ก่อนจะใช้มือสะกิดร่างในอุ้งมือ “น้องมาริโอครับ น้องมาริโอตื่นสิครับ”

แวบ!

จู่ๆ แสงสีแดงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำเอาสามหนุ่มต้องรีบหลับตาลงเพราะแสงสีแดงมันทำให้พวกเขาแสบตา แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกถึงคลื่นพลังงานชนิดหนึ่งกำลังไหลออกจากร่างในอุ้งมือ พร้อมกับลำแสงสีแดงที่ได้หายไปในพริบตา

“โอ้ท่านมังกรแยกออกมาแล้ว!” เสียงพวกชาวบ้านโห่ร้อง ทำเอาสามหนุ่มรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าร่างที่พวกเขาจับไว้อยู่นั้นเป็นเด็กหนุ่มผมสีเงินในชุดเดิม ส่วนมาริโอนั้นกำลังยืนทำท่ามึนงงอยู่ข้างพวกเขา

“สงสัยคงจะหมดเวลารวมร่างล่ะมั้ง” พิภพพูดสรุปเองโดยไม่มีใครถามสักคำ
 
หลังจากเหตุการณ์แยกร่างระหว่างรัตติกับมาริโอจบแล้ว รัตติถึงกับหมดสติไปอีกครั้งซึ่งเจ้าชายรูนน์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว จึงชวนสามหนุ่มให้พารัตติกับมาริโอไปพักที่วังหลวง แล้วเวลาก็ผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง รัตติก็ยังคงหลับไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ทำเอาทุกคนเริ่มเป็นกังวล โดยเฉพาะมาริโอที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายจนเสียงแหบแห้ง

“นี่ขนาดหมอหลวงมาตรวจดูอาการแล้วก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ข้าเกรงว่าท่านรัตติ…”

“อย่ามาแช่งรัตติของข้าว่าตายเชียวนะไอ้เจ้าชายบ้า! ฮือๆ” มาริโอด่าย้อนเสียงสะอื้นไห้ ซึ่งทำเอาเจ้าชายรูนน์รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น

“นี่ปฐพี ไม่มียาสำหรับแก้พิษจากปีศาจรากไม้เลยหรือ” พิภพหันไปถามเพื่อน

“ถ้ามีก็คงให้ไปนานแล้วล่ะ” ปฐพีตอบอย่างจนมุม เพราะเกมนี้มันสมจริงมาก ถึงขนาดมียาแก้พิษก็ยังช่วยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ “แต่ลองให้ยาเพิ่มพละกำลังดูก่อนก็ไม่เลว เผื่อจะฟื้นขึ้นบ้าง”

“อืม ลองดูก็ดีเหมือนกัน"

ในขณะที่พิภพกำลังจะหยิบขวดยาเพิ่มพละกำลังที่ได้มาพิเศษนั้น เสียงของคนป่วยก็ดังขึ้นมาซะก่อน

“ขอ…ขอ…น้ำหน่อย”

“น้ำเหรอ ได้! รอเดี๋ยวนะ”

มาริโอพูดพลางกุลีกุจอหยิบเหยือกรินน้ำใส่แก้วน้ำ ก่อนจะรีบนำไปป้อนให้รัตติอย่างเร็ว เมื่อคนป่วยได้ดื่มน้ำสมใจอยากแล้ว ก็นอนกึ่งนั่งโดยเอาหลังเอนพิงหมอนต่ออย่างอ่อนแรง

“ว่ายังไงล่ะน้องรัตติ มีเจ็บมีปวดตรงไหนรึเปล่า” ศาสตราถามก่อนเป็นคนแรก ซึ่งทำเอาคนป่วยมุ่นคิ้วมองอย่างมึนงง “เอ่อ พี่หมายถึงว่าน้องรัตติยังรู้สึกมึนหรือปวดหัวอะไรบ้างหรือเปล่านะ”

“พี่ชายเป็นใครหรือครับ”

คำตอบจากคนป่วยทำเอาทุกคนถึงกับนิ่ง

“เวรล่ะสิ อย่าบอกนะว่าความจำเสื่อมอีก” ศาตราพูดด้วยความระแวง ซึ่งคำพูดของศาสตราทำเอาเด็กหนุ่มผมเงินมองอย่างมึนงง

“พี่ชายพูดถึงใครครับ ผมเปล่าความจำเสื่อมนะ” รัตติพูดก่อนจะหันหน้าไปทางมาริโอ “เจ้าก็มัวยืนบื้ออยู่ได้นะมาริโอ ทำไมไม่บอกข้าสักทีว่าพวกพี่ชายสามคนนี้เป็นใคร”

มาริโอได้ยินที่รัตติพูดถึงกับอ้าปากค้าง แล้วมันก็หุบปากลงก่อนจะกระโดดอ้าแขนเข้ากอดรัตติที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างเต็มแรง

“โอย นี่เจ้าเป็นบ้าอะไรมาริโอ ถึงได้เข้ามากอดข้าซะแรงขนาดนี้ มันเจ็บนะ”

“ดีใจจัง ในที่สุดรัตติคนเดิมก็กลับคืนมาแล้ว! ฮือๆ”

มาริโอพูดด้วยความดีใจปนสะอื้นไห้ ถึงแม้รัตติจะไม่รู้สาเหตุที่มาริโอร้องไห้ก็ตาม แต่รัตติก็ยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ

“อืม ข้ากลับมาแล้ว”

ความสัมพันธ์ระหว่างรัตติกับมาริโอได้กลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งทำให้สามหนุ่มพอคาดเดาได้ว่าความทรงจำของเด็กหนุ่มคนนี้ได้กลับคืนมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมไอดังมาจากปฐพี ทำให้มาริโอถลาออกมาจากเจ้านายตัวเองด้วยความเขินอาย “ขอแนะนำตัวอีกครั้งแล้วกัน พี่ชื่อปฐพี ส่วนอีกสองคนศาสตรากับพิภพ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ”

รัตติได้ยินที่ปฐพีพูดก็ยิ้มรับก่อนจะทักทายกลับไปว่า

“เช่นกันครับ”

“ว่าแต่ท่านรัตติไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม”

เจ้าชายรูนน์ที่ยืนเงียบอยู่นานได้เอ่ยปากถามรัตติ ส่วนคนถูกถามได้แต่มุ่นคิ้วมองผู้พูดอย่างมึนงง

“มาริโอ นั่นใครหรือ”

“อะไรกันแค่นี้ทำเป็นจำไม่ได้ ก็เจ้าชายรูนน์ที่พวกเราช่วยให้พ้นจากคดีตัดหัวไง” มาริโอตอบยิ้มๆ “ส่วนผู้ชายคนนั้นก็พี่ราเชลองครักษ์ของเจ้าชายรูนน์ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมไปแล้วนะรัตติ”

“ข้าจำไม่ได้เลย มันว่างเปล่าไปหมด”

รัตติพูดพลางส่ายหน้าไปมา

“คงจะเป็นเพราะพิษของปีศาจรากไม้ทำให้น้องต้องเป็นแบบนี้” ปฐพีพูดสรุป “แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อน้องปลอดภัยดีและความทรงจำกลับคืนมาแล้ว พวกพี่สามคนต้องขอตัวลาก่อน”

ปฐพีจบก็รีบลุกขึ้นยืน ทำเอาศาสตรากับพิภพต้องรีบลุกขึ้นยืนตาม

“อะไรกัน จะรีบไปแล้วเหรอปฐพี ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ดูแลน้องรัตติให้หายดีก่อนรึไง” ศาสตราแย้ง

“ไม่ล่ะ พอดีฉันมีธุระที่ยังจะต้องทำต่อ” ปฐพีพูดอย่างเย็นชา “ถ้านายอยากอยู่ต่อก็เชิญ ฉันจะไม่ขัดศรัทธานาย โชคดี”

แล้วปฐพีก็เดินออกไปจากห้องพักโดยไม่รอใครเลย

“ดะ…ดะ…เดี๋ยวสิปฐพี!” ศาสตราร้องเรียกเพื่อนที่เดินออกไปแล้ว “ให้ตายสิ เอาแต่ใจจริงเชียวนะไอ้หมอนี่ เอ้อ น้องรัตติ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวพี่จะตามเขามาให้เอง นอนพักผ่อนอยู่ที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวมา ส่วนแกอยู่เป็นเพื่อนน้องเขาที่นี่นะพิภพ ไปล่ะ!”

แล้วศาสตราก็วิ่งออกไปตามปฐพีอย่างเร็ว หลังจากศาสตราได้วิ่งออกไปแล้ว ความเงียบก็เข้าครอบงำ เนื่องจากรัตติเพิ่งจะฟื้น ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรหลังจากที่ตัวเองหลับไป

“นี่ข้าหลับไปนานเท่าไหร่หรือมาริโอ”

“หนึ่งชั่วโมงนะ”

“หนึ่งชั่วโมง?” รัตติขมวดคิ้วพูด “หลับไปแค่หนึ่งชั่วโมงแต่เกิดเรื่องราวมากมายถึงขนาดนี้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะ”

“ไม่ใช่หลับหนึ่งชั่วโมง แต่น้องจำเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้ตั้งหากล่ะ”

พิภพตอบ ซึ่งทำเอารัตติยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้น

“พี่พิภพหมายความว่าไง ที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย พี่ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้”

“ได้สิ”

แล้วจากนั้นพิภพก็เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้รัตติฟัง ซึ่งคนฟังได้แต่พยักหน้ากับอ้าปากสลับกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง จนถึงตอนที่ตัวเองรวมร่างกับมาริโอ รัตติแทบตะลึงจนสำลักน้ำลายของตัวเอง หลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ศาสตราก็ได้พาปฐพีกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้รัตติจำต้องบอกลาเจ้าชายรูนน์กับราเชลเพราะต้องออกเดินทางพร้อมกับพวกพี่ปฐพี

“ขอท่านรัตติโชคดี”

“พะยะค่ะ”

แล้วพวกเขาก็เดินออกจากดินแดนเอลฟ์ไปโดยมีของติดไม้ติดมือที่เจ้าชายรูนน์มอบไว้ให้ก่อนไปด้วย โชคดีที่ตอนนี้นอกดินแดนเอลฟ์ไม่มีพวกกองทัพราชาปีศาจเหลืออยู่สักตัว ซึ่งพวกเขาคิดว่าเจ้าหน้าที่ของเกมคงจะจัดการลบพวกนั้นออกไปจากแผนที่แล้ว ในระหว่างพวกเขาเดินออกจากดินแดนเอลฟ์ รัตติรีบเปิดหน้าต่างสถานะของตัวเองออกมาดู ซึ่งผลปรากฏว่าตอนนี้อยู่ระดับที่สิบห้าแล้ว และพอลองเปิดดูหน้าต่างของทักษะดูก็พบว่ามีทักษะเพิ่มมาหนึ่งอย่างก็คือทักษะรวมร่างระดับ 1 ส่วนของรางวัลที่ได้จากการทำภารกิจคือแหวนเพิ่มพลังเวทมนตร์ระดับ 10 กับ คทาเวทมนตร์ระดับ 10

“โหน้อง ได้ของแรร์ไอเทมที่มีในเฉพาะดินแดนเอลฟ์ด้วย เจ๋งเป้งเลย” ศาสตราพูดในขณะที่มองหน้าต่างสถานะของรัตติ

“แล้วพวกพี่ไม่เคยทำมาก่อนเลยหรือฮะ” รัตติถามอย่างสงสัย

“ก็ไม่เคยนะสิ” พิภพหันมาตอบคำถามของรัตติ “เพราะเกมนี้ถือสมจริง ฉะนั้นภารกิจนี้เป็นภารกิจพิเศษ แถมสามารถทำได้แค่คนเดียว ซึ่งคนๆนั้นก็คือน้อง แล้วมันก็จะไม่มีอีกเลย”

แล้วจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางต่อโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งรัตติได้ตัดสินใจเดินทางตามพวกเขาไปเพราะพวกเขาได้สัญญาแล้วว่าจะพาเธอไปหาพี่ธิดาที่สมาคมซึ่งอยู่ใต้ทะเล ดังนั้นถ้าจะไปทางนั้นต้องผ่านเมืองเริ่มต้นด้วย ซึ่งพอไปถึง พวกเขาก็ได้เห็นสภาพของเมืองได้กลับคืนมาเป็นปกติดีแล้ว แถมยังปรับปรุงให้ดูดีขึ้นกว่าเก่าเป็นกอง จากที่ต้องเดินเข้าเมืองไปเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าลากโบราณในยุคฝรั่งเศสศตวรรษที่ 14-19 แทน

“แวะซื้อที่เติมพลังหน่อยไหมปฐพี”

“ไม่”

คำตอบของศาสตรามีอันต้องตกไปเพราะปฐพีไม่คิดจะแวะที่ไหนเลย ตั้งแต่ได้ฟังจากที่พี่พิภพเล่า ปฐพีเป็นผู้มีพระคุณของรัตติที่ได้ไปเจอเธอนอนฟุบอยู่กับปีศาจรากไม้จึงได้เข้าไปช่วยเอาไว้ ฉะนั้นไม่ว่าปฐพีจะแสดงท่าทีอะไรออกมา รัตติก็จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทว่าพอพวกเขาลงไปยังใต้ทะเลโดยมีตัวช่วยอย่างหญ้าเงือกที่กลืนกินเข้าไปแล้วจะสามารถหายใจในน้ำได้แล้ว พวกเขาทั้งสี่คนกับอีกหนึ่งตัวก็พบกับเศษซากฐานสมาคมของธิดาวางอยู่เต็มไปหมด

“นายส่งข้อความไปหาธิดาเองแล้วกัน”

พิภพบอก ส่วนปฐพีไม่ต้องพูดถึง เพราะขืนถามไปมีหวังโดนด่ากลับยับเยิน

ธิดา นี่ฉันเองศาสตรา

พอศาสตราพูดจบ ก็รออีกฝ่ายด้วยความใจเย็น

มีอะไร

อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างห้วนๆ ดูท่าคงจะอารมณ์เสียอยู่มิใช่น้อย เพราะฐานสมาคมโดนโจมตีซะเละขนาดนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็โมโหกันทั้งนั้น

ตอนนี้น้องรัตติน้องมาริโออยู่กับพวกเรา

อะไรนะ!


ศาสตรานึกขำในใจที่ทำให้ธิดาถึงกับตกใจได้

น้องรัตติน้องมาริโออยู่กับพวกเรา ตอนนี้ปลอดภัยดี หายห่วงได้

แล้วตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหน?!


คราวนี้ธิดาเริ่มร้อนรนเมื่อได้ทราบข่าวจากเขา

อยู่ที่ฐานสมาคมของเธอนั่นแหละธิดา ศาสตราตอบพลางเหล่มองเพื่อน ซึ่งตอนนี้ปฐพีกำลังยืนมองหน้าต่างสถานะของตัวเองเพื่อฆ่าเวลารอเขาคุยกับธิดาอยู่ ว่าแต่เธอล่ะ อยู่ที่ไหน ขอบอกไว้ก่อนนะว่าพวกฉันไม่รู้จักฐานสำรองของเธอด้วย

แล้วอีกฝ่ายก็เงียบไปได้สักพัก ก่อนจะพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

ไม่ต้องไปฐานสำรองหรอก ฉันย้ายฐานไปอยู่ทวีปหลักแล้วนะ

ทวีปหลักงั้นรึ?


ศาสตราพูดด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่คิดว่าธิดาจะย้ายฐานสมาคมของตัวเองไปไหนนอกจากเกาะเบื้องต้น

ใช่ ทวีปหลัก ธิดาตอบ ถ้ายังไงฉันวานพวกนายช่วยพาน้องรัตติกับน้องมาริโอขึ้นเรือข้ามทะเลมาทวีปหลักได้ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันจะจ่ายเงินให้พวกนายทีหลัง

ศาสตราขมวดคิ้วพลางหันไปมองเพื่อนอีกสองคน ซึ่งก็พบว่าตอนนี้พิภพกับปฐพีได้นั่งหลับรอแล้ว ส่วนรัตติกับมาริโอนั้นกำลังยืนชื่นชมความงามของใต้ท้องทะเลอยู่

ได้ แต่เรื่องเงินฉันจะปรึกษาปฐพีอีกทีละกัน

ตกลง ถ้ามาถึงเมื่อไหร่ก็ช่วยติดต่อมาหาฉันด้วยล่ะ จะได้ไปรับ


แล้วธิดาก็ตัดสายทิ้งโดยไม่รอคำตอบจากศาสตราเลยสักนิดเดียว

แม่เจ้าประคุณรุนช่องเอ้ย!

หลังจากนั้นศาสตราก็ได้บอกปฐพีเกี่ยวกับเรื่องที่ตนได้คุยกับธิดา ซึ่งปฐพีกับพิภพก็ไม่ได้ว่าอะไร ดังนั้นรัตติกับมาริโอจึงได้ออกเดินทางร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง โดยจุดมุ่งหมายครั้งนี้คือทวีปหลัก ส่วนเรื่องแก้วที่เป็นลูกสาวของปฐพีนั้น ปฐพีบอกว่าไม่ต้องไปหาแล้ว เพราะเมื่อครู่นี้แก้วได้ส่งข้อความมาบอกปฐพีว่าปลอดภัยดีแล้ว และตอนนี้อยู่ที่ทวีปหลักกับเพื่อนที่ชื่องุ้งงิ้ง

.....................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 38 งานเข้า (อย่าเพิ่งอ่านนน)

......................

“ค่าขึ้นเรือ 50,000เหรียญต่อคน แพงใช่ย่อยแฮะ”

รัตติพูดพึมพำในขณะที่พามาริโอขึ้นเรือมาพร้อมกับพวกพี่ปฐพี โชคดีที่ทางเกมนี้ไม่เรียกเก็บค่าขึ้นเรือกับมาริโอด้วย ไม่อย่างนั้นรัตติได้เสียเงินไปถึงแสนเหรียญแน่ พอได้ขึ้นเรือแล้วพวกเขาก็รอสักสิบนาทีเรือก็ค่อยแล่นออกจากเกาะอย่างเชื่องช้าตามกระแสทิศทางลมที่พัดพาไป ซึ่งในขณะที่เรือกำลังแล่นออกจากเกาะรัตติก็ได้ยืนเกาะข้างเรือเพื่อมองดูเกาะเริ่มที่เริ่มเล็กลง

ป่านนี้แล้วท่านพี่เมฆาจะเป็นยังไงบ้างนะ รัตติครุ่นคิดถึงคนที่ไม่ได้เห็นหน้านาน ถ้าให้เดา ป่านนี้ท่านพี่คงจะอยู่ที่ทวีปหลักแล้ว ไม่มาอยู่บนเกาะเริ่มต้นหรอก

ส่วนเรื่องการขึ้นเรือข้ามน้ำข้ามทะเลนั้นใช้เวลานานอยู่พอสมควร กว่าจะถึงทวีปหลักได้ก็ปาไปห้าวันเต็ม

“น้องรัตติมานี่สิ พี่จะพาไปห้องพักสำหรับลูกเรือ” ศาสตรากวักมือเรียกรัตติให้เดินตาม ซึ่งรัตติได้ยินดังนั้นจึงเรียกมาริโอให้เดินตามไปด้วยกัน เมื่อศาสตราได้พารัตติกับมาริโอเดินเข้าไปในเรือแล้ว รัตติก็พบว่าข้างในเรือลำนี้ใหญ่โตแฝงไปด้วยกลิ่นของไม้เก่ามีอายุดูมีน่ามนต์ขลังไม่น้อย

“แล้วตอนนี้พี่พิภพกับพี่ปฐพีอยู่ที่ไหนเหรอครับ” รัตติถามอย่างสงสัย เพราะตอนขึ้นเรือเธอมัวแต่มองข้างนอกเรือ เลยไม่ได้ทันสังเกตสองคนนั้นว่าเดินหายไปไหน

“อ้อ สองคนนั้นเข้าไปห้องฝึกวิชาแล้วล่ะ”

“ห้องฝึกวิชา?”

ศาสตราที่เดินนำหน้าก็หยุดเดินก่อนจะหันหน้ามาตอบคำถามของรัตติ

“มันเป็นห้องฝึกวิชาที่ทางเกมสร้างเอาไว้ให้พวกผู้เล่นฝึกวิชารอแก้เซ็งนะ แต่ถ้าน้องไม่ชอบ ก็ไปห้องอื่นได้นะ มีอยู่หลายอย่างอาทิเช่น ห้องดนตรี สระว่ายน้ำ ห้อง…”

“ผมอยากไปดูห้องฝึกวิชาครับพี่ศาสตรา” รัตติบอกโดยไม่สนรายชื่อของห้องอื่น “พอดีผมอยากลองฝึกวิชารวมร่างใหม่กับมาริโอดูนะครับ”

พอรัตติพูดจบ ทำเอาศาสตราหูผึ่ง

“เอาสิ พี่จะพาไปให้ พี่เองก็อยากเห็นอีกเหมือนกัน” แล้วศาสตราก็รีบพารัตติกับมาริโอไปยังห้องฝึกวิชาอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงแล้วศาสตราหยุดเดินและยังไม่พารัตติกับมาริโอเข้าไปในห้อง “พี่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าห้องฝึกวิชานี้ไม่ธรรมดา เพราะถ้าเข้าไปแล้ว เวลาในนี้จะถูกเปลี่ยนให้ช้ากว่าในเกม อย่างเช่นหนึ่งชั่วโมงในเกมก็จะเท่ากับหนึ่งอาทิตย์ของห้อง”

“หนึ่งชั่วโมงของเกมเท่ากับหนึ่งอาทิตย์ของห้องงั้นเหรอครับ!” รัตติอุทานเสียงดังลั่น เพราะเธอไม่คิดว่าเวลาในห้องนี้จะเคลื่อนตัวช้าได้ถึงขนาดนั้น

“ใช่ เพราะแบบนี้ไงเล่า ถ้าผู้เล่นมือใหม่ที่คิดจะข้ามไปยังทวีปหลัก ก็ต้องฝึกวิชาในห้องนี้ให้แกร่งเสียก่อน” ศาสตราตอบยิ้มๆ “ตอนพี่มาใหม่ พี่ก็โดนเหมือนกัน เล่นแทบรากเลือดเลยทีเดียว แต่ดีนะที่ห้องฝึกนี้มีโหมดให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งอีซี่ทั้งโนมอล และฮาร์ด ซึ่งพี่ไม่ขอแนะนำให้น้องเลือกสองอันหลัง เพราะมันยากเกินไปสำหรับมือใหม่อย่างน้อง ส่วนระบบห้องสามารถตั้งเวลาเข้าออกได้ตามใจชอบ ฉะนั้นน้องจะเข้าไปกี่ชั่วโมงก็ย่อมได้ หรือจะเลือกเข้าไปห้องเดียวกับพวกเพื่อนของพี่ก็ได้นะถ้าน้องต้องการ แต่อย่าลืมว่าเวลาน้องเข้าไปแล้ว จะสามารถอยู่ได้แค่สองชั่วโมงในเกมเท่านั้นนะน้องรัตติ”

“ครับพี่ศาสตรา”

หลังจากนั้นรัตติก็ได้ตัดสินใจเลือกเข้าไปห้องเดียวกับพวกพี่ศาสตราก่อน แล้วถึงตอนนั้นค่อยแยกตัวออกมาฝึกวิชากับมาริโอเอาทีหลัง เมื่อศาสตราพารัตติกับมาริโอเข้าไปแล้ว ก็พบว่าในห้องเป็นโทนสีขาวกว้างสุดลูกหูลูกตา พอรัตติมองไปรอบๆก็พบจุดดำสองจุดอยู่ห่างไกล

“เฮ้อ ไม่ไหวเลยสองคนนี้ จะนั่งสมาธิก็นั่งนานจนลืมวันลืมคืนเลยนะ” ศาสตราพูดพลางส่ายหน้า “เดี๋ยวเชิญน้องรัตติทดลองทักษะได้ตามสบายเลยนะ พี่จะคอยดูอยู่ข้างๆ”

“ครับ มาเร็วมาริโอ มาลองทดสอบกัน” รัตติตอบก่อนจะหันไปชวนมาริโอให้ไปฝึกทักษะใหม่ ซึ่งมาริโอก็พยักหน้าตอบรับ เพราะตัวมันเองก็อยากจะลองรวมร่างอีกครั้ง แต่ก่อนจะแปลงร่างรัตติขอเปิดดูหน้าต่างที่เป็นทักษะ ซึ่งมันมีเขียนไว้อยู่ด้านล่างว่า

ทักษะรวมร่าง (ระดับ1)

วิธีใช้ ให้พูดว่า “MATRIX EVOLUTION”

ผลลัพธ์ ผู้เล่นจะรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับทาสรับใช้ มีระยะเวลาอยู่ตามระดับที่กำหนด

ระดับ 1 (5 นาที) 

ระดับ 2 (10 นาที) 

ระดับ 3 (15 นาที) 

ระดับ 4 (20 นาที) 

ระดับ 5 (25 นาที) 

ระดับ 6 (30 นาที) 

ระดับ 7 (35 นาที) 

ระดับ 8 (40 นาที) 

ระดับ 9 (45 นาที) 

ระดับ 10 (50 นาที)


ระดับหนึ่งห้านาที?

รัตติขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะเปิดดูทักษะที่ยังไม่ได้ดู

ทักษะ สปอร์พิษ (ระดับ1)

วิธีใช้ ใช้หลังจากรวมร่างแล้ว

ผลลัพธ์ พิษจากสปอร์จะทำให้ศัตรูติดพิษ เกิดอาการมึนงงชั่วขณะ


ทักษะสปอร์พิษ?

แปลกวุ้ย


รัตติเกาหัวหยิกๆก่อนจะปิดหน้าจอทิ้ง

“มาลองทักษะกันมาริโอ” รัตติถามพลางมองมาริโอ

“อื้อ”

เมื่อทั้งคู่ตกปากรับคำกันเรียบร้อยแล้ว ศาสตราก็รีบเดินถอยหลังออกห่างไปสองสามก้าวเพราะกลัวโดนลูกหลง แล้วรัตติหลับตาลงพลางสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะพูดว่า

“MATRIX EVOLUTION”

........................

“ขอต้อนรับการกลับมาขอรับท่านราชาเงา”

เสียงคนพูดกล่าวทักทายทันทีที่ร่างสูงในคราบชุดเกราะสีดำทมิฬ ทว่าราชาเงาหาได้ตอบไม่ กลับเดินตรงดิ่งโดยไม่แยแสต่อคนรับใช้ที่ยืนต้อนรับเลยสักนิด ความจริงแล้วชายหนุ่มไม่เคยคิดจะกลับมาเหยียบซะด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่ติดตรงที่เขาไปได้ยินข่าวลือว่าพ่อของตัวเองพากองทัพราชาปีศาจไปยังเกาะเริ่มต้นเพื่อที่จะตามล่ารัชทายาทมังกรที่เหลือ ซึ่งนั่นก็คือราตรีพิสุทธิ์ น้องชายที่เมฆารู้จักนั่นเอง

เคล้ง!

“ใครอนุญาตให้คนนอกเข้ามา ที่นี่คือส่วนในพระราชวังปีศาจนะ ไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่พวกมนุษย์จะเดินย่างกรายที่นี่…”

ตูม!

9999


ผู้พูดถูกเมฆาตะบันหน้าซะกระเด็นลอยทะลุหลังคาไปเนื่องด้วยข้อหาขัดขวางเส้นทางเดินของชายหนุ่มโดยไม่ไถ่ถามให้ดีเสียก่อนว่าเขาเป็นใคร

“ไนซ์ชู้ต!”

เสียงแสดงความยินดีดังมาจากข้างหลัง ทำเอาเมฆาชะงักแต่ไม่หันไปมองเพราะรู้ดีว่าคนพูดนั้นเป็นใคร

“ปิเอโร่”

“ขอรับนายน้อย”

ปิเอโร่หันมาทำความเคารพให้เมฆาหลังจากเงยหน้ามองดูทหารผู้โชคร้ายกระเด็นลอยออกนอกหลังคาพระราชวังไปแล้ว

“จะไปไหนก็ไป แต่ถ้าข้าเรียกแล้วเจ้าต้องกลับมาหาข้าทันทีเลยนะเข้าใจใช่ไหม”

“ขอรับนายน้อย”

แล้วปิเอโร่ก็เดินถอยหลังหายออกไปนอกตัวพระราชวังทันที ซึ่งทำเอาเมฆาต้องถอนหายใจอีกรอบ ถึงแม้เป็นเกมออนไลน์แต่เมฆาก็รู้สึกท้อแท้เหมือนกับชีวิตนอกเกมจริง เพราะผู้เป็นพ่อที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงราชาปีศาจ มีนิสัยใจดี ไม่เคยคิดทำร้ายใคร แถมยังมีมิตรสหายดีๆอย่างเช่นราชามังกรเป็นต้น ทว่าหลายปีมานี้ไม่รู้มีอะไรมาดลใจให้พ่อของเขาเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือ บ้าคลั่งถึงขนาดพากองทัพเข้าไปบุกเกาะมังกรลับเพื่อฆ่าราชามังกรกับนางพญามังกร จนเป็นเหตุให้น้องราตรีมีอันต้องพลัดพรากจากพ่อแม่มังกรด้วยน้ำมือของพ่อเขาเอง

ต้องเค้นคอถามให้รู้เรื่องหน่อยซะแล้ว!

เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็สาวเท้าเดินต่อไปยังข้างในจนกระทั่งถึงประตูบานใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแกะสลักรูปหัวกะโหลกแลดูน่ากลัวไม่ใช่น้อย เมฆาหยุดยืนถอนหายใจเฮือกก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป เผยให้เห็นห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่งที่ซึ่งมีไว้เป็นที่ประชุมของเผ่าปีศาจ ชายหนุ่มมองตรงไปยังข้างหน้าก่อนจะเห็นร่างสูงผมดำยาวลากพื้นสวมชุดเกราะสีดำทมิฬนั่งอยู่บนบัลลังก์ตามลำพัง

“กลับมาแล้วรึไอ้ลูกชายตัวแสบ”

แต่คนเป็นลูกกลับสาวเท้าเดินตรงไปยังคนเป็นพ่อก่อนจะ…

ตูม!

8988


หมัดหนึ่งปะทะอุ้งมือที่รอรับ

“ไม่เลวนี่” ผู้เป็นพ่อพูดชมฝีมือของลูกชาย “หายหน้าไปเป็นปีๆ ไม่นึกเลยว่าฝีมือจะดีขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าพ่ออีกนะลูกรัก”

“ไม่ต้องมาพูดชมผม ถามตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ว่าทำไมอยู่ๆก็เข้าไปทำร้ายราชามังกรกับนางพญามังกร พวกเขาเป็นเพื่อนของท่านพ่อนะ!”

คนเป็นพ่อมุ่นคิ้วก่อนจะแสยะยิ้มตอบกลับไปว่า

“ใช่ พวกเขาเป็นเพื่อนของพ่อ แต่พ่อทำไปก็เพื่อให้เผ่าปีศาจของเราได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม” ราชาปีศาจพูดจบก็ปล่อยหมัดของลูกชายออก “ลูกก็น่าจะรู้ พลังมังกรของพวกเขายิ่งใหญ่แค่ไหนถ้าได้สูบพลังเหล่านั้นมาไว้กับตัวเอง ความจริงแล้วพ่อก็อยากได้รัชทายาทของเดรคมาด้วยเหมือนกัน เพราะจะได้เอามาให้ลูกได้สูบพลังยังไงล่ะ”

ตูม!

8900


หมัดอีกข้างสวนกลับไปแต่ก็โดนผู้เป็นพ่อรับการโจมตีได้อย่างสบาย

“ผม…ไม่…ต้อง…การ!”

เมฆาแค่นเสียงพูดด้วยความโกรธ

“ลูกไม่ต้องการงั้นรึ?” ราชาปีศาจพูดพลางมองลูกชายอย่างแปลกใจ แต่แล้วกลับฉีกยิ้มขึ้นมา “จริงสิ ลูกคงต้องการเก็บไว้เชยชมสินะ ไม่เป็นไรๆ พ่อเข้าใจลูกดี นี่คงจะถึงเวลาที่ลูกจะต้องมีคู่แล้วสินะ”

เมฆาได้ยินคำพูดของพ่อถึงกับมึนงง

“จะพามาที่นี่ก็ยังได้นะ พ่อไม่ถือ” ราชาปีศาจพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้าของลูกชาย “เพราะยังไงเผ่าปีศาจของเราไม่มีกฎเรื่องห้ามมิให้มีคนรักเป็นเพศเดียวกันหรือจะมีคนรักเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์ ถ้าลูกจะพาเขามาเป็นราชินีเผ่าปีศาจพ่อก็ไม่ห้ามเลยสักนิด เอ้า นี่ยังทำหน้ามึนอยู่อีก พ่อหมายถึงรัชทายาทมังกรยังไงล่ะ ลูกชอบเขามิใช่รึไง”

เท่านั้นแหละ เมฆาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“รีบๆพามาซะ แล้วพ่อจะได้จัดเตรียมงานแต่งครั้งยิ่งใหญ่ให้”

“ดะ…เดี๋ยวก่อนสิ! นี่ท่านพ่อรู้เรื่องของผมได้ยังไง”

เมฆารีบขัดเพราะเขาเห็นว่ามันชักกู่ไม่กลับ

“เรื่องนั้นลูกไปถามปิเอโร่เอาเองแล้วกัน เพราะพ่อยังมีงานต้องสะสางต่อ”

ราชาปีศาจพูดจบก็พลันลุกขึ้นเดินหนีหายไปเสียดื้อๆ ซึ่งทำเอาเมฆาได้แต่ยืนอึ้งอยู่ในห้องประชุมตามลำพัง

“แกไม่ได้ตายดีแน่ไอ้ปิเอโร่!!”


.......................

กลับมาทางด้านรัตติที่ตอนนี้ได้รวมร่างเดียวกับมาริโอแล้ว ซึ่งรวมร่างครั้งนี้ทำให้อีกสองหนุ่มที่นั่งสมาธิอยู่นั้นต้องลืมตาขึ้นมาดูด้วยความสนใจ ทีแรกรัตติตกใจไม่น้อยที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ตอนรวมร่างเสร็จ แต่พอตั้งสติดีๆ ก็สามารถบังคับได้ปกติ แล้วหลังจากนั้นรัตติก็ได้ลองอะไรอยู่หลายอย่างจนกระทั่งเวลาหมด

“น้องรวมร่างอีกครั้งสิ แล้วคราวนี้มาสู้กับพี่ด้วยมือเปล่า” ศาสตราพูดเชิญชวนในขณะที่รัตตินั่งดื่มน้ำยาเพิ่มมานา

“สู้กับพี่นะรึครับ” รัตติพูดพลางเอามือเช็ดริมฝีปาก “ผมว่าอย่าเลยดีกว่านะครับ ระดับของผมยังน้อยกว่าพวกพี่ ขืนสู้มีหวังได้ตายแน่”

“โอย เรื่องนั้นน้องรัตติไม่ต้องห่วงหรอก เพราะพี่จะไม่โจมตีน้อง จะคอยรับอยู่อย่างเดียว” เมื่ออีกฝ่ายยืนกรานเสียงแข็งว่าจะรับมือการโจมตีเพียงแต่อย่างเดียว รัตติก็เลยต้องยอมแต่โดยดี ก่อนจะหันมาใช้ทักษะรวมร่างต่ออีกครั้ง

“เอาล่ะ เริ่มมาเลย จะใช้ทักษะสปอร์พิษเลยก็ได้พี่ไม่ว่า” ศาสตราพูดพลางกวักมือให้เข้าไปหาตัวเอง

“ครับ” แล้วรัตติก็เข้าโจมตีศาสตราโดยไม่ให้สัญญาณ โดยใช้หัวเข่ากระแทกเข้าไปที่ลำตัวของอีกฝ่าย ซึ่งศาสตราก็ไม่คาดคิดว่ารัตติจะเร็วขนาดนี้ ก็เลยโดนเข้าที่ท้องไปเต็มๆ

บึก! อุก!

1500


การโจมตีที่รวดเร็วของรัตติทำเอาสองหนุ่มที่จับตามองอยู่นั้นถึงกับผุดลุกขึ้นยืน ซึ่งเมื่อเปรียบรัตติกับศาสตราแล้ว ศาสตราดูน่าจะเก่งและเร็วกว่าเพราะศาสตรามีระดับที่มากกว่ารัตติหลายชั้น แต่พอสองหนุ่มได้เห็นแล้ว ความคิดทั้งหลายมีอันล้มพับไป

ทักษะรวมร่างนี่

สุดยอด!


ผัวะ! บึก! ผัวะ!

1222

1338

1432


ค่าดาเมจขึ้นกระจายโดยที่รัตติยังคงรุกได้เร็วจนศาสตรากัดฟันยกแขนตั้งการ์ดป้องกัน

“เดี๋ยวผมต่อด้วยทักษะสปอร์พิษแล้วนะครับ!” รัตติบอกในขณะที่ออกหมัดหนักหน่วง ซึ่งทำเอาศาสตราเบิกตากว้าง

“ฮะ…เฮ้ย! เดี๋ยวขอเวลานอกก่อนนน!” คำพูดของศาตราทำให้เกรียนเมพรัตติมาริโอหยุดมือ

“หยุดมือทำไมล่ะศาสตรา ไม่ต่อล่ะกำลังมันส์” พิภพถามอย่างสงสัย

“เอ่อ ฉันว่าฉันขอเปลี่ยนคนดีกว่า ว่าแต่พิภพไม่สนใจที่จะลองวิชาดูบ้างเหรอ” ศาสตราหันหน้ามาถามเพื่อนด้วยสีหน้าเปื้อนเหงื่อ

“ไม่ล่ะ พอดีฉันชอบนั่งดูเฉยๆ…”

“แต่ฉันสน” คำพูดของปฐพีดังขึ้นขัดจังหวะ ทำเอาทุกคนหันไปมอง

“นายจะลองสู้กับเกรียนเมพรัตติมาริโองั้นรึ” ศาสตราถามพลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาไม่คิดเลยว่าปฐพีจะลองวิชากับรัตติ เพราะที่แล้วมาปฐพีแทบจะไม่พูดกับรัตติเลยด้วยซ้ำ “แน่ใจนะว่าจะสู้นะปฐพี”

“อืม” แล้วปฐพีก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหารัตติด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ซึ่งผิดกับรัตติที่ยังคงหวั่นๆว่าอีกฝ่ายจะทำท่าไม่พอใจอะไรเธอรึเปล่า

“เอ่อ พี่ปฐพีจะสู้กับ…ผมแน่รึครับ”

“แน่สิ” ปฐพีตอบก่อนจะตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ “จะเข้ามาก็มาเลย พี่จะคอยตั้งรับอย่างเดียว”

รัตติแอบกลืนน้ำลายก่อนจะตั้งท่าพร้อมจะสู้บ้าง

“งั้นต้องรบกวนพี่หน่อยแล้วครับ”

................

 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 39 ฝึกวิชา

...................

“งั้นต้องรบกวนพี่หน่อยแล้วครับ”

เมื่อเด็กหนุ่มนามว่ารัตติพูดจบก็พุ่งตัวออกไปข้างหน้าก่อนจะยกเท้าขึ้นหมายจะเตะสีข้าง หากแต่ปฐพีเห็นจึงรับได้ทันท่วงที

ผัวะ! ครูด!

1300


ปฐพีกันได้ทันก็จริงแต่ก็ถอยหลังไปตามแรงเตะจนพื้นขูดเป็นรอยยาว

ให้ตายสิ! เตะแรงชะมัดยาด

ปฐพีกัดฟันคิดในใจ เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าแขนขวาเริ่มชาจนลามไปถึงกระดูก

“โจมตีต่อสิ” ปฐพีบอกเมื่อเห็นว่าน้องรัตติไม่ยอมเข้ามาสักที แต่ผู้ถูกเรียกกลับยืนนิ่ง “เป็นอะไรไป ทำไมไม่โจมตีต่อล่ะ”

“คือผม…ผมว่าพี่สู้กับผมเลยดีกว่านะครับ”

“ทำไมล่ะ น้องไม่กลัวจะตายรึไง” ปฐพีบอกเสียงเรียบ “แต่ถึงตายแล้วกลับมาเกิดในเรือต่อได้ก็เถอะ แต่ความตายในเกมมันเจ็บปวดเหมือนจริงมากนะ”

เด็กหนุ่มผมสีเงินสั้นส่ายหน้า

“ผมไม่กลัวความตายครับ”

“แน่ใจงั้นรึ?” ปฐพีถามย้ำอีกรอบ

“ครับ เชิญพี่ลงมือได้เต็มที่” เมื่อเด็กหนุ่มตอบยืนกรานอย่างหนักแน่นแล้ว ปฐพีก็ต้องได้แต่ทำตามคำขอ

“เฮ้ย ปฐพีเบามือหน่อยนะเว้ย อย่าเอาให้ถึงตายเชียวล่ะ” ศาสตราตะโกนบอก

“อืม” ปฐพีตอบโดยไม่หันหน้าไปมองศาสตรา แต่จับจ้องรัตติอย่างครุ่นคิด เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะเร็วแล้ว ยังมีฝีมือการโจมตีที่หนักหน่วงอีกด้วย ซึ่งปฐพีคิดว่านี่คงเป็นเพราะทักษะการรวมร่างผนวกกับพลังของมังกร จึงทำให้น้องรัตติแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้

ฝีมือดีแบบนี้ ชักชวนเข้ามาอยู่ในสมาคมดีกว่า

แล้วทั้งคู่ต่างมองหน้าก่อนพลันเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

ผลัก! ผัวะ! ตุบ! บึก!

1200

1228

1237

1500

1234


เสียงตบต่อยเตะตีกันรัวกับตัวเลขดาเมจขึ้นกระจายทำเอาพิภพกับศาสตราถึงกับอ้าปากค้าง เพราะทั้งคู่ไม่คิดว่ารัตติจะสามารถสู้สูสีได้เท่ากับปฐพีเลยสักนิด ส่วนปฐพีเองก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือดีถึงขนาดนี้ ทว่าพอสู้กันไปได้สักพัก ปฐพีก็ชักรู้สึกแปลกๆกับรูปแบบการต่อสู้ของรัตติ

เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…

ในขณะที่ปฐพีกำลังจะนึกถึงวิธีการต่อสู้ของรัตติออกอยู่แล้ว จู่ๆร่างของเกรียนเมพรัตติมาริโอเกิดเปล่งแสงออกมา ทำเอาปฐพีถึงกับรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว

วูบ!

พอแสงหายไป ร่างของรัตติก็แยกออกมาจากมาริโอ

“ว้า หมดเวลาแล้วรึเนี่ย” มาริโอบ่นด้วยความเสียดาย ส่วนรัตติที่เพิ่งจะแยกออกมาจากร่างมาริโอถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสับสน แต่พอรู้สึกว่าโดนแยกร่างออกมาแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาหาพี่ปฐพี

“จะรวมร่างต่ออีกไหม” ปฐพีถามเพราะอยากจะสู้ต่อ ทว่าน้องรัตติกลับส่ายหน้า

“ผมว่าผมขอแยกไปฝึกเองดีกว่านะครับ”

“อ้าวทำไมล่ะน้องรัตติ พี่ยังดูไม่จบเลยนะ” ศาสตราแย้ง ทำเอาพิภพต้องเอาศอกถองเข้าที่ท้องศาสตราด้วยความหมั่นไส้

“เชิญน้องฝึกตามสบายเลยนะ พวกพี่ไม่ห้าม จริงไหมปฐพี” พิภพหันไปถามปฐพี ซึ่งเขาพยักหน้าตอบ แล้วหลังจากนั้นปฐพีก็ได้เอ่ยปากชักชวนรัตติกับมาริโอให้เข้าสมาคมจับฉ่ายของพวกเขา แน่นอนว่าอีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมยังมีเรื่องที่จะต้องทำอีกมาก ไม่สามารถเข้าร่วมด้วยได้” แล้วรัตติกับมาริโอก็ขอตัวแยกย้ายไปฝึกห่างๆจากจุดที่พวกเขาอยู่ ส่วนพวกปฐพีก็หันมาซ้อมดาบกันเอง ซึ่งในช่วงสองอาทิตย์ของห้องนี้หรืออีกสองชั่วโมงในเกม รัตติก็ใช้เวลานั่งศึกษาทักษะที่ตัวเองได้มาในช่วงจำความไม่ได้บ้าง สู้กับมาริโอด้วยมือเปล่าบ้าง หรือไม่ก็ซ้อมการรวมร่างกับมาริโออยู่หลายสิบเที่ยว ซึ่งผลลัพธ์ก็คือรัตติสามารถรวมร่างได้อย่างมากแค่ห้านาทีเท่านั้น แล้วก็ดูของที่ได้รับมาจากภารกิจพิเศษในดินแดนเอลฟ์ด้วยบ้าง เดินไปดูพวกปฐพีสู้กันเองบ้าง หรือไม่ก็ขอให้พวกเขาช่วยสอนวิธีการเล่นนักดาบแบบสองสาย ซึ่งไม่พ้นพิภพที่จะสอนคร่าวๆเพราะได้เห็นรูปแบบการต่อสู้ของปฐพีมาก่อนแล้ว แต่พิภพสอนได้แค่เบื้องต้น เพราะนอกเหนือจากนั้นให้รัตตินำไปประยุกต์เอง


................

หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป รัตติกับมาริโอก็ได้ออกจากห้องก่อนจะตั้งโปรแกรมของห้องเพื่อฝึกกันเองสองคน ซึ่งแน่นอนว่ารัตติสั่งให้มาริโอฝึกบริหารร่างกายตามตารางที่พี่ธิดาเคยให้ไว้ ส่วนตัวเธอเองก็ด้วยเช่นกัน

“ข้าเหนื่อยแล้วนะรัตติ เมื่อไหร่จะให้พักได้ซักที” มาริโอบ่นพลางนั่งลงกับพื้นหอบหายใจเหนื่อยๆ ซึ่งทำให้รัตติที่กำลังวิดพื้นด้วยนิ้วชี้ข้างเดียวเงยหน้าขึ้นมามอง

“ไม่ได้” แล้วเธอก็วิดพื้นต่อโดยไม่สนใจสีหน้าอันอิดโรยของมาริโอ “อยากจะแกร่งอวดสาว ก็ต้องหมั่นฝึกฝนร่างกาย”

“ข้ารู้น่ารัตติ แต่ขอพักหน่อยเดียวไม่ได้รึไง”

“ไม่ได้”

“น่านะรัตติ ขอแค่ยี่สิบนาที”

“ไม่ได้”

“งั้นสิบห้านาที”

“ไม่ได้”

“สิบนาที”

“ไม่”

“ห้านาทีเลยเอ้า” รัตติถอนหายใจแรงๆเมื่อมาริโอเถียงอย่างไม่ยอมแพ้

“พักห้านาทีก็ห้านาที แต่หลังจากนั้นต้องฝึกต่อให้จบวันนี้ล่ะ”

“อื้อ” มาริโอตอบก่อนจะล้มตัวลงนอนทันที “คร่อกกก ฟี้!”

รัตติได้ยินเสียงกรนของมันก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหันมาวิดพื้นต่อจนเสร็จ แล้วจึงหันไปปลุกมาริโอต่อด้วยการใช้แส้ฟาดสองสามรอบ ซึ่งทำเอามาริโอรีบลุกขึ้นมาฝึกตามตารางต่อด้วยความกลัว หลังจากฝึกเกือบได้สองอาทิตย์ของห้องแล้ว ทักษะพัฒนาร่างกายของรัตติก็เพิ่มขึ้นมาระดับสิบแล้ว ส่วนพลังจิตนั้นรัตติคิดว่าจะลองเรียกไฟดูตามที่ศาสตราเคยสอนเอาไว้

“จำไว้ให้ดีนะน้องรัตติ การจะเรียกไฟนั้นน้องต้องจินตนาการถึงภาพของเปลวไฟมันขึ้นมา แล้วค่อยร่ายเวทย์นะ ส่วนบทเวทย์นั้นก็แล้วแต่น้องจะร่าย เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว จะร่ายออกมายังไงก็แล้วแต่น้อง”

มันฟังดูง่ายแต่พอจะทำมันยาก!

รัตติครุ่นคิดอย่างหนักใจ แต่แล้วเธอก็นั่งลงขัดสมาธิก่อนจะทำจิตใจให้สงบ พยายามคิดถึงภาพเปลวไฟสีแดงที่กำลังลุกโชนด้วยความร้อนแรง

“ไฟ! ไฟไหม้!”

“ท่านได้รับทักษะเวทย์ไฟระดับ1”

เสียงมาริโอร้องโวยวายก่อนจะตามด้วยเสียงของระบบประกาศบอกในหัว ทำให้รัตติหลุดห้วงสมาธิก่อนจะลืมตาขึ้นมามอง เผยให้เห็นภาพเบื้องหน้าของเธอที่มีเปลวไฟสีฟ้าก้อนใหญ่เท่าบ้านกำลังลุกไหม้

ให้ตายสิ มัวแต่คิดถึงภาพไฟเลยลืมกะปริมาณพลังเวทย์ของตัวเองไปซะสนิท!

รัตติหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะนึกภาพเปลวไฟที่มีขนาดเล็กเท่าลูกเทนนิส แล้วเสียงมาริโอก็พูดขึ้นว่า

“อ๊ะ ไฟลดลงแล้ว” รัตติลืมตามองขึ้นอีกครั้งซึ่งคราวนี้ไฟสีฟ้าเหลือเท่าลูกเทนนิสจริงๆ

บังคับยากเหมือนกันวุ้ย!

“นี่ๆรัตติ เจ้าเป็นคนร่ายเวทย์เองเหรอ” มาริโอถามพลางเดินเข้ามาดูลูกไฟ

“อืม”

“แล้วทำไมข้าถึงไม่ได้ยินบทร่ายของเจ้าล่ะรัตติ” มาริโอถามอีกครั้งอย่างสงสัย “เอ หรือว่าเจ้าเรียกไฟได้โดยไม่ต้องร่ายบทเวทมนตร์ให้เสียเวลา”

คำถามของมาริโอทำเอารัตติชะงัก

นั่นสิ เมื่อกี้นี้เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยซักคำนี่

แล้วรัตติก็โบกมือไปมา ทำให้ไฟสีฟ้าที่ลุกอยู่กลางอากาศก็พลันดับลง ก่อนจะหันไปเปิดหน้าต่างสถานะของตัวเองเพื่อดูทักษะใหม่ที่เพิ่งจะได้มา

ทักษะ (ร่างมนุษย์)

-เวทย์ไฟ (ระดับ1)


ทักษะร่างมนุษย์?

รัตติมองพลางขมวดคิ้วคิด แต่พอเปิดหน้าต่างถัดไปซึ่งเป็นหน้าต่างที่รัตติไม่ค่อยได้เปิดบ่อยรึไม่ก็ข้ามไปเพราะไม่ได้สนใจ

ทักษะ (ในร่างมังกร)

1.วิญญาณมังกร (ระดับ1) ทักษะติดตัว

2.การต่อสู้เบื้องต้น

-กัด (0)

-ต่อย (0)

-กรงเล็บ (2)

-ฟาดหาง (10)

-บิน (0)

-โหม่ง (0)

-พ่นไฟ (7)


รัตติได้เห็นทักษะแล้วถึงกับขมวดคิ้ว

สงสัยได้ทักษะมาตอนแปลงร่างเป็นมังกรเมื่อคราวนั้นล่ะมั้ง? รัตติคิดเสร็จก็พลันเหลือบเห็นคำว่าทักษะบินที่ยังคงเป็นศูนย์อยู่ จะว่าไปยังไม่ได้ลองหัดบินเลยนี่นะ ไหนๆก็ว่างแล้วลองแปลงร่างแล้วหัดบินดีกว่า

แล้วรัตติก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะทำสมาธิเพื่อแปลงร่างเป็นมังกร

“อ้าว แล้วนั่นเจ้าคิดจะทำอะไรอีกล่ะรัตติ” มาริโอถามทันทีที่เห็นรัตติลุกขึ้นยืน

“บินนะ” รัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “เงียบหน่อยนะมาริโอ เพราะข้าต้องการสมาธิ”

พอรัตติเห็นว่ามาริโอเงียบไปแล้ว เธอก็หันมาทำสมาธิต่อซึ่งเวลาผ่านไปได้แค่หนึ่งนาที ร่างกายของรัตติก็ได้เปล่งแสงจนมาริโอต้องรีบหลับตาลงเพราะแสบตา

โฮก!

เสียงมาก่อนที่แสงจะดับวูบ มาริโอลืมตาขึ้นมองก่อนจะเผยอปากด้วยความตะลึง เพราะภาพเบื้องหน้าของมันเป็นร่างมังกรสีเพทายฟ้าอ่อนตัวใหญ่เท่าตึกสองชั้นแลดูน่ากลัวอย่างยิ่ง

หึ เป็นไงมาริโอ ข้าตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมไหม

เสียงพรายกระซิบดังแว่วในหัวมาริโอ ซึ่งมันได้ยินก็รีบพยักหน้าอย่างเร็ว

“ใหญ่สิ และน่ากลัวด้วย!”

ฮะๆ อย่างงั้นเองหรอกรึ รัตติพูดไปหัวเราะไป การแปลงร่างครั้งนี้ต่างจากที่แล้วมา เพราะระดับของเธอได้สูงขึ้น จึงทำให้ร่างกายมังกรพลอยสูงขึ้นไปตามด้วย เดี๋ยวข้าจะลองฝึกบิน เจ้าช่วยถอยไปห่างๆสักสองร้อยเมตรก่อนได้ไหม

“อื้อๆเข้าใจแล้วล่ะ” มาริโอตอบก่อนจะวิ่งออกไปตามที่รัตติสั่งอย่างเร็ว เมื่อรัตติเห็นว่ามาริโอวิ่งออกไปได้ไกลพอแล้ว จึงค่อยขยับปีกไปมาจากที่เคยเชื่องช้าก็ค่อยเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งปีกโบกสะบัดได้เร็ว ซึ่งก่อให้เกิดลมพัดแรงจนมาริโอปลิวไปอีกห้าร้อยเมตรได้

“เหวอ! สะบัดปีกให้มันเบาๆหน่อยสิรัตติ!” แล้วร่างของรัตติก็ค่อยสูงขึ้นๆจนกระทั่งเท้าของรัตติลอยเหนือพื้น

สำเร็จ!

บินได้แล้ว!


พอรู้ว่าบินได้แล้ว รัตติก็รีบสะบัดปีกพาตัวเองบินขึ้นกลางอากาศทันที ซึ่งโชคดีที่ห้องนี้เป็นห้องพิเศษ จึงไม่มีเพดานที่จะทำให้รัตติต้องบินขึ้นไปโหม่งให้เจ็บตัวเอาได้

“สุดยอดเลยรัตติ! เจ้าบินได้แล้ว!” มาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจ ซึ่งหลังจากนั้นรัตติก็ทดลองบินอยู่เกือบชั่วโมง ก่อนจะเรียกให้มาริโอมานั่งบนหลังของตัวเองแล้วพามันบินไปทั่วห้องอย่างสนุกสนาน

....................

 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 40 วิชาประยุกต์

.........................

หลังจากที่รัตติพามาริโอบินเล่นอย่างสนุกสนานแล้ว ก็พาเข้านอนในเต็นท์เพื่อพักผ่อนเอาแรงซ้อมวิชาในวันถัดไป ซึ่งโชคยังดีที่ในห้องฝึกวิชายังพอมีระบบบอกเวลาให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาในห้องเป็นเวลาอะไร แถมยังบอกเวลาในเกมด้วยว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร และยิ่งกว่านั้นพอถึงหกโมงเย็นแล้ว ภายในห้องก็จะมืดสนิทเหมือนตอนกลางคืนอีกด้วย

ช่างทำได้โอเว่อจริงๆนะเกมนี้

เช้าวันต่อมารัตติกับมาริโอฝึกฝนตามตารางของพี่ธิดาอีกตามเคย พอฝึกเสร็จรัตติก็นั่งฝึกพลังเวทย์ไฟต่อ ซึ่งผลออกมาเป็นไปตามรูปแบบที่รัตติต้องการ

แล้วถ้าเป็นธาตุอื่นล่ะ?

รัตติคิดได้ดังนั้นก็ลองหลับตานึกถึงภาพของคลื่นน้ำทะเลที่ซัดหินเบาๆไม่แรงมากนัก

ซ่า!

เสียงน้ำดังขึ้นพร้อมกับความเย็นที่ซัดเข้ากระจายหน้าของตัวเอง ทำเอารัตติสะดุ้งลืมตาตื่น

“เฮ้ย น้ำมาจากไหนเนี่ย” มาริโอบ่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรัตติที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ “อ้าว เจ้าก็โดนน้ำไปด้วยรึรัตติ เอ อย่าบอกนะว่าเจ้าเรียกน้ำออกมานะ”

“อืม”

เจ๋ง!

แค่นึกภาพ เวทมนตร์มันก็ออกมาเองโดยอัตโนมัติ!

แล้วรัตติก็ลองหลายๆธาตุ เช่นธาตุดิน ธาตุลม ธาตุแสงสว่าง และธาตุมืดซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ ดังนั้นรัตติจึงลองดัดแปลงธาตุให้เป็นอย่างอื่น อย่างธาตุลมก็ดัดแปลงให้ร่ายออกมาเป็นสายฟ้าเป็นต้น ซึ่งหนูทดลองเวทย์ให้รัตตินั้นจะเป็นใครที่ไหนไม่ได้นอกเสียจากมาริโอ ทีแรกมันไม่ยอมเอาแต่ร้องไห้เพียงอย่างเดียว รัตติก็เลยยื่นข้อเสนอไปว่าถ้ามาริโอยอมเป็นหุ่นให้รัตติลองวิชา รัตติจะให้ออกเดทกับปลา มันก็เลยยอมเป็นหนูทดลองอย่างว่าง่าย หลังจากรัตติได้ทดลองเวทย์จนพอใจแล้ว คราวนี้ลองหันมาสวมแหวนเพิ่มพลังเวทมนตร์ระดับสิบกับหยิบคทาเวทมนตร์ระดับสิบขึ้นมาลองใช้ดูบ้าง ซึ่งผลก็คือเวทมนตร์แรงขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ รัตติก็เลยเดาได้ว่ามันคงเป็นเพราะเธอไม่ใช่นักเวทย์โดยตรง ก็เลยทำให้แรงอยู่ได้แค่นั้น

เป็นนักดาบสายเวทย์น่าจะมีอะไรมากกว่านี้สิ

รัตติครุ่นคิดอย่างปวดหัว เพราะเธอไม่รู้จะทำยังไงต่อดี ได้แต่เรียกไฟสีฟ้าออกมาดูเล่นๆ

“เฮ้ รัตติขอข้าจับดาบคาตานะเล่นได้ไหมล่ะ” มาริโอถามพลางทำท่าจะหยิบดาบคาตานะที่วางอยู่บนพื้นข้างรัตติที่นั่งอยู่

“อ๊ะ ไม่ได้นะมาริโอ ของแบบนี้เด็กห้ามเล่นเด็ดขาด” รัตติร้องห้ามไม่ให้มาริโอจับพร้อมกับเอามือวางกดปลายดาบคาตานะไม่ให้มาริโอได้หยิบไป

ฟู่!

จู่ๆดาบคาตานะที่รัตติสัมผัสอยู่นั้นเกิดประกายขึ้นมา ทำให้มาริโอรีบถอยมือหนีด้วยความตกใจ

“เหวอ ไฟมันจะเผาดาบแล้ว!” ซึ่งแทนที่ไฟจะเผาดาบตามที่มาริโอว่าเอาไว้ กลับหยุดนิ่งอยู่แค่ส่วนคมดาบเท่านั้น “อ้าว หยุดแล้วนี่ เฮ้อ นึกว่าจะไหม้หมดซะแล้ว”

พอรัตติเอามือออกจากดาบ ไฟก็พลันหายไปจากดาบทันที แต่พอแตะลงไปใหม่ ไฟมันก็ลุกท่วมอีกครั้ง ซึ่งรัตติลองทำสลับไปสลับมาอยู่อย่างนี้สิบรอบได้

นึกอะไรดีๆออกแล้ว!

รัตติคิดในใจก่อนจะหยิบดาบขึ้นมา ซึ่งทำเอามาริโอที่มองอยู่ถึงกับงุนงง

“คิดจะทำอะไรงั้นรึรัตติ”

“ลองอะไรดูเล่นๆนะ” รัตติตอบพลางจ้องดาบอย่างนึกสนุก “มาริโอ ช่วยถอยออกไปห่างๆข้าหน่อยได้ ประเดี๋ยวจะโดนลูกหลง”

“ได้สิ” มาริโอตอบพลางเดินถอยออกห่าง พอรัตติเห็นว่ามาริโอเดินถอยห่างไปแล้ว รัตติก็เอามือข้างที่ว่างแนบกับตัวดาบก่อนจะเรียกไฟออกมาอีกครั้ง

ฟู่!

แล้วไฟสีฟ้าก็ลุกขึ้นท่วมดาบจนเกือบหมด จะยกเว้นก็ต้องที่ส่วนจับที่รัตติพยายามควบคุมไม่ให้มันลามท่วมที่มือของเธอเอง เมื่อควบคุมไฟให้อยู่กับดาบคงที่แล้ว รัตติก็หันไปทางพื้นที่ว่างเปล่าก่อนจะตวัดดาบไปยังจุดนั้น

ขวับ! ตูม!

ตวัดดาบเพียงครั้งเดียว ไฟสีฟ้าก็ลอยออกจากดาบก่อนจะกระเด็นลงพื้นเสียงดังสนั่น

“ท่านได้คิดค้นวิชาลับใหม่ กรุณาระบุชื่อท่าไม้ตายของท่านด้วยค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอกในหัวรัตติ ซึ่งทำเอารัตติขมวดคิ้วคิด

ตายจริง ยังไม่ทันคิดเลย

“เวรกรรม”

“ท่านได้รับทักษะเวรกรรมระดับ1”

เสียงระบบประกาศ ซึ่งทำเอารัตติอ้าปากค้าง

ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิฉันขอสาบานว่าจะไม่ใช้ไอ้ทักษะนี้เลยตลอดชีวิต!

เมื่อได้ชื่อท่าไม้ตายแล้ว รัตติก็รีบเปิดดูหน้าต่างทักษะทันที

ทักษะ

-เวรกรรม (1)

วิธีใช้ ร่ายเวทย์ไฟผสานโดยให้สัมผัสเนื้อดาบทำให้เกิดประกายไฟ

ผลลัพธ์ ลดค่ามานา 5 หน่วย


ทักษะเวรกรรมจริงๆด้วย รัตติคิดพลางเอามือกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้ม ลองหาวิธีอื่นดูบ้างดีกว่า เผื่อมันจะใช้แทนกันได้

คราวนี้รัตติลองเรียกพลังลมออกมาก่อนจะเอามือแนบกับเนื้อดาบ ซึ่งทำให้ลมพัดหมุนรอบตัวดาบไปมา แล้วรัตติก็ตวัดดาบไปยังพื้นที่ว่างเปล่าอีกครั้ง

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ตูม!

ลมออกดาบแลดูเป็นจันทร์เสี้ยวก่อนจะพัดตกลงกับพื้นเสียงดังสนั่น

“ท่านได้คิดค้นวิชาลับใหม่ กรุณาระบุชื่อท่าไม้ตายของท่านด้วยค่ะ”

“ลมครึ่งเสี้ยว”

“ท่านได้รับทักษะลมครึ่งเสี้ยวระดับ1”

รัตติตั้งชื่อทักษะเสร็จแล้วก็พลันเหลือบมองมาริโอ ซึ่งทำเอาคนถูกมองสะดุ้ง

“อะไรรัตติ มองข้าทำไม” มาริโอพูดพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อย “หรือว่าจะให้ข้าเป็น…หนูทดลองอีกนะ”

“ถูกต้อง”

สิ้นคำตอบของรัตติ ทำเอามาริโอถึงกับตัวแข็ง สุดท้ายแล้วรัตติก็ได้ทักษะใหม่อีกห้าทักษะ นั่นก็คือ ทักษะลมครึ่งเสี้ยวที่มาจากเวทย์ลม ทักษะหยาดน้ำค้างมาจากเวทย์น้ำ ทักษะถล่มปฐพีมาจากเวทย์ดิน ทักษะประกายแสงที่มาจากเวทย์ธาตุแสงสว่าง ส่วนทักษะสุดท้ายนั้นเป็นทักษะผ่ารัตติกาล ซึ่งรัตติไม่คิดจะใช้หากไม่จำเป็นจริงๆ เพราะตอนที่รัตติลองกับมาริโอนั้น มาริโอเกือบเจียนตายจนรัตติต้องรีบป้อนน้ำยาเพิ่มพลังให้กับมันถึงจะฟื้นเป็นปกติ

“ไม่เอาอีกนะรัตติ ไอ้พลังความมืดนั่นนะ” มาริโอพูดด้วยเสียงหวาดหวั่น “มันน่ากลัวเหลือเกิน ตอนที่พลังความมืดนั้นโดนข้าแล้ว มันก็เข้าครอบงำข้าจน…จนข้ารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”

รัตติฟังพลางพยักหน้าตอบตกลง เพราะตอนลองเวทย์กับดาบ เธอกลัวว่ามาริโอจะเจ็บหนักเกินไป จึงใส่เวทย์ไปเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ดีนะที่ตอนลองร่ายเวทย์ธาตุมืดครั้งแรก เธอไม่ได้เอามาริโอเป็นหนูทดลองด้วย

ไม่งั้นมาริโอได้ไปเฝ้ายมบาลแน่

ทว่ารัตติลืมฉุกคิดไปว่าเกมนี้ได้ตั้งโปรแกรมบางอย่างไว้ ซึ่งเจ้านายไม่สามารถฆ่าทาสรับใช้ได้หากโดนลูกหลงพลังของตัวเองเข้าไป หลังจากได้ฝึกวิชาจนเวลาผ่านไปแปดอาทิตย์ของห้องแล้ว รัตติก็พามาริโอเดินออกจากห้องซึ่งเวลาในเกมตอนนี้ก็เป็นตอนเที่ยงวันของวันแรกที่รัตติได้ขึ้นเรือลำนี้

“ไปกินข้าวกลางวันกันเถอะรัตติ ข้าชักหิวๆแล้วสิ” มาริโอพูดชักชวนรัตติพลางเอามือลูบท้องตัวเองไปมา

“อืม ก็เอาสิ”

รัตติตอบก่อนจะพามาริโอไปยังโรงอาหารของเรือ ซึ่งพอเข้าไปแล้วรัตติก็พบว่ามีผู้เล่นมากมายหลายอาชีพนั่งเกาะกลุ่มจับเข่าคุยกัน บ้างก็นั่งรับประทานอาหารไปคุยไปด้วยก็มี

“น้องรัตติทางนี้!”

เสียงคุ้นหูตะโกนพลางโบกมือให้เป็นสัญญาณ ทำให้รัตติต้องหันไปมองก่อนจะพบว่าคนเรียกเธอนั้นเป็นศาสตรา จึงเดินจูงมาริโอเดินไปหาศาสตราด้วยพร้อมกัน แล้วรัตติก็ได้เจอกับสามหนุ่มอีกครั้งซึ่งกำลังนั่งอยู่

“การฝึกเป็นยังไงบ้างน้องรัตติ” พิภพถามทันทีที่เห็นรัตติเดินมาถึงแล้ว ซึ่งทำเอาเธอยิ้มแห้งๆ

“ก็ได้ทักษะใหม่มาห้าหกทักษะได้นะครับ”

“โอ้ ไม่เลวนี่น้อง อยู่ในนั้นตั้งหลายชั่วโมงได้มาเยอะเหมือนกันนี่เรา” ศาสตราพูดชม “ว่าแต่น้องรัตติได้ทักษะอะไรบ้างล่ะ”

พอถูกศาสตราถาม รัตติแทบกลืนน้ำลายไม่ลงคอ

“เอ่อ ผม...คือ”

“จะยืนอีกนานแค่ไหน รีบนั่งลงซะ จะได้ทานข้าวกลางวันสักที”

ปฐพีพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ซึ่งทำเอาทุกคนต้องรีบนั่งลงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะระเบิดอารมณ์เสียก่อน

.....................

หลังทานข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ศาสตรากับพิภพก็ได้ชวนรัตติกับมาริโอเข้าไปฝึกวิชาในห้องฝึกวิชาด้วยกันอีก ซึ่งคราวนี้เธอไม่ได้ปฏิเสธเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจะเห็นทักษะใหม่ของเธอ

“เดี๋ยวพวกพี่จะตั้งเวลาฝึกในห้องนี้เป็นแปดอาทิตย์หรือก็คือสี่ชั่วโมงในเกม เข้าใจไหมน้อง”

“ครับพี่ศาสตรา”

แล้วพอเข้าไป รัตติก็บอกพวกเขาว่าจะขอวอร์มร่างกายก่อน ซึ่งสามหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะแยกย้ายกันไปวอร์มร่างกายของตัวเองบ้าง

“มาริโอ คราวนี้เพิ่มอีกสองร้อยหน่อยนะ” รัตติหันไปบอกมาริโอ

“อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ”

มาริโอตอบ ซึ่งทีแรกสามหนุ่มได้ยินก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะพวกเขาคิดว่าสองคนนี้คงจะเพิ่มจำนวนการวอร์มอัพอะไรสักอย่าง จึงไม่ได้หันหลังกลับไปดู

“ค่อยๆขึ้นนะมาริโอ”

“อืม”

“อ๊ะ มาริโออย่าจับตรงนั้นสิ มันจั๊กจี้นะ”

“แหม เรื่องมากจริงวุ้ย”

“จับตรงนั้นแหละ อ๊ะ ไม่ใช่ตรง…อ๊า ไม่เอานะมาริโอ อย่าจับตรงนั้น มัน อุ มันเจ็บ”

“บ๊ะ ทนเจ็บแค่นี้จะเป็นไรไป พวกเราทำมากันตั้งหลายรอบแล้วนะ”

“ก็ อ๊า มัน อึก เจ็บ อ๊าโอยเบาๆหน่อยสิ”

เสียงที่ได้ยินทำเอาสามหนุ่มทนฟังไม่ได้ จึงรีบหันกลับไปเพื่อตวาดทั้งคู่

“เฮ้ยทำอะไรนะ! เดี๋ยว…”

สามหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ ก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

“ค่อยๆนะมาริโอ ประเดี๋ยวจะตก” รัตติพูดในขณะที่ตัวเองกำลังห้อยหัวลงพื้นโดยมีนิ้วชี้ขวาข้างเดียวคอยยันพื้น ส่วนมือข้างที่ว่างก็จับตัวมาริโอที่กำลังปีนขารัตติขึ้นไปนั่งอยู่บนฝ่าเท้า “เฮ้ย เบาหน่อยสิ เล่นบีบขาข้าซะแรง เดี๋ยวเกล็ดของข้าก็ได้โผล่ขึ้นมาอีกหรอก”

“เออ โทษทีๆ ก็คนมันกลัวความสูงนี่หว่า”

เพล้ง!

อ้อ ที่แท้ก็เล่นหกสูงกันนี่เอง!

สามหนุ่มคิดแล้วก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลงนึกว่าสองคนนี้จะมีอะไรกันในเกมซะอีก

“ว่าแต่เมื่อกี้นี้พวกพี่พูดอะไรกับพวกผมเหรอครับ”

รัตติที่เล่นหกสูงหันมาถามสามหนุ่ม ซึ่งทั้งสามต่างส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ ก่อนจะหันไปวอร์มอัพของตัวเองต่อ พอวอร์มอัพเสร็จแล้ว รัตติกับมาริโอก็มานั่งรอสามหนุ่มวอร์มอัพ ซึ่งการวอร์มร่างกายของพวกเขาแตกต่างจากรัตติก็ตรงที่ต่อสู้กันเองโดยใช้มือเปล่านั่นเอง แล้วรัตติก็นั่งรอจนกระทั่งสามหนุ่มหยุดพักหอบหายใจ

ดูท่าจะเป็นการวอร์มอัพที่เปลืองแรงจริงๆเลยเด็กพวกนี้!

รัตติคิดพลางลุกขึ้นยืน

“วอร์มอัพเสร็จแล้วเหรอครับ”

“แฮ่กๆ อืม” ศาสตรากับพิภพตอบพร้อมกัน ยกเว้นปฐพีที่ไม่พูดอะไรกับเธอสักคำ เอาแต่เช็ดเหงื่ออยู่ท่าเดียว “เดี๋ยวพวกพี่ขอเติมพลังก่อน ส่วนน้องจะลองท่าก็ลองได้เลยนะ”

“ครับ”

รัตติตอบก่อนจะหันไปสะกิดมาริโอที่นั่งหลับไปแล้ว

“ฮะ ถึงตาพวกเราแล้วเหรอรัตติ” มาริโอพูดด้วยเสียงงัวเงีย

“อืม ใช่ ทำแบบเดิมนะมาริโอ เดี๋ยวข้าจะซื้อไอติมเพิ่มให้อีกทีหลัง”

“เอารสช็อกโกแลตนะ ไม่เอากาแฟ”

“ได้สิ แล้วจะจัดให้นะ”

สามหนุ่มได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจว่ารัตติกับมาริโอพูดอะไรกัน แล้วมาริโอก็รีบลุกขึ้นก่อนจะออกเดินไปห่างๆสามหนุ่มพร้อมกับรัตติ

“นั่นน้องจะเดินไปไกลถึงไหน แค่ลองทักษะให้พวกพี่ดู ไม่เห็นจำเป็นต้องไปลองไกลๆเลยนี่”

ศาสตราถามทันทีที่เห็นพวกรัตติเดินออกห่างมากเกินไป

“คือผมยังควบคุมพลังไม่ค่อยเก่งนะฮะ ก็เลยกลัวว่าพลังของผมจะไปโดนพวกพี่เข้า”

“โอ้ย แค่นี้เรื่องจิ๊บๆ เชิญน้องทดลองได้ตามสบายเลย ไม่ต้องเป็นห่วงพวกพี่หรอก”

ศาสตราบอกพลางโบกมือไปมา

“แน่นะครับว่าให้พวกผมทดลองใกล้ๆได้นะ” รัตติถามอย่างลังเล

“อืม ได้สิ”

เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจน รัตติกับมาริโอก็เดินกลับเข้ามาใกล้

“พร้อมนะมาริโอ หลบให้ดีๆล่ะ” รัตติพูดก่อนจะชักดาบคาตานะสีดำออกมาถือไว้ข้างตัว

“อื้อ พร้อมอยู่แล้ว”

มาริโอพูดพลางตั้งท่าคล้ายกับนักฟุตบอลที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู เมื่อมาริโอพูดจบ คลื่นพลังเวทย์ก็ไหลเวียนออกมาจากร่างรัตติ แล้วรัตติก็เอามือข้างที่ว่างแนบที่ตัวดาบก่อนจะมีน้ำปรากฏออกมาจากมืออย่างน่าอัศจรรย์ใจ

สุดยอด!

เรียกน้ำได้โดยไม่ต้องร่ายบทเวทมนตร์สักคำเดียว?!


“ไปเลยหยาดน้ำค้าง!”

รัตติตะโกนพลางตวัดดาบขึ้นท้องฟ้า ทำให้น้ำที่เคยไหลเวียนวนดาบก็พัดหมุนกับพื้นก่อนจะลอยขึ้นท้องฟ้าคล้ายกับพายุเฮอริเคน ซึ่งมันหมุนวิ่งเข้าหามาริโออย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

“อ๊ะ อันตราย!”

ศาสตรากับพิภพพูดอย่างลืมตัว แต่ทว่ามาริโอกลับกระโดดหลบได้ทันท่วงที แล้วคลื่นน้ำพายุนั่นก็ค่อยหมุนตัวขึ้นฟ้าก่อนจะสลายไปกับอากาศอย่างรวดเร็ว

พลังเวทย์ธาตุน้ำแรงโคตร!

นี่ขนาดเป็นธาตุน้ำยังโจมตีแรงขนาดนี้

แล้วถ้าเป็นธาตุไฟหรือธาตุอื่นๆไม่ยิ่งแรงกว่าเลยรึ!


ศาสตรากับพิภพคิดในใจพลางกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก ซึ่งไม่เว้นกับปฐพีที่หยุดเช็ดเหงื่อไปแล้ว

“ไม่เลวนี่มาริโอ หลบพลังน้ำได้ทัน” รัตติพูดชมก่อนจะพูดต่อ “แต่คราวหน้าช่วยหลบเร็วให้กว่านี้หน่อยนะ”

นี่ยังจะให้หลบเร็วๆอีกรึคุณน้อง!

“อืม ข้าจะพยายาม”

มาริโอก็อีกคน ยังจะทำเมินเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้!

สองหนุ่มครุ่นคิดอย่างหนักใจ แล้วหลังจากนั้นรัตติก็ได้ทดลองอยู่หลายธาตุให้พวกสามหนุ่มดูจนเกือบครบหมด จะเหลือก็แต่ธาตุไฟที่รัตติไม่ยอมแสดงให้พวกเขาได้ดู

“ธาตุไฟล่ะครับน้องรัตติ พวกพี่อยากดู”

พิภพถามอย่างสงสัยในขณะที่ตอนนี้พวกเขาได้เขยิบออกมานั่งดูห่างๆสักร้อยเมตรเห็นจะได้ ซึ่งคนถูกถามได้แต่เอานิ้วเกาแก้มด้วยความเขินอาย

“เอ่อ...คือ ธาตุไฟ...ผมยังไม่พร้อมนะครับ”

“ไม่พร้อมยังไงล่ะ ไหนลองให้ดูหน่อยสิ เผื่อพี่จะช่วยน้องได้”

คราวนี้คนพูดเป็นปฐพี ซึ่งทำเอารัตติแย้งไม่ออก

“ก็ได้ครับ” รัตติตอบด้วยใบหน้าซีดเผือก “แต่ถ้าผมทำอะไรออกไปแล้ว พวกพี่ๆห้ามหัวเราะด้วยนะครับ”

สามหนุ่มได้ยินก็พลันขมวดคิ้ว

“ทำไมพวกพี่ต้องหัวเราะน้องด้วยล่ะ”

ทว่ารัตติไม่ตอบ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับมาริโอ

“เอาจริงรึรัตติไอ้ทักษะนั่นนะ”

“ให้ทำไงได้ ก็พวกพี่เขาเรียกร้องมานี่”

แล้วทั้งคู่ก็ยืนประจันหน้ากันอีกครั้ง ซึ่งรัตติเหลือบตามองไปที่สามหนุ่มอย่างลังเลใจก่อนจะหันกลับมาทางมาริโอพร้อมกับชักอาวุธออกมาอีกครั้ง

ว่าสาบานจะไม่ใช้แล้วนะ

สุดท้ายก็ได้ใช้อีกจนได้

ให้ตายสิ! เวรกรรมสมชื่อเลยจริงๆ


...................

 :m20: :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ขำธาตุไฟอ่ะ ทักษะ เวรกรรม โถรัตติ 555
คนแต่งแต่งสนุกมากเลยอ่ะ ติดตามนะ ^^

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 41 พักผ่อน

...................

“มาริโอตื่นเร็ว เดี๋ยววันนี้ข้าจะพาเจ้าไปกินไอติม”

รัตติบอกพลางเขย่าคนขี้เซาให้ตื่น ทว่าคนขี้เซากลับนอนดิ้นไปอีกข้างของเตียง ทำเอารัตติต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

เอาเถอะ ปล่อยให้มันนอนสักพักแล้วกัน

รัตติคิดในใจก่อนจะเดินเข้าไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ซึ่งในช่วงอาบน้ำอยู่นั้น รัตตินึกย้อนเหตุการณ์น่าอายเมื่อวานนี้ เพราะตอนที่เธอประกาศชื่อทักษะเวรกรรมออกมา สามหนุ่มที่นั่งดูรัตติอย่างตั้งใจนั้นถึงกับหงายท้องขาชี้ฟ้าไปทันที

น่าอายชะมัดยาด!

หลังจากโชว์ทักษะที่น่าอายไปแล้ว ศาสตรากับพิภพก็ได้เอ่ยปากขอรัตติเป็นเพื่อน ซึ่งทีแรกรัตติลังเลใจว่าจะตอบรับดีไหม แต่ด้วยความคิดที่ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงผู้มีพระคุณ จึงทำให้เธอต้องตอบรับเป็นเพื่อนแต่โดยดี เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วรัตติก็ปลุกมาริโอต่อ ก่อนจะพามันออกไปข้างนอกเพื่อทานข้าวเช้า

วันนี้สินะที่เราออนไลน์เกมได้เก้าวันแล้ว รัตติคิดพลางนับชั่วโมงข้างนอกเกม ซึ่งพรุ่งนี้เป็นเวลาที่เธอจวนใกล้จะออฟไลน์แล้ว ทว่าตัวเกมของเธอยังอยู่บนเรืออยู่เลย จะฝากให้คนอื่นดูแลก็ไม่ได้เพราะไม่สนิทกัน หรือว่าจะฝากให้พวกปฐพีดูร่างของเราตอนไม่อยู่ดีไหมนะ?

“ไงน้องรัตติ วันนี้ตื่นแต่เช้าเชียวนะ” ศาสตราพูดทักรัตติในขณะที่เธอกับมาริโอกำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร

“ครับ ผมตื่นเช้าเป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้วครับ” รัตติตอบพลางมองศาสตราซึ่งมาแค่คนเดียว “แล้วพี่พิภพกับพี่ปฐพีไม่ได้มาด้วยกันเหรอครับ”

“อ้อ สองคนนั้นยังไม่ตื่นเลยนะ เห็นเมื่อคืนมัวแต่วอร์มร่างกายจนดึกดื่น เอ่อจริงสิ ชื่อของน้องทำไมพี่มองไม่เห็นในหน้าต่างรายชื่อเพื่อนเลยล่ะ” ศาสตราถามอย่างสงสัย

“เอ อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะขนาดหน้าต่างของผมเองก็ไม่มีชื่อของเพื่อนที่เคยรับเป็นเพื่อนสนิทด้วยนะครับ” รัตติตอบก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ่อพี่ศาสตราครับ เวลาเราออฟไลน์เกมไปแล้ว ผมจะสามารถนำร่างนี้ไปฝากไว้ได้ที่ไหนบ้างครับ คือผมกลัวร่างของผมจะแย่ แล้วไหนจะมาริโออีก ผมไม่อยากทอดทิ้งเขานะครับ”

มาริโอที่ได้ยินรัตติพูด ก็เงยหน้าดึงเสื้อถามรัตติด้วยเสียงงอนนิดๆว่า

“นั่นเจ้าจะไปไหนรัตติ ทำไมไม่ให้ข้าไปด้วยล่ะ”

รัตติได้ยินที่มาริโอพูดก็ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา

“ไม่ได้ไปไหน แค่จำศีลนะ”

“อ้อ ที่แท้ก็จำศีลนะเอง ไอ้ข้าก็นึกว่าเจ้าจะหนีข้าไปแล้วซะอีก” มาริโอพูดอย่างโล่งอกที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ถูกทอดทิ้งตามที่เข้าใจ ซึ่งทำเอารัตติอดนึกหมั่นไส้ไม่ได้ จึงบีบจมูกมันเบาๆ “เจ็บนะรัตติ บีบจมูกข้าทำไม”

มาริโอร้องโวยวายแต่รัตติได้แต่อมยิ้มอย่างพอใจที่ได้แกล้งมัน ส่วนศาสตราเมื่อรออีกฝ่ายพูดคุยจบแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นสวนต่อทันที

“เรื่องจะฝากร่างกายนั้นง่ายนิดเดียวน้อง เพียงแค่น้องเปิดหน้าต่างสถานะแล้วกดเลือกที่เมนูออบชั่น น้องก็จะพบปุ่มคำสั่งฝากตัวละครแล้วก็ให้กดลงไป เท่านี้ตอนน้องออฟไลน์เกมไปแล้ว ร่างกายของน้องกับมาริโอก็จะหายไปเอง”

“แล้วเวลาเรือจอดท่าละครับ ตัวผมยังไม่ได้ออนไลน์ก็ต้องอยู่ในเรืออีกต่อสิ” รัตติถามอย่างสงสัย

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปไอ้น้อง พอเวลาเรือมันจอดท่าแล้ว ตัวละครของน้องกับมาริโอก็จะลงจากเรือให้เองอัตโนมัติ” ศาสตราตอบพลางโบกมือไปมา “แล้วพอถึงเวลาน้องออนไลน์อีกครั้ง น้องก็จะมายืนอยู่ตรงท่าเรือจุดที่พักของผู้โดยสารขาออกก็เท่านั้นเอง”

“เหรอครับ งั้นก็ดีเลย ผมจะได้เลิกเป็นห่วงซักที”

แล้วหลังจากนั้นศาสตราก็ชวนรัตติกับมาริโอไปนั่งทานข้าวเช้าโดยที่ตอนนั่งทานข้าว ศาสตราได้แซวเรื่องทักษะของรัตติแกมสอนว่าทีหลังให้คิดชื่อดีๆก่อนจะพูดคำแรกออกมา เพราะคงจะไม่แคล้วเหมือนชื่อทักษะเวรกรรมอันแรก พอทานข้าวเช้าเสร็จ ศาสตราก็ได้ชักชวนรัตติกับมาริโอให้เข้าไปฝึกด้วยกันในห้องฝึกวิชาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้รัตติได้ปฏิเสธไปเพราะเธอต้องการพักผ่อนชมวิว เมื่อได้แยกกับศาสตราแล้ว รัตติก็ปล่อยให้มาริโอได้วิ่งเล่นตามสบาย ส่วนรัตติก็ออกเดินเล่นชมวิวบนดาดฟ้าของเรือตามลำพัง

........................

“ขณะนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกา ขณะนี้เป็นเวลา...”

แกรก!

เสียงนาฬิกาปลุกถูกมือใหญ่กดปิด ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่สนใจเพื่อนร่วมห้องที่นอนสงบนิ่งราวกับเป็นขอนไม้ แล้วเวลาก็ผ่านได้ยี่สิบนาที คนในห้องน้ำก็ได้ออกมาอีกครั้ง เผยให้เห็นร่างสูงในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กยีนส์แขนกุด กับกางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบเก่าๆ แลดูเป็นหนุ่มร็อคมิปาน

“อ้าว วันนี้ไม่สวมชุดเกราะไปฝึกวิชาหรือปฐพี” คนบนเตียงที่เพิ่งจะตื่นได้ไม่นานเอ่ยปากถามอย่างสงสัยเมื่อได้เห็นเพื่อนของตัวเองในชุดธรรมดา

“ไม่ล่ะ วันนี้ขอผ่าน” ปฐพีตอบเสียงเรียบพลางจ้องกระดาษข้อความของศาสตราที่วางอยู่บนโต๊ะกลมซึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้องนอน “อยากจะพักผ่อนเดินเล่นชมวิวสักหน่อย แล้วนายล่ะพิภพ จะไปฝึกตามศาสตรารึเปล่า”

“ไม่ ฉันจะไปฝึกของฉันเอง เชิญนายพักผ่อนได้ตามสบาย” เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจนแล้ว ปฐพีก็ขอตัวออกไปข้างนอกก่อนเพื่อที่จะไปรับประทานอาหารเช้าที่โรงอาหารของเรือ เมื่อไปถึงโรงอาหารแล้ว ปฐพีก็เดินไปสั่งอาหารก่อนจะมานั่งรอที่โต๊ะ

ป่านนี้แล้วคุณยายจะเป็นยังไงบ้างนะ ปฐพีครุ่นคิดอย่างหนักใจ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่แพ้กับลูกสาวของตัวเอง ทว่าปฐพีต้องหยุดคิดไปในทันทีเมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมสีเงินในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเทาออกมาเดินเพ่นพ่านในโรงอาหารตามลำพัง นั่นมันน้องรัตตินี่ ทำไมมาแค่คนเดียวล่ะ มาริโอหายไปไหน?

ปฐพีคิดในใจ แต่พอได้เห็นรัตติแล้ว ก็พลันนึกย้อนหลังตอนที่ธิดาโผล่ออกมาหลังจากที่พวกเขาได้มาเจอศพโดยมีรัตติยืนอยู่ข้างกายธิดาด้วย ตอนนั้นเขาแทบแปลกใจว่าทำไมธิดาถึงพาเด็กหนุ่มแปลกหน้ามาด้วย ทั้งๆที่ธิดาไม่เคยแวะข้องเกี่ยวกับผู้ชายนอกจากพวกเขาสามคนเท่านั้น

หรือว่าจะเป็นคนสำคัญของธิดากันแน่?

ทว่าพอคิดถึงความหลังของตัวเองที่ได้มีเรื่องทะเลาะกับธิดาแล้ว ปฐพีก็ส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเองที่เลยเถิดไปไกลจนเกือบจะกู่ไม่กลับ

“ไม่เอาน่าปฐพีเอ๋ย ฉันแต่งงานแล้วนะ จะกลับไปเป็นอย่างเดิมเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว”

ปฐพีพูดพึมพำกับตัวเองก่อนจะลงมือทานอาหารที่เพิ่งถูกเสิร์ฟเมื่อครู่นี้ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ปฐพีก็จ่ายเงินก่อนจะออกเดินเที่ยวเล่นบนเรือต่อ ซึ่งพอเดินขึ้นไปดาดฟ้าของเรือเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของทะเลยามเช้าแล้ว เขาก็พลันเห็นเด็กหนุ่มผมสีเงินอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ ใบหน้าของเด็กหนุ่มวัยสิบขวบแลดูเรียบง่ายก็จริง หากแต่พอได้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าครามแล้ว ปฐพีกลับรู้สึกอยากจะเอ็นดู อยากจะชิดใกล้อีกฝ่ายเสียขึ้นมา ทว่าพอนึกภาพธิดาเช็ดเนื้อเช็ดตัวเด็กหนุ่มเมื่อครั้นยังไม่ได้สติหลังจากแปลงร่างเป็นมังกรไปแล้ว ปฐพีกลับรู้สึกโมโหจนอยากจะขยี้รัตติให้จมดินซะเดี๋ยวนี้

ต้องถามให้รู้เรื่องหน่อยเสียแล้วว่าเป็นอะไรกับธิดากันแน่!

ถึงแม้ปฐพีจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม แต่ในใจลึกๆแล้วยังชอบธิดาอยู่เหมือนเดิม จึงมีความหึงหวงเป็นของธรรมดาที่มนุษย์ทั่วไปพึงจะมี ทว่าปฐพียังไม่ทันจะได้เข้าไปถามรัตติอย่างที่ตั้งใจไว้ อีกฝ่ายที่ยืนชมวิวอยู่นั้นกลับปีนขึ้นไปยืนอยู่บนแคมเรือ

คิดจะทำอะไรนะ?

ปฐพีคิดในใจพลางมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย ทว่าแทนที่รัตติจะยืนอยู่นิ่งๆ กลับยกเท้าซ้ายก้าวออกมาข้างหน้า ซึ่งทำให้ปฐพีที่มองดูอยู่ถึงกับวิ่งถลาเข้าไปกอดร่างนั้นไว้ไม่ให้กระโดดลงไปโดยไม่จำเป็นต้องคิดให้เสียเวลา

“จะฆ่าตัวตายในเกมรึไงไอ้เด็กงี่เง่า!”

“หะ?!”

แล้วทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างโผล่มาจากด้านหลังของเด็กหนุ่มที่ปฐพีกำลังกอดอยู่

ผัวะ!

200


ปฐพีถูกอะไรบางอย่างตีเข้าที่หน้า ทำให้เขาถึงกับหงายท้องลงไปนั่งกับพื้นอย่างมึนงง ส่วนคนถูกกอดก็เสียสมาธิจนร่วงตกลงไปในน้ำทะเลเสียงดังสนั่น

ตูม!

“ให้ตายสิ ทำไมมันยุ่งขนาดนี้นักนะ”

ปฐพีบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะรีบลุกขึ้นไปดู แต่ก็ไร้วี่แววว่าร่างรัตติจะผุดออกมาจากน้ำทะเล ปฐพีจึงรีบถอดเสื้อกั๊กกับรองเท้าออกพลางเหยียบขึ้นไปบนแคมเรือก่อนจะกระโดดพุ่งหลาวลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว

ตูม!

เสียงน้ำพุ่งกระจายขึ้นมา ทำให้ปฐพีได้เห็นร่างของรัตติที่น่าจะจมน้ำไปแล้วกลับบินสวนขึ้นมา

“เอ๋?”

“หะ!”

ตูม! พรวด! ซ่า!

“พี่ชายจะเล่นน้ำทะเลเหรอครับ”

อีกฝ่ายถามปฐพีในขณะที่กำลังกระพือปีกสีเพทายฟ้าอ่อนไปมาบนกลางอากาศ

“ไอ้เด็ก...อุบ...บ๊ะ...บุ๋งๆ...อ็อก...บุ๋งๆ”

สุดท้ายแล้วรัตติก็ได้บินโฉบลงมาช่วยเขาให้ได้กลับขึ้นมาบนเรืออีกครั้ง


........................

“ฮะๆ แล้วนายก็ตกน้ำไปแทนน้องรัตติงั้นรึ ฮ่าฮะๆ”

เสียงหัวเราะของศาสตราดังก้องทั่วโรงอาหารหลังจากถูกระบบประกาศให้ออกมาจากห้อง เพราะมีเพื่อนในสมาคมของตัวเองได้ตกน้ำทะเลไป ส่วนคนถูกนินทาชักดาบตวัดจ่อลำคอผู้พูดทันที

“ขืนพูดอีก หัวนายได้หลุดจากบ่าแน่ศาสตรา” คำพูดของปฐพีฟังดูรู้ได้เลยว่าไม่ได้ล้อเล่น จึงทำให้ศาสตราหยุดพูดแต่โดยดี

“ว่าแต่น้องรัตติก็เก่งใช่ย่อยนะ ยังอุตส่าห์คิดให้ปีกงอกออกมาได้ในขณะที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์”  พิภพกล่าวชมรัตติพลางจ้องปีกสีเพทายฟ้าอ่อนอันใหญ่โตที่อยู่ด้านหลังของรัตติด้วยความสนใจ ซึ่งไม่เว้นกระทั่งมาริโอกับผู้เล่นคนอื่นในโรงอาหารที่ต่างจับจ้องปีกของรัตติกันอย่างไม่ละสายตา

“แหะๆ ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับพี่พิภพ” รัตติพูดไปหัวเราะไปด้วยความเขินอาย “ผมก็แค่ตั้งสมาธิแล้วรวบรวมความคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในร่างมังกร แล้วจู่ๆ ปีกมันก็โผล่มาของมันเองนะครับ”

“คงไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าตั้งใจฆ่าตัวตาย ก็เลยทำให้ปีกกางออกมาเองหรอกรึ” ปฐพีพูดสรุปเอาดื้อๆ ซึ่งทำเอาพิภพกับศาสตราถึงกับขมวดคิ้ว

“ทำไมนายพูดอย่างนั้นล่ะปฐพี น้องเค้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าตัวตายสักหน่อย” ศาสตราพูดแย้งอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อน “แค่ทดสอบดูว่าจะสามารถกางปีกได้รึเปล่าก็เท่านั้นเอง”

“แล้วทำไมต้องไปยืนตรงนั้นด้วยล่ะ ทำไมไม่ไปหัดในที่ห้องฝึกวิชา” ปฐพียังคงดื้อรั้นที่จะเถียงต่อไป ซึ่งทำเอารัตติชักหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ ทว่าด้วยความที่รัตติผ่านโลกมามากแล้ว จึงไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กคนนี้ให้เรื่องมันใหญ่โต

“ถามมาได้นะปฐพี น้องเขาอยากจะฝึกกางปีกตรงไหนมันก็เรื่องของเขานี่ ทำไมนายต้องไปยุ่งกับเขาด้วยล่ะ” พิภพพูดย้อนหลังจากที่นั่งฟังอยู่นานแล้ว “เอาเถอะ ถ้านายอยากจะพูดหาเรื่องคนอื่นอีกล่ะก็ พวกเราไม่ขอยุ่งด้วยแล้ว ไปกันเถอะน้องรัตติ อย่าอยู่ที่นี่ให้เสียเวลาเลย”

“ไม่เป็นไรครับพี่พิภพ ผมอยู่ได้” รัตติตอบยิ้มๆ ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผลที่ปฐพีจงเกลียดจงชังเธอก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อยากให้เพื่อนของปฐพีต้องมาทะเลาะกันเองด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

“น้องว่ายังไงพี่ก็ว่าตามนั้น” ศาสตราพูดพลางถอนหายใจ “ว่าแต่น้องทำไมถึงไปฝึกที่บนดาดฟ้าล่ะ ทำไมไม่ไปฝึกในห้องฝึกวิชาดูล่ะ”

รัตติยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า

“พอดีผมเบื่อห้องสีขาวนั่นนะครับ ก็เลยคิดจะพักผ่อน แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ผมกลับหยุดฝึกไม่ลงจนต้องหาเรื่องกางปีกในร่างมนุษย์จนได้นะครับ ฮะๆ”

พอรัตติพูดจบ ปีกด้านหลังของรัตติก็พลันหายไป

“อ้าว ปีกหายไปไหนแล้ว” มาริโอพูดด้วยความตกใจ

“คงหมดเวลาล่ะมั้งน้องมาริโอ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” ศาสตราตอบก่อนจะพูดต่อ “ไหนน้องรัตติลองกางปีกใหม่อีกสิ”

“ครับพี่”

แล้วรัตติก็หลับตาเพื่อทำสมาธิ ซึ่งผ่านไปได้สองนาทีปีกขนสีเพทายฟ้าอ่อนก็ได้โบกสะบัดขึ้นมาอีกครั้ง

“ว้าว! สวยจังเลย” มาริโอพูดเสียงตื่นเต้น “นี่ๆรัตติ ขอข้าจับปีกได้ไหมล่ะ”

“ก็เอาสิ แต่จับเบาๆหน่อยนะ”

“อื้อ”

แล้วมาริโอก็จับปีกรัตติเล่นอย่างสนุกสนาน

“น้องรัตตินี่ทำให้พวกพี่ทึ่งได้ตลอดเลยนะ ไม่เล่นเกมอยู่เปล่าๆ ยังรู้จักคิดหาวิชามาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์” พิภพพูดชมรัตติ ซึ่งทำเอาเธอหัวเราะเบาๆพลางเอามือเกาหัวอย่างเขินอาย “ต่างกับพวกพี่ เอาแต่มุ่งมั่นฝึกดาบกับต่อยตีเพียงอย่างเดียว อย่างน้องนี่น่าจะให้พวกจีเอ็มประกาศว่าเป็นผู้เล่นตัวอย่างที่ดีกับผู้เล่นคนอื่นได้นะ”

รัตติยิ้มก่อนจะตอบไปว่า

“ผมไม่ดีถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่ไม่ชอบอยู่เฉยๆก็เท่านั้นเอง”

“ถ่อมตัวแบบนี้ น้องน่าจะมาอยู่ในสมาคมจับฉ่ายของพวกพี่นะ เฮ้อ”

ศาสตราพูดพลางถอนหายใจอย่างเสียดาย ซึ่งทำให้รัตติได้แต่หัวเราะเป็นคำตอบ

“เอ่อจริงสิน้องรัตติ พี่ได้ยินจากศาสตรามาว่าน้องจะฝากตัวละครไว้กับเกมรึ” พิภพถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

“ครับพี่ พอดีพรุ่งนี้ก็ถึงวันที่ผมต้องออฟไลน์จากเกมไปแล้วนะครับ”

“อ้าวน้องออฟไลน์ในวันเดียวกันกับปฐพีพอดีเลยแหะ” ศาสตราร้องอุทานพลางหันหน้าไปทางปฐพี “งั้นปฐพีก็พาน้องรัตติไปยืนรอจุดลงท่าเรือด้วยกันเลยสิ”

ทว่าปฐพีไม่ตอบ กลับนิ่งเงียบ

“ไม่ตอบก็แสดงว่าตกลงนะ” ศาสตราพูดเองเออเอง “งั้นเดี๋ยวน้องรัตติไปพร้อมกับปฐพีนะ เพราะถึงเวลาน้องออฟไลน์น้องจะได้หายไปจุดนั้น แล้วเกมมันก็จะรันตัวน้องให้ไปโผล่ที่ท่าเรือให้เอง”

“ครับ ขอบคุณพวกพี่มากนะครับที่ช่วยผม”

รัตติพูดขอบคุณ ซึ่งทำให้สองหนุ่มโบกมือไปมา ยกเว้นปฐพีแค่เหลือบตามองก่อนจะหันไปทางอื่นต่อ

“แล้วพวกพี่สองคนจะรอผมกับพี่ปฐพีไหวเหรอครับ”

รัตติถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ เพราะกว่าเธอจะกลับมาออนไลน์อีกครั้งก็นานพอดู

“รอไหวอยู่แล้ว” ศาสตราตอบก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวพี่กับพิภพจะไปทำภารกิจในเมืองแถวท่าเรือรอไปพลางๆก่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องที่จะพาน้องไปหาธิดานั้น เดี๋ยวพวกพี่พาไปส่งให้แน่ๆรับรองได้”

“ครับ ขอบคุณที่รอผมกับมาริโอ”

เมื่อคุยกันจบแล้ว พวกศาสตราก็ได้ชวนรัตติกับมาริโอให้ไปงานแฟนซีกับพวกเขา

“งานแฟนซีหรือครับ”

“ใช่แล้วน้องรัตติ” พิภพตอบ “งานนี้เป็นงานเลี้ยงย่อมๆ ที่พวกจีเอ็มทั้งหลายคนในเรือนี้เป็นผู้จัด ซึ่งจัดกันวันเว้นวัน เพื่อมิให้ผู้เล่นที่นั่งรอในเรือเกิดความเบื่อหน่าย โดยให้ผู้เล่นใส่ชุดอะไรก็ได้ที่มันดูเป็นแฟนซี ส่วนเรื่องชุดนั้นน้องรัตติไม่ต้องเป็นห่วง เพราะทางเรือเขามีชุดให้ยืมฟรีนะ”

“น่าสนุกจัง รัตติไปเถอะนะ ข้าอยากจะใส่ชุดแฟนซีใจจะขาดอยู่แล้ว”

มาริโอพูดเสียงอ้อนวอนรัตติ

“แล้วเขาอนุญาตให้ทาสรับใช้ไปร่วมงานได้รึเปล่าครับ” รัตติถามอย่างสงสัย

“อ้อ เรื่องนั้นเขาอนุญาตให้มาอยู่แล้วล่ะ” ศาสตราตอบก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์ “ส่วนเรื่องชุดนั้น เดี๋ยวพี่จะจัดให้น้องมาริโอเองครับ ไม่ต้องเป็นห่วง หึๆ”

คำพูดของศาสตราทำเอาพิภพกับปฐพีถึงกับส่ายหน้า ยกเว้นรัตติที่ได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าทำไมศาสตราถึงหัวเราะ

.........................

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 42 คำสาป

.........................

“โธ่นายน้อยขอรับ กระผมก็แค่เรียนไปตามที่นายท่านต้องการทราบก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งนายน้อยเลยสักนิดนะขอรับ แค่กๆ”

เสียงบ่นตัดพ้ออย่างเสแสร้งดังมาจากปิเอโร่ที่ถูกนายของตัวเองซ้อมนับยี่สิบรอบจนดูไม่เป็นผู้เป็นคน ทว่าคนเป็นนายหาได้เชื่อในคำพูดนั้นไม่ กลับใช้เท้าเตะเข้าที่ท้องของปิเอโร่แรงๆอีกครั้ง

ตูม!

8988


“ไม่ได้ตั้งใจ แล้วทำไมท่านพ่อถึงรู้ได้ล่ะ” เมฆาพูดเสียงเข้ม ใบหน้าชายหนุ่มในตอนนี้เกรี้ยวกราดจนแลดูน่ากลัว “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่รึไง ว่าห้ามไม่ให้เจ้านำเรื่องนี้ไปบอกใคร แม้กระทั่งท่านพ่อเองก็ตาม แต่ทำไมเจ้าถึงฝืนคำสั่งของข้าล่ะปิเอโร่”

ทว่าปิเอโร่ไม่ตอบคำถามของเมฆา จึงทำให้เขาเบื่อที่จะถามมันอีก

“ปิเอโร่”

“ขะ…ขอรับนายน้อย”

“เจ้าพอรู้ที่คุมขังราชามังกรกับนางพญามังกรรึไม่” เมฆาถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาปิเอโร่ที่นอนฟุบกับพื้นต้องเงยหน้าขึ้นมา

“นายน้อยจะรู้ไปทำไมรึขอรับ” ปิเอโร่ถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “อย่าบอกนะว่านายน้อยจะแอบเข้าไปช่วย”

เมฆาถอนหายใจเป็นคำตอบแทนคำพูด ซึ่งทำคนฟังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“ไม่ได้นะขอรับนายน้อย! ขืนนายท่านรู้ กระผมมิต้องตายคามือแน่ๆ ดีไม่ดี นายน้อยอาจจะพลอยโดนลงโทษไปด้วย”

“ข้าไม่กลัว” เมฆาตอบเสียงห้วน เพราะนี่เป็นเพียงแค่เกม ถึงเขาตายไปก็สามารถฟื้นคืนชีพได้อยู่ดี “เพื่อชดเชยความผิดกับสิ่งที่ท่านพ่อทำแล้ว ข้าจะทำ ต่อให้มันผิดต่อท่านพ่อก็ตามที”

“แต่กระผมเกรงว่า…”

“ไม่มีคำว่าแต่” เมฆาพูดพลางชักดาบเล่มสีดำที่มีแต่ไอปีศาจออกมาจ่อคอของปิเอโร่ “เพราะเจ้าคือทาสรับใช้ของข้า ไม่มีสิทธิ์แย้งใดๆทั้งสิ้นปิเอโร่”

ปิเอโร่มองดาบสลับกับเจ้านายของตัวเองก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ขอรับเจ้านาย กระผมจะบอกท่านทุกอย่างไม่มีบิดพลิ้ว”


.....................

กว่าจะถึงตอนกลางคืนก็ยังอีกนาน มาริโอก็เลยชวนสามหนุ่มกับรัตติเล่นซ่อนหาด้วยกัน

“พี่ขอผ่านนะน้องมาริโอ เพราะพี่จะไปเตรียมชุดให้น้องในคืนนี้ยังไงล่ะ” ศาสตราบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องพักของตัวเอง จะเหลือก็แต่พิภพกับปฐพีที่ยังคงอยู่

“นะฮะพี่พิภพพี่ปฐพี เล่นซ่อนหาด้วยกันนะฮะ” มาริโอพูดอ้อนวอนพลางเอามือกุมเข้าหากัน

“เอายังไงดีปฐพี จะเล่นไหมล่ะ” พิภพหันไปถามเพื่อนที่นั่งเงียบนานพอควร

“ก็แล้วแต่” ปฐพีตอบ ซึ่งทำเอามาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจ

“งั้นมาโอน้อยออกกัน ใครแพ้ต้องเป็นคนหานะ” สองหนุ่มกับหนึ่งหญิงในร่างเด็กผู้ชายขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินมาริโอพูด แต่ถึงกระนั้นก็ยอมโอน้อยออกตามที่มาริโอบอก

“โอ...น้อย...ออก” พอสิ้นเสียง รัตติ ปฐพี และพิภพต่างทำมือคว่ำเหมือนกันหมด ยกเว้นมาริโอที่แบมือหงายขึ้น

“ว้า ได้เป็นคนหาแฮะ” มาริโอบ่นพึมพำ “งั้นหนูจะนับหนึ่งถึงสองร้อยนะ ให้ทุกคนไปซ่อนตัวในเรือ ห้ามไปซ่อนในที่พักของตัวเองเด็ดขาดนะ ถ้าเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ก็ให้ออกมาเล่นกันใหม่นะฮะ”

“อืม” ทั้งสามคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนที่มาริโอจะหันหน้าเข้าหาเสาปิดตานับหนึ่ง

“หนึ่ง…สอง” พอมาริโอนับหนึ่ง ทั้งสามต่างมองหน้ากันก่อนจะเดินแยกย้ายไปซ่อนในที่ๆคิดว่าจะพ้นสายตามาริโอได้ หลังจากที่รัตติได้เดินออกมาจากจุดนั้นแล้ว เธอก็เดินลงไปยังข้างล่างของเรือเพื่อหาที่ซ่อน

“จะซ่อนที่ไหนดีนะ” รัตติบ่นพึมพำในขณะที่มองซ้ายมองขวาหาที่ซ่อน ตอนนี้เธออยู่ชั้นสาม ซึ่งเป็นส่วนคลังเก็บของในเรือลำนี้ “ไปโรงอาหารก็ไม่ได้ มันเตะตา…ว้าย”

จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างมาดึงแขนซ้ายรัตติให้เข้าไปในซอกลังไม้ ทำเอารัตติตกใจจนเกือบจะกรีดร้องถ้าไม่มีมือมาปิดปากไว้

“อย่าร้องนะ” เสียงคุ้นหูบอก ซึ่งพอเธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายดีๆแล้ว ก็พบว่าคนที่ดึงเธอเข้ามาในซอกลังไม้นี้คือปฐพี แล้วรัตติก็พยักหน้าตอบตกลง อีกฝ่ายจึงปล่อยมือออกจากปากของเธอ

“มีอะไรครับพี่ปฐพี” รัตติถามอย่างระแวง เพราะเธอไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีก

“นายเป็นใคร แล้วเป็นอะไรกับธิดา” อีกฝ่ายถามเสียงเข้มพลางบีบแขนรัตติซะแน่น

“ก็ผมรัตติยังไงล่ะครับ” รัตติพูดตอบอย่างฉุนๆ “เป็นแค่ผู้เล่นเผ่ามังกรธรรมดาที่เพิ่งจะเข้ามาเล่นได้ไม่กี่ครั้ง ส่วนที่ผมรู้จักกับท่านพี่ธิดาได้ก็เพราะผมไปถามทางกับท่านพี่เค้าก็เท่านั้นเองครับ”

“โกหก!” อีกฝ่ายตวาดเสียงใส่ ซึ่งทำเอารัตติเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว

“แล้วทำไมผมต้องไปพูดโกหกพี่ด้วยล่ะ ผมไม่ได้มีความแค้นอะไรกับพี่เลยนะ พี่เองตั้งหากที่ทำตัวไม่ดีกับผมก่อน” คำพูดของรัตติทำให้ปฐพีถึงกับผงะ “นี่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพี่ได้ช่วยผมไว้ตอนถูกปีศาจจับตัวไปล่ะก็ ผมคงต่อยพี่ไปนานแล้วล่ะ คนอะไร พูดก็ไม่รู้จักคิด”

“แล้วถ้างั้นนายเข้ามาใกล้ชิดธิดาเพื่ออะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะปอกลอกไอเทมของธิดา” อีกฝ่ายถามอย่างระแวง ซึ่งทำให้รัตติเข้าใจทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ทำตัวรังเกียจเธอมาตลอด จึงทำให้อารมณ์โกรธของเธอคลายลงจนเป็นปกติ

“ผมไม่เคยคิดจะทำแบบที่พี่ปฐพีว่ามาเลยนะครับ” รัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะท่านพี่ธิดาเคยช่วยชีวิตผมกับมาริโอไว้ไม่ให้จมน้ำตายมาก่อน ผมก็เลยคิดจะตอบแทนบุญคุณด้วยการทำงานในสมาคมของท่านพี่สักพักนะครับ”

คำพูดของรัตติทำให้อีกฝ่ายคลายมือที่จับแขนรัตติออก

“เอ่อ ขอโทษด้วยแล้วกันที่พี่…” ปฐพีพูดเสียงตะกุกตะกัก “…ทำไม่ดีกับน้อง”

รัตติได้ยินคำขอโทษถึงกับฉีกยิ้มอย่างดีใจที่เรื่องมันจบได้สักที

“ไม่เป็นไรครับ ผมให้อภัยพี่อยู่แล้ว”

ตุบ ตุบ

เสียงฝีเท้าเดินมาทางนี้พร้อมกับเงาที่ทอดยาวมาให้เห็น ทำให้ปฐพีต้องรีบดึงแขนของรัตติให้เข้าในอ้อมกอดของตัวเองอย่างลืมตัว

“เอ รัตติอยู่ไหนนะ อุตส่าห์คิดว่าจะหาเจอก่อนแล้วเชียว แต่กลับเป็นพี่พิภพก่อนไปซะได้” เสียงมาริโอพูดขึ้น ทำให้ปฐพีรู้ได้เลยว่าเงากับเสียงฝีเท้าเมื่อครู่นี้คือมาริโอ แล้วเสียงฝีเท้าก็ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนกระทั่งปฐพีเห็นมาริโอจากด้านข้างกำลังเดินผ่านหน้าไปอย่างเชื่องช้า

ไปเรื่อยๆนะน้อง อย่าเพิ่งหันมาเห็นตอนนี้เชียวล่ะ

ปฐพีคิดในใจโดยลืมไปว่าตนเองกอดรัตติไว้แน่นอยู่ ส่วนรัตติก็รู้สึกอึดอัดที่ถูกอีกฝ่ายกอดซะแน่นจนเกือบหายใจไม่ออก จนกระทั่งมาริโอเดินจากไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าแล้ว ชายหนุ่มจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“พี่จะปล่อยผมได้รึยัง ผมหายใจไม่ออกนะ” รัตติบอก ซึ่งทำให้ปฐพีรีบปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระ

“ขอโทษที ลืมตัวไปนะ” ปฐพีพูดขอโทษ “เดี๋ยวแยกกันตรงนี้เลย เพราะขืนอยู่ด้วยกันอีก มีหวังน้องมาริโอได้มาเจอเราสองคนพร้อมกันแน่”

“ก็ได้ครับ ขอให้พี่โชคดีล่ะ” แล้วรัตติก็กระโดดตีลังกาม้วนตัวขึ้นไปเหยียบบนลังไม้ก่อนจะวิ่งหายไป ส่วนปฐพีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไปแล้ว เขาจึงเดินออกไปจากที่นี่เพื่อหาที่ซ่อนใหม่

“จ๊ะเอ๋! เจอพี่ปฐพีแล้ว โป้ง!”


..............................

ณ คุกแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแต่คบไฟเพลิงตั้งอยู่ข้างกำแพงอยู่เป็นระยะๆ แถมนอกจากนี้อากาศภายในคุกยังเย็นจัดจนชายหนุ่มผมดำยาวที่เดินเข้ามาพร้อมกับทาสรับใช้ยังต้องเอามือกอดอก

“หนาวหน่อยนะขอรับนายท่าน เพราะที่นี่มันเย็นกว่าข้างนอกมาก” ปิเอโร่บอก ซึ่งเมฆาก็ตอบเสียงอือเล็กน้อย แล้วปิเอโร่ก็เดินนำเขาไปได้สักพักจนกระทั่งถึงทางตัน

“ทางตัน?”

“ไม่ใช่ขอรับ” ปิเอโร่ตอบ “นั่นเป็นภาพลวงตาขอรับ แต่นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวกระผมจะจัดการให้มันหายไปเดี๋ยวนี้”

พอปิเอโร่พูดจบ ก็ใช้ไพ่ขว้างไปบนเพดานอย่างเร็ว แล้วทันใดนั้นกำแพงเบื้องหน้าก็พลันหายไป

“เยี่ยม ทางลับจริงๆ” เมฆาพูดพลางคิดในใจว่า เกมนี้ช่างสร้างได้เหมือนจริง แม้กระทั่งห้องลับก็ยังมีได้ “ไม่ใช่ว่าเดินไปแล้วจะเจอลูกธนูพุ่งออกมาจากกำแพงหรอกนะ”

เฟี้ยว! ฉึก!

ลูกธนูลูกหนึ่งพุ่งผ่านหน้าปิเอโร่ที่ยื่นแขนออกไป แต่ก็ไม่โดนเพราะเจ้าตัวสามารถหลบลูกดอกได้ทันก่อน

มีจริงๆด้วยแฮะ

เมฆาขมวดคิ้วคิด

“ทำไงดีต่อขอรับนายท่าน” ปิเอโร่ถามต่อ

“ลองเขวี้ยงไพ่ของเจ้าไปให้สุดทางเดินสิ”

“ขอรับ”

พอปิเอโร่ขว้างไพ่ไป ลูกธนูก็พากันพุ่งออกมาจากกำแพงนับร้อยๆดอก

ไม่ไหว เยอะเกินไป เมฆาคิดพลางส่ายหน้า แถมยังมีได้เรื่อยๆถ้าหากมีอะไรผ่านไปทางนั้นด้วย

เมฆายืนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะเรียกโล่เหล็กออกมาสี่ชิ้น

“นายท่านคิดจะทำอะไรหรือขอรับ” ปิเอโร่ถามอย่างสงสัย ทว่าเมฆาไม่ตอบ กลับหลับตาลงพลางร่ายเวทมนตร์ใส่โล่ ทำให้โล่ทั้งสี่ชิ้นที่เคยเล็กกลับใหญ่โตมหึมา

“เอาไปสองชิ้นไว้ป้องกันตัวเองซะปิเอโร่” เมฆาบอก ซึ่งปิเอโร่ก็รีบหยิบโล่มาไว้กับตัวเองถึงสองชิ้น ส่วนตัวเขาเองก็ถือโล่มากันไว้สองข้างเผื่อว่าจะมีลูกธนูโผล่มาทั้งสองด้าน “เจ้าเดินไปก่อนปิเอโร่ แล้วข้าจะเดินตามทีหลังไป”

ปิเอโร่ได้ยินถึงกับหน้ามุ่ย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยอมเดินไปแต่โดยดี

ฟุบ! เคล้ง! ฟุบ! เคล้ง!

ลูกธนูพุ่งออกมาสองด้านแต่ก็ไม่โดนปิเอโร่ เพราะมีโล่คอยคุ้มกันอยู่ เมฆาเห็นได้ดังนั้นจึงเดินตามเข้าไป ซึ่งผลก็เหมือนปิเอโร่ ลูกธนูไม่โดนเขาเลยสักลูก หลังจากที่เมฆากับปิเอโร่เดินไปถึงอีกฟาก ก็พบว่าลูกธนูหยุดพุ่งใส่แล้ว เมฆาจึงเก็บโล่เข้ากระเป๋าไอเทมตามเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเบื้องหน้าซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด

เหม็นแหะ เมฆาคิดพลางเอามือปิดจมูกก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างโบกไปมา เผยให้เห็นแสงสว่างสีแดงส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด ต้องแบบนี้สิ ค่อยสว่างหน่อย ดีนะที่พกเวทย์สำเร็จรูป* ไม่งั้นได้อยู่ในที่มืดตลอดแน่ๆ

“นายท่านขอรับ ทางนี้ขอรับ”

ปิเอโร่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบอก ซึ่งเมฆาพยักหน้าก่อนจะเดินตาม ตลอดทางเดินนั้นเมฆาก็พบว่าสองข้างทางที่เขาเดินอยู่เต็มไปด้วยหัวกะโหลกไปเสียหมด

นี่ถ้ามีผู้หญิงตามมาด้วย มีหวังได้ร้องกรี๊ดจนสลบแน่

เมฆาคิดในใจก่อนจะออกเดินต่อ จนกระทั่งปิเอโร่ยืนหยุดแล้ว เมฆาจึงหยุดเดินตามก่อนจะหันมามองเบื้องหน้าที่มีกรงยักษ์ขนาดใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ พอมองลอดผ่านไปข้างในกรงแล้ว เมฆาก็ได้เห็นสองร่างนั่งอิงกันอยู่บนพื้นกรง โดยผู้อิงเป็นหญิงในชุดกิโมโนสีม่วง มีใบหน้าที่ซีดเซียวราวกับหมดแรง แต่ถึงกระนั้นยังคงงดงามไร้ที่ติ ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มรูปงามผมสีเงินยาวกำลังนั่งหลับตาโดยที่มือขวากุมมือเรียวงามของหญิงในอ้อมกอดของตนอยู่ไม่คลาย

ผู้ชายคนนั้น…เหมือนน้องราตรีไม่มีผิด

เมฆาคิดในใจ เพราะอีกฝ่ายมีใบหน้าคล้ายคลึงราตรีมาก

“พวกเจ้าเป็นใครพ่อหนุ่ม ถ้าคิดจะสูบพลังก็เชิญ แต่อย่าได้ทำร้ายคนรักของข้าเป็นอันขาด”

เสียงทุ้มดังมาจากชายหนุ่มผมสีเงิน ทำให้เมฆาสะดุ้งไหวเล็กน้อย

“ต้องขออภัยที่แนะนำตัวช้าไป” เมฆาบอกพลางโค้งคำนับ “ข้ามีนามว่า เมฆา ทายาทของราชาปีศาจครับ ส่วนคนข้างๆคือปิเอโร่ ทาสรับใช้ของข้าเอง”

พอสิ้นคำพูดแนะนำตัวของเมฆา รังสีฆ่าฟันจากราชามังกรก็ได้แผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาเมฆากับปิเอโร่สั่นสะท้านด้วยความกลัว

“หึ ทายาทราชาปีศาจงั้นรึ” ชายหนุ่มผมสีเงินหรือราชามังกรเดรคแสยะยิ้มพูด “ลูกไม้คงจะหล่นไม่ไกลต้น อยากจะได้พลังแบบพ่อตัวเองบ้างก็เลยมาหาพวกข้าถึงที่เลยรึไอ้หนุ่ม”

“เปล่าครับท่านราชามังกร ข้าไม่ได้อยากพลังของพวกท่านทั้งสองคนเลยสักนิด”

เมฆากัดฟันพูดด้วยความยากลำบาก เพราะคลื่นรังสีฆ่าฟันจากราชามังกรมันแรงมากจนเขาขยับปากพูดไม่ได้ดั่งใจคิด พอเมฆาพูดจบ คลื่นรังสีก็เบาลงหน่อยหนึ่งจนเขาสามารถขยับตัวได้แล้ว แต่ถึงกระนั้นราชามังกรก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง

“แล้วเจ้าต้องการอะไรจากข้าล่ะ”

“ช่วยพวกท่านให้หนีออกไปจากที่นี่ครับ”

เมฆาตอบโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ซึ่งทำเอาเดรคขมวดคิ้ว

“ช่วยรึ?” เดรคพูดด้วยความสงสัย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “หึ อย่าพูดให้มันขำหน่อยเลยไอ้หนุ่ม ขนาดข้าที่มีพลังสูงมากกว่าเจ้าแล้ว ยังไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้เลย”

เมฆาขมวดคิ้วมองเดรคอย่างสงสัย

ถ้ามีพลังสูงกว่าเรา ก็ต้องพอๆ กับท่านพ่อ แล้วทำไมถึงโดนจับได้

“นั่นก็เป็นเพราะว่าพ่อของเจ้าใช้วิธีกลโกงยังไงล่ะ”

เดรคพูดแทรกความคิด ทำเอาเมฆาอ้าปากค้าง

“ท่าน…ท่านอ่านใจข้าได้”

เดรคแสยะยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “แค่อ่านใจมันไม่จำเป็นต้องใช้พลังมาก แค่มีสมาธิบวกกับดูหน้าผู้ที่จะอ่านใจก็ทำได้แล้ว แต่ข้าไม่ได้อ่านใจแล้วรู้หมดทุกประโยคทุกตัวอักษรหรอกนะ ข้าแค่คาดเดาว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าเจ้ายังทำไม่ได้ล่ะพ่อหนุ่ม”

เมฆาสะอึกเมื่ออีกฝ่ายถามกลับ แต่ไม่ทันที่เมฆาจะได้ตอบคำถามของเดรค เสียงแหบแห้งก็ดังออกมาพร้อมกับร่างของใครบางคนที่ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางความมืดมิด

“หึ ก็เพราะมันยังอ่อนหัดอยู่ยังไงล่ะราชามังกรเอ๋ย”

“ท่านพ่อ!”

เมฆาร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าตนเองจะถูกจับได้เร็วถึงขนาดนี้

หรือว่าจะเป็นเพราะปิเอโร่!

“ปิเอโร่!” เมฆาหันไปตวาดอีกคนที่ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ “แกเป็นคนบอกท่านพ่อสินะ ไอ้ทรยศ!!”

“ขออภัยด้วยขอรับนายน้อย กระผมทำก็เพื่อความอยู่รอดของตัวเองเท่านั้น”

คำตอบของมันทำเอาเมฆาถึงกับกัดฟันด้วยความโกรธ

“จะโทษก็โทษตัวแกเองเถอะไอ้ลูกชายตัวแสบ” ราชาปีศาจแสยะยิ้มพูด แถมแสดงใบหน้าเหี้ยมเกรียมราวกับไม่ใช่พ่อของเขาคนเดิมที่เคยรู้จัก “ไม่รู้จักคิดให้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร ฮึ คิดจะทรยศพ่อทรยศต่อบ้านเมืองด้วยการปล่อยให้ราชามังกรกับนางพญามังกรหนีรึ ฝันไปเถอะไอ้ลูกรัก”

พอราชาปีศาจพูดจบ ก็ตวัดมือขึ้นหนึ่งครั้ง ทำให้เมฆาที่ยืนโกรธอยู่นั้น ก็รู้สึกถึงไฟอันร้อนรุ่มแผดเผาร่างกายเสียจนเขาต้องกรีดร้องมันออกมา

“อ้าก!”

9832

“ท่านได้ติดสถานะคำสาปปีศาจค่ะ” เสียงระบบประกาศบอก “คำสาปนี้ไม่สามารถลบล้างได้ถ้าหากไม่กำจัดผู้ที่สาปท่าน”

“แกกล้าทำกับลูกชายตัวเองได้ยังไง นี่มันลูกชายของแกเชียวนะ!”

เดรคทนเห็นเด็กหนุ่มกรีดร้องไม่ได้ จึงหันไปตวาดใส่อดีตเพื่อนรักของตัวเอง ส่วนคนถูกตวาดใส่ กลับหันหน้ามาแสยะยิ้มให้

“แล้วไงล่ะ” ราชาปีศาจตอบเสียงเหี้ยม “ก็แค่ลูกชาย แต่ถ้ามันทรยศข้ากับบ้านเมืองของตัวเองแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนเนื้อเน่าๆที่ใช้การไม่ได้แล้วก็เท่านั้น”

ถึงแม้เมฆากำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ แต่หูสองข้างก็ได้ยินคำพูดของคนเป็นพ่อได้อย่างชัดเจน

ก้อนเนื้อ เราเป็นแค่ก้อนเนื้อเน่าๆที่ท่านพ่อไม่ต้องการแล้วงั้นรึ

ไม่นะ


พอคิดได้ดังนั้นน้ำหูน้ำตาก็ไหลพรากอย่างไม่อายสายตาใคร ถึงแม้ท่านพ่อของเขาจะเป็นแค่หนึ่งในตัวละครของเกมที่ถูกสร้างขึ้น แต่เขาก็นับถือราชาปีศาจราวกับพ่อของตัวเองจริงๆ

“ทหาร! เอาตัวไอ้ก้อนเนื้อเน่านี่กับปิเอโร่ไปทิ้งนอกเมืองซะ”

ราชาปีศาจสั่งทหารที่เพิ่งจะเข้ามาข้างในนี้ ซึ่งทำเอาปิเอโร่ถึงกับสะดุ้ง

“ไม่นะนายท่าน! นายท่านลืมคำสัญญาที่ให้กับกระผมแล้วหรือขอรับ”

“สัญญา?” ราชาปีศาจพูดทวนคำพูดของปิเอโร่ “ข้าเคยไปสัญญาอะไรกับแกตอนไหน อย่ามาพูดมั่วๆ ทหาร! ยังไม่รีบเอาพวกนี้ไปอีกรึ!!”

“ครับท่าน!”

ทหารตอบก่อนจะรีบไปจับปิเอโร่กับเมฆาที่อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงเพราะคำสาปออกไปจากห้องลับทันที ซึ่งภาพสุดท้ายที่เมฆาเห็นก่อนจะสลบไปก็คือ ภาพของราชามังกรกับนางพญามังกรที่กำลังมองเขาด้วยความเวทนากับพ่อของตัวเองที่แสยะยิ้มให้เป็นการส่งท้าย

ท่านพ่อ

................................

*เวทย์สำเร็จรูป คือ เวทมนตร์ที่ถูกบรรจุอยู่ในแหวน ซึ่งถูกกำกับไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยพร้อมใช้งาน ตามตลาดวางแผงขายอยู่ที่สองล้านเหรียญ ยิ่งมีพลังสูงมากก็ยิ่งจะแพงมาก มีไว้สำหรับพวกที่ขี้เกียจร่ายเวทย์หรือไว้ใช้ยามฉุกเฉินจริงๆ

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 43 งานเลี้ยง

................

วันนี้ทั้งวันพวกรัตติเอาแต่เล่นซ่อนหาเพียงอย่างเดียว โดยมีรัตติคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นผู้หา เพราะซ่อนตัวได้เก่งมาก

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ1”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ2”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ3”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ4”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ5”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ6”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ7”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ8”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ9”

“ท่านได้รับทักษะซ่อนตัวระดับ10”


เสียงระบบประกาศบอกในหัว ซึ่งทำเอาคนฟังแทบขมวดคิ้ว

แค่เล่นเกมซ่อนหา ก็นับว่าเป็นทักษะได้ด้วยรึ?

ซึ่งพอถึงตอนเย็นแล้ว ศาสตราก็โผล่หัวออกมาจากห้องพักหลังจากอยู่นานทั้งวันด้วยสภาพโทรมสุดๆ

“จะไปงานไหวไหมนั่น” พิภพถามด้วยความเป็นห่วง

“ไหวสิ” ศาสตราตอบพลางยื่นถุงชุดให้กับมาริโอ “นี่ชุดของน้องมาริโอครับ เอาไปเปลี่ยนนะ พี่อุตส่าห์เย็บอย่างสุดฝีมือ”

พอมาริโอได้เห็นถุงชุดของตัวเองแล้ว ถึงกับยิ้มแป้น

“ขอบคุณฮะพี่ศาสตรา”

“ไม่เป็นไร แค่นี้เล็กน้อยมาก หึๆ”

ศาสตราตอบพลางหัวเราะอย่างมีเลศนัย ซึ่งทำเอาสองหนุ่มกับรัตติขมวดคิ้ว

สงสัยว่างานนี้ได้เห็นมาริโอร้องไห้แน่

หลังจากได้ชุดเรียบร้อยแล้ว สามหนุ่มก็ได้พารัตติกับมาริโอไปยังห้องเสื้อผ้าซึ่งเป็นห้องใหญ่โตโอ่อ่าพอควร

“โหย ชุดเยอะจัง”

มาริโอร้องอุทานเสียงดังลั่น ทำให้ผู้เล่นคนอื่นที่กำลังเลือกชุดอยู่นั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว

“พูดให้มันเบาๆหน่อยมาริโอ” รัตติพูดพลางสะกิดมาริโอ “เดี๋ยวข้าจะไปเลือกเสื้อผ้านะ เจ้าห้ามตามมาเด็ดขาด”

มาริโอได้ยินที่รัตติพูดก็พยักหน้าตอบตกลง ก่อนที่มันจะขอตัวไปห้องน้ำเพื่อแต่งตัวบ้าง ส่วนทางด้านสามหนุ่มนั้นหลังจากเห็นว่ารัตติกับมาริโอแยกย้ายกันไปแล้ว พวกเขาจึงหันไปเดินเลือกเสื้อผ้าที่ตัวเองชอบบ้าง ซึ่งศาสตราเดินเลือกอยู่นานเกือบชั่วโมงก็ได้มาเป็นที่พอใจก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนทางด้านพิภพนั้น เขามีสิ่งที่ชอบอยู่แล้วจึงเดินเข้าไปหยิบชุดนั้นก่อนจะเดินหายไปในห้องน้ำ ยกเว้นแต่ปฐพีที่ยังคงยืนครุ่นคิดว่าตนจะใส่อะไรดี เพราะเขาเป็นพวกคนผิวคล้ำ แถมทรงผมก็ออกไปทางสกินเฮด จึงเลือกหาเสื้อผ้าที่ใส่ยากพอดู

หลับตาคลำเอาแล้วกัน ปฐพีคิดในใจก่อนจะทำตามนั้น แล้วพอได้ชุดที่หลับตาเลือก ก็พลันเบ้หน้าเมื่อได้เห็นชุดที่ตัวเองสุ่มหยิบมาได้ แต่ถึงกระนั้นปฐพีก็ยอมเดินเข้าไปห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุดนี้อยู่ดี หลังจากเปลี่ยนเสร็จแล้วปฐพีก็เดินออกมาก่อนใคร ยังไม่มีใครออกมาอีกรึนี่

ปฐพีคิดในใจก่อนจะยืนพิงกำแพงหน้าห้องเสื้อผ้า

“อ้าว ปฐพีใส่ชุดเท่ดีนี่” เสียงศาสตราพูดชมเขาในขณะที่เดินออกมา “แล้วพิภพ น้องรัตติ น้องมาริโอล่ะ ยังไม่ออกมาอีกรึ”

“ถ้ามาก็คงเห็นแล้วล่ะ”

ปฐพีตอบสั้นๆ พลางมองศาสตราในชุดใหม่ ซึ่งเป็นชุดซามูไรสีดำ

เข้ากับมันดีแฮะ ปฐพีคิดในใจ ก่อนที่จะเห็นพิภพเดินออกมาในมาดบิชอปสีขาวในมืออุ้มมาริโอในคราบชุดฮู้ตมีหูสั้นคล้ายแมวสีขาวทั้งตัวกำลังร้องไห้เสียงสะอื้น นี่มัน…ชุดมาริโอเนะโกะชัดๆ!

“ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรน้องมาริโอหรือ”

ศาสตราถามอย่างสงสัย ซึ่งปฐพีกับพิภพไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่ามาริโอไม่ตอบคำถามของศาสตรา กลับแผดเสียงร้องไห้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ใครทำมาริโอร้องไห้เหรอ?”

เสียงรัตติดังลอดมาจากข้างใน ก่อนเจ้าของต้นเสียงจะเดินโผล่ออกมาจากประตู ซึ่งเผยให้เห็นเด็กผู้หญิงวัยสิบขวบนัยน์ตาสีฟ้าครามผมสีเงินยาวปะบ่าแซมด้วยดอกไม้สีขาว สวมชุดเจ้าสาวแบบเกาะอกประดับลูกไม้สีขาวบางใสแลดูสวยงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งทำเอาสามหนุ่มที่หันไปมองถึงกับตะลึง

นี่น้องรัตติแน่หรือ?

“รัตติ ฮือๆ พี่ศาสตราแกล้งข้า ฮือๆ”

มาริโอร้องก่อนจะกระโดดโผเข้าหารัตติ ส่วนรัตติเมื่อเห็นว่ามาริโอกระโดดเข้าหาตัวเองก็รีบรับมาริโออย่างเร็วเพราะกลัวมันจะตกพื้นไปเสียก่อน

“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ต้องร้องไห้นะคนเก่ง เด็กดีๆ” รัตติพูดไปลูบหลังปลอบใจมาริโอไปพลาง “เดี๋ยวหลังจบงานแฟนซีแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปกินไอติมนะมาริโอ เพราะงั้นเจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้ว”

มาริโอได้ยินดังนั้นจึงรีบสูดน้ำมูกพลางเช็ดน้ำตาออกอย่างเร็ว

“อื้อ ข้าไม่ร้องแล้วล่ะ”

จากนั้นเด็กหนุ่มก็วางมาริโอลงยืนก่อนจะหันหน้ามาทางสามหนุ่มที่กำลังมองตาค้าง

“พอดีในห้องเสื้อผ้าไม่มีชุดสำหรับเด็กผู้ชายสิบขวบ ผมก็เลยเอาชุดผู้หญิงตัวเล็กๆมาใส่นะครับ” น้องรัตติบอกด้วยความเขินอาย แต่พอเห็นสามหนุ่มยืนนิ่งเงียบ รัตติจึงถามต่อ “หรือว่าชุดนี้ไม่เหมาะกับผมครับ ผมจะได้กลับไปหาชุดใหม่มาใส่”

“ไม่ต้องๆน้องรัตติ ชุดนี้แหละดีแล้ว”

ศาสตรารีบบอกเพราะกลัวรัตติจะเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดจริงๆ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเด็กผู้ชายก็เถอะ แต่พอได้ใส่ชุดเจ้าสาวแล้วก็สวยเหมือนเด็กผู้หญิงไม่มีผิด

แถมน่ารักเสียด้วย!

“ผมว่าไปงานแฟนซีกันได้แล้วมั้งครับ เดี๋ยวจะไปสายเสียก่อน”

รัตติบอก ซึ่งทำเอาสามหนุ่มที่มัวแต่เหม่อมองรัตติอย่างใจลอยพากันสะดุ้ง

“อืม ไปกันเถอะ”

.......................

ห้องงานเลี้ยงแฟนซีบนเรือนี้ได้ถูกจัดออกมาแบบห้องบอลรูม โดยอาหารถูกจัดแบบค็อกเทลคือผู้เล่นสามารถเลือกลิ้มชิมรสอาหารได้ตามใจชอบ มีตั้งแต่อาหารธรรมดาไปจนถึงอาหารหรูระดับห้าดาว

“ว้าว อาหารดูหรูๆทั้งนั้นเลย แถมคนมาในงานก็เพียบ อ๊ะนั่นแดรคคิวล่านี่”

มาริโอพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นในขณะที่สามหนุ่มหล่อกับหนึ่งเด็กผู้หญิงสวยน่ารัก(?)หยุดเดินดูบรรยากาศของห้องบอลรูม ทันทีที่กลุ่มพวกรัตติเดินเข้ามาแล้ว ผู้เล่นในห้องบอลรูมต่างหันมามองด้วยความสนใจพร้อมกับคำพูดวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา

“ดูกลุ่มผู้เล่นตรงนั้นสิ หล่อๆทั้งนั้นเลย แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นก็สวยน่ารักไม่เบา”

“ใช่ แหม ใส่ชุดเจ้าสาวซะด้วย ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าสามหนุ่มคนนั้นใครเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของเด็กคนนั้น”

“แล้วนั่นตัวอะไรนะ แมวรึยังไง”

“คงงั้นแหละ แต่ดูแล้วรู้สึกหมั่นไส้ยังไงชอบกล”

“ช่างมันเถอะ คงจะเป็นทาสรับใช้ของผู้เล่นคนหนึ่งในกลุ่มนั้นแหละ”

ทว่าคำพูดเหล่านั้นพวกรัตติไม่มีวันได้ยินเลย

“ถ้าจะทานอะไรก็บอกนะมาริโอ เดี๋ยวข้าหยิบให้” รัตติรีบบอกเพราะกลัวมาริโอทำขายหน้า

“อื้อ”

แล้วพนักงานเสิร์ฟในชุดเมดชายก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดเครื่องดื่ม

“รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”

สามหนุ่มมองหน้าก่อนที่ศาสตราจะตอบไปว่า

“ขอไวน์สามแก้วก็พอครับ”

“ได้ครับ” แล้วพนักงานเสิร์ฟก็ยื่นไวน์ส่งให้ทั้งสามหนุ่มก่อนจะหันไปถามรัตติด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “รับเครื่องดื่มอะไรดีครับคุณผู้หญิง”

รัตติได้ยินถึงกับชะงักกึก เพราะตอนนี้เธออยู่ในร่างเด็กผู้ชาย แถมใส่ชุดเจ้าสาวอยู่ด้วย จึงมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว

นี่ถ้าเธอเป็นผู้ชายจริงๆ ก็คงจะโกรธพนักงานเสิร์ฟไปแล้ว

เพราะผู้เล่นส่วนมากจะเกิดมาตรงกับเพศของตัวเอง ซึ่งต่างจากเธอที่เกิดมาแล้วเป็นผู้ชาย ส่วนสามหนุ่มก็ได้แต่แอบกลั้นหัวเราะในใจอย่างขำๆ

ขำเข้าไป เดี๋ยวจะทำเนียนเป็นผู้หญิงให้ดู

“ขอมาร์ตินี่หนึ่งแก้วแล้วกันค่ะ”

รัตติตอบเสียงหวาน ซึ่งทำเอาพนักงานเสิร์ฟได้ยินที่รัตติพูดถึงกับหน้าแดง

นั่นไง แค่หยอดคำหวานหน่อยก็เตลิดซะแล้ว

ผู้ชายหนอผู้ชาย


“เอ่อพี่คะ มาร์ตินี่ที่สั่งได้รึยังคะ”

“อ๊ะ ครับ ได้แล้วครับ”

พนักงานชายสะดุ้งก่อนจะยื่นแก้วมาร์ตินี่ให้เธอ แล้วจากนั้นค่อยเดินไปเสิร์ฟน้ำให้กับผู้เล่นคนอื่นต่อโดยยังแอบหันมามองอยู่เป็นระยะๆ

หึ เท่านี้ก็สมบูรณ์แบบ รัตติคิดในใจก่อนจะหันกลับไปทางสามหนุ่มซึ่งกำลังมองเธอด้วยความตกตะลึง เป็นยังไงล่ะ คงขำไม่ออกล่ะสิท่า

“เอ่อ แล้วงานนี้นอกจากจะใส่ชุดแฟนซีแล้ว ยังมีอะไรอีกไหมคะ”

รัตติพูดเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นสามหนุ่มยืนมองเธอนานไปแล้ว

“อ๊ะ ครับน้อง งานนี้ก็จะมีการแสดงดนตรีของจีเอ็ม” ศาสตราสะดุ้งก่อนจะพูดตอบคำถามของรัตติ “มีให้ผู้เล่นได้เต้นรำตามเสียงดนตรี แล้วก็…”

“ประกวดแข่งชุดแฟนซีว่าของใครเด่นสุด”

พิภพพูดเสริมต่อเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองทำท่านึกไม่ออก

“ใช่แล้ว! ประกวดแข่งชุดแฟนซีนี่เลิศสุด” ศาสตราดีดนิ้วพูด “เพราะเขามีการให้รางวัลด้วย ถ้าใครได้ที่สามก็จะเป็นที่เติมเลือด ที่สองก็เป็นเต็นท์สุดหรูหนึ่งหลัง และที่หนึ่งก็ได้เงินจำนวนสองล้านเหรียญไปนอนกอดฟรี”

“ฟังดูน่าสนดีนะคะ แต่รัตติคิดว่ารัตติคงไม่ได้แน่ๆ” รัตติพูดไปหัวเราะไปพลาง เพราะตัวเธอเป็นผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง คงจะไม่มีทางได้ของรางวัลพวกนี้ไปอย่างแน่นอน

“มันก็ไม่แน่นะน้องรัตติ เพราะคราวก่อนปฐพีเองก็ได้รางวัลที่หนึ่งมาแล้วด้วย”

รัตติได้ยินที่พิภพพูดถึงกับหันไปมองปฐพีอย่างตกตะลึง

“เห็นคล้ำๆอย่างนี้ก็เลือกเสื้อผ้าได้เก่งเลยเชียวล่ะน้องรัตติ” ศาสตราพูดแก้ความเข้าใจผิดของเธอ ซึ่งทำเอาคนถูกนินทาระยะเผาขนหันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ “รู้สึกว่าคราวนั้นจะเป็นชุดชาวไร่ชาวนานะ หึๆ เข้ากันกับสีผิวดีไม่หยอกเลยใช่ไหมล่ะ”

ขวับ!

จู่ๆก็มีดาบเล่มโตจ่อที่ลำคอของศาสตรา ซึ่งเป็นฝีมือใครไม่ได้นอกเสียจากปฐพี

“ใจเย็นๆสิปฐพี ฉันก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”

ศาสตรารีบพูดเพราะกลัวเพื่อนจะเอาจิง ซึ่งปฐพีได้ยินถึงถอนหายใจก่อนจะเก็บดาบของตัวเองเข้าฝักไป

“ถ้าพูดแซวอีกฉันจะหักเงินเดือนแกแน่ศาสตรา”

“คร้าบคุณหัวหน้า”

ศาสตราพูดตอบเสียงสูงซึ่งทำเอารัตติขำ แล้วหลังจากนั้นสามหนุ่มก็ยืนคุยเรื่องอื่นต่อ ซึ่งรัตติก็ไม่คิดจะขัดศรัทธา ได้แต่ยืนใช้ความคิดอยู่เงียบๆ

ไหนๆก็ได้แต่งเป็นผู้หญิงแล้ว วันนี้ขอย้อนวัยไปในสมัยยังสาวหน่อยแล้วกัน รัตติคิดในใจพลางนึกเสียดายรุ้ง นพ แก้วที่ไม่มีโอกาสได้เห็นตัวเธอในสมัยสาวๆ นี่ถ้าตานพได้มาเห็นแล้วล่ะก็ คงตะลึงไปเลย

ทว่ารัตติหารู้ไม่ว่า คนที่เธอคิดถึงอยู่นั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว หลังจากนั้นพวกจีเอ็มก็ขึ้นมาบนเวทีเพื่อแสดงให้พวกผู้เล่นได้ชมเป็นขวัญตา ซึ่งเป็นการแสดงที่ทำให้รัตติได้ประหลาดใจมากที่สุด เพราะแทนที่จะเล่นดนตรีแบบที่ใช้เครื่องเล่นพวกกลองชุด อิเล็กโทน หรือกีต้าร์ แต่นี่กลับเอาเครื่องดนตรีของแต่ละประเทศมารวมไว้ในวงเดียวกัน อาทิเช่น ซออู้จากประเทศไทย กู่เจิ้งจากประเทศจีน ฮาร์ปจากประเทศไอยคุปต์ เปียโนจากประเทศอิตาลี เป็นต้น พอจบดนตรีลงแล้วก็ต่อด้วยงานเต้นรำ ซึ่งทีแรกรัตติคิดจะชวนมาริโอเต้นรำด้วยกัน แต่พอหันไปถามมัน ก็พบว่ามาริโอกำลังยืนคุยกับผู้เล่นหญิงคนอื่นๆอยู่

ให้ตายสิ หน้าหม้อตลอดเลยนะมาริโอ

“เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะเต้นรำกับผมไหมครับ”

จู่ๆก็มีเสียงถามขึ้นมา รัตติได้ยินจึงหันกลับไปดูก่อนจะพบว่าคนถามเป็นผู้เล่นคนหนึ่งที่สวมชุดเจ้าชายสีขาวกำลังยื่นมือมาทางเธออยู่ ซึ่งเธอยังไม่ทันได้คิดหรือพูดอะไรซักคำ ก็มีผู้เล่นชายอีกห้าหกคนเดินเข้ามารุมถามเธอด้วยคำถามเดียวกับคนแรก จนรัตติแทบหัวหมุน

ใครก็ได้ช่วยพาพวกนี้ออกไปที!

“เสียใจด้วยครับ พอดีคุณผู้หญิงท่านนี้จะไปเต้นรำกับผมก่อนแล้ว”

เสียงคุ้นหูดังขึ้น รัตติหันไปมองก็พบว่าคนพูดนี้เป็นปฐพี

“พวกเรามาก่อนนาย ก็ต้องได้ไปเต้นรำก่อนสิ” น้ำเสียงหื่นๆในหมู่ผู้เล่นที่มาขอรัตติเต้นรำด้วยพูดอย่างไม่พอใจ “อย่าคิดนะว่าหล่อแล้วสามารถเลือกได้ ฝันไป…”

“ทำไมมาช้าจังละคะพี่ปฐพี รู้รึเปล่าว่าน้องรอพี่อยู่ตั้งนานแล้ว”

คำว่าปฐพีที่ดังออกจากปากรัตติ ทำเอาพวกหนุ่มๆที่มาขอรัตติเต้นรำถึงกับสะดุ้ง ส่วนคนถูกถามขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะฉีกยิ้มออกมา

“พอดีพี่มัวแต่คุยกับเพื่อนอยู่นะ ต้องขอโทษด้วย”

น่าน รับมุขซะด้วยแฮะ

รัตติคิดอย่างพึงพอใจที่อีกฝ่ายรู้สถานการณ์ดีโดยไม่ต้องบอกซิกเลยซักนิด แล้วปฐพีก็เดินแหวกเข้ามาหาเธอโดยที่พวกหนุ่มๆคนอื่นต่างหลีกทางให้เพราะกลัวอะไรบางอย่างที่รัตติไม่มีวันรู้ เมื่อปฐพีเดินมาถึงแล้ว ชายหนุ่มก็นั่งยองในท่าอัศวินก่อนจะจับมือของรัตติมาจุมพิตหนึ่งที

“ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะให้เกียรติ์เต้นรำกับผมได้ไหมครับ”

ถึงแม้รัตติจะอายุนับร้อยแล้วก็ตาม แต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเธออย่างสุภาพ

ไม่ได้ออกงานหรูๆ อย่างนี้มากี่สิบปีแล้วนะเรา

ขอสนุกกับพวกเด็กๆหน่อยแล้วกัน

“ได้ค่ะ”

............................

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

ชายหนุ่มผมดำยาวนัยน์ตาสีแดงหอบหายใจติดขัดเนื่องจากคำสาปที่อยู่ภายในที่ยังคงกำเริบมิขาดสาย ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างบ้ากระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา ไหนจะฟ้าร้องที่ดังเปรี้ยงป้างอยู่เป็นระยะๆ

เหนื่อยเหลือเกิน

เมฆาคิดในใจพลางเหม่อมองท้องฟ้าที่เป็นสีดำ เพราะตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เมฆาก็พบว่าตัวเขากับปิเอโร่ได้ถูกทหารนำมาทิ้งไว้ในหุบเขาความตาย ซึ่งนับว่าเป็นบุญตามากที่เขาไม่ได้เจอพวกมอนสเตอร์หรือบอสมารุมจิกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต เพราะถูกทิ้งไว้บนยอดเขาสูงเหนือพื้นดินมากพอที่พวกมอนสเตอร์ไม่สามารถขึ้นมาทำร้ายเขากับปิเอโร่ได้ พอคิดจะทิ้งปิเอโร่เนื่องด้วยข้อหาทรยศเขาผู้เป็นเจ้านาย มันก็ทำใจยาก เพราะปิเอโร่เคยช่วยงานของเขาอยู่ตั้งหลายครั้ง ไหนจะเคยช่วยชีวิตเขาอีก ก็เลยทำให้เขาตัดใจทิ้งไม่ลง ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยอยู่อย่างนี้

“นายท่านขอรับ กระผมขอโทษ”

เสียงปิเอโร่ร่ำไห้ขอโทษเมฆามาโดยตลอดตั้งแต่เขารู้สึกตัวแล้ว ทำให้ภาพลักษณ์ของความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกที่เคยเมฆาเคยเห็นกลับถูกความขี้ขลาดกับขี้แยเข้ามาแทรกแทน

เฮ้อ นี่หรือตัวตลกปิเอโร่

น่าขันสิ้นดี


หลังจากเมฆานอนพักฟื้นได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว เขาก็ลุกขึ้นนั่งเปิดหน้าต่างสถานะดูว่าตัวเองเป็นยังไงบ้างแล้ว

ชื่อ เมฆา (สถานะร่างแปลงมนุษย์) *ติดคำสาปปีศาจ

เลเวล: 99 (EXP: 784900/4008003)       อายุ: 28 ปี 8 เดือน (EXP: 1090403/41237874)

เผ่า: ปีศาจ                                 สถานที่จุติ: พระราชวังส่วนพระองค์เขตการปกครองปีศาจ

ธาตุ: มืด ไฟ ดิน ลม

HP: 6666666/6666666             

SP: 6666666/6666666

เงินที่มี : 99, 999,014 เหรียญ


ติดคำสาปจริงๆด้วยสิ

เมฆาคิดในใจอย่างซึมเศร้า ก่อนจะเรียกหนังสือคู่มือการเล่นเกม

“เปิดหน้าส่วนคำสาปว่าด้วยการติดคำสาปปีศาจ”

เมฆาบอก ซึ่งทำให้หนังสือเล่มที่ปรากฏตรงหน้าเขาเปิดอ้าออกด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลงทันทีที่มีหัวข้อเขียนบนหัวกระดาษว่า

คำสาปปีศาจ

ที่มา: เป็นคำสาปที่มีผลต่อผู้ถูกสาปในคืนพระจันทร์เต็มดวง ทำให้กลายร่างเป็นปีศาจ ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้จนกว่าถึงรุ่งเช้า หากไม่ใช่คืนวันพระจันทร์เต็มดวง ผู้เล่นที่โดนคำสาปนี้ไปแล้วจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงอยู่เกือบตลอดเวลา ซึ่งคำสาปปีศาจนี้มีเพียงผู้เดียวจะร่ายสาปได้คือ ราชาปีศาจ

วิธีแก้:

1.ดื่มน้ำยาเพิ่มพละกำลังวันละ 2 ขวด (ถ้ากรณีผู้เล่นยังไม่ได้ฆ่าราชาปีศาจและห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด)

2.ฆ่าราชาปีศาจให้ตาย คำสาปนี้ถึงจะหายไป


พอเห็นข้อมูลทั้งหมดแล้ว เมฆาถึงกับซึมไปทันที โดยเฉพาะคำว่าฆ่าราชาปีศาจ มันทำให้เมฆาต้องปิดหน้าต่างลง

ทำไม่ได้…

ยังไงก็ฆ่าท่านพ่อไม่ได้…


ครั้นจะกลับไปหาน้องราตรีแล้ว ก็ยิ่งไปไม่ได้ใหญ่

พระเจ้าทำไมต้องทำกับผมแบบนี้ด้วย!

เมฆาได้คิดดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง

กลับไปตั้งหลักที่สมาคมเงาก่อนแล้วกัน


...........................................
 
ชุดที่ปฐพีใส่ (แต่คนใส่ไม่ได้มีใบหน้าแบบนี้นะคะ)
เครดิต : การ์ตูน 07-ghost

 
ชุดซามูไรสีดำที่ศาสตราใส่ (แต่ใบหน้าคนใส่ไม่ใช่นะคะ)
เครดิต : การ์ตูน รีบอร์น

 
ชุดบิชอปที่พิภพใส่ (อันนี้เอามาจากเรื่องเก่าจ้า คนละคนนะ)

 
ชุดมาริโอเนะโกะ
เครดิต : เกม mario neko

 
รัตติในชุดเจ้าสาว (แต่ไม่ได้ผมยาวสีเขียวกับตาสีเขียวนะ)


 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่เด๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :hao5:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 44 ความในใจ

....................

หลังจากรัตติหรือราตรีเต้นรำกับปฐพีเสร็จแล้ว ก็พาเดินกลับไปยังพวกศาสตราที่กำลังยืนจิบไวน์อยู่ ส่วนมาริโอก็ยังคงยืนเคี้ยวอาหารงุบงับไม่เลิกรา

“นี่ยังกินไม่อิ่มหรือมาริโอ” รัตติถาม ซึ่งมาริโอพยักหน้าแทนคำตอบ “กินเยอะอย่างนี้เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก เฮ้อ ดูสิ ข้าวติดมุมปากก็ยังไม่เอาออก มามะ เดี๋ยวรัตติเอาออกให้”

พอรัตติพูดจบ มาริโอก็เดินเข้ามาใกล้ให้รัตติหยิบเม็ดข้าวออก ภาพความสนิทสนมระหว่างมาริโอกับรัตติที่แสดงออกมานั้น สามหนุ่มได้แต่อมยิ้มไปส่ายหน้าไปพลาง

เหมือนแม่กับลูกมากกว่าเจ้านายกับทาสรับใช้แล้วคุณน้องเอ๋ย

หลังจากนั้นพวกเขาก็ยืนรอได้สักพัก ก็ถึงเวลาประกาศผลของการประกวดแต่งชุดแฟนซี ซึ่งรางวัลที่สามกับที่สองตกเป็นของผู้เล่นคนอื่นที่ลงทุนแต่งชุดพิกาจูกับเซเลอร์มูน ส่วนรางวัลที่หนึ่ง…

“รางวัลที่หนึ่งได้แก่…” จีเอ็มพูดเสียงดังยาวให้คนฟังได้มีโอกาสลุ้นไปตามด้วยกับผู้พูด “…ผู้เล่นสาวน้อยในชุดเจ้าสาวที่มีผมสีเงินคร้าบ!”

สามหนุ่มกับหนึ่งสาวน้อย และหนึ่งตัวได้ยินเสียงประกาศถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันมามองรัตติเป็นตาเดียวกันหมด

“ดีใจด้วยนะน้องรัตติ ได้ที่หนึ่งซะด้วย”

ศาสตราพูดแสดงความยินดี ไม่เว้นแม้กระทั่งพิภพหรือปฐพี

“เย้ รัตติสวยที่สุด!”

มาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจ ซึ่งทำเอาคนถูกชมหน้าแดง แล้วรัตติก็เดินขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับรางวัลเงินสองล้านเหรียญ

“สวัสดีครับ มิทราบว่าคุณผู้หญิงมีชื่อว่าอะไรหรือครับ” จีเอ็มชายถามพลางยื่นไมค์มาหารัตติ ซึ่งทำเอารัตติพูดไม่ออก เพราะไม่กล้าบอกชื่อจริง “ถ้าไม่กล้าบอกชื่อจริงก็บอกชื่อเล่นในเกมที่เรียกประจำกันในหมู่เพื่อนฝูงก็ได้นะครับคุณผู้หญิง”

เมื่ออีกฝ่ายบอกมาแบบนั้น รัตติจึงตอบกลับไปว่า

“รัตติค่ะ”

“รัตติ?” จีเอ็มพูดทวนชื่อเธอ “ช่างเป็นชื่อที่มีความหมายดีนะครับ ใช่ย่อมาจากรัตติกาลที่แปลว่าความมืดหรือเปล่าครับ”

“ก็คง…ประมาณนั้นแหละค่ะ”

รัตติตอบพลางนึกย้อนอดีต มันเป็นชื่อที่เธอตั้งสมมุตเพื่อที่ว่าตานพมาได้ยินเข้าแล้ว จะได้เอะใจว่าเป็นเธอ เพราะมันมีความหมายคล้ายกับคำว่าราตรีพิสุทธิ์ ทว่าสิ่งที่รัตติคิดมานั้นผิดทั้งหมด เพราะคนที่เธอคิดถึงอยู่นี้ กลับไม่ได้รู้สึกเอะใจเลยซักนิดเดียว แถมพาลคิดไปว่าคุณยายของตัวเองนั้นเข้ามาในเกมต้องเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน

“แล้วนี่มีแฟนรึยังครับ”

พอจีเอ็มถามคำถามนี้ ทำเอาผู้เล่นชายผิวปากพอใจกันยกใหญ่

“เคยมีค่ะ แต่…” พอตอบคำถามนี้แล้ว รัตติก็รู้สึกสลดใจอย่างบอกไม่ถูก “…เขาเสียชีวิตไปแล้ว”

คำตอบของรัตติทำเอาผู้ชมรวมถึงสามหนุ่มถึงกับเงียบ

“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ ตอนนี้ดิฉันพอจะทำใจได้บ้างแล้วค่ะ”

รัตติพูดพลางเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม ก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้กับทุกคน หลังจากนั้นจีเอ็มชายก็รีบขอโทษที่เสียมารยาทถามเรื่องนั้นกับรัตติ ซึ่งรัตติก็ตอบไปว่าไม่เป็นไร เมื่อได้รับรางวัลจากจีเอ็มแล้ว รัตติก็เดินลงเวทีก่อนจะเดินกลับไปหาพวกปฐพีที่ยืนรอเธออยู่

“เอ่อ น้องรัตติจะดื่มอะไรต่ออีกไหมล่ะ” ศาสตราถามเสียงตะกุกตะกัก ซึ่งทำให้รัตติพอเดาได้ว่าศาสตรากำลังคิดจะหาทางปลอบใจเธออยู่ “เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้”

“งั้นขอเป็นไวน์แล้วกันค่ะ”

หลังจากนั้นศาสตราก็ได้นำไวน์มาให้เธอ ซึ่งรัตติก็ยกดื่มพรวดเดียวหมดแก้ว ทำเอาสามหนุ่มถึงกับมองตาค้าง และนอกจากนี้รัตติยังหันไปขอไวน์เพิ่มจากพนักงานเสิร์ฟอีกหกเจ็ดแก้วอีก

“อร่อยมากเลยเหรอรัตติ ขอดื่มด้วยคนได้ไหม” มาริโอถามอย่างสนใจ ซึ่งทำให้รัตติที่เพิ่งจะดื่มไวน์แก้วที่เจ็ดเสร็จเสร็จ ก็พลันหันหน้ามามองมาริโอด้วยสีหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

“ไม่ได้!” เสียงตวาดของรัตติทำเอาสามหนุ่มสะดุ้ง ส่วนมาริโอที่โดนรัตติตะเบ็งเสียงใส่ก็เริ่มเบะปาก “เด็กอย่างเจ้าไม่สมควรดื่ม กลับไปดื่มนมซะไป๊!”

คราวนี้มาริโอถึงกับร้องไห้เสียงดังจ้าอย่างกลั้นไม่อยู่

อาการแบบนี้เมาเหล้าชัวร์ป๊าบ

สามหนุ่มคิดในใจพร้อมกัน

“ใจเย็นๆน้องรัตติ ไม่ต้องพูดถึงขนาดนั้นก็ได้นี่”

ศาสตรารีบพูดห้ามทัพ แต่กลับโดนรัตติตีหน้ายักษ์ใส่

“ไม่ได้หรอกค่ะ ขืนไม่พูดห้ามตอนนี้ คราวหลังจะได้ใจใหญ่” รัตติตอบเสียงเข้ม ซึ่งปฐพีดูแล้วกลับคุ้นๆชอบกล “กลับไปห้องพักเจ้าได้หลังลายแน่มาริโอ เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีเถอะ แน่ะ ยังไม่หยุดร้องอีก เดี๋ยวเฆี่ยนซะเลยนี่”

เสียงของรัตติดังลั่นจนผู้เล่นคนอื่นเริ่มหันมามองพวกเขาแล้ว ปฐพีจึงรีบบอกให้ศาสตรากับพิภพรีบพามาริโอให้กลับไปที่ห้องพักก่อน ส่วนตัวเขาจะคอยอยู่ห้ามปรามไม่ให้รัตติเมาอาละวาดที่ข้างนอกห้องบอลรูมนี่เอง

“น้องรัตติใจเย็นๆ ดื่มน้ำดื่มท่าให้หายเมาก่อนดีไหมครับ”

 ปฐพีบอกพลางดึงแขนอีกฝ่ายไม่ให้เดินตามพวกศาสตราไป

“ฉันไม่เมา อย่ามาห้ามฉันนะ!”

รัตติบอกพลางสะบัดแขนให้หลุด ซึ่งปฐพีเห็นว่าน่ารำคาญนัก จึงจับอุ้มพาดบ่าแล้วเดินตรงดิ่งไปยังสระน้ำของเรือที่ถูกสร้างไว้ให้ผู้เล่นได้ว่ายน้ำเล่นแก้เซ็ง เมื่อมาถึงแล้วปฐพีก็จับรัตติโยนน้ำทั้งๆที่ใส่ชุดเจ้าสาวอยู่

ตูม!

200

ซ่า!


“แค่กๆ”

รัตติไอสำลักน้ำออกมาหลังจากลอยผุดขึ้นเหนือผิวน้ำ จากที่เคยมึนเมาจนไม่รู้เรื่อง มาตอนนี้รัตติเริ่มได้สติขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย

“หายเมาแล้วใช่ไหมนะเรา” เสียงปฐพีถาม ซึ่งรัตติที่กำลังสำลักน้ำก็ได้เงยหน้าขึ้นมองผู้พูด ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายยื่นมือมาให้เธอ “ถ้าหายแล้วก็ส่งมือมา เดี๋ยวพี่จะดึงขึ้นจากน้ำให้”

“ครับ”

ถึงจะหายเมาก็จริง แต่ก็ยังมีอาการวิงเวียนศีรษะจนแทบจะอ้วก เพราะเหตุนี้รัตติจึงยอมที่จะจับมือของอีกฝ่ายเพื่อที่จะขึ้นจากน้ำแทนที่จะเดินขึ้นด้วยตัวของเธอเอง เมื่อรัตติได้ขึ้นมานั่งบนขอบสระแล้ว ปฐพีก็หยิบผ้าคลุมออกมาจากกระเป๋าไอเทมก่อนจะวางบนลงเส้นผมสีเงินของรัตติ

“เช็ดซะ เดี๋ยวก็ติดสถานะเป็นหวัดเอาได้หรอก”

รัตติพยักหน้าก่อนจะรีบเช็ดผมของตัวเอง ซึ่งในขณะที่ก้มหน้าเช็ดผมของตัวเองอยู่นั้น เธอก็สังเกตเห็นว่าชุดเจ้าสาวที่เปียกน้ำนั้นสามารถมองทะลุลงไปข้างในได้อย่างชัดเจน

ดีนะที่สวมชุดชั้นในกับกางเกงขาสั้นไว้ข้างในด้วย

รัตติคิดในใจก่อนจะลงมือเช็ดผมต่อให้แห้ง ซึ่งในระหว่างที่รัตติเช็ดผมนั้น ปฐพีก็เล่าถึงวีรกรรมของเธอในตอนเมาตั้งแต่ต้นจนจบ

“กลับไปก็อย่าลืมขอโทษน้องมาริโอด้วยนะ”

“ครับพี่”

แล้วทั้งคู่ก็นั่งเงียบ ถ้าปฐพีไม่เอ่ยปากถาม รัตติก็คงยังนั่งเช็ดผมอยู่ไปเรื่อยๆ

“พี่ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”

“ครับ?”

รัตติชะงักมือก่อนจะหันไปมองคนถาม ซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตามองเงาพระจันทร์บนสระว่ายน้ำ

“ก็เรื่อง...” ปฐพีพูดพลางใช้ความคิด “...แฟนของน้องนะ”

รัตติถึงกับบางอ้อเมื่อทราบว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไรอยู่

“ขอบคุณพี่ปฐพีมากครับที่อุตส่าห์เป็นห่วงผม ผมทำใจได้นานแล้วล่ะ” รัตติตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองดูพระจันทร์ที่ส่องสว่างท่ามกลางแสงดาวยามค่ำคืน “ทีแรกผมก็ยอมรับไม่ได้ที่สูญเสียเขาไป แต่พอลองมาคิดๆดูแล้ว ถ้ามัวแต่ร้องไห้เสียใจโดยไม่ทำอะไรเลย คนที่ตายไปแล้วก็คงจะนอนตายตาไม่หลับแน่ จริงสิ พี่ปฐพีเคยดูดาวบ้างไหมครับ”

“ก็เคยนะ ทำไมหรือ”

ชายหนุ่มตอบพลางเงยหน้ามองรัตติด้วยความแปลกใจ

“ก็เวลาผมเศร้า ผมมักจะดูดาวพวกนี้แทนนะครับ” รัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะดาวแต่ละดวงมักจะมีแสงสว่างในตัวเอง มันคอยทำหน้าที่ส่องแสงในยามกลางคืน ซึ่งทำให้พวกดาวที่อยู่อันใกล้โพ้นสามารถมองกลับมาดูดวงดาวอีกฟากได้อย่างชัดเจน สมมุตว่าถ้าเกิดดาวดวงนั้นไร้แสงไฟแล้วล่ะก็ ดาวที่อยู่อีกฟากคงจะเศร้าน่าดูที่ไม่ได้มีโอกาสเห็นดาวดวงนั้นอีกตลอดไป เพราะฉะนั้นผมถึงได้พยายามที่จะมีชีวิตอย่างไม่ย่อท้อ ต่อให้ต้องเผชิญอุปสรรคนานานัปการ ผมก็จะสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อมิให้คนรักที่จากไปต้องเสียใจยังไงล่ะครับ”

พอรัตติพูดจบ ปฐพีถึงกับอึ้ง

นี่ถ้าเขาเป็นน้องรัตติแล้วล่ะก็ คงจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยปราศจากคนรักไม่ได้แน่

แล้วทันใดนั้นภาพคุ้นตาก็พลันปรากฏขึ้นทับซ้อนกับใบหน้าของรัตติ เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ภาพก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาปฐพีถึงกับต้องใช้มือขยี้ตาของตัวเอง

สงสัยเราคงจะดื่มไวน์หนักไปหน่อย

ก็เลยเห็นน้องรัตติเป็นคุณยายไปแทนซะได้นี่


หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว รัตติกับปฐพีก็พากันเดินกลับไปยังห้องพักต่อ

.......................

ในขณะเดียวกันนี้ ทางด้านเมฆาได้เดินออกจากหุบเขาความตายอย่างทุลักทุเลแล้ว ชายหนุ่มก็เดินตรงไปยังเมืองแรกที่อยู่อันใกล้นี้ ซึ่งมันเป็นเมืองทางการเกษตรเล็กๆที่ไม่ค่อยมีผู้เล่นคนใดคิดจะผ่านมาสักเท่าไหร่ เพราะพื้นที่ในเมืองทั้งสองฟากเต็มไปด้วยท้องทุ่งนากับทุ่งสวนเท่านั้น จึงไม่มีอะไรน่าสนใจ แถมภารกิจก็มีเพียงแค่ทำนาปลูกผักปลูกผลไม้ ส่วนเรื่องผลตอบแทนนั้นไม่ได้มีค่าเป็นจำนวนเงิน กลับเป็นแค่ทักษะง่ายๆที่ไม่มีใครเหลียวแล แต่ทว่าทุกคนคิดผิด สำหรับชายหนุ่มคิดว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทั้งแร่ทางธรรมชาติ พืชผล สัตว์ น้ำ อากาศ ทั้งสิ้น แถมทักษะที่ได้รับก็คุ้มค่ากับการสร้างเมืองๆหนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นเมืองนี้จึงกลายเป็นสมาคมของเมฆาไปโดยปริยาย

เมืองแห่งการเกษตร

นั่นคือป้ายของเมืองนี้ แม้ชื่อเมืองจะไม่สวยหรูเหมือนชื่อสมาคมเงาก็ตามที แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะเปลี่ยนมัน เพราะจำเป็นต้องปิดบังคนภายนอกไม่ให้ล่วงรู้ ทว่าตอนนี้เป็นเวลาดึกสงัด จึงไม่มีคนเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกเลยซักนิด ทำให้เมืองดูร้างและน่ากลัวอย่างยิ่ง ครั้นเมฆาเดินย่างก้าวเข้าประตูเมืองนี้แล้ว เงานับสิบก็พลันปรากฏต่อหน้าเมฆากับปิเอโร่ที่เดินตามหลังมาอย่างรวดเร็ว ในมือเพียบพร้อมไปด้วยอาวุธครบมือราวกับจะมาสู้ด้วย

หึ ยังป้องกันเยี่ยมอยู่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยนะ

เมฆายิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะพูดอะไรออกมาเพื่อมิให้พวกเขาต้องเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นศัตรู

“ข้ากลับมาแล้วอเลน”

แม้คำพูดจะดูเรียบง่ายก็ตาม แต่ก็ทรงพลังจนที่เงาทั้งสิบซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มถึงกับเข่าอ่อนระทวยด้วยความกลัว

“โธ่เมฆา เจ้านี่ชอบแกล้งพวกเขาจริงๆ รู้ทั้งรู้อยู่ว่าพวกเขาไม่สามารถรับรังสีฆ่าฟันได้ ก็ยังคิดจะแผ่ให้มันอยู่ได้” เสียงบ่นดังลอดออกมา แต่ก็ยังไม่เผยตัว ทำให้เมฆาที่ได้ยินคำบ่นถึงกับขำ “แล้วนี่นึกยังไงกลับมาบ้านล่ะ ธุระที่บนเกาะเริ่มต้นเสร็จแล้วรึไง”

“ยังเลยนะ”

เมฆาตอบพลางถอนหายใจ ทำเอาคนที่สนทนาด้วยถึงกับต้องรีบปรากฏตัวออกมา ซึ่งเผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามมีเส้นผมสีม่วงยาวลากพื้นถูกรวบด้วยเชือกเส้นหนึ่ง นัยน์ตาสีทองส่องประกายแววความเป็นห่วงออกมา ผนวกกับชุดเกราะสีดำทำให้ดูน่าเกรงขามในระดับหนึ่ง

“เจ้าเป็นอะไรไป ใครทำอะไรให้เจ้า อย่าบอกนะว่าเป็น…”

“เรื่องนั้นไว้คุยกันในห้องทำงาน” เมฆาบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดจนจบ “เอาเป็นว่าตอนนี้เจ้าช่วยเอาไอ้ปิเอโร่นี่ไปขังคุกทีสิ แล้วก็ช่วยเอาของกินกับที่เติมพลังดีๆของเจ้ามาให้ข้าในห้องทำงานด้วยล่ะ”

พอสั่งเสร็จ เมฆาก็เดินหายเข้าไปข้างในเมืองอย่างเร็วโดยไม่ฟังเสียงคำทัดทานจากเพื่อนเลยซักนิด เมื่อเมฆาใช้ความพยายามในการเดินมาถึงบ้านพักของตัวเองซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่เท่าคนโอบได้ถึงห้าสิบคนแล้ว เขาก็เดินตรงเข้าไปยังห้องทำงานก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้โซฟาไม้ขนาดยาวอย่างหมดแรง หลังจากนั้นเมฆาก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

“ขอเข้าไปหน่อยนะเมฆา”

เสียงอเลนพูดจากข้างนอกประตู ซึ่งเมฆาตอบเสียงครางอือเบาๆ ก่อนที่ประตูห้องทำงานจะถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า

“ให้ตายสิ หมดแรงข้าวต้มถึงขนาดนี้เลยเชียวรึ” อเลนพูดอุทานพลางเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะนำของกินกับขวดยารูปทรงสีประหลาดมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน “ลุกขึ้นมาทานข้าวกับทานยาสิ จะได้มีเรี่ยวมีแรง”

“อืม”

เมฆาตอบก่อนจะลุกขึ้นเดินมานั่งเก้าอี้โต๊ะทำงานอย่างอ่อนแรง ซึ่งทำเอาอเลนอดส่ายหน้ากับภาพที่เห็นไม่ได้

“ค่อยๆทานนะ มันยังร้อนอยู่” อเลนบอกเพื่อนที่กำลังจะคนข้าวต้มไปมาอยู่ “แล้วเดี๋ยวพอทานเสร็จก็อย่าลืมดื่มยาพวกนี้ให้หมดด้วยล่ะ”

“อืม”

คนป่วยตอบก่อนจะลงมือทานข้าวอย่างเนิบนาบ โดยที่อเลนหมุนตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้โซฟารอให้เมฆาได้ทานข้าวทานยาเสร็จเสียก่อน เมื่อเมฆาทานอาหารกับดื่มยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอนหลังพิงกับเก้าอี้อย่างอ่อนแรง

“ไปทำอะไรมาถึงได้หมดแรงมากขนาดนั้นล่ะ แล้วยาที่ให้ไป มันใช้ไม่ได้ผลหรือ”

อเลนเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“ได้ผลสิ ช่วยได้มากเลยทีเดียว แต่…” เมฆาตอบพลางถอนหายใจแรงๆ “…คำสาปที่อยู่ในตัวมันไม่หายไปนะสิ”

“อ้าว ทำไมไม่บอกแต่แรกว่าติดคำสาปล่ะ จะได้เอายาแก้คำสาปอย่างดีมาให้”

อเลนร้องอ้าวเมื่อได้รับทราบจากปากเพื่อน

“ถึงบอกไปเจ้าก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอกอเลน” เมฆาตอบพลางส่ายหน้า “เพราะคำสาปที่ข้าโดนนั้นมันเป็นคำสาปปีศาจนะ”

“ว่ายังไงนะ!”

อเลนร้องอุทานอย่างตกใจ เพราะเขารู้เรื่องคำสาปปีศาจนี้ดี มันเป็นคำสาปที่แรงน่าดู ถ้าหากผู้เล่นคนใดโดนเข้าไปแล้วล่ะก็ ไม่มีวันที่จะได้ออกไปเก็บเลเวลได้ตามใจชอบจนกว่าจะฆ่าราชาปีศาจได้สำเร็จ

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง งั้นก็แสดงว่า…

เมฆากับพ่อของเขาตัดขาดจากความเป็นพ่อลูกกันแล้ว

อเลนคิดในใจอย่างคาดเดา เพราะเขารู้ดีว่าเมฆานั้นไม่ถูกกับพ่อ แต่ไม่น่าจะร้ายแรงถึงขั้นนี้ได้

“มันเกิดอะไรขึ้นหรือเมฆา” อเลนถามด้วยความลังเล ถึงแม้เขาจะเป็นเพื่อนกับเมฆามาตั้งแต่ก่อนตั้งสมาคมก็จริง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะถามลึกถึงเรื่องส่วนตัวของเพื่อนเลยซักนิด เพราะส่วนมากเมฆาจะเป็นคนบอกเล่าให้เขาฟังเสมอ “บอกข้าได้รึเปล่า เผื่อข้าจะช่วยเจ้าได้”

เมฆาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็ฉีกยิ้มให้

“ขอบใจที่เป็นห่วงข้านะอเลน ข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวที่เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เข้ามาเล่นเกมนี้”

“ฮะๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันบังเอิญนะมันบังเอิญ”

อเลนพูดไปหัวเราะไป แล้วเมฆาก็ยอมเปิดปากเล่าให้อเลนฟังตั้งแต่ต้นที่ได้พบกับน้องราตรีจนถึงปัจจุบัน


...............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 45 ชายทะเล

.................

หลังจากที่เมฆาได้เล่าเรื่องน้องราตรีให้อเลนฟังจนจบแล้ว เขาก็เข้านอนพักผ่อนเอาแรงจนกระทั่งรุ่งเช้าก็ถึงเวลาที่เขาต้องออฟไลน์จากเกมนี้ไป

“คงอีกหลายวันที่ข้าจะกลับเข้ามาในเกม ฉะนั้นข้าฝากเจ้าช่วยดูแลสมาคมให้ด้วยล่ะอเลน” เมฆาบอก ซึ่งอเลนก็พยักหน้าตอบตกลง

“ได้สิ แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบออนไลน์เกมเชียวล่ะ ไปพักผ่อนนอกเกมให้มากที่สุด แล้วค่อยกลับมาในเกมอีกก็ไม่สาย” อเลนบอกด้วยความเป็นห่วง “ส่วนทางนี้ข้าจะเป็นคนจัดการงานกับสมาคมเงาให้เจ้าเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะเมฆา”

“อืม ขอบใจเจ้ามากจริงๆ” แล้วเมฆาก็ออฟไลน์ออกจากเกมทันที พอออกจากเกมแล้วเขาก็ถอดแว่นตาอนาล็อกออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลส่องประกายสดใสท่ามกลางความมืดมิด

“อรุณสวัสดิ์ครับบอส” ชายหนุ่มลูกครึ่งจีนร่างสูงผมดำสั้นในชุดสูทสีดำพูดพลางเดินย่างกรายเข้ามาในห้องพร้อมกับแสงไฟที่เพิ่งจะถูกเปิดออก ทำให้คนที่นอนอยู่ต้องรีบเอามือป้องตากันแสงเข้าตา

“เรื่องพาสปอร์ตที่เราสั่งให้ไปทำนั้นเรียบร้อยรึยัง” เมฆาหรือไป่เส้าอวิ๋นถามอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

“เรียบร้อยแล้วครับบอส” อาเฟยตอบก่อนจะพูดต่อ “พาสปอร์ตประเทศไทยของ่ายมาก ง่ายกว่าที่พวกเราเคยไปขอจากอเมริกาเสียอีกนะครับบอส”

“ก็ดีแล้ว เราจะได้ไปพักผ่อนอย่างสบายๆซักที” เมฆาตอบพลางลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลังจากได้ล้างมือการเป็นแก๊งมาเฟียแล้ว ก็ผันตัวเองมาตั้งธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าระหว่างประเทศแทน ซึ่งผลตอบลัพธ์เป็นลบเพราะยังไม่ได้ความไว้วางใจจากพวกนักธุรกิจสักเท่าไหร่ จึงทำให้เมฆาต้องขยันมากขึ้นกว่าเดิมจนรายได้จากการขายเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ทว่าเพราะเขาขยันมากไปหน่อย ก็เลยไม่ได้พักผ่อนอย่างที่คนธรรมดาทั่วไปเขาทำกัน

“แล้วบอสจะเอาเกมไปเล่นที่ประเทศไทยด้วยหรือเปล่าครับ” อาเฟยถามพลางวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะกลมที่อยู่ข้างเตียง

“อืม ต้องเอาไปสิอาเฟย” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวให้เด็กจัดเสื้อผ้าให้เราด้วยล่ะ เอาไปเยอะหน่อยนะเพราะอยู่เที่ยวหลายวัน แล้วอีกอย่างเราอยากไปสูดอากาศริมทะเลด้วย เพราะเห็นลือกันว่าทะเลที่จังหวัดกระบี่สวยมาก”

“ครับบอส เดี๋ยวผมจะจัดการให้” เมื่อสั่งงานเสร็จแล้ว อาเฟยก็เดินหายออกไปนอกห้องนอน แล้วเมฆาก็ค่อยลุกขึ้นมานั่งบนขอบเตียงก่อนจะยกชาที่ยังร้อนๆขึ้นมาดื่มแก้กระหาย ซึ่งระหว่างดื่มน้ำชาไปเมฆาก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านพ่อในเกม

“ก็แค่ลูกชาย แต่ถ้ามันทรยศข้ากับบ้านเมืองของตัวเองแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนเนื้อเน่าๆที่ใช้การไม่ได้แล้วก็เท่านั้น”

จริงสินะ เรามันแค่ก้อนเนื้อเน่าๆที่ท่านพ่อไม่ต้องการ เมฆาคิดพลางกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความเจ็บใจ ถึงแม้เป็นแค่เกม แต่เขาก็ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นแบบนี้ เพียงแค่อยากจะช่วยคนแต่ก็ต้องทรยศพ่อของตัวเอง ปวดใจจริงๆ

หลังจากคิดเสร็จแล้ว เมฆาก็ลุกหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวที่จะไปขึ้นเครื่องบินในเร็วๆนี้


..............................

ย้อนกลับมาทางด้านรัตติ ซึ่งเพิ่งจะลาพี่ศาสตรากับพี่พิภพแล้ว ก็ได้ออฟไลน์ไปพร้อมกับพี่ปฐพีก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงไอแดดยามเช้ากับเสียงนกร้อง

อากาศตอนเช้านี้นี่ช่างดีจริงๆ

เธอคิดในใจก่อนจะลุกขึ้นมานั่งทำสมาธิตามเคย แล้วจากนั้นจึงค่อยเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว เมื่อเสร็จทุกอย่างแล้วเธอจึงเดินออกจากห้องนอนก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องครัวเพื่อทำอาหาร

“อ้าวคุณแม่คะ อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เสียงรุ้งกล่าวทักทายในขณะที่เธอเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องครัว ซึ่งทำเอาเธอชะงักก่อนจะเห็นว่าในห้องครัวนี้มีรุ้ง มีนา และนางพยาบาลกำลังเรียงจานอยู่

“อืม อรุณสวัสดิ์” เธอตอบพลางมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ซึ่งจะมีแกงดอกไม้ ต้มจืดตำลึง ต้มยำลูกชิ้นปลากราย ไข่เจียว และผลไม้อีกสองสามอย่างวางอยู่ตรงกลางของอาหาร “นี่ลุกขึ้นมาทำแต่เช้าตรู่กันเลยรึ”

“ค่ะคุณแม่” รุ้งตอบยิ้มๆ “คุณแม่นั่งก่อนสิคะ ประเดี๋ยวลูกนพกับหลานแก้วก็มาแล้วค่ะ เห็นว่ากำลังจัดเสื้อผ้ากันอยู่”

คำว่าจัดเสื้อผ้านั้นทำเอาเธอขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“อ้าวแล้วกัน นี่จะรีบกลับกทม.วันนี้เลยรึไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคุณยาย” มีนารีบตอบเพราะเห็นว่าคุณยายกำลังเข้าใจผิดไป “พอดีนพบอกว่าจะพาพวกเราไปเที่ยวทะเลกันยกบ้านนะค่ะ เอ อย่าบอกนะว่านพเขาไม่ได้บอกคุณยายไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนะค่ะ”

เธอได้ยินที่อีกฝ่ายบอกก็พลันส่ายหน้าไปมา

“แล้วกัน นพนี่ไม่ได้เรื่องเลย เรื่องใหญ่ออกแบบนี้ไม่บอกคุณแม่ได้ยังไงเนี่ย” รุ้งบ่นอย่างหัวเสียกับความไม่ได้เรื่องของลูกชายตัวเอง

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็กแค่นี้เอง” เธอรีบบอกเพราะกลัวลูกสาวตัวเองจะไปลงโทษนพเสียก่อน “ว่าแต่นพจะพาไปเที่ยวที่ไหนรึ”

“ทะเลที่จังหวัดกระบี่นะครับคุณยาย” เสียงนพดังจากนอกประตู ทำให้เธอต้องหันไปมองคนพูด ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีชมพูกางเกงยีนส์ตัวเก่ง และที่ข้างกายของนพเป็นเหลนแก้วซึ่งมาด้วยเสื้อยืดสีชมพูเฉกเช่นเดียวกับนพ ยกเว้นข้างล่างที่เป็นกระโปรงลายลูกไม้สีขาวแลดูน่ารัก

“อ้อ งั้นรึ ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะยายเองก็กำลังคิดอยากจะไปอยู่พอดี” เธอพูดอย่างเห็นด้วยกับความคิดนี้ “แล้วต้องไปค้างกันกี่วันล่ะ ฉันจะได้กลับไปเตรียมเสื้อผ้าก่อน”

“ผมคิดว่าค้างสามวันได้นะครับคุณยาย”

“สามวันรึ ก็ดีเหมือนกัน ยายจะได้เอาเกมติดตัวไปด้วย เพราะขืนไปโดยไม่เอาเกมไปด้วย มีหวังเพื่อนของยายที่อยู่ในเกมได้โกรธปะไร” เธอพูดอย่างขำๆ ซึ่งทำให้นพพลอยขำไปตามด้วยเช่นกัน

“งั้นผมขออาสาเป็นคนไปเอาเกมมาให้คุณยายเองครับ คุณยายจะได้ไม่ต้องถือของหนักๆยังไงล่ะครับ” นพพูดอาสาอย่างสุภาพบุรุษก่อนจะวิ่งหายออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วเพื่อไปเก็บตัวเครื่องเกมให้เธอ โดยไม่ฟังคำทัดทานของเธอเลยสักนิด

..................

2 ชั่วโมงให้หลังจากที่เมฆากับอาเฟยได้นั่งเครื่องบินจากจีนถึงประเทศไทยแล้ว อาเฟยก็ได้พาเขาออกมาจากสนามบินที่ชื่อว่า’สุวรรณภูมิ’ ซึ่งเป็นสนามบินที่เก่าแก่นับยี่สิบปีได้แล้ว แต่ก็ยังคงบริการได้ดีเยี่ยมเกินที่คาดคิดต่างจากสนามบินที่จีนลิบลับ ก่อนจะนั่งรถตู้ที่อาเฟยจัดการเหมาจ่ายล่วงหน้าไว้ตลอดการเดินทางมุ่งตรงไปยังจังหวัดกระบี่อย่างเร็ว

“ดีนะครับบอสที่ไม่มีนักข่าวมาคอยรุมตอมพวกเราตอนอยู่ในสนามบิน” อาเฟยพูดพลางถอนหายใจหลังจากได้นั่งพักผ่อนอิริยาบถ เพราะตอนอยู่ที่จีน พวกเขาต้องหลบหน้าพวกนักข่าวจีนที่มาคอยสัมภาษณ์ ซึ่งโชคดีที่ประเทศไทยไม่มีนักข่าวตอนที่พวกเขาเดินออกจากสนามบินเลยสักนิด

“คงจะบังเอิญมากกว่า” เมฆาตอบสั้นๆพลางมองบรรยากาศของไทยผ่านกระจกรถ ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในเมืองหลวงอยู่ “อาเฟย นายไม่ได้บอกใครเลยใช่ไหมว่าเรามาพักผ่อนที่นี่นะ”

“ครับบอส ผมไม่ได้บอกใครเลยครับ”

“อืม ดีแล้วล่ะ”

เมฆาตอบพลางเอี้ยวคอไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งเครื่องบินนาน สาเหตุที่เมฆามาเที่ยวประเทศไทยอย่างเงียบๆ ก็เพราะกลัวการตกเป็นข่าวลือหน้าหนึ่งของจีนกับไทยว่า’อดีตหัวหน้ามาเฟียไป่เส้าอวิ๋นมาพักผ่อนที่ประเทศไทย’ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น หลังจากนั้นเขาก็หลับเกือบตลอดทางเดิน มีบ้างที่หยุดแวะพักปั้มน้ำมันเพื่อรับประทานอาหารกับเข้าห้องน้ำ และเพื่อมิให้เป็นการเดินทางดูน่าเบื่อเกินไป อาเฟยจึงให้คนขับหยุดแวะพักเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีในแต่ละจังหวัด ซึ่งเมฆาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเห็นว่าอาเฟยเคยมาเที่ยวประเทศไทยถึงสองสามครั้งแล้ว ซึ่งกว่าจะถึงจังหวัดกระบี่ก็กินเวลาหลายชั่วโมง เมื่อมาถึงแล้วคนขับก็พาพวกเขาไปเช็คอินในโรงแรมหรูมีชื่อของจังหวัดกระบี่ ซึ่งในระหว่างที่รอเช็คอินอยู่นั้น เมฆาก็ได้ยินบทสนทนาของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในโรงแรมพร้อมกับกระเป๋าคนละใบ

“เฮ้อ ในที่สุดก็ถึงซักที นั่งจนเมื่อยแย่อยู่แล้ว” เสียงพูดเป็นหญิงไทยวัยประมาณสี่สิบมาในชุดเสื้อคอวีสีน้ำตาลสวมกางเกงยีนส์กับรองเท้าแฟชั่นหุ้มส้นสีครีม ก่อนจะตามมาด้วยผู้หญิงไทยอีกคนที่ดูอายุน้อยคราวลูกมาด้วยชุดแซกกระโปรงยาวลายดอกไม้สีชมพู สวมรองเท้าแตะไม่หุ้มส้นประดับด้วยดอกไม้สีขาวอ่อนแลดูหวาน ในมือของเธอได้จูงเด็กผู้หญิงวัยสิบขวบที่สวมเสื้อยืดคอกลมสีชมพู กระโปรงลายลูกไม้สีขาว กับรองเท้าแตะลายการ์ตูน

“หนูขอไปว่ายน้ำก่อนไม่ได้เหรอคะคุณแม่” เด็กวัยสิบขวบพูดอ้อน ถึงแม้เมฆาจะฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องก็จริง แต่เขาพอเดาได้ว่าเด็กคนนี้กำลังอ้อนขออะไรบางอย่างกับผู้หญิงคนนั้นแน่

“ไม่ได้หรอกยัยแก้ว เราต้องเข้าไปเช็คอินกับเก็บกระเป๋าก่อน แล้วค่อยลงมาเล่นน้ำทีหลัง”

เสียงนี้เป็นผู้หญิงในชุดผ้าไหมไทยสีฟ้าพูดขึ้น ซึ่งเธอเพิ่งจะเดินเข้ามาทีหลังโดยมีนางพยาบาลคนหนึ่งคอยจูงเธอด้วย

แก่กว่าเราอีกแฮะ

เมฆาคิดในใจ เพราะผู้หญิงคนนั้นดูแก่กว่าเขาเกือบสามสิบสี่สิบปีได้ แล้วเมฆาก็ได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงอีกคนมาในชุดเสื้อยืดคอกลมสีชมพู กางเกงยีนส์สีเข้ม สวมรองเท้าผ้าใบพร้อมกับกระเป๋าอีกสองสามใบเดินตามหลังมาติดๆ

ช่างเป็นครอบครัวที่ใหญ่ซะจริง

เมฆาคิดในใจอย่างอิจฉา เพราะเดิมทีเขาเป็นเด็กที่มีเพียงแค่พ่อคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนแม่ได้เสียไปตั้งแต่คลอดเขาออกมาแล้ว ซึ่งตอนเขายังเด็กก็อดมื้อกินมื้อ แถมมีพ่อที่บ้าเล่นการพนันจนเป็นหนี้เป็นสิน เพราะเหตุนี้เมฆาจึงต้องดิ้นรนชีวิตด้วยการเป็นมาเฟียแทน

“บอสครับ ไปกันได้แล้วครับ” อาเฟยบอก ซึ่งทำเอาเมฆาเลิกสนใจมองครอบครัวนั้นก่อนจะหมุนตัวเดินตามอาเฟยไปพร้อมกับเด็กหิ้วกระเป๋า โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองเมฆาอย่างสนอกสนใจ


...........................

“คุณแม่คะ คุณแม่”

“คุณยายครับ คุณยาย”

เสียงเรียกสองเสียงประสานกัน ทำเอาคนเหม่อลอยมองใครบางคนที่กำลังเดินหันหลังให้เธออยู่ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองทุกคนที่กำลังมองเธอมาอย่างเป็นกังวล

“คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เห็นดูเหม่อๆ”

“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อยนะ” เธอตอบยิ้มๆ “เอ้อ นี่เดี๋ยวตอนเย็นหลังจากทานข้าวเย็นแล้ว ยายจะขอเข้าเกมก่อนนะตานพ อย่าลืมประกอบเกมให้ยายด้วยล่ะ”

นพมองคุณยายด้วยความแปลกใจแต่ก็ยอมตอบโดยดี

“ครับคุณยาย เดี๋ยวผมประกอบให้หลังจากขึ้นไปในห้องพักแล้วนะครับ”

“อืม”

พอตอบเสร็จพวกนพก็หันไปคุยกับพนักงานโรงแรมต่อ ซึ่งทำให้เธอรีบหันกลับไปมองทางเดิมแต่ก็ไม่พบคนๆนั้นแล้ว

จริงสิ เขาตายไปแล้วนี่นะ

จะมาเดินอยู่แถวนี้ได้ยังไงกัน

บ้าจริงๆเลยเรา
เธอคิดไปส่ายหน้าไปพลาง เพราะเมื่อครู่นี้เธอดันไปเห็นคนที่น่าจะตายจากไปแล้วกำลังยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์เช็คอินซะได้ สงสัยนั่งรถมากไปจนเบลอเห็นอะไรเพี้ยนๆไปหมด

หลังจากนั้นเธอก็ได้เข้าห้องพักพร้อมกับรุ้ง ส่วนนพ มีนา และแก้วก็พักรวมกันอีกห้องหนึ่ง เมื่อเก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินลงมาพร้อมกันเพื่อมาเล่นน้ำที่ชายทะเล

“เดี๋ยวหนูขอไปเล่นน้ำก่อนเลยนะคะ” แก้วพูดขออนุญาตผู้ใหญ่ที่กำลังจัดเตรียมกางผ้ารองพื้นทรายอยู่

“ได้สิลูกแก้ว แต่อย่าไปตรงที่ลึกนะ มันอันตราย” มีนาบอก ซึ่งแก้วก็พยักหน้าตอบก่อนจะวิ่งลงน้ำทะเลอย่างสนุกสนาน หลังจากนพปูผ้ารองนั่งให้เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เรียกให้เธอมานั่ง

“คุณยายเชิญนั่งนี่ได้เลยครับ ผมปูผ้าให้เรียบร้อยแล้ว”

ทีแรกเธอคิดจะนั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อย ทว่าภาพคนรักที่เจอตรงเคาน์เตอร์ยังตรึงตาเธออยู่

เดินเล่นคลายเครียดดีกว่า

“ไม่ล่ะ ยายจะออกไปเดินเล่น”

“เดินเล่นหรือครับ งั้นให้คุณพยาบาลไปเป็นเพื่อน...”

“ไม่ต้อง ฉันจะไปเดินเล่นคนเดียว”

คำพูดของเธอทำให้ทุกคนตกใจ

“คุณแม่คะ หนูว่าให้คุณพยาบาลเดินไปเป็นเพื่อนด้วยดีกว่านะคะ” รุ้งบอกด้วยความเป็นห่วง “แล้วอีกอย่างถ้าคุณแม่เกิดเป็นอะไรไป แล้วใครจะช่วยคุณแม่ได้...”

“ฉันดูแลตัวเองได้ แล้วอีกอย่างฉันคงไม่เดินไปที่อันตรายอย่างที่แกคิดหรอกแม่รุ้ง”

“คุณยาย/คุณแม่”

ในเมื่อรั้งเธอไม่ได้แล้ว พวกนพก็ได้ให้มือถือแก่เธอหนึ่งเครื่องติดตัวไปด้วย หลังจากเดินแยกออกมาแล้ว เธอก็เดินเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ซึ่งเธอเดินไปได้สักพัก จู่ๆ ก็มีใครไม่รู้มากระชากกระเป๋าถือของเธอออกจากแขนอย่างรวดเร็ว

หัวขโมย?!

ถึงแม้เธอจะเดินอย่างเหม่อลอยก็ตาม แต่ร่างกายกลับดึงยื้อยุดไม่ให้อีกฝ่ายขโมยกระเป๋าของเธอไปเองอัตโนมัติ

“แม่งเอ้ย! อีแก่แรงเยอะชิบ” ขโมยพูดอย่างหัวเสียก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างต่อยเข้าที่หน้าของเธอ แต่ก็พลาดเพราะเธอสามารถรับหมัดของอีกฝ่ายได้อย่างสบาย ซึ่งทำเอาหัวขโมยตกใจ “อะไรกัน?! ไม่จริงน่า รับได้ยังไงวะเนี่ย”

เธอยิ้มอย่างพึงพอใจที่ร่างกายยังไม่ฝืดเคืองอย่างที่คิด แล้วจากนั้นเธอก็บิดมือของอีกฝ่ายอย่างแรงทันที

กรอบ!

“อ้าก!!”

หัวขโมยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วเธอก็ปล่อยมือของอีกฝ่ายออกก่อนจะดึงกระเป๋ากลับเข้ามาห้อยแขนต่อดังเดิม

“ไปซะ อย่าให้ฉันต้องโทรแจ้งตำรวจจับแกไอ้หนุ่ม” เธอพูดขู่ ซึ่งทำให้หัวขโมยที่ได้รับบาดเจ็บนั้นถึงกับรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว “เฮ้อ ไม่ไหวเลยเด็กหนุ่มสมัยนี้ ริอาจเป็นหัวขโมย สงสารแทนพ่อแม่ซะจริง เฮ้อ”

แปะ แปะ แปะ

จู่ๆก็มีเสียงปรบมือจากด้านหลังพร้อมกับคำพูดดังขึ้นเป็นภาษาจีนว่า

你非常厉害 (หนี่ เฟย์ ฉาง ลี่ ฮ่าย)*”

เธอได้ยินคำนั้นก็พลันหันหลังกลับไปมอง ก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับภาพที่เห็น

นรินทร์!

..................................

*你非常厉害 (หนี่ เฟย์ ฉาง ลี่ ฮ่าย) เป็นคำชมที่คนจีนใช้กัน

 :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2015 19:52:16 โดย dragon123 »

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 46 พักผ่อน

...........
 
“นรินทร์!”

หญิงวัยชราร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งทำเอาเมฆาถึงกับขมวดคิ้ว

“นาริน?” ทว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่อยู่ตอบคำถามของเขา ร่างนั้นเกิดทรุดลงกับพื้นเอาดื้อๆ ซึ่งทำให้เมฆาต้องรีบเข้าไปพยุงไว้อย่างเร็ว “นี่คุณผู้หญิง อย่าเพิ่งมาสลบตอนนี้สิ”

เมฆาบอกพลางเขย่าอีกฝ่ายเบาๆ ทว่าผู้หญิงคนนี้กลับหาได้ฟื้นไม่

“ตะกี้ยังเล่นกับหัวขโมยได้อยู่เลย แล้วทำไมถึงมาเป็นลมเอาตอนนี้ได้นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” เมฆาบ่นพลางมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนรู้จักของผู้หญิงคนนี้ แต่ทว่าจุดตรงที่พวกเขาอยู่นั้นเป็นจุดที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน

สงสัยต้องรอให้ฟื้นอย่างเดียวแล้ว

เมฆาคิดได้ดังนั้นก็วางร่างนั้นลงบนทรายอย่างแผ่วเบา แล้วเขาก็เดินไปยังทะเลก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจุ่มน้ำพลางบิดให้หมาดๆ จากนั้นจึงเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเอาผ้าเช็ดหน้าที่เปียกน้ำมาเช็ดหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

ไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครนอกจากพ่อเลย

พ่อที่โหดร้ายแม้กระทั่งลูกในไส้


ถึงแม้พ่อของเขาจะโหดร้าย ไม่เคยเหลียวแลที่จะคอยเลี้ยงฟูมฟักเขาเหมือนกับพ่อคนอื่นทำก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรักพ่ออยู่จนวาระสุดท้ายของท่าน

“นะ…นรินทร์” เสียงคนสลบพร่ำเพ้อออกมา ทำเอาเมฆาชะงักมือพลางขมวดคิ้วมองผู้หญิงผู้มากวัยกว่าเขาอย่างสงสัย “อย่า…อย่าจากฉันไปนะ…นรินทร์”

นรินทร์?

อ้อ สงสัยจะเป็นแฟนเก่าที่ตายไปกระมัง


เมฆาคิดในใจก่อนจะลงมือเช็ดต่อ แต่ทว่าพอจะลงมือเช็ด อีกฝ่ายก็ดันลืมตาขึ้นเสียแล้ว

“อ้าว ฟื้นแล้วหรือครับคุณผู้หญิง” เมฆาพูดพลางเอาผ้าเช็ดหน้าออก แต่แล้วก็พลันนึกได้ว่าตัวเองกำลังพูดภาษาจีนอยู่ จึงเปลี่ยนมาเป็นพูดภาษาอังกฤษแทน “เอ่อ คุณสลบไปนะ ผมก็เลยช่วยคุณไว้”

อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามของเขา กลับขมวดคิ้วมองเขาอย่างเอาเรื่อง

“เอ่อ หน้าของผมมีอะไรติดอยู่งั้นหรือ” เมฆาถามอย่างสงสัย ซึ่งอีกฝ่ายไม่ตอบ กลับใช้มือสองข้างจับใบหน้าของเขาแทน จากการที่เคยแค่จับก็เปลี่ยนมาเป็นลูบคลำไปมาจนเมฆารู้สึกจั๊กจี้

“ไม่ใช่” หญิงผู้สูงวัยกว่าเขาพูดพลางปล่อยมือออกจากใบหน้าเขา ซึ่งโชคยังดีที่อีกฝ่ายพูดกับเขาด้วยภาษาอังกฤษ จึงทำให้เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังพูดกับเขาว่าอย่างไร “ไม่ใช่นรินทร์ เอ่อ ดิฉันต้องขออภัยที่ละลาบละล้วงคุณค่ะ”

แล้วอีกฝ่ายก็ดันตัวลุกขึ้นนั่ง ซึ่งทำให้เมฆาต้องรีบเข้าไปช่วยพยุงอีกแรง

“ไม่เป็นไรครับ แค่ฟื้นมาก็ดีแล้ว” เมฆาบอกก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่คุณเก่งเหมือนกันนะครับ เล่นปราบหัวขโมยอย่างเด็กวัยรุ่นซะอยู่หมัด นี่ถ้าเป็นคนแก่ธรรมดาทั่วไปล่ะก็ คงสู้แรงคนหนุ่มคนสาวไม่ได้แน่ๆ”

อีกฝ่ายยิ้มรับเมื่อได้ยินที่เมฆาพูด

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ มันก็แค่ฟลุ๊กนะ” หญิงสูงวัยตอบก่อนจะพูดต่อ “เอ่อ ดิฉันต้องขอขอบคุณมากที่คุณช่วยดิฉันไว้ ไม่อย่างนั้นคงล้มหัวกระแทกพื้นไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เล็กน้อย ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะครับ ผมไป่เส้าอวิ๋น เรียกผมว่าอวิ๋นได้นะครับ” เมฆาตอบพลางบอกชื่อของตัวเองไปพลาง

“จันทร์แรมค่ะคุณอวิ๋น ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” อีกฝ่ายตอบชื่อตัวเองพลางส่งยิ้มมาให้ “ว่าแต่คุณเป็นคนจีนหรือคะ ดิฉันเห็นคุณพูดภาษาจีนนะค่ะ”

“อ้อ ใช่ครับ ผมเป็นคนจีน เพิ่งจะมาเที่ยวประเทศไทยวันนี้เองแหละครับ เอ่อ ผมว่าพวกเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่านะครับ” เมฆาพูดพลางชวนอีกฝ่ายให้ไปคุยกันที่อื่น ซึ่งจันทร์แรมพยักหน้าตกลงก่อนจะพากันลุกขึ้นเดินไปหาที่นั่งคุยกันดีๆกว่านี้

 
....................

ในขณะเดียวกันนั้นเอง นพ รุ้ง มีนา และแก้วต่างร้อนใจที่จันทร์แรมได้เดินเล่นนานเกินร่วมชั่วโมงแล้ว ดังนั้นนพจึงโทรศัพท์ติดต่อกลับไปแต่ก็พบว่าปลายสายไม่ว่าง

“ทำยังไงดีล่ะนพ แจ้งตำรวจกันเลยดีไหม” มีนาพูดอย่างเป็นกังวล

“ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงตำรวจไม่รับแจ้งนะมีนา” นพตอบก่อนจะหันไปมองแม่ของตัวเอง “แม่ครับ ผมว่าพวกเราแยกย้ายกันออกตามหาคุณยายดีกว่านะครับ ถ้าใครเจอแล้วค่อยให้โทรบอกกัน”

“อืม เอาตามนั้นแล้วกัน” แล้วนพก็ออกวิ่งตามหาคุณยายทันที ส่วนรุ้ง มีนา และแก้วก็วิ่งไปอีกทาง ซึ่งในระหว่างที่ออกตามหาคุณยายนั้น เขาก็วิ่งไปร้องเรียกคุณยายไป และนอกจากนี้ยังแวะถามจากคนอื่นด้วย
 
คุณยายไปไหนของเขานะ นพคิดในใจพลางเป็นนึกเป็นห่วงกลัวว่าคุณยายจะจมน้ำทะเล ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น หลังจากนพเดินหาอยู่เกือบร่วมชั่วโมงแล้ว เขาก็หยุดพักหอบหายใจที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเพิงไม้ที่ตั้งอยู่ริมถนนใกล้ชายหาดทะเล แวะพักดื่มน้ำเย็นๆสักแก้วแล้วค่อยออกตามหาดีกว่า

ครั้นพอนพเดินเข้าไปในเพิงไม้แล้ว เขาก็ได้เจอกับคนที่กำลังออกตามหาอยู่พอดี

“คุณ…” นพทำท่าจะตะโกนเรียกคุณยาย แต่ก็พลันเห็นผู้ชายวัยประมาณเจ็ดสิบในชุดเสื้อยืดคอกลมกางเกงแสลกสีครีมกำลังนั่งคุยกับคุณยายอยู่

นั่นใครกันนะ?

นพคิดในใจอย่างสงสัย ก่อนจะทำท่าเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ ซึ่งเขาได้ยินเสียงพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เขาเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นคนต่างชาติ ไม่อย่างนั้นคุณยายของเขาคงไม่พูดกับอีกคนด้วยภาษาอังกฤษแน่ แต่พอนพเข้ามาใกล้ๆจนเห็นผู้ชายอีกคนชัดเจน ก็รู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

แล้วทันใดนั้นนพก็ได้เห็นคุณยายยิ้มกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน ซึ่งมันเป็นภาพที่นพไม่เคยเห็นมาก่อน

คุณยายกำลังมี...ความสุข

แล้วนพก็กดเบอร์โทรศัพท์โทรหาคุณแม่ของเขา

“ผมเจอคุณยายแล้วครับคุณแม่”

 
..................

ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่นพจะมาเจอคุณยาย จันทร์แรมกับอวิ๋นก็ได้มานั่งพักที่ร้านอาหาร ซึ่งถูกทำด้วยเพิงไม้ตั้งอยู่ริมถนนใกล้ชายหาดทะเล

“ขอเป็นชาเย็นสองแก้วกับแตงโมหนึ่งจานนะ” เธอสั่งพนักงานของร้านก่อนจะหันไปมองอวิ๋นต่อ

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้คุณสั่งของกินแทน เพราะผมพูดภาษาไทยไม่ได้เลย” อวิ๋นพูดขอโทษ ซึ่งเธอได้ยินถึงกับส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องแค่นี้เอง” เธอตอบยิ้มๆ “ว่าแต่คุณอวิ๋นมาเที่ยวที่ประเทศไทยนี่เพื่อพักผ่อนใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ พอดีช่วงนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงลาพักร้อน ก็เลยมาเที่ยวได้สบาย” อีกฝ่ายตอบพลางโบกมือพัดไปมาเพื่อคลายความร้อน ซึ่งเธอเข้าใจหัวอกของคนต่างชาติได้ดี เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ร้อนกว่าประเทศจีนมาก “แต่ประเทศไทยของคุณนี่ก็ดีนะครับ หาดทรายสวย น้ำทะเลก็ใส แถมขยะก็ไม่มีอีกด้วย ต่างกับประเทศของผมลิบลับ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ทุกๆคนช่วยกันคนละไม้คนละมือก็เลยทำให้บ้านเมืองสะอาด” เธอพูดไปยิ้มไปพลาง “ที่ประเทศจีนของคุณเองก็ใช่ย่อย มีทั้งทะเลสาบกับภูเขาที่สวยงาม ไหนจะกำแพงเมืองจีนกับสุสานจิ๋นซีอีก ที่ท่องเที่ยวเยอะดีออกจะตายไปค่ะ”

“อย่างนั้นหรือครับ ผมเพิ่งจะรู้เองนะเนี่ยว่าที่ประเทศจีนของผมทำให้คนไทยอย่างคุณสนใจได้ด้วย” อวิ๋นพูดไปหัวเราะไปพลาง ซึ่งทำเอาเธอพลอยอดหัวเราะไม่ได้

“ก็คงประมาณนั้นแหละค่ะ พอดีดิฉันเป็นพวกแฟนพันธุ์แท้นิยายกำลังภายในจีน ก็เลยชอบประเทศจีนซะเสียส่วนมาก”

“แหม งั้นก็คอเดียวกันเลยครับ ผมเองก็พวกบ้าอ่านนิยายกำลังภายในจีนเหมือนกัน” แล้วเธอกับอวิ๋นก็คุยกันในเรื่องนิยายกำลังภายในจีนอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่า

“แล้วนี่คุณจันทร์แรมไม่ได้มาเดินเล่นพร้อมกับครอบครัวหรือครับ” อวิ๋นถามต่อ ซึ่งทำเอาเธอถึงกับขมวดคิ้ว

“คุณรู้ได้ยังไงว่าดิฉันมากับครอบครัวนะค่ะ” เธอถามอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่เดินคุยด้วยกันมาเมื่อครู่นี้ เธอยังไม่ได้หลุดปากว่ามากับครอบครัวเลยซักคำเดียว

“อ้อ เรื่องนั้นพอดีผมเห็นคุณเมื่อชั่วโมงที่แล้วตรงหน้าเคาน์เตอร์ในโรงแรมนะครับ” อวิ๋นพูดจบ ซึ่งทำเอาเธอถึงกับตะลึง

ที่แท้แล้วภาพที่เธอเห็นตอนอยู่ในโรงแรมก็เป็นเขาคนนี้นะสิ!

“มิน่าล่ะ ว่าทำไมคุณอวิ๋นถึงรู้ได้ เอ่อ พอดีลูกหลานของดิฉันกำลังนั่งเล่นอยู่บนชายหาดนะค่ะ” เธอตอบก่อนจะพูดต่อ “ส่วนดิฉันก็เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ” คำพูดของเธอทำเอาอวิ๋นขมวดคิ้ว

“เดินเล่นหรือครับ” อวิ๋นถามย้ำอีกรอบ

“ใช่ค่ะ เดินเล่น” เธอเอียงหัวเล็กน้อยตอบ “ทำไมหรือคะ มันแปลกด้วยหรือคะที่ดิฉันเดินเล่นคนเดียว”

“มันก็ไม่แปลกหรอกครับ เพียงแต่คนมีอายุอย่างคุณน่าจะพาใครซักคนมาด้วย เผื่อเป็นอะไรไปแล้วจะได้ช่วยเหลือทันนะครับ” อวิ๋นตอบ ซึ่งทำเอาเธอหงุดหงิดเล็กน้อย ทว่าด้วยความที่เธอเพิ่งจะรู้จักอีกฝ่ายได้ไม่นาน ก็เลยนิ่งๆไว้โดยไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวให้อีกฝ่ายได้รับรู้

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ แต่ดิฉันได้พกมือถือมาด้วยแล้ว”

“งั้นคุณก็น่าจะโทรบอกพวกเขาได้แล้วนะครับ เพราะป่านนี้แล้วพวกเขาคงกำลังจะเป็นห่วงคุณมาก” อวิ๋นบอกด้วยความหวังดี

“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะโทรไปบอกพวกเขาแล้วค่ะ” จันทร์แรมบอกก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหานพ พออีกฝ่ายรับเธอก็พูดไปว่า “นพ นี่ยายเองนะ ตอนนี้ยายนั่งพักอยู่ที่ร้านอาหารเพิงไม้ใกล้ๆนี่เอง”

“ครับ ผมทราบแล้วครับคุณยาย”

ปลายสายตอบ ซึ่งทำเอาเธอถึงกับขมวดคิ้ว เพราะเสียงที่ได้ยินนี้เธอได้ยินทั้งข้างนอกโทรศัพท์กับข้างในด้วยพร้อมกัน

“อ้าว นั่นใช่หลานชายของคุณหรือเปล่าครับ ผมเห็นเขายืนถือโทรศัพท์มือถือข้างนอกร้านนะ” อวิ๋นบอก ซึ่งทำเอาเธอหันขวาไปมองตามมืออวิ๋น ก่อนจะเห็นนพยืนถือโทรศัพท์มือถืออยู่ข้างนอกร้านจริงๆ

“ใช่ค่ะคุณอวิ๋น นั่นหลานชายของดิฉันเองค่ะ” เธอตอบก่อนที่จะเห็นนพเดินเข้ามาในร้าน เธอก็เลยกดวางโทรศัพท์แล้วเก็บเข้าไว้ที่เดิม “นพมาสวัสดีคุณอวิ๋นสิ เขาเป็นคนต่างชาติที่ช่วยยายเอาไว้นะ”

นพขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ แต่นพก็ไม่ได้พูดอะไรกลับมานอกจากยกมือขึ้นไหว้อวิ๋น

“สวัสดีครับคุณอวิ๋น” นพพูดเป็นภาษาอังกฤษ

“สวัสดีพ่อหนุ่ม นี่คงกำลังเป็นห่วงคุณยายใช่ไหม ถึงได้ออกมาตามหาถึงที่”

“ครับคุณอวิ๋น” นพตอบก่อนจะหันมามองเธอ “คุณยายครับ เดี๋ยวผมว่าเรากลับโรงแรมกันเถอะครับ นี่มันก็เย็นมากแล้ว จวนจะได้เวลาทานอาหารเย็นแล้วด้วยนะครับ”

เธอขมวดคิ้วก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือ

ตายล่ะ นี่เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้วรึ!

“ไม่ทราบว่าคุณอวิ๋นว่างหรือเปล่าคะ” จันทร์แรมเงยหน้าขึ้นถาม

“ก็ว่างนะครับ ทำไมหรือครับ”

“เอ่อ คือดิฉันอยากจะชวนคุณอวิ๋นไปร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยนะค่ะ” เธอบอกก่อนจะพูดถึงเหตุผลที่ชวนอีกฝ่ายต่อ “พอดีดิฉันอยากจะคุยเรื่องนิยายกำลังภายในจีนต่อนะ ไม่ทราบว่าคุณอวิ๋นพอจะไปได้รึเปล่าคะ”

อีกฝ่ายได้ยินที่เธอบอกก็พลันขมวดคิ้วราวกับใช้ความคิด ก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ได้สิครับ เดี๋ยวผมขอโทรศัพท์บอกอีกคนก่อนนะครับ ประเดี๋ยวเขาจะเป็นห่วงผมเอาได้”

“ค่ะ” แล้วอวิ๋นก็ลุกขึ้นเดินหายไปนอกร้าน ทำให้นพที่ยืนอยู่นั้นหันมาคุยกับเธอด้วย

“คุณยายครับ คุณยายแน่ใจแล้วหรือว่าจะชวนเขาไปทานอาหารกับพวกเราด้วยนะ”

“แน่ใจสิ” เธอตอบ “หรือนพรังเกียจที่ยายพาคนแปลกหน้าไปร่วมรับประทานอาหารด้วยนะ”

นพได้ยินที่เธอพูดก็พลันส่ายหน้าอย่างเร็ว

“ผมไม่ได้รังเกียจเลยครับคุณยาย ผมก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าเขาจะหลอกคุณยายเอาได้นะครับ”

“เฮ้อ นพเอ้ย แค่นี้จะไปกลัวอะไร ยายไม่ได้ชวนเขาไปทานกันแค่สองคนตามลำพังซักหน่อย” เธอบอกพลางถอนหายใจ “แล้วอีกอย่างยายชวนเขาก็เพื่อจะตอบแทนบุญคุณที่เขาอุตส่าห์ช่วยยายตอนเป็นลมนะ”

พอนพได้ยินที่เธอพูดถึงกับตกใจ

“อะไรนะครับ คุณยายสลบงั้นหรือครับ!”

“ใช่ พอดียายสลบไปนะ” เธอตอบยิ้มๆ “แล้วยายก็ได้เขานี่แหละคอยช่วยเอาผ้าเช็ดหน้าให้จนฟื้น ไม่งั้นยายคงนอนสลบไปอย่างนั้นไม่รู้เรื่องแน่”

นพถอนหายใจอย่างโล่งอกที่คุณยายไม่เป็นอะไรมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังแอบเป็นห่วงว่าอวิ๋นจะแอบทำอะไรคุณยายตอนสลบไป แล้วหลังจากนั้นอวิ๋นก็เดินกลับเข้ามาในร้านใหม่ ก่อนที่เธอกับนพจะพาอวิ๋นไปด้วยพร้อมกัน

................
 
ในขณะที่จันทร์แรม อวิ๋น นพกำลังอยู่นอกเกมนั้น ในเกมได้มีการอัพเดทด้วยการเพิ่มสายอาชีพใหม่นอกเหนือจากอาชีพสายต่อสู้ อาทิเช่น อาชีพพ่อครัวแม่ครัว อาชีพนักตกปลา อาชีพดีไซน์เนอร์ อาชีพพ่อบ้านแม่บ้าน อาชีพนักส่งของ อาชีพนักประดิษฐ์ เป็นต้น ซึ่งทางด้านเกมยังได้ประกาศกับผู้เล่นว่า ถ้าคนใดค้นหาอาชีพได้ด้วยตนเองก็ให้มาแจ้งกับทางจีเอ็มได้ทันที

“วู้ ดีแหะ แบบนี้เราก็สามารถหาอาชีพอื่นทำแก้เซ็งรอน้องรัตติกับปฐพีแล้ว” ศาสตราพูดด้วยความดีใจหลังจากที่อยู่ว่างงานกับพิภพถึงหนึ่งวันเต็ม

“แล้วนายจะทำอาชีพอะไรล่ะศาสตรา” พิภพที่มองป้ายประกาศของจีเอ็มหันหน้าไปถามเพื่อนอย่างสงสัย ตอนนี้พวกเขายังอยู่ที่ท่าเรือซึ่งมีเมืองเล็กๆตั้งอยู่ไม่ไกลถึงสองร้อยเมตร

“คงจะเป็นดีไซน์เนอร์ล่ะมั้ง” ศาสตราตอบพลางใช้ความคิด “มันน่าสนุกดีถ้าได้ออกแบบเสื้อผ้า ว่าแต่นายล่ะพิภพ นายจะทำอาชีพอะไรหรือ”

พิภพนิ่งเงียบราวกับใช้ความคิดก่อนจะตอบไปว่า

“นักประดิษฐ์…ฉันคิดว่ามันน่าจะใช้ประโยชน์กับสมาคมของพวกเราได้”

คำพูดของพิภพทำเอาศาสตราถึงกับหน้ามุ่ย

“งั้นอาชีพของฉันก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อสมาคมได้งั้นสิเนี่ย” พิภพได้ยินคำพูดน้อยใจของเพื่อนถึงกับส่ายหน้า

“นายอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิศาสตรา พวกเรายังไม่รู้ว่าอาชีพใหม่นี้จะทำอะไรได้บ้างเลยนะ” พิภพบอกพลางเอามือตบไหล่เพื่อนเบาๆ “เอาล่ะ ฉันว่าพวกเราไปหาจีเอ็มในเมืองกันดีกว่า ไปสอบถามอาชีพพวกนี้ให้ชัดเจนก่อนดีไหม”

“อืม เอางั้นก็ได้” แล้วสองหนุ่มก็เดินมุ่งหน้าเข้าเมืองที่อยู่ใกล้ท่าเรือทันที

............................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
เจอกันแล้ววว  อยากให้เมฆาเป็นแฟนที่จมน้ำหายไปได้ไหม หวังๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
สนุกมากค่ะ  o13

จะรอตอนต่อไปนะคะ  ^ ^

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 47 ครอบครัวสุขสันต์

........................
 
หลังจากที่จันทร์แรมกับนพได้พาอวิ๋นกลับไปหาพวกรุ้งแล้ว เธอก็โดนลูกสาวบ่นยกใหญ่ก่อนจากนั้นค่อยพากันไปร้านอาหารแห่งหนึ่งเพื่อทานอาหารเย็น

“นี่อาเฟยหลานชายของผมครับ” อวิ๋นพูดพลางแนะนำชายหนุ่มลูกครึ่งจีนร่างสูงผมดำสั้นในชุดเสื้อยืดคอกลมสีดำกางเกงยีนส์สีเข้มหลังจากที่พวกเขาได้สั่งอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เธอนั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะอาหารตัวยาวกับพวกนพ “อาเฟย นี่คุณจันทร์แรม นั่นก็นพหลานชายของคุณจันทร์แรม ส่วนคนนั้น...”

“ดิฉันรุ้งเป็นลูกสาวของคุณแม่จันทร์แรมค่ะ นี่มีนาภรรยาของนพ” รุ้งพูดแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษให้พร้อมเสร็จสรรพโดยที่จันทร์แรมไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้ฟังทีหลัง “แล้วก็คุณฟางเป็นพยาบาลส่วนตัวของคุณแม่ กับหนูแก้วเป็นลูกสาวของนพค่ะ”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณรุ้ง คุณมีนา น้องแก้ว คุณฟาง”

“เช่นกันค่ะ/ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณตา” รุ้ง มีนา แก้ว ฟางตอบพร้อมกัน

“ว่าแต่คุณอวิ๋นไปเจอคุณแม่ตรงไหนเหรอคะ” รุ้งเปิดประเด็นถามทันที ซึ่งทำเอาจันทร์แรมถึงกับส่ายหน้า

“อ้อ พอดีผมไปเจอตอนที่คุณจันทร์แรมกำลังโดนขโมยกระเป๋านะครับ” อวิ๋นตอบ

“อะไรนะคะ ขโมยกระเป๋า” รุ้งกับมีนาร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนที่รุ้งจะหันหน้ามาทางเธอ “แล้วโจรที่ขโมยกระเป๋าคุณแม่ เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ คุณแม่คงไม่ได้เล่นงานเขาหนักมือจนเกินไปนะคะ”

“ใจเย็นๆ สิแม่รุ้ง แม่แค่บิดข้อมือสั่งสอนเท่านั้นเอง” คำตอบของเธอทำเอารุ้งกับมีนาถอนหายใจโล่งอก ส่วนอวิ๋นกับอาเฟยได้ยินถึงกับอึ้ง

“ว่าแต่คุณอวิ๋นกับอาเฟยมาเที่ยวประเทศไทยครั้งนี้เป็นครั้งแรกเหรอคะ” รุ้งหันมาถามต่อ

“เปล่าครับคุณรุ้ง มีแต่ผมที่มาครั้งแรกนะครับ” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “ส่วนอาเฟยหลานชายผม เขามาประเทศไทยกับเพื่อนๆสองสามรอบแล้วนะครับ”

“อืม ดีแล้วค่ะ มีคนรู้จักเส้นทางมาด้วยแบบนี้ไม่มีวันหลงทางแน่นอนค่ะ เพราะส่วนมากคนต่างชาติที่มาไทยมักจะมากันแค่คนสองคน แถมไม่รู้จักเส้นทางดีพอ ก็เลยหลงทางกันจนต้องให้ตำรวจท่องเที่ยวคอยช่วยเหลือเสมอ”

“ฮะๆ อย่างงั้นเองหรือครับ”

ในขณะที่อวิ๋นกับอาเฟยกำลังคุยกับพวกจันทร์แรมอยู่นั้น จู่ๆก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งประมาณหกเจ็ดคนท่าทางมีเรื่องเดินตรงมายังโต๊ะพวกเขาโดยจงใจไปยืนข้างมีนา

“สาวน้อยไปกับพวกเราไหม เดี๋ยวพวกเราจะไปเลี้ยงข้าวที่ดีกว่านี้” ไม่ว่าพลางจับแขนมีนาด้วย “ดีกว่านั่งทานอาหารกับไอ้หน้าจืดนี่ซะอีกนะ ฮะๆ”

หน้าจืดที่ว่าคือนพ ซึ่งกำลังปั้นหน้าโกรธใส่อยู่

“ขออภัยที่หน้าจืด แต่ผมคงปล่อยให้พวกคุณพาเธอไปได้หรอกนะครับ” นพพูดเสียงเข้มพลางลุกขึ้นยืน “แล้วคนที่คุณจับอยู่เป็นภรรยาของผมด้วย”

ชายคนที่จับแขนมีนาแสยะยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า

“แล้วไงล่ะไอ้หน้าจืด เป็นผัวแล้วอย่าคิดจะหึงหวงเก็บไว้คนเดียวสิ แบ่งๆกันบ้างหน่อยเป็นไร”

แม้ว่าอวิ๋นจะฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็พอเดาได้ว่าพวกเขากำลังมีเรื่องทะเลาะกันอยู่

“ของแบบนี้มันแบ่งไม่ได้ เพราะมีนาไม่ใช่สิ่งของ” นพแย้งกลับอย่างดุเดือด “แล้วอีกอย่างพวกคุณเป็นใครกัน มีสิทธิ์อะไรมาพูดจาแบบนี้ กรุณปล่อยแขนของเธอออกด้วย ก่อนที่ผมจะโกรธพวกคุณไปมากกว่านี้”

นี่ถ้าเป็นอวิ๋นหรืออาเฟยล่ะก็ คงจะตะบันหน้าไอ้พวกมาลวนลามเมียตัวเองไปนานแล้ว แต่นี่บางทีอาจจะเป็นเพราะนพเห็นแก่หน้าจันทร์แรมผู้เป็นยายของตัวเอง ก็เลยไม่ทำอะไรนอกจากพูดห้ามเพียงอย่างเดียว

ใจเย็นจริงๆนะ

ทว่าพวกนั้นไม่ได้ทำตามที่นพพูดไว้ กลับดึงกระชากแขนขาวของมีนาอย่างแรง

“ว้าย!”

เพียงแค่คำเดียว นพสวนหมัดใส่ใบหน้าอีกฝ่ายเลยทันที ทำให้ผู้ชายคนนั้นถึงกับหงายท้องไปนอนนับดาวบนพื้น

เอ่อ ขอกลับคำพูดตอนนี้จะยังทันไหมนะ

ส่วนพวกที่เหลือเมื่อเห็นว่าเพื่อนตนนอนลงไปแล้วถึงกับตกใจ

“แกไอ้หน้าจืด แกไม่ได้ตายดีแน่” อีกคนในกลุ่มพูดชี้หน้านพ “เฮ้ยพวกเรา จัดการพวกผู้ชายกับอีแก่ให้หมด ส่วนผู้หญิงกับเด็กผู้หญิงลากไปด้วยเลย!”

“โอเค!”

ที่เหลือร้องรับก่อนจะกรูเข้าหาพวกจันทร์แรม รวมถึงอวิ๋นกับอาเฟยที่พากันผุดลุกจากที่นั่งแล้ว

ผัวะ! บึก! ผลัก!

ทั้งเขาและอาเฟยผลัดกันช่วยคนละไม้คนละมือ ทำให้ชายสองคนที่เข้ามารุมเขาถึงกับล้มลงไปนอนกับพื้น ก่อนที่อวิ๋นกับอาเฟยจะหันไปช่วยพวกผู้หญิง เพราะพวกเขาคิดว่าคงสู้แรงผู้ชายไม่ได้แน่ๆ แต่แล้วพวกเขาก็ได้พบกับภาพอันน่าตกตะลึง เมื่อแก้วได้ทุ่มชายร่างยักษ์ลงกับพื้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาสองคน

โครม!

เสียงดังสนั่นพร้อมกับชายร่างยักษ์ที่นอนหมดสติไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นได้อีก

พระเจ้านั่นเด็กจริงๆแน่รึ!

ครั้นพอพวกเขามองหารุ้ง สองหนุ่มก็พบว่าเธอกำลังใช้ขาเตะคอผู้ชายร่างสูงอยู่พอดี

ผัวะ!

เตะเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ชายคนนั้นล้มไปนอนวัดพื้นทันที

โอ้แม่เจ้า เตะเก่งชะมัด

พวกเขาคิดในใจอย่างตกตะลึง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังเหลือจันทร์แรมอีกคน จึงหันไปช่วยเหลือแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นจันทร์แรมที่ยังคงนั่งเหมือนเดิม เพียงแต่ใช้เพียงแค่ร่มที่นำติดตัวมาด้วยฟาดแขนกับฟาดขาของผู้ชายที่คิดจะเข้ามาทำร้าย ซึ่งทำให้อีกฝ่ายถึงกับทรุดลงไปนั่งร้องโอยกับพื้น ส่วนนพยิ่งไม่ต้องพูดถึง จัดการเสร็จไปตั้งแต่แรกเรียบร้อยแล้ว

“บ๋อย เก็บตัง” จันทร์แรมพูด ซึ่งทำให้พนักงานหรือบ๋อยรีบปรี่เข้ามา ก่อนที่จันทร์แรมจะควักเงินเป็นฟ่อนออกมาวางบนถาดที่บ๋อยถืออยู่ “นี่รวมทั้งค่าอาหารกับค่าเสียหายของร้านนะ”

พอบ๋อยได้เงินไปแล้วก็ถอยกลับเข้าร้านไป ก่อนที่จันทร์แรมจะหันหน้ามายิ้มให้กับอวิ๋นและอาเฟย

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะคุณอวิ๋น อาเฟย”

“คะ…ครับ ไม่เป็นอะไรครับคุณจันทร์แรม” อวิ๋นกับอาเฟยพูดพลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

ช่างเป็นครอบครัวที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้!

“ขออภัยในความไม่สะดวก ถ้ายังไงพวกเราไปทานอาหารต่อที่ภัตตาคารในโรงแรมกันต่อเถอะค่ะ” จันทร์แรมบอกพลางลุกขึ้นยืน ซึ่งทำเอาอวิ๋นกับอาเฟยอึ้ง

นี่ยังจะคิดทานอาหารกันต่ออยู่อีกรึ!

อวิ๋นกับอาเฟยมองหน้ากัน

เกรงว่าพวกเขาได้มาพบกับครอบครัวปีศาจที่น่ากลัวเข้าเสียแล้ว

................
 
ค่ำคืนนั้นจบลงที่ภัตตาคารอาหารในโรงแรมหลังจากเคลียร์เรื่องกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นกับอาเฟยก็ขอตัวลากลับไปนอนห้องพักของตัวเองโดยไม่ลืมเอ่ยปากชวนไปล่องเรือด้วยกันในวันรุ่งเช้า หลังจากเข้าที่พักแล้วนพก็ไม่ลืมที่จะประกอบเกมให้เธอก่อนจะขอตัวกลับห้องพักของตัวเองไปพร้อมมีนาและแก้ว

“คุณแม่คะ หนูมีเรื่องจะถามคุณแม่ค่ะ” รุ้งถามในขณะที่จันทร์แรมเตรียมนั่งสมาธิก่อนจะเข้าเล่นเกม

“เรื่องอะไรหรือลูกรุ้ง” เวลาอยู่ในห้องสองคน ส่วนมากจันทร์แรมจะเรียกรุ้งว่าลูกรุ้ง

“คุณแม่ชอบคุณอวิ๋นใช่ไหมคะ” คำถามของรุ้งทำเอาจันทร์แรมเกือบหงายท้องไปถ้ารุ้งไม่จับไว้เธอคงตกเตียงหัวฟาดพื้นไปแล้ว

“ลูกรุ้งพูดอะไรนะ แม่เปล่าชอบเขานะ แล้วอีกอย่างแม่ก็เพิ่งจะรู้จักเขาได้ก็วันนี้เอง”

“หนูรู้ค่ะคุณแม่ แต่วันนี้หนูรู้สึกว่าคุณแม่มีความสุขมากเป็นพิเศษกว่าทุกวัน เอ่อจริงสิ คุณแม่คะ ตอนหนูได้เห็นคุณอวิ๋นครั้งแรก หนูตกใจจนเกือบเป็นลมเลย นึกว่าผีคุณพ่อมาหลอกหนูซะอีก” รุ้งพูดพลางนึกย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อตอนเช้า หลังจากที่นพพาคุณแม่กลับมาพร้อมกับใครบางคนที่ตามมาด้วย ครั้นพอได้เห็นชัดๆแล้ว รุ้งแทบเข่าอ่อนแต่โชคยังดีที่ได้มีนาคอยพยุงไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วเธอคงได้เป็นลมล้มพับไปอย่างไม่ต้องสงสัย “แต่พอได้คุยกันแล้ว หนูกลับรู้สึกว่าคุณอวิ๋นมีอะไรหลายอย่างคล้ายคุณพ่อมากๆ แล้วคุณแม่ละคะ คุณแม่คิดเห็นยังไงกับคุณอวิ๋น เอ อย่าบอกนะว่าที่คุณแม่เป็นลมแล้วได้คุณอวิ๋นช่วยก็เพราะนึกว่าคุณอวิ๋นเป็นคุณพ่อนะคะ!”

เธอยิ้มแห้งๆเมื่อถูกลูกสาวถามได้ตรงจุด

“ใช่แล้ว แม่เป็นลมก็เพราะไปเห็นคุณอวิ๋นเป็นพ่อของลูกนะ ส่วนเรื่องคุณอวิ๋น” เธอชะงักพลางใช้ความคิดก่อนจะพูดต่อ “แม่ยอมรับว่าเขาเหมือนพ่อของลูกจริงๆ แต่ลักษะท่าทางนั้นไม่ใช่เลย ซึ่งมีส่วนเดียวที่แม่คิดว่าเหมือนก็คือ...”

“ชอบนิยายกำลังภายในจีนเหมือนคุณพ่อกับคุณแม่ใช่ไหมล่ะคะ” รุ้งพูดแทรกอย่างรู้ทัน เพราะตอนนั่งทานข้าว อวิ๋นก็ได้ชวนแม่คุยเรื่องนิยายกำลังภายในจีนด้วย

“ใช่ แหมลูกรุ้งนี่ช่างรู้ทันแม่ไปซะหมดเลยนะ” เธอพูดไปหัวเราะไปพลาง “เอาเป็นว่าแม่ไม่ได้คิดอะไรกับคุณอวิ๋นในแบบที่ลูกรุ้งคิดแล้วกันนะ เอาล่ะ ตอนนี้แม่ต้องขอตัวกลับเข้าไปเล่นเกมก่อน ประเดี๋ยวเพื่อนในเกมจะเป็นห่วงเอา”

“ค่ะคุณแม่”

แล้วเธอก็นั่งสมาธิอยู่ยี่สิบนาที แล้วค่อยล้มตัวนอนลงก่อนจะสวมแว่นตาอนาล็อกเข้าเกมทันที พอเข้ามาในเกมแล้ว รัตติก็หันซ้ายหันขวาไปรอบๆก็พบว่าตัวเธอกำลังยืนอยู่บนท่าเรือซึ่งเบื้องหน้าเป็นเรือตั้งตระหง่านอยู่

แล้วมาริโอล่ะ?

รัตติคิดในใจก่อนจะรู้สึกถึงแรงกระตุกของเสื้อ จึงหันไปมองก่อนจะพบว่ามาริโอยืนทำหน้าบูดอยู่ข้างๆ

“อ้าว เจ้ามายืนตรงนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะมาริโอ” เธอถามอย่างสงสัย “ทำไมข้าไม่เห็นเลยล่ะ”

ส่วนมาริโอได้ยินที่รัตติถามถึงกับเบะปากใส่

“ก็เจ้ามัวแต่มองที่อื่นจนไม่เห็นหัวข้านะสิรัตติ” มาริโอพูดด้วยความน้อยใจ

“โอ๋ๆ อย่างอนเลยนะคนดี ข้าไม่ได้ตั้งใจ” รัตติพูดพลางลูบหัวมาริโอ “เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปกินไอติมนะมาริโอ เพราะงั้นเลิกงอนได้แล้วนะคนเก่ง”

“แน่นะว่าจะพาไปกินนะ”

“อืม แน่สิ”

แวบ!

จู่ๆก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นด้านหลัง ทำให้รัตติกับมาริโอหันกลับไปมองก่อนจะพบว่าปฐพีกำลังยืนหลับตาอยู่

ออนไลน์เกมพร้อมๆกันเลยแหะ

รัตติคิดในใจก่อนจะมองอีกฝ่ายเพิ่งลืมตา

“เอ่อ สวัสดีครับพี่ปฐพี” เธอทักอย่างมีมารยาท ก่อนจะบอกให้มาริโอสวัสดีด้วย “มาริโอสวัสดีพี่เขาสิ”

“อะ อืม สวัสดีฮะพี่ปฐพี” ผู้ถูกสวัสดีหันมามองเธอกับมาริโอ

“สวัสดี” ปฐพีตอบสั้นๆ ก่อนจะถามเธอต่อ “นี่ออนไลน์เกมกันนานรึยังนะเรา”

เธอส่ายหน้าพลางตอบกลับไปว่า

“ไม่ครับ ผมเพิ่งจะออนไลน์ได้ไม่ถึงสองนาทีเองครับพี่ปฐพี”

“งั้นเองหรอกรึ” ปฐพีพูดพึมพำในลำคอ “เดี๋ยวน้องรอสักครู่นะ พี่ขอติดต่อกับพวกเพื่อนก่อน เพราะพี่ไม่รู้ว่าสองคนนั้นอยู่ที่ไหน”

“ครับ”

แล้วปฐพีก็หันหน้าไปอีกทาง ซึ่งรัตติพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังส่งพรายกระซิบอยู่ ระหว่างรอปฐพีส่งข้อความหาเพื่อนอยู่นั้น เธอก็หยิบของกินที่เคยเก็บไว้ในกระเป๋าไอเทมออกมาให้มาริโอได้กินเล่นรอเวลา จนกระทั่งปฐพีหันมาบอกรัตติอีกทีว่าตอนนี้พวกศาสตราอยู่ในเมือง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากท่าเรือนี้ ดังนั้นปฐพีจึงเลือกที่จะพาพวกรัตติเดินไปหาพวกศาสตราแทนที่จะรออยู่ตรงนี้

..................
 
“เฮ้ ทางนี้พวกทางนี้”

เสียงศาสตราร้องเรียกพวกเขา ในขณะที่พวกรัตติกำลังเดินฝ่าฝูงชนผู้เล่นที่รอคิวต่อแถวยาวเหยียดเป็นกิโล

“มันเกิดอะไรขึ้นศาสตรา ทำไมที่นี่ถึงมีคนเยอะได้ล่ะ” ปฐพีถามอย่างสงสัยพลางเดินมานั่งใกล้กับศาสตรา ส่วนรัตติกับมาริโอนั่งอยู่ข้างพิภพ ซึ่งโชคยังดีที่ร้านคอฟฟี่ที่พวกเขานั่งอยู่นี้ไม่ค่อยมีผู้เล่นมานั่งมากนัก จึงทำให้เหลือที่ว่างพอสมควร “หรือว่ามีกิจกรรม”

“ไม่ใช่กิจกรรมอะไรหรอก พอดีเกมออนไลน์มีการอัพเดทแพทช์นะ”

“เหรอ แล้วมันมีอะไรใหม่มาบ้างล่ะ” ปฐพีถามต่ออย่างสงสัย

“มันเป็นอาชีพใหม่ที่ไม่ใช่สายต่อสู้นะปฐพี” พิภพพูดแทนศาสตรา “อาทิเช่น พ่อครัวแม่ครัว นักประดิษฐ์ พ่อบ้านแม่บ้าน ดีไซน์เนอร์ นักตกปลา นักส่งของอะไรทำนองนี้แหละ เอ่อ ถ้านายไม่ชอบก็สามารถคิดขึ้นมาเองได้นะปฐพี แต่นายต้องเอาเรื่องอาชีพใหม่ไปแจ้งกับจีเอ็มนะ”

“งั้นรึ แล้วพวกนายสองคนเลือกอาชีพอะไรไว้แล้วล่ะ”

ปฐพีถามต่อ ซึ่งทำเอาศาสตรากับพิภพมองหน้ากันก่อนที่ศาสตราจะตอบกลับมาว่า

“ของฉันดีไซน์เนอร์ ส่วนพิภพนักประดิษฐ์นะ”

คำตอบของศาสตราทำเอาปฐพีขมวดคิ้ว เพราะอาชีพดีไซน์เนอร์ที่ศาสตราเลือกมันเป็นอาชีพสำหรับตัดกับออกแบบเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว

อาชีพหาเงินชัดๆ!

แต่พอคิดไปมา อาชีพดีไซน์เนอร์ก็สามารถสร้างเสื้อผ้าที่มีพลังป้องกันได้เหมือนกัน เพียงแต่ต้องหาแร่ชั้นเลิศกับอัดพลังธาตุใส่เท่านั้นถึงจะได้เสื้อผ้าดีๆได้ ส่วนอาชีพนักประดิษฐ์ที่พิภพเลือกนั้น ปฐพีพอเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายเลือกเป็นอย่างดี เพราะอาชีพนี้สามารถทำอะไรได้หลายอย่างเพื่อสมาคมจับฉ่ายจริงๆ

“แล้วที่พวกเขาต่อแถวกันนี่ พวกเขาต่อแถวไปทำไมกันหรือครับ”

รัตติเอ่ยปากถามหลังจากนั่งฟังอยู่พอสมควรแล้ว

“ก็ต่อแถวเพื่อจะเอาอาชีพหลักที่ทางจีเอ็มเขามีไว้ให้อยู่แล้วนะ” ศาสตราตอบก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่น้องรัตติอยากจะทำอาชีพเสริมอะไรล่ะ เผื่อพวกพี่จะปูแนวทางไว้ให้ได้”

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งราวกับใช้ความคิด ก่อนจะตอบกลับมาว่า

“พ่อครัวครับ”

“อะไรนะ พ่อครัวรึ!”

ศาสตราร้องอุทานอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าน้องรัตติจะเลือกอาชีพนี้ ส่วนพิภพกับปฐพีไม่ได้ตกใจ เพราะคิดว่าอาชีพนี้เหมาะกับรัตติที่สุด

“ก็ดีแล้วนี่ศาสตรา ฉันว่าอาชีพนี้พ่อครัวก็เหมาะกับน้องดี เพราะอาชีพนี้นอกจากจะทำอาหารทานเองโดยไม่ต้องไปซื้อหาจากพวกเอ็นพีซีแล้ว ยังสามารถทำอาหารไปขายให้กับพวกผู้เล่นคนอื่นในท้องตลาดได้ด้วย เรียกได้ว่าได้นกสองต่อ หรือว่านายเห็นว่ามันไม่ดีตรงไหนล่ะฮึ” พิภพกล่าว

“ใครว่าล่ะ ฉันก็แค่ตกใจเฉยๆ” ศาสตราแย้งอย่างหน้าบึ้ง “เพราะส่วนมากอาชีพนี้น่าจะเหมาะกับผู้หญิงเสียมากกว่าผู้ชายก็เท่านั้น แต่ถ้าน้องรัตติเขาอยากจะเป็นอาชีพนี้ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก”

“เอ่อ พวกพี่ครับ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ที่ผมเลือกอาชีพนี้ก็เพราะผมมีทักษะการทำอาหารอยู่ก่อนแล้วนะครับ” รัตติบอก ซึ่งทำเอาสองหนุ่มกับปฐพีหันหน้ามองไปที่น้องรัตติพร้อมกัน

“อะไรนะ น้องมีทักษะการทำอาหารอยู่ก่อนแล้วหรือ”

เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ครับพี่ศาสตรา พอดีผมได้ทักษะนี้ตั้งแต่เจอมาริโอแล้วนะครับ แต่ก็เพิ่งจะได้ระดับสองเอง”

“โอ้ ดีเลย เพราะถ้ามีก่อนอยู่แล้ว ทางจีเอ็มเขาจะได้ให้อาชีพนี้กับน้องโดยไม่ต้องผ่านการสอบเบื้องต้น” ศาสตราพูดอย่างยินดี ก่อนจะหันมาทางเขา “ปฐพี นายจะเอายังไง จะไปส่งน้องให้กับธิดาก่อนหรือจะให้น้องรัตติไปเลือกอาชีพเสริมก่อนดีล่ะ”

“อันนี้ก็แล้วแต่น้องรัตตินะ ฉันยังไงก็ได้”

ปฐพีตอบพลางยักไหล่

“ผมว่าผมขอไปเลือกอาชีพก่อนนะครับ แล้วค่อยไปหาท่านพี่ธิดาทีหลังก็ยังไม่สาย” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ

“ถ้างั้นก็ไปต่อแถวกันเถอะ คงใช้เวลาไม่นาน เพราะอาชีพนี้ไม่ค่อยมีใครเลือกนะ”

พิภพบอกก่อนที่พวกเขาจะพาน้องรัตติไปยืนต่อแถว

...................

 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ tutankamen

  • ผีสิงประจำเล้า
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • Facebook ของผมเองครับ
ครอบครัว Lv-99 !!!  o22

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 48 พ่อครัวหัวป่าก์

..................

หลังจากที่พวกปฐพีได้พาเธอไปรับอาชีพพ่อครัวแล้ว ก็พาเธอไปหาธิดาตามจุดนัดหมายที่พวกศาสตราเคยนัดไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งพอไปถึงย่านใจกลางตลาดของเมืองนี้ก็พบว่านอกจากธิดาแล้ว ยังมีหงส์หยกกับปลายืนอยู่เคียงข้างด้วย

“ท่านพี่ธิดา! หนูคิดถึงท่านพี่จังเลย” มาริโอร้องเรียกพลางวิ่งอ้าแขนไปหาธิดา ส่วนธิดาเมื่อเห็นมาริโอแล้ว ก็พลันวิ่งเข้าหาพร้อมกับอ้าแขนไปด้วยพร้อมกัน

“น้องมาริโอ!”  ทีแรกมาริโอคิดว่าจะได้กอดธิดาสมใจอยากแล้ว แต่ธิดากลับวิ่งเลยมาริโอไปสวมกอดรัตติแทน ซึ่งทำเอารัตติตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก “น้องรัตติ พี่ดีใจจังที่ได้เจอกับน้องอีก รู้รึเปล่าพี่เป็นห่วงเราซะแทบแย่ นึกว่าจะโดนพวกปีศาจฆ่าตายไปแล้วเสียอีก”

พลิ้ว!

เสียงลมพัดใบไม้ร่วงหล่นบนพื้นตรงหน้ามาริโอที่ยืนอ้าแขนค้างในท่าเดิม ซึ่งทำเอาสามหนุ่มที่ได้เห็นถึงกับขำขัน

“ผมก็ดีใจที่ได้กลับมาเจอกับท่านพี่ธิดาครับ” รัตติตอบอย่างเขินอายที่ถูกอีกฝ่ายกอด แต่แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าต้นเหตุที่ทำให้สมาคมของธิดาพังก็เพราะเธอคนเดียว จึงทำให้เธอถึงกับยิ้มไม่ออก “เพราะผมแท้ๆ ทำให้ท่านพี่กับสมาคมต้องเดือดร้อน ผมต้องขอโทษจริงๆครับ”

ว่าแล้วเธอก็ผลักธิดาออกห่างก่อนจะก้มหน้าขอโทษอย่างสำนึกผิด

“ไม่เอาน่าน้องรัตติ อย่าทำแบบนี้สิ” ธิดาพูดพลางเอามือจับไหล่สองข้างของรัตติ “พี่ไม่ได้โกรธน้องเลยซักนิด เพราะตัวต้นเหตุก็คือราชาปีศาจตั้งหากล่ะ ไม่ใช่น้องซักหน่อยจริงไหมจ้ะ”

“แต่ผม...”

ธิดาเอานิ้วชี้มาแตะริมฝีปากของเธอก่อนจะพูดว่า

“ไม่มีแต่จ้ะน้องรัตติ แค่น้องกับมาริโอปลอดภัยกลับมาได้พี่ก็พอใจแล้วล่ะ”

รัตติได้ยินถึงกับปลื้มกับความมีน้ำใจของธิดาที่ไม่ถือโทษโกรธเธอ

“อะแฮ่ม”

เสียงกระแอมไอของปฐพีทำเอาสองร่างถอยห่างจากกันอย่างรวดเร็ว โดยที่รัตติไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของธิดาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“ขอบใจที่พาน้องรัตติกับน้องมาริโอมาส่ง” ธิดาพูดพลางเชิดหน้าขึ้นโดยไม่มองปฐพี “ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้น เดี๋ยวฉันจะส่งไปให้ทีหลัง อยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามาตอนนี้เลย”

“พวกเราก็ทำในสิ่งที่มันถูกต้อง ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้นไม่ต้อง พวกเราไม่ต้องการมัน”

ปฐพีตอบอย่างเย็นชา ซึ่งทำเอารัตติต้องหันไปมองอย่างสงสัย

อะไรของเขา เมื่อครู่นี้ยังดีๆอยู่เลย

“ฮึ ถ้างั้นเอาเป็นว่าพวกเราไม่มีอะไรติดหนี้ค้างต่อกัน” ธิดาพูดตัดบทก่อนจะคว้าแขนของรัตติที่ยืนมองอย่างมึนงง “กลับกันเถอะน้องรัตติน้องมาริโอ พี่มีธุระจะต้องรีบกลับไปทำที่สมาคม ไม่ว่างเหมือนใครบางคนแถวนี้หรอกนะ”

“ครับ มาริโอรีบเดินมาเร็วๆเข้า”

ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องระหว่างธิดากับปฐพีก็ตาม แต่เธอก็ไม่เคยคิดจะยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ส่วนมาริโอที่ยืนค้างในท่าอ้าแขนก็รีบเดินเข้ามาหาเธอตามคำสั่ง แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณสามหนุ่ม จึงบอกพี่ธิดาว่าขอเวลาสักครู่ก่อนจะเดินกลับมาหาสามหนุ่มที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“เอ่อ...ผมต้องขอบคุณพี่ทั้งสามคนมากนะครับ ถ้าผมไม่ได้พวกพี่แล้ว ผมคงจะถูกพวกปีศาจลักพาตัวไปแล้ว” เธอพูดไปยิ้มไปพลาง “ไหนจะช่วยดูแลตอนผมความจำเสื่อมกับช่วยติวเรื่องการฝึกวิชาต่อสู้ให้ผมอีก แค่นี้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณจนผมทดแทนไม่ไหวแล้ว ถ้ายังไงมีโอกาสคราวหน้า ผมจะตอบแทนบุญคุณให้พวกพี่แน่ๆ ฉะนั้นตอนนี้ผมต้องขอตัวก่อน แล้วเจอกันใหม่นะครับ”

“อืม ขอให้โชคดีนะน้อง”

ศาสตรากับพิภพตอบพร้อมกัน ส่วนปฐพีได้แต่พยักหน้าเป็นการบอกลาแทนคำพูด เมื่อแยกกับพวกปฐพีแล้ว ธิดาก็พาเธอกับมาริโอไปยังสมาคมซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลมาก แต่ทว่าเส้นทางที่จะไปมันเป็นหุบเขาสลับซับซ้อน ธิดาจึงคิดจะซื้อม้าเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางแทน

“น้องรัตติขี่ม้าเป็นด้วยหรือจ้ะ”

ธิดาถามในขณะที่กำลังเลือกม้าตัวเก่ง ส่วนหงส์หยกกับปลาก็เลือกอยู่ด้วยเช่นกัน

“ครับท่านพี่” รัตติตอบ “แต่ไม่เคยลองขี่ในเกมเลยซักครั้ง ผมไม่รู้ว่าจะขี่ได้หรือเปล่า”

“ต้องได้สิจ้ะ เพราะเกมนี้อิงหลักจากชีวิตจริง ถ้านอกเกมน้องขี่ม้าได้ ในเกมก็ต้องขี่ได้”

ธิดาบอกก่อนจะให้รัตติเป็นคนตัดสินใจเลืวอกม้าเอง ซึ่งเธอเลือกม้าตัวหนึ่งที่ไม่อ้วนไม่ผอม มีลักษะสีดำเข้มดูน่าเกรงขามไม่น้อย หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว รัตติก็อุ้มมาริโอให้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าก่อนที่ตัวเธอเองจะกระโดดขึ้นนั่งตามทีหลัง

“ท่านได้รับทักษะการขี่ม้าระดับ1”

เสียงระบบดังขึ้นในหัว ซึ่งรัตติไม่แปลกใจเลยที่จะได้ทักษะนี้ เพราะเธอคิดว่าทุกคนที่ได้ขี่ม้าแล้วก็ต้องได้ทักษะนี้ด้วยเช่นกัน

“นั่งดีๆนะมาริโอ เพราะข้ายังไม่ชินกับม้าใหม่” รัตติบอกพลางถือสายบังเหียนคู่ขึ้นมา แต่ก่อนจะดึงสายนั้นเธอใช้มือข้างที่ว่างลูบเข้าที่หัวม้าอย่างแผ่วเบา ทำให้ม้าที่เธอขี่พ่นลมหายใจราวกับรับทราบความอ่อนโยนของเธอ “เด็กดีนะเด็กดี”

“อาชาได้ยื่นข้อเสนอเป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่าน”

รัตติได้ยินที่เสียงระบบประกาศถึงกับขมวดคิ้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยอมตอบตกลงแต่โดยดี

“ตกลง”

“อาชาได้เป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ท่านพี่ธิดาครับ” เธอหันไปเรียกธิดาที่เพิ่งจะขึ้นขี่ม้า ซึ่งทำเอาธิดาหันมามอง “ตอนท่านพี่ขึ้นขี่ม้าครั้งแรก มีม้าตัวไหนยื่นข้อเสนอเป็นทาสรับใช้บ้างไหมครับ”

คำถามของเธอทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว

“ไม่นี่จ้ะน้องรัตติ” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “หรือว่าม้าตัวที่น้องขี่ได้ยื่นข้อเสนอมานะ”

“ครับท่านพี่”

ธิดายิ้มเมื่อได้ทราบคำตอบจากเธอ

“งั้นก็ยินดีด้วยนะจ้ะ เพราะน้อยคนนักที่จะได้ม้ามาเป็นทาสรับใช้ประจำตัว” ธิดาบอกก่อนจะอธิบายต่อ “มีแต่จะหยิบเช่ายืมจากร้านค้าของจีเอ็มนะจ้ะ เพราะเหตุนี้ไม่ค่อยมีใครใช้ม้ากันซักคน นอกเสียจากว่าจำเป็นจริงๆหรือไม่ก็พอมีเงินจึงจะเช่าม้ามาใช้นะ”

พออธิบายเสร็จ ธิดา หงส์หยก และปลาก็ขี่ม้านำทางเธอทันที

...................

กลับมาทางด้านเมฆาที่เพิ่งจะกลับเข้ามาออนไลน์เกมอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้อยู่เฉยเปล่าให้เสียอารมณ์ ถ้าว่างเว้นจากการทำงานของสมาคมแล้ว เขาจะฝึกฝนร่างกายอยู่สม่ำเสมอไม่ให้ขาด ถึงแม้แรงจะถดถอยลงเพราะคำสาปปีศาจก็ตาม แต่เขาไม่คิดจะยอมแพ้ด้วยเรื่องพรรณนี้เป็นอันขาด

“เจ้าไม่คิดจะไปหาอาชีพเสริมทำหน่อยรึเมฆา” อเลนที่เพิ่งว่างเว้นจากงานก็เข้ามาช่วยเมฆาฝึกฝนวิชาในห้องกาลเวลาได้เอ่ยปากถามเพื่อน ซึ่งเมฆายังไม่ตอบคำถามเดี๋ยวนั้น เขาวิดพื้นด้วยนิ้วชี้ขวาข้างเดียวอีกสิบรอบก่อนจะหยุดมือตอบคำถามนั้น

“เดี๋ยวไป” เมฆาตอบพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะพลิกตัวนอนแผ่หลาบนพื้น “แล้วเจ้าล่ะอเลน แฮ่กๆ เจ้าคิดจะเป็นอาชีพอะไร”

“นักประดิษฐ์นะ” อเลนตอบพลางนั่งลงบนพื้นข้างเมฆา “มันมีประโยชน์ต่อสมาคมของพวกเราดี แถมพวกเพื่อนๆในสมาคมของพวกเราก็เป็นอาชีพนี้กันเยอะ น้อยนักจะทำอาชีพอื่น”

“แล้วนักตกปลามีบ้างไหมล่ะ” เมฆาถามอย่างสงสัย เพราะช่วงนี้เขาเอาแต่ฝึกฝนร่างกาย ก็เลยไม่ได้สนใจพรรคพวกในสมาคมเลยซักนิด

“มีสิ มีมากๆพอกับนักประดิษฐ์เลยด้วย” อเลนตอบพลางยักไหล่ “รองลงมาก็นักส่งของ พ่อบ้านแม่บ้าน ดีไซน์เนอร์ และสุดท้ายก็พ่อครัว มีเพียงคนเดียวในสมาคมของเรา”

“คนเดียวเองรึ”

“ใช่ คนเดียว” อเลนตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะการสอบอาชีพพ่อครัวนี้มันยาก ถ้าใครทำอาหารไม่เตะปากของจีเอ็มแล้วล่ะก็ อย่าได้ฝันว่าจะเป็นเลย”

“หึ ขืนได้ก็แปลกล่ะ เพราะเด็กสมัยนี้ส่วนมากจะทำอาหารไม่เป็นกันเลย” เมฆาพูดอย่างขำขัน แต่กับอเลนไม่ได้ขำไปด้วยกับคนพูด

“เจ้าพูดอย่างกับว่าเจ้าทำอาหารเป็น”

“ก็เป็นนะสิ” เมฆาตอบพลางเอามือขวาเสยผมคลายร้อน “แค่อาหารใครๆก็ทำได้ ขอให้ตั้งใจมันก็ออกมาอร่อยหมดแหละ ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมคิดจะเป็นนักประดิษฐ์ทั้งๆที่เจ้ามีทักษะการทำอาหารอยู่เต็มสิบ”

“ไม่รู้สิ แต่ขอเก็บไว้คิดก่อนแล้วกัน” อเลนตอบอย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งทำเอาคนฟังอดส่ายหน้าไม่ได้ แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ เมฆาก็ยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นถ้าอเลนไม่เอ่ยปากถามขึ้นมาเสียก่อน

“แล้วจะเอายังไงกับปิเอโร่ดีล่ะเมฆา” อเลนถามอย่างสงสัย เพราะตอนนี้ปิเอโร่ยังคงถูกกุมขังไว้ในคุกอยู่ “จะปล่อยให้มันนอนอยู่ในนั้นไปตลอดไม่ได้นะ เดี๋ยวจิตใจของมันจะแย่เอา”

พออเลนพูดถึงปิเอโร่แล้ว เมฆาถึงกับกำมือแน่น

“มันทรยศข้า” เมฆาพูดสั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้เขาได้เล่าให้อเลนฟังจนหมดแล้ว อเลนได้ยินดังนั้นได้แต่ตบไหล่เพื่อนเบาๆเป็นการปลอบใจ เพราะปัญหานี้ไม่มีใครแก้ได้นอกจากเมฆาเท่านั้น

เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องจัดการเอง

เมฆาคิดในใจก่อนผุดลุกขึ้นยืน ซึ่งทำเอาอเลนเงยหน้ามองตามเพื่อน

“จะไปไหนหรือเมฆา” เมฆาได้ยินดังนั้นก็หันหน้าไปตอบเพื่อนสั้นๆว่า

“ไปหาปิเอโร่นะ”


.....................

กลับมาทางด้านพวกปฐพีที่เพิ่งจะแยกทางกับพวกรัตติแล้ว ปฐพีก็ลืมไปว่าตัวเขาเองยังไม่ได้อาชีพเสริมเลย จึงบอกให้เพื่อนๆกลับไปสมาคมจับฉ่ายกันก่อน แล้วเขาจะตามไปทีหลัง

“เชิญลงชื่อทางนี้ได้เลยครับ” จีเอ็มชายพูดหลังจากที่เห็นผู้เล่นคนหนึ่งเดินมา ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากปฐพี พอชายหนุ่มเดินมาถึงแล้วก็รีบเซ็นชื่อของตัวเองลงบนแผ่นกระดาษด้วยตัวบรรจง หากแต่นึกสงสัยอะไรบางอย่างจึงหยุดมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามจีเอ็มว่า

“อาชีพนี้ต้องสอบฝีมือด้วยใช่ไหมครับ ถึงจะผ่านได้”

“ครับคุณผู้เล่น” จีเอ็มตอบยิ้มๆ “แต่ถ้าคุณไม่พร้อมในตอนนี้ ค่อยมาสอบวันอื่นก็ยังไม่สายครับ เพราะทางเราให้โอกาสกับผู้เล่นได้เตรียมลับฝีมือก่อนสอบได้นะครับ”

ปฐพีขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะก้มหน้าเซ็นชื่อจนเสร็จ

“ผมต้องการสอบเดี๋ยวนี้ครับ”

“งั้นเชิญทางนี้ได้เลยครับ” จีเอ็มบอกพลางผายมือไปยังประตูบานที่อยู่ด้านหลังของจีเอ็ม โดยบนเหนือประตูมีป้ายถูกเขียนไว้ว่า ‘ห้องสอบ’ อยู่ “เจ้าหน้าที่ของเรารออยู่ข้างในแล้ว ส่วนอุปกรณ์นั้นมีให้พร้อมเพรียงโดยที่คุณผู้เล่นไม่จำเป็นต้องนำติดตัวมาเลยซักชิ้น”

“ครับ ขอบคุณครับ” แล้วชายหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในประตู ซึ่งภายในบานประตูนี้ มืดมากเสียจนมองอะไรไม่เห็น ไม่เห็นแม้กระทั่งร่างกายของเขาก็ตาม แต่ถึงกระนั้นความมืดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่ปฐพีเลยซักนิด เพราะเขาผ่านการฝึกฝนมามาก จึงเดินตรงดิ่งโดยไม่มีสะดุดแม้แต่เล็กน้อย ซึ่งปฐพีเดินไปได้สองนาที แสงสว่างก็พลันปรากฏออกมา แน่นอนว่าเขาย่อมหลับตาก่อนที่จะเจอแสง พอครั้นเข้าที่เข้าทางแล้วจึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพบเจอกับห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยเครื่องครัวครบชุด

“ยินดีต้อนรับสู่ห้องสอบการเป็นพ่อครัวครับ” จีเอ็มหนุ่มพูดพลางฉีกยิ้มอย่างดีใจที่นานครั้งจะมีผู้เล่นโผล่มาสอบอาชีพนี้ซักคน “กรุณาแจ้งชื่อของตัวเองด้วยครับ”

“ปฐพี” ชายหนุ่มตอบพลางมองจีเอ็มที่นั่งประจำเคาน์เตอร์ตรงหน้า ส่วนจีเอ็มเมื่อได้ทราบชื่อแล้วก็พลันก้มหน้าลงมองกระดาษบนโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับเขา

“กติกาของการสอบครั้งนี้คือคุณปฐพีจะต้องทำอาหารให้ได้ถูกปากผม” จีเอ็มชายรูปร่างผอมสูงมีผมสีทองยาวลากพื้นตอบ “ส่วนเรื่องเวลานั้นผมจะจำกัดอยู่แค่สองชั่วโมงเท่านั้นนะครับ ขอให้ทำตามกฎด้วย”

ปฐพีพยักหน้าตอบรับทราบ ก่อนที่จีเอ็มจะให้สัญญาณ

“ลงมือได้”

แล้วปฐพีก็กระวีกระวาดเข้าไปหยิบจับข้าวของที่ต้องการมาวางบนเคาน์เตอร์ทำอาหาร ก่อนจะวิ่งไปหยิบของกินจากในตู้เย็นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ ในขณะที่ปฐพีลงมือทำอาหารตามแผนการที่ได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้ว จีเอ็มหนุ่มที่จ้องปฐพีทำอาหารก็รู้สึกทึ่งถึงความเร็วในการลงมือทำอาหารของผู้เล่นคนนี้ เพราะแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นทั่วไปที่ต่างเงอะงะจับช้อนจับตะหลิวก็ยังไม่เป็น แถมอาหารที่จะทำก็ออกมามั่วจนทานไม่ได้ และนอกจากนี้ยังทำให้ห้องครัวถึงกับระเบิดไปก็มี ซึ่งพอลองมาดูชายคนนี้ทำอาหารแล้ว ไม่ต่างจากเชฟมือหนึ่งจากภัตตาคารอาหารในโรงแรมหรูระดับห้าดาวก็มิปาน

ถ้าเป็นไปได้ อยากจะปั้นคนนี้ให้เป็นสุดยอดนักทำอาหารมือหนึ่งของเกมชนิดที่ว่าใครก็เทียบไม่ได้!

แต่จีเอ็มไม่มีทางได้รู้เลยว่าคนที่เขากำลังมองอยู่นี้ เคยผ่านการแข่งขันทำอาหารชิงแชมป์ระดับโลกมาแล้ว

ฉับ! ต๊อก! ต๊อก! ซ่า! ซ่า!

ในขณะที่เขาตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารอยู่นั้น จีเอ็มคนอื่นๆก็ได้แอบทยอยเข้ามาดูกันจนเต็มห้อง แถมนอกจากนี้ยังแอบตั้งกล้องจับภาพการทำอาหารของปฐพี ก่อนจะส่งออกไปทั่วโลกของเกมเพื่อให้ผู้เล่นคนอื่นได้ดูด้วยโดยที่เจ้าตัวไม่รู้แม้แต่นิดเดียว ซึ่งในขณะที่ปฐพีทำอาหารไปอยู่นั้น เสียงระบบก็ได้ดังเข้ามาอยู่เรื่อยๆ

“ท่านได้เพิ่มระดับการหั่นเป็นระดับ9”

“ท่านได้เพิ่มระดับการต้มเป็นระดับ8”

“ท่านได้เพิ่มระดับการใช้มีดเป็นระดับ10”

“ท่านได้เพิ่มระดับการเฉือนเป็นระดับ10”

“ท่านได้เพิ่มระดับการนึ่งเป็นระดับ10”


การทำอาหารของปฐพีเริ่มสำเร็จไปได้เกินครึ่ง ถึงแม้เวลาจะผ่านไปได้แค่หนึ่งชั่วโมงเศษก็ตาม แล้วเวลาก็ผ่านไปจนเกือบสองชั่วโมง ปฐพีก็เดินมาพร้อมกับถือถาดอาหารซึ่งมีฝาปิดครอบไว้อยู่

“อะไรกัน เสร็จแล้วหรือเนี่ย”

จีเอ็มพูดด้วยความประหลาดใจปนทึ่ง เพราะจานอาหารที่ปฐพีถือมาด้วยไม่ได้มีเพียงใบเดียว

“ครับเสร็จแล้ว” ปฐพีตอบพลางวางถาดอาหารลงบนเคาน์เตอร์ต่อหน้าจีเอ็ม ก่อนจะเปิดฝาออกซึ่งเผยให้เห็นอาหารหลายหลายชนิด “จะมีปอเปียะผักสด ต้มยำกุ้ง ข้าวกล้องผัดเต้าหู้ น้ำสับปะรดกับโหระพา ส่วนขนมก็เป็นสาคูแคนตาลูปนมสดครับ”

พอปฐพีร่ายชื่อจบ จีเอ็มที่อยู่ในห้องพากันร้องว้าว ซึ่งทำเอาเขาที่ไม่เคยรู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วยถึงกับสะดุ้ง

“น่ากินจัง”

“นั่นสิ เฮ้ยแกนะรีบๆตรวจซะ ฉันจะได้ไปกินบ้าง”

“แบ่งกันกินด้วยล่ะ”

เสียงจีเอ็มแย่งพูดกันซึ่งทำเอาจีเอ็มหนุ่มที่นั่งอยู่เคาน์เตอร์ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนเงียบ แล้วจากนั้นจีเอ็มหนุ่มจึงค่อยลองชิมอาหารอย่างละนิดอย่างหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าใบหน้าก็ย่อมเปลี่ยนไปตามอาหารที่ได้ชิมไปด้วย จนจบที่ดื่มน้ำสับปะรดกับโหระพาแล้วจีเอ็มจึงค่อยกระแอมไอหนึ่งที

“การทดสอบนี้ผ่าน ขอแสดงความยินดีด้วย คุณผ่านการทดสอบเป็นพ่อครัวแล้ว” จีเอ็มประกาศก่อนจะพูดต่อ “อาชีพพ่อครัวนี้คุณสามารถอัพระดับได้ถ้าหากทำอาหารมากขึ้นไปเรื่อยๆ หากมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับอาชีพนี้ คุณสามารถติดต่อได้ที่ตึกอาชีพเสริมนะครับ”

“ครับ”

ปฐพีตอบก่อนจะได้ยินเสียงระบบประกาศในหัว

“ท่านได้เป็นพ่อครัวเรียบร้อยแล้วค่ะ”

....................................

 o13 o13 o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 49 ที่มาของปิเอโร่

...........................

“โห! พี่ปฐพีสุดยอดไปเลย ได้เป็นพ่อครัวกับเขาแล้วด้วย”

มาริโอร้องอุทานเสียงดังลั่นเมื่อได้ชมภาพเบื้องหน้าโดยมีรัตติขี่ม้าอยู่ด้านหลังตัวเอง ส่วนรัตติเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าปฐพีจะทำอาหารได้เก่งถึงขนาดนี้

ชักอยากจะลองชิมรสอาหารของพี่เขาเสียแล้วสิ

“แต่จะว่าไป สอบครั้งเดียวก็ผ่าน แบบนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลยนะ” ปลากล่าวขึ้นมาอย่างลอยๆหลังจากได้ชมภาพการทำอาหารของปฐพีแล้ว “ชักอยากจะไปเป็นแม่ครัวบ้างแล้วสิ คงจะน่าสนุกไม่น้อย คิกๆ”

“อย่ามัวแต่พูดมาก รีบขี่ตามมาเร็วๆเข้า ประเดี๋ยวพวกพี่จะไม่รอนะ”

หงส์หยกรีบพูดตัดบทเพราะกลัวธิดาจะโมโหเรื่องที่ปลาพูดถึงปฐพี ซึ่งทำให้ปลารีบขี่ม้าตามอย่างเร็วเพราะโดนทิ้งห่างไปได้ไกลพอควร หลังจากพวกรัตติขี่ไปได้สองสามชั่วโมงดี ธิดาก็ดึงบังเหียนขึ้นหนึ่งครั้งทำให้ม้าหยุดเดิน ซึ่งเบื้องหน้าที่รัตติเห็นเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่เชี่ยวกรากพอสมควร

ไม่มีสะพานเลยรึไง

รัตติคิดในใจ แทนที่ธิดาจะพาพวกรัตติเดินอ้อมไปอีกทางแต่กลับชูมือขึ้นทำสัญญาณอะไรบางอย่างที่รัตติไม่เข้าใจ

ครืน!

เสียงน้ำในแม่น้ำดังขึ้นก่อนจะแยกออกจากกันอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งทำเอารัตติกับมาริโอถึงกับอ้าปากค้าง

โอ้แม้เจ้า แม่น้ำแยกได้!

พอน้ำแยกออกจากกันแล้ว ก็เผยให้เห็นปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นด้วยคริสตัลใสแลดูสวยงาม

“ที่นี่คือฐานสมาคมของพี่เองจ้ะ” ธิดาพูดพลางกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินมาหาเธอพร้อมกับยื่นยามาสองเม็ด “เดี๋ยวน้องสองคนต้องทานยานี้เข้าไปด้วยนะ เพราะมันจะทำให้พวกน้องหายใจในน้ำได้ตลอดเวลา อ้อ แล้วไม่ต้องกังวลหรอกนะว่ามันจะหมดฤทธิ์เวลาไหน มันจะใช้ได้ตลอดชีวิตของน้อง”

ให้กินยาเพื่อให้หายใจในน้ำได้

แล้วทำไมต้องแยกน้ำออกจากกันด้วยล่ะ!


ดูเหมือนธิดาจะรู้ความคิดของรัตติจึงพูดขึ้นมาว่า

“เพราะต้องแยกน้ำออกก่อนไม่งั้นพวกเราจะเข้าสมาคมของพี่ไม่ได้นะจ้ะ”

รัตติได้ยินถึงกับบางอ้อ ก่อนจะรับยามากินแต่โดยดี รวมถึงมาริโอที่ทำหน้าพะอืดพะอมเมื่อได้กินยาเม็ดใหญ่ หลังจากกินยาเสร็จแล้ว ธิดาก็สอนให้เธอรู้จักเก็บม้าในเกม ซึ่งเก็บได้ไม่ยากเพียงแค่พูดว่าเก็บม้า อาชาสีดำของรัตติก็พลันหายไปทันที พอเก็บม้าเสร็จกันหมดแล้ว ทุกคนก็พากันเดินลงไปบนพื้นส่วนที่แยกน้ำออกก่อนที่น้ำจะพัดกลับเข้าที่เดิม ซึ่งพอน้ำกลับมาแล้ว ทั้งธิดา หงส์หยก และปลาต่างแปลงร่างเป็นเงือกกันเลยทันที จะเหลือก็แต่รัตติกับมาริโอที่ยังคงใช้ขาสองข้างกับมือที่แหวกว่ายน้ำตาม

“ยินดีต้อนรับการกลับบ้านค่ะ”

เสียงคนออกมาต้อนรับนั้นล้วนเป็นเงือกสาวซะส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้มาริโอที่ว่ายน้ำตามมาทีหลังเพราะว่ายน้ำยังไม่แข็งถึงกับดีใจจนว่ายน้ำเร็วขึ้นเดิม

เฮ้อ ยังหน้าหม้อไม่มีเปลี่ยนเลยนะมาริโอเอ้ย

รัตติคิดในใจก่อนจะว่ายน้ำตามพวกธิดาไปยังข้างในปราสาทคริสตัล ซึ่งในขณะที่ธิดาพาเธอกับมาริโอไป ก็ได้เล่าว่าปราสาทนี้กว่าจะสร้างขึ้นมาได้แทบยากเย็น ต้องเจียดเงินจากกองคลังกับเก็บรวบรวมจากพวกสมาชิกอีกอย่างละนิดอย่างละหน่อยถึงจะสร้างออกมาได้สำเร็จ

“ว่าแต่ทำไมต้องเป็นคริสตัลด้วยล่ะฮะ ทำไมไม่เป็นพวกไม้ หรือดินหินอะไรประมาณนี้”

รัตติถามอย่างสงสัย

“ของพวกนั้นอยู่ในน้ำนานมีสึกกร่อนหมด” ธิดาตอบก่อนจะอธิบายต่อ “สึกกร่อนแล้วก็ต้องโปะ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อ พี่ไม่อยากเสียดายเงินไปมากกว่านั้น ก็เลยคิดว่าเอาคริสตัลยังจะดีกว่า แข็งแรงทนทาน แถมมีอายุการใช้งานนานสิบปีอีกด้วย”

แล้วธิดาก็เลิกอธิบายก่อนจะพารัตติกับมาริโอไปชมห้องพักของเธอ

“โธ่ท่านพี่ครับ ผมคงอยู่กับท่านพี่ได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ไป ทำไมจะต้องสร้างให้สิ้นเปลืองเงินเปลืองทองด้วยล่ะครับ”

รัตติพูดด้วยความเสียดายเงิน เพราะเธอไม่ใช่คนในสมาคมจันทราวารี ดังนั้นเรื่องห้องพักไม่จำเป็นสำหรับเธอ ลำพังแค่อาศัยห้องรับแขกก็มากเกินพออยู่แล้ว

“รับไว้เถอะ เรื่องแค่นี้เอง” ธิดาพูดอย่างขำๆ แต่คนฟังไม่ขำด้วย

เหมือนจงใจบังคับให้เธออยู่ที่สมาคมนี้ให้ได้

ด้วยความที่รัตติยังมีภาระที่ต้องทำอีกมาก เธอจึงคิดหาทางปฏิเสธธิดาอย่างไม่มีทางเลือก

“ผมว่าผมจ่ายค่าห้องให้ท่านพี่จะดีกว่า” รัตติบอก ซึ่งทำเอาธิดาถึงกับหุบยิ้ม “ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจที่จะเข้าสมาคมของท่านพี่หรอกนะครับ แต่ผมมีธุระจำเป็นจริงๆ คงอยู่ทำงานที่นี่นานไม่ได้”

เมื่อรัตติยืนกรานเสียงแข็งแล้ว ธิดาถึงกับถอนหายใจ

“เอาตามนั้นก็ได้จ้ะ” ธิดาบอกอย่างนึกเสียดายที่แผนของเธอไม่สำเร็จ “เดี๋ยวคืนนี้ทำตามแผนการฝึกเหมือนเดิมนะจ้ะน้องรัตติน้องมาริโอ พี่จะดูสิว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้วนะ”

“ครับ/ฮะ”

แล้วธิดาก็แบ่งงานให้เธอกับมาริโอทำ ซึ่งไม่พ้นงานจัดเอกสารให้เข้าที่

....................

กลับมาทางด้านเมฆาซึ่งได้เดินไปหาปิเอโร่ในคุกพร้อมกับอเลน ก่อนจะพบว่าปิเอโร่กำลังยืนก้มหน้าโดยที่มือทั้งสองข้างถูกโซ่ล่ามติดไว้กับกำแพง

“นายท่าน”

ปิเอโร่เอ่ยเรียกเมฆาทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้เป็นนาย ทว่าเจ้าตัวไม่กล้าเงยหน้าเพราะรู้สึกกลัวที่จะได้เห็นหน้าเจ้านาย

“ไม่ต้องมาเรียกข้าว่านายท่าน” เมฆาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ซึ่งทำเอาปิเอโร่ถึงกับสะดุ้ง “ข้าไม่เคยคิดจะให้อภัยกับคนทรยศเช่นเจ้า แม้เจ้าจะเคยช่วยชีวิตข้ามาก่อนก็เถอะ”

“กระผมมิบังอาจทรยศ...แต่...แต่”

“อย่ามาพูดแก้ตัว ข้าไม่อยากฟัง!”

เมฆาตวาดเสียงดังลั่น ทำเอาปิเอโร่สะดุ้งรอบสอง

“ใจเย็นๆสิเมฆา ค่อยพูดค่อยจาก็ได้นี่” อเลนพูดพลางเอามือแตะไหล่เพื่อนเบาๆเป็นเชิงการห้ามปราม “ปิเอโร่เขาถูกขังมาหลายวัน คงจะสำนึกได้แล้วล่ะเมฆา”

“สำนึกรึ? น้ำหน้าอย่างมันจะสำนึกอะไรได้ ตัวตลกมันก็แค่ตัวตลก ใครจะไปรู้ว่ามันจะแสดงสีหน้าอะไรออกมา มีแต่ยิ้มอย่างเดียว ขนาดต่อหน้าท่านพ่อ มันยังยิ้มทั้งๆที่กลัวท่านพ่อจนฉี่แทบราด”

เมฆากัดฟันพูด

“เอ่อ ข้ารู้ว่ามันเป็นตัวตลก แต่เจ้าก็น่าจะ…ให้อภัยมันหน่อยนะเมฆา ให้โอกาสมันแก้ตัวอีกซักครั้ง” อเลนพยายามพูดกล่อมเขาเพื่อให้คลายความโกรธ “เจ้าลองคิดดูสิ มันช่วยอะไรเจ้าตั้งหลายอย่าง ทั้งงานในสมาคม ทั้งช่วยเก็บเลเวล ทั้งหาของ และไหนจะช่วยชีวิตเจ้าอีก ขอร้องล่ะ ถือว่าเห็นแก่หน้าข้า ยอมให้อภัยมันซักครั้งนะเมฆา”

เมฆาได้ยินที่เพื่อนพูดถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ จะว่าไปสิ่งที่อเลนพูดมันก็ถูก ปิเอโร่ช่วยเขาตั้งหลายอย่างจนยากที่จะตอบแทนมันได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็เพียงแค่ทาสรับใช้ของเขาที่เขาไปเอามาตอนที่เขาได้เจอกับมันแถวสุสานป่าช้าบนเกาะเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากทวีปหลักพอควร

“ฮือๆ”

เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากตัวตลกที่นั่งคุกเข่าต่อหน้าหลุมศพท่ามกลางฝนตกที่ตกหนัก

“เป็นอะไรไปเจ้าตัวตลก ทำไมถึงมาร้องไห้อยู่ที่นี่ได้”

เมฆากล่าวถามอย่างสงสัย เพราะที่แห่งนี้มันเป็นสุสานป่าช้า จึงไม่น่าจะมีตัวตลกมานั่งคุกเข่าร้องไห้ตรงนี้ได้ ทว่าตัวตลกหาได้ตอบไม่ กลับร้องไห้อยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด

“ฮือๆ”

“เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าเป็นอะไร” เมฆาพูดต่ออย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะจับตัวตลกให้หันหน้ามาทางเขา ซึ่งเผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มที่เนียนขาวด้วยแป้ง “ให้ตายสิ ร้องไห้จนแป้งที่ทาเลอะหน้าหมดแล้ว เอามือออกก่อนสิ เดี๋ยวข้าจะแต่งหน้าใหม่ให้”

ทว่าตัวตลกกลับปัดมือของเมฆาออกก่อนจะตวาดกลับมาว่า

“อย่ามายุ่ง!”

“ก็ได้ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง” เมฆาพูดด้วยความละเหี่ยใจ “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเจ้าถึงร้องไห้ แต่อุตส่าห์เป็นตัวตลกทั้งทีก็ทำหน้าให้มันยิ้มแย้มหน่อย ขืนเจ้าร้องไห้อยู่อย่างนี้ก็เสียชื่อตัวตลกหมด”

ตัวตลกไม่ตอบ มันยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น

“คนเราเกิดมาก็ย่อมมีดับ เป็นเรื่องของธรรมชาติ ถึงร้องไห้คร่ำครวญไป คนที่ตายไปแล้วก็ไม่ฟื้นกลับขึ้นมาได้หรอก” เมฆาพูดเกริ่นอย่างคาดเดา เพราะเรื่องที่ตัวตลกเสียใจอยู่นี้คงไม่พ้นคนรักหรือพ่อแม่ในเกม ส่วนหลุมศพตรงหน้าก็คงจะเป็นใครซักคนที่ตัวตลกรู้จักด้วย ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่อย่างนี้หรอก แต่ถึงกระนั้นเมฆาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวตลกตัวนี้เป็นผู้เล่นหรือเป็นแค่เอ็นพีซีกันแน่ “เจ้ายังมีขาอยู่ไม่ใช่รึไง ลุกขึ้นมาสิ ลุกขึ้นมาแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า”

เมฆาพูดจบ อีกฝ่ายก็ยังคงนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นต่อ ซึ่งทำเอาเมฆานึกเหนื่อยใจที่จะปลอบอีก

เฮ้อ น่ารำคาญ ไปดีกว่า

ครั้นพอหมุนตัวกลับไปเก็บเลเวลต่อ จู่ๆก็มีมือมาคว้าแขนของเขาไว้

“เดี๋ยว” เสียงตัวตลกบอก เมฆาจึงหันหลังไปมอง ทำให้เห็นใบหน้าของตัวตลกที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา “ขอบคุณสำหรับคำเตือน กระผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้วล่ะ”

เมฆาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับฉีกยิ้ม

“ดีแล้วที่รู้จักคิดได้ ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเถอะ”

“ขอรับ”

“ถ้างั้นข้าต้องขอตัวก่อนนะ มีธุระที่ต้องทำ” เมฆาบอกพลางแกะมือที่กุมแขนเขาอยู่ ทว่าอีกฝ่ายกลับจับแขนเขาซะแน่น “ปล่อยสิ ข้าจะไปแล้วนะเจ้าตัวตลก”

“กระผม…”

“อะไร พูดมาสิ”

“กระผม…” ตัวตลกพูดติดอ่าง “…กระผมขอติดตามท่านไปได้หรือไม่”

“หา!”

“กระผมไม่มีที่ไป ถ้ายังไงกระผมขอติดตามรับใช้ท่านได้รึไม่ขอรับ”

“ปิเอโร่ได้ยื่นข้อเสนอเป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่าน” เสียงระบบประกาศในหัวของเมฆา ซึ่งทำเอาเขาขมวดคิ้ว

สรุปมันคือมอนสเตอร์รึเนี่ย?

แต่ก็ดีเหมือนกัน ดูท่าทางจะเก่งใช่ย่อย เอาไปเป็นทาสรับใช้ก็ไม่เสียหาย

หึ เอาไปใช้งานดีกว่า


“ตกลง”

“ปิเอโร่ได้เป็นทาสรับใช้ประจำตัวของท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ”

นั่นคือเหตุการณ์ครั้งแรกที่เมฆาได้เจอกับปิเอโร่ ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้งานปิเอโร่มาตลอดเกือบสิบปี โดยที่อีกฝ่ายไม่มีอิดออดหรือบ่นว่าเบื่อซักคำ จนกระทั่งห้าปีในเกมที่ผ่านมา มันได้ช่วยชีวิตเขาไม่ให้โดนบอสเงาในป่าลึกลับฆ่าตาย เพราะด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เห็นปิเอโร่เป็นมอนสเตอร์อีกเลย

จะเรียกว่าเพื่อนตายก็ย่อมได้

ทว่าด้วยความที่มันเป็นแค่เกม สถานะของปิเอโร่จึงเป็นได้แค่ทาสรับใช้เท่านั้น

เกมนี้น่าจะเพิ่มยศได้นะเนี่ย ไม่งั้นแล้วเขาจะได้ให้ปิเอโร่เป็นเพื่อนของเขาไปนานแล้ว


“เมฆา…เมฆาเป็นอะไรรึเปล่า ข้าเรียกตั้งนานทำไมไม่ตอบซักทีล่ะ”

เสียงอเลนเรียกแว่วเข้าโสตประสาท ทำให้เมฆาสะดุ้งไหวเล็กน้อย

“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร” เมฆาตอบพลางเรียกสติของตัวเองให้เข้าที่ “แค่คิดอะไรหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกอเลน”

“งั้นแล้วจะเอายังไงกับปิเอโร่ดีล่ะเมฆา”

อเลนถามต่ออย่างสงสัย ทว่าเมฆาไม่ตอบ กลับเดินเข้าไปในคุกก่อนจะไขกุญแจโซ่ที่พันธนาการปิเอโร่ออก

“นาย…”

ปิเอโร่จะเรียกเขาว่านายท่าน แต่ก็ชะงักเพราะโดนสั่งไว้ไม่ให้เรียก พอเมฆาปลดโซ่ออกจากปิเอโร่จนหมดแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนมองปิเอโร่อีกครั้ง

“ข้าคงเอาโทษเจ้าไม่ได้หรอกนะปิเอโร่ เพราะเจ้าเป็นผู้มีพระคุณต่อข้า” เมฆาพูดพลางถอนหายใจ “ไปซะปิเอโร่ เจ้ามีอิสระแล้ว ข้าไม่ใช่นายของเจ้าอีกต่อไป แล้วอย่าได้หันหลังกลับมาหาข้าอีก ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะลงโทษเจ้า”

คำพูดของเมฆาทำเอาปิเอโร่ตกใจ ไม่เว้นแม้แต่อเลนที่ยืนฟังอยู่นอกห้องคุกก็พลอยตกใจไปด้วย

“นะ…นะ…นายท่าน!”

“ข้าไม่ใช่นายของเจ้าอีกแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ามาเรียกข้าว่านายท่าน”

เมฆาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่ถึงกระนั้นความผูกพันที่แน่นแฟ้นมายาวนานมันก็ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก

ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ

เขาขบริมฝีปากตัวเองเบาๆเพื่อมิให้ต้องร้องไห้

อย่าใจอ่อนเป็นอันขาด


“ท่านเมฆา”

ปิเอโร่เรียกชื่อเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะตอบกลับ ได้แต่หันหน้าหนีไปอีกทางโดยไม่สนใจเสียงเรียกของมัน เมื่อผู้เป็นนายไม่สนใจฟังที่มันพูด ปิเอโร่ถึงกับคอตกก้าวเท้าเดินออกจากห้องคุกอย่างเชื่องช้า ซึ่งมีบ้างที่ปิเอโร่หันกลับมาเผื่อว่านายของมันจะเรียกร้องให้หยุดเดิน แต่ก็ไร้วี่แววการตอบรับของเมฆา ดังนั้นมันจึงตัดสินใจเดินออกไปอย่างเงียบๆ

“แน่ใจแล้วเหรอที่จะทำแบบนี้นะเฆฆา”

อเลนเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นว่าปิเอโร่ได้เดินจากไปแล้ว

“อืม” เมฆาตอบพลางสูดลมหายใจลึกๆ “ดีแล้วล่ะ เป็นแบบนี้ดีแล้วล่ะ ข้ากับปิเอโร่จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

ขอให้เจ้าเจอแต่สิ่งดีๆล่ะ

ปิเอโร่


..................

ทางด้านปฐพีหลังจากได้อาชีพพ่อครัวมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้ของรางวัลเพิ่มเติมหลังจากสอบผ่านเป็นคนที่ห้าของวันนี้ ซึ่งไม่พ้นพวกอุปกรณ์ทำอาหารกับสิทธิพิเศษในการซื้อวัตถุดิบในตลาดถึงสิบเปอร์เซ็นต์

จะว่าไปอาชีพนี้ก็คุ้มค่าเหมือนกันแฮะ ปฐพีคิดในใจในขณะที่กำลังจะออกเดินจากห้องสอบ เดี๋ยวไว้ขากลับสมาคมแล้ว ให้พวกสมาชิกมาสอบกันดูบ้างดีกว่า จะได้เอาไปใช้ประโยชน์กับสมาคมจับฉ่าย

ทว่าปฐพีลืมคิดไปบางอย่างว่าผู้เล่นทั่วไปนั้นไม่ได้เหมือนตัวเอง ที่จะสอบทำอาหารได้เพียงครั้งเดียวก็ผ่าน ครั้นพอปฐพีก้าวเท้าเดินออกจากห้องสอบ ชายหนุ่มถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นผู้เล่นนับร้อยยืนมุงอยู่หน้าประตูจนเต็มไปหมด

“ออกมาแล้วเทพแห่งพ่อครัว!”

“กรี๊ด หล่อจังเลยค่ะสุดหล่อ ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ”

“เทพแห่งพ่อครัวขอลายเซ็นหน่อยได้ไหม”

และอื่นๆอีกมากมายซึ่งปฐพีฟังจนแทบไม่หวาดไม่ไหว

นี่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย!

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังโดนทุกคนฉุดกระชากเหมือนดาราดังอยู่นั้น ก็มีสองมือปริศนาคว้ามือขวาของเขาไว้ ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะพลันหายไป ซึ่งถูกแทนที่ด้วยภาพป่าอันแสนเงียบสงบ

“เฮ้อ โชคดีนะที่พาวาร์ปออกมาได้ ไม่อย่างนั้นนายได้ถูกพวกนั้นเหยียบแบนแต๊ดแต๋แน่ๆ”

ผู้พูดไม่ใช่ใครนอกเสียจากศาสตรา

“ขอบใจที่พาออกมา” ปฐพีพูดกล่าวขอบคุณก่อนจะถามต่อทันที “ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆพวกผู้เล่นคนอื่นถึงมารุมล้อมกันอยู่ที่หน้าประตูได้ล่ะ แล้วเทพแห่งพ่อครัวนั่นหมายความว่ายังไง”

“เฮ้ย ถามทีละคำถามสิวะ เล่นรัวคำถามแบบนี้ใครจะไปตอบได้ล่ะ”

ศาสตราแย้งก่อนที่พิภพจะโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์ที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืน

“เทพแห่งพ่อครัวคือฉายาที่พวกอินเทอร์เนตตั้งให้นายหลังจากนายสอบเสร็จนะ”

พิภพตอบ ซึ่งทำเอาปฐพีถึงกับบางอ้อ

“ส่วนเรื่องที่ผู้เล่นคนอื่นมารุมล้อมกันหน้าประตู นั่นก็เป็นเพราะว่าตอนนายสอบพ่อครัว พวกจีเอ็มทะลึ่งฉายภาพนายออกมาให้คนอื่นดูจนทั่วโลกเกมนะสิ” ศาสตราบอกก่อนจะพูดต่อ “แล้วนายก็เด่นดังในชั่วพริบตาเดียว คนอื่นที่อยู่ใกล้ๆห้องสอบก็เลยพากันออกมามุงดูนายยังไงล่ะ”

คำพูดของศาสตรา ทำเอาปฐพีนึกโกรธจีเอ็มเสียจับใจ

“อย่าเพิ่งโมโหสิปฐพี พวกเขาก็แค่อยากจะให้คนทั่วโลกแห่งเกมได้รับรู้ว่ามีผู้เล่นทำอาหารได้เก่งระดับเทพก็เท่านั้นเอง” พิภพบอกพลางเดินเข้ามาตบไหล่เพื่อนเบาๆ “แต่จะว่าไปนายก็ทำอาหารเก่งใช่ย่อยนะ ทีหลังทำเป็นก็บอกพวกเราด้วยสิ อย่าเก็บไว้เป็นความลับอีกล่ะ”

“ขอโทษ คราวหลังจะบอกแน่ ฉันสัญญา”

ปฐพีตอบก่อนที่จะทำอาหารเที่ยงให้เพื่อนเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยเขาให้หลุดจากฝูงคนมุง


...............................

 o13 o13 o13 o13 o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2015 12:41:54 โดย dragon123 »

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 50 เจอกันโดยบังเอิญ

..................................

ค่ำคืนนั้นหลังจากที่พวกรัตติได้เรียบเรียงเอกสารให้ธิดาเสร็จแล้ว ธิดาก็ได้เรียกรัตติกับมาริโอให้เข้าไปยังห้องกาลเวลาเพื่อที่จะฝึกวิชาเหมือนเช่นเคย เมื่อเข้ามาแล้ว ธิดาก็ให้พวกรัตติวอร์มร่างกายก่อนที่ธิดาจะวอร์มร่างกายตามไปด้วย

“น้องมาริโออย่าเพิ่งหยุดนะจ้ะ วอร์มไปเรื่อยๆ” ธิดาบอกก่อนจะหันมาสั่งรัตติให้หยุดวอร์มอัพร่างกาย “คราวนี้มีอะไรก็งัดออกมาใช้ได้เลยนะจ้ะน้องรัตติ และไม่ต้องกลัวว่าพี่จะบาดเจ็บจนตายด้วย”

ธิดาบอกล่วงหน้าเพราะกลัวรัตติจะเป็นห่วงเธอ

“ครับท่านพี่” แล้วรัตติก็เรียกดาบออกมาพร้อมกับธิดาที่เรียกดาบออกมาด้วยเช่นกัน

“จริงสิ น้องรัตติมีทักษะต่อสู้ของอาชีพนักดาบแล้วรึยังจ้ะ” ธิดาถามก่อนจะเริ่มลงมือต่อสู้

“ก็มีแล้วครับ ทำไมหรือครับท่านพี่”

“ก็เอามาใช้ด้วยซะสิ” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “พี่จะได้หาจุดอ่อนให้น้องแล้วจะหาวิธีแก้ไขได้”

รัตติได้ยินถึงกับชะงัก

“ผมว่าอย่าเลยดีกว่านะครับ” รัตติตอบพลางคิดในใจไปพลาง ขืนใช้ทักษะเวรกรรมไปด้วย มีหวังท่านพี่ธิดาได้เป็นลมล้มพับเหมือนพวกปฐพีแน่ๆ “ผมยังไม่พร้อมจะใช้ทักษะในตอนนี้”

“ทำไมถึงไม่พร้อมล่ะจ้ะ” ธิดาเอียงคอถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอารัตติแย้งไม่ออก

“นี่รัตติ ข้าว่าพวกเรามาโชว์ทักษะใหม่ให้ท่านพี่ธิดาดูกันดีกว่าไหม” มาริโอพูดสวนขึ้นมา

“จริงสิ ท่านพี่ธิดายังไม่เคยเห็นทักษะนี้เลยนี่” รัตติพูดอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะรีบเก็บดาบเข้าไปในฝักตามเดิม

“ทักษะอะไรหรือจ้ะ” ธิดาถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติไม่ตอบก่อนจะกวักมือเรียกมาริโอให้เดินเข้ามาใกล้ๆ

“พร้อมแล้วนะมาริโอ”

“อืม”

จากนั้นรัตติก็หลับตาลง แล้วทันใดนั้นสร้อยคอเกล็ดย้อนที่รัตติสวมใส่เกิดเปล่งแสงออกมา ซึ่งทำเอาธิดาตกใจ

“MATRIX EVOLUTION”

รัตติพูดจบ แล้วร่างของรัตติก็เลือนหายไปก่อนจะกลายเป็นแสงสีรุ้งพุ่งเข้าร่างมาริโอที่ยืนอยู่

Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi
           
Kokoro no katachi Kimi wa kami ni kakeru kai?
Ichibyou goto ni iro mo kaeru mono da yo
           
Shinjiru koto ga donna koto ka wakaru kai?
Kimi no subete ga tamesarete iru nda yo
           
 Yuuki dake ja Todokanai nda
Osore made hitotsu ni natta Sono toki
           
Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Subete ga michita shunkan
Ima Sore ga ima!
Zero e to kawaru kokoro ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi
           
 Kodou de sae mo Onaji rizumu kizameba
Afureru chikara Kanji toreru hazu darou
           
Tatakau tame ni Hitotsu ni naru koto yori
Wakari au tame Hitotsu ni natta hazu sa
           
 Kasanete kita Jikan no tsubu ga
Kiseki no tobira o hiraku Sono toki
           
 Mirai o erabu chikara ga
Mezameru Matrix Evolution
Kimitachi ni shika dekinai
Saa Me o hirake!
Sagashi tsuzuketa kotae ga
Riaraizu suru Evolution
Kokoro no katachi awasete
Nido to Hanasanai de
           
 Dou naru no ka ga wakaranai
Michi no chikara no kowasa mo
Futari de koete yuku nda
Saa Me o hirake!
Mirai o erabu chikara ga
Mezameru Matrix Evolution
Kimitachi ni shika dekinai
Sore ga Saigo no shinka
           
 Hikari o hanatsu karada ga
Tokeau Matrix Evolution
Subete ga michita shunkan
Ima Sore ga ima!
Zero e to kawaru kokoro ga
Tokeau Matrix Evolution
Sono toki subete wakaru sa
Futari Deaeta imi


“บอสเห็ดมาริโอเปลี่ยนร่าง!” ร่างของราตรีกับมาริโอรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นนักดาบที่สวมชุดหนังมังกรสีแดง มีผิวสีครีมอมชมพู บนหัวมีเห็ดดอกใหญ่บานเป็นหมวก “เป็นเกรียนเมพรัตติมาริโอ”

ธิดาได้เห็นภาพทั้งหมดถึงกับอ้าปากค้าง ซึ่งทำเอาเกรียนเมพรัตติมาริโออมยิ้ม

“เป็นยังไงฮะท่านพี่ธิดา ผมเท่ไหม”

เสียงมาริโอถามธิดา ซึ่งทำเอาธิดาที่อ้าปากค้างต้องหุบปากลง

“ฝันไปแน่ๆ เป็นไปได้ยังไงที่ผู้เล่นในเกมจะ…” ธิดาพูดไปส่ายหน้าไปพลาง “…รวมร่างกับมอนสเตอร์ได้ มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”

เกรียนเมพรัตติมาริโอหลับตาลงแวบหนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นนัยน์ตามังกรสีฟ้าครามแทนที่จะเป็นสีดำธรรมดาเหมือนเมื่อครู่นี้

“อาจจะเป็นเพราะมิตรภาพระหว่างผมกับมาริโอที่สูงถึงระดับสิบ ก็เลยทำให้ผมกับมาริโอสามารถรวมร่างกันได้นะครับ” เสียงของรัตติพูดอธิบาย “ทีแรกผมก็ไม่เชื่อเรื่องที่พวกพี่ปฐพีกับมาริโอบอกหรอกนะครับ แต่พอได้ลองทักษะดูแล้ว ก็…เป็นอย่างที่เห็นนะครับ”

“แล้วนอกจากแปลงร่าง น้องทำอะไรได้บ้างล่ะจ้ะ” ธิดาถามต่ออย่างสงสัย ซึ่งเกรียนเมพรัตติมาริโอแบมือยกขึ้นโดยหันไปยังพื้นที่ว่างเปล่าก่อนจะพ่นสปอร์พิษออกมา

ตูม!

เสียงระเบิดดังกึกก้อง ซึ่งทำเอาธิดาตะลึงไปอีกรอบ

“นี่ล่ะครับที่ผมทำได้” รัตติบอกก่อนจะพูดต่อ “ส่วนสปอร์พิษนี้ถ้าใครโดนเข้าจะขยับไม่ได้ชั่วขณะนะครับ”

ธิดาพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้าเพียงอย่างเดียว แล้วพอเวลาผ่านไปได้ 5 นาที รัตติกับมาริโอก็แยกออกจากกัน

“ยอดเยี่ยมจริงๆ น้องรัตติทำให้พี่ได้ทึ่งตลอดเลยนะ” ธิดาเอ่ยปากชม ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกเขิน

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ มันก็แค่บังเอิญมากกว่า”

“แล้วน้องยังมีอะไรจะโชว์พี่อีกไหมล่ะ” ธิดาถามต่อ

“ครับ มีอีกแน่ๆ” รัตติตอบก่อนจะหลับตาลง แล้วทันใดนั้นปีกสีเพทายฟ้าอ่อนทั้งสองข้างของเขาก็ผุดออกมาจากทางหลัง ก่อนจะลืมตาขึ้นมองธิดาที่กำลังมองเขาด้วยความตกตะลึง “ผมสามารถกางปีกได้โดยไม่จำเป็นต้องแปลงร่างเป็นมังกรนะครับ แหะๆ”

“น้อง...นี่...สุดยอด...เลยจริงๆนะ” ธิดากล่าวชมรัตติอีกครั้ง

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่คิดทดลองอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้นเองครับ” รัตติตอบอย่างเขินอาย “จริงสิ ผมมีเรื่องสงสัยจะถามท่านพี่เกี่ยวกับทักษะนักดาบ ตอนแรกผมกะว่าจะถามพวกพี่ปฐพีแต่ก็ดันลืมถามไปซะสนิท”

แล้วรัตติก็เล่าเรื่องการใช้ดาบผสมเวทมนตร์ที่คิดค้นขึ้นมาเองได้ ก่อนจะลงมือให้ธิดาดู ซึ่งผลปรากฏว่าธิดาได้อ้าปากค้างตกใจเป็นรอบที่สี่ เพราะรัตติได้ร่ายเวทย์โดยไม่ต้องอ้าปากร่ายสักคำเดียว ไหนจะทักษะ’เวรกรรม’ ที่รัตติไม่ค่อยอยากจะแสดงออกมาหากแต่จำเป็นเพื่อให้ธิดาได้ช่วยวิเคราะห์ข้อเสียของทักษะที่รัตติได้มาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่เธอพูดชื่อทักษะเวรกรรมเสร็จ ธิดาถึงกับหัวเราะงอหายจนกรามค้าง

“ผมไม่ขำด้วยหรอกนะครับท่านพี่” รัตติพูดอย่างฉุนๆ ในขณะที่ธิดายังคงหัวเราะอยู่

“จ้าๆ พี่ไม่หัวเราะแล้วล่ะ” ธิดาตอบก่อนหยุดหัวเราะของตัวเอง “พี่ว่าทักษะที่น้องเอาเวทย์มาใช้กับดาบก็ไม่เลวนะ ทำให้การโจมตีแรงขึ้นกว่าเดิม นี่ถ้าน้องทำตอนรวมร่างกับน้องมาริโอแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะสูสีกับพี่ในตอนนี้เลยก็ได้นะ”

แล้วหลังจากนั้นธิดาก็ขอท้าสู้กับรัตติโดยให้เธอได้งัดทักษะพวกนั้นออกมาใช้ด้วย ซึ่งผลปรากฏว่าธิดาเกือบทำดาบหลุดจากมือหลังจากที่โดนรัตติใช้ทักษะลมครึ่งเสี้ยว และยิ่งพอรัตติใช้ทักษะผ่ารัตติกาลนั้น ธิดาถึงกับสลบทันทีที่โดนเข้าไปเต็มๆ ซึ่งกว่าธิดาจะฟื้นก็ปาเข้าไปสองชั่วโมง พอฝึกวิชาเสร็จแล้ว ธิดาก็ไล่ให้เธอกับมาริโอไปนอนพักผ่อนก่อนจะเตรียมไปฝึกวิชาบนสนามจริงในวันพรุ่งนี้

...................................

กลับมาทางด้านเมฆา หลังจากชายหนุ่มได้ไล่ปิเอโร่แล้ว ก็มุ่งแต่ฝึกวิชาในห้องกาลเวลาจนเพื่อนอย่างอเลนนึกเป็นห่วง

ก๊อก! ก๊อก!

อเลนเคาะประตูเรียก ซึ่งเขารอไม่นานนักประตูห้องก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ

“มีอะไร” เมฆาถามอย่างอ่อนแรง

“พอดีข้าจะชวนเจ้าไปทำภารกิจที่ข้างนอกหน่อยนะเมฆา” อเลนบอกก่อนจะพูดต่ออย่างเร็ว “ไม่ต้องห่วงว่าเจ้าจะสู้กับมอนสเตอร์ไม่ได้ เพราะข้าไม่ได้ทำภารกิจที่ยากๆนะ”

เมฆาทำท่าครุ่นคิดก่อนจะตอบไปว่า

“ตกลง งั้นรอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”

“อืม”

แล้วเมฆาก็หายเข้าไปในห้องก่อนจะเดินออกมาด้วยชุดเกราะสีเทา ซึ่งแตกต่างจากชุดเกราะสีดำอันใหญ่ที่เคยสวมใส่

“อ้าว ทำไมใส่เกราะอันเล็กล่ะเมฆา” อเลนถามอย่างสงสัย

“มันสะดวก รวดเร็ว และเบา” เมฆาตอบพลางถอนหายใจ ซึ่งทำให้อเลนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเรี่ยวแรงเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว “ไปกันได้รึยัง”

“อืม” หลังจากนั้นพวกเขาสองคนก็พากันขี่ม้าออกไปข้างนอกเมือง

“ว่าแต่ภารกิจที่จะให้พาไปทำด้วยคืออะไรหรืออเลน” เมฆาถามในขณะที่พวกเขากำลังขี่ม้าอยู่

“หาดอกไวท์มูนไลท์*นะ” อเลนหันหน้ามาบอกเขา “มันมีลักษณะคล้ายรูปดาวสีขาว บานเฉพาะตอนกลางคืนเมื่อได้สัมผัสกับแสงจันทร์ แต่จะเอายากก็ตรงที่ดอกไม้นั้นตั้งอยู่เหนือถ้ำมังกรตัวหนึ่งที่ถูกขังไว้อยู่ที่นั่นนะ”

เมฆาขมวดคิ้วคิดก่อนจะร้องอ้อ

“ถ้ำมังกรวายเวิร์นสินะ”

“ใช่เจ้าเคยผ่านภารกิจกับมังกรวายเวิร์นตัวนั้นแล้วไม่ใช่รึไง ถึงจะเป็นคนละภารกิจที่ข้าทำก็เถอะ”

“ใช่ แต่มันนานแล้ว ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าไวเวิร์นจะยังจำข้าได้รึเปล่านะอเลน”

“ไม่ลองไม่รู้ แต่ถ้าเขายังจำเจ้าได้ก็ดีไป จะได้ไม่ต้องสู้กันอีกให้เหนื่อยแรง”

อเลนบอก ซึ่งทำให้เมฆาพลอยพยักหน้าตามไปด้วย เพราะตอนนั้นเขาทำภารกิจล่าเขี้ยวมังกรวายเวิร์นในถ้ำมังกรวายเวิร์น มันเป็นภารกิจที่เขี้ยวพอดู กว่าจะเอาเขี้ยวมาจากมังกรวายเวิร์นได้ก็เล่นทำเอาเขาหืดขึ้นคอเลยทีเดียว แต่หลังจากได้เขี้ยวมาแล้วเขาก็ได้เป็นเพื่อนกับมังกรวายเวิร์น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องประหลาดโดยแท้

แต่มันผ่านไปได้สิบปีในเกมแล้ว

วายเวิร์นจะยังจะจำข้าได้รึเปล่านะ


ทว่าทางที่จะไปถ้ำมังกรวายเวิร์นนั้นลำบากพอควร แถมมีระยะทางที่ไกลเอาเรื่อง จึงทำให้เมฆากับอเลนต้องขี่ม้าเดินทางล่องใต้และพักแรมในป่าอยู่ถึงสองคืน จนกระทั่งถึงที่หมาย

“ที่นี่สินะถ้ำมังกรวายเวิร์น” อเลนพูดพลางมองถ้ำอันใหญ่โตเบื้องหน้า

“ใช่ ถ้ำมังกรวายเวิร์น” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “ดูไม่มีอะไรก็จริง แต่ข้างในกับดักเพียบ ถ้าใครเคยมาแล้วก็ดีไป แต่ถ้าไม่ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม”

“ฮะๆ เข้าใจพูดนะ” อเลนหัวเราอย่างขำขันกับมุขของเมฆา แต่แล้วก็ต้องหยุดหัวเราะเมื่อพวกเขาสองคนได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งพูดมาจากด้านหลังพวกเขา

“ดอกไวท์มูนไลท์หรือครับ” เสียงคุ้นหูดังสะกิดต่อมความอยากรู้ของเมฆา “ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะเสียเหลือเกินนะครับ”

“ใช่จ้ะ มันเป็นดอกไวท์มูนไลท์ที่จะบานได้เฉพาะยามกลางคืน สวยมากเลยด้วยล่ะ”

“แล้วมันกินได้หรือเปล่าฮะท่านพี่ธิดา” เสียงนี้ก็คุ้นหูเมฆาเช่นกัน

“กินไม่ได้หรอกนะมาริโอ มันเป็นแค่ดอกไม้ อ๊ะ” เสียงนั้นหยุดพูดก่อนที่เมฆาจะหันหลังกลับมาดู ก็พบกับคนที่คุ้นเคยกำลังนั่งขี่ม้าอยู่ “น้องราตรี”

“ท่านพี่เมฆา”


.....................................

*ดอกไวท์มูนไลท์ เป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งมีลักษะคล้ายดาวเป็นสีขาว  :L2: :L2:


[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2015 13:04:23 โดย dragon123 »

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 51 วายเวิร์น

...............................

“น้องราตรี”

“ท่านพี่เมฆา”

ทั้งรัตติและเมฆาต่างพูดชื่อของอีกฝ่ายพร้อมกันก่อนจะมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

ท่านพี่เมฆายังปลอดภัยดี

รัตติคิดในใจอย่างโล่งอกเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเป็นปกติดี ส่วนธิดานั้นได้แต่มองรัตติสลับกับเมฆาอย่างงุนงง

“น้องรัตติรู้จักกับเขาด้วยหรือจ้ะ” ธิดาถามอย่างสงสัย ถึงแม้เธอจะไม่เคยคุยกับเมฆามาก่อน แต่เธอก็พอจะรู้จักใบหน้าค่าตาของผู้เล่นท็อปอย่างเมฆาในอินเทอร์เนตบ้าง

“ครับ” รัตติตอบโดยที่ยังมองเมฆาอยู่ “นี่ท่านพี่เมฆา คนที่ผมกำลังตามหาอยู่ไงครับท่านพี่ธิดา”

ธิดาได้ยินที่รัตติพูดก็พยักหน้า

“ท่านพี่เมฆาเป็นยังไงบ้างครับ เอ่อ ตอนนั้น…” รัตติพูดเกริ่นเข้าเรื่องเก่า “ผมถูกลักพาตัว ก็เลยไม่ได้อยู่ช่วยท่านพี่ได้”

“พี่สบายดีครับ น้องราตรีไม่ต้องเป็นห่วง” เมฆาตอบยิ้มๆ

“ท่านพี่เมฆามาทำอะไรที่นี่เหรอฮะ” มาริโอแย่งถามก่อนที่รัตติจะได้ถาม

“พี่พาเพื่อนมาทำภารกิจนะ” เมฆาตอบสั้นๆ ซึ่งทำเอารัตติรู้สึกแปลกใจกับน้ำเสียงที่เมฆาพูดเป็นอย่างมาก

แปลก

เหมือนไม่ใช่ท่านพี่เมฆาคนเดิม


“ถ้าพวกน้องสองคนปลอดภัยแล้วก็ดี งั้นพี่ต้องขอตัวก่อนนะ” พออีกฝ่ายพูดจบ ก็รีบหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในถ้ำอย่างเร็ว แต่รัตติกลับไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้หนีเธอ รัตติจึงรีบกระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะวิ่งเข้าไปคว้าแขนของเมฆาอย่างเร็ว ซึ่งทำเอาอีกฝ่ายถึงกับหยุดชะงัก

“เดี๋ยวสิฮะท่านพี่ ทำไมท่านพี่ต้องหนีพวกผมด้วย ผมไม่เข้าใจ” รัตติถามอย่างสงสัย

“ปล่อยพี่สิน้องราตรี พี่กำลังรีบ” เมฆาพูดพลางสะบัดแขนให้หลุด แต่มือกลับไปปัดโดนเข้าที่หน้ารัตติอย่างแรง

เพียะ!

150


ความเจ็บจากการโดนตบที่แก้มมันชาจนรัตติถึงกับอึ้ง รวมไปถึงเมฆาที่ชะงักหันมามองเธอด้วยความตกใจ

“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ” อีกฝ่ายพูดขอโทษเธอ

“ไม่เป็นไรครับ เรืองแค่นี้มันผิดพลาดกันได้” รัตติตอบยิ้มๆ แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ ต่างคนต่างเงียบจนธิดาต้องลงจากหลังม้า

“เอ่อ สวัสดีค่ะคุณเมฆา แล้วก็…” ธิดาพูดพลางหันไปมองอเลนด้วย “…คุณอเลน จากสมาคมเงาใช่ไหมคะ ดิฉันธิดาจากสมาคมจันทราวารี ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ส่วนน้องผู้ชายคนนั้นชื่อรัตติหรือราตรีแล้วแต่คุณจะเรียก ส่วนเห็ดตัวนี้ก็คือน้องมาริโอ เป็นคู่หูของน้องรัตตินะค่ะ”

อเลนได้ยินที่ธิดาพูด จึงหันมายิ้มให้

“เช่นกันครับคุณธิดา” อเลนตอบก่อนจะเอ่ยปากถามต่อทันที “ว่าแต่คุณธิดารู้จักพวกผมได้ยังไงกันครับเนี่ย”

“แหม ก็ชื่อเสียงของพวกคุณออกจะโด่งดัง แถมยังมีรูปภาพตัวละครในเกมโชว์บนหน้าเว็บไซต์อีกด้วย ไม่ว่าเป็นใครๆก็รู้จักกันทั้งนั้นแหละค่ะ” ธิดาพูดหัวเราะโดยเอามือป้องปากไว้ “ว่าแต่พวกคุณมาทำอะไรแถวนี้คะ อย่าบอกนะว่ามาเก็บดอกไวท์มูนไลท์นะ”

“ใช่ครับ แหม คุณธิดานี่มีเซนส์ไม่เบาไม่เลยนะครับ ว่าแต่คุณธิดาสนใจจะมาทำภารกิจนี้พร้อมกับพวกผมไหมครับ” อเลนตอบก่อนจะพูดชวนต่อทันที

“สนสิคะ ทำไมจะไม่สน” ธิดาตอบพลางเหล่ตามองรัตติกับเมฆาที่ยืนเสหน้ามองไปทางอื่น ก่อนจะหันมามองอเลนต่อด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “จะได้ทำเสร็จพร้อมๆกันไปเลยทีเดียว ไม่ยุ่งยากดีค่ะ”

จะได้รู้ความสัมพันธ์ระหว่างน้องรัตติกับเมฆาด้วยว่าเป็นมายังไง

“ครับ ถ้างั้นพวกเราก็เข้าไปด้วยพร้อมกันเลยนะครับ เฮ้ย เมฆา เดี๋ยวให้คุณธิดาไปร่วมภารกิจนี้ด้วยนะ” อเลนหันไปบอกเพื่อน ซึ่งเมฆาได้แต่พยักหน้าเพียงอย่างเดียว ก่อนจะเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก “เฮ้อ ไม่ไหวเลยเมฆาเนี่ย จะรีบเดินไปทำไมก็ไม่รู้ อ๊ะ คุณธิดารีบเก็บม้าเลยนะครับ เดี๋ยวพวกผมจะไปยืนรออยู่ข้างใน”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวพวกดิฉันจะรีบไปเก็บม้าเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ”

......................

เมื่อพวกเขาได้เดินเข้าไปข้างในถ้ำโดยมีเขาเดินนำเป็นคนแรกแล้ว ก็พบว่าในถ้ำนี้เป็นถ้ำที่เต็มไปด้วยไอน้ำแข็งเกาะอยู่เต็มไปหมด จึงทำให้อากาศแปรเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นยะเยือก

“รัตติข้าหนาว”

“หนาวรึ งั้นรอซักครู่นะ” เสียงของน้องราตรีพูดก่อนที่เขาจะหยุดชะงักเดินพลางหันไปมองน้องราตรี ซึ่งอีกฝ่ายกำลังหยิบเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอยู่ “ดีนะที่พี่ศาสตราให้ชุดคุณหน้ากากทักซิโด้ไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่มีเสื้อคลุมกันหนาวใส่แน่มาริโอ”

“อืม” แล้วราตรีก็ใส่เสื้อคลุมให้กับมาริโอท่ามกลางสายตาของทุกคน โดยที่เมฆาลอบสังเกตเห็นว่าไหล่ของน้องราตรีสั่นระริกระรี้

เฮ้อ ตัวเองก็หนาวแต่ไม่ยักจะพูดซักคำ

เมฆาคิดอย่างเหนื่อยใจกับความอวดดีของน้องราตรี ครั้นพอเขาจะหยิบเสื้อกันหนาวออกมาจากกระเป๋าให้น้องราตรีใส่ กลับต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นธิดาเอาเสื้อคลุมให้กับน้องราตรีใส่เสียก่อน  ซึ่งภาพเหล่านี้อยู่ในสายตาของอเลนที่จ้องมองเพื่อนด้วยความสงสัยมาตั้งแต่แรก

“แล้วนี่อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงที่กุมขังของมังกรวายเวิร์นล่ะเมฆา” อเลนเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“สามชั่วโมง”

“ห๊ะ! สามชั่วโมง”

“เส้นทางมันซับซ้อน ยากเกินกว่าจะเดินเร็วได้ภายในหนึ่งชั่วโมงนะ”

แล้วเมฆาก็แสร้งทำเป็นเดินเร็วเพื่อตัดความรำคาญกับคำถามของอเลน ซึ่งทำให้คนอื่นๆต้องพลอยเดินเร็วตามไปด้วย ในระหว่างที่เมฆาพาทุกคนเดินนั้น เขาก็ได้แกล้งทำเป็นหยุดเดินเพื่อให้คนอื่นได้พักบ้าง แต่ก็แค่ห้านาทีเท่านั้นแล้วเขาก็ออกเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ จนกระทั่งเมฆาหยุดเดินหลังจากได้พาทุกคนเดินเลี้ยวซ้ายแล้ว ซึ่งทันทีที่เท้าขวาของเมฆาได้สัมผัสกับพื้นดิน รังสีอำมหิตที่มาจากเบื้องหน้าก็ได้ตรึงกำลังให้ทุกคนยืนอยู่กับที่ ซึ่งแน่นอนว่าเมฆาเองก็ขยับไม่ได้ด้วยเช่นกัน

“กล้ามารบกวนเวลาจำศีลของข้า ช่างบังอาจนักเจ้าพวกมดปลวกทั้งหลาย!” เสียงเข้มพูดตวาดดังลั่นถ้ำ ซึ่งทำเอาน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามหินถึงกับร้าวจนแตกลงมาเป็นก้อน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครโดนลูกหลงจากพวกก้อนน้ำแข็งที่ตกลงมาบนพื้นดิน

“นี่ข้าเอง...ท่านมังกรวายเวิร์น” เมฆากัดฟันพูดในขณะที่ต้องฝืนทนกระแสรังสีอำมหิตของอีกฝ่ายไปด้วย “ข้า...เมฆา เพื่อนเก่าเมื่อตอนที่มาเอาเขี้ยวของท่านในครั้งนั้นยังไงล่ะ”

พอเขาพูดจบ รังสีอำมหิตถึงกับจางหายไปในพริบตาเดียว ก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นกับภาพเบื้องหน้า ซึ่งเผยให้เห็นมังกรร่างยักษ์กำลังนอนลืมตาสีแดงข้างเดียวอยู่

“เมฆา?” มังกรวายเวิร์นพูดทวนชื่อ ก่อนจะทำท่านึกอะไรบางอย่างออกได้ “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เองเมฆา นานหลายปีแล้วสินะที่เจ้าเอาเขี้ยวของข้าไป ว่าแต่เจ้านึกยังไงถึงกลับมาหาข้าอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าคิดถึงข้า ก็เลยกลับมาหาข้าเพื่อที่จะชวนเล่นหมากรุกด้วยกันอีก”

มังกรวายเวิร์นพูดติดตลก แต่คนฟังกลับไม่ขำด้วย

“เปล่าเลยท่านวายเวิร์น พวกข้าก็แค่ต้องการเดินผ่านทางนี้เพื่อไปเก็บดอกไวท์มูนไลท์เท่านั้น” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “หากแต่ท่านต้องการเล่นหมากรุกกับข้า ไว้วันหลังข้าจะกลับมาเล่นด้วยแน่”

แทนที่มังกรวายเวิร์นจะยอมถอยออกให้พวกเขาได้เดินผ่านประตูซึ่งอยู่ด้านหลังของตัวเอง กลับแผ่รังสีอำมหิตออกมาอีกครั้ง

“เสียใจด้วยเมฆา คำขอของเจ้าข้าคงให้ไม่ได้” มังกรวายเวิร์นพูดเสียงเหี้ยมเกรียมพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “กลับไปซะ อย่าได้กลับมาที่นี่ถ้ายังคิดจะมีชีวิตอยู่อีก”

สงสัยภารกิจนี้จะต้องได้สู้กับมังกรวายเวิร์นซะแล้วมั้ง เมฆาคิดในใจ นี่ถ้าเป็นก่อนถูกคำสาปปีศาจ เขาคงจะล้มมังกรวายเวิร์นได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าด้วยสภาพร่างกายอันอ่อนแอในตอนนี้ เขาคงจะสู้มังกรวายเวิร์นไม่ได้เหมือนแต่ก่อน คงต้องพึ่งอเลนกับธิดาซะแล้ว

เมฆาคิดพลางส่งพรายกระซิบบอกทั้งคู่ไปว่าให้เตรียมพร้อมต่อสู้ ส่วนน้องราตรีกับมาริโอนั้น เขาคิดว่าสองคนนี้คงจะทำอะไรมังกรวายเวิร์นไม่ได้อย่างแน่นอน

“หลบไปไกลๆก่อนน้องราตรีน้องมาริโอ พวกพี่จะสู้กับมังกรวายเวิร์น” เมฆาพรายกระซิบบอกทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วง หากแต่ทั้งคู่กลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
 
“ท่านมังกรวายเวิร์น” น้องราตรีเรียกชื่อมังกรวายเวิร์น ซึ่งทำเอาผู้ถูกเรียกเหลือบตามองเด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปี “พวกผมแค่ต้องการผ่านไปเฉยๆ มิได้ต้องการจะสู้กับท่านเลยซักนิด ขอความกรุณาให้พวกผมได้เดินผ่านไปด้วยเถอะครับ”

“เจ้าเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร จงบอกมาพ่อหนุ่มน้อยเอ๋ย” มังกรวายเวิร์นถามเสียงเข้ม ซึ่งน้องราตรีตอบกลับไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่นว่า

“ผมคือราตรีพิสุทธิ์ ลูกชายของเดรค ราชามังกรผู้ยิ่งใหญ่ และเหม่ยจิง นางพญามังกรครับ” เมื่อน้องราตรีพูดจบ ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบโดยเฉพาะอเลนกับธิดาที่ไม่คิดว่าคนพูดจะเป็นลูกรัชทายาทเผ่ามังกรผู้ยิ่งใหญ่ได้ ส่วนมังกรวายเวิร์นที่นั่งเงียบอยู่นานแล้วก็ได้ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น

“ฮะๆ ลูกชายของเดรคกับเหม่ยจิงเองหรอกรึเนี่ย” มังกรวายเวิร์นพูดไปหัวเราะไป “ไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านไปนาน สองคนนั้นจะยอมมีลูกกับเขาเหมือนกับมังกรตนอื่นบ้าง ฮะๆ ว่าแต่พ่อหนุ่มน้อยราตรีเอ๋ย ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าในตอนนี้ยังสุขสบายดีหรือไม่”

น้องราตรีได้ยินคำถามของมังกรวายเวิร์นแล้ว ถึงกับเม้มปากด้วยสีหน้าอันขมขื่น

“หากพวกเขาสบายดี ผมมิต้องเดินทางออกมาให้เหนื่อยเปล่าหรอกครับ” น้องราตรีกัดฟันตอบ “เพราะตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้ถูกราชาปีศาจจับตัวไปนะครับท่านมังกรวายเวิร์น”

แปลบ!

คำพูดของน้องราตรีได้เข้าแทงที่ขั้วหัวใจของเมฆาจนเขาได้แต่ขบริมฝีปากด้วยความเจ็บปวด

“ว่ายังไงนะ เดรคกับเหม่ยจิงถูกราชาปีศาจจับตัวไป” มังกรวายเวิร์นร้องอุทานเสียงดังลั่น “พ่อหนุ่มอย่ามาพูดเล่นลิ้นกับข้านะ ข้าไม่มีทางเชื่อหรอกว่าราชาปีศาจจะมาจับตัวสองตนนั้นไปได้ พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันนะ”

“ผมไม่ได้พูดเล่นลิ้นกับท่านเลยซักนิดท่านมังกรวายเวิร์น ผมไม่รู้จริงๆว่าเป็นเพราะเหตุใดใยราชาปีศาจจึงเข้าเล่นงานท่านพ่อกับท่านแม่”

แปลบ!

ความเจ็บปวดได้บั่นทอนกำลังจิตใจของเมฆา ทำเอาชายหนุ่มถึงกับกำมือแน่นจนเลือดออกซิบๆ

น้องราตรีพี่ขอโทษ เมฆาคิดในใจอย่างเจ็บปวด พี่ช่วยพวกเขาให้ออกมาจากที่กุมขังไม่ได้

ถึงแม้ตัวต้นเหตุไม่ใช่เป็นเพราะเขา แต่เป็นท่านพ่อของเขาก็ตาม แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ผิดอยู่ดี

ผิดที่ไม่ได้บอกเรื่องพ่อกับแม่ให้น้องราตรีได้รับทราบ

ขืนบอกไปมีหวังความสัมพันธ์ของเขากับน้องราตรีได้จบเห่แน่!


“อย่างนั้นเองหรอกรึ เจ้าเองก็ไม่รู้สาเหตุที่ราชาปีศาจลอบเข้าโจมตีพวกเจ้าสินะ” มังกรวายเวิร์นพูดพลางถอนหายใจแรงๆ “นี่ถ้าข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้าคงจะไปช่วยพ่อแม่ของเจ้าแล้วล่ะพ่อหนุ่มราตรี”

น้องราตรีได้ยินคำพูดของมังกรวายเวิร์นแล้วถึงกับก้มหัวลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“ไม่เป็นไรครับท่านมังกรวายเวิร์น แค่คำพูดของท่านเมื่อครู่นี้ผมก็ซาบซึ้งมากพอแล้ว”

“หึ พูดถ่อมตัวได้ดี สมเป็นลูกของเดรคกับเหม่ยจิง” มังกรวายเวิร์นพูดชมน้องราตรี “แต่ถึงเจ้าจะเป็นลูกของสองคนนั้น ก็ใช่ว่าข้าจะยอมให้ผ่านไปง่ายๆหรอกนะ”

“ท่านจะให้พวกผมทำอะไรก็ว่ามาได้เลยครับ” น้องราตรีบอก

“หึ ไม่ยากเลย แค่ตอบคำถามของข้าสามข้อกับทดสอบพลังเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”

“ตอบคำถามกับทดสอบพลังหรือครับ?”

“ใช่” มังกรวายเวิร์นตอบก่อนจะพูดต่อ “เป็นคำถามปริศนาที่พวกเจ้าต้องช่วยกันตอบ ซึ่งข้าจะไม่กำหนดเวลาที่จะตอบ พวกเจ้าจะตอบเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ส่วนทดสอบพลังนี้ต้องเป็นหลังจากตอบคำถามได้ถูกทุกข้อก่อนนะ”

แล้วน้องราตรีก็หันหน้ามาทางเขาราวกับต้องการคำตอบ ซึ่งเมฆาเห็นดังนั้นก็พลันถอนหายใจ

“ตามใจน้องราตรีแล้วกัน”

พอได้คำตอบ น้องราตรีถึงกับฉีกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหันไปพูดกับมังกรวายเวิร์นต่อ

“ตกลงครับ เชิญท่านถามมาได้เลยครับ”

มังกรวายเวิร์นได้ยินดังนั้นก็พลันขยับปีกเล็กน้อยก่อนจะพูดคำถามข้อแรก

“รถไฟขบวนหนึ่งออกจากสถานี มีผู้โดยสาร 30 คน ระหว่างทางจอดสถานีแรก มีผู้โดยสารขึ้นใหม่ 50 คน แต่ผู้โดยสารคนเก่า ลงจากรถ 5 คน แวะสถานีที่สาม รถไฟเพิ่มโบกี้ ทำให้รับผู้โดยสารเพิ่มได้อีก 50 คน สถานีที่สี่ ผู้โดยสาร 17.5% ของทั้งหมดลงจากรถไฟ และมีผู้โดยสารขึ้นมาใหม่ เป็นจำนวน 30% ของผู้โดยสารเดิมที่เหลืออยู่ คำถามนี้ข้าอยากถามว่าคนขับรถไฟขบวนนี้ชื่ออะไร”

“คำถามป้อมุงหรา” มาริโอโพล่งขึ้นมา ซึ่งทำเอาทุกคนสะดุ้งตกใจ รวมถึงมังกรวายเวิร์นที่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะยื่นหน้ามามองมาริโอใกล้ๆ พลางพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วก็อ้าปากพูดเสียงสั่นๆว่า

“ช้าก่อน เจ้ารู้ได้ยังไงว่านี่เป็นคำถามของพ่อข้า”

“หึ ก็คนมันเทพยังไงล่ะ”

มาริโอเอามือกอดอกหัวเราะ

ไอ้เกรียนเอ๊ย

ทุกคนคิดในใจพร้อมกัน

“ถะ...ถะ...ถูกต้องนะคร้าบบบ!” มังกรวายเวิร์นบอกก่อนจะเริ่มเข้าสู่คำถามที่สอง “อะไรเอ่ย ข้างบนคือน้ำ ข้างล่างคือไฟ”

“กาต้มน้ำ” ทุกคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ยกเว้นเมฆาที่ไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพราะเขารู้สึกเฉลียวใจจากคำถามแรก

เจ้าบ้านี่คงคิดเล่นลูกไม้กับคำถามของมันแน่ๆ

คำตอบไม่น่าจะใช่อย่างที่เราคิด


พอคิดเสร็จ เมฆาก็หยิบซองบะหมี่ออกมาจากกระเป๋าไอเทมก่อนจะชูซองบะหมี่ขึ้นมาโชว์

“ต้มบะหมี่กินไปคิดไปได้ไหม” เมฆาถามพลางถอนหายใจ

“ถูกต้อง”

“ห๊ะ!”

ทุกคนร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว โดยเฉพาะเมฆายิ่งตกใจกว่าใครเขา เพราะไม่คิดว่าคำพูดของเขานั้นจะกลายเป็นคำตอบไปเสียได้

“ต่อไปเป็นคำถามสุดท้ายแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าจงคิดดูให้ดีเชียวล่ะ เพราะมันยากกว่าสองคำถามแรกมากนัก” มังกรวายเวิร์นบอก แต่ทุกคนกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

คำถามกวนส้นมากกว่ามั้งครับคุณพี่มังกร!

“คำถามก็คือ นิลอะไรมีสีแดง*

“นิลที่มีสีแดงคือนิลบวม” จู่ๆ อเลนก็ตอบขึ้นมาทันทีที่มังกรวายเวิร์นพูดจบ ซึ่งทำเอาทุกคนหันไปมองอเลนพร้อมกันเป็นตาเดียว “นิลบวมผวนมาจากนวมบิน บินภาษาอังกฤษเรียกว่า fly รวมกันเป็นนวมfly นวมflyผวนกลับได้เป็นนายฟวม นายภาษาอังกฤษเรียกว่าบอส เป็นบอสฟวม และบอสฟวมผวนกลับได้เป็นบวมฟอร์ซ ฟอร์ซแปลว่าแรง เป็นบวมแรง และบวมแรงผวนกลับได้เป็นแบงรวม รวมภาษาอังกฤษแปลว่ามิกซ์ เป็นแบงมิกซ์  แบงมิกซ์ผวนกลับได้เป็นบิ๊กแมง บิ๊กแปลว่าใหญ่ ผวนกลับได้โตแมง แล้วโตแมงก็ผวนกลับได้เป็น...”

“แตงโม”

ทุกคนพูดพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำให้มังกรวายเวิร์นได้ยินเข้าถึงกับอึ้งไปทันที

มันคิดได้ยังไงเนี่ย เนื่องจากคำตอบนี้มังกรวายเวิร์นตั้งใจเฉลยไว้ว่านินจาใส่ชุดแดง แต่เมื่อได้เจอกับกลยุทธ์คำผวนมหากาฬจากอเลนเข้า ถึงกับทำให้มันยอมรับในสติปัญญาอันเลิศล้ำของอเลน มนุษย์เหล่านี้ สติปัญญาช่างล้ำเลิศยิ่งนัก

“เฮ้อ เอาล่ะ ข้ายอมแพ้ เอาเป็นว่าคำถามทั้งสามข้อพวกเจ้าผ่าน”

“เย้! ผ่านแล้ว เย้ๆ” มาริโอโห่ร้องดีใจ

“ความจริงแล้วข้าไม่ได้คิดจะเล่นถามตอบกับพวกเจ้า แค่อยากทดสอบว่าพวกเจ้ามีสติปัญญาและไหวพริบในการแก้ไขปัญหาสักแค่ไหนเท่านั้น” มังกรวายเวิร์นบอก แต่ทว่าทุกคนกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

ไวพริบป้อมุงหรา

“ไหนๆ พวกเจ้าก็ผ่านแล้ว ข้าจะถามคำถามกับพวกเจ้าอีกซักข้อแล้วกันนะ ถือว่าแถมไปล่ะกัน” มังกรวายเวิร์นบอกกับทุกคนก่อนจะถามคำถามต่อ “คำถามคือ เกราะหนังมีพลังป้องกัน 25 เมื่อถูกโจมตีความเสียหายจากเดิม 500 จะลดลงเหลือเพียง 475 เกราะเหล็กมีพลังป้องกัน 90 เมื่อถูกโจมตีความเสียหายเท่ากัน จะลดลงเหลือ 320 อยากถามว่าพลังป้องกันของเกราะทั้งสองนี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์”

“DEF บ้านบิดาคุณสิ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์”

ทุกคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำเอามังกรวายเวิร์นถามกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อยๆว่า

“เป็นแฟนเว็บเฮียเหมือนกันด้วยเหรอ”

“ใช่”

ทุกคนตอบพร้อมกัน แล้วจากนั้นมังกรวายเวิร์นก็ขยับตัวลุกขึ้นยืน ทำให้หัวของมังกรวายเวิร์นติดกับเพดาน

“เอาล่ะ ต่อไปคือการทดสอบพลัง”

..................................

* (เครดิตจาก The Naked Show โดย น้าเน็ก)  :m20: :m20: :m20: :m20: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 52 คำสาปแผลงฤทธิ์

.....................

“เอาล่ะ ต่อไปคือการทดสอบพลัง” มังกรวายเวิร์นบอกก่อนจะเชิดหน้าไปทางขวามือของตัวเอง ซึ่งทำให้ทุกคนต้องหันไปมองตาม ก่อนจะพบกับก้อนหินก้อนใหญ่วางอยู่กับพื้นดินโดยมีดาบเล่มหนึ่งปักอยู่บนก้อนหินนั้นด้วย “ไหนพวกเจ้าลองดึงดาบเล่มนี้ดูซิ ถ้าหากใครดึงดาบหรือเอาดาบออกจากก้อนหินนี้ได้ ข้าก็ให้ผ่านได้เลยทันที”

ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงมองหน้ากันตกลงว่าใครจะเป็นผู้ดึงดาบเล่มนี้ก่อน ซึ่งผู้ดึงดาบคนแรกนั่นก็คือมาริโอ

“หากดึงดาบนี้ออกได้ ข้าจะได้เป็นราชา” คำพูดของมาริโอพร้อมกับท่าที่แสดงออกของมันทำให้ราตรีถึงกับส่ายหน้า

ไอ้เห็ดบ้า คิดว่าตัวเองเป็นคิงก์อาเธอร์หรือไง

“วางใจได้แน่เหรอน้องรัตติ” ธิดาถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติตอบกลับไปว่า

“ปล่อยให้ดึงจนหมดแรงจะได้หายบ้านั่นแหละครับ”

แล้วพวกเขาก็มองมาริโอที่พยายามดึงดาบขึ้นมาจากก้อนหิน แต่ปรากฏว่ามันดึงไม่สำเร็จ หน้าดำหน้าแดงดึงอยู่อย่างนั้นจนมังกรวายเวิร์นบอกให้พอได้แล้ว

“ชิ เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว” มาริโอบ่นด้วยความเสียดาย

สำเร็จบ้าอะไร ดึงไม่ขึ้นซักเซนเดียวเลยนะมาริโอเอ๋ย

ทุกคนคิดในใจพร้อมกัน ซึ่งรายต่อไปก็เป็นอเลนที่ขอดึงบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ และต่อมาก็เป็นธิดากับเมฆา ซึ่งผลก็ไม่แคล้วแบบเดียวกับอเลน

“ตอนนี้เหลือแต่เจ้าแล้วนะพ่อหนุ่มราตรี” มังกรวายเวิร์นบอก

“ครับ” รัตติตอบพลางเดินไปยังก้อนหิน ก่อนจะหยุดชะงักเดิน “จริงสิท่านมังกรวายเวิร์น ดาบเล่มนี้มันคมหรือไม่”

“คมสิ เป็นดาบที่คมมากที่สุดในปฐพี ว่าแต่เจ้าจะถามไปทำไมรึเด็กน้อย” มังกรวายเวิร์นพูดด้วยความแปลกใจ แต่ทว่ารัตติไม่ตอบ กลับใช้มือกดดาบลงไปแทนที่จะดึงขึ้นเหมือนกับคนอื่น ซึ่งทำให้ก้อนหินที่ถูกคมดาบถึงกับผ่าออกเป็นสองซีกท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน

“นี่ไงครับท่านมังกร ผมเอาดาบออกมาได้แล้ว” รัตติตอบพลางชูดาบขึ้นเหนือศีรษะหลังจากผ่าก้อนหินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำเอามังกรวายเวิร์นที่มองเธอด้วยความตกใจถึงกับหัวเราะ

“ฮะๆ ให้ตายสิเด็กน้อย เจ้านี่ช่างทำให้ข้าทึ่งเสียเหลือเกินนะ” มังกรวายเวิร์นพูดไปหัวเราะไป “ดึงดาบไม่ได้ก็ผ่าก้อนหินออกแทน ฮะๆ คิดได้ยังไงเนี่ย”

“ตกลงว่าพวกผมผ่านได้รึยังครับท่านมังกรวายเวิร์น” รัตติถามอย่างสงสัย

“อืม พวกเจ้าผ่านแล้วล่ะ”

“เย้! ในที่สุดก็ผ่านแล้ว!”

มาริโอโห่ร้องด้วยความดีใจ

“สมแล้วที่เป็นถึงลูกของเดรค คราวหน้าคราวหลังถ้าเจ้าว่าง ก็แวะมาเยี่ยมเยียนข้าได้นะ ข้าอยากจะเล่นหมากรุกกับเจ้าซักหน่อย” มังกรวายเวิร์นบอก ซึ่งรัตติพยักหน้าตอบ

“ครับท่าน ว่าแต่ท่านรู้จักท่านพ่อกับท่านแม่ของผมด้วยหรือครับท่านมังกรวายเวิร์น” รัตติถามต่ออย่างสงสัย

“รู้จักสิ รู้จักกันตั้งแต่สมัยยังแบเบาะเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ตอนโตเป็นหนุ่ม ข้าก็โดนพวกเทพมากักขังไว้ที่นี่ซะก่อน ก็เลยไม่ได้เจอหน้ากับสองคนนานเป็นร้อยๆปีได้แล้วมั้ง” มังกรวายเวิร์นบอกก่อนจะหันมาพูดกับเขาต่อ “เจ้าโชคดีไปนะเมฆา ที่เจ้าไม่ต้องมาต่อสู้กับข้าเหมือนครั้งนั้นอีก แต่จะว่าไปการต่อสู้ครั้งนั้นก็ไม่เลวนะ หากมีโอกาสอีกล่ะก็ เจ้ามาหาข้าอีกจะได้รึไม่”

“ได้สิครับท่านมังกรวายเวิร์น ข้าจะมาหาท่านอีกแน่” เมฆาพูดฝืนยิ้ม

“งั้นข้าขออวยพรให้พวกเจ้าโชคดีในการเก็บดอกไวท์มูนไลท์”

มังกรวายเวิร์นบอก ซึ่งทุกคนก็ได้กล่าวขอบคุณมังกรวายเวิร์นที่ยอมให้พวกเขาผ่านแต่โดยดี และเมื่อกล่าวลาเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เดินมุ่งหน้าออกไปยังบานประตูนั้นทันที

.....................

ย้อนเวลากลับไปสองวันที่แล้ว ปฐพีกับเพื่อนๆได้ขี่ม้ากลับไปยังสมาคมจับฉ่ายของตัวเองซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า

เมืองชิน

เมืองชินตั้งอยู่ทิศใต้ห่างจากถ้ำมังกรวายเวิร์นประมาณสักหนึ่งพันกิโลเมตร เป็นเมืองที่ติดอยู่ใกล้กับเมืองท่าเรือที่พวกเขาจากมา นอกจากนี้เมืองชินยังมีลักษณะพิเศษก็ตรงที่ผังเมืองมีส่วนคล้ายกับเมืองจีนสมัยโบราณ แถมยังขึ้นชื่ออาหารจีนที่มีอายุมานานเกือบสามพันปีด้วย เพราะเหตุนี้จึงทำให้ผู้เล่นส่วนมากเข้ามาในเมืองนี้เพื่อชิมรสอาหารอร่อยๆ กับทำภารกิจเล็กๆน้อยๆ หรือไม่ก็นัดพบปะสังสรรค์ทานอาหารกับพรรคพวกเท่านั้น และนอกจากนี้เมืองชินยังเป็นที่ตั้งของสมาคมจับฉ่าย ซึ่งมีปฐพีเป็นหัวหน้าสมาคมเป็นผู้คอยดูแลอยู่ด้วย

“จับฉ่ายครับจับฉ่าย ของดีจากชิน จับฉ่ายร้อนๆ ครับ” เสียงพ่อค้าตะโกนเรียกลูกค้า ซึ่งแน่นอนว่ามีผู้เล่นต่างสนใจเข้ามาชมเลือกซื้อกันเป็นทิวแถว

“พี่คะ เราไปซื้อจับฉ่ายร้อนๆกันเถอะค่ะ คริสตัลอยากกิน” ผู้หญิงอายุประมาณสิบสี่สิบห้าสวมหูกระต่ายในชุดแม่มดน้อยนามว่าคริสตัลพูดเสียงอ้อนกับปฐพี ซึ่งทำให้ชายหนุ่มที่เดินควงแขนมาด้วยก็ตอบกลับไปสั้นๆว่า

“อืม” แล้วคริสตัลก็หันหลังกับไปมองสองร่างที่กำลังเดินหอบของเป็นตั้งๆอยู่

“แล้วงุ้งงิ้งกับคอเบียร์จะกินไหม เดี๋ยวคริสตัลจะไปซื้อให้” ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ตอบ คริสตัลก็เดินไปซื้อโดยฟังคำตอบ ซักพักคริสตัลก็เดินกลับมาพร้อมถุงจับฉ่ายสิบถุงโต “อ๊ะ งุ้งงิ้ง คอเบียร์ ฝากถือคนละห้าถุงหน่อยนะจ้ะ”

แล้วหญิงสาวก็ยื่นถุงคล้องใส่แขนของทั้งคู่ก่อนจะหมุนตัวกลับไปเดินควงแขนปฐพีที่ยืนรออยู่ หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินชมตลาดต่อ ซึ่งในระหว่างที่คริสตัลเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นอยู่นั้น ปฐพีก็เดินเข้าหาทั้งสองหนุ่มที่ถูกใช้เป็นเบ้ตั้งแต่แรก

“เพื่อเป็นการขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกับน้องสาวฉัน กลับไปจะทำอาหารให้กิน” ปฐพีพูดเสียงกระซิบ

“ครับคุณป๋า” ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน แต่ก็ไม่วายโดนปฐพีเขกหัวเนื่องด้วยข้อหาเรียกเขาว่าคุณป๋า หลังจากพวกเขาซื้อของเสร็จแล้วก็พากันเดินกลับสมาคมซึ่งเป็นภัตตาคารที่ชื่อว่า

จับฉ่ายโภชนา

“เอาของไว้ตรงนั้นแหละคอเบียร์งุ้งงิ้ง อ้อ แล้วก็อย่าลืมเอาจับฉ่ายร้อนไปใส่ชามด้วย จะได้ทานพร้อมกัน อิอิ” คริสตัลสั่งเพื่อนเป็นว่าเล่น ซึ่งทำเอาปฐพีถึงกับส่ายหน้า

“อย่าไปสั่งพวกเขามากนักสิเรา พวกเขาไม่ใช่ทาสรับใช้ที่จะจิกหัวใช้ได้ตลอดนะ” ปฐพีพูดในเชิงสั่งสอนพลางเอามือขยี้เส้นผมสีชมพูของคริสตัลด้วยความหมั่นไส้

“ค่าคุณพี่สุดหล่อ” คริสตัลพูดพลางแลบลิ้นใส่เขา “หนูไม่ใช้พวกเขามากหรอก เพียงแต่พวกเขาต้องทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับหนู พวกเขาก็เลยต้องยอมเป็นคนรับใช้หนึ่งอาทิตย์นะค่ะ”

ปฐพีได้ยินที่คริสตัลหรือแก้วผู้เป็นลูกสาวของเขาพูดแล้วก็พลันขมวดคิ้ว

“ไปเล่นสัญญาอะไรกันอีกล่ะหืม?”

คริสตัลหัวเราะแห้งๆก่อนจะตอบเขากลับมาว่า

“ก็ถ้าใครเก็บเลเวลได้ถึงสามสิบก่อน คนนั้นจะเป็นผู้ชนะนะค่ะพี่ปฐพี”

ปฐพีได้ยินก็พยักหน้าเข้าใจ

เหมือนแม่ไม่มีผิด

แต่ปฐพีก็ไม่ลืมที่จะสอนลูกสาวตัวเองไปด้วย

“น้องก็อย่าใช้พวกเขามากแล้วกัน ประเดี๋ยวจะเกลียดขี้หน้ากันเอาซะเปล่าๆ” ปฐพีบอกก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวพี่ขอตัวไปทำอาหารกลางวันก่อนนะ อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าล่ะ”

“เอาหูฉลามน้ำแดง เป็ดปักกิ่ง สุกี้ไหหลำ ผัดจับฉ่าย แล้วก็เป็ดกับไก่ อย่างละตัวค่ะ”

คำตอบของคริสตัลหรือแก้วทำเอาปฐพีถึงกับขมวดคิ้ว

ยัยแก้ว หนูจะเป็นปอบหรือลูก

“โอเค งั้นไปนั่งรอที่ห้องรับแขกล่ะ” ปฐพีบอกก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องครัวของร้านอาหารตัวเอง ซึ่งภายในห้องครัวทุกคนที่เป็นสมาชิกของสมาคมจับฉ่ายกำลังวิ่งวุ่นทำอาหารอยู่

“อ้าวกลับมาแล้วหรือปฐพี ไปเที่ยวกับลูกสาวตัวเองเป็นไงบ้าง สนุกไหมล่ะ” ศาสตราเดินมาพร้อมกับพูดโดยใช้พรายกระซิบกับเขา

“ก็สนุกดี” ปฐพีตอบสั้นๆ เรื่องที่เขาเป็นพ่อของคริสตัลในโลกจริงนั้นมีเพียงศาสตรากับพิภพเท่านั้นที่ทราบ “ถ้าไม่มีสองคนนั้นไปด้วยนะ”

ศาสตราได้ยินที่ปฐพีพูดถึงกับอมยิ้ม

“แหม หวงลูกสาวเชียวนะปฐพี กลัวลูกสาวโดนสองคนนั้นจีบรึไง เด็กพวกนี้เพิ่งจะสิบขวบเองไม่ใช่รึ”

“สมัยนี้แค่สิบขวบก็ไม่ปลอดภัย” ปฐพีเถียงย้อนอย่างหงุดหงิด “ถึงในเกมแก้วจะมีรูปร่างอายุสิบสี่สิบห้าปี แต่ตัวจริงที่นอกเกมเป็นเพียงแค่เด็กสิบขวบเท่านั้น ยังไงแก้วก็ต้องมีผู้ปกครองดูแล”

“เออๆ รู้แล้วๆ คุณพ่อคนเก่ง ถามจริงที่แกหวงเพราะหวงเองหรือเมียสั่งมาคุม ...อะจ๊าก! พิภพช่วยฉันด้วย ปฐพีจะฆ่าฉานนน!” ศาสตราร้องลั่นพลางวิ่งเข้าไปหาพิภพที่กำลังคุมคนในโซนเตรียมอาหารอยู่ ซึ่งโชคยังดีที่ศาสตรากับปฐพีใช้พรายกระซิบในช่องสื่อสารระหว่างเพื่อนสนิท ก็เลยทำให้พิภพได้ยินบทสนทนาตั้งแต่ต้นอย่างชัดเจน

“ถ้ากลัวตาย อย่าริอาจลามปามถึงของสูง”

ปฐพีบอกพลางสาวเท้าเดินพร้อมกับรังสีอำมหิต จนทุกคนที่อยู่ในที่นั้นถึงกับสะดุ้ง แต่ไม่ทันที่ปฐพีจะได้เดินถึงตัวศาสตรา เสียงเจื้อยแจ้วของคริสตัลก็ดังลอดมาจากข้างนอกว่า

“พี่คะ อย่าลืมทำลำไยน้ำกะทิด้วยนะคะ!”

เท่านั้นแหละปฐพีถึงกับปล่อยดาบร่วงหล่นกับพื้นอย่างไม่ตั้งใจ รวมถึงศาสตรากับพิภพต่างสะดุ้งไหวจนแทบจะกอดกันเลยด้วยซ้ำถ้าหากไม่ติดตรงที่นี่มีคนหมู่มาก คงจะกอดกันด้วยความกลัวกับชื่อที่ได้ยินเมื่อครู่นี้


...........................

ย้อนกลับมาทางด้านพวกเมฆา ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้เดินออกมาจากถ้ำมังกรวายเวิร์นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเบื้องนอกถ้ำเป็นทุ่งดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา

“ว้าว สวยจังเลย” มาริโอร้องอุทานอย่างตะลึงเมื่อได้เห็นทุ่งดอกไม้

“ตอนนี้ยังเที่ยงอยู่เลย คงจะยังเก็บดอกไวท์มูนไลท์ไม่ได้” ธิดาบอกรัตติก่อนจะหันไปมองสองหนุ่มที่ยืนอยู่ “จะทานข้าวเที่ยงเลยไหมคะคุณเมฆาคุณอเลน”

“ก็ดีเลยครับ กำลังหิวอยู่พอดี ว่าแต่พวกคุณเอาของกินอะไรติดตัวมาบ้างหรือเปล่าครับ พอดีพวกผมสองคนเอามาแค่เนื้อหมูป่าย่างมาเท่านั้น” อเลนถามพวกรัตติ

“ดิฉันมีข้าวกล่องสารพัดประโยชน์แค่ชุดเดียวกับน้ำส้มคั้นหนึ่งกะติกเองค่ะ คงจะไม่พอท้องทุกๆคนได้” ธิดาตอบพลางหันไปถามรัตติบ้าง “แล้วน้องรัตติล่ะจ้ะ เอาอะไรติดตัวมาบ้างเอ่ย”

“ผมไม่มีติดตัวหรอกครับ มีแต่อยู่ในเต็นท์นะ” คำตอบของรัตติ ทำเอาทุกคนยกเว้นมาริโอหันไปมองอย่างสงสัย

“พอดีในเต็นท์ของผมสามารถสั่งอาหารได้นะครับ เดี๋ยวผมจะทำให้ดู” รัตติตอบก่อนจะเรียกเต็นท์ออกมากางกับพื้น แล้วเดินหายเข้าไปสักพักก่อนจะออกมาพร้อมกับกล่องอาหารปิ่นโตสามสี่เถาท่ามกลางสายตาตกใจของสองหนุ่มกับหนึ่งสาว “นี่ไงครับอาหาร อยากได้อีกก็บอกได้นะครับ ผมจะได้ไปสั่งอาหารข้างในเต็นท์อีก”

“สุดยอดเลยจ้ะน้องรัตติ นี่น้องไปได้เต็นท์นี้มาจากไหนหรือจ้ะ” ธิดาถามอย่างสงสัย

“ก็ไปได้จากพี่ชายคนหนึ่งนะครับ” รัตติตอบพลางนึกย้อนกลับไป ตอนนั้นเมฆาได้หลุดจากเกมไป ก็เลยทำให้เธอกับมาริโอต้องโดนหนอนยักษ์รุมทำร้าย แต่โชคยังดีที่ได้พี่ปริ๊นซ์เข้ามาช่วยได้ทันท่วงที “พวกพี่จะเอาอะไรเพิ่มอีกไหมครับ ผมจะได้เข้าไปอีก”

“ไม่ต้องแล้วครับน้องราตรี แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” อเลนบอก ซึ่งหลังจากนั้นธิดาก็เอาผ้าปูมากางกับพื้น ก่อนที่ทุกคนจะนำของกินตัวเองมาวางกับผ้าปู ซึ่งของอเลนกับเมฆาเป็นเนื้อหมูป่าย่างตามที่กล่าวไว้จริงๆ ส่วนของธิดาก็เป็นซูชิกับน้ำส้มคั้น ซึ่งน้ำส้มคั้นนั้นธิดาได้แบ่งส่วนให้คนละแก้ว และของรัตติก็เป็นปลาย่าง ผัดผักกุยช่าย โอนิกิริ แอปเปิ้ล ซึ่งในระหว่างทานอาหารนั้นมีเพียงธิดาที่นั่งคุยกับอเลนอยู่สองคน ส่วนรัตติกับเมฆาได้แต่นั่งทานอย่างเงียบๆ (ยกเว้นมาริโอที่นั่งซัดข้าวอย่างเดียว) หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ธิดาก็ได้เอ่ยปากท้าประลองฝีมือกับอเลน ซึ่งทำให้รัตติต้องนั่งอยู่กับเมฆาตามลำพัง (ส่วนมาริโอนั้นกลับเข้าไปนอนหลับในเต็นท์ของเธอ)

“ขอโทษนะ” จู่ๆ เมฆาก็พูดขึ้นมา ทำเอารัตติที่นั่งมองการต่อสู้ระหว่างธิดากับอเลนถึงกับหันไปมองผู้พูด

“เมื่อครู่นี้ท่านพี่พูดอะไรหรือครับ ผมไม่ทันได้ฟัง” รัตติถามอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไร” เมฆาตอบพลางหันหน้ามาทางรัตติ “เอ่อ…พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้ออกตามหาน้องตอนที่ถูกลักพาตัวไป พี่…”

“ท่านพี่ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วไป เพราะตอนนั้นผมกับมาริโอถูกพวกนั้นโยนลงน้ำทะเล ดีที่ท่านพี่ธิดาช่วยไว้ได้ทัน ไม่งั้นจมน้ำทะเลแย่เลย ว่าแต่ท่านพี่บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือครับ มีของอะไรติดตัวหล่นหายบ้างหรือเปล่า”

รัตติถามอย่างสงสัย เพราะการต่อสู้แต่ละครั้งน่าจะมีของตกหล่นเหมือนกับเธอ อาทิเช่นของกินหรือน้ำยาเพิ่มเลือดอะไรประมาณนี้ ซึ่งเมฆาได้ยินที่รัตติถามก็พลันส่ายหน้าไปมา

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร และไม่มีของหายด้วย” เมฆาตอบก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่น้องเป็นไงมาไงถึงได้ข้ามเรือขึ้นมาทวีปหลักล่ะ ระดับการต่อสู้ถึงสามสิบแล้วรึไงครับ”

“ยังครับท่านพี่ ผมเพิ่งจะเลเวลสิบห้าเองครับ” คำตอบของเธอทำเอาเมฆากุมขมับ

“เอาอย่างนี้แล้วกัน หลังจากเก็บดอกไวท์มูนไลท์แล้ว น้องไปเก็บเลเวลกับพี่อีกดีไหมครับ” เมฆาถามต่อ ซึ่งทำเอารัตติได้ยินถึงกับดีใจ

“ดีครับ แต่…” รัตติตอบพลางนึกขึ้นได้ว่าต้องอยู่ทำงานให้กับพี่ธิดา “…ผมต้องอยู่ทำงานตอบแทนบุญคุณท่านพี่ธิดา…”

“ไม่ต้องแล้วล่ะจ้ะน้องรัตติ เรื่องทำงานตอบแทนบุญคุณพี่นั้น น้องก็ได้ชดใช้ให้พี่จนหมดแล้ว”

เสียงธิดาพูดแทรก ทำเอาสองหนุ่มหันไปมองก่อนจะพบว่าธิดาเดินกะเผลกกลับมา พร้อมกับอเลนที่แทบจะคลานเดิน

“แต่ผมเพิ่งจะทำงานได้แค่สามวันเองนะครับท่านพี่” รัตติแย้ง แต่ทว่าธิดากลับส่ายหน้า

“สามวันก็จริง แต่น้องช่วยทำงานให้พี่มากพอแล้วจ้ะ” ธิดายิ้มพลางหันมามองเมฆา “เชิญเอาน้องรัตติไปเก็บเลเวลได้ตามสบายเลยนะคะคุณเมฆา เพราะหลังจากจบภารกิจนี้แล้ว ดิฉันต้องลุยงานสมาคมอีกเยอะ ไม่ว่างพาน้องรัตติกับน้องมาริโอไปเก็บเลเวลอีกแล้วล่ะค่ะ”

“ครับ ผมต้องขอบคุณคุณธิดาจริงๆที่อุตส่าห์ช่วยดูแลน้องราตรีกับน้องมาริโอในช่วงที่ผมไม่อยู่” เมฆาบอก ซึ่งธิดาได้แต่โบกมือไปมาว่าไม่เป็นไร หลังจากนั้นเมฆาก็ขอดูความคืบหน้าการฝึกวิชาของรัตติ ซึ่งผลหลังจากการที่ได้ดูรัตติใช้ทักษะเวรกรรมและทักษะรวมร่างกับมาริโอแล้ว เมฆาถึงกับพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วเวลาผ่านไปจนกระทั่งตกเย็น หลังจากที่พวกเขาได้ทดลองวิชากันจนหายอยากแล้ว พวกเขาก็นั่งพักทานข้าวเย็นด้วยกันอีกครั้ง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างมานั่งรอเวลาเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลาที่ดอกไวท์มูนไลท์จะบานออก

“อีกเดี๋ยวพอพระจันทร์ตรงหัวแล้ว ดอกไวท์มูนไลท์ก็จะบานออก”

ธิดาบอกรัตติที่นั่งอยู่ข้างๆธิดา ส่วนเมฆากับอเลนก็นั่งอยู่อีกฟากคอยรอเช่นเดียวกับพวกรัตติ

“แล้วดอกไวท์มูนไลท์นี่จะบานออกกี่ดอกรึครับ” รัตติถามอย่างสงสัย

“เจ็ดดอกจ้ะ” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “ฉะนั้นหายห่วงได้ว่าจะเก็บกันไม่ครบ เพราะภารกิจนี้เขาให้เก็บกันคนละดอก แล้วนำไปส่งให้กับจีเอ็มที่เมืองไหนก็ได้ แล้วจะได้ค่าตอบแทนเป็นขนนกชุบชีวิตนะจ้ะ”

“เหรอครับ งั้นก็ดีไปเลยนะสิฮะ ถ้าเพื่อนคนไหนตายก็สามารถชุบชีวิตเขาได้ทันทีเลย” รัตติพูดพลางเหลือบมองเมฆาก่อนจะวกสายตากลับมาที่ธิดาต่อ

“จ้า แล้วคนที่ชุบก็จะได้ไม่ต้องเสียค่าประสบการณ์ที่อุตส่าห์เก็บมานาน” ธิดาตอบก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวอีกสิบนาทีก็เที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวพวกเราก็ได้เก็บดอกไวท์มูนไลท์แล้วนะจ้ะ”

“ครับท่านพี่” รัตติตอบพลางก้มมองมาริโอที่นอนหลับบนตักขาของตัวเอง เพราะมันดึกมากแล้ว มาริโอก็เลยนอนหลับไปก่อนใครเขา

ถึงจะปากร้ายแต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำอยู่ดี

รัตติคิดในใจพลางตบหลังมาริโอเบาๆ แล้วก็เงยหน้ามองพระจันทร์ที่เต็มดวงลอยอยู่บนท้องฟ้าเพื่อฆ่าเวลารอที่ดอกไวท์มูนไลท์จะบาน

“โอ้ย! ไม่นะ อ้าก!”

จู่ๆเสียงร้องของเมฆาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ทำเอาทุกคนหันไปมองคนร้องอย่างสงสัย รวมถึงมาริโอที่นอนหลับไปแล้วผุดลุกขึ้นมาอย่างตกใจ เผยให้เห็นชายหนุ่มนั่งกอดอกของตัวเองด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างใน

“ท่านพี่เมฆาเป็นอะไรไปครับ!”

รัตติร้องเรียกพลางลุกขึ้นไปดูอย่างเป็นห่วง

“เฮ้ยเมฆา เป็นอะไรไป เจ็บตรงไหนบอกข้ามาสิ”

อเลนที่อยู่ใกล้สุดร้องถามพลางแตะไหล่เพื่อน หากแต่โดนเมฆาปัดป้องมือออกห่างตัวเองก่อนที่เจ้าตัวจะกอดตัวเองนอนล้มกลิ้งกับพื้นไปมาพลางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

“คุณอเลนคะ ก่อนหน้าที่คุณเมฆาไปโดนอะไรมาหรือเปล่าบ้างคะ” ธิดาถามอย่างสงสัย

“เปล่าครับ เขาไม่ได้โดนอะไรมาเลยซักนิด” อเลนตอบพลางก้มมองดูเพื่อนกรีดร้องอย่างรู้สึกเจ็บปวดแทน “แปลกมาก แปลก”

“แล้วพี่อเลนไม่มีเวทมนตร์ที่จะทำให้ท่านพี่เมฆาหายเจ็บปวดได้เลยเหรอครับ”

รัตติถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

ไม่อยากเห็นท่านพี่เมฆาต้องเจ็บปวดแบบไม่รู้สาเหตุ

“ต้องรู้สาเหตุก่อนนะครับน้องราตรี” อเลนตอบพลางส่ายหน้า “งั้นเดี๋ยวพี่จะรีบแจ้งพนักงานให้มาช่วยดูดีกว่า เผื่อว่าแว่นตาอนาล็อกของเมฆาที่อยู่ด้านนอกเกิดประสิทธิภาพไม่ดี จะได้ช่วยกันแก้ไขได้ทัน”

ในขณะที่อเลนกำลังจะติดต่อกับพนักงานของเกมนั้น ร่างกายของเมฆาเกิดออร่าสีดำปกคลุมทั่วร่าง แล้วนัยน์ตาของเมฆาก็เบิกโพลง

“อ้ากกก!”

ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากแสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขาถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคมกวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิตและความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่เว้นแม้แต่รัตติที่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา สองมือกุมหูสองข้างของตัวเองราวกับต้องการปิดเสียงร้องของพี่ชายที่แสนดีแต่ก็ปิดไม่พ้น

“ไม่นะท่านพี่เมฆา...ม่ายยย!”

..............................................

(นอกบท)

“อ้ากกก!”

ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนไปริมฝีปาก แสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขา ถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคม กวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต และความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่เว้นแม้แต่รัตติที่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา สองมือกุมหูสองข้างของตัวเองราวกับต้องการปิดเสียงร้องของพี่ชายที่แสนดีแต่ก็ปิดไม่พ้น

“แอร๊ยยยย เดวิลแมน…”

จากนั้นเมฆาในร่างปีศาจก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้มือตบที่บ้องหูของรัตติ

ผัวะ!

500


“เดวิลแมน เตี่ยเอ็งดิ คนละเรื่อง สาด”

 :m20: :m20: :m20: :m20:

 

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 53 คำสัญญา

..........................................

“ไม่นะท่านพี่เมฆา...ม่ายยย!”

รัตติกรีดร้องอย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเมฆา

“เมฆานี่เจ้า” อเลนพูดพึมพำพลางจ้องร่างของเมฆาที่แสนน่ากลัว “อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะไอ้นั่น คำสาป…”

ไม่ทันที่อเลนจะได้พูดจบ เมฆาในร่างปีศาจก็พุ่งเข้ามาทำร้ายอเลนโดยการบีบเค้นคอก่อนจะเขวี้ยงไปอีกทาง

ตูม!

8000


“คุณอเลน!”

ธิดาร้องเรียกชื่อพลางหันไปมองด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วเธอก็รู้สึกถึงแรงเตะเข้าที่ใบหน้าก่อนจะกระเด็นไปอีกทาง

ตูม!

9000


“ท่านพี่ธิดา!” รัตติร้องเรียกพลางดึงมาริโอเข้ามาใกล้ๆ เนื่องจากเธอยังไม่แน่ใจว่ารายต่อไปจะเป็นเธอหรือมาริโอกันแน่ พอเธอหันไปมองเมฆาอีกครั้ง ก็พบว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเดินสาวเท้ามาหาพวกเธออย่างเชื่องช้า “ท่านพี่เมฆา…ทำไมท่าน…ทำไมท่านพี่ต้องทำร้ายพวกเราด้วยครับ ท่านพี่เมฆา!”

ทว่าร่างสูงในคราบปีศาจหาได้ตอบไม่ นัยน์ตาสีแดงเลือดส่องประกายน่ากลัวจนมาริโอที่กำลังกอดรัตติอยู่นั้นถึงกับสั่นเป็นเจ้าเข้า ซึ่งรัตติรู้สึกถึงความกลัวของมาริโอได้ดี เพราะเธอเองก็รู้สึกกลัวเช่นเดียวกัน

“หนีไปมาริโอ หนีไปเร็วเข้า”

“ไม่ ข้าไม่หนี ถ้าเจ้าไม่หนี ข้าก็จะยืนอยู่ตรงนี้” มาริโอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความหวาดกลัว “หากจะหนีก็หนีด้วยกันสิ…”

ขวับ!

ผลัก!


รัตติผลักร่างมาริโอให้ออกห่างจากตนทันทีที่อีกฝ่ายได้ตวัดกรงเล็บใส่พวกเธอ ทำให้รัตติโดนกรงเล็บของเมฆาที่ใบหน้าเข้าไปเต็มๆ

7780

“โอ้ย!” รัตติร้องพลางเอามือกุมใบหน้าด้วยความเจ็บปวด นี่เป็นครั้งแรกที่โดนกรงเล็บฟาดใส่ใบหน้าของตัวเอง

“รัตติ/น้องรัตติ/น้องราตรี!” ทั้งมาริโอทั้งธิดาทั้งอเลนต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส เลือดไหลย้อยเต็มใบหน้าทำให้รัตติลืมตาแทบไม่ขึ้น ทำให้โลกทั้งโลกในสายตาของเธอกลายเป็นสีแดงจนแลดูน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่เลือดก็ไหลได้ไม่นาน เกล็ดมังกรของรัตติก็ขึ้นแทนที่เพื่อปกปิดบาดแผล

“ทะ…ท่านพี่…เม…ฆา” รัตติกัดฟันเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวด แต่ก็มิวายโดนอีกฝ่ายถีบท้องอย่างแรง

ผลัก!

8980

“อ็อก!” รัตติกระอักเลือดออกมาก่อนจะทรุดลงนั่งคุกเข่ากอดท้องกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ซึ่งทำให้มาริโอที่อยู่ใกล้ๆถึงกับรีบลุกขึ้นมาถีบร่างเมฆาด้วยความโมโห

“อย่ามาทำร้ายรัตติของข้านะ!”

ผัวะ!

1000


ถึงจะโดนมาริโอถีบ แต่ร่างสูงกลับนิ่งราวกับตุ๊กตา

“ยะ…อย่า…มาริโอ…นะ…หนี…ไป…ซะ แค่กๆ” รัตติพยายามฝืนพูดออกมาด้วยความเป็นห่วงมาริโอ กลัวมันจะโดนพี่เมฆาฆ่าตาย “นะ…หนี…”

ผัวะ!

7031


มาริโอโดนเมฆาในคราบปีศาจใช้มือปัดกระเด็นลอยไปในทิศของอเลน ซึ่งทำให้อเลนที่เพิ่งลุกขึ้นมานั้นสามารถรับร่างมาริโอไว้ได้ทันท่วงที หากแต่มันโดนเพียงครั้งเดียวถึงกับสลบไป

“มาริโอ!”

“ไม่เป็นไรน้องราตรี น้องมาริโอแค่สลบไปนะ” อเลนตะโกนตอบกลับมาก่อนจะวางร่างมาริโออย่างเนิบนาบ พลางลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “มาสิเมฆา มาสู้กับข้า อย่าไปรังแกพวกน้องเขา มาสู้กับข้า!” พูดจบ อเลนเรียกดาบออกมาอย่างเร็ว เผยให้เห็นดาบเล่มสีขาวใหญ่ ซึ่งเสียงของอเลนทำให้เมฆาในร่างปีศาจหันไปมองผู้พูด ด้วยสีหน้าอันเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยรังสีอำมหิต ทำให้อเลนสะดุ้งไหวเล็กน้อย “เฮ้ย ไม่เอาน่า หมอนั่นมันก็เพื่อนของเราแท้ๆ จะกลัวไปทำไมกันละเนี่ย”

อเลนพูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะวิ่งออกมาเพื่อกันมิให้มาริโอโดนลูกหลง ซึ่งทันทีที่อเลนวิ่งออกมาแล้ว เมฆาในร่างปีศาจก็ได้หันหน้ามองตามร่างของเพื่อนที่ออกวิ่งก่อนจะวิ่งเข้าหาอเลนอย่างรวดเร็ว

เคล้ง!

อเลนใช้ดาบของตัวเองรับกรงเล็บของอีกฝ่ายที่ฟาดลงมาได้ทันท่วงที แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็มิสามารถสู้แรงปีศาจได้ จึงถูกกรงเล็บปัดมืออย่างแรง ทำให้ดาบเล่มที่อเลนถือถึงกับกระเด็นลอยไปปักพื้น

“อ๊ะ แย่แล้วสิ!”

ฉัวะ!

8991


“อ็อก!” อเลนกระอักเลือดทันทีที่โดนเมฆาใช้มือขวาจ้วงเข้าที่หน้าอกทะลุไปอีกด้าน “มะ…เม…ฆา นี่เจ้า”

ฉูด!

“อ็อก!”

เมฆากระชากมือขวาออกอย่างแรง ทำให้อเลนต้องกระอักเลือดอีกรอบด้วยความเจ็บปวด แล้วเมฆาก็เอากรงเล็บที่เต็มไปด้วยเลือดของอเลนขึ้นมาเลียอย่างกระหาย

ไม่จริง เมฆา นี่เจ้า

อเลนคิดในใจก่อนจะหงายล้มลงไปนอนกับพื้นหมดสติไปในทันที เมื่ออเลนล้มลงไปแล้ว เมฆาในคราบปีศาจก็หันไปมองธิดาที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง

“คุณเมฆา” ธิดาตั้งสติแล้วพยายามเรียกชื่อของอีกฝ่ายให้ชัดๆ “กรุณาใจเย็นๆนะคะ นี่ดิฉันธิดาเองนะคะ คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยตั้งแต่นอกถ้ำแล้วนะคะ”

ทว่าเมฆาหาได้ฟังไม่ กลับก้าวเท้าเดินเข้าหาธิดาอย่างเชื่องช้า ซึ่งทำเอาธิดาเห็นถึงกับก้าวเท้าถอยหลังอย่างลืมตัว

“คุณเมฆา”

ผัวะ!

7872

ธิดาโดนเมฆาตวัดหางฟาดเข้าที่ลำตัวอย่างแรง ส่งผลให้ธิดาถึงกับกระอักเลือด

“อั่ก!”

เมื่อโดนฟาดเสร็จ ก็ตามด้วยเกราะไหล่ ซึ่งระเด็นไปข้างหนึ่ง ก่อนชิ้นอื่นจะค่อยกระเด็นตามมา จากนั้นเศษเกราะชิ้นหนึ่งก็กระเด็นหลุดออกมาตามแรงฟาด จากนั้นหางของเมฆา ก็สะบัดเข้าใส่ร่างของธิดาอย่างบ้าคลั่ง จนธิดาต้องกรีดร้องอย่างโหยหวน ท่ามกลางแววตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความสะใจของปีศาจร้ายเมฆา ชิ้นแล้วชิ้นเล่า ของเกราะที่ธิดาสวมใส่ต้องกระเด็นหลุดออกจากร่างกาย ทิ้งไว้เพียงเศษเสื้อผ้าที่ชุ่มโชกด้วยเลือดและรอยแผลเป็นทางยาว ก่อนที่มันจะหยุดลง ปล่อยให้ร่างกึ่งเปลือยของธิดาที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับเศษผ้าและเศษเนื้อทรุดลงกับพื้น

“พอที…พอได้แล้วท่านพี่!”

รัตติตะโกนร้องให้อีกฝ่ายหยุด ซึ่งทำให้เมฆาเปลี่ยนทิศทางมาหารัตติทันที

ผัวะ!

7882


รัตติโดนเมฆาต่อยเข้าที่ใบหน้าเต็มแรงก่อนจะกระเด็นไปตามแรง

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

ทว่าเมฆาไม่รอให้รัตติได้หยุดนิ่ง กลับวิ่งคว้าคอไว้ แล้วเอามืออีกข้างชกรัวใส่

บึก! บึก! บึก! บึก!

6892

5960

7890

7001


“อ็อก!” รัตติกระอักเลือดด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เมฆาจะโจมตีรัตติรัวโดยไม่หยุดพัก “อั่ก อ็อค! ท่าน อั่ก! ท่านพี่…อั่ก! ท่าน…พี่…เม…ฆา”

รัตติเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงลมหายใจขาดห้วง ซึ่งในจังหวะนี้เองที่มาริโอ ได้สติลืมตาขึ้นมา

“โว้ย ได้สติซักทีเซ่ เมฆา!” มาริโอเห็นโดนรัตติทำร้ายก็โกรธจนลืมเจ็บ ก่อนจะลุกขึ้นพุ่งเข้าไปโจมตีเมฆา แต่ทว่าเมฆาไม่สนใจมัน แล้วพวกอเลนกับธิดาที่สลบไปนาน ก็ได้ฟื้นขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นคลานไปหยิบดาบ แล้วเดินโซซัดโซเซเข้ามาหาเมฆา ส่วนเมฆาที่กำลังสะใจกับการโจมตีรัตติอยู่นั้น เหลือบเห็นอเลนกับธิดากำลังเดินเข้ามาก็จริงแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก่อนจะหันมาโจมตีรัตติต่อ ซึ่งทำให้อเลนกับธิดาสบตากันแบบหนักใจ เพราะสภาพร่างกายของพวกเขาไม่เอื้ออำนวย ระหว่างนี้มาริโอก็ยังโจมตีเมฆาอย่างต่อเนื่องพลางเรียกให้เมฆาหยุด แต่ก็ไร้ผลจนสภาพร่างกายของรัตติเริ่มเป็นสีแดง ซึ่งหมายถึงว่าร่างกายของรัตติกำลังใกล้จะเป็นศูนย์ หรือที่เรียกว่าตายดีๆนั่นเอง

ไม่ไหว…แล้ว

“ทะ…ท่าน…พี่…เม…ฆา” รัตติใช้ลูกอึดครั้งสุดท้ายร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากอาบแก้ม ก่อนที่น้ำตาจะไปหยดลงบนหลังมือของเมฆา ซึ่งประกายแสงจากน้ำตาทำให้เมฆาหยุดชะงักการลงมือ ธิดากับอเลนเห็นดังนั้นก็ใช้โอกาสนี้เสือกดาบแทงข้างหลังเมฆาอย่างสุดแรงเกิด

ฉึก! ฉึก!

9000

9761


“อั่ก!”

เมฆาในคราบปีศาจกระอักเลือด ก่อนที่อเลนกับธิดาจะก้าวเท้าเดินถอยหลังเพื่อดูท่าทีของเมฆา ส่วนมาริโอนั้นก็ได้แต่ยืนมองอย่างสงสัย ซึ่งเวลาผ่านไปได้แค่หนึ่งนาที ประกายแววตาที่โหดเหี้ยมก็พลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่น ซึ่งเมฆาจะกระพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากทางหลัง

นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่?

ครั้นพอคิดได้ดังนั้น ก็พลันเห็นใบหน้าที่คุ้นตาในสภาพยับเยินไปด้วยเลือดจนดูไม่ได้

“น้องราตรี!” เมฆาร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง ก่อนจะปล่อยมือออกจากเสื้อแล้วโอบอุ้มอีกฝ่ายแทน “น้องราตรี ใครทำน้องราตรีกันแน่”

“ก็เจ้านั่นแหละเมฆา ที่ทำร้ายน้องราตรี”

เสียงอเลนตอบ ทำให้เมฆาต้องหันไปมองเพื่อนก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพดูไม่ได้ของอเลนกับธิดา

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงได้…”

“เพราะเจ้านั่นแหละเมฆา ฝีมือของเจ้าทำให้พวกเราต้องบาดเจ็บสาหัสยังไงล่ะ” อเลนพูดพลางหยิบน้ำยาเพิ่มเลือดขึ้นมาดื่มยกใหญ่จนหมดไปหลายขวด ส่วนธิดาก็เช่นเดียวกับอเลน เธอรีบน้ำยาเพิ่มเลือดเพื่อกันมิให้ตัวเองต้องตายแล้วจึงค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ “อย่ามัวแต่อึ้ง รีบเติมเลือดให้น้องราตรีเร็วเข้าสิ เดี๋ยวเขาก็ตายคามือของเจ้าหรอกเมฆา”

เมฆาได้ยินถึงกับสะดุ้งก่อนจะรีบหยิบขวดน้ำยาเพิ่มเลือดพลางป้อนให้อีกฝ่ายดื่ม ทว่ารัตติในตอนนี้ยังไม่ได้สติดีพอ จึงทำให้น้ำยาไหลออกมุมปากหมด

“น้องราตรีดื่มสิ ถ้าไม่ดื่มน้องจะตายเอาได้นะ!” เมฆาร้องพลางเขย่ารัตติให้ตื่น ทว่าร่างเล็กหาได้ตื่นตามเสียงปลุกไม่ มีเพียงแววตาอันเลื่อนลอยกับอีกข้างที่ปูดบวมจนปิดเนื่องจากถูกต่อยมากไปทำให้เมฆานึกปวดใจ

เป็นเพราะเราแท้ๆ

เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตื่น เมฆาจึงยกน้ำยาขึ้นมาอมไว้ก่อนจะประทับกับริมฝีปากเพื่อป้อนน้ำยาให้กับน้องราตรี ทำเอาอเลนกับธิดาและมาริโอถึงกับตะลึง ซึ่งเมฆาทำอยู่หลายครั้งจนร่างของรัตติหายเป็นสีแดง ยกเว้นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นไม่ได้จางหายไปด้วย รอยแผลยังคงอยู่แต่ก็ใกล้จะเลือนหายไป ส่วนเลือดก็ได้หยุดไหลไปนานแล้ว

“น้องราตรีครับ ขอร้องล่ะฟื้นที” เมฆาร้องเรียกพลางกอดร่างบางด้วยน้ำเสียงสะอื้น “พี่ขอโทษ ขอโทษ พี่ขอโทษ พี่ไม่น่าทำกับน้องแบบนี้เลย ขอโทษ พี่ขอ…”

“ท่าน...พี่...เม...ฆา”

เสียงราตรีร้องเรียกชื่อ ทำให้เมฆาเงยหน้าขึ้นมองรัตติทั้งน้ำตา

“น้องราตรี”

“ท่านพี่...รู้สึกตัวแล้ว...หรือครับ” ราตรีถามพลางไอค่อกแค่ก แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่โดนทำร้ายร่างกายยังคงอยู่ “ดีจังเลย...นะครับที่รู้สึกตัวมาได้ ผม...เป็นห่วง...ท่านพี่แย่...แทบแย่...เลยรู้ไหมครับ แค่กๆ”

“น้องราตรีอย่าพูดมากเลยครับ ประเดี๋ยวบาดแผลจะเปิด...”

“บาดแผลแค่นี้...ยังเทียบกับความเจ็บปวด...ของท่านพี่ที่กลายร่างเป็น...ปีศาจไม่ได้หรอกครับ” รัตติบอกพลางยกมือขวาขึ้นลูบแก้มของเมฆาอย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวดที่ยังไม่ทุเลาดีทำให้มือขวาของรัตติสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งทำให้เมฆาต้องรีบจับมือขวาข้างนั้นไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้ “แค่ท่านพี่...รู้สึกตัวได้...ก็ดีแล้วครับ”

“พี่ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษที่ทำให้น้องกับทุกๆคนต้องได้รับบาดเจ็บ พี่มันแย่จริงๆ!”

รัตติหรือราตรีได้ยินถึงกับส่ายหน้า

“อย่าขอโทษเลยครับ ของแบบนี้ไม่มีใครผิดใครถูก เพราะตอนนั้นท่านพี่ แค่กๆ ก็ไม่ได้รู้สึกตัวเลยซักนิด เพราะฉะนั้นอย่าได้โทษตัวเองเลยครับ” ความใจดีของน้องราตรีทำเอาคนฟังแทบปวดใจ เพราะตอนก่อนที่เมฆาจะจำความไม่ได้ เขาได้เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่เต็มดวงอยู่ด้วย

นี่ถ้าเขารู้ตัวก่อนว่าพระจันทร์เต็มดวงทำให้ตนเองต้องกลายร่างเป็นปีศาจแล้วควบคุมไม่ได้ล่ะก็ คงไม่อยู่ให้พวกเขาต้องได้รับบาดเจ็บแบบนี้หรอก

“ต่อไปนี้ถ้าพี่แปลงร่างแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้อีกล่ะก็ พี่ขอให้น้องราตรี...” เมฆาพูดพลางถอนหายใจ แล้วทันใดนั้นร่างกายที่แสนจะน่ากลัวก็พลันกลับมาเป็นร่างมนุษย์ดังเดิม “...ฆ่าพี่ซะ อย่าให้พี่ทำร้ายใครได้อีก น้องราตรีรับปากพี่ได้ไหมล่ะครับ”

รัตติได้ยินดังนั้นก็พลันขมวดคิ้วกับคำสัญญาของเมฆา

“ผม...” รัตติพูดพลางกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก คำสัญญาไม่ว่าใครๆก็พูดได้ แต่พอเวลาที่จะทำจริง มันยากกว่าที่คิด “...ตกลงครับ ถ้าถึงเวลานั้นจริง ผมจะเป็นคนหยุดท่านพี่เองครับ”

เมฆาได้ยินที่ราตรีพูดก็พลันยิ้มออกมา

“ดีมากครับ แล้วน้องราตรีก็อย่าลืมสัญญานั้นเชียวล่ะ”

“ครับท่านพี่เมฆา”

แล้วจากนั้นรัตติก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย 

......................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 54 ครอบครัวพบหน้า

...............................

กลับมาทางด้านปฐพีที่วันนั้นทั้งวันใช้เวลาอยู่กับลูกในเกมแล้ว วันต่อมาเขาก็ต้องออกไปทำภารกิจกับพวกศาสตราต่อ ซึ่งเป็นภารกิจในการล่าเขาหมาป่าระดับแปดสิบเพื่อนำเขาของมันมาส่งให้กับเอ็นพีซี ทว่าทางที่จะไปล่าหมาป่านั้นจะอยู่แถวเชิงหน้าผาติดอยู่กับถ้ำมังกรวายเวิร์นไปซักสองสามเมตรได้ จึงทำให้พวกเขาต้องใช้เวลานานอยู่เกือบสองวันกว่าจะไปถึงโซนล่าหมาป่าได้ พอไปถึงที่หมายแล้วสามหนุ่มก็ตั้งแผนล่าเขาหมาป่าอยู่สักพักก่อนจะแยกกันออกล่าตามแผนการ จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงเที่ยงวัน พวกเขาก็ได้เขาหมาป่าอย่างสมใจอยากก่อนจะไปนั่งพักปักเต็นท์อยู่ที่หน้าถ้ำมังกรวายเวิร์นเพื่อพักผ่อนเอาแรง

“อาหารมื้อนี้นายจะทำอะไรให้พวกเรากินเหรอปฐพี” ศาสตราถามอย่างสงสัยในขณะที่ตัวเองหิ้วถังน้ำมาวางไว้ให้ปฐพีที่กำลังหั่นเนื้อหมาป่าอยู่

“เนื้อหมาป่านึ่งมะนาวกับผัดเห็ดน้ำมันหอย”

แค่ฟังก็น้ำลายซอ ทำให้ศาสตรารู้สึกกระตือรือร้นที่จะช่วยเพื่อนทำอาหาร

“งั้นนายหั่นเนื้อไปนะศาสตรา” ปฐพีบอกทันทีที่ศาสตราเอ่ยปากจะช่วยเขา “หั่นเฉลียงๆให้เท่ากันล่ะ เอ้อ พิภพ วานนายหยิบน้ำมันหอยกับเห็ดมาซิ เดี๋ยวฉันจะไปตั้งกระทะให้เดือดก่อน”

ปฐพีบอกเพื่อนอีกคนที่ว่างงาน ซึ่งทำให้พิภพรีบทำตามอย่างว่าง่าย หลังจากเวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง ปฐพีก็ทำอาหารจนเสร็จ

“ผู้เล่นปฐพีได้อัพทักษะการทำอาหารระดับ9,10”

เสียงระบบประกาศบอก ซึ่งปฐพีหาได้สนใจไม่ แล้วพวกเขาก็ลงมือทานอาหารกันทันทีด้วยความเอร็ดอร่อย ซึ่งในระหว่างทานอาหารไปนั้นพวกเขาก็ได้คุยกันเรื่องทักษะอาชีพของตัวเอง

“อย่างฉันต้องไปหัดเย็บเสื้อผ้า หัดเขียนแบบเสื้อผ้า เฮ้อ เหนื่อยไม่ใช่ย่อยเลยนะ” ศาสตราบ่นไปเคี้ยวเนื้อไปพลาง “นี่เพิ่งจะได้ทักษะตัดเย็บเสื้อผ้าแบบใช้เครื่องจักรระดับแปดเอง”

“เหรอ แค่นั้นก็ดีแล้วนี่” พิภพพูด แต่ศาสตรากลับโบกมือไปมา

“อย่างฉันจะไปสู้อะไรนายได้ล่ะพิภพ ได้อาชีพพร้อมกันแต่นายสามารถสร้างปืนได้เป็นคนแรกของเกมนี้ สุดยอดจริงๆ เดี๋ยวอีกหน่อยนายก็คงจะสร้างรถสร้างเรือได้แน่ๆ” คนถูกชมยิ้มน้อยๆ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่พยายามนิดหน่อยเอง” พิภพบอกก่อนจะพูดต่อ “อย่าว่าแต่ฉันเลย นายเองก็เพิ่งเย็บชุดราตรีแล้วนำออกประมูลได้เป็นล้านของคนแรกในเกมเลยไม่ใช่รึไง”

“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่ยังไงก็สู้นายไม่ได้อยู่ดีนะพิภพ ของนายมันสุดยอด เอ้อ ของปฐพีก็ด้วยนี่” ศาสตราหันมาพูดกับเขา

“ก็แค่ประกาศนียบัตรชมเชยว่าทำอาหารอร่อยหนึ่งใบกับชุดเครื่องครัวหนึ่งชุดและบัตรส่วนลดซื้อวัตถุดิบ มันจะสุดยอดตรงไหนของนายล่ะ” ปฐพีตอบพลางยกน้ำชาที่เขาปรุงเองขึ้นดื่มแก้กระหาย

“สุดยอดสิ ถ้าเป็นในโลกแห่งเกมที่หาซื้อของกินแพงแบบนี้ ไม่ว่าใครก็อยากได้กันทั้งนั้น”

“ถ้านายว่าสุดยอดแล้ว ทำไมนายถึงเลือกอาชีพดีไซน์เนอร์แทนที่จะเป็นพ่อครัวล่ะศาสตรา” ปฐพีแย้งอย่างมีเหตุผล ซึ่งทำเอาคนโดนว่าถึงกับเบะปาก ก่อนจะนั่งหน้างุดทานอาหารไปอย่างเงียบๆเพราะเถียงไม่ออก ในขณะที่พวกเขานั่งทานอาหารไปเรื่อยๆนั้น ก็มีเสียงคนพูดคุยดังลอดจากในถ้ำออกมา

“เฮ้อ กว่าจะได้ออกมาก็เหนื่อยแทบแย่ ท่านมังกรวายเวิร์นก็รั้งพี่ให้เล่นหมากรุกเสียตั้งนาน”

“ฮะๆ ก็ท่านพี่เมฆาเล่นหมากรุกเก่งนี่ครับ สมควรแล้วที่ท่านมังกรจะรั้งตัวเอาไว้”

เสียงคุ้นดังขึ้น ทำเอาปฐพีถึงกับวางช้อนแล้วหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะพบกับเมฆาที่กำลังเดินออกมาพร้อมกับเด็กหนุ่มผมสีเงินสั้น และเห็ดมาริโอ

“นั่นมันน้องรัตติกับน้องมาริโอนี่ โอ้ แถมมาพร้อมกับเมฆาซะด้วย อ๊ะ นั่นธิดานี่” ศาสตราร้องอุทานเสียงดังลั่น ทำให้สองร่างที่เพิ่งเดินออกมาจากถ้ำหันมามองพวกเขา รวมถึงหญิงสาวนามว่าธิดาเดินออกมาด้วยชุดเกราะรัดรูปสีเขียวอ่อนพร้อมกับอีกร่างเป็นชายหนุ่มที่ปฐพีไม่รู้จัก 

“อ้าวพี่ปฐพี พี่ศาสตรา พี่พิภพ พวกเราได้พบกันอีกแล้วนะครับ” น้องรัตติเอ่ยปากทักเขาก่อน “ท่านพี่เมฆาครับ นี่พี่ปฐพีคนที่เคยช่วยชีวิตของผมไว้ตอนความจำเสื่อมครับ ส่วนนั่นก็พี่ศาสตราและพี่พิภพ พวกเขาเป็นเพื่อนของพี่ปฐพี พวกเขาสองคนเคยแนะนำทักษะการต่อสู้ให้ผมตอนอยู่บนเรือด้วยล่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง ที่แท้คนที่ช่วยน้องก็เป็นพวกนายนี่เอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะตั้งแต่ในป่าเขาวงกต” เมฆาหันมาพูดกับปฐพี

“อืม ไม่ได้เจอกันนานเลย” ปฐพีตอบยิ้มๆพลางลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหาเมฆาโดยไม่มองธิดาที่ยืนอยู่ใกล้ๆเลยซักนิด “ว่าแต่พวกนายมาทำอะไรกันแถวนี้รึ อย่าบอกนะว่ามาทำภารกิจล่าเขี้ยวมังกรวายเวิร์นนะ”

“อ้อ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ พวกเรามาทำภารกิจเก็บดอกไวท์มูนไลท์นะ” เมฆาบอกพลางโบกมือไปมา แล้วธิดาก็เดินมาข้างน้องรัตติก่อนจะพูดว่า

“เดี๋ยวพี่ขอแยกทางกับน้องตรงนี้นะจ้ะน้องรัตติ”

“เอ๋ ท่านพี่จะไปแล้วเหรอครับ” น้องรัตติถามอย่างแปลกใจ ซึ่งธิดาพยักหน้าก่อนจะเอามือลูบหัวน้องรัตติกับน้องมาริโอ

“จ้ะ โชคดีนะ แล้วก็…” ธิดาหันมามองเมฆา “…คุณเมฆา ดิฉันฝากน้องรัตติกับน้องมาริโอด้วยนะคะ ดูแลให้ดีๆล่ะ อย่าทำให้น้องรัตติต้องเสียใจอีกนะคะ”

“ครับคุณธิดา”

“ค่ะ แล้วเจอกันนะจ้ะน้องรัตติน้องมาริโอ” ธิดาบอกก่อนจะเรียกม้าออกมาแล้วขึ้นขี่ม้าหายกลับเข้าไปในป่า เมื่อธิดาไปแล้ว หนุ่มๆต่างแนะนำตัวกันให้รู้จักกัน ก่อนที่ปฐพีจะเชิญเมฆา อเลน น้องรัตติ และน้องมาริโอให้มาทานข้าวกลางวันด้วยกัน

“โห น่ากินทั้งนั้นเลยนะฮะพี่ปฐพี” มาริโอพูดพลางอ้าปากจนน้ำลายหก ก่อนจะเหลือบไปเห็นอาหารอีกจานซึ่งวางอยู่ใกล้กับเนื้อหมาป่านึ่งมะนาว “นะ…นะ…นะ…นี่มันผัดเห็ดน้ำมันหอย! แง้! หนูไม่ทานเห็ดนะ ฮือๆ หนูไม่ทานเห็ดนะ!”

มาริโอร้องพลางล้มตัวนอนดิ้นไปดิ้นมา จนน้องรัตติต้องเข้าไปปลอบ

“โอ๋ๆ ไม่ทานครับไม่ทาน” น้องรัตติบอกพลางเงยหน้ามองเขา “พี่ปฐพีฮะ พี่พอมีวัตถุดิบเหลืออยู่บ้างหรือเปล่าครับ”

“ก็มีนะ น้องจะทำอาหารเพิ่มหรือ”

“ครับ” แล้วน้องรัตติก็ลงมือทำอาหารอย่างเร็วท่ามกลางสายตาหนุ่มๆ ซึ่งภายในยี่สิบนาทีน้องรัตติก็ทำจนเสร็จ

“โห น้องทำไมทำเร็วจัง” ศาสตราร้องอุทานอย่างตกใจ รวมถึงอเลนที่คิดว่าตัวเองทำเก่งแล้ว ยังอดนับถือน้องรัตติที่ทำเร็วกว่าตนเสียมิได้ “ขอพี่ชิมได้ไหมครับน้องรัตติ”

“เชิญเลยครับ ผมทำให้พวกพี่ทุกคนได้ทานนั่นแหละครับ” ว่าแล้วทุกคนก็ลองชิมอาหารที่น้องรัตติเป็นคนทำ ซึ่งจะมีต้มจืดเต้าหู้ไข่ลูกชิ้นปลากราย ผัดผักบุ้ง ยำไข่รวนสาหร่าย ต้มยำกุ้ง

“อร่อยสุดยอด!” ทุกคนพูดออกมาพร้อมกันเป็นเสียงเดียว รวมถึงมาริโอที่เอาแต่ซดน้ำต้มยำกุ้งไม่ยอมหยุด

“พี่ขอถามน้องหน่อย ทักษะทำอาหารของน้องมีระดับถึงไหนแล้วหรือ” อเลนถามอย่างสงสัย เพราะถ้าทำเร็วและอร่อยอย่างนี้ อย่างน้อยต้องมีระดับสิบ และต้องมีทักษะที่เกี่ยวกับการทำอาหารต้องมีระดับหกขึ้นไปด้วย

“สองครับ”

“ห๊ะ! สองเองเหรอ” อเลนร้องอุทานเสียงดังลั่น

“ครับ แค่สองเอง” น้องรัตติตอบก่อนจะพูดต่อ “ของแบบนี้ไม่ยากครับ มีเคล็ดลับนิดหน่อยที่ทำอาหารให้อร่อย ไม่จำเป็นว่าต้องใช้ทักษะอะไรใดๆทั้งสิ้นครับ”

“เหรอ งั้นช่วยสอนพวกพี่ระหว่างทานข้าวไปได้ไหมล่ะ” อเลนถามต่อ

“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้”

แล้วจากนั้นพวกเขาก็นั่งลงทานอาหารกัน โดยในขณะที่พวกเพื่อนของเขากำลังนั่งถกเถียงเรื่องอาหารอยู่นั้น ปฐพีก็นั่งทานอาหารไปอย่างเงียบๆ

รสชาติอาหารแบบนี้มันเป็นของคุณยายชัดๆ

ในโลกนี้ยังมีคนที่ทำอาหารได้เก่งไม่แพ้คุณยายด้วยหรือนี่

น้องรัตติจะต้องเก่งมากแน่ๆ


เขาคิดในใจพลางจ้องดูอาหารในช้อนของตัวเอง ก่อนจะเอาเข้าปากเคี้ยวละเอียดอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ลิ้นได้สัมผัสรสชาติของอาหารอย่างเต็มที่

ไม่ผิดแน่...รสชาตินี้ฝีมือของคุณยาย

ไม่มีใครเลียนแบบได้!


ปฐพีคิดในใจพลางเงยหน้ามองรัตติที่กำลังหัวเราะกับเพื่อนของเขาอยู่

จริงสิ ชื่อของน้องรัตติก็แปลได้ว่าความมืดเหมือนกันนี่

รัตติ ราตรี ราตรีพิสุทธิ์

ไม่ผิดแน่!

ต้องลองเสี่ยงดูหน่อยซะแล้ว


ปฐพีคิดในใจพลางถอนหายใจเบาๆก่อนจะส่งพรายกระซิบไปหารัตติว่า

“น้องรัตติคือคุณยายใช่ไหมครับ นี่ผมเอง นพหลานชายของคุณยายยังไงล่ะครับ”


..............................

“น้องรัตติคือคุณยายใช่ไหมครับ นี่ผมเอง นพหลานชายของคุณยายยังไงล่ะครับ”

เสียงพรายกระซิบดังในหัว ทำเอารัตติที่กำลังหัวเราะอยู่นั้นถึงกับชะงัก

นพ? นพส่งพรายกระซิบหาเรา?

รัตติคิดพลางขมวดคิ้ว ซึ่งท่าทางชะงักของรัตติทำเอาทุกคนหันมามองเธอ

“น้องรัตติมีอะไรหรือเปล่าครับ” อเลนที่นั่งอยู่ใกล้รัตติเอ่ยปากถามอย่างสงสัย ซึ่งเธอมองซ้ายมองขวาเพื่อหาต้นเสียง เพราะการที่จะส่งพรายกระซิบได้ คนๆนั้นจะต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เธอนั่งอยู่ ครั้นพอหันไปทางซ้ายรัตติถึงกับชะงักเมื่อเห็นปฐพีกำลังจ้องเธอแบบไม่กระพริบตา

หรือว่าปฐพีจะเป็น...

นพ


“ไม่มีอะไรครับ ผมก็แค่รู้สึกได้ยินเสียงแปลกๆ แต่ก็ช่างเถอะครับ” รัตติตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนก็หันไปรับประทานอาหารของตัวเองต่อ แล้วรัตติก็หันไปมองนพในร่างปฐพีด้วยแววตาเพชฌฆาต ซึ่งทำเอาคนถูกจ้องตอบถึงกับสะดุ้งเฮือก

“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ มาคุยกับยายหน่อย” รัตติส่งพรายกระซิบบอกปฐพีที่กำลังนั่งหน้าซีดเหงื่อไหลอยู่ “อย่าลืมล่ะ นพ...หลาน...รัก หึๆ”

หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว รัตติก็อยู่ช่วยล้างถ้วยล้างจานสักพักก่อนที่จะส่งซิกส์ให้ปฐพีรู้

“เดี๋ยวผมมานะครับ รู้สึกจะทำของตกหล่นในถ้ำนะ แหะๆ” รัตติบอกสองหนุ่มพลางลุกขึ้นยืน

“งั้นพี่ไปช่วยหาให้แล้วกันนะน้องรัตติ” ปฐพีบอกพลางรีบลุกขึ้นตาม ก่อนจะเดินเข้าไปในถ้ำพร้อมกับเธอท่ามกลางสายตาอันงุนงงของพิภพ ศาสตราและอเลน หลังจากที่รัตติเดินนำเข้าไปรอปฐพีอยู่ข้างในถ้ำพอสมควรแล้ว เธอก็หยุดเดินก่อนจะหันหน้ากลับไปทางปฐพีที่เพิ่งจะเดินตามมาถึง

“เอ่อ…คุณ…” ปฐพีพูดเสียงตะกุกตะกัก “…คุณยาย”

รัตติยิ้มก่อนจะหยิบแส้ออกมาจากกระเป๋าไอเทม ซึ่งทำเอานพในคราบปฐพีถึงกับสะดุ้ง

“คะ…คะ…คุณยายเอาแส้ออกมาทำไมครับ” ปฐพีถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ซึ่งรัตติยังไม่ตอบคำถามปฐพีเดี๋ยวนั้น กลับลองแส้ไปมากับผนังเล่นสักครั้งสองครั้ง

“อืม ประสิทธิภาพดี ยังใช้งานได้” รัตติพูดกับตัวเองก่อนจะหันมามองปฐพี “นพรู้รึเปล่าว่าผลของการเล่นเกมโดยไม่มีคู่มือ ไม่มีคนแนะนำตั้งแต่แรกเริ่มมันรู้สึกยังไง”

“เอ่อ ผม…ผมไม่ทราบครับ”

“ไม่ทราบงั้นรึ” รัตติขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ ยายเป็นคนพูดขอร้องเองที่จะเล่นตามลำพังโดยไม่มีนพ แต่…ใครกันหนอที่ทำยายตอนอยู่บนเรือกันแน่นะ ทั้งขู่ทั้งทำร้ายร่างกายทั้งตะคอก”

“ผมไม่ได้ตั้งใจครับคุณยาย ตอนนั้นผมไม่ทราบว่าเป็นคุณยาย” ปฐพีพูดพลางเช็ดเหงื่อไปพลาง

เพี๊ยะ!

1000


“โอ้ย!” ปฐพีกระโดดขาเดียวพร้อมกับจับขาขวาที่โดนฟาดด้วยแส้

“รู้ไหมว่ายายตีเธอทำไมตานพ” รัตติถาม ซึ่งปฐพีส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ยายตีเพื่อให้หลานได้รู้ว่าอย่าใช้อารมณ์มาเป็นที่ตั้ง นี่ถ้าตอนอยู่บนเรือไม่ใช่ยายล่ะก็ คงได้มีเรื่องกันแน่”

“ขอโทษครับ ทีหลังผมจะไม่ใช้อารมณ์ทำร้ายคนอื่นอีกแล้วครับ” ปฐพีก้มหน้าขอโทษยอมรับความผิด

“อืม ดีมาก รู้จักสำนึกผิดตอนนี้ยังไม่สาย” รัตติบอกก่อนจะพูดต่อ “ไหนหันหลังมาสินพ”

นพในคราบปฐพีได้ยินดังนั้นก็หันหลังให้รัตติ

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

1000

1100

1009


“โอ้ย! คุณยายตีผมอีกทำไมกันครับ” ปฐพีร้องพลางกระโดดดิ้นจับก้นที่โดนฟาดอย่างเจ็บปวด

“ก็เอาคืนที่หลานจับยายทุ่มลงสระว่ายน้ำยังไงล่ะ หึๆ” รัตติพูดพลางหัวเราะอย่างสะใจ “ของแค่นี้ไม่ทำให้หลานตายหรอกนะ ใช่ไหมตานพ”

“ครับคุณยาย… โธ่ ก้นผมระบมหมด” ปฐพีบ่นพึมพำพลางลูบก้นตัวเองไปมา แล้วหลังจากนั้นปฐพีก็กราบขอขมารัตติที่ทำไม่ดีกับเธอมาหลายครั้ง ซึ่งเธอก็ให้อภัยปฐพีก่อนที่จะเล่าเรื่องตั้งแต่เธอเกิดเป็นมังกรให้ปฐพีฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าคนฟังย่อมแค้นราชาปีศาจยิ่งนัก

“ให้ผมตามคุณยายไปช่วยเก็บเลเวลกับช่วยคุณพ่อคุณแม่มังกรของคุณยายได้รึเปล่าครับ” ปฐพีเอ่ยปากขอร้องหลังจากฟังเรื่องเล่าของคุณยายจนจบ

“ได้สิ แต่ต้องถามเขาดูก่อนนะว่าจะให้ไปด้วยรึเปล่า เอ...ยายว่านพชวนเขาไปพักที่เมืองก่อนแล้วดีไหม แล้วค่อยถามเอาทีหลัง เพราะขืนให้ยายเป็นคนพูดก็คงไม่ดี”

“ได้ครับคุณยาย”

“จริงสิตานพ ระหว่างนี้ถ้าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ห้ามคุยหรือบอกคนอื่นว่ายายเป็นผู้หญิงที่เข้ามาเล่นเกมล่ะ ถ้าจะคุยก็ให้พรายกระซิบเอา เพราะยายไม่ต้องการให้คนอื่นว่ายายเป็นพวกวิปริตนะ”

ปฐพีได้ยินที่รัตติพูดก็พยักหน้าตอบรับคำขอก่อนจะพากันเดินออกจากถ้ำไปเพราะพวกเขาเข้ามาข้างในถ้ำนานเกินไปแล้ว

...............................

หลังจากที่เมฆากับอเลนนั่งจับเข่าคุยกับพวกศาสตราอยู่ได้เกือบชั่วโมงแล้ว น้องรัตติกับปฐพีก็ได้เดินออกมาจากถ้ำพร้อมกันทั้งคู่ ครั้นเมฆามองปฐพีก็พบว่าอีกฝ่ายหน้าซีดหน้าเซียวราวกับไปเจอเรื่องร้ายแรงมา ซึ่งผิดกับน้องรัตติที่มีใบหน้ายิ้มแย้มอิ่มเอิบราวกับไปเจอเรื่องสนุกสนาน

“ว่ายังไงครับน้องรัตติ หาของที่ทำตกเจอแล้วรึยังเอ่ย” เมฆาถาม ซึ่งคนถูกถามที่กำลังเดินมาถึงอยู่แล้วถึงกับชะงัก

“อ้อ ครับ เจอแล้วครับ” น้องรัตติตอบยิ้มๆ “เอ่อท่านพี่ครับ จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะชวนท่านพี่ไปแวะพักในเมืองใกล้ๆเพื่อซื้อของในตลาดนะครับ”

“ก็เอาสิ พี่เองก็กำลังอยากจะไปซื้อจับฉ่ายที่เมืองนั้นอยู่พอดี”

“จะไปซื้อจับฉ่ายที่เมืองชินกันเหรอครับ ถ้างั้นลองไปทานจับฉ่ายที่ร้านอาหารของผมดูไหมล่ะ” ปฐพีพูดสวนขึ้นมา ซึ่งทำเอาเขากับน้องรัตติหันไปมอง “พอดีสมาคมของผมเป็นร้านอาหารที่ชื่อว่าจับฉ่ายโภชนานะครับ”

“อ้อ ร้านจับฉ่ายโภชนาที่กำลังเป็นที่โด่งดังเป็นพลุแตกว่าเป็นร้านอาหารที่มีแต่จับฉ่ายเพียงอย่างเดียว ไม่มีข้าว ไม่มีกับแกล้ม หรือแม้กระทั่งน้ำดื่มเลยใช่ไหม” อเลนพูดแทรก ซึ่งทำให้ปฐพีสวนตอบกลับมาว่า

“นั่นไม่ใช่ร้านของผมครับ ร้านของผมมีอาหารทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวเปล่ายันอาหารฮ่องเต้”

“ฮ้า งั้นก็ดีเลย ผมเองก็นึกอยากจะลองอาหารฮ่องเต้ดูบ้างเสียแล้ว” อเลนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะหันมามองเขา “ไปกันเถอะเมฆา ข้าอยากจะไปทานอาหารฮ่องเต้ดูบ้างนะ”

“จะไปก็ไป แต่เจ้าต้องเป็นคนออกเงินเองนะ ห้ามใช้เงินของข้าหรือกองคลังของสมาคมเด็ดขาด”

“อือ ไม่ใช้แน่นอนอยู่แล้ว”

หลังจากนั้นพวกเขาก็ขี่ม้าออกเดินทางกันทันที ซึ่งในระยะสองวันที่เดินทางไปเมืองชินนั้นค่อนข้างไกลสลับกับหุบเขาที่ซับซ้อน ทำให้พวกเขาต้องหยุดแวะพักเป็นระยะๆ และแน่นอนว่าเมฆาได้ให้น้องรัตติเข้ากลุ่มปาร์ตี้ด้วย โดยแบ่งค่าประสบการณ์ไปให้น้องรัตติทั้งหมด ส่วนพวกเขาก็ได้เป็นคอยตัวหนุนเสริมกันมิให้น้องรัตติต้องรับมือมอนสเตอร์คนเดียวทั้งหมด ซึ่งทำให้เลเวลของน้องรัตติจากที่เคยอยู่ระดับสิบห้ามาตลอด กระเตื้องขึ้นมาที่ระดับสามสิบภายในสองวัน แถมทักษะนักดาบของรัตติก็ครบเต็มสิบเกือบทุกอย่าง ยกเว้นแต่ทักษะผ่ารัตติกาลที่ยังแค่ระดับเก้า ส่วนทักษะการรวมร่างนั้นก็ทำได้ครบจนเต็มสิบ ทำให้อยู่ได้นานถึงห้าสิบนาที และยิ่งกว่านั้นอายุของน้องรัตติได้อัพขึ้นจากอายุสิบห้าปีเป็นยี่สิบปี จากร่างที่เคยเตี้ยกลับสูงขึ้นเท่าปฐพี แต่ก็ยังเตี้ยกว่าเมฆากับอเลนอยู่ดี เมื่อพวกเขาขี่ม้ามาถึงเมืองชินแล้ว ก็พากันเก็บม้าของตัวเองไปก่อนจะเดินเท้าด้วยของตัวเอง

“เดี๋ยวเดินไปอีกสักหน่อยก็ถึงร้านของผมแล้วครับ” ปฐพีบอกเมฆา อเลน น้องรัตติ และน้องมาริโอ ซึ่งพวกเขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามหลังพวกปฐพี แต่ในขณะที่เมฆาเดินตามอยู่นั้น ก็พลันเหลือบเห็นคนคุ้นตาเดินผ่านฝูงชนด้านหน้าอยู่ไกลตา

นั่นมันปิเอโร่นี่!

ภาพปิเอโร่เดินคอตกอย่างคนไร้เลื่อนลอยทำให้เมฆาถึงกับหยุดเดินและมอง ซึ่งทำให้รัตติกับมาริโอที่เดินอยู่ข้างๆด้วยนั้นก็พลอยหยุดเดินตาม

“มีอะไรหรือครับท่านพี่เมฆา” น้องรัตติถามอย่างสงสัย ซึ่งทำให้เขาละสายตาจากปิเอโร่ไปอย่างน่าเสียดาย

“อ้อ เปล่าไม่มีอะไรหรอกครับน้องรัตติ สงสัยอินเทอร์เนตบ้านพี่มันแลคนะ” เมฆาตอบอย่างเลี่ยงๆ ก่อนจะมองหาปิเอโร่ซึ่งได้เดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ “เอ่อ พี่ว่าเรารีบเดินกันต่อเถอะ ประเดี๋ยวจะโดนพวกปฐพีเดินทิ้งห่างเอาหรอก”

“ครับท่านพี่”

แล้วพวกเขาก็รีบเดินตามพวกปฐพีอย่างเร็ว โดยที่เมฆาได้แต่เก็บความสงสัยกับปิเอโร่ที่เป็นมอนสเตอร์ซึ่งไม่น่าจะมาเดินอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างเงียบๆ


..........................

 :hao4: :hao4: :hao4: :hao4: :hao4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด