The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Real of Life Online (บทสรุป update 100% P.4 6/03/58) จบแล้วค่ะ ย้ายได้เลยค่ะ  (อ่าน 25843 ครั้ง)

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 55 ปิเอโร่

..................................

“สัญญาได้ไหมว่าเมื่อฉันจากไปแล้ว คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อฉัน”

“ไม่นะมาเรีย อย่าพูดแบบนั้นสิ คุณต้องอยู่กับผมตลอดไป”

“มันสายไปแล้วค่ะที่รัก ที่ฉันอยู่ได้ก็เพราะเกมออนไลน์ แต่อีกเดี๋ยวพอร่างข้างนอกหมดลมเมื่อไหร่ ฉันก็คงจะหายไปจากเกมนี้แล้ว”

“ไม่มาเรีย คุณจะต้องไม่หายไป ผมจะไม่ให้คุณหายไปไหนแน่” ร่างสูงบอกพลันกอดร่างบางอย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าร่างที่กอดอยู่นี้จะหายไป ซึ่งทำให้ร่างบางพลอยกอดตอบเสียมิได้ แต่ก็ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนรักที่เขากำลังจะเลือนหายไปอย่างเชื่องช้า

“ที่รักคะ ดิฉันต้องไปแล้ว” เสียงหวานตอบพลางจูบปากของชายหนุ่มก่อนจะถอนริมฝีปากออกมา ซึ่งทำเอาชายหนุ่มถึงกับตกใจรอบสอง

“ไม่นะมาเรีย ไม่นะ! คุณจะต้องไม่ไปไหน!”

“รับปากสิคะว่าคุณจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” มาเรียบอกพลางผลักร่างคนรักให้ออกห่าง “เพื่อฉัน และเพื่อตัวคุณเอง”

แล้วมาเรียก็พลันหายไปในพริบตาเดียว โดยที่ชายหนุ่มมิทันได้พูดตอบสักคำเดียว

“ไม่นะมาเรีย! มาเรีย!”


“คุณครับคุณ จะสั่งอาหารอะไรดีครับ” เสียงเรียกดังขัดจังหวะ ความคิดก็พลันหยุดชะงักทั้งหมดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพนักงานร้านอาหารที่กำลังยืนอยู่ข้างๆเขา

“ขอเป็นต้มจับฉ่ายกับข้าวต้มหนึ่งที่”

“ได้ครับ กรุณารอสักครู่” หลังจากนั่งรอได้สักพักอาหารก็มาตามสั่ง แล้วเขาก็ลงมือรับประทานอาหารอย่างเงียบๆท่ามกลางสายตาผู้เล่นในร้านอาหารที่จับจ้องเขาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วเขาก็จ่ายเงินค่าอาหารก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก โดยจุดประสงค์ที่จะไปก็คือตึกโรงพยาบาล

“ตึกโรงพยาบาลยินดีต้อนรับครับ” พนักงานชายในชุดกาวน์สีขาวกล่าวทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาข้างใน “กรุณาเขียนชื่อกับไอดีก่อนครับ”

ซึ่งเขาก็ได้ทำการเขียนมันลงไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นพลางยื่นกระดาษให้กับพนักงาน

“กรุณารอซักครู่นะครับ” แล้วพนักงานก็ทำการคีย์ข้อมูลซักระยะ เมื่อเรียบร้อยแล้ว พนักงานชายจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง “ขอทบทวนชื่อก่อนนะครับ คุณลาสก์ ไอดีxxx สถานะมอนสเตอร์ใช่ไหมครับ”

“ใช่ขอรับ”

“เรียบร้อยแล้วครับ ถ้างั้นเชิญคุณลาสก์เข้าห้องนี้ได้เลยครับ ประเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่ของเกมมาตรวจสอบสภาพร่างกายของคุณนะครับคุณลาสก์” พนักงานชายบอกพลางผายมือไปทางซ้าย

“ขอบคุณขอรับ” แล้วลาสก์ก็เดินไปตามทางที่อีกฝ่ายบอกไว้ เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว เขาก็พบเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังยืนรออยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกให้เขาถอดเสื้อผ้าให้หมดยกเว้นกางเกงใน ก่อนจะสั่งให้ไปยืนในตู้กลมๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ก็สั่งให้เขาออกมาสวมเสื้อผ้าดังเดิม

“ตอนนี้คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่ถามขณะที่ลาสก์กำลังสวมเสื้อผ้าอยู่ แต่เขาไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าหน้าที่ของเกมในชุดกาวน์พูดอีกครั้ง “สภาพจิตใจของคุณกำลังแปรปรวน ผมขอแนะนำให้คุณพักผ่อน”

“กระผมสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วงขอรับ”

“คุณอย่าบ่ายเบี่ยงสิครับคุณลาสก์” เจ้าหน้าที่พูดฉุนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าลาสก์พูดโกหก “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ต้องคอยถามพฤติกรรมผู้ป่วยเป็นระยะๆ ถ้าหากคุณโกหก แล้วผมจะไปรักษาคุณให้ถูกต้องได้ยังไงครับ”

“กระผมไม่ได้ป่วย กระผมสบายดีอยู่ขอรับ”

“โอเค สบายดีก็สบายดี” เจ้าหน้าที่เบื่อที่จะเป็นไม้เมากับคนป่วยจึงพูดตัดบท “ถ้างั้นผมขอแนะนำให้คุณไปเดินเล่นในเมือง พักผ่อนคลายเครียดเสียบ้างนะครับ”

“ขอรับ” เมื่อจบบทสนทนาแล้ว ลาสก์ก็เดินออกจากห้องไป ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่คนเดิมได้แต่นั่งดูผลตรวจอย่างเหนื่อยหน่าย

“เป็นไงวะคราวนี้ ผลตรวจมันแย่เลยรึ” เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอีกคนเข้ามาถามเพื่อน

“ก็นิดหน่อย คลื่นสมองแปรปรวน” เพื่อนตอบพลางมองกระดาษที่มีเส้นรอยยักแสดงอยู่ในนั้น “นี่ยังดีกว่าตอนครั้งแรกๆที่มาตรวจใหม่นะ โหย คลื่นสมองแปรปรวนน่ากลัวชิพ รอยเส้นเกือบเป็นเส้นตรง คิดแล้วน่าขนลุก”

“สมควรแล้วที่เป็นแบบนั้น ก็เขาเพิ่งจะสูญเสียภรรยาไปทั้งๆที่อยู่ในโลกแห่งเกมได้เพียงแค่ปีเดียว แต่ก็ดีนะที่มีเกมแบบนี้ ให้คนเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราสามารถเข้ามาเล่นเกมได้”

“อืม จะว่าไปก็ยังมีอีกรายที่ยังมีชีวิตอยู่ นายจำลุงจิลนั่นได้ไหมล่ะ นั่นนะเจ้าชายนิทราเหมือนกัน ตอนนี้ยังเดินเล่นเป็นเอ็นพีซีอยู่บนเกาะเริ่มต้นอยู่เลย” เพื่อนทำท่าครุ่นคิดก่อนจะร้องอ้อ

“อ้อลุงจิลคนนั่นเองหรอกรึ จำได้ล่ะ เห็นว่าเมื่อหลายวันก่อนในเกมโดนผู้เล่นระดับท็อปฆ่าตายไม่ใช่รึไง”

“ใช่ ตอนนี้ก็ฟื้นแล้วแต่ก็ต้องนอนซมที่กระท่อมหลังนั้น” เขาบอกก่อนจะพูดต่อ “เฮ้อ เป็นเอ็นพีซีไม่ว่าดี อยากจะฆ่าผู้เล่นระดับท็อปซะได้”

“คงอยากจะเด่นอยากจะดังเพื่อให้คนอื่นได้จดจำว่าตัวเองเป็นผู้โค่นผู้เล่นระดับท็อปก็ได้นี่ เฮ้อ ไม่เอาล่ะเลิกๆ ยิ่งพูดยิ่งเศร้าแทนพวกเขา ไปทำงานต่อดีกว่า” แล้วพวกเขาก็หันมาทำงานของตัวเองต่อไป

...................................

ส่วนทางด้านลากส์เมื่อได้ออกมาจากห้องนั้นแล้ว เขาก็เดินไปแจ้งพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่าตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากโรงพยาบาล แล้วเดินต่อไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ครั้นพอเดินเข้าสู่ตลาดย่านที่มีจับฉ่ายขายอยู่เต็มสองข้างทาง ก็หยุดเดินก่อนจะหมุนตัวไปนั่งลงพิงข้างกำแพงหลับตาอย่างอ่อนแรง

กรุ้ง! กริ้ง!

เสียงเหรียญกระทบลงบนพื้น ทำเอาคนนั่งหลับตาต้องลืมตาขึ้นมอง

“น่าสงสารนะ นี่ขนาดในเกมยังมีขอทานได้ เฮ้อ” ผู้เล่นที่เป็นผู้หญิงพูด ซึ่งหล่อนมากับผู้เล่นชาย ทั้งคู่สวมชุดนักเวทย์ด้วยกัน “นี่นายลองเอาเงินมาให้เขาอีกสิ”

“แค่เหรียญเดียวก็พอ การศรัทธาเขาทำด้วยใจ ใช่ทำด้วยจำนวนเงิน”

“เออย่ะพ่อตัวดี ไม่ทำก็ไม่ทำ” หญิงสาวบ่นพลางใช้มือดันไหล่ของอีกฝ่ายไปพลาง “ไปเถอะ จะได้รีบไปเปลี่ยนคลาสซักที”

แล้วทั้งคู่ก็เดินจากไป ซึ่งทำเอาลาสก์ที่นั่งมองอยู่ก็นึกขำตัวเองในใจ

โดนเห็นว่าเป็นขอทานซะแล้ว ด้วยชุดที่ขาดกับเปื้อนเลือดที่แห้งเกรอะกรัง ทำให้ลาสก์ดูมอมแมมเหมือนขอทาน เปลี่ยนชุดหน่อยดีกว่า

ครั้นพอจะลุกขึ้นเดินหมายจะเข้าไปในซอยเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับมีมือปริศนามาขยุ้มคอเสื้อของลาสก์ก่อนจะฉุดกระชากให้เข้าไปในซอยอย่างแรง

โครม!

1000


ร่างลาสก์ล้มไปกระแทกกับกำแพง

“หึ คิดจะหากินแถวนี้คิดผิดคิดใหม่ได้นะ” เจ้าของมือปริศนาพูดเสียงห้วนพลางบิดมือดังกรอบแกรบ “อาชีพขอทานถึงจะไม่มีตามประกาศของจีเอ็ม แต่ข้าเป็นผู้คิดค้นก่อนใครเขา ฉะนั้นแกควรเอาเงินมาจ่ายค่าลิขสิทธิ์อาชีพขอทานกับข้าเสียโดยดี อย่าให้ข้าต้องได้ออกแรงซ้อมแกเชียวล่ะ”

ลาสก์ได้ยินดังนั้นก็พลางลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นไปมา จากใบหน้าเฉยเมยที่มอมแมมไปด้วยคราบฝุ่นสีเครื่องสำอางเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าอันยิ้มแย้มจนคนมองเผลอเดินถอยหลังหนีไปเสียหนึ่งก้าวอย่างลืมตัว

“เอ๋ กระผมไม่เคยรู้เลยนะครับว่าเกมนี้มีขอทานเป็นอาชีพด้วย” ลาสก์พูดพลางเอี้ยวคอไปมา ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “แถมยังต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์อะไรนั่นอีก ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย สงสัยกระผมคงจะพลาดข่าวดีของเกมไป”

“ชะ ใช่ เพราะงั้นแกก็จงเอาเงินมาให้ข้าเสีย แล้วรีบไสหัวไปซะ” ขอทานร่างยักษ์พูดขู่ แต่ลาสก์หาได้กลัวไม่ กลับหยิบไพ่ออกมา

“ตอนนี้ตัวของกระผมมีเพียงแค่ไพ่สำรับหนึ่งเท่านั้นขอรับ” ลาสก์พูดตามความเป็นจริง “ถ้าคุณอยากได้จริง คุณคงต้องแย่งชิงมันไปจากกระผมขอรับ”

“เฮอะ อย่าพูดมาก! ส่งเงินมาเดี๋ยวนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ขอทานยักษ์พูดพลางโชว์มีดสั้นให้ลาสก์ดู

“ถึงขนาดกับใช้มีดขู่กระผมเลยหรือขอรับ” ลาสก์พูดเสียงอ่อย ซึ่งทำเอาขอทานยักษ์ได้ใจคิดว่าลาสก์กลัวตนเอง จึงพูดสำทับไปอีกครั้งว่า

“ใช่ ถ้ากลัวก็จงเอาเงินทั้งหมดที่มีทิ้งไว้กับพื้นเดี๋ยวนี้ แล้วก็ไสหัวไปซะถ้าไม่อยากตาย”

ทว่าแทนที่ลาสก์จะยอมทำตามที่ขอทานยักษ์บอก กลับฉีกยิ้มก่อนจะถือไพ่ขึ้นมาแนบหน้าแลให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียว

“เสียใจด้วยขอรับ กระผมคงจะทำตามที่คุณขอไม่ได้” พอลาสก์พูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงระบบประกาศดังก้องในหัวขอทานยักษ์ว่า

“บอสปีศาจตัวตลกระดับ80 ปรากฏตัว”

ครั้นพอขอทานยักษ์ได้ยินเสียงประกาศ ก็แทบเข่าอ่อนจนเกือบทรุดลงไป ซึ่งทำเอาลาสก์ฉีกยิ้มอย่างพอใจ เพราะคิดว่าระบบคงจะได้ประกาศบอกตัวตนที่แท้จริงของเขาให้อีกฝ่ายได้รับรู้แล้ว

“ไม่จริง มอนสเตอร์จะมาเดินเล่นในเมืองได้ยังไงกัน” อีกฝ่ายพูดเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะขอรับ” ลาสก์พูดยิ้มๆ “ก็ในเมื่อคู่มือของเกมไม่ได้ระบุบอกเอาไว้ว่ามอนสเตอร์จะเดินเข้ามาในเมืองไม่ได้ แล้วอีกอย่างเขาก็ไม่ได้ระบุไว้ว่ามอนสเตอร์ไม่สามารถมีความคิดเป็นของตัวเองได้ จริงไหมล่ะขอรับ…คุณ…ขอ…ทาน”

คุณขอทานได้ยินที่อีกฝ่ายถึงกับหน้าซีดตัวสั่น พลางก้าวเท้าถอยหนีลาสก์ด้วยความกลัว

“ไม่เอาแล้วเว้ย!”

สุดท้ายขอทานนักเลงก็วิ่งหนีเตลิดหายลับไปเพราะกลัวจะถูกบอสปีศาจตัวตลกอย่างลาสก์ฆ่าตาย ซึ่งทำให้ลาสก์ที่เคยยิ้มแย้มกลับเปลี่ยนสีหน้าเฉยเมยดังเดิม

“สวัสดีครับคุณลาสก์” เสียงลึกลับดังขึ้นจากทางหลัง ทำให้ลาสก์หันหลังกลับไปมองก่อนจะพบชายหนุ่มในชุดสูท “ไม่ได้เจอกันนานร่วมเดือนยังชอบแกล้งผู้เล่นคนอื่นเสมอๆเลยนะครับ”

“กระผมเปล่าแกล้งขอรับ เขาตั้งหากที่มาแกล้งกระผมก่อนคุณดนัยเทพ” ลาสก์พูดยิ้มๆ ซึ่งทำเอาคนฟังถึงกับส่ายหน้า

“เรียกผมดนัยเถอะครับคุณลาสก์ ไม่สิ คุณปิเอโร่” คำพูดของดนัยเทพทำเอาลาสก์หรือปิเอโร่ถึงกับหุบยิ้ม “ทำไมคุณปิเอโร่ไม่คิดจะกลับไปหาคุณเมฆาอีกล่ะครับ เขายังไม่ได้ไล่คุณออกอย่างเป็นทางการเลยนะ”

ปิเอโร่สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังกลบเกลื่อนสีหน้าได้ดีโดยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“กระผมคงต้องรีบไปแล้วขอรับคุณดนัย เพราะหมอสั่งให้เดินเล่นในเมืองเพื่อคลายเครียด อ้อ จริงสิ คุณดนัยสนใจจะเล่นป็อกแปดป็อกเก้าไหมล่ะขอรับ” ปิเอโร่หรือลาสก์พูดเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งทำเอาคนฟังแทบขมวดคิ้ว

“ไม่ล่ะครับ ผมไม่สนพวกการพนัน” ดนัยเทพตอบก่อนจะพูดต่อ “ที่ผมมาหาคุณก็เพื่อมาเตือนคุณถึงกฎที่ทางเกมตั้งไว้ กรุณาอย่าลืมด้วยนะครับเพราะถ้าคุณทำผิดกฎแล้ว สถานะมอนสเตอร์ของคุณจะถูกปลด แล้วกลับไปเป็นผู้เล่นเหมือนเดิม”

“รับทราบขอรับคุณดนัย กระผมจะไม่ลืมแน่นอน” แล้วปิเอโร่ก็ขอตัวไปเดินเล่นต่อ ซึ่งทำให้ดนัยเทพได้แต่ยืนมองปิเอโร่อย่างเวทนา หลังจากลาสก์ได้เดินออกมาแล้ว เขาก็เดินเล่นอยู่ในเมืองซักพักก่อนจะเดินวกเข้าสวนสาธารณะ เมื่อเขาหาที่เงียบสงบได้แล้ว ก็กระโดดขึ้นบนต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งตั้งสูงกว่าเท่าตึกสิบชั้น ก่อนจะล้มตัวพิงต้นไม้โดยเอามือหนุนศีรษะของตัวเอง

“โอเพ่นสถานะ”

ปิเอโร่หรือลาสก์พูดขึ้นมาลอยๆ แล้วทันใดนั้นหน้าต่างสามมิติก็พลันเปิดออกมาต่อหน้าเขา

ชื่อ ลาสก์ (สถานะมอนสเตอร์)              ฉายา ปีศาจตัวตลก (บอส)

เลเวล: 80 (EXP: 687900/4008003)       อายุ: 27 ปี 7 เดือน (EXP: 1000403/41237874)

เผ่า: ปีศาจ                                             สถานที่จุติ: คณะละครสัตว์

ธาตุ: ลม                                                อาวุธประจำกาย : ไพ่

HP: 1234567/1234567                         อาชีพ: นักเวทย์               

SP: 1234000/1234567

เงินที่มี : 1, 874,000 เหรียญ

เจ้านาย : เมฆา


ปิเอโร่หรือลาสก์ดูผ่านๆอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง

“โอเพ่นกฎมอนสเตอร์”

กฎมอนสเตอร์

1.ฆ่าผู้เล่นคนอื่นได้โดยไม่ติดโทษ

2.เลเวลจะไม่อัพไปมากกว่านี้

3.ทักษะใช้ได้แค่ที่ตัวละครมี

4.หากเจอผู้เล่นอื่นถูกใจ ต้องเข้าปาร์ตี้ในฐานะข้ารับใช้เท่านั้น

5.มีความสามารถเทียบเท่าระดับบอส แต่จะไม่มีลูกน้อง


ลาสก์มองพลางครุ่นคิดย้อนหลังตอนที่มาเรียเพิ่งจะเสียได้วันเดียวและยังไม่เจอกับเมฆา

“กระผมต้องการเป็นมอนสเตอร์ คุณดนัยเทพช่วยทำให้กระผมเป็นได้รึเปล่าขอรับ”

“ได้สิครับทางเราจะจัดให้ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า คุณลาสก์จะเสียสิทธิ์อะไรหลายๆอย่างที่ผู้เล่นคนหนึ่งจะได้” ดนัยเทพตอบก่อนจะพูดต่อ “ฉะนั้นคุณลาสก์คิดให้ดีก่อนนะครับ เพราะทางเราจะไม่บังคับหรือฝืนใจให้คุณเป็น”

ลาสก์เหม่อไปพักหนึ่งก่อนจะฝืนยิ้มตอบไปว่า

“กระผมไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วขอรับคุณดนัยเทพ เพราะฉะนั้นคุณช่วยทำให้กระผมเป็นมอนสเตอร์ที”

หลังจากนั้นลาสก์ก็ได้เป็นมอนสเตอร์สมใจอยาก โดยที่พอเป็นแล้วก็โดนปล่อยให้อยู่ประจำเกาะสุสานร้าง และนอกจากนี้เขายังได้เอ่ยปากขอดนัยเทพเรื่องสุสานสำหรับมาเรีย ซึ่งทางเกมก็อนุญาตให้มีได้เป็นกรณีพิเศษ แล้วลาสก์ก็ได้อยู่ที่นั่นจนกระทั่งถึงวันที่เมฆาเดินไปเจอเขาเข้าโดยบังเอิญ

พรึบ!

ลาสก์ปิดหน้าต่างเบื้องหน้าก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย หลังจากที่เขาโดนเมฆาไล่ออกมาแล้วก็ได้เดินมาเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ครั้นจะกลับไปประจำที่เกาะสุสานร้างก็ไม่มีเรือที่จะข้ามไป เพราะมอนสเตอร์อย่างเขาไม่สิทธิ์ที่จะใช้เงินซื้อของได้ตามใจชอบ ยกเว้นอาหารหรือที่เติมพลังซึ่งทางเกมพอจะอนุญาตให้เขาซื้อได้ ในขณะที่ลาสก์ใกล้จะหลับเขาได้ยินเสียงคุ้นหูดังแว่วมาจากข้างล่าง

“อีกไกลไหมกว่าจะถึงนะ”

“ไม่ไกลแล้วเมฆา เดี๋ยวเลี้ยวหัวมุมนี้แล้วเดินอีกสองร้อยเมตรก็จะถึง”

เวรล่ะ เจ้านายผ่านมา! ลาสก์ได้ยินถึงกับสะดุ้งตกใจก่อนจะห้อยหัวแอบดูเมฆา ซึ่งอีกฝ่ายยังดูปกติดีแต่สีหน้ายังซีดเซียวด้วยคำสาปปีศาจที่ยังคงอยู่ แถมเดินคู่กับราตรีและมาริโออีกด้วย อะไรกัน นี่ยังไม่ได้บอกเรื่องพ่อแม่ให้น้องราตรีรู้อีกรึเนี่ย

ลาสก์คิดในใจพลางมองใบหน้าอันยิ้มแย้มของราตรี แล้วทั้งสามก็เดินผ่านต้นไม้ที่ลาสก์อยู่ไปโดยไม่ได้เอะใจว่าจะมีคนอยู่บนต้นไม้ ด้วยความที่ลาสก์ไม่มีอะไรทำ ผนวกกับอยากจะขอโทษเมฆาโดยการทำคุณไถ่โทษแต่ก็ไม่กล้าเสนอหน้าโผล่ให้อีกฝ่ายเห็น จึงกระโดดลงจากต้นไม้แล้วเดินสะกดรอยตามเมฆาไปอย่างเงียบๆ


..............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 56 เที่ยวเกาะ

...................................

หลังจากที่ทุกคนไปถึงร้านอาหารจับฉ่ายโภชนาของปฐพีแล้ว ถึงกับตะลึงในความยิ่งใหญ่ของร้านนี้ ทั้งโครงสร้างทั้งรูปแบบต่างหลุดออกมาจากในยุคจีนโบราณจริงๆ ไหนจะพนักงานของร้านนี้ก็ยังสวมชุดเสี่ยวเอ้ออีก

“เดี๋ยวผมจะพาทุกคนไปนั่งทานอาหารห้องพิเศษดีกว่า เพราะที่นี่มันออกจะ...” ปฐพีพูดพลางหลบเสี่ยเอ้อที่เดินเสิร์ฟอาหาร “...ชุลมุนเล็กน้อย เชิญทางนี้เลย”

แล้วปฐพีก็พาทุกคนมายังห้องหนึ่งก่อนจะปล่อยให้พวกเขานั่งรอ ส่วนปฐพี ศาสตรา และพิภพต่างขอตัวไปทำอาหารให้พวกเมฆาได้ทาน ซึ่งราตรีรอได้สักพัก จู่ๆก็มีเสียงหวานดังมาจากทางหลังพร้อมกับสวมกอดเธอจนทำเอาเมฆา มาริโอ กับอเลนถึงกับสะดุ้งตกใจ

“พี่รัตติขา!” รัตติเองก็ตกใจไปด้วย เพราะไม่รู้จักหน้าค่าตาของคนกอด ส่วนมาริโอเมื่อเห็นดังนั้นก็ปรี่เข้าไปสวมกอดผู้หญิงคนนั้นด้วย

“คริสตัลคร้าบ ห๊อมหอมจังเลย ไม่ทราบว่าใช้สบู่ยี่ห้ออะไรเอ่ย”

เปรี้ยง!

1500


จู่ๆ สายฟ้าก็ผ่าลงมาฟาดหัวมาริโอ

เฟี้ยว! ฉึก!

มีดสั้นลอยมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ก็มาปักพื้นเฉี่ยวขามาริโอ ซึ่งทำเอามันแทบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียว

“โอ๋ ไม่เป็นไรแล้วนะมาริโอ” รัตติพูดพลางใช้มือลูบหัว แต่จู่ๆ เกิดประกายไฟลุกขึ้นหัวมาริโอ

พรึบ!

1000


“โอยร้อนๆๆ ขอน้ำหน่อย” มาริโอร้องโวยวาย ซึ่งเมฆาเห็นดังนั้นจึงหยิบน้ำจากเหยือกแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะสาดใส่หัวมาริโอทันที ซึ่งทำให้ไฟที่เคยลุกไหม้ก็พลันหายไป “รัตติใจร้าย ทำไมเจ้าต้องแกล้งข้าด้วย ฮือๆ”

“ก็เจ้ามันอยากทะลึ่งเองดีนัก โดนเข้าก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ หุหุ” รัตติพูดไปหัวเราะไป ซึ่งทำให้คริสตัลที่ยืนอยู่ถึงกับหัวเราะ แล้วที่หลังของคริสตัลก็มีชายแปลกหน้าสองคนเดินออกมา

“นี่งุ้งงิ้งเป็นนักเวทย์ค่ะ” คริสตัลกล่าวแนะนำตัวผู้ชายที่มีสีผมเป็นสีชมพู ก่อนจะหันไปแนะนำอีกคนที่มีสีผมเป็นสีดำแต่สวมชุดรัดรูปดูทะมัดทะแมง “ส่วนคนนี้เป็นโจรค่ะ ชื่อคอเบียร์”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” งุ้งงิ้งกับคอเบียร์พูดพร้อมกัน

“ส่วนน้องชื่อคริสตัลค่ะ” คริสตัลพูดแนะนำตัวเองก่อนจะพูดต่อ “เป็นน้องสาวของพี่ปฐพีเองค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะทุกๆคน”

“เช่นครับ พี่เมฆา ส่วนคนนี้อเลน เป็นเพื่อนของพี่เอง อ้อ แล้วก็นี่รัตติกับมาริ...” เมฆายังพูดไม่ทันจบ คริสตัลก็พูดแทรกก่อน

“พี่รัตติกับน้องมาริโอนั้นน้องรู้จักแล้วค่ะพี่เมฆา เอ แต่พี่เมฆาก็น่าจะรู้จักน้องแล้วนะคะ เพราะตอนนั้นน้องกับพวกงุ้งงิ้งเข้าไปเก็บแร่ในถ้ำเหมืองแร่ด้วยนะ” เมฆาทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะร้องอ้อ

“ถูกของน้องคริสตัล พี่เคยเจอพวกน้องในถ้ำเหมืองแร่ครั้งหนึ่งแล้วนี่ ว่าแต่ตอนนั้นเก็บแร่ได้ไหมล่ะครับ”

“ก็ได้นะคะ แต่น้อยไปหน่อย แหะๆ”

“ได้ดีกว่าไม่ได้นะครับน้อง” อเลนพูดสวนขึ้นมา “เพราะน้อยคนนักจะได้แร่กลับติดมือไป ถ้าไม่ฟลุ๊กนะ ฮะๆ”

“ว่าแต่พวกน้องทานอะไรแล้วรึยัง ถ้ายังก็มานั่งทานด้วยกันสิ” เมฆาเอ่ยปากชวนคริสตัล

“ยังไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ ขอบคุณค่ะพี่เมฆาที่ชวน” คริสตัลพูดก่อนจะนั่งลงข้างๆรัตติ ส่วนอีกสองหนุ่มก็ไปนั่งข้างๆมาริโอแทน “ว่าแต่พวกพี่เก็บเลเวลถึงไหนกันแล้วคะ ของน้องเพิ่งจะสามสิบหนึ่งเอง”

อเลนยิ้มก่อนจะตอบไปว่า

“พี่เก้าสิบแปด ส่วนเมฆาเก้าสิบเก้า”

คำตอบของอเลนทำเอาคริสตัล รัตติ มาริโอ งุ้งงิ้ง คอเบียร์ต่างตกตะลึงไปตามๆกัน

“โห” คริสตัลพูดเสียงสูง “พวกพี่สองคนทำยังไงถึงได้ระดับนั้นละคะ”

“ก็ขยันเก็บเลเวลกับทำภารกิจนิดหน่อยก็ได้แล้วล่ะครับน้องคริสตัล” เมฆาตอบ ก่อนที่คริสตัลจะหันมาคุยกับรัตติ

“นี่ๆพี่รัตติขา” คำพูดของคริสตัลทำเอารัตติเขยิบที่นั่งถอยห่างออกมาเล็กน้อย “หูกระต่ายที่น้องเคยซื้อไป น้องขอขายมันกลับคืนได้หรือเปล่าคะ”

“ก็ได้นะ แต่จะซื้อครึ่งราคาที่เคยขายไป”

เด็กประหลาด

รัตติคิดในใจ แต่แล้วเธอกลับชะงักเมื่อมีพรายกระซิบดังในหัวว่า

“คุณทวดขา นี่เหลนแก้วเองนะคะ ตอนนี้แก้วเล่นเป็นคริสตัลค่ะ” เสียงนั้นบอกก่อนจะพูดต่อ “แล้วที่หนูรู้ได้ก็เพราะคุณพ่อปฐพีเป็นคนบอกเองค่ะ อิอิ ว่าแต่คุณทวดนี่โชคดีจังเลยนะคะ ได้เล่นเป็นผู้ชายด้วย”

แล้วแก้วหรือคริสตัลได้ขายหูกระต่ายคืนแก่รัตติในราคาครึ่งเดียวที่เคยขายไป ซึ่งพอรัตติได้กลับคืนมา รัตติก็ให้มาริโอสวมใส่แทน หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยกันอยู่สักพัก ปฐพี ศาสตราและพิภพต่างยกกับข้าวเข้ามาวางบนโต๊ะอาหารตรงหน้าพวกเขาทันที

“โอ้โห อาหารเยอะแยะเลย มีอะไรบ้างล่ะฮะเนี่ย” มาริโอร้องอุทานเสียงดังลั่นเมื่อเห็นอาหารอยู่เต็มโต๊ะ สามหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ลอบยิ้มให้กันก่อนที่ศาสตราจะเป็นคนร่ายชื่ออาหาร

“มีเป็ดปักกิ่ง ผัดโป๊ยเซียน ไก่แช่เหล้า หัวปลาต้มเผือก หอยเชลล์นึ่งฮ่องกง ปลาเก๋านึ่งซีอิ้ว และ…” ศาสตราหยุดพักหายใจพลางแอบเหล่ตามองมาริโอก่อนจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “…ต้มจับฉ่ายใส่เห็ดหอม!”

คำสุดท้ายที่ศาสตราพูดทำเอามาริโอถึงกับเบะปาก

“แง้ เห็ดอีกแล้ว แง้ๆ! หนูไม่ทานเห็ดนะ ไม่ทาน ฮือๆ”

รัตติส่ายหน้ากับความขี้แกล้งของศาสตราพลางเอามือลูบหัวปลอบใจมันอยู่สักพัก ก่อนจะสั่งสอนมันว่า “เวลาอยู่บนโต๊ะอาหารนั่งให้มันเรียบร้อยหน่อย แล้วอย่าชะโงกดูอาหารอีก จำไว้นะมาริโอ”

“ฮือๆ ข้าทราบแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”

เมื่อมาริโอตกปากรับคำแล้ว พวกเขาก็นั่งลงให้เรียบร้อยก่อนจะลงมือรับประทานอาหารทันที ซึ่งในระหว่างที่รับประทานอาหาร พวกปฐพีได้เอ่ยปากขอเมฆาว่าจะติดตามไปด้วย เพราะอยากจะเห็นฝีมือกับผลการฝึกของเขา ซึ่งเมฆาก็ไม่ได้ว่าอะไร จึงยอมให้ตามไปด้วยแต่โดยดี

..........................

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางต่อ โดยคราวนี้ได้เพื่อนร่วมทางอีกสามคนนั่นก็คือ คริสตัล งุ้งงิ้ง และคอเบียร์ ส่วนเหตุผลก็เป็นแบบเดียวกับพวกปฐพีจึงทำให้การเดินทางครั้งนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ

“น้องงุ้งงิ้งกับน้องคอเบียร์เลเวลเพิ่งจะยี่สิบเก้าเองเหรอครับ” อเลนถามสองหนุ่มน้อย

“ครับพี่อเลน” งุ้งงิ้งกับคอเบียร์ตอบพร้อมกัน ก่อนที่งุ้งงิ้งจะถามอเลนต่อ “ว่าแต่พี่อเลนมีอาชีพอะไรเหรอครับ เพราะผมดูชุดที่พี่ใส่ไม่ออกเลย”

“ไฮพรีสท์ครับ พอดีพี่ชอบตะบันหน้าศัตรูมากกว่ายืนรอฮีลอยู่ด้านหลัง ก็เลยใส่เกราะหนักถือดาบนะครับน้อง” อเลนตอบยิ้มๆ แต่เมฆาคิดในใจไปอีกอย่าง

ไอ้พรีสท์โรคจิต ฉันจะตายก็เพราะแกมัวแต่ฟัดเพลินจนลืมฮีล!

“แล้วพี่อเลนมีทักษะเพิ่มพลังด้วยหรือเปล่าคะ” คริสตัลถามต่อ

“ก็มีนะครับ ครบเซ็ตเลยก็ว่าได้”

“งั้นเวลาไปเก็บเลเวลกับพี่เมฆา พี่เมฆาก็สบายไปเลยนะสิคะ” คริสตัลพูดต่อด้วยความอิจฉา ซึ่งเมฆาได้แต่หัวเราะแห้งๆ

สบายแน่ๆ เพราะมันสับมอนสเตอร์ แรงกว่าฮีลอีก

“จริงสิพี่รัตติขา พี่รัตติเลเวลกับอายุเท่าไหร่แล้วเหรอคะ ของน้องเพิ่งจะเลเวลสามสิบกับอายุยี่สิบเอง” รัตติยิ้มก่อนจะตอบไปว่า

“ก็เท่ากับน้องแหละครับ” แล้วน้องรัตติก็หันหน้ามาคุยกับเขา “ท่านพี่เมฆาครับ ต่อจากนี้ท่านพี่จะไปที่ไหนต่อเหรอครับ”

เมฆาได้ยินก็พลันขมวดคิ้วใช้ความคิดก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ตอนแรกพี่จะพาเราไปที่สมาคมเงา แต่ตอนนี้มากันเยอะ พี่ก็เลยคิดว่าจะพาทุกคนไปเก็บเลเวลดีกว่า”

“ครับ/ค่ะ”

แล้วเมฆากับอเลนก็พาทุกคนไปยังที่เก็บเลเวลที่พวกเขาสองคนเคยไปเก็บมากันก่อน ซึ่งในระหว่างการเดินทางโดยมีม้าเป็นยานพาหนะนั้น พวกเขาก็คุยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่ลืมที่จะเก็บเลเวลไปด้วย หากแต่เส้นทางที่จะไปทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้นต้องใช้ระยะเวลานานถึงสิบวันเต็ม จึงทำให้ทุกคนเดินทางไปด้วยพร้อมกันอีกได้แค่หกวันเท่านั้น ก่อนจะพากันตั้งเต็นท์ของตัวเองแล้วออฟไลน์ออกจากเกมไป


....................................

เมื่อรัตติได้ออกจากเกมแล้ว เธอก็นั่งสมาธิก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ พอเสร็จธุระแล้วก็เดินออกมาเห็นแม่รุ้งเพิ่งจะลุกขึ้นจากที่นอน

“รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้าลูกรุ้ง ประเดี๋ยวพวกคุณอวิ๋นจะรอนาน” เธอบอก ซึ่งรุ้งก็รับคำก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อเรียบร้อยแล้ว สองแม่ลูกก็เดินออกมาซึ่งประจวบเหมาะที่พวกนพก็ได้เดินออกมาด้วยพร้อมกันพอดี เมื่อพร้อมหน้าแล้วต่างพากันลงลิฟต์ไปชั้นหนึ่งเพื่อไปพบกับอวิ๋นและอาเฟยที่ห้องอาหารตามที่เคยนัดไว้กันตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน หวังว่าเมื่อคืนหลับสบายดีกันนะครับ” อวิ๋นกล่าวทักทายทุกคนเป็นภาษาอังกฤษ

“ค่ะ หลับสบายดีค่ะ” เธอตอบก่อนจะพูดต่อ “ดิฉันว่าพวกเราไปทานข้าวเช้ากันเถอะค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันเรือรอบเช้า”

“ครับๆ”

แล้วทุกคนก็เดินเข้าไปห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จกันหมดแล้ว ทุกคนก็พากันเดินไปยังท่าเรือซึ่งมีเรือตั้งท่าอยู่บนผิวน้ำอยู่หลายลำ

“ประเดี๋ยวผมจะไปติดต่อเช่าเรือก่อนนะครับคุณยาย” นพบอก ซึ่งเธอพยักหน้ารับคำแล้วนพก็เดินไปคุยกับพนักงานของเรือ คุยได้สักพักก็เดินกลับมา “ได้แล้วครับทุกคน เป็นสปีดโบ๊ดที่จะพาข้ามน้ำทะเลไปยังเกาะใกล้ๆนี่”

“เย้ จะได้ไปเที่ยวเกาะแล้ว” แก้วโห่ร้องด้วยความดีใจ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็พากันขึ้นเรือก่อนที่เรือจะแล่นออกจากฝั่ง ซึ่งในระหว่างที่นั่งสปีดโบ๊ดไป เธอก็นั่งคุยกับอวิ๋นเกี่ยวกับเรื่องปลาทะเลต่างๆนานาอย่างสนุกสนานจนกระทั่งถึงที่หมาย

“เฮ้อ ถึงซะที” นพพูดก่อนจะหันมามองลูกสาว “ลูกแก้วสนใจจะให้อาหารปลาไหมครับ ประเดี๋ยวพ่อจะได้ไปซื้ออาหารปลามาให้”

“สนใจค่ะคุณพ่อ” แล้วนพก็เดินหายไปในบังกะโล

“คุณจันทร์แรมจะนั่งพักก่อนดีไหมครับ” อวิ๋นหันมาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่าเขามาก

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะหันไปมองลูกสาวซึ่งกำลังยืนคุยกับมีนาอยู่ “แม่รุ้ง เดี๋ยวลูกช่วยไปซื้อของว่างกับน้ำดื่มมาให้หน่อยได้ไหม”

“ได้ค่ะคุณแม่” แล้วรุ้งก็เดินไปซื้อตามคำสั่งของจันทร์แรม

“เดี๋ยวผมปูผ้ารองพื้นนั่งให้นะครับ” อาเฟยพูดก่อนจะลงมือปูผ้าให้ทันที หลังจากปูเสร็จ อาเฟยก็ขอตัวไปเล่นน้ำบ้าง ซึ่งจะเหลือแต่จันทร์แรม อวิ๋น มีนา และแก้วที่นั่งรออยู่บนผ้า

“อาหารปลามาแล้ว” นพพูดพลางหอบหิ้วถุงอาหารปลาซึ่งเป็นจำพวกขนมปังหรือไม่ก็อาหารเม็ด “คุณจะไปด้วยหรือเปล่ามีนา”

“ไปสิคะ” แล้วนพก็หันมาชวนจันทร์แรม ซึ่งแน่นอนว่าจันทร์แรมปฎิเสธ เพราะเหนื่อยกับการเดินทางด้วยเรือมามากแล้ว

“ดูพวกเขารักกันดีนะครับ” อวิ๋นพูดพลางมองนพ มีนา และแก้วที่กำลังให้อาหารปลาอยู่

“ค่ะ พวกเขารักกันดี” จันทร์แรมตอบก่อนจะพูดต่อ “มีบ้างที่ทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นตบตี”

“ดีแล้วครับสำหรับหนุ่มสาวสมัยนี้ เพราะส่วนมากจะจบลงด้วยการตีกันหรือไม่ก็หย่าร้างกัน”อวิ๋นพูดพลางถอนหายใจ ซึ่งทำเอาจันทร์แรมหันมามองด้วยความแปลกใจ “ตอนสมัยเด็ก ผมเคยเห็นพ่อแม่ของเพื่อนมามาก เขาทะเลาะกันจนถึงขั้นตบตีจนต้องเข้าโรงพยาบาลไป หรือไม่ก็ตีกันจนเลิกไปก็มี ส่วนเหตุผลก็ไม่พ้นเรื่องความยากจน ชีวิตที่อยู่บนความยากจน มันน่าเศร้านะครับ”

“ค่ะ ดิฉันเข้าใจดี” จันทร์แรมพูดพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “อาจารย์ที่สอนวิชาต่อสู้ ท่านเคยเล่าให้ฟังสมัยท่านออกพเนจรที่จีน ท่านบอกว่าหมู่บ้านในชนบทที่ความเจริญเข้าไม่ถึง ผู้คนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หนุ่มสาวก็หนีไปตั้งหลักในเมืองใหญ่ ตัวท่านเองก็เคยอยู่ช่วยเขาพัฒนาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินทางต่อ”

อวิ๋นได้ยินที่จันทร์แรมเล่าถึงกับขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ถามถึงเรื่องอาจารย์ที่สอนวิชาต่อสู้ ฟางที่เป็นพยาบาลก็เข้ามานำยาบำรุงมาให้จันทร์แรมทานตามเวลา

“นี่ก็เที่ยงวันแล้ว ดิฉันว่าพวกเราไปทานข้าวกลางวันกันเถอะค่ะคุณอวิ๋น”

จันทร์แรมเอ่ยปากชวน ซึ่งอวิ๋นพยักหน้าก่อนที่จันทร์แรมใช้รุ้งให้ไปตามพวกนพมา ส่วนอาเฟยนั้น อวิ๋นเป็นคนอาสาไปตามด้วยตนเอง หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จกันแล้ว นพ มีนา รุ้ง แก้ว และฟางที่เป็นพยาบาลก็ขอตัวแยกย้ายไปเล่นน้ำบ้าง ส่วนอาเฟยขอไปดำน้ำชมปะการัง จะเหลือก็แต่จันทร์แรมกับอวิ๋นที่ยังคงนั่งอยู่บนผ้าปูตามเดิม ซึ่งอวิ๋นเห็นว่าไม่มีคนขัดแล้วจึงเอ่ยปากถามเรื่องอาจารย์ที่สอนวิชาการต่อสู้อีกครั้ง

“อาจารย์ที่สอนวิชาต่อสู้ของดิฉันนะรึคะ” จันทร์แรมพูดด้วยความแปลกใจที่อวิ๋นอยากจะรู้เรื่องอาจารย์ของตัวเอง “ดิฉันไม่รู้จักชื่อของท่านหรอกค่ะ เพราะท่านให้เรียกตัวท่านว่าซีฝูนะค่ะ ดิฉันรู้จักท่านตอนสมัยห้าขวบ ตอนนั้นดิฉันกับสามีเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันได้มาเที่ยวบ้านคุณปู่คุณย่าของดิฉันที่อยู่ในป่า”

จันทร์แรมหยุดพักหายใจพลางยกน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหายก่อนจะพูดต่อ

“ตอนนั้นดิฉันกับสามีกำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ แล้วไปเจอท่านล้มฟุบอยู่ เลยช่วยกันหาข้าวหาน้ำให้ท่านกิน ท่านก็เลยสอนวิชาให้ดิฉันกับสามี ทีแรกแค่สอนเพื่อฝึกให้ร่างกายแข็งแรง แต่ไปๆมาๆกลายเป็นฝึกวิชาจริงๆเข้าโดยไม่รู้ตัว”

“อย่างนั้นเองหรือครับ มิน่าล่ะ ตอนพวกคุณสู้กับพวกนักเลงถึงได้จัดการสบายๆ” อวิ๋นพูดพลางพยักหน้า “แต่จะว่าไปท่าต่อสู้ของพวกคุณคล้ายกับของผมจังเลย เอ่อ คือความจริงแล้วผมนึกสงสัยอาจารย์ของคุณมาก เพราะผมเองก็มีอาจารย์ชื่อซีฝูเหมือนกันครับ”

“อะไรนะคะ?! เหมือนกันเหรอคะ”

“ครับ ผมถึงได้ถามคุณจันทร์แรมอยู่นี่ไงครับ” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “แต่ช่วงระยะเวลาที่ผมเจอท่านซีฝูนั้น เป็นตอนที่ผมอายุได้สิบห้าปี ว่าแต่คุณจันทร์แรมกับแฟนของคุณ เอ่อ ใช้ระยะเวลาในการฝึกกี่ปีกันละครับเนี่ย”

“สิบสามปีค่ะ” คำตอบของจันทร์แรมทำเอาอวิ๋นตกใจ

“สิบสามปี!” อวิ๋นร้องอุทานเสียงดังลั่น “น้อยกว่าตอนผมฝึกซะอีก ของผมใช้เวลาตั้งยี่สิบปีกว่าจะสำเร็จ แทบลากเลือดเลยก็ว่าได้”

จันทร์แรมยักไหล่ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง

“ดิฉันกับสามีก็แทบลากเลือดเหมือนกันค่ะ ไปเรียนหนังสือแต่ก็ต้องหลับในห้องเรียนเพราะฝึกวิชาจนล้า แต่นี่ยังดีที่ดิฉันกับสามีโชคดีทั้งคู่ ก็เลยรอดมาได้อย่างเฉียดฉิว”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมก็ต้องเรียกคุณจันทร์แรมว่าศิษย์พี่นะสิครับเนี่ย เพราะได้ฝึกวิชาก่อนผม” อวิ่นพูดพลางเปลี่ยนท่านั่งเป็นคุกเข่าก่อนจะหันหน้าไปทางจันทร์แรม แล้วโน้มหัวลงเล็กน้อย “ขอคาราวะศิษย์พี่”

“อุ้ย ไม่ต้องมีพิธีรีตองขนาดนั้นหรอกค่ะ เราคนกันเอง” จันทร์แรมบอก ซึ่งทำให้อวิ๋นเงยหน้าขึ้น

“เห็นแก่คุณที่เป็นศิษย์พี่ของผม คืนนี้หลังจากกลับไปโรงแรมแล้ว ผมจะขอชวนคุณไปทานอาหารเย็นด้วยกันสองต่อสองได้หรือเปล่าครับ” อวิ๋นเอ่ยปากชวนจันทร์แรม

“ได้สิคะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

จันทร์แรมตอบ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยด้วยเรื่องนิยายต่อ ก่อนเวลาจะผ่านไปได้สองชั่วโมง พวกเขาก็พากันขึ้นเรือกลับโรงแรม

.................................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 57 สารภาพรัก

......................................

หลังจากทุกคนได้นั่งเรือกลับมาที่โรงแรมแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปห้องพักของตัวเอง เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนพก็ได้มาชวนจันทร์แรมให้ลงไปทานข้าวเย็นที่นอกโรงแรม

“ขอโทษทีนะตานพ พอดียายมีนัดแล้วนะ” จันทร์แรมพูดปฏิเสธ ซึ่งทำเอาทุกคนตกใจ

“มีนัด!” นพร้องอุทานเสียงดัง “นัดกับใครหรือครับคุณยาย ทำไมผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

จันทร์แรมยิ้มก่อนจะตอบไปว่า

“ยายนัดกับคุณอวิ๋นนะ พอดีเขาชวนยายตั้งแต่อยู่บนเกาะแล้ว”

เมื่อทุกคนรับทราบแล้วต่างก็ปล่อยให้จันทร์แรมได้ไปทานข้าวเย็นตามที่ได้นัดกับอวิ๋น พอจันทร์แรมแยกย้ายกับพวกนพแล้ว เธอก็ลงลิฟต์ไปยังชั้นห้องภัตตาคารอาหารของโรงแรมนี้ เมื่อมาถึงเธอก็เห็นอวิ๋นยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้าก่อนแล้ว

“ขอโทษด้วยนะคะคุณอวิ๋น พอดีดิฉันมัวแต่คุยลูกหลานก็เลยมาช้าไปหน่อย” จันทร์แรมบอก ซึ่งอีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “ผมว่าเราไปนั่งข้างในดีกว่านะครับคุณจันทร์แรม”

“ค่ะ”

แล้วอวิ๋นก็เดินนำทางให้จันทร์แรมไปโต๊ะหรูตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง บนโต๊ะกลมที่เธอเห็นอยู่นี้มีเทียนไขถูกจุดตั้งอยู่หนึ่งเล่มกับขวดไวน์สองขวดตั้งอยู่ใจกลางโต๊ะ

“เชิญนั่งเลยครับคุณจันทร์แรม” อวิ๋นลากเก้าอี้ให้จันทร์แรม

“ขอบคุณค่ะ” จันทร์แรมกล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งบนเก้าอี้ ส่วนอวิ๋นนั้นเมื่อเห็นว่าจันทร์แรมนั่งไปแล้ว เขาจึงเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

“คุณจันทร์แรมชอบทานอะไรครับ ผมจะได้สั่งได้ถูก” อวิ๋นเอ่ยปากถามเธอ

“อะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณอวิ๋น” จันทร์แรมตอบ ซึ่งอวิ๋นพยักหน้าก่อนจะหันไปสั่งบริกรที่ยืนรออยู่

“ขอเป็นปลาทับทิมนึ่งบ๊วยกับผัดเห็ดหอมครับ” คำว่าเห็ดหอมทำเอาจันทร์แรมสะดุ้งไหวเล็กน้อย “ส่วนของหวาน ผมขอเป็นลอดช่องกับขนมตาลอย่างละถ้วยนะครับ แล้วคุณจันทร์แรมล่ะครับ จะสั่งขนมหวานอะไรดีครับ”

“ขอเป็น…ลำไยลอยแก้วแล้วกันค่ะ”

พอจันทร์แรมพูดจบ อวิ๋นถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสั่งบริกรตามนั้น เมื่อบริกรไปแล้วอวิ๋นค่อยหันหน้ามาคุยกับเธอด้วยเรื่องนิยายกำลังภายในจีนตามเคย พออาหารมาแล้วพวกเขาสองคนก็ลงมือทานโดยคุยไปทานอาหารไปพลาง ก่อนจะตบท้ายด้วยของหวานตามที่ตัวเองสั่ง

“เอ่อคุณจันทร์แรมครับ คุณพอจะรู้จักเกมเรียลไลฟ์ออนไลน์บ้างไหมครับ”

จู่ๆอวิ๋นเอ่ยปากถามจันทร์แรม ซึ่งทำเอาเธอกำลังรินไวน์อยู่นั้นต้องหยุดชะงักมือ

“ก็พอรู้จักนะค่ะ คุณอวิ๋นถามทำไมหรือคะ”

อวิ๋นเอามือเกาหัวก่อนจะวางมือลงบนโต๊ะ

“พอดีผมเล่นเกมนั้นอยู่นะครับ” อวิ๋นพูดด้วยความเขินอาย “อายุจนป่านนี้แล้วยังจะเล่นเกมเป็นเด็กๆ ผมนี่ไม่รู้จักแก่เลยนะครับ ฮะๆ”

จันทร์แรมได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็ยิ้มไปส่ายหน้าไปพลาง

“ดิฉันว่าอายุไม่น่าจะเกี่ยวนะคะ เพราะเกมคือสิ่งบันเทิงชนิดหนึ่งไว้สำหรับคลายเครียด ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือคนแก่อย่างเราๆก็ตาม ก็สามารถเล่นเกมได้กันทั้งนั้นแหละค่ะ”

“งั้นเหรอครับ ผมนี่แย่จริงๆ ฮะๆ” อวิ๋นพูดไปหัวเราะไปพลาง “จริงสิ คุณจันทร์แรมได้เล่นเกมนี้บ้างกับเขารึเปล่าครับ แต่คงจะไม่สินะ ผมนี่แย่ ถามอะไรก็ไม่รู้”

“ได้เล่นสิคะ ทำไมดิฉันจะไม่ได้เล่น”

คำตอบของจันทร์แรมสร้างความตกตะลึงให้แก่อวิ๋นเป็นอย่างมาก

“คุณเล่นด้วยหรือครับคุณจันทร์แรม”

“ค่ะคุณอวิ๋น” จันทร์แรมตอบยิ้มๆ “พอดีตานพชวนดิฉันให้เข้าไปเล่นเกมด้วยนะค่ะ ไอ้ดิฉันเองจะปฏิเสธคำขอหลานก็กระไรอยู่ เลยเล่นตามเลยนะค่ะคุณอวิ๋น”

“งั้นเหรอครับ แล้วนี่คุณจันทร์แรมเล่นเป็นอาชีพอะไรหรือครับ ของผมเป็นนักดาบสายเวทย์”

“ของดิฉันเองก็เป็นนักดาบสายเวทย์เหมือนกันค่ะ แต่ยังไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวอะไร” จันทร์แรมตอบพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบก่อนจะวางลงที่เดิม “นี่ถ้าไม่ได้เพื่อนช่วยแล้วล่ะก็ ยังคงเลเวลแค่สิบห้าอยู่อย่างนั้นนะค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ ฮะๆ ตอนนี้ผมเองก็กำลังพาเพื่อนคนสำคัญมากๆไปเก็บเลเวลด้วยกันเป็นปาร์ตี้ใหญ่มาก”

“เหรอคะ เหมือนกับดิฉันเลยสิเนี่ย ดิฉันเองก็กำลังไปเก็บเลเวลกับพวกเพื่อนๆอยู่เหมือนกันค่ะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะทำท่านึกอะไรออกขึ้นมาได้ “จริงสิ ถ้าคุณอวิ๋นมีโอกาสก็มาทานอาหารได้ที่ร้านของตานพในเกมได้นะคะ ดิฉันจะทำให้สุดฝีมือ แถมเลี้ยงให้คุณฟรีทุกมื้อเลยด้วยค่ะ”

“ไม่ต้องถึงขนาดเลี้ยงฟรีทุกมื้อก็ได้ครับคุณจันทร์แรม ผมเกรงใจ” อวิ๋นพูดพลางครุ่นคิดในใจ

“เอ หลานชายของคุณจันทร์แรมคงจะไม่ใช่เจ้าของจับฉ่ายโภชนาหรอกนะครับนี่”

“นั่นแหละค่ะ ร้านของตานพหลานชายของดิฉันเองค่ะคุณอวิ๋น”

คำตอบของจันทร์แรมทำเอาอวิ๋นถึงกับอึ้ง ใบหน้าซีดลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทำให้จันทร์แรมที่นั่งมองอีกฝ่ายอยู่นั้นถึงกับขมวดคิ้ว

“คุณอวิ๋นคะ คุณอวิ๋นเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดจัง”

“ผมไม่เป็นไรครับคุณจันทร์แรม ผมสบายดี” อวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่ “คุณจะว่าอะไรผมไหม ถ้าผมจะขอทราบชื่อของคุณจันทร์แรมในเกมนะครับ”

“ไม่ว่าค่ะ ดิฉันยินดีที่จะบอก ชื่อในเกมของดิฉันก็คือ...”

“ราตรีพิสุทธิ์ค่ะ”

พอจันทร์แรมตอบคำถามแล้ว อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบยิ่งกว่าเดิม ซึ่งทำให้จันทร์แรมนึกสงสัยท่าทางของอวิ๋นจากที่เคยเห็นตอนต่อสู้กับพวกนักเลงในเมื่อวานก่อนนี้

อย่าบอกนะว่าคุณอวิ๋นจะเป็น...

“ท่านพี่เมฆา”

อวิ๋นถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินที่เธอพูด ซึ่งทำเอาจันทร์แรมถึงกับถอนหายใจเฮือกแรงๆ

จริงด้วย คุณอวิ๋นคือท่านพี่เมฆาจริงๆ

“ดิฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าคุณอวิ๋นชอบเกมเรียลไลฟ์มากแค่ไหน แต่...” จันทร์แรมหยุดพูดพลางมองหน้าอวิ๋นที่เอาแต่ก้มหน้าหนีเธอ “...ในเกมกับนอกเกมไม่เหมือนกัน จะเอามาปะปนกันไม่ได้นะคะ แล้วอีกอย่างเกมเรียลไลฟ์ก็เหมือนกับโรงละครที่ให้เราสวมบทบาทไม่แตกต่างจากนักแสดง แต่สำหรับนอกเกมคือชีวิตจริงของเรา อ้อ แล้วเราก็ยังมีสัญญากันอยู่นะคะ”

“ครับ”

หลังจากนั้นอวิ๋นก็ขอตัวกลับห้องพักไปอย่างเงียบๆ ซึ่งทำเอาเธอนึกเป็นห่วง เมื่อจันทร์แรมกลับเข้าไปในห้องพักแล้ว เธอก็คุยกับลูกสาวสองสามคำ ก่อนจะเข้าไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ แล้วรีบออกมาแต่งตัวพลางสวมแว่นตาอนาล็อกเข้าเกมโดยไม่นั่งสมาธิอย่างที่เคยทำทุกครั้ง

ต้องรีบกลับเข้าไปดูหน่อยแล้ว

.............................................................

“ผู้เล่นเมฆาได้ล็อกอินเกมเรียบร้อยแล้วค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอกหลังจากที่เขาได้กลับเข้ามาในเกมอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เมฆาได้นอนอยู่ในเต็นท์ของตัวเอง พอตื่นเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาจากเต็นท์เพื่อล้างหน้าตา

“สวัสดีเมฆา เพิ่งตื่นหรือ” ปฐพีกล่าวทักทายเขา ในมือของเจ้าตัวกำลังถือตะหลิวอยู่ “ไปล้างหน้าล้างตาอาบน้ำก่อนสิ ผมเพิ่งจะทำอาหารไปได้นิดเดียวเอง”

“อืม” เมฆาตอบพลางครุ่นคิดในใจ

นี่คงเป็นนพสินะ

แล้วเขาก็เดินไปล้างหน้าล้างตาที่ลำธารเล็ก ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้เดินทางมาจนเกือบจะถึงเมืองดนตรีแล้ว แต่ก็ต้องหยุดแวะพักข้างทางเพื่อออฟไลน์เกมไป หลังจากเมฆาอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว เขาก็เดินกลับมาที่เต็นท์อีกครั้งก่อนจะพบว่าที่เต็นท์ในตอนนี้ทุกคนได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว โดยเฉพาะน้องราตรีผู้ซึ่งตัวจริงเป็นถึงคุณจันทร์แรมที่เขารู้จักในโลกภายนอกเกมได้มองหน้าเขาเกือบตลอดเวลา ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาคุยกับเขาอีกเลย

ไม่สิ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายหลบหน้า

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว เมฆาก็พาทุกคนขี่ม้าออกเดินทางต่อ ซึ่งใช้เวลาอยู่หนึ่งวันเต็ม พวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงเมืองดนตรีจนได้

“นี่ก็ดึกแล้ว พวกเรารีบไปหาโรงแรมพักผ่อนกันเถอะ” เมฆาบอกก่อนจะเดินนำหาโรงแรมโดยไม่รอฟังคำตอบจากทุกคน ทว่าเขายังเดินไปได้ไม่ถึงสี่ก้าวดี เสียงหวานก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“นั่นน้องราตรีกับน้องมาริโอนี่ คิดถึงจังเลย”

มาริโอก็พุ่งไปหาเจ้าของเสียงทันที

“เจ๊จ๋า! หนูคิดถึงเจ๊ที่สุดเลย”

แล้วมันก็กระโดดเข้ากอดร่างหญิงสาวสวยแปลกหน้าทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับด้วยการอุ้มมาริโอ

“แหม โตขึ้นเยอะจนพี่สาวคนนี้จำแทบไม่ได้เลยนะเนี่ย”

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเห็ดน้อย”

หนุ่มแปลกหน้าที่ยืนข้างสาวสวยเอ่ยปากทักบ้าง ซึ่งทำเอามาริโอเบะปาก

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับท่านพี่ชุนหลานท่านพี่เทียนหลง” น้องราตรีหรือจันทร์แรมพูดพลางเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น “พวกพี่ทั้งสองคนสบายดีหรือเปล่าฮะ”

ชุนหลานกับเทียนหลงได้ยินที่น้องรัตติพูดก็หันมายิ้มให้

“พวกพี่สบายดีจ้า ว่าแต่น้องราตรีไม่คิดจะแนะนำตัวเพื่อนๆให้พวกพี่สองคนได้รู้จักบ้างเหรอจ้ะ”

น้องราตรียิ้มแห้งๆก่อนจะพูดแนะนำตัวทุกคนให้รู้จัก ซึ่งหลังจากนั้นน้องราตรีก็ยืนคุยกับสองคนนั้นนานสิบนาที ทั้งสองก็ได้บอกลาทุกคนเพื่อที่จะไปทำภารกิจที่อื่นต่อ

“ท่านพี่เมฆาคะท่านพี่เมฆา” คริสตัลเรียก ซึ่งทำให้เขาหันไปมอง “น้องเคยดูจากในเว็บไซต์ ว่าเมืองนี้มีภารกิจที่สามารถอัพระดับการต่อสู้ได้ง่ายและเยอะด้วย น้องคิดว่าพวกเราน่าจะหยุดแวะทำภารกิจที่นี่สักหน่อยนะคะ”

เมฆาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองทุกคนเพื่อขอความเห็นบ้าง

“เอาตามที่น้องคริสตัลบอกก็ได้นะเมฆา เมืองดนตรีนี้ก็ดี มีภารกิจให้ทำเพื่ออัพระดับเยอะ แถมไม่ต้องเสี่ยงอันตรายด้วย” อเลนบอก ก่อนที่จะตามด้วยพวกปฐพีที่เห็นด้วยกับความคิดนั้น

“งั้นพักคืนหนึ่งที่โรงแรม แล้วตอนเช้าค่อยเดินออกมาหาภารกิจทำ”

แล้วเขาก็พาทุกคนไปพักในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทิศใต้ของเมืองดนตรีแห่งนี้ ค่ำคืนนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว เมฆาก็นอนไม่หลับเพราะมีอะไรให้คิดมากมาย โดยเฉพาะเรื่องน้องราตรีหรือคุณจันทร์แรมในโลกนอกเกมที่ทำเอาเขาหัวหมุน

สับสน

นี่เราเป็นอะไรไป


แม้ว่าตัวเขาในเกมเป็นถึงเจ้าชายเมืองปีศาจที่ถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลเพราะอยากจะช่วยเหลือพ่อแม่มังกรของน้องราตรีก็ตาม แต่ชีวิตนอกเกมแล้ว เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ไร้พลังชื่ออวิ๋นเท่านั้นเอง ทว่าเมฆาต้องหยุดความคิดนั้นลงเพราะดันได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะถูกขับขานออกมาจากเบื้องนอกหน้าต่างโรงแรม

“ใครกันมาร้องเพลงตอนดึกตอนดื่นกันนะ”

เมฆาพูดพึมพำกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากโรงแรมเพื่อตามเสียงเพลงที่ตัวเองได้ยิน ซึ่งระยะทางของเสียงเพลงไม่ได้ไกลจากตัวโรงแรมที่เขาอยู่มากนัก ประกอบกับแสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ส่องสกาวสดใสบนท้องฟ้ายามกลางคืน ทำให้ชายหนุ่มได้ทันเห็นผู้ร้องขับขานเสียงเพลงนี้กำลังยืนอยู่บนหลังคาของตึกหลังหนึ่ง

น้องราตรี ไม่สิ คุณจันทร์แรม เมฆาคิดในใจพลางไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะสามารถร้องเพลงได้ไพเราะเพราะพริ้งถึงเพียงนี้ แม้นว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในร่างผู้ชายก็ตามที หากจันทร์แรมไม่ใช่ผู้หญิงล่ะก็ เขาคงจะไม่อยู่ฟังให้เสียเวลา แต่พอเขาลองฟังดูดีๆแล้ว น้องราตรีหรือจันทร์แรมกำลังร้องเพลงทำนองเศร้า ชวนสลดหดหู่ สงสัยกำลังคิดถึงคนรักที่จากไปแน่ๆเลย

เมฆาคิดในใจ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคุณจันทร์แรมมีคนรักอยู่แล้ว ถึงจะหายไปกับน้ำตกไม่มีวันหวนกลับก็เถิด คงจะยากที่จะกลับมารักใครใหม่ได้อีก พอคิดได้ดังนั้นเมฆาก็ถอนหายใจเฮือกแรงๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปทิศเดิม

กลับไปนอนดีกว่า

ไม่ทันที่เมฆาจะได้ก้าวเท้าเดินสักก้าว เสียงของคนร้องก็ได้หยุดลง

“ท่านพี่เมฆา” เสียงน้องราตรีเรียกเมฆา ซึ่งทำให้เขาต้องหยุดเดิน “ผมรบกวนเวลาพักผ่อนของท่านพี่หรือเปล่าครับเนี่ย”

เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายกระโดดลงมาจากหลังคากระทบพื้นเบาๆ ทำให้เมฆาเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงใช้ปีกมังกรในการบินแน่

“เปล่าเลย ไม่ได้รบกวน” เมฆาตอบโดยไม่หันหน้ากลับไป

ทำไมคุณจันทร์แรมยังเรียกเขาว่าเมฆาอยู่อีกนะ เมฆาครุ่นคิดอย่างหนักใจ แถมยังแสดงท่าทางเหมือนไม่รู้จักเขาว่าเป็นอวิ๋นอีกด้วย

ทว่าอวิ๋นหรือเมฆาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสิ่งที่จันทร์แรมทำไปนั้น เพื่อต้องการสอนให้อวิ๋นได้คิดว่าในเกมมันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ถูกสมมุตขึ้น ทุกคนต้องเดินไปตามบทบาทของตัวเองในเกม

“งั้นท่านพี่ก็มานั่งชมจันทร์กับผมหน่อยสิครับ พอดีผมนอนไม่หลับนะ แหะๆ”

น้องราตรีพูดชวน ซึ่งทำให้เมฆาถึงกับถอนหายใจเฮือกแรงๆอีกครั้ง

“ก็ได้ เพราะพี่เองก็นอนไม่หลับเหมือนกันกับเรานั่นแหละ”

“งั้นขึ้นมาตามผมเลยนะครับท่านพี่เมฆา”

น้องราตรีบอกก่อนจะบินขึ้นไปยืนรอบนหลังคา ซึ่งทำให้เมฆาต้องรีบกระโดดขึ้นไปตาม

ที่ยอมไปด้วยก็เพราะเห็นว่ากำลังเศร้าหรอกนะ

ครั้นพอกระโดดขึ้นไปตามแล้ว เมฆาก็เห็นน้องราตรีได้นั่งลงบนหลังคารออยู่แล้ว

“ดีนะที่วันนี้ไม่ใช่วันพระจันทร์เต็มดวง ไม่อย่างนั้นเราคงต้องสู้กันแน่ๆ” น้องราตรีพูดยิ้มๆ ก่อนจะใช้มือขวาตบลงบนหลังคาข้างตัวเองเบาๆ “มานั่งสิครับ จะยืนให้เมื่อยไปทำไมกันล่ะท่านพี่เมฆา”

เมื่ออีกฝ่ายชวนแล้ว มีหรือที่เมฆาจะไม่ทำตาม หากแต่เขาเดินเข้าไปนั่งห่างจากที่อีกฝ่ายนั่งพอควร แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำ เพราะเมฆาไม่รู้จะพูดอะไรดี แถมอีกฝ่ายก็เป็นถึงคุณจันทร์แรมด้วย

“บทเพลงแห่งดวงดาว” จู่ๆ น้องราตรีก็พูดขึ้นมา ทำเอาเมฆาต้องหันไปมองอีกฝ่าย ซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองดาวบนท้องฟ้าอยู่ “เป็นเพลงที่ผมร้องยามเหงา แต่ก็ไม่ได้ร้องบ่อยหรอกนะครับ พอดีวันนี้เป็นวันครบรอบสามสิบปีที่เขาได้หายไป”

เขาที่น้องราตรีกล่าวถึงก็คือคนรักที่หายไปกับสายน้ำ ซึ่งจันทร์แรมเคยเล่าให้เขาฟังตอนอยู่นอกเกมแล้ว

“พี่ เอ่อ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”

เวลาที่น้องราตรีหรือจันทร์แรมพูดถึงคนรักทีไร เขามักจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

อิจฉา?

บ้าน่า เราจะไปอิจฉาคนที่ตายไปแล้วทำไมกัน


เมฆาคิดในใจ ในขณะที่อีกฝ่ายเลิกมองบนท้องฟ้าแล้วหันมามองเขา

“ท่านพี่เมฆามีอะไรอยากจะบอกผมหรือเปล่าฮะ” น้องราตรีเอ่ยปากถามเขาอย่างสงสัย “วันนี้ทั้งวันตั้งแต่ออนไลน์เกมมา ท่านพี่แทบไม่ค่อยจะพูดกับผมเลย แม้กระทั่งหน้าผมท่านพี่ก็ไม่ยอมมอง”

เมฆาได้ยินถึงกับสะดุ้ง

“เปล่านี่ พี่ว่าเราน่ะคิดมากเกินไปแล้ว” เมฆาบอกปัด แต่ใบหน้าคนฟังดูไม่ค่อยจะเชื่อในคำพูดนั้น “แล้วอีกอย่างวันนี้เราไม่ได้มาเดินคู่กับพี่ ก็เลยไม่ได้คุยกันตามปกติ แค่นี้เอง”

“ถ้างั้นแล้วทำไมท่านพี่ต้องนั่งห่างจากผมเป็นวาด้วยล่ะครับ”

น้องราตรีพูดเสียงเข้ม ซึ่งทำเอาเมฆาสะดุ้งอีกครั้ง

“พี่ก็แค่…ก็แค่…”

“ผมมันน่ารังเกียจมากเลยรึไงครับ ท่านพี่ถึงได้ตีห่างจากผมนะ” น้องราตรีพูดแทรกอย่างดุดัน “หรือว่าเป็นเพราะท่านพี่ได้รู้จักตัวจริงของผมในโลกนอกเกมแล้ว ก็เลยพาลรังเกียจคนแก่ๆอย่างผม”

“พี่เปล่ารังเกียจน้องนะน้องราตรี!”

เมฆาร้องอุทานอย่างตกใจ

“โกหก” น้องราตรีพูดแย้งเสียงสั่น “ถ้าไม่รังเกียจจริง แล้วทำไมเวลาพูดกับผมถึงต้องหลบตาผมด้วยล่ะ แต่ก็ช่างเถอะ ผมมันคงแก่เกินไป ท่านพี่ก็เลยรังเกียจที่จะคุยด้วย…”

“ไม่ใช่! พี่ไม่ได้รังเกียจน้อง แต่พี่…พี่…”

“พี่อะไร อย่ามาพูดแก้ตัวกับผมหน่อย…”

“พี่รักน้อง! เข้าใจไหมว่าพี่รักน้อง!” เมฆาตวาดเสียงดังลั่น ก่อนจะหยุดพักหายใจมองเห็นสีหน้าอันตื่นตะลึงของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาที่เขา “พี่ ไม่สิ ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเข้าใจผิด คุณจันทร์แรม ผมไม่ได้รังเกียจคุณว่าแก่เลยซักนิด แต่เป็นเพราะ…เพราะผมรักคุณต่างหากคุณจันทร์แรม ทีแรกผมสับสนอย่างบอกไม่ถูกว่าทำไมตัวผมเองถึงไปหลงรักเพศเดียวกันได้ แต่พอได้รู้ตัวตนจริงของน้องราตรีในนอกเกมแล้ว มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกรักคุณมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่ผม…ผม…รู้สึกอายที่ได้คุยกับคุณก็เท่านั้นเองครับ”

พอเมฆาพูดจบ อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มหวานมาให้เขา

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะท่านพี่ถึงได้หลบหน้าผมอยู่ตลอด” น้องราตรีหรือคุณจันทร์แรมพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วจึงค่อยหันหน้ากลับมามองเขาต่อ “ขอบคุณท่านพี่ที่บอกความรู้สึกผมให้รู้ แต่…”

“แต่?”

“แต่ผมรับรักใครอีกไม่ได้แล้ว”

เปรี้ยง!

เหมือนมีเสียงฟ้าร้องผ่าเข้าที่กลางหัวใจเมฆาอย่างกะทันหัน พร้อมกับความรู้สึกที่เข้ามากระจุกรวมกันจนเขารู้สึกอึดอัด

“ทำไม?” เมฆาพูดเสียงสั่นเมื่อได้รับคำตอบปฏิเสธอย่างฉับพลัน

“คงเป็นเพราะผมยังรักเขาอยู่” น้องราตรีหรือจันทร์แรมตอบ “ถึงเขาจะตายจากผมไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังไม่สามารถลืมเขาลงได้ แล้วอีกอย่างผมก็คงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน จะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นผมถึงไม่อยากรับรักใครอีก ท่านพี่เมฆา ผมต้องขอโทษด้วยอีกครั้งที่ผมทำให้ท่านพี่ต้องเสียใจ”

เมฆาได้ยินเหตุผลที่อีกฝ่ายบอกแล้วถึงกับขบริมฝีปากเบาๆ

“ไม่” เมฆาแย้งกะทันหัน ซึ่งทำเอาน้องราตรีถึงกับขมวดคิ้ว “ผมจะรอ รอจนกว่าคุณจะหมดรักเขา รอนานแค่ไหนผมก็ยอม แต่ขอให้ผมได้อยู่ข้างเคียงคุณจะได้ไหมครับคุณจันทร์แรม”

พอเขาพูดจบ อีกฝ่ายถึงกับถอนหายใจเฮือกพลางส่ายหน้าไปมา

“อย่าดื้อสิครับท่านพี่เมฆา” น้องราตรียังคงใช้คำพูดผู้ชายตามเดิม ถึงแม้ว่าเมฆาจะเปลี่ยนคำพูดในการเรียกตัวเองไปนานแล้ว “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่สามารถรับรักใครได้ แล้วอีกอย่างผมเห็นท่านพี่เป็นแค่พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ไม่ได้เห็นท่านพี่เป็นผู้ชายคนหนึ่งเลยซักนิดเดียว”

ฉึก!

เหมือนมีศรมาแทงหัวใจเมฆา ทำเอาเขารู้สึกกระอักกระอ่วนจนพูดอะไรไม่ออก

“ผมเองก็ไม่ได้อยากใจร้ายกับท่านพี่หรอกนะครับ เพียงแต่ผมไม่อยากเห็นท่านพี่ต้องเจ็บปวดยามเมื่อผมไม่ได้อยู่บนโลกนี้ก็เท่านั้นเอง” น้องราตรีบอกด้วยน้ำเสียงที่เศร้า ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแทน “เอาเป็นว่าผมรับท่านพี่เป็นเพื่อนแทนได้ไหมครับ เพราะยังไงท่านพี่ก็เสมือนเพื่อนกับพี่ชายของผมคนหนึ่งล่ะ”

เมฆาได้ยินดังนั้นถึงกับถอนหายใจเฮือกแรงๆ

นี่เราเป็นได้แค่เพื่อนกับพี่ชายเองหรอกรึ?

เมฆาคิดในใจอย่างยอมแพ้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ได้บอกความรู้สึกของตัวเองไปจนหมดแล้ว แถมอีกฝ่ายก็ได้บอกความรู้สึกของตัวเองให้เขาได้ทราบแล้วเช่นกัน พอคิดได้ดังนั้นแล้วเมฆาก็ฉีกยิ้มออกมา เขาแพ้อย่างราบคาบโดยสิ้นเชิง แพ้ให้กับคนที่ตายไปแล้วชนิดที่ว่าสู้ไม่ได้เลยซักนิดเดียว

“ได้ครับ เพื่อมิตรภาพแล้ว พี่จะยอมเป็นพี่ชายกับเพื่อนแสนดีของน้องแล้วกัน”

เมฆาบอกแต่ในใจคิดไปอีกอย่าง นี่ถ้าน้องราตรีได้รู้ความจริงเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกว่ามีพ่อเป็นราชาปีศาจ และปกปิดเรื่องที่ซ่อนของพ่อแม่มังกรอีกด้วยแล้วล่ะก็

เมื่อถึงตอนนั้นจริง…

น้องราตรีจะยังยอมรับเขาเป็นพี่ชายหรือเพื่อนได้อยู่อีกหรือ…


...........................................

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ tutankamen

  • ผีสิงประจำเล้า
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • Facebook ของผมเองครับ
ซีนนี้ คุณปู่ คุณทวด เค้า คุยกัน -*-

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 58 ความตาย 1

...........................................

รุ่งเช้าของการออนไลน์วันที่สองของราตรีหรือรัตติ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว รัตติกับมาริโอก็พากันออกจากห้องพักก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างเพื่อลงไปทานอาหารเช้า

“อรุณสวัสดิ์ครับน้องรัตติน้องมาริโอ เมื่อคืนหลับสบายดีไหมเอ่ย” อเลนกล่าวทักทายพวกเธอทันทีที่เห็นว่ากำลังเดินลงบันไดมาแล้ว

“ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ครับ” รัตติตอบพลางคิดในใจไปพลาง เพราะเมื่อคืนกว่าจะเดินกลับมาในโรงแรมพร้อมกับท่านพี่เมฆาได้ก็ปาเกือบตีหนึ่งแล้ว “ที่นอนแข็งไป แถมเมื่อคืนอากาศก็เย็นด้วย ก็เลยทำให้ผมนอนไม่ค่อยจะหลับนะครับพี่อเลน”

รัตติไม่ได้พูดโกหก ที่นอนของโรงแรมแข็งไปจริงๆ แล้วเมื่อคืนอากาศก็เย็นด้วย เลยทำให้เธอยิ่งนอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ ไหนจะเรื่องที่ท่านพี่เมฆามาสารภาพรักเมื่อคืนนี้อีก

“งั้นน้องรัตติมาดื่มโสมหน่อยไหมครับ พี่ทำเองกับมือเลยเชียวนะ” ปฐพีที่นั่งฟังอยู่นานแล้ว ก็ได้ผุดลุกขึ้นก่อนจะยกถ้วยขึ้นมาเสนอให้ถึงที่ ซึ่งทำเอาศาสตรา พิภพถึงกับตกใจในท่าทีของปฐพีที่เปลี่ยนไป

“เฮ้ย ทำไมจู่ๆปฐพีนึกเอาใจน้องรัตติได้วะ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันออกจะเกลียดน้องเขาแทบเป็นแทบตาย” ศาสตราพูดกระซิบกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“นั่นสิ ฉันเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน” พิภพพูดอย่างเห็นด้วยกับความคิดนั้น เพราะตั้งแต่พวกเขาได้ออนไลน์เกมอีกครั้ง ปฐพีก็ทำท่าเอาอกเอาใจน้องรัตติราวกับเป็นคนพิเศษ “หรือว่า...น้องรัตติจะเป็น...คุณยายที่ปฐพีกำลังตามหานะ”

พอพิภพพูดจบ ศาสตราถึงกับสะดุ้ง

“เฮ้ย เป็นไปไม่ได้หรอกน่า อย่างน้องรัตติหรือจะเป็นคุณยายของปฐพีได้ ไม่มีทางเด็ดขาด”

“ไม่รู้สิ ฉันก็แค่เดาเอา” พิภพพูดพลางยักไหล่ ก่อนจะหันไปดูน้องรัตติกับปฐพีต่อ ซึ่งรัตติได้กล่าวขอบคุณแล้วยกขึ้นดื่ม

“แล้วนี่ท่านพี่เมฆาได้เดินออกมาจากห้องพักแล้วรึยังครับ” รัตติถามต่อหลังจากดื่มเสร็จ

“ยังนะ” อเลนตอบหน้ามุ่ย “เมื่อวานไม่รู้มันเป็นบ้าไร เดินออกไปข้างนอกดึกๆดื่นๆ กลับมาก็ถีบพี่จนตกที่นอน นี่ถ้าไม่เห็นว่าติดคำสาปอยู่ล่ะก็ คงถีบกลับไปนานแล้ว”

คำพูดของอเลน ทำเอารัตติ ปฐพี ศาสตรา พิภพ คริสตัล คอเบียร์ และงุ้งงิ้งต่างตกตะลึงไปตามๆกัน เพราะเท่าที่ดูจากภายนอกแล้ว เมฆาแทบไม่เป็นอะไรเลยซักนิด

“คำสาป?” รัตติพูดพลางขมวดคิ้ว “คำสาปอะไรหรือครับ”

อเลนได้ยินที่รัตติถามก็ถึงกับชะงักราวกับรู้ว่าตัวเองเผลอพลั้งพูดอะไรออกมาไม่รู้ตัว

“เอ่อ คือ” อเลนพูดเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ คำสาปปีศาจนะ พอดีเมฆาไปโดนมาจากมอนสเตอร์ที่เป็นปีศาจ ก็เลยทำให้กลายร่างเป็นปีศาจในคืนพระจันทร์เต็มดวง น้องรัตติน้องมาริโอก็เคยเห็นมาแล้วนี่ครับ”

รัตติได้ยินก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ไม่ใช่แค่เป็นปีศาจเพียงอย่างเดียว ร่างกายของเขาจะอ่อนแอจนต่อสู้ไม่ค่อยจะไหว เท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มีแรงได้เพราะน้ำยาเพิ่มพละกำลัง”

“แล้วไม่มีทางแก้ไขได้เลยหรือครับ” ปฐพีถามอย่างสงสัย เพราะชายหนุ่มก็เป็นห่วงเพื่อนอยู่เหมือนกัน “อย่างพวกน้ำยาแก้คำสาปอะไรพวกนี้ ผมก็มีอยู่นะ”

อเลนส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ไม่ได้หรอก ของพวกนี้จะแก้คำสาปไม่ได้ถ้าหากไม่ได้จัดการตัวต้นเหตุซะก่อน”

“ถ้างั้นมอนสเตอร์ปีศาจนั่นคือตัวอะไรล่ะครับ พวกผมจะได้พาพวกสมาชิกในสมาคมจับฉ่ายไปช่วยฆ่าตัวนั้นให้” ปฐพีถามต่ออย่างคาดเดา เพราะคิดว่ามอนสเตอร์ปีศาจตัวนั้นคงจะมีระดับที่สูงพอกับเมฆาแน่ๆ ดังนั้นการจะช่วยฆ่าตัวนั้นให้ต้องพาคนเก่งๆหลายคนไปช่วยถึงจะประสบความสำเร็จ

“ปีศาจตัวนั้นคือ…”

“คือปีศาจธรรมดา” เสียงเมฆาดังมาจากด้านหลังอเลนที่เพิ่งจะเดินลงบันไดมา “แต่มันเป็นบั๊ก แล้วมันก็หายไปไหนไม่รู้”

“บั๊กงั้นหรือ งั้นก็ต้องไปแจ้งกับพวกจีเอ็มสิ” ปฐพีพูดต่อ ซึ่งเมฆายกมือขึ้นห้าม

“ไม่ต้องหรอกปฐพี กะอีแค่หมดแรง ดื่มน้ำยาเพิ่มพละกำลังก็สามารถต่อสู้ได้แล้วนะ” เมฆาบอกก่อนจะพูดต่อ “ฉันไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยาก เอ่อจริงสิ ฉันว่าเรารีบทานข้าวเช้ากันเถอะ จะได้ไปรับภารกิจในเมืองนี้กันต่อ”

“เมฆา ทำไมเจ้าต้องพูดโกหกทุกคนด้วยล่ะ” อเลนใช้พรายกระซิบถามเมฆาแทน

“นี่มันเรื่องของข้า เจ้าอย่าได้พูดออกไปเชียวล่ะ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะอเลน”

เมฆาพรายกระซิบตอบโดยไม่มองหน้า แล้วพวกเขาก็เดินออกจากโรงแรมไปก่อนจะเดินเข้าไปร้านอาหารเพื่อที่จะทานอาหารเช้า หลังจากทานอาหารเช้าแล้วพวกเขาก็เดินไปรับภารกิจที่ตึกภารกิจ ซึ่งเป็นภารกิจที่ไม่ยากแถมมีให้ทำอย่างหลากหลาย อาทิเช่น ตามหาเครื่องดนตรีในเมือง แข่งขันร้องเพลง แข่งขันเต้นตามลูกศร เป็นต้น แล้วเวลาก็ผ่านไปได้ห้าวันเต็ม รัตติ คริสตัล งุ้งงิ้งและคอเบียร์ต่างอัพเลเวลขึ้นมาแบบพรวดพราด โดยรัตติกับคริสตัลอยู่ที่ห้าสิบ ส่วนงุ้งงิ้งกับคอเบียร์ได้สี่สิบห้า ซึ่งถือว่าเป็นการอัพเลเวลที่คุ้มค่าพอสมควร ยกเว้นมาริโอที่ไม่ได้อัพเลเวลเหมือนกับคนอื่น ก็เลยงอแงจนรัตติต้องพามันไปกินไอศกรีมแทน

“เอาล่ะ หมดภารกิจของเมืองนี้ซักที พี่ว่าพวกเราก็รีบออกเดินทางกันต่อเถอะ” เมฆาพูดพลางถอนหายใจ พวกเขาหยุดแวะพักทำภารกิจที่เมืองดนตรีนานเกินพอสมควรแล้ว ซึ่งทุกคนเห็นด้วยดังนั้นจึงรีบออกเดินทางต่อทันที การเดินทางไปป่าสัตว์อสูรครั้งแรกของรัตติไม่นานนักเพราะติดอยู่กับเมืองดนตรี หากแต่มีเขตอาคมกั้นระหว่างเมืองดนตรีกับป่าสัตว์อสูรเอาไว้ “พอผ่านเขตนี้แล้ว ก็ระวังๆตัวกันหน่อยนะ เพราะในป่านี้มีสัตว์อสูรมาก”

เมฆาบอกทุกๆคน ซึ่งยกเว้นพวกปฐพีที่เคยมาแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร แล้วพวกเขาก็วางแผนโดยมีเมฆากับอเลนอยู่เบื้องหน้าคอยเป็นตัวล่อ ส่วนพวกปฐพีคอยคุ้มกันพวกรัตติอยู่ด้านหลัง ซึ่งการเก็บเลเวลครั้งนี้ออกจะยากกว่าที่อื่นเป็นไหนๆ เพราะต่างเจอสัตว์อสูรระดับห้าสิบขึ้นไป ทำให้รัตติต้องรวมร่างกับมาริโอเพื่อที่จะได้สู้อย่างสบาย

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์อัพเลเวลจาก50 เป็น51”

เสียงระบบประกาศบอกรัตติก่อนที่เมฆาจะบอกให้ทุกคนได้หยุดพักหายเหนื่อย

“เดี๋ยวนี้อาหารมื้อเที่ยงนี้พวกผมจะเป็นคนทำให้นะเมฆา” ปฐพีบอก ซึ่งเมฆาพยักหน้าตอบตกลง ก่อนที่ปฐพีจะใช้ศาสตรากับพิภพให้ไปหาฟืนกับน้ำมา ส่วนเจ้าตัวก็งัดอุปกรณ์การทำอาหารกับวัตถุดิบขึ้นมาทำอย่างเร็ว

“ให้ผมช่วยไหมครับพี่ปฐพี” รัตติถามอย่างมีมารยาท ถึงแม้เธอจะรู้ว่าปฐพีเป็นหลานชายของตัวเองก็ตาม แต่เธอก็ยังคงแสดงเป็นน้องราตรีหรือรัตติตามเดิม ส่วนปฐพีก็เช่นกัน เขาร่วมมือกับคุณยายในการแสดงเป็นพี่ชายกันมิให้เพื่อนของตัวเองต้องสงสัยคุณยายเอาได้

“อย่าเลยน้องรัตติ น้องเพิ่งจะต่อสู้มาหมาดๆ ไปพักผ่อนให้สบายตัวเถิด เดี๋ยวทางนี้พวกพี่จัดการให้เอง” เมื่อปฐพีบอกมาแบบนั้น รัตติจึงต้องจำใจไปนั่งพักอย่างช่วยไม่ได้ พอนั่งลงพิงกับต้นไม้แล้ว เธอก็หันไปมองพวกคริสตัลที่กำลังนั่งคุยกับงุ้งงิ้งและคอเบียร์อย่างสนุกสนาน ซึ่งต่างกับเธอที่คิดถึงพ่อแม่มังกรใจแทบขาด

ป่านนี้แล้วท่านพ่อท่านแม่จะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ

ราตรีคิดในใจ ถึงที่นี่จะเป็นเพียงแค่เกม แล้วสองคนนั้นก็เป็นเพียงแค่เอ็นพีซีที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่ผู้เล่นแบบเดียวกับเธอ แต่เธอก็รักพวกเขาเสมือนพ่อแม่ของเธอจริงๆ มีหนทางเดียวที่จะไปช่วยพวกท่านได้ก็คือ ต้องแข็งแกร่งให้เทียบเท่าราชาปีศาจหรือไม่ก็เก่งกว่าเท่านั้น พอคิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมา ซึ่งเธอไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น โดยแสร้งทำเป็นขอตัวไปอาบน้ำเพื่อคลายร้อน แต่ก่อนจะไป เมฆาได้ให้กำไลกับเธอ

“ใส่มันซะ จะได้อำพรางกายพวกสัตว์อสูรได้”

“ครับ ขอบคุณครับท่านพี่”

แล้วเธอก็เดินไปก่อนจะสวมกำไลทันที ทำให้ร่างของเธอเลือนหายไปกับอากาศ หลังจากที่ราตรีเดินมาถึงลำธารแล้ว เธอก็หยุดเดินก่อนจะนั่งลงข้างลำธาร

“ฮือๆ” ราตรีสะอื้นไห้เสียงเบาเพราะเกรงว่าจะทำให้เพื่อนๆที่อยู่ไม่ไกลจะได้ยินเข้า และถึงแม้ว่าราตรีจะสวมกำไลอำพรางร่างกายอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถอำพรางหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากนัยน์ตาของเธอลงบนพื้นดินได้ “ท่านพ่อท่านแม่...ข้าคิดถึงพวกท่าน...ทำไมพวกท่านถึงไม่มาเข้าฝันข้าอีก ฮือๆ”

ระหว่างที่ราตรีกำลังสะอื้นไห้อยู่นั้น จู่ๆ แสงสีฟ้าจากสร้อยคอผลึกเกล็ดย้อนก็เกิดเปล่งประกายแสงขึ้นมา ทำเอาราตรีถึงกับหยุดชะงัก ก่อนจะเห็นเงาคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากแสงสีฟ้า

“ท่านพ่อท่านแม่!”

แท้จริงแล้วเงาที่ราตรีเห็นนั้นก็คือเหม่ยจิงกับเดรคนั่นเอง หากแต่สภาพของทั้งคู่ทรุดโทรมผิดหูผิดตาที่ราตรีเคยเห็นเมื่อครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกัน

“ร้องออกมาเถอะลูกรัก” เหม่ยจิงพูดปลอบใจลูกชายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยน “ร้องเสียให้พอ เพราะหลังจากนี้ไปเจ้าจะต้องเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้อีก”

“ท่านแม่!”

ราตรีร้องเรียกเหม่ยจิงทั้งน้ำตา พลันลุกขึ้นยืนแล้วสวมกอดร่างเงาของผู้เป็นแม่ แต่ทว่าก็คว้าได้แต่เพียงอากาศเท่านั้น

“อ้าว จั่วลมเลยนะลูกรัก ฮะๆ” เดรคพูดไปหัวเราะไปพลาง แต่ก็ไม่วายที่จะโดนคนรักหยิกสีข้างให้อย่างแรงจนหน้าหงิก “ง่า ข้าแค่หยอกลูกเล่นเองนะตะเองก้อ”

“ถึงจะโตแค่ไหน แต่สำหรับแม่ เจ้าคือราตรีพิสุทธิ์ตัวน้อยๆของแม่เสมอ”

“ท่านแม่”

เท่านั้นแหละ ราตรีถึงกับปล่อยโฮออกมาทันที ซึ่งราตรีใช้เวลาร้องไห้อยู่ไม่นานก็หยุดร้อง ก่อนจะมองพ่อแม่อีกครั้ง

“ท่านพ่อท่านแม่” ราตรีเรียกทั้งคู่พลางใช้มือปาดน้ำตาออก “ตอนนี้ลูกได้เพื่อนมาเยอะแล้ว แต่ยังไม่เก่งกล้าสามารถพอที่จะไปช่วยพวกท่านได้ ท่านพ่อกับท่านแม่รอลูกหน่อยนะ อีกไม่นานลูกต้องไปช่วยพวกท่านแน่”

คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้ยินที่ลูกชายพูดออกมาถึงกับเป็นปลื้ม แต่ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไรกับลูกชาย ภาพของทั้งคู่ก็พลันจางหายไปต่อหน้าราตรีทันที แล้วราตรีก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะมองไปข้างหน้า

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะต้องเข้มแข็งขึ้นอีกให้จงได้”

พอพูดจบ ราตรีก็รีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบเดินกลับไปหาพวกเพื่อนๆต่อ เมื่อเธอเดินไปถึงแล้ว ก็เห็นธิดา หงส์หยก และปลาที่มีมาริโอนั่งตักอยู่ด้วยกำลังนั่งคุยกับเมฆาและอเลนอย่างสนุกสนาน พอหันไปอีกด้าน เธอก็เห็นงุ้งงิ้งกับคอเบียร์นั่งขัดดาบกับโล่อยู่ ซึ่งเธอเดาไม่ออกว่าสองหนุ่มนี้ขัดอาวุธให้ใครกันแน่ ส่วนปฐพี ศาสตรา และพิภพนั้นกำลังทำอาหารจวนใกล้จะเสร็จแล้ว เนื่องจากราตรียังรู้สึกไม่หายเศร้าดี จึงนั่งลงโดยไม่คิดจะถอดกำไลออก

ขอนั่งเงียบๆอยู่อย่างนี้สักพักหน่อยแล้วกัน

..........................................

ซึ่งราตรีใช้เวลาอยู่ไม่นาน เธอก็ลุกขึ้นเดินกลับไปทางเดิมก่อนจะถอดกำไลออกมา แล้วแสร้งทำเป็นเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ

“อ้าวท่านพี่ธิดา พี่หงส์หยก พี่ปลามาที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย” รัตติแสร้งทำเป็นทักทายด้วยความแปลกใจ ซึ่งทำเอาคนทักหันมายิ้มให้กับเธอ

“พอดีพี่มาเก็บเลเวลแถวนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วจ้ะน้องรัตติ มามะ มานั่งข้างพี่เร็ว”

“ครับ”

แล้วรัตติก็นั่งลงตามคำเชิญ ก่อนที่ธิดาจะชวนเธอคุยถามสารทุกข์สุกดิบต่างๆนานา จนกระทั่งถึงเวลาอาหารซึ่งรัตติได้เอ่ยปากชวนพวกพี่ธิดาร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วย และแน่นอนว่าปฐพีถึงกับหน้าบึ้งเมื่อรู้ว่าธิดามานั่งทานข้าวด้วย

เอ สองคนนี้มีอะไรกันแน่ สงสัยจริงๆ

รัตติคิดในใจก่อนจะใช้พรายกระซิบถามหลานชายตัวดีเดี๋ยวนั้น

“ธิดาเป็นอะไรกับหลานกันฮึตานพ ถึงได้จงเกลียดจงชังเธอนักนะ” ราตรีถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาปฐพีที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับหยุดชะงัก “ตอบยายมาดีๆล่ะ ไม่อย่างนั้นยายจะเอาเรื่องธิดาไปบอกแม่มีนาไม่รู้ด้วยนะ”

ปฐพียังไม่ตอบคำถามของเธอเดี๋ยวนั้น ทำเป็นตักข้าวเข้าปากก่อนจะเคี้ยวข้าวอย่างเชื่องช้าทั้งๆที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อไหลไคลย้อย

“โธ่คุณยายครับ ผมกับธิดาไม่ได้มีอะไรซักหน่อย ก็แค่…ไม่ถูกกันนิดหน่อย” ปฐพีพรายกระซิบตอบ “แล้วอีกอย่างธิดาก็เป็นเพื่อนของผม ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คุณยายคิดสักหน่อย”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับยาย บอกยายมาซะดีๆตานพ ว่าเป็นแค่เพื่อนหรือกิ๊กกันแน่ ถ้ากิ๊กล่ะก็…”

“ไม่ใช่กิ๊กแน่ครับคุณยาย! ผมรับรองได้” ปฐพีหรือนพรีบเถียงอย่างเร็ว เพราะกลัวจะโดนแส้พิฆาตเหมือนตอนอยู่ในถ้ำ หากแต่ปฐพีโดนคุณยายจับจ้องเอาผิด จึงทำให้ปฐพีถึงกับถอนหายใจ “เอ่อ ผมขอโทษ ผมผิดเองที่เคยหลงผิดชั่ววูบ หลงรักธิดาอยู่พักใหญ่ แต่คุณยายครับ คุณยายไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ผมไม่ได้รักหรือชอบธิดาแล้วครับ ผม…ผมรักมีนาคนเดียว และไม่คิดจะรักใครอีกแล้วครับ ถ้าคุณยายไม่เชื่อล่ะก็ ผมสาบานให้ตอนนี้เลยก็ได้นะครับ”

“หึๆ ไม่ต้องสัญญาหรอก ยายรู้ดีว่าแกไม่กล้าทำแน่ ว่าแต่หลานรู้จักธิดาตอนไหนล่ะ”

“ตอนที่เล่นเกมนี้ใหม่ๆ ครับ ตอนนั้นธิดาเป็นเพื่อนผู้หญิงคนแรกของผม เราคุยกันถูกคอ จนสนิทกัน แล้วก็กลายเป็นชอบโดยไม่รู้ตัว” ปฐพีตอบพลางยกน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหาย “แต่…ผมกับธิดา เอ่อ ไปด้วยกันไม่ได้ ธิดากับผมเป็นแฟนกันไม่ได้…ไม่ได้จริงๆ”

“ทำไมถึงเป็นไม่ได้ล่ะ ถ้าเป็นแค่ความรู้สึกในเกม หรือแกแอบคิดเลยเถิด หา เจ้านพ” ราตรีถามอย่างสงสัย ส่วนอีกฝ่ายเมื่อได้ยินที่เธอถามแล้ว ถึงกับเอามือปาดเหงื่อ ก่อนจะพรายกระซิบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มว่า

“เอ่อ คือว่า ที่ผมรักธิดาไม่ได้ ก็เพราะ…ธิดาเขา เป็น เอ่อ เป็น…”

“เป็น?”

“เป็น…ผู้ชายครับ ตัวตนจริงของธิดาในโลกนอกเกมเป็นผู้ชายครับคุณยาย”


คำตอบของปฐพีทำเอารัตติถึงกับอ้าปากค้าง เพราะที่แล้วมาเธอหลงนึกว่าธิดาเป็นผู้หญิงมาโดยตลอด

นี่มันอะไรกัน นึกว่ามีเพียงเธอคนเดียวที่เกิดมาในเกมแล้วจะตรงข้ามกับเพศของตัวเอง

แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีธิดาอีกคนด้วย

เหลือเชื่อจริงๆ

ให้ตายสิ


“สรุปว่าตอนนี้นพกับธิดาเป็นแค่เพื่อนกันสินะ” ราตรีคิดพลางถอนหายใจเฮือก จะว่าไปธิดาก็น่าสงสารไม่น้อย จากที่เคยคบกันจนถึงขั้นรู้ใจ และถึงกับยอมสารภาพเปิดเผยตัวตน แต่กลับถูกหลานชายของเธอปฏิเสธเอาเมื่อรู้ความจริง “แล้วหลานยอมรับเขาเป็นเพื่อนหรือเปล่าล่ะ”

ปฐพีผงกหัวนิดหน่อยก่อนจะพรายกระซิบตอบกลับมาว่า

“ครับ แต่มันทำใจลำบาก”

เฮ้อ? ราตรีได้แต่แอบถอนหายใจ ความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวย ไม่แม้แต่จะคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ผลมันก็เป็นแบบนี้นั่นแหละ

น่าเห็นใจจริงๆ

ราตรีคิดในใจด้วยความเวทนาคนทั้งสอง ที่เผลอปล่อยใจให้อารมณ์ชักนำจนลืมกระทั่งความรอบคอบ ก่อนจะเลิกถามคำถามกับหลานชายตัวเองแล้วหันมาลงมือทานอาหารต่ออย่างเงียบๆ หลังจากที่ทุกคนทานข้าวกลางวันเสร็จกันเรียบร้อยแล้ว ก็ช่วยกันทำความสะอาดจานชามที่ตัวเองใช้ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหมกมุ่นกับงานล้างจานอยู่นั้น…

“ปีศาจ! ปีศาจเป็นฝูงเลย!” มาริโอเงยหน้าตะโกนเสียงดังลั่น พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปยังท้องฟ้า ซึ่งทำให้ทุกคนรีบเงยหน้าขึ้นไปมองตาม ทำให้เห็นปีศาจจำนวนนับพันกำลังลอยมาทางนี้ แถมสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกปีศาจก็เป็นบุคคลที่ราตรีพิสุทธิ์ไม่มีวันลืมกำลังขี่อาชาสีดำลอยมาบนท้องฟ้า ใบหน้าอันโหดเหี้ยมของคนที่ลักพาตัวพ่อกับแม่ของเธอไป

ราชาปีศาจ!

“ทุกคน! รีบคุ้มกันน้องราตรีเร็วเข้า!!” เมฆาที่อยู่ใกล้ราตรีมากที่สุดร้องตะโกนบอกเสียงดังลั่น ซึ่งทำให้ทุกคนรีบทิ้งจานชามของตัวเองก่อนจะกระโจนเข้ามาบังราตรีอย่างลืมตัว

“อเลน! ร่ายเขตอาคมเร็ว!” เมฆาออกคำสั่งกับเพื่อนก่อนจะหันไปทางพวกปฐพี “ปฐพี ศาสตรา พิภพ ฝากคุ้มกันหลังด้วย!”

“รับทราบ!” แล้วเมฆาก็หันไปทางพวกธิดา

“พวกคุณป้องกันซ้ายกับขวา ส่วนผมจะลุยด้านหน้าเอง!”

“ตกลง”

ด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิด ต่อให้ทุกคนอยู่คนละสมาคมก็ตาม แต่ถึงกระนั้นก็ยอมช่วยปกป้องราตรีเป็นอย่างดีโดยไม่ต้องถามให้เสียเวลา เพราะต่างรู้ดีกันอยู่แล้วว่าราชาปีศาจพากองทัพปีศาจมาทำไม ส่วนทางด้านราชาปีศาจที่มากองทัพปีศาจมาถึงจุดหมายแล้ว ก็หยุดชะงักกลางอากาศก่อนจะก้มหน้ามองมาทางราตรีกับเมฆาที่ยืนอยู่ใกล้กัน

“หึ เจ้าลูกทรพี ที่แท้ก็แอบมากกชู้รักนี่เอง มิน่าล่ะ ถึงหาตัวไม่เจอซักที”

ลูก? ราชาปีศาจพูดถึงใครนะ

ราตรีขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับคำพูดของราชาปีศาจ ทว่าด้วยความแค้นที่ฝังอกมานานแสนนานทำให้ราตรีเลิกสนใจก่อนจะรวมร่างกับมาริโออย่างเร็ว ส่วนคนอื่นๆต่างก็เรียกอาวุธของตัวเองมาด้วยเช่นกัน

“ทุกคนบุก! จับตัวเจ้าชายมังกรมาให้ข้า นอกนั้นฆ่าได้หมดอย่าให้เหลือ”

“โอ๊ทส์!”

.................................

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 59 ความตาย 2

..........................................

ฉัวะ! ผัวะ! เคล้ง! ตูม!

เสียงการต่อสู้โรมรันตลอดเวลา ถึงแม้ทุกคนจะมีระดับการต่อสู้ที่สูงพอจะสู้กับพวกปีศาจได้ก็จริง แต่จำนวนของปีศาจที่สู้ด้วยมันมีมากเกินไป ทำให้ทุกคนเริ่มรับมือไม่ไหว

“กรี๊ด!” เสียงคริสตัลกรีดร้องดังลั่นเมื่อเห็นพลังเวทย์จำนวนหนึ่งตรงมายังที่เธอ ซึ่งคริสตัลรีบยกแขนขึ้นกันตามสัญชาตญาณอย่างไว

เปรี้ยง!

เสียงพลังเวทย์ปะทะกับอะไรบางอย่างดังสนั่น ซึ่งทำให้คริสตัลรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะเห็นหนึ่งหนุ่มกับหนึ่งสาวที่เพิ่งจะรู้จักก็เมื่อตอนอยู่หน้าเมืองดนตรี

“พี่ชุนหลาน พี่เทียนหลง” ราตรีหันไปเรียกชื่อคนทั้งสองด้วยความแปลกใจ ซึ่งทั้งคู่หันมายิ้มให้

“ไม่ต้องห่วงทางนี้น้องราตรี ประเดี๋ยวพวกพี่จะช่วยให้เอง” หยางชุนหลานบอกก่อนที่ทั้งคู่จะลากปีศาจออกไปจัดการซะส่วนหนึ่ง ถึงจะได้ทั้งคู่เบาแรงพวกราตรีแล้วก็ตาม แต่จำนวนปีศาจกลับมิได้ลดน้อยถอยลงเลย ซึ่งทางด้านเมฆาที่เกือบพลั้งเผลอถูกปีศาจระดับสูงฆ่าตายเพราะพละกำลังเริ่มอ่อนแรง ก็ได้มีไพ่ปริศนาเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทัน

ปัก! ปัก! ปัก! ปัก!

7098


7023

7021

7088


ไพ่ปริศนาปักที่ลำคอของปีศาจสี่ตนที่รุมล้อมเมฆาพร้อมกันทีเดียว หากแต่เมฆาหาได้สนใจไม่ เพราะต้องหันไปสู้กับปีศาจตัวอื่นต่อ

ฉัวะ!

3000

3897

วูบ!


“ไม่นะคอเบียร์ งุ้งงิ้ง!”

คริสตัลกรีดร้องเมื่อเห็นสองหนุ่มถูกปีศาจฆ่าตายต่อหน้าต่อตา และด้วยความเผลอไผลของเธอทำให้โดนปีศาจที่ซ่อนอยู่ทางหลังใช้กรงเล็บแทงเข้าที่กลางหลังอย่างแรง

ฉึก!

4874


“อั่ก!”

“น้องคริสตัล!” ปฐพีได้แต่ร้องเรียกชื่อด้วยความเจ็บปวด หากเขาไปช่วยได้ คงไปช่วยนานแล้ว

วูบ!

อีกหนึ่งชีวิตที่จากไปพร้อมกับแสงสีขาว ทำให้ราตรีนึกเจ็บปวดใจที่ช่วยใครไม่ได้

“ยอมแพ้ดีกว่าไหมไอ้ลูกชั่ว” จู่ๆ ราชาปีศาจก็พูดขึ้นมา “หึ แค่นำตัวราตรีพิสุทธิ์มา พ่อก็จะให้อภัยเจ้า แล้วเพื่อนของลูกจะได้ไม่ต้องตาย…”

“เมฆาลูกพ่อ” คำสุดท้ายที่ได้ยินทำให้ดาบที่ราตรีถืออยู่ถึงกับหลุดมือ

ท่านพี่เมฆา…เป็น…ลูกชายของ…ราชาปีศาจ

ฉึก!

7897


ด้วยห้วงความคิดทำให้ราตรีเผลอลืมว่าตัวเธอกำลังอยู่ในดงศัตรู ทำให้ปีศาจที่อยู่ด้านหลังของเธอใช้ดาบแทงเข้าที่กลางหลังทะลุไปยังอกด้านหน้า

“เนื่องด้วยผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ถูกปีศาจโจมตีในจุดตาย ฉะนั้นผู้เล่นจะต้องตายภายในห้าวินาที”

เสียงระบบประกาศในหัวของราตรีพร้อมกับความเจ็บปวดเสียดที่หน้าอก ทำให้ราตรีถึงกระอักเลือดออกมา

“ห้า”

“น้องราตรี!/น้องรัตติ!”

ทุกคนเรียกเธอพร้อมกันเป็นเสียงเดียว หากแต่จะเข้ามาช่วยก็โดนปีศาจขัดขวางเอาไว้ ส่วนปีศาจที่ใช้ดาบแทงราตรีนั้น ก็ได้ถูกราชาปีศาจใช้เวทย์ไฟแผดเผาเสียไม่เหลือแม้แต่ผงธุลี

“สี่”

“ข้าสั่งให้นำตัวมา ไม่ใช่ให้ฆ่า!”

“สาม”

ภาพในสายตาตอนนี้เริ่มขมุกขมัวจนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

“สอง”

“ทนเอาไว้ก่อนนะน้องราตรี พี่จะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”

เสียงของปฐพีดังกึกก้องก่อนจะตามด้วยเสียงของเมฆา

“หนึ่ง”

“ไม่นะน้องราตรี!”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ราตรีได้ยินก่อนจะดับวูบไป

......................................

“ไม่นะน้องราตรี!”

เมฆาร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่น้องราตรีจะกลายเป็นแสงสีฟ้าขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตาทุกคนที่ยังต่อสู้อยู่ ทำให้ทุกอย่างล้วนหยุดชะงักแม้กระทั่งราชาปีศาจ

น้องราตรี...

ตายแล้ว...

ตาย...


เมฆาคิดในใจพลางปล่อยดาบออกจากมือ

เคล้ง!

เสียงดาบกระทบพื้นดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ปฐพีที่ยืนถืออาวุธกัดริมฝีปากของตัวเองเสียจนเลือดออกมุมปาก ส่วนธิดายืนกำมือแน่นที่เห็นน้องชายของเธอตายไปต่อหน้า

“ฮึ ช่วยไม่ได้ ทุกคนกลับ” ราชาปีศาจสั่งลูกน้องอย่างหัวเสีย ในขณะที่ราชาปีศาจกำลังดึงเชือกอาชาให้หมุนตัววกกลับทางเดิม กลับต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงรังสีอมหิตจากลูกชายของตัวเอง แล้วทันใดนั้นร่างกายของเมฆาเกิดออร่าสีดำปกคลุมทั่วร่าง

“แย่แล้วสิ เมฆาจะกลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว” อเลนกับธิดาร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำเอาปฐพี ศาสตรา และพิภพหันไปมองด้วยความแปลกใจ แล้วร่างกายของเมฆาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากแสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขาถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคมกวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต และความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยกเว้นแต่ราชาปีศาจที่จ้องมองลูกชายด้วยความพอใจ

“ช่างเป็นปีศาจที่สง่างามอะไรเช่นนี้ ลูกข้า” ราชาปีศาจพูดเชยชมลูกชายตัวเอง ก่อนจะควบอาชากลับไปทางเดิม “ละเลงเลือดให้สำราญเถิดลูกเอ๋ย ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า!”

แล้วราชาปีศาจก็ขี่อาชาหายไปพร้อมกับกองทัพปีศาจส่วนหนึ่ง ทิ้งให้พวกอเลนต้องเผชิญหน้ากับเมฆาในร่างปีศาจท่ามกลางกองทัพปีศาจที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มาก

ชั่วอึดใจเดียว กองทัพปีศาจก็เหลือเพียงเศษซาก จากการอาละวาดของเมฆาในร่างปีศาจ ก่อนที่จะหันมายังพวกอเลน ด้วยแววตาอำมหิต อเลนที่ยังพอมีแรงเหลืออยู่ก็ตัดสินใจกางบาเรียขึ้นทันที แม้จะรู้ว่าทำได้แค่ถ่วงเวลาเล็กน้อยก็ตาม

“ฝากด้วยนะ ชุนหลาน”

“ค่ะ” จากนั้นหยางชุนหลานก็เข้าไปในบาเรีย แจกจ่ายน้ำยาฟื้นพลังให้กับทุกคนเพื่อประวิงเวลา พร้อมๆ กับรอคุ้มกัน งุ้งงิ้ง คอเบียร์ คริสตัล และรัตติ ที่กำลังจะเกิดใหม่ ให้เข้ามาอยู่ในเขตของบาเรีย ส่วนเทียนหลงก็โจนเข้าไปประจันหน้ากับปีศาจเมฆา

“เสียใจนะพวก แต่นายจะผ่านที่นี่ไปไม่ได้”

...............................

รู้สึกตัวอีกทีเธอก็มาอยู่ในห้องว่างเปล่าที่มีแต่สีขาวอยู่เต็มไปหมด และนอกจากนี้ที่นี่ยังมีผู้เล่นคนอื่นมากมายนั่งๆนอนๆอยู่อีกด้วย

ที่นี่มันที่ไหนนะ?

แล้วทุกคนหายไปไหนกันหมด


ราตรีคิดในใจอย่างสงสัย ก่อนจะตัดปัญหาโดยการเดินไปถามผู้เล่นคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับพื้น

“เอ่อพี่ชายครับ มิทราบว่าที่นี่คือที่ไหนเหรอครับ” ผู้เล่นคนที่ถูกถามลืมตาขึ้นก่อนจะมองราตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า

“น้องเพิ่งจะตายเป็นครั้งแรกสินะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ที่นี่คือห้องรอเกิดสำหรับคนที่ตายไปแล้วในเกม ซึ่งจะใช้เวลารอเกิดประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ ช่วงที่รออยู่นี้น้องก็นั่งรอไปก่อนเถอะ เพราะที่ออกจะน่าเบื่อเล็กน้อยนะ”

“ห้องรอเกิดงั้นเหรอครับ แล้วนี่ผมจะไปหาคนรู้จักที่ตายไปก่อนหน้านี้ได้ยังไงครับ” ราตรีถามอย่างสงสัย เพราะเท่าที่ดูจากสายตาของตัวเอง ภายในห้องรอเกิดกว้างสุดลูกหูลูกตา แถมผู้เล่นที่ตายแล้วมาอยู่ที่นี่ก็มีเยอะเสียจนราตรีมองหาพวกคริสตัลไม่เจอ

“วิธีนั้นไม่มีหรอก” คนเดิมต่ออย่างเบื่อหน่าย “เพราะที่นี่กว้างพอๆกับโลกในเกม ฉะนั้นต่อให้หาทั้งชั่วโมงก็ไม่มีทางเจอ”

แล้วผู้เล่นคนนั้นก็หลับตาลงต่อ ซึ่งทำให้ราตรีถอนหายใจก่อนจะเดินวกกลับมานั่งลงขัดสมาธิกับพื้น แล้วมาครุ่นคิดถึงคำพูดของราชาปีศาจ

ถ้าท่านพี่เป็นลูกชายของราชาปีศาจจริง

แล้วทำไมถึงไม่บอกเราตั้งแต่แรก

ทำไมถึงไม่ยอมบอกที่กุมขังของท่านพ่อท่านแม่

ทำไมต้องโกหกกันด้วย

ทำไมกัน?


แล้วราตรีก็นั่งสมาธิรออยู่เงียบๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง

“ขณะนี้ครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว กรุณาเตรียมตัวเข้าเกมอีกครั้งด้วยค่ะ”

เสียงระบบประกาศบอก ซึ่งทำให้ราตรีรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

โทษฐานที่โกหกเรามาโดยตลอด

คอยดูเถอะ

กลับไปแม่จะซัดให้หงายเก๋ง


พอคิดเสร็จ แสงสีขาวก็ส่องจ้าจนทำให้ราตรีต้องรีบหลับตาลง ก่อนที่จะได้ยินเสียงลมพัดผ่านพร้อมกับกลิ่นไอเลือดลอยคละคลุ้งอยู่เต็มไปหมด

กลิ่นเลือด?! ราตรีคิดในใจก่อนจะลืมตาขึ้นมา ซึ่งเผยให้เห็นท้องฟ้าสีแดงกับพื้นที่ๆเธอยืนอยู่เต็มไปด้วยศพของปีศาจนอนอยู่เกลื่อนเต็มพื้นไปหมด นี่มัน…ทะเลเลือดชัดๆ

ราตรีคิดในใจก่อนจะหันไปมองรอบๆข้าง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นร่างสูงในคราบปีศาจยืนอยู่ใจกลางซากศพปีศาจที่ตั้งสูงเป็นกองภูเขากำลังปะทะกับเทียนหลงอย่างสูสี

“ไม่จริงใช่ไหม…นี่ท่านพี่…กลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว” ราตรีพูดด้วยความตกตะลึงก่อนที่มีมือน้อยๆมาดึงปลายเสื้อของเธอ

“รัตติ ข้ากลัว กลัวเหลือเกิน”

“มาริโอ” ราตรีก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีมาริโอยืนอยู่ข้างๆ “เจ้าก็ตายไปพร้อมกับข้าเหมือนกันหรือ”

“อืม ใช่” มาริโอตอบพลางเกาะเธอแน่นๆด้วยความกลัว

แล้วคนอื่นๆล่ะ หายไปไหนกันหมด

ราตรีคิดในใจพลางหันไปรอบๆเพื่อมองหาคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นบาเรียคุ้มกันอยู่ห่างๆจากจุดที่เธอยืนอยู่ประมาณสองร้อยเมตรได้ ซึ่งในบาเรียมี หยางชุนหลาน อเลน ปฐพี ศาสตรา พิภพ ธิดา หงส์หยก ปลา ส่วนคริสตัล งุ้งงิ้ง และคอเบียร์ ราตรีคิดว่าสามคนนี้คงจะเกิดก่อนเธอจึงเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งตอนนี้ทุกคนตกอยู่ในสภาพดูอิดโรยแถมเต็มไปด้วยบาดแผลหนักๆจนยากที่จะรักษาด้วยน้ำยาเพิ่มเลือด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว เธอจึงก้มหน้ามองมาริโอ

“มาริโอไปหลบอยู่กับพวกพี่ปฐพีซะ”

“ไม่เอา ข้าจะอยู่กับเจ้ารัตติ”

ราตรีสูดลมหายใจลึกๆโดยไม่ฟังเสียงพรายกระซิบของทุกคนที่พยายามเรียกเธอให้เดินไปที่บาเรียเลยซักนิด

“ไปเดี๋ยวนี้มาริโอ” ราตรีพูดเสียงเข้ม “หรือเจ้าอยากจะให้ข้าเตะส่งไปให้ถึงตรงนั้นล่ะ”

มาริโอได้ยินที่ราตรีบอกก็แทบเข่าทรุด

“ข้าไม่ไปไม่ได้เหรอรัตติ” มาริโอพูดเสียงอ่อย

“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสองนะมาริโอ”

“ก็ได้ ข้าไปก็ได้”

เมื่อมาริโอตกปากรับคำแล้ว มาริโอก็รีบวิ่งกลับไปหาพวกปฐพี ก่อนที่ราตรีจะแปลงร่างเป็นมังกรท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ตกตะลึง รวมถึงเมฆาในคราบปีศาจที่ได้ยินเสียงคำรามของราตรีก็หันมาดูด้วยความสนใจ ส่วนเทียนหลงก็รีบถอยกลับมาตั้งหลักในบาเรีย

“ถึงแม้ตอนนี้ท่านพี่จะจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ผมจะทำให้ท่านพี่กลับคืนร่างเดิมมาให้ได้” ราตรีในคราบมังกรพูดสื่อสารเมฆาผ่านทางพรายกระซิบ “เพราะฉะนั้นท่านพี่อย่าได้โกรธผมเชียวล่ะหากผมฆ่าท่านพี่ไป ขอแค่ท่านพี่กลับคืนเป็นมนุษย์ ผมก็จะทำครับ”

พอพูดจบ ราตรีก็อ้าปากพ่นไฟใส่เมฆาในคราบปีศาจที่กำลังเดินมาทันที หากแต่เมฆากระโดดหลบได้ทันก่อนจะวาดเท้าเตะเข้าที่ลำตัวของเธอ

ผัวะ!

5000

พลังลดวูบแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ราตรีบาดเจ็บมากนัก ทว่าราตรีไม่ได้ให้อีกฝ่ายโจมตีเธอเพียงอย่างเดียว เธอโต้กลับไปบ้างซึ่งทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บพอกันกับเธอ หากแต่ด้วยสภาพร่างมังกรซึ่งราตรีไม่เคยแปลงออกมาฝึกปรือฝีมือ จึงทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายรับแทนที่จะรุกเหมือนครั้งแรก ราตรีจึงกางปีกบินสู่ท้องฟ้าก่อนจะพ่นไฟลงมาใส่เมฆา ซึ่งอีกฝ่ายไม่สามารถหลบได้ทัน จึงโดนไฟของราตรีทั้งตัวไปเต็มๆแต่ก็ไม่หนักมาก จากนั้นปีกคู่หนึ่งที่ดูเหมือนปีกค้างคาวก็กางออกมาจากกลางแผ่นหลังของเมฆา เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองราตรีพลางกระพือปีกบินเข้าหาก่อนจะโจมตีด้วยหมัดทั้งสองข้างที่ใบหน้าของราตรี ส่วนราตรีก็ใช่ว่าปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำเพียงข้างเดียว เธอใช้กรงเล็บตวัดร่างของเมฆาไปด้วย ซึ่งทั้งคู่ผลัดกันรับผลัดกันรุก จนพวกอเลนที่ยืนมองในบาเรียต่างลุ้นเอาใจช่วยจนนั่งไม่ติดกับพื้น หากแต่ราตรีเริ่มรู้สึกถึงความเทอะทะของร่างกายอันใหญ่โตของตัวเธอเอง

บ้าจริง สู้ไม่ถนัดเลย

พอราตรีคิดในใจเสร็จ จู่ๆสร้อยคอผลึกเกล็ดย้อนเกิดเปล่งแสงสีฟ้าขึ้นมา ซึ่งทำให้เมฆาในคราบปีศาจตกใจจนบินถอยห่างออกราตรีอย่างรวดเร็ว จากร่างกายอันใหญ่โตก็ค่อยลดหลั่นลงมาเท่ากับเมฆา ส่วนรูปร่างที่เคยเป็นมังกรก็กลับเป็นมนุษย์ดังเดิม หากแต่ปีกที่หลังทั้งสองข้างกับมือและเท้าที่เป็นกรงเล็บยังคงสภาพอยู่ ส่วนเรื่องเกล็ดแข็งก็ยังมีให้เห็น กับหางยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันยังคงอยู่ด้านหลังแต่เล็กลงตามความเหมาะสมของมันเอง

“ท่านได้รับทักษะการแปลงร่างมังกรขั้นสุดยอด”

ราตรีแทบขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงระบบประกาศดังก้องในหัว

แค่เปลี่ยนร่างก็นับว่าเป็นทักษะได้ด้วย?

แล้วราตรีก็เริ่มโจมตีเมฆาต่อโดยที่อีกฝ่ายกำลังมองเธอด้วยความแปลกใจ ซึ่งเธอใช้กรงเล็บเป็นอาวุธ และแน่นอนว่าเมฆาไม่สามารถหลบได้ทัน จึงโดนเข้าที่ต้นแขนไปเต็มๆ

แขนหวิดขาดเลยไหมนั่น

ฝ่ายพวกกองเชียร์คิดในใจ ซึ่งการต่อสู้ระหว่างเมฆาในคราบปีศาจที่ไม่ได้สติกับราตรีในร่างมนุษย์มังกรนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว หากแต่ฝ่ายรุกกลับเป็นราตรีเสียเอง

“รีบรู้สึกตัวซะทีสิท่านพี่เมฆา!” ระหว่างการต่อสู้นั้นราตรีพยายามปลุกอีกฝ่ายให้รู้สึกตัว เพราะเธอไม่อยากจะเป็นผู้ลงมือฆ่าพี่ชายที่แสนดีอย่างเมฆา “ขอร้องล่ะ รีบๆรู้สึกตัวทีเถอะครับท่านพี่ ผมขอร้อง!”

หากแต่เมฆาหาได้รู้สึกตัวไม่ กลับแสยะยิ้มเย็นชาก่อนตวัดกรงเล็บใส่ใบหน้า ซึ่งราตรีไหวตัวทันจึงหลบกรงเล็บนั่นได้ไปอย่างฉิวเฉียดก่อนจะโจมตีกลับด้วยกรงเล็บเช่นเดียวกับเมฆา

“ทำไมพวกเราไม่ไปช่วยรัตติล่ะ” มาริโอถามพลางมองรัตติที่กำลังต่อสู้กับเมฆาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ถ้าไปได้คงไปนานแล้วล่ะน้องมาริโอเอ๋ย” อเลนตอบก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้พวกเรากำลังบาดเจ็บ แถมน้องราตรีก็เคยไปสัญญากับเมฆาไว้ว่าถ้าเมฆาแปลงร่างเป็นปีศาจเมื่อไหร่ เขาจะขอเป็นคนหยุดเมฆาด้วยมือของเขาเอง เพราะฉะนั้นน้องมาริโอดูอยู่ห่างๆเถอะ”

“แต่หนูเป็นห่วงรัตติ กลัวรัตติจะตาย” ธิดายิ้มก่อนจะเอามือลูบหัวมาริโอเบาๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วงรัตติหรอก เขาจะต้องไม่ตายแน่จ้ะ แล้วเมฆาจะต้องได้สติในเร็วๆนี้ด้วย”

พอธิดาพูดจบ พวกเขาก็หันไปมองการต่อสู้อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ทั้งคู่ไม่ได้ใช้กรงเล็บแล้ว หากแต่เป็นหมัดที่ทั้งคู่ใช้ตะบันหน้าซึ่งกันและกันอย่างมัวเมา แต่ก็มีบางครั้งที่ใช้เท้าบ้างขึ้นอยู่กับโอกาส จนกระทั่งใบหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยบาดแผลจากการชกต่อย หากแต่เมฆากลับยังไม่ได้สติเลยซักที จนทุกคนเริ่มหมดความหวัง

ขืนเป็นแบบนี้มีหวังตายทั้งคู่แน่ๆ

ในขณะที่ทุกคนกำลังจมปลักอยู่กับความคิดของตัวเอง ทันใดนั้น ราตรีก็หมุนตัวใช้หางฟาดเข้าที่ใบหน้าของเมฆาทันที

ผัวะ!

2000


เมฆาที่ถูกโจมตีกะทันหัน ถึงกับมึนไปชั่วขณะ แต่ก็เพียงพอสำหรับราตรีที่ได้โอกาสทอง จึงใช้กรงเล็บของตัวเองกระซวกเข้าที่ท้องของเมฆา

สวบ!

8000


การโจมตีของราตรีได้ทำให้คริสตัลกับมาริโอถึงกับตกใจ

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย” คริสตัลร้องถามอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของคุณทวดในคราบของราตรี “ปลุกกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องถึงกับฆ่าแกงกันด้วย โหดเกินไปแล้วนะ”

“แบบนี้ไม่เรียกว่าโหดหรอกคริสตัล เพราะการจะหยุดคนที่กำลังบ้าคลั่งให้สงบ เราต้องทำให้คนๆ นั้นหมดสติ ยิ่งเมฆาที่คลั่งจนกลายเป็นปีศาจแล้ว ยิ่งจำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรงถึงจะสำเร็จ” ปฐพีพูดอธิบายให้ฟัง ซึ่งคริสตัลกับมาริโอได้ยินดังนั้นแล้วก็พยักหน้าทำความเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองราตรีต่อ ซึ่งอยู่ในสภาพที่มือขวาของตนคาอยู่ในท้องของเมฆา

“ขอบใจน้องราตรี...มากนะ...พี่ชายคนนี้...ตื่นแล้ว...ล่ะ”

เมฆายิ้มให้ราตรีก่อนจะกระอักเลือดออกมา แล้วหมดสติไป

........................................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

(นอกบท)

...............................

“ไม่นะน้องราตรี!”

เมฆาร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่น้องราตรีจะกลายเป็นแสงสีฟ้าขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตาทุกคนที่ยังต่อสู้อยู่ ทำให้ทุกอย่างล้วนหยุดชะงักแม้กระทั่งราชาปีศาจ

น้องราตรี...

ตายแล้ว...

ตาย...


เมฆาคิดในใจพลางปล่อยดาบออกจากมือ

เคล้ง!

เสียงดาบกระทบพื้นดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ปฐพีที่ยืนถืออาวุธกัดริมฝีปากของตัวเองเสียจนเลือดออกมุมปาก ส่วนธิดายืนกำมือแน่นที่เห็นน้องชายของเธอตายไปต่อหน้า

“แอร๊ย รมณ์เสีย เด็กๆ กลับ”

ราชาปีศาจสั่งลูกน้องอย่างหัวเสีย ในขณะที่ราชาปีศาจกำลังดึงเชือกอาชาให้หมุนตัววกกลับทางเดิม กลับต้องหยุดชะงักเมื่อรู้สึกถึงรังสีอมหิตจากลูกชายของตัวเอง แล้วทันใดนั้นร่างกายของเมฆาเกิดออร่าสีดำปกคลุมทั่วร่าง

“แย่แล้วสิ เมฆาจะกลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว”

อเลนกับธิดาร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำเอาปฐพี ศาสตรา และพิภพหันไปมองด้วยความแปลกใจ แล้วร่างกายของเมฆาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากแสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขาถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคมกวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต และความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยกเว้นแต่ราชาปีศาจที่จ้องมองลูกชายด้วยความพอใจ

“อ๊าย ลูกพ่อ เข้ม หล่อ เท่ กระชากใจม้าก มาก ฮ่า โดนฮ่ะ โดน”

“ซาตานอยู่ไหน” คำถามที่ออกมาจากปาก ทำเอาทุกคนถึงกับงุนงงไปตามๆ กัน แต่ยังไม่ทันที่จะมีใครตอบ เมฆาก็ย้ำคำถามของตนอีกครั้ง “ซาตาน อยู่ที่ไหน”

“มุงมาผิดเรื่องแย้ว แสรดดด นี่เรียล ออฟ ไลฟ์ ไม่ใช่ เดวิลแมน!”

.....................................

(นอกบท 2)

......................................

“แย่แล้วสิ เมฆาจะกลายร่างเป็นปีศาจอีกแล้ว”

อเลนกับธิดาร้องอุทานพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งทำเอาปฐพี ศาสตรา และพิภพหันไปมองด้วยความแปลกใจ แล้วร่างกายของเมฆาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ริมฝีปากแสยะอ้าและฉีกออกจนเกือบถึงใบหู เขี้ยวขนาดใหญ่งอกออกมาจากปาก แขนและขาถูกปกคลุมด้วยเส้นขนหนาทึบสีดำมือและเท้า มีกรงเล็บแหลมยาวงอกออกมา ด้านหลังคือหางที่แหลมคมกวัดแกว่งไปมาราวกับแส้ ท้ายที่สุดร่างของเมฆาทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นอสูรร้ายโดยสมบูรณ์ราวกับอสูรที่ผุดขึ้นมาจากนรก นัยน์ตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยรังสีอำมหิต และความกระหายเลือด ซึ่งทำเอาทุกคนที่ได้เห็นเมฆาในร่างน่ากลัวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ยกเว้นแต่ราชาปีศาจที่จ้องมองลูกชายด้วยความพอใจ

“ช่างเป็นปีศาจที่สง่างามอะไรเช่นนี้ ลูกข้า” ราชาปีศาจพูดเชยชมลูกชายตัวเอง ก่อนจะควบอาชากลับไปทางเดิม “ละเลงเลือดให้สำราญเถิดลูกเอ๋ย ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า!”

แล้วราชาปีศาจก็ขี่อาชาหายไปพร้อมกับกองทัพปีศาจส่วนหนึ่ง ทิ้งให้พวกอเลนต้องเผชิญหน้ากับเมฆาในร่างปีศาจท่ามกลางกองทัพปีศาจที่ยังคงเหลืออยู่ไม่มาก

ชั่วอึดใจเดียว กองทัพปีศาจก็เหลือเพียงเศษซาก จากการอาละวาดของเมฆาในร่างปีศาจ ก่อนที่จะหันมายังพวกอเลน ด้วยแววตาอำมหิต อเลนที่ยังพอมีแรงเหลืออยู่ก็ตัดสินใจกางบาเรียขึ้นทันที แม้จะรู้ว่าทำได้แค่ถ่วงเวลาเล็กน้อยก็ตาม

“ไปกันเถอะชุนหลาน”

“ค่ะ” จากนั้นหยางชุนหลานก็เข้าไปในบาเรีย แจกจ่ายน้ำยาฟื้นพลังให้กับทุกคน เพื่อประวิงเวลา พร้อมๆ กับที่ งุ้งงิ้ง คอเบียร์ และคริสตัล ที่เกิดมาในเขตของบาเรียพอดี ส่วนเทียนหลงก็โจนเข้าไปประจันหน้ากับปีศาจเมฆา

“เสียใจนะพวก แต่นายจะผ่านที่นี่ไปไม่ได้ ตราบใดที่พวกเรายังอยู่” พลัน เข็มขัดรูปร่างประหลาดเหมือนตัวอักษร W ก็ปรากฏขึ้นที่เอวของเทียนหลง ก่อนที่เขาจะหยิบแฟลชไดรฟ์สีดำขึ้นมาถือในมือ ส่วนชุนหลานก็มีเข็มขัดเส้นเดียวกันปรากฏขึ้น พลางล้วงไปในอกเสื้อ หยิบแฟลชไดรฟ์สีเขียวขึ้นมาถือไว้

ไซโคลน / โจ๊กเกอร์

“แปลงร่าง”

สิ้นเสียงของทั้งสอง ชุนหลานก็เสียบแฟลชไดรฟ์ลงไปในเข็มขัด และตนเองก็หมดสติล้มลงไป ส่วนเทียนหลงก็เสียบแฟลชไดรฟ์สีดำลงไปเช่นกัน ลมพายุอันรุนแรงพลันกระหน่ำพัดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยโดยมีเทียนหลงเป็นศูนย์กลาง พร้อมๆ กับชุดเกราะสีเขียวและดำ อย่างละครึ่งซีกจะขึ้นมาคลุมทับร่างของเทียนหลงไว้จนหมด พร้อมผ้าพันคอสีแดงที่ปลิวไสว

“เอาล่ะ เตรียมรับกรรมที่แกก่อไว้เถอะ”

“........... แม่เจ้าโว้ย คาเมนไรเดอร์ ดับเบิล ของแท้เลย”

งุ้งงิ้ง คอเบียร์ และคริสตัล ครางขึ้นมาพร้อมๆ กัน 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2015 08:30:13 โดย dragon123 »

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 60 ใต้แสงจันทร์

................................................

หลังจากเมฆาได้สลบไปแล้ว ราตรีก็ได้งัดอุปกรณ์ช่วยชีวิตทั้งหมดเท่าที่เธอมีมาเพิ่มพลังให้กับชายหนุ่มในอุ้งแขนของตัวเอง ก่อนที่อเลนจะตามมาใช้ทักษะฮีลในการเพิ่มเลือดให้กับเมฆาอีกที ส่วนตัวเธอเองนั้น ปฐพีได้ให้เธอดื่มน้ำยาเพิ่มเลือดจนหายเป็นปกติดีแล้ว ส่วนคนอื่นๆที่ได้รับบาดเจ็บก็ได้รักษาจนหายไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ยกเว้นหยางชุนหลานกับเทียนหลงที่ได้ขอแยกตัวไปทำภารกิจต่อ

“จะว่าไปน้องราตรีก็เก่งใช่ย่อยนะ ทำให้เมฆาฟื้นคืนสติได้” ศาสตราเอ่ยปากชม ซึ่งทำเอาคนฟังเขินเล็กน้อย ตอนนี้เมฆานอนสลบอยู่ในเต็นท์ของปฐพีซึ่งกางไว้อยู่กับพื้นดิน

“น้องราตรีจ้ะ” ธิดาหันมาเรียกชื่อเธอ ทำให้ราตรีต้องหันไปมอง “พี่นึกสงสัยตั้งแต่คราวนั้นแล้ว ทำไมพวกราชาปีศาจถึงได้คิดตามล่าตัวน้องไปล่ะ บอกพี่หน่อยได้รึเปล่าเอ่ย”

พอจบคำถามของธิดา ทำเอาทุกคนหันไปรอฟังคำตอบจากปากของเธอ

“ผมคิดว่าราชาปีศาจคงอยากจะได้พลังมังกรของผมล่ะมั้งครับ” ราตรีตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะราชาปีศาจได้ตัวท่านพ่อท่านแม่ของผมไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยคิดจะมาเอาตัวผมไปด้วย”

“อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ว่าทำไมตอนนั้นถึงได้มีกองทัพปีศาจโผล่ด้วย” ศาสตราพูดพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“แล้วน้องราตรีไม่คิดจะช่วยพ่อแม่หรือ” พิภพถามต่ออย่างสงสัย

“คิดครับ แต่ผมคนเดียวคงทำอะไรราชาปีศาจไม่ได้แน่” ราตรีตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะขืนผมไปมีหวังได้โดนกองทัพปีศาจฆ่าตายเสียก่อนจะได้ช่วยพวกเขานะครับ ฮะๆ”

“งั้นจะไปยากอะไร เดี๋ยวพวกพี่จะพาพวกสมาชิกในสมาคมไปช่วย มีออกเยอะนะว่าไหมปฐพี”

“อืม ก็เยอะพอสมควร” ปฐพีตอบก่อนจะพูดต่อ “จะว่าไปสมาคมเงาที่คุณอเลนอยู่ ก็มีสมาชิกเยอะไม่ใช่หรือครับ”

อเลนยักไหล่ก่อนจะตอบกลับมาว่า

“ใช่ เยอะมาก คงพอจะต่อกรกับกองทัพปีศาจได้สองส่วน แล้วคุณธิดาล่ะครับ เห็นว่าเป็นหัวหน้าสมาคมจันทราวารีไม่ใช่รึ ก็น่าจะมีสมาชิกเยอะพอสมควร แบ่งๆมาช่วยน้องราตรีด้วยก็ดีนะครับ”

“เรื่องนั้นดิฉันไม่เกี่ยงอยู่แล้วค่ะ เพื่อน้องราตรี ดิฉันจะช่วยอย่างเต็มที่เลย”

“รัตติ แล้วราชาปีศาจจะพากองทัพปีศาจมาโจมตีพวกเราอีกไหม ข้ากลัว”

“คงจะไม่” ราตรีตอบคำถามของมาริโอ “ราชาปีศาจเห็นข้าตายแล้ว ก็เลยไม่คิดจะย้อนกลับมาที่นี่อีกอย่างแน่นอน”

“นั่นสิ ก็เกมนี่นะ ถึงจะดูสมจริงยังไง แต่ก็ไม่มีวันได้รู้ว่าเราตายแล้วก็สามารถฟื้นคืนชีพได้อีกอยู่ดี” ศาสตราพูดพลางทุบมือตัวเองเบาๆ “จริงสิ ถ้าเมฆาตาย คำสาปที่ได้มาจากมอนสเตอร์ก็จะหายไป ทำไมคิดไม่ถึงตั้งแต่แรกเลยนะ”

ผัวะ!

200

“ไอ้บ้า ขืนทำแบบนั้นเมฆาก็ได้ถูกลดค่าประสบการณ์ตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นสิ” คนตบหัวศาสตรานั้นไม่ใช่ใคร พิภพนั่นเอง “อย่าลืมสิว่าผู้เล่นคนใดที่มีระดับเกินแปดสิบแล้ว ถ้าถูกฆ่าตายล่ะก็ จะถูกลดค่าประสบการณ์ที่เก็บมาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ แถมดีไม่ดีถูกหักเงินออกไปตั้งสิบล้านเหรียญ ไหนจะถูกลดอย่างอื่นอีกเพียบ วุ่นตายชัก”

“เออวะ ฉันลืมไป” อาการป้ำๆเป๋อๆของศาสตราได้สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ทุกคน

“แต่ผมว่าเรื่องนี้พวกเรารอท่านพี่เมฆาฟื้นก่อนดีกว่านะครับ แล้วค่อยมาคุยกันอีกที”

ราตรีบอก ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยกับที่เธอพูด ก่อนจะแยกย้ายพักผ่อนอิริยาบถของตัวเอง แต่เพื่อไม่ให้ประมาท พวกเขาได้แบ่งหน้าที่กันเฝ้าเวรยามเผื่อว่าราชาปีศาจจะพาพวกกองทัพปีศาจมาโจมตีพวกเขาอีกก็เป็นได้ หลังจากแยกย้ายพักผ่อนแล้ว ราตรีก็ไปอาบน้ำอาบท่าให้หายเหนื่อยก่อนจะเดินกลับมาที่เต็นท์อีกครั้งพร้อมกับเปิดหน้าต่างสถานะของตัวเอง ซึ่งบัดนี้เลเวลของเธออยู่ที่สี่สิบเก้า แทนที่จะเป็นห้าสิบเอ็ด

สงสัยถูกลดค่าประสบการณ์หลังจากถูกฆ่าตายก็เป็นได้

แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเก็บใหม่ได้นะ


ราตรีคิดในใจก่อนจะปิดหน้าต่างสถานะของตัวเองลง แล้วจึงค่อยเปิดหน้าต่างทักษะเพื่อดูทักษะใหม่ที่ได้รับมาไม่นานนี้

ทักษะการแปลงร่างมังกรขั้นสุดยอด (3ชั่วโมง)

ราตรีขมวดคิ้วทันทีที่เห็นคำว่าวงเล็บตามด้วยสามชั่วโมง

อยู่ได้นานถึงสามชั่วโมงเชียวรึนี่ สมแล้วที่เป็นขั้นสุดยอด

ราตรีคิดในใจก่อนจะเงยหน้ามองเต็นท์ของปฐพีอย่างคาดหวังว่าเมื่อไหร่คนป่วยจะฟื้นเสียที

“น้องราตรีครับ มาทานของว่างยามบ่ายกันเถอะครับ” เสียงปฐพีเรียกเธอ ทำให้ราตรีจำต้องปิดหน้าต่างลงก่อนจะเดินไปตามเสียงเรียก พอไปถึงเธอก็เห็นทุกคนยกเว้นเมฆามานั่งรอบนผ้าปูลายตารางหมากฮอสวางอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งใจกลางผ้าปูนั้นได้มีของกินวางอยู่ “ของว่างมื้อบ่ายนี้เป็นพายแอปเปิลลูกเกดกับชาดาร์จีลิ่งครับทุกๆคน”

ปฐพีบอกชื่อของว่างให้ฟัง

เป็นของว่างที่หรูไปหน่อยมั้งพี่

ทุกคนคิดในใจยกเว้นราตรีกับคริสตัลที่ทำหน้าเฉยๆ เพราะเคยดื่มมาก่อน

“พายแอปเปิลลูกเกดนะพอเข้าใจ แต่ชาดาร์จีลิ่งนี่ ต้องดื่มยังไงกันล่ะปฐพี” ศาสตราเป็นคนแรกที่ถามก่อนใครเพื่อน เพราะคิดว่าคนอื่นคงไม่กล้าจะถาม “เอ่อ พวกฉันดื่มไม่เป็นนะ”

พูดแล้วทุกคนก็ก้มลงมองชาในถ้วยซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำสีทองสว่าง

“ไม่ต้องห่วง ก็แค่ดื่มตามปกติ” ปฐพีตอบ ทำให้ทุกคนรีบลองชิมดู

“หวาน?” อเลนพูดพลางขมวดคิ้ว “รสคล้ายองุ่นเลยนะปฐพี”

“องุ่นมัสคาเทลที่ใช้ในการหมักไวน์เป็นเอกลักษณ์ของดาร์จีลิ่ง ชาจากเนินเขาหิมาลัยที่หายสาบสูญไปเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว แต่กลับพบได้ในเกม” ราตรีพูดเกริ่น ซึ่งทำเอาทุกคนหันไปมองพร้อมกัน ก่อนที่ราตรีจะรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป จึงเงยหน้าขึ้นพูดโกหกไปว่า “พอดีพ่อของผมเคยเก็บไว้แล้วเอามาให้ผมได้ดื่มนะครับ แหะๆ”

พ่อเคยเอามาให้ดื่มจริง แต่นั่นมันตอนที่เรายังเด็กๆนะ

แต่จะว่าไปตอนนี้ชายังเหลืออยู่ในตู้กับข้าวอยู่เลยนี่


ไว้ออฟไลน์เกมแล้ว ค่อยให้ตานพทำให้ดื่มที่บ้านดีกว่า

ราตรีคิดในใจ เพราะกากชาที่เธอได้มาเป็นของแฟนที่อุตส่าห์ไปประมูลซื้อมาให้เธอโดยเฉพาะ

“โธ่คุณยายครับ เล่นพูดแบบนี้ระวังพวกเขาจะจับผิดเอาได้นะครับ” ปฐพีพรายกระซิบบอกเธอด้วยความเป็นห่วง ซึ่งทำเอาราตรียิ้มแห้งๆ

ก็คนมันลืมนี่หว่า

“งั้นหรือจ้ะ แหม น้องราตรีนี่โชคดีที่มีพ่อที่แสนดีอะไรเช่นนี้ ได้ดื่มชาดีๆกับเขาด้วย” ธิดาพูดด้วยความอิจฉา เพราะสมัยนี้ชาดีๆไม่มีหลงเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว จะมีแต่ก็ชาปลอมที่ทุกคนคิดค้นขึ้นมาให้ดื่มเล่นเท่านั้น หรือไม่ก็ไปหาตามแหล่งประมูลเอา แล้วพวกเขาก็ลงมือทานพายกับชาอย่างสนุกสนาน

.................................

“ฮะ ฮะ ฮ่า!”

เสียงหัวเราะดังลอดผ่านเต็นท์ ทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงรู้สึกตัวขึ้น

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เมฆาคิดในใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้า พลางสะบัดไล่ความมึนงง จริงสิ เราคลั่งจนกลายเป็นปีศาจนี่

แล้วเมฆาก็นึกย้อนความทรงจำก่อนจะสลบไปตั้งแต่ต้นจนจบ

น้องราตรีรู้ความจริงแล้ว จะเกลียดเราไหมนะ

“อ้าวเมฆาตื่นแล้วเหรอ ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วมาทานอาหารเย็นกันเถอะ” อเลนกล่าวทักทายเขาในขณะที่เดินเข้ามาในเต็นท์ “มื้อนี้น้องราตรีอุตส่าห์เป็นคนลงมือทำเองเชียวนะ รีบๆล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกไปทานกันเถอะ”

“อืม เข้าใจแล้วล่ะ”

เมื่ออเลนออกไปแล้ว เมฆาจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาในอ่างน้ำที่วางอยู่ข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเต็นท์ด้วยความรู้สึกสับสน หากแต่พอออกจากเต็นท์แล้ว เขากลับชะงักเมื่อเห็นสีหน้าอันยิ้มแย้มของราตรีที่กำลังหัวเราะกับมาริโอที่ทำท่าเต้นรำให้ทุกคนดูอยู่ ครั้นพอยืนดูได้สักพัก คนถูกมองชะงักพลางเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้ายิ้มแย้มก็พลันหายไปพริบตา ซึ่งทำให้คนที่เห็นเหตุการณ์อย่างอเลนพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเมฆากับน้องราตรีก็เลยรีบพูดแทรกไปว่า

“เมฆาไปนั่งเร็ว ทุกคนจะได้ทานข้าวเย็นซักที”

“อืม”

แล้วทุกคนก็นั่งลงที่ของตัวเอง ก่อนจะลงมือทานอาหารพร้อมกันโดยอาหารเย็นมื้อนี้ เนื่องจากตอนนี้มีอยู่กันหลายคน ราตรีจึงทำอาหารเยอะเป็นพิเศษ อาทิเช่น ข้าวปั้นซูชิ ซุปเห็ด ข้าวผัดไข่ ขนมปังฝรั่งเศส ขนมเทียน น้ำชาญี่ปุ่น พุดดิ้งพลัม น้ำส้มคั้น ปลาแซลมอนต้ม สลัดมิ้นท์ เป็นต้น ซึ่งผลปรากฏว่าอร่อยเกินความคาดหมายของทุกคน

“น้องราตรีไปเรียนวิชาที่ไหนมาจ้ะ ถึงสามารถทำอาหารได้หลากหลายชนิดและยังอร่อยอีกด้วย” ธิดาถามพลางจิบชาญี่ปุ่นไปด้วย ซึ่งคนถูกถามไม่ได้ตอบเดี๋ยวนั้น เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดริมฝีปากให้มาริโอก่อนจะหันมาตอบธิดาว่า

“ไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียนไหนมาหรอกครับ พอดีผมได้คุณปู่คุณย่ากับพวกญาติๆที่เป็นเชฟมาก่อนช่วยสอนให้”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง มิน่าอาหารถึงได้อร่อยนัก” ศาสตราพูดพลางพยักหน้า “แต่จะว่าไปรสชาติอาหารพวกนี้ทำไมคล้ายกับอาหารที่ปฐพีทำล่ะ”

ทั้งราตรีทั้งปฐพีต่างสะดุ้งไหวเล็กน้อยเมื่อศาสตราพูดได้ถูกจุด ซึ่งทำให้เมฆาเดาได้ว่าปฐพีคงจะได้ราตรีเป็นคนช่วยสอนทำอาหารให้ จึงมีรสชาติคล้ายกันตามที่ศาสตราพูดไม่ผิด

“มันก็ต้องมีเหมือนกันบ้างล่ะ ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าอาหารหรือ”

เมฆาช่วยพูดแก้ตัวให้แทนราตรีกับปฐพี ซึ่งทำเอาคนถามเอามือเกาหัวหยิกๆ หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างแยกย้ายกันเข้านอนในเต็นท์ของตัวเองไป ส่วนเมฆานั้นเพิ่งจะหายป่วย ก็เลยต้องเข้าไปนอนพักที่เต็นท์ของอเลนอย่างช่วยไม่ได้ แต่ทว่าพอตกดึก เมฆากลับนอนไม่หลับเพราะนอนมากพอแล้ว เขาจึงเดินออกจากนอกเต็นท์เพื่อจะเดินเล่นฆ่าเวลารอให้ตัวเองได้ง่วงนอน ทว่าเดินไปได้สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงเพลงอีกครั้ง

เพลงนี้มัน…

เมฆาคิดในใจพลางสาวเท้าเดินตามต้นเสียงไป ซึ่งเขาเดินไปได้สักพักก็พบกับราตรีที่กำลังนั่งร้องเพลงอยู่บนต้นไม้สูง

ไม่กลัวสัตว์อสูรเข้ามาทำร้ายเลยรึไงเนี่ย เมฆาคิดในใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองได้มอบสร้อยคออำพรางสัตว์อสูรกับราตรีไปแล้ว จะว่าไปก็เข้าใจเลือกต้นไม้สูงได้ดีนะ มิน่าล่ะ แถวนี้ถึงได้ไม่มีสัตว์อสูรมาเดินเพ่นพ่านเลยซักตัวเดียว

แกรบ!

เมฆาเผลอเดินเหยียบใบไม้เข้า ทำให้คนร้องเพลงอยู่บนต้นไม้ถึงกับหยุดชะงัก

“อ๊ะ ท่าน...” ราตรีมองหน้าและทำท่าจะเรียกชื่อเขาแต่กลับหยุดเรียก ก่อนจะลุกขึ้นยืนทำท่ากางปีกเตรียมบินหนี

“เดี๋ยวสิน้องราตรี!” เมฆาร้องเรียกอีกฝ่ายพลางกระโดดขึ้นเหยียบกิ่งไม้ไปยืนอยู่ข้างราตรีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ไม่ให้บินหนีไปไหน ซึ่งทำให้คนที่บินไปได้แค่สองเซนติเมตรกลับต้องผงะไปตามแรงดึง “พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ…ปิดบังเรื่องพ่อแม่ของน้อง”

“คงสนุกมากสินะที่ปั่นหัวผมได้ ท่านพี่คงจะแอบหัวเราะเยาะผมที่เห็นผมทุกข์ใจที่ยังหาทางไปช่วยพ่อแม่ไม่ได้”

“ไม่ใช่!” เมฆาแย้งทันควัน “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกปั่นหัวน้อง พี่ก็แค่…แค่กลัวเราจะเกลียดพี่เมื่อรู้ความจริง”

ใช่แล้ว เรื่องนี้แหละที่เขากลัวที่สุด

กลัวว่าถ้ารู้แล้วจะเกลียดเขา

เหมือนเช่นตอนนี้


“อ้อ แล้วไงล่ะ” อีกฝ่ายพูดเสียงห้วน “ถ้าท่านพี่บอกผมเสียแต่แรก ผมก็คงไม่โกรธท่านพี่แน่ แต่ตอนนี้คงเห็นจะไม่ เพราะผมไม่น่าเชื่อถือสินะ ท่านพี่ก็เลยไม่บอกเรื่องที่ซ่อนพ่อแม่ของผมให้รู้ ท่านพี่ ไม่สิ ต้องเจ้าชายปีศาจสิถึงจะถูก กระทั่งเรื่องนี้ท่านก็ยังปิดบังกันได้ ฮึ ใช่ซี่ ผมมันก็แค่ไอ้ลาโง่ตัวหนึ่งที่ถูกหลอกให้หลงเชื่อง่ายๆ”

“คุณจันทร์แรม!” เมฆาร้องอุทานเสียงหลงเมื่อได้ยินสิ่งที่ราตรีพูด เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าตอนนี้จันทร์แรมกำลังสวมบทเป็นราตรีพิสุทธิ์อยู่ หาได้เป็นของตัวเองไม่

แสดงได้แนบเนียนเกินไปแล้ว

เมฆาคิดในใจเพราะเขาเกือบจะคล้อยตามไปจริงๆ ส่วนอีกฝ่ายเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองแล้ว ก็เพียงทำหน้าขมวดคิ้วเพียงแวบเดียวก่อนจะปรับสีหน้าโกรธดังเดิม

“ผม…ชื่อ…รา…ตรี…พิ…สุทธิ์…ไม่…ใช่…จันทร์…แรม!” ราตรีกล่าวเสียงเน้นย้ำเสียจนเมฆาถึงกับผงะ “ได้ยินแล้วนี่ กรุณาปล่อยแขนผมเดี๋ยวนี้”

เล่นแบบนี้หวังจะเอาตุ๊กตานักแสดงเหรียญทองหรือไงครับคุณพี่

เมฆาคิดในใจพลางถอนหายใจเฮือกแรงๆ ก่อนจะดึงอารมณ์เก่าของตัวละครที่ตัวเองสวมอยู่นี้กลับคืนมาอีกครั้ง

“ไม่” เมฆาตอบด้วยน้ำเสียงเข้ม พร้อมกับบีบข้อแขนของอีกฝ่ายแน่นขึ้นกว่าเดิมจนราตรีถึงกับนิ่วหน้า “พี่จะไม่มีวันปล่อยเราไปถ้ายังไม่ปรับความเข้าใจกัน โอเค ก่อนหน้านี้พี่ยอมรับว่าพี่ผิดจริง พี่โกหก พี่ปิดบังน้องมาตลอด แต่…น้องราตรีจะไม่ให้อภัยพี่ชายคนนี้บ้างเลยหรือ”

ดูเหมือนว่าสีหน้าของราตรีจะดูอ่อนลงกว่าเดิมเมื่อครู่นี้ถ้าหากเขาดูไม่ผิด แต่แล้วอีกฝ่ายเกิดเม้มปากเสียเอาดื้อๆ

“เรื่องอะไรที่ผมจะไปให้อภัยกับคนที่ไม่เชื่อใจในตัวผมได้กันล่ะ ไม่มีวัน!!” เมฆาได้ยินดังนั้น เส้นประสาททั้งหลายก็พากันขาดผึง

ถ้าผมทำอะไรก็อย่ามาว่ากันล่ะคุณจันทร์แรม

เพราะมันไม่ใช่ตัวจริงของผม

แต่เป็นตัวละครที่ชื่อว่าเมฆาในเกม!


..............................................

ราตรีแทบผงะเมื่อเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดจากเมฆา

ตายล่ะ เผลอเล่นไปตามอารมณ์ราตรีพิสุทธิ์มากไปหน่อยแหะเรา ราตรีหรือจันทร์แรมคิดในใจ คุณอวิ๋นก็เหลือเกิน อินกับละครที่เราเล่นไปกับเขาด้วย เฮ้อ ไม่ไหวเลย

ในขณะที่ราตรีคิดจะพรายกระซิบบอกอีกฝ่ายให้เลิกเล่นละครนี้ได้แล้ว เพราะเธอชักไม่สนุกด้วย แต่อีกฝ่ายกลับยื่นหน้าเข้าก่อนจะประกบริมฝีปากของราตรีอย่างแนบแน่น

วะ ว้าย! คุณอวิ๋นทำอะไรเรานะ!!

จันทร์แรมหรือราตรีร้องอุทานในใจอย่างตะลึง เพราะไม่คิดว่าจะโดนอีกฝ่ายทำแบบนี้กับเธอ พอคิดได้ดังนั้นเธอก็พยายามดันร่างสูงให้ออกห่างแต่ก็ไม่ขยับ เมฆาบดขยี้ริมฝีปากของราตรีอย่างรุนแรงโดยไม่สนใจว่าเธอคือจันทร์แรม

“หยุด...หยุดนะคุณอวิ๋น!” ราตรีพรายกระซิบบอกทั้งน้ำตา ถึงแม้ว่าความรู้สึกกลัวนี้จะเป็นของตัวละครที่ชื่อว่าราตรีพิสุทธิ์ที่ถูกอีกฝ่ายกระทำกับเธอก็ตาม แต่จันทร์แรมก็ไม่ชอบที่อวิ๋นทำแบบนี้กับเธอด้วยเช่นกัน ทว่าอีกฝ่ายหาได้หยุดไม่ กลับทำแบบไม่ลืมหูลืมตาโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของจันทร์แรม

น่ากลัว...นรินทร์ช่วยฉันด้วย

ครั้นอีกฝ่ายจูบจนพอหนำใจแล้ว ก็ถอดริมฝีปากออกมาก่อนจะชะงักเมื่อเห็นนัยน์ตาสีฟ้าครามเต็มไปด้วยน้ำตา

ฉาด!

3000


เมฆาถูกตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนหน้าหัน ซึ่งทีแรกจันทร์แรมคิดจะต่อว่าอวิ๋นให้รู้สึกสำนึกว่าไม่ควรทำแบบนี้กับเธอต่อให้เป็นในเกมก็ตาม แต่ด้วยความที่ผ่านโลกมามาก จึงได้แต่ชะงักค้างโดยที่มือยังค้างในท่าตบ

“...ขอโทษ…พี่ ไม่ได้ตั้งใจ...พี่ขอโทษ” เมฆาหรืออวิ๋นกล่าวคำขอโทษกับเธอ ซึ่งราตรีไม่พูดพล่ามทำเพลง สะบัดมือที่ถูกอีกฝ่ายจับไว้ออกก่อนจะกางปีกบินลงบนพื้น แล้วเธอจึงค่อยสวมสร้อยคออำพรางกายเดินหายตัวไปโดยไม่หันกลับมามองเมฆาอีก

...........................................

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 61 โมโห

...........................................

เช้าวันรุ่งขึ้นของการออนไลน์เป็นวันที่สาม ปฐพีตื่นนอนแต่ก่อนไก่โห่เพื่อลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้ทุกคนได้ทาน หลังจากเสร็จภารกิจของตัวเองแล้ว เขาก็เดินออกไปนอกเต็นท์ก่อนจะพบกับความประหลาดใจเมื่อเห็นเมฆากำลังทำอาหารอยู่

“เอ๋? เมฆา ฉันจำได้ว่ามื้อเช้านี้เป็นเวรของฉันนะ” เมฆาที่กำลังใช้ทัพพีคนหม้อน้ำซุปอยู่นั้นก็หยุดมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งทำเอาปฐพีผงะเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ตาคล้ำอย่างกับหมีแพนด้า

“พอดีอยากจะทำนะ ขอโทษทีที่แอบทำล่วงหน้าก่อน” เมฆาตอบยิ้มๆ หากแต่นัยน์ตากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย ซึ่งทำให้ปฐพีนึกแปลกใจกับท่าทีของเมฆาที่เปลี่ยนไป “เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ จริงสิ ถ้ายังไงวานปฐพีช่วยหยิบจานชามไปเรียงวางบนโต๊ะให้ทีละกันนะ”

“อะ อืม” แล้วปฐพีก็เดินไปเรียงจานชามตามคำสั่ง แล้วเวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง พวกเพื่อนๆก็เริ่มเดินออกมาจากเต็นท์ของตัวเองซึ่งประจวบเหมาะที่เมฆาทำอาหารเสร็จพอดี

“นี่น้องมาริโอจ้ะ แล้วราตรีล่ะ เขาตื่นนอนแล้วรึยังเอ่ย” ธิดาถามทันทีที่เห็นมาริโอเดินออกมานอกเต็นท์

“งึมๆ ยังเลยฮะท่านพี่ธิดา” มาริโอตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “เห็นบอกว่าปวดหัว จะขอนอนอีกสักหน่อยนะฮะ”

“เอ๋? ในเกมมีปวดหัวกันได้ด้วยหรือ ไม่ยักกะรู้มาก่อน” ศาสตราเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ ซึ่งเพียงแค่เสี้ยววินาที ปฐพีได้ทันเห็นเมฆาทำแอปเปิลร่วงหล่นบนโต๊ะอาหารทันทีที่ศาสตราพูดจบ

แปลกคน?

“เดี๋ยวฉันไปดูน้องราตรีให้เอง พวกนายทานอาหารกันไปก่อนเถอะ” ปฐพีเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปในเต็นท์ของราตรีทันที เมื่อเขาได้เข้าไปแล้ว ก็พบว่าราตรีหรือคุณยายของเขากำลังนอนห่มผ้าห่มอยู่บนเตียง “คุณยายปวดหัวมากรึเปล่าครับ ผมจะได้ไปแจ้งจีเอ็มให้คุณยายออฟไลน์ไปพักผ่อน”

“ไม่ต้องนพ เมื่อคืนยายแค่นอนดึกไปหน่อย นอนพักอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็คงหาย นพไปทานข้าวเช้ากับเพื่อนต่อเถอะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ซึ่งทำเอาปฐพีหรือนพแปลกใจ เพราะร้อยวันพันปีคุณยายไม่เคยป่วยซักที

“ครับ ถ้าคุณยายหายปวดแล้ว ก็ลุกขึ้นมาทานข้าวได้นะครับ เดี๋ยวผมจะทำข้าวต้มรอไว้ให้”

“อืม”

แล้วปฐพีก็เดินกลับออกมา

“ว่ายังไงปฐพี น้องราตรีเป็นอะไรมากรึเปล่า” อเลนถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งรวมถึงทุกคนต่างจ้องมองมาที่เขากันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งเมฆาที่ยืนลุ้นคำตอบจากปากเขาจนเผลอบีบแอปเปิลในมือจนเละ

น่าสงสัย?

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก น้องราตรีแค่บอกว่าเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ก็เลยปวดหัวนะ”

“อ้อ นอนดึกนี่เอง เดี๋ยวนอนพักก็หายแล้วล่ะ” อเลนพูด แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็รีบลงมือทานข้าวเช้ากันต่อโดยที่ปฐพีได้แต่นึกสงสัยเมฆาอย่างเงียบๆ ซึ่งเมื่อทุกคนทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปล้างจานชาม จะเหลือก็แต่ปฐพีที่กำลังทำข้าวต้มรอให้ราตรีตื่นขึ้นมาทานกับเมฆาที่นั่งเก็บเศษขยะบริเวณที่พวกเขานั่งทานข้าวเช้า

“เมฆาเป็นอะไรไปหรือ ทำไมขอบตานายดูคล้ำๆจัง” ปฐพีพูดเกริ่นดูเชิง ซึ่งทำให้เมฆาที่กำลังเก็บเศษขยะอยู่นั้นถึงกับชะงัก

“อ้อ เมื่อคืนมัวแต่ศึกษาทักษะของตัวเองอยู่ในเต็นท์จนดึกนะ”

“เหรอ นายนี่ขยันจัง มิน่าล่ะถึงได้เก่งขนาดนี้” ปฐพีแสร้งทำเป็นชม ทั้งๆที่สงสัยเมฆาอยู่ในใจเต็มแก่ “นี่ถ้าฉันได้สักครึ่งอย่างนายก็คงดี”

“ไม่ยากเกินความสามารถถ้านายขยันฝึกเก็บเลเวลบ่อยๆ” เมฆาตอบโดยไม่มองหน้า ซึ่งทำให้ปฐพีนึกสงสัยมากยิ่งขึ้น เพราะยายของเขาก็เป็นคนที่เข้านอนแต่หัวค่ำ จะมีนานครั้งที่ท่านจะเดินออกมาร้องเพลงตอนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นไปได้ยากที่ทั้งคู่จะมานอนดึกพร้อมกันได้โดยบังเอิญ

“จริงสิ นายเคยได้ยินน้องราตรีร้องเพลงตอนกลางคืนหรือเปล่าเมฆา” ปฐพีถามพลางแอบเหล่ตามองอีกฝ่ายดูเชิง ซึ่งผลปรากฏว่าเมฆาได้ยินคำถามของเขาเข้าถึงกับสะดุ้ง

มีพิรุธ

“ไม่เคยหรอก” เมฆาตอบพลางลุกขึ้นเดินหนีราวกับต้องการยุติบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้

น่าสงสัยว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างเมฆากับคุณยาย

ต้องสืบดูหน่อยเสียแล้ว


ปฐพีคิดในใจก่อนจะลงมือคนข้าวในหม้อต่อไป


....................

ย้อนกลับมาทางด้านราตรีหลังจากตบหน้าเมฆาแล้ว เธอก็โดดลงจากกิ่งไม้ก่อนจะกลับมานอนที่เต็นท์ของตัวเองแล้วหลับไปทั้งน้ำตา รุ่งเช้ามาริโอก็ได้เข้ามาปลุกเธอ

“ไปทานก่อนนะมาริโอ ข้าปวดหัว อยากขอนอนต่ออีกหน่อย” ราตรีบอกมาริโอ ซึ่งมันก็พยักหน้าตอบก่อนจะเดินออกไปนอกเต็นท์ เธอนอนไปได้สักพักเสียงฝีเท้าก็ดังเข้ามาในเต็นท์

“คุณยายปวดหัวมากรึเปล่าครับ ผมจะได้ไปแจ้งจีเอ็มให้คุณยายออฟไลน์ไปพักผ่อน” เสียงนั้นถามด้วยความเป็นห่วง

อ้อ นพนี่เอง

“ไม่ต้องนพ เมื่อคืนยายแค่นอนดึกไปหน่อย นอนพักอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็คงหาย นพไปทานข้าวเช้ากับเพื่อนต่อเถอะ” เธอตอบกลับไปเพื่อไม่ให้หลานชายต้องเป็นห่วง

“ครับ ถ้าคุณยายหายปวดแล้ว ก็ลุกขึ้นมาทานข้าวได้นะครับ เดี๋ยวผมจะทำข้าวต้มรอไว้ให้”

“อืม”

แล้วนพก็เดินออกไป ซึ่งเธอก็หลับตาลงต่อด้วยความอ่อนเพลีย จันทร์แรมไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่แต่พอรู้สึกตัวอีกที ก็เห็นปฐพีหรือนพเดินเข้ามาพร้อมชามอาหารที่มีไอควันลอยครุกกรุ่นแล้ว

“คุณยายตื่นแล้วหรือครับ งั้นลุกขึ้นมาทานข้าวต้มก่อนเถอะครับ” ปฐพีบอก ซึ่งเธอตอบครางอือ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ครั้นพอลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จู่ๆคนช่วยพยุงหลังเธออย่างนพกลับสะดุ้ง

“เป็นอะไรตานพ ลืมเขย่าขวดก่อนกินยารึไง” เธอพูดแซวอย่างขำขัน

“เปล่าครับคุณยาย ไม่มีอะไร” นพบอกก่อนจะส่งชามให้เธอ “ทานข้าวต้มก่อนสิครับคุณยาย กำลังอุ่นได้ที่อยู่เลย”

“อืม ขอบใจนะ” เธอพูดขอบใจหลานก่อนรับชามข้าวต้มมาแล้วใช้ช้อนคนเพื่อคลายความร้อนอีกที

“เอ่อจริงสินพ แล้วคนอื่นๆล่ะ” จันทร์แรมหรือราตรีเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย

“ไปเก็บเลเวลกันแถวๆนี้แล้วครับ” นพตอบยิ้มๆ “ส่วนมาริโอนั้นก็ตามไปด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณยาย”

“อืม ยายก็ไม่ได้เป็นห่วงเขามากนักหรอก กลัวอย่างเดียวว่ามันจะไปหม้อหนูปลา หนูหงส์หยก และยัยแก้วเอาได้นะสิ” ราตรีพูดอย่างเป็นกังวล ซึ่งทำเอาปฐพีได้ยินถึงกับหัวเราะเสียงดัง เพราะรู้ฤทธิ์เดชของมาริโอเป็นอย่างดีว่าเป็นมอนสเตอร์ที่ขี้หลีระดับเทพ

“คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาไปหรอกครับ พวกเขาเอาตัวรอดกันได้” ปฐพีพูดไปหัวเราะไปพลาง “โดยเฉพาะกับพวกขี้หลีเนี่ย หายห่วงได้แน่นอนครับ”

“ขอให้มันเป็นแบบนั้นเถอะ”

ราตรีถอนหายใจก่อนจะลงมือทานข้าวต้มต่อ เมื่อทานข้าวต้มเสร็จแล้วปฐพีก็บอกให้เธอนอนพักเอาแรงต่อ ซึ่งเธอก็ยอมนอนแต่โดยดีเพราะยังไม่หายปวดหัว ส่วนปฐพีเมื่อเห็นคุณยายของตนหลับไปแล้ว จากใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่นี้ ภาพนัยน์ตาสีฟ้าครามของราตรีซึ่งแดงกล่ำผ่านการร้องไห้มาอย่างโชกโชน ทำเอาปฐพีหรือนพที่ได้เห็นแล้วถึงกับโมโห

ต้องเป็นมันแน่!

มันคนเดียวเท่านั้น!!


ปฐพีคิดได้ดังนั้นก็พลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปอย่างหนักหน่วงโดยไม่ลืมที่จะชักดาบของตัวเองออกมาจากฝัก

แกไม่ได้ตายดีแน่!

ไอ้เมฆา!!


..............................

ทางด้านเมฆาที่พาทุกคนไปเก็บเลเวลแล้ว อเลนก็ไล่เขากลับไปที่เต็นท์เพราะเห็นว่าตนเอง และพวกศาสตราสามารถดูแลพวกคริสตัลเองได้ ส่วนธิดา หงส์หยกและปลา สามคนนี้เขาไม่ต้องห่วง เพราะสามารถเก็บเลเวลเองกันได้เป็นอย่างดี หากแต่เมฆาไม่กล้ากลับไปเจอหน้าราตรีตอนนี้เพราะรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเมื่อคืนนี้อยู่ จึงเดินเล่นไม่ห่างจากจุดตั้งเต็นท์มาก ซึ่งเมฆาเดินเล่นได้ไม่นาน เขาก็เห็นปฐพีเดินมาพร้อมกับถือดาบเล่มหนึ่งมาด้วย

“อ้าว นี่จะไปเก็บเลเวลกับเขา…” เมฆาพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆปฐพีก็พุ่งตัวเข้ามาหาเขาอย่างเร็ว พร้อมกับเสือกดาบเข้ามา ซึ่งทำให้เมฆารีบหลบคมดาบทันที “ทำอะไรของนายนะปฐพี เอาดาบมาโจมตีฉันทำ…”

วูบ!

เมฆาหลบลูกเตะของปฐพีที่ย้อนกลับมาเตะใส่เขา ก่อนจะตวัดดาบใส่เมฆารัว ซึ่งแน่นอนว่าเมฆาสามารถหลบได้ทุกครั้ง

“ไม่คิดจะบอกเหตุผลหน่อยรึไง” เมฆาถามในขณะที่หลบการโจมตีของปฐพีไปด้วย “หรือว่านายต้องการจะฝึกวิชากับฉันล่ะปฐพี ฉันขอบอกไว้ก่อนนะว่าตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้ว”

พอเมฆาพูดจบ เขาก็หลบคมดาบที่ปฐพีแทงเข้ามาอย่างเฉียดฉิว ทำให้ปลายเส้นผมที่ถูกคมดาบขาดไปสองนิ้ว

“อย่ามาทำเป็นใสซื่อหน่อยเลย” ปฐพีพูดเสียงเย็นชาพลางตวัดดาบขึ้นในท่าเตรียม “แกทำอะไรลงไปก็น่าจะรู้แก่ใจ อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำอีกเมฆา”

คำพูดของปฐพีทำเอาเมฆาถึงกับสะดุ้ง

หรือว่าปฐพีจะทราบเรื่องของเขากับจันทร์แรมแล้ว!

“ขอโทษปฐพี ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำกับน้องราตรี…”

“ไม่ต้องมาพูดแก้ตัว!”

ปฐพีตวาดเสียงใส่ก่อนจะพุ่งกระโดดเข้าหาเขาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาเห็นอีกฝ่ายยกดาบขึ้นหมายจะฟันหัวของเขาให้ขาด จึงเรียกดาบของตัวเองออกมารับคมดาบของอีกฝ่ายได้ทันท่วงที

เคล้ง!

ดาบกับดาบปะทะกันทำเอาเมฆาถึงกับกัดฟัน

แรงเยอะชะมัด

เมฆาคิดในใจ นี่ถ้าตนไม่ติดคำสาปปีศาจแล้วล่ะก็ เรื่องพละกำลังของเขาไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน

“เพราะแก…เพราะแก น้องราตรีถึงได้ร้องไห้!” ปฐพีพูดจบ ก็ปัดดาบของเมฆาที่ถืออยู่กระเด็นไปไกล ก่อนจะใช้ดาบฟันเข้าที่หัวไหล่ของเขาอย่างเร็วโดยที่เขาหลบไม่ทัน

ฉัวะ!

8900

ฉูด!


เลือดพุ่งกระฉูดใส่บนใบหน้าของปฐพี

“อ๊าก!” เมฆากรีดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดเข่าลงนั่งกับพื้นดิน

“เกิดอะไรขึ้นนะ?! เสียงดังไปถึงฟากนู่นเลย” เสียงของพวกอเลนตะโกนมาจากอีกฟากทางหลังของเมฆา ก่อนที่ทุกคนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองนั่งคุกเข่าเอามือกุมหัวไหล่ที่อาบไปด้วยเลือดกับปฐพีที่ยืนถือดาบที่มีรอยเลือดหยดลงกับพื้น

“นายเป็นบ้ารึไงปฐพี คิดจะฆ่าเม…”

“นี่มันเรื่องของฉันกับเมฆา คนนอกไม่เกี่ยว!” ปฐพีแย้งศาสตราทันควัน ซึ่งทำเอาคนฟังแทบหน้าจ๋อย แต่ทว่าเสียงของธิดากลับแย้งขึ้นมา

“ไม่เกี่ยวก็ต้องเกี่ยว ก็เพราะเขาเป็นเพื่อนของพวกเรา แล้วนายจะไปทำเขาไปทำไมกัน ไปโกรธเคืองอะไรเขาจนถึงขั้นจะฆ่าจะแกง...” ธิดาพูดยังไม่ทันจบ ดาบของปฐพีก็ลอยเข้ามาเฉียดแก้มของเธอก่อนจะลอยไปปักอยู่ที่พื้น

1500

ค่าดาเมจขึ้นพร้อมกับเลือดที่ไหลอาบบนแก้มของธิดา

“ถ้าขืนเธอพูดอีกคำ ระวังหัวจะไม่ได้อยู่บนบ่าอีก” ปฐพีพูดขู่ก่อนจะเดินไปหยิบดาบที่ปักอยู่บนพื้นก่อนจะเดินกลับมาที่เดิม ซึ่งทำเอาทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ แทบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะคริสตัลที่ร้องไห้โฮขึ้นมาอย่างไม่อายสายตาของทุกคน ซึ่งเมฆาเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะตนเองก็เจ็บหนักจนลุกไม่ขึ้น แล้วทันใดนั้นเมฆาก็ได้เห็นอีกฝ่ายยกดาบขึ้นเหนือหัวตัวเอง จึงหลับตาลงรอรับความตายโดยไม่คิดจะป้องกันตัวเอง

ฉัวะ!

....................

ฉัวะ!

8785

ฉูด!


เลือดพุ่งกระฉูดใส่เสื้อผ้าของปฐพี หากแต่เจ้าของมันกลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“น้องราตรี!” ภาพเบื้องหน้าของปฐพีในตอนนี้กลับกลายเป็นราตรี แทนที่จะเป็นเมฆาซึ่งน่าจะถูกคมดาบของเขาฟันสะพายแล่ง ไม่ได้มีเพียงแต่ปฐพีที่ตกใจกับภาพที่เห็น ทั้งอเลน ศาสตรา พิภพ ธิดา หงส์หยก ปลา คริสตัล งุ้งงิ้ง คอเบียร์ มาริโอ และรวมถึงเมฆาที่ลืมตาขึ้นมองเพราะได้ยินเสียงชื่อของราตรีแล้ว ต่างก็พากันตกใจจนอ้าปากค้างกันเป็นแถว ส่วนราตรีหรือคุณยายของปฐพีเมื่อถูกเขาใช้ดาบฟันแล้ว ก็ได้เอ่ยปากพูดกับเมฆาที่กอดหลวมๆอยู่

“มะ...มะไม่เป็นไรนะครับท่านพี่” หากแต่คนถูกถามได้แต่หน้าซีดพูดอะไรไม่ออก ปฐพีเดาได้ว่าเมฆาคงกำลังตกใจเช่นเดียวกับที่เขาตกใจอยู่ในขณะนี้ แล้วราตรีก็ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหันหน้ากลับมาทางเขาด้วยใบหน้าอันซีดเซียวโดยมุมปากยังเปื้อนเลือดอยู่ “พี่ปะ...ปฐพี...ผม...ว่าพี่หยุดพอแค่นี้เถอะครับ...อย่าให้มันเลยเถิดไปมาก...กว่านี้ ผมขอ...ร้อง แค่กๆ”

ปฐพีได้ยินดังนั้นแทบลมจับ เพราะเขาไม่อยากเชื่อว่าคุณยายจะพูดเข้าข้างเมฆา

“ทำไม...ทำไมน้องราตรีต้อง...ออกตัวรับการโจมตีแทนมันด้วย ทำไม!” ทว่าราตรีหาได้ตอบคำถามไม่ กลับส่งพรายกระซิบบอกกับเขาเป็นเชิงขอร้อง

“ตานพเอ้ย อย่าทำเขาไปมากกว่านี้อีกเลย เขาก็แค่ทำไปตามอารมณ์ในตัวละครที่ชื่อว่าเมฆา ไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเขาในโลกนอกเกม”

“นี่คุณยายยังคิดจะเข้าข้างมันได้อีกรึครับ” ปฐพีพรายกระซิบกลับไป “มันทำกับคุณยายจนร้องไห้ถึงขนาดนี้แล้ว คุณยายยังจะ...ฮึ่ม!”

“นพ”

“ผมไม่รู้ว่ามันทำอะไรกับคุณยายไปบ้าง แต่ผมไม่มีวันยอมที่จะปล่อยมันไปง่ายๆหรอก ไม่มีวัน!”


ราตรีได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็พลันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดตอบคำถามที่เขาเคยถามไปในตอนแรกโดยไม่ใช้พรายกระซิบอีก

“ที่ผมทำไปก็เพราะ...เขาเป็นพี่ชายที่แสนดีของผม”

แล้วร่างบางก็ทรุดฮวบกับพื้นต่อหน้าต่อตาทุกคน

.......................................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

นอกบท

“เอ่อจริงสินพ แล้วคนอื่นๆล่ะ” จันทร์แรมหรือราตรีเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย

“ไปเก็บเลเวลกันแถวๆนี้แล้วครับ” นพตอบยิ้มๆ “ส่วนมาริโอนั้นก็ตามไปด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณยาย”

“อืม ยายก็ไม่ได้เป็นห่วงเขามากนักหรอก กลัวอย่างเดียวว่ามันจะไปหม้อหนูปลา หนูหงส์หยก และยัยแก้วเอาได้นะสิ” ราตรีพูดอย่างเป็นกังวล ซึ่งทำเอาปฐพีได้ยินถึงกับหัวเราะเสียงดัง เพราะรู้ฤทธิ์เดชของมาริโอเป็นอย่างดีว่าเป็นมอนสเตอร์ที่ขี้หลีระดับเทพ

“คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาไปหรอกครับ พวกเขาเอาตัวรอดกันได้” ปฐพีพูดไปหัวเราะไปพลาง “โดยเฉพาะกับพวกขี้หลีเนี่ย หายห่วงได้แน่นอนครับ”

“ขอให้มันเป็นแบบนั้นเถอะ”

ราตรีถอนหายใจก่อนจะลงมือทานข้าวต้มต่อ เมื่อทานข้าวต้มเสร็จแล้วปฐพีก็บอกให้เธอนอนพักเอาแรงต่อ ซึ่งเธอก็ยอมนอนแต่โดยดีเพราะยังไม่หายปวดหัว ส่วนปฐพีเมื่อเห็นคุณยายของตนหลับไปแล้ว จากใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่นี้ ภาพนัยน์ตาสีฟ้าครามของราตรีซึ่งแดงกล่ำผ่านการร้องไห้มาอย่างโชกโชน ทำเอาปฐพีหรือนพที่ได้เห็นแล้วถึงกับโมโห

ต้องเป็นมันแน่!

มันคนเดียวเท่านั้น!!


ปฐพีคิดได้ดังนั้นก็พลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปอย่างหนักหน่วงโดยไม่ลืมที่จะเรียกดาบของตัวเองออกมา

แกไม่ได้ตายดีแน่!

ไอ้เมฆา!!

ไอ้ผัวเส็งเคร็ง!!!


...................

 :m20: :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2015 08:31:13 โดย dragon123 »

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 62 บทสรุปของความรู้สึก

............................................................

พอราตรีรู้สึกตัวอีกที เธอก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงในเต็นท์แล้ว

นี่เรา…ยังไม่ตายอีกรึ? ทีแรกเธอคิดว่าโดนหลานตัวเองใช้ดาบฟันหลังแล้วจะตายเสียอีก แต่นี่กลับไม่ตาย ครั้นพอมองไปด้านซ้าย ก็พบกับมาริโอกับคริสตัลที่นอนฟุบหน้าอยู่ข้างเตียงแลให้เห็นคราบน้ำตาบนผ้าปูที่นอน ทั้งคู่คงจะร้องไห้มากจนเผลอหลับไปสิเนี่ย เฮ้อ

ราตรีคิดในใจพลางลอบยิ้มออกมาอย่างขบขัน ครั้นพอจะลุกขึ้นเดินไปอีกฝั่งที่ไม่มีมาริโอกับคริสตัล กลับชะงักเมื่อเห็นหัวของใครบางนอนฟุบหน้าโดยมีมือหนึ่งกำนิ้วมือกับข้อมือของเธอไว้อยู่

คุณอวิ๋น ตานพ สภาพของเมฆาในตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดที่แห้งเกรอะกรังซึ่งเธอเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายได้ดื่มยารักษาบาดแผลของตัวเองไปแล้วรึยัง ครั้นพอมองปฐพีก็พบว่าหลานของเธอกำลังนอนฟุบหลับอยู่ข้างๆเมฆา

แล้วกัน นอนติดกันแบบนี้ไม่ทะเลาะกันตายรึนี่

ราตรีคิดในใจอย่างขบขันกับภาพที่เห็น ซึ่งออกจะเหลือเชื่อเพราะเมื่อก่อนหน้านี้ปฐพียังแทบจะฆ่าเมฆาเลยเสียด้วยซ้ำ

“อ้าวน้องราตรีตื่นแล้วหรือจ้ะ” เสียงธิดากล่าวทักทายพลางเดินเข้ามาในเต็นท์ในมือมีอ่างล้างหน้าถือติดมาด้วย ซึ่งพอธิดาเดินเข้ามาแล้วก็ยังมีหงส์หยกและปลาเดินตามเข้ามาด้วยติดๆ “ยังปวดหัวหรือเจ็บแผลอะไรอีกหรือเปล่า พี่จะได้ให้เราดื่มยารักษาอีก”

ธิดาถามพลางเดินเข้ามาทางฝั่งมาริโอที่นอนอยู่

“ไม่ครับ ไม่ปวดไม่เจ็บแล้วครับท่านพี่ธิดา” ราตรีตอบเสียงเบา เพราะเธอเกรงว่าสี่ร่างที่นอนอยู่จะตกใจตื่น ซึ่งทำให้ธิดาเห็นท่าทีของราตรีก็หัวเราะ

“ไม่ต้องกลัวว่าจะตื่นหรอกน้องราตรี เพราะพวกเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสองวันเต็มๆ”

“สองวันเต็ม? นี่ผมหลับไปนานขนาดนั้นเชียวรึครับท่านพี่ธิดา” ราตรีร้องอุทานอย่างตกใจ ซึ่งทำเอาหงส์หยกพยักหน้าตอบแทนธิดา

“ใช่จ้ะน้องราตรี สองวันเต็ม” หงส์หยกพูดก่อนที่ปลาจะเล่าต่อให้เธอฟัง

“สองวันที่พี่ปฐพีกับพี่เมฆาไม่หลับไม่นอน เอาแต่เฝ้าคอยดูแลน้องราตรีอยู่ไม่ห่าง ดีนะที่พวกพี่เขาไม่ได้ทะเลาะกันอีก ส่วนมาริโอกับคริสตัลนั้นงอแงอย่างกับเด็กๆ เฮ้อ”

“ขืนทะเลาะกันอีกสิ แม่จะซัดไม่เลี้ยงเลยล่ะ โทษฐานที่ทำให้น้องราตรีได้รับบาดเจ็บหนัก” ธิดาพูดพลางกำหมัดแน่น ซึ่งทำเอาราตรีหัวเราะ “แต่คุณเมฆาก็น่าทุบนักนะ ตอนนั้นตัวเองบาดเจ็บหนักอยู่แท้ๆ ไม่ยอมให้คุณอเลนได้รักษาก่อน อ้างบอกว่าต้องรักษาน้องราตรีก่อนนะไม่งั้นไม่ยอม ส่วนปฐพียิ่งแล้วใหญ่ รายนี้งัดยารักษาออกมาจนหมดกระเป๋าไอเทม เฮ้อ”

คำพูดของธิดาทำให้ราตรีถึงกับส่ายหน้า

ห่วงไม่เข้าเรื่องเลยพวกนี้นี่ แล้วราตรีก็ปล่อยให้ธิดาได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวไป ก่อนที่หงส์หยกจะป้อนข้าวให้เธอเพราะเห็นว่ามือข้างขวาไม่ว่าง ส่วนปลานั้นแค่เดินตามเข้ามาเพื่อให้กำลังใจเธอเฉยๆเท่านั้น สักพักธิดา หงส์หยก และปลาเมื่อเสร็จธุระแล้ว ก็ขอตัวไปข้างนอกโดยปล่อยให้ราตรีได้นอนพักผ่อน หากแต่ราตรีนอนหลับไม่ลง เพราะโดนจับมือไว้อยู่อย่างนี้ ครั้นพอมองหน้าเมฆากับปฐพีว่าจะลงโทษสองคนนี้ยังไงดีแล้ว เธอก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จริงสิ ยังมีวิธีนี้อยู่นี่นะ หึๆ

ราตรียิ้มพลางมองสองหนุ่มผู้ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองอย่างมีเลศนัย

.........................................

ปฐพีลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อมีไอแสงจากข้างนอกหน้าต่างเต็นท์เข้ามาโดนใบหน้าของตัวเอง

ร้อนแหะ ปฐพีคิดในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนป่วยที่ยังคงนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง คุณยายยังไม่ฟื้นอีกรึเนี่ย สองวันแล้วนะ ชักเป็นห่วงแล้วสิ

ปฐพีคิดอย่างเป็นกังวล พอหันไปมองอีกฟากของเตียง ก็พบว่าลูกสาวของตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดของมาริโอ

ไอ้เห็ดจอมฉวยโอกาส! ครั้นพอคิดจะลุกขึ้นไปแยกมาริโอให้ออกจากคริสตัล ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเมฆานอนฟุบหน้ากับพื้นเตียงโดยมือของเจ้าตัวยังคงกุมนิ้วมือของราตรีอย่างหลวมๆอยู่ ชิ! นี่ถ้าไม่ติดว่าคุณยายสั่งห้ามไว้แล้วล่ะก็ ไม่ปล่อยให้จับอยู่อย่างนี้หรอก

ปฐพีคิดในใจอย่างเดือดดาล ก่อนจะเดินอ้อมไปทางฝั่งลูกสาวตัวเองจัดการแยกมาริโอให้ออกห่างจากคริสตัล เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงค่อยเดินออกนอกเต็นท์ไป

“อ้าว ปฐพีตื่นแล้ว…” พิภพที่ยืนอยู่ข้างนอกกับศาสตราเอ่ยปากทักเขาทันทีที่เห็นเขาเดินออกมา แต่กลับหยุดชะงักพูดเมื่อเห็นเขา “…รึ”

อะไรของพวกนี้หว่า?

ปฐพีขมวดคิ้วคิดในใจอย่างสงสัย

“อืม เดี๋ยวฉันว่าจะขี่ม้ากลับไปในเมืองดนตรีเพื่อซื้อน้ำยาเติมเลือดซักหน่อย พวกนายจะไปกับฉันไหมล่ะ”

“เอ่อ ไม่ล่ะ ฉันจะเก็บเลเวลแถวนี้กับศาสตรานะ”

พิภพพูดปฏิเสธ ซึ่งปฐพีก็ไม่คิดจะขัดใจ ก็เลยเรียกม้าของตัวเองออกมาก่อนจะขึ้นขี่มันแล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งประจวบเหมาะกับเมฆาที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาพอดี

นี่ยังไม่ฟื้นอีกรึ เมฆาคิดในใจพลางมองคนป่วยอย่างเป็นห่วง เพราะเดิมทีแล้วผู้เล่นที่โดนโจมตีแล้วสลบไป ส่วนมากจะใช้เวลาแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้น แต่นี่ปาเข้าไปสองวันเต็มแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าราตรีจะฟื้นขึ้นมาเลยซักนิด ครั้นพอนึกย้อนกลับไปเมื่อสองวันที่แล้ว ภาพราตรีที่เข้ามาปกป้องเขาจากการโจมตีของปฐพีนั้น ทำเอาเมฆานึกแปลกใจ ทั้งๆที่ผมทำร้ายจิตใจคุณมากไปแล้ว ทำไมคุณถึงยังคิดช่วยผมอีกคุณจันทร์แรม ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ

เมฆาคิดอย่างปวดหัว เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะอยู่ที่นี่อีก จึงลุกขึ้นเดินออกนอกเต็นท์ไปเพื่อที่จะไปอาบน้ำในลำธาร พอเขาเดินออกไปแล้ว ก็พบกับศาสตราและพิภพกำลังนั่งเช็ดอาวุธอยู่

“อรุณสวัสดิ์ศาสตรา พิภพ แล้วคนอื่นๆหายไปไหนกันหมดล่ะ” เมฆาถามพลางมองหาไปรอบๆ ซึ่งทำให้สองหนุ่มที่กำลังนั่งเช็ดอาวุธอยู่นั้นถึงกับหยุดมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบคำถามของเมฆา

“อ้อ พวกธิดาไป…” ศาสตราตอบแต่ก็ชะงักค้างอยู่แค่นั้น ซึ่งรวมถึงพิภพที่มองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้ว “…ไปเก็บเลเวลกับอเลนนะ เอ่อ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมเมฆา”

“ได้สิ ว่ามาเลย” เมฆาพูดพลางนึกสงสัยกับท่าทางของทั้งคู่ว่าทำไมถึงเอาแต่จ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ

“คืออย่างนี้นะ” ศาสตราพูดเสียงลังเลพลางยกมือชี้นิ้วที่หน้าของตัวเอง “นายไปทำอะไรกับ เอ่อ หน้าของนายนะ ลองดูกระจกสิ แล้วนายจะรู้เองเมฆา”

“ดูกระจกรึ?” เมฆาขมวดคิ้วพูด แล้วเขาก็หยิบกระจกออกมาจากกระเป๋าไอเทมขึ้นมาส่องดูก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

“เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้นกับหน้าของฉันเนี่ย!”

....................................................

“เฮ้อ?!”

ปฐพีถอนหายใจในขณะที่เขาขี่ม้ามาถึงหน้าเมืองดนตรีแล้ว ครั้นพอลงจากหลังม้าเพื่อที่จะนำไปฝากไว้กับเอ็นพีซี แต่กลับต้องชะงักเมื่อเขาได้ยินเสียงพูดกระซิบของผู้เล่นคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมา

ซุบซิบนินทาอะไรกันนะ? ถึงแม้ผู้เล่นคนอื่นจะใช้วิธีพรายกระซิบก็ตามที แต่เขาก็พอเดาได้ว่าคนอื่นกำลังนินทาตัวเขาอยู่แน่ๆ ทว่าปฐพีไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจนัก ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปยังตลาดเพื่อซื้อของตามที่ต้องการ เมื่อปฐพีเดินมาถึงตลาดแล้ว กลับมีผู้เล่นนินทาเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม อะไรของพวกเขานะ จ้องหน้าอยู่ได้

ปฐพีคิดในใจในขณะที่เดินเข้าไปดูซุ้มที่ขายเติมพลัง

“ขอซื้อน้ำยาเติมเลือด น้ำยาเพิ่มพละกำลัง และน้ำยาแก้คำสาปอย่างละสองพันขวดครับ” ปฐพีบอกรายการที่ตนเองต้องการจะซื้อ แต่ทว่าคนขายกลับยืนจ้องหน้าเขานิ่ง

นี่ก็อีกคน ไม่คิดจะต้อนรับลูกค้าเลยรึไง

ปฐพีคิดในใจก่อนจะสะกิดเรียกพ่อค้าที่ยืนจ้องหน้าเขาไม่หยุด

“ผมต้องการซื้อของครับคุณพ่อค้า ถ้าไม่ขายผมก็ไม่เอาแล้วนะ” ปฐพีพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว ซึ่งทำให้พ่อค้าสะดุ้ง

“เอ่อ ครับๆ ขายครับขาย” พ่อค้าพูดไปเช็ดเหงื่อไป ก่อนจะเตรียมของขายให้เขา เมื่อปฐพีซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาได้เดินผ่านร้านขายของกิฟช็อปกับร้านขายเครื่องดนตรีด้วย

แวะซื้อของไปขอโทษให้ยัยแก้วกับคุณยายดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นปฐพีก็เดินวกกลับเข้าไปสองร้านนั้น หลังจากซื้อเสร็จแล้ว ปฐพีก็เดินออกมาจากเมืองก่อนจะขี่ม้ากลับไปยังจุดเต็นท์ที่พวกเขาอยู่ เมื่อเขากลับไปถึงแล้ว ก็พบว่าตอนนี้ในเต็นท์เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เป็นอะไรกัน ทำไมหัวเราะเสียงดังแบบนั้น เดี๋ยวก็รบกวนคุณยายเอาหรอก

ปฐพีคิดได้ดังนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่ลืมผูกเชือกติดไว้กับต้นไม้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกๆคน ครั้นไปถึงจุดที่พวกเพื่อนนั่งอยู่ พวกเขาต่างหันหน้ามามองเขาพร้อมกันเป็นตาเดียว

“จริงด้วย เหมือนกับที่คุณเมฆาโดนมาแล้วจริงๆ” ธิดาอมยิ้มพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งทำเอาปฐพีนึกสงสัยกับท่าทางของธิดา “เอ้าๆ ยังไม่รู้ตัวอีกว่าตัวเองโดนอะไรลงไป นี่สรุปว่านายไปในเมืองดนตรีมาแล้วจริงๆใช่ไหมปฐพี แหม น่าสงสารจังนะ คงไม่มีใครบอกนายเลยสิท่า คิกๆ”

ใครบอกอะไร?

ปฐพีขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนที่เมฆาจะโยนกระจกมาให้ ซึ่งเขารับมันมาพลางก้มลงมองกระจกอย่างไม่เข้าใจ หากแต่ภาพในกระจกทำให้ปฐพีถึงกับเบิกตากว้าง ซึ่งเผยให้เห็นคิ้วตาถูกเขียนด้วยปากกาสีดำ ขนตางอนงาม ขอบตาบนถูกเขียนเป็นสีอมชมพู กับขอบตาล่างถูกเขียนด้วยสีดำเข้มตวัดงอนงาม แก้มสองข้างที่มีเพียงแต่สีเนื้อธรรมชาติกลับถูกปัดเป็นวงกลมแดงเข้ม ไหนจะริมฝีปากที่ถูกด้วยสีแดงระเรื่ออีก

“นะ…นี่…มัน…อะไรกัน!!”


...............................................

“นะ…นี่…มัน…อะไรกัน!!”

เสียงปฐพีดังเล็ดลอดเข้ามาในเต็นท์ ทำให้ร่างเล็กต้องตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หึ สงสัยเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองโดนแต่งหน้าเหมือนผู้หญิง

ราตรีนึกขำขันในใจที่ได้กลั่นแกล้งหลานชายของตัวเอง จากนั้นเธอจึงค่อยล้างหน้าล้างตาจากอ่างน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะกลมข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเต็นท์ทันทีที่ได้ยินเสียงของปฐพีอีกครั้ง

“ใครกัน ใครกันที่เขียนหน้าฉัน! บอกมาเดี๋ยวนี้…”

“ผมเองครับ ผมเองที่เป็นคนเขียน ไม่สิ แต่งหน้าให้พี่ปฐพีกับท่านพี่เมฆาเองแหละครับ” ราตรีตอบพลางก้าวเท้าเดินออกมานอกเต็นท์

“น้องราตรีฟื้นแล้วหรือครับ ยังปวดหัวหรือเจ็บแผลตรงไหนอยู่อีกรึเปล่า” เมฆาถลาเข้ามาถามเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล โดยที่ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางที่เธอเคยตกแต่งไปเมื่อเช้านี้

คงลบทิ้งไปแล้วสินะ

ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าค่อยแต่งใหม่ก็ได้

ราตรียิ้มกระหย่องกับแผนการของตัวเองในใจ

“ผมไม่ได้เจ็บอะไรแล้วครับท่านพี่เมฆา ขอบคุณที่เป็นห่วง” ราตรีตอบยิ้มๆ ซึ่งทำเอาคนฟังอดพลอยยิ้มตามเสียมิได้ แต่ก็ต้องหุบปากลงเมื่อราตรีส่งพรายกระซิบไปว่า

“อย่าคิดว่าดิฉันหายโกรธแล้ว จะยอมยกโทษให้หรอกนะคะคุณอวิ๋น”

“อะแฮ่ม!” เสียงปฐพีกระแอมไอขัดจังหวะ ทำให้เธอต้องหันไปมองหลานชายของตัวเองที่ยืนเม้มปากหน้าแดงอย่างไม่พอใจ “คราวหน้าคราวหลังถ้าจะแต่งหน้าให้ใคร น้องราตรีก็ช่วยดูคนด้วยนะครับ ไม่ใช่สักจะแต่งตามใจชอบ”

“อ้อ ไม่ใช่สักจะแต่งตามใจชอบ แล้วทำไมหลานถึงได้คิดจะฆ่าเมฆาล่ะ ไหนบอกยายมาซิ” คำพูดผ่านพรายกระซิบของราตรีทำเอาร่างสูงถึงกับสะอึก

“เอ่อ...ผม...ผม...”

“เรื่องของยาย ยายจัดการเองได้” เธอบอกพลางถอนหายใจท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องเธอกับปฐพีที่เล่นจ้องหน้ากัน “แต่ยายต้องขอขอบใจนพมากนะ ที่อุตส่าห์เป็นห่วงยาย ขอบใจมากจริงๆ ขอบใจ”

ปฐพีทำหน้าตะลึงเมื่อได้ยินคำขอบคุณจากเธอ

“ไม่เป็นไรครับคุณยาย”

เมื่อคุยกันเรียบร้อยแล้วปฐพีก็รีบไปล้างหน้าของตัวเอง แล้วทุกคนก็นั่งลงมือทานข้าวเย็นก่อนจะพากันไปเก็บเลเวลต่อจนถึงสองทุ่ม ซึ่งครั้งนี้ราตรีได้เมฆากับปฐพีช่วยเก็บเลเวลจนกลับมาที่ห้าสิบอีกครั้งในเวลาชั่วโมงเดียว แล้วค่ำคืนนั้นพวกเขาก็นั่งล้อมกองไฟเพื่อปรึกษาหารือว่าจะช่วยพ่อแม่ของราตรีให้พ้นเงื้อมมือราชาปีศาจได้ยังไง

“อย่างที่เคยคุยไว้ ปฐพี ธิดา เธอสองคนต้องไปบอกข่าวให้พวกสมาชิกในสมาคมให้ทราบว่าพวกเราต้องการคนไปปราบราชาปีศาจ ให้พวกเลเวลน้อยระดับห้าสิบถึงเจ็ดสิบเก้าเป็นกองเสบียงและกำลังพลกองฉุกเฉิน ส่วนพวกที่มีสายอาชีพเสริมอย่างพวกพ่อครัวมาทำหน้าที่รักษาเสบียง ส่วนพวกอาชีพนักประดิษฐ์ก็ให้คอยผลิตลูกธนู ดาบ แหวน ที่ป้องกันหรืออาวุธสำรอง พวกปรุงยาก็เร่งผลิตยาเพิ่มพลัง ยาเพิ่มเลือด ยาเพิ่มมานา ยาเพิ่มความเร็วยกกำลังสอง อะไรพวกนี้ อย่าลืมไปจัดมาให้เรียบร้อยนะ อ้อ แล้วก็อย่าลืมไปขนพวกดอกไวท์มูนไลท์ด้วยล่ะ”

เมฆาบอกแผนการที่ตัวเองวางไว้ให้ทุกคนฟัง ซึ่งปฐพีกับธิดาพยักหน้าตอบ เมื่อคุยกันเสร็จแล้วพวกเขาก็เข้านอนกัน พอรุ่งเช้าเข้าวันที่หกของการออนไลน์พวกปฐพีกับพวกธิดาก็ขอตัวกลับไปสมาคมของตัวเองเพื่อไปทำตามแผนการที่เมฆาบอกไว้ ซึ่งทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่เมฆา อเลน ราตรี คริสตัล งุ้งงิ้ง คอเบียร์ และมาริโอที่ยังคงเก็บเลเวลอยู่ในป่าสัตว์อสูร จนกระทั่งเข้าวันที่สิบของการออนไลน์เกม ทั้งราตรี คริสตัล งุ้งงิ้ง และคอเบียร์ต่างได้เมฆากับอเลนช่วยเก็บเลเวลตั้งแต่เช้าจนค่ำ

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้เลื่อนเลเวลจาก79เป็น80”

เสียงระบบประกาศบอกในหัวราตรี

“ผมได้เลเวลแปดสิบแล้วนะครับท่านพี่เมฆา” ราตรีบอกเมฆาซึ่งกำลังคิดจะไปลากสัตว์อสูรมาให้เธออีก “กลับเต็นท์กันเถอะครับ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะได้เวลาที่ผมออฟไลน์เกมแล้ว”

เมฆาได้ยินที่ราตรีพูดถึงกับชะงัก

“จะออฟไลน์แล้วหรือ” เมฆาถามเสียงเรียบ ซึ่งราตรีก็พยักหน้าแทนคำตอบ

“ครับ เพราะพรุ่งนี้พวกผมกับครอบครัวจะต้องกลับบ้านแล้วนะครับ” ราตรีบอกเหตุผลที่ต้องตื่นแต่เช้า ก่อนจะหันไปตะโกนบอกพวกคริสตัลที่กำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรอยู่ว่าเธอจะกลับเต็นท์เพื่อออฟไลน์เกม

“อยู่ทานข้าวมื้อเย็นก่อนออฟไลน์ไม่ได้หรือ” เมฆาถามทันทีที่ราตรีตะโกนบอกพวกนั้นเสร็จแล้ว

“งานนี้ผมขอผ่านครับ” ราตรีหันหน้ามาตอบ ซึ่งทำเอาคนฟังเม้มปาก “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทานอาหารร่วมกับท่านพี่ก่อนจะออฟไลน์หรอกนะครับ แต่ผมกลัวว่าระหว่างรับประทานอาหารอยู่ เกิดระบบประกาศออฟไลน์ขึ้นมา ผมมิต้องแย่เลยหรือ ฮะๆ”

ราตรีพูดไปหัวเราะไปพลาง แต่คนฟังไม่รู้สึกขำไปด้วย

“อยู่เที่ยวทะเลต่ออีกสองสามวันไม่ได้หรือครับคุณจันทร์แรม” เมฆาถามพลางเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกเธอไปด้วยพร้อมกัน

“คงจะไม่ล่ะครับท่านพี่เมฆา” ราตรีก็ยังคงตอบโดยไม่เปลี่ยนวิธีการพูดของตัวเองตามเดิม “เพราะหลานชายของผมจะต้องกลับไปทำงานในวันมะรืนนี้แล้ว คงจะอยู่เที่ยวทะเลต่อไม่ได้หรอกครับ”

แล้วราตรีก็หันตัวกลับไปทางเสียงเรียกของพวกคริสตัล หากแต่เธอต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายคว้ามือของเธอเอาไว้

“เรื่องคืนวันนั้น…เอ่อ…พี่…”

“เรื่องคืนวันนั้นผมลืมไปแล้วล่ะท่านพี่” ราตรีตอบโดยไม่รอฟังอีกฝ่ายพูดให้จบเสียก่อน “เพราะฉะนั้นท่านพี่อย่าไปคิดมาก ถือซะว่าแล้วก็แล้วกันไปนะครับ แต่…ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าผมรับความรู้สึกของท่านพี่แบบความรักฉันท์ชู้สาวไม่ได้ เพราะผมเห็นท่านพี่เป็นเพียงแค่พี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ผมเข้ามารับคมดาบแทนท่านพี่ไว้จนต้องตัวเองบาดเจ็บสาหัสนั้น เป็นเพราะว่าผมไม่อยากให้หลานชายของผมต้องทำผิดไปมากกว่านี้ หวังว่าท่านพี่คงพอจะเข้าใจแล้วนะครับ”

“แต่…”

“ไม่มีแต่ครับท่านพี่” ราตรีแย้งทันควัน “ท่านพี่อย่าทำให้ผมต้องเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้เลยครับ แค่ท่านพี่ปิดบังเรื่องที่ซ่อนท่านพ่อท่านแม่ก็มากเกินพอแล้ว ไหนจะปิดบังเรื่องที่ท่านพี่เป็นถึงลูกชายของราชาปีศาจอีก”

“น้องราตรี”

“ผมเข้าใจดีว่าสิ่งที่ท่านพี่ทำไปก็เพื่อไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับท่านพี่ต้องขาดสะบั้น แต่ถ้าท่านพี่บอกผมเสียตั้งแต่ทีแรก ผมก็คงไม่ต้องโกรธท่านพี่เหมือนกับวันนั้นอีก ดีไม่ดี ผมนี่แหละอาจจะต้องขอบคุณท่านพี่ที่บอกความจริงกับผมก็ได้นะครับ”

พอราตรีพูดจบ ร่างสูงถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ถูกของน้อง พี่นี่แย่จริงๆ มัวแต่กังวลว่าถ้าน้องได้รู้ความจริงแล้วพาลจะรังเกียจพี่เสียอีก”

“ไม่เป็นไรครับ แค่ท่านพี่เข้าใจได้ก็ดี” ราตรีพูดยิ้มๆ ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยขวาออกมา ซึ่งทำเอาเมฆาเห็นถึงกับขมวดคิ้ว “สัญญากับผมสิครับ ว่าต่อไปนี้ถ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนใจหรือความลับที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้ ก็มาระบายที่ผมได้นะครับ เพราะผมจะไม่มีวันไปบอกกับใครแน่ ผมสัญญา”

เมฆามองนิ้วก้อยราตรีอยู่ชั่วครู่ ก็พลันฉีกยิ้มออกมาก่อนจะเอานิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวก้อยกับนิ้วก้อยของเธอ

“ตกลง พี่สัญญา” ราตรีได้ยินถึงกับหายใจโล่งคอที่เรื่องนี้มันจบได้เสียที “แต่…พี่ขออะไรน้องเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมครับ นี่ไม่ใช่อวิ๋นขอแต่เป็นเมฆาขอ อ้อ แล้วน้องก็ห้ามโกรธพี่ด้วยนะ”

ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดถึงกับงุนงง แต่ก็ยอมพยักหน้าแต่โดยดี

“ได้สิครับ ท่านพี่จะขออะไรผมก็ว่ามา…”

หมับ!

ราตรีพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ อีกฝ่ายก็สวมกอดเธอพลางใช้มือขวาช้อนหลังศีรษะของราตรีให้เงยหน้าขึ้นก่อนจะพรมจูบริมฝีปากอย่างนุ่มนวลท่ามกลางสายตาอันตกตะลึงของพวกอเลนที่เพิ่งจะกลับมาหลังจากต่อสู้กับสัตว์อสูรเสร็จหมาดๆ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอเองก็พลอยตาค้างด้วยความตกใจกับการกระทำของเมฆา ครั้นเวลาผ่านไปได้สองนาที อีกฝ่ายก็ถอนริมฝีปากของตัวเองออกก่อนจะเผยยิ้มหวานให้กับเธอ

“ต้องขอโทษจริงๆที่พี่ทำให้น้องต้องตกใจ แต่นี่เป็นความรู้สึกที่พี่อยากจะมอบไว้ให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกจากกัน พี่รู้ตัวดีว่าพี่เป็นได้เพียงแค่พี่ชายที่แสนดี แต่พี่ก็อยากให้น้องได้จดจำไว้ในความทรงจำว่าครั้งหนึ่งพี่เคยรักน้องมาก่อน…เฮ้อ ค่อยโล่งใจหน่อย รู้สึกว่าเหมือนว่าได้โยนความรู้สึกหนักอึ้งนี้ไปได้ซะที ฮะๆ”

ราตรีได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็แทบโกรธไม่ลง เพราะอีกฝ่ายทำเอาเธอตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ครั้นจะด่าว่าอีกฝ่ายที่ทำกับเธอแบบนี้ก็ไม่ได้อีกด้วย เพราะดันไปสัญญาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ร้ายกาจจริงๆนะท่านพี่เมฆา

พอหลังจากคุยกันเสร็จแล้ว เธอก็บอกลาทุกคนก่อนจะออฟไลน์เกมไป

....................


นอกบทที่ 62  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:


แวะซื้อของไปขอโทษให้ยัยแก้วกับคุณยายดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นปฐพีก็เดินวกกลับเข้าไปสองร้านนั้น หลังจากซื้อเสร็จแล้ว ปฐพีก็เดินออกมาจากเมืองก่อนจะขี่ม้ากลับไปยังจุดเต็นท์ที่พวกเขาอยู่ เมื่อเขากลับไปถึงแล้ว ก็พบว่าตอนนี้ในเต็นท์เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เป็นอะไรกัน ทำไมหัวเราะเสียงดังแบบนั้น เดี๋ยวก็รบกวนคุณยายเอาหรอก

ปฐพีคิดได้ดังนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่ลืมผูกเชือกติดไว้กับต้นไม้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกๆคน ครั้นไปถึงจุดที่พวกเพื่อนนั่งอยู่ พวกเขาต่างหันหน้ามามองเขาพร้อมกันเป็นตาเดียว

“จริงด้วย เหมือนกับที่คุณเมฆาโดนมาแล้วจริงๆ” ธิดาอมยิ้มพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งทำเอาปฐพีนึกสงสัยกับท่าทางของธิดา “เอ้าๆ ยังไม่รู้ตัวอีกว่าตัวเองโดนอะไรลงไป นี่สรุปว่านายไปในเมืองดนตรีมาแล้วจริงๆใช่ไหมปฐพี แหม น่าสงสารจังนะ คงไม่มีใครบอกนายเลยสิท่า คิกๆ”

ใครบอกอะไร?

ปฐพีขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนที่เมฆาจะโยนกระจกมาให้ ซึ่งเขารับมันมาพลางก้มลงมองกระจกอย่างไม่เข้าใจ หากแต่ภาพในกระจกทำให้ปฐพีถึงกับเบิกตากว้าง ซึ่งเผยให้เห็นคิ้วตาถูกเขียนด้วยปากกาสีดำ ขนตางอนงาม ขอบตาบนถูกเขียนเป็นสีอมชมพู กับขอบตาล่างถูกเขียนด้วยสีดำเข้มตวัดงอนงาม แก้มสองข้างที่มีเพียงแต่สีเนื้อธรรมชาติกลับถูกปัดเป็นวงกลมแดงเข้ม ไหนจะริมฝีปากที่ถูกด้วยสีแดงระเรื่ออีก

“โอ้ววว! พระเจ้า นี่เรารึเนี่ย สวยเหลือเกิน แอร๊ยยย ทำไมเดี๊ยนช่างงดงามอะไรเช่นนี้!”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พากันเบือนหน้าหนีอย่างสิ้นหวัง

เฮ้อ โลกหนอโลก

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 63 เป้าหมายใหม่

.........................................

หลังจากออฟไลน์แล้ว จันทร์แรมก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ แล้วพอเธอออกจากห้องน้ำอีกทีก็พบว่ารุ้งกำลังเตรียมจะเข้าห้องน้ำเหมือนกัน

“คุณแม่คะ อรุณสวัสดิ์...ว้าย คุณแม่คะ ทำไมตาของคุณแม่ถึงแดงก่ำแบบนั้นได้ล่ะคะเนี่ย” รุ้งถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ซึ่งทำเอาจันทร์แรมขมวดคิ้ว

“แม่จะไปรู้ได้ยังไงล่ะลูกรุ้ง แม่มัวแต่นั่งสมาธิกับอาบน้ำแต่งตัว ไม่ได้ดูกระจกเลยสักนิด” เธอตอบพลางหันไปมองกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะเห็นนัยน์ตาแดงก่ำราวกับว่าได้ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

แค่ร้องไห้ในเกมก็ส่งผลถึงร่างกายที่อยู่ข้างนอกเกมได้ด้วยรึเนี่ย?

“ช่างเถอะลูกรุ้ง เดี๋ยวเดียวก็หายแล้วล่ะ อย่าไปสนใจนักเลย” จันทร์แรมพูดตัดบทก่อนจะเอ่ยปากไล่ลูกสาวให้รีบไปอาบน้ำ พอลูกสาวของเธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็รีบเก็บสัมภาระก่อนจะออกนอกห้องไปซึ่งประจวบเหมาะที่ห้องของนพถูกเปิดออกพอดี

“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณยาย” มีนาในเสื้อยืดสีขาวลายดอกไม้กางเกงยีนส์ขาสั้นสามส่วนแลดูเรียบง่ายกล่าวสวัสดีทักทายเธอ ก่อนที่จะหันไปทักทายกับรุ้ง “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแม่”

“อืม อรุณสวัสดิ์แม่มีนา แล้วลูกนพกับหลานแก้วล่ะ ตื่นนอนรึยังจ้ะ”

“ตื่นเรียบร้อยแล้วค่ะคุณแม่ ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอยู่นะค่ะ”

รุ้งพยักหน้ากับคำตอบนั้น แล้วไม่นานนักนพกับแก้วก็เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระ ก่อนที่ทุกคนจะพากันเดินไปลงลิฟต์เพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมนี้ ในขณะที่ทุกคนกำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ก็มีเสียงเรียกชื่อจันทร์แรมจากทางหลังซึ่งทำให้เธอกับทุกคนหันหลังกลับไปดู

“คุณอวิ๋น?!” จันทร์แรมร้องอุทานเบาๆเมื่อเห็นร่างสูงวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากลิฟต์ ก่อนจะตามมาด้วยอาเฟยที่อุตส่าห์วิ่งหอบกระเป๋าสองใบดูทุลักทุเล

“แฮ่กๆ คุณจันทร์แรม แฮ่กๆ” อวิ๋นพูดไปหอบไปพลาง ซึ่งเธอ นพ รุ้ง มีนา และแก้วต่างยืนรอให้อีกฝ่ายหายเหนื่อยก่อน เมื่ออีกฝ่ายหายเหนื่อยแล้วก็รีบจัดแจงเสื้อผ้ากับผมของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะหันมาพูดกับเธอว่า “คุณจันทร์แรมจะกลับบ้านแล้วหรือครับ”

“ค่ะ ดิฉันกับพวกลูกๆหลานๆจะกลับบ้านแล้วนะค่ะ ว่าแต่คุณอวิ๋นมีอะไรหรือเปล่าคะ” จันทร์แรมพูดตอบพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย

จะมาไม้ไหนอีกล่ะนี่

ด้วยความที่เธอยังไม่ไว้ใจชายตรงหน้า จึงเดินถอยหลังหนึ่งก้าว

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ไหนๆก็จะจากกันแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เจออีกเมื่อไหร่ ผมก็เลยคิดว่าจะขออีเมล์แอดเดรสจากคุณจันทร์แรมซัก...”

“ไม่จำเป็น เพราะยังไงเดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี” นพพูดแทรกอย่างห้วนๆ

“อย่าเสียมารยาทสิตานพ” จันทร์แรมหันไปตวาดหลานชายตัวเอง ซึ่งทำให้คนโดนบ่นต้องหันหน้าหนีอย่างไม่พอใจ ก่อนที่เธอจะหันหน้าไปพูดกับอวิ๋นต่อ “ต้องขอโทษแทนตานพด้วยนะคะ พอดีเขาเพิ่งจะตื่นนอน เลยยังเบลอๆอยู่”

“ฮะๆ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”

“ส่วนเรื่องอีเมล์แอดเดรสของดิฉันที่คุณอวิ๋นต้องการนั้น ดิฉันไม่มีหรอกค่ะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะดิฉันเล่นคอมพิวเตอร์ไม่เป็นนะค่ะ ต้องขอโทษด้วย”

คนฟังส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องอีเมล์แอดเดรสไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้างั้นผมขอเป็นเบอร์มือถือกับที่อยู่ปัจจุบันของคุณจันทร์แรมจะได้หรือเปล่าครับ” อวิ๋นถามพลางเดินเข้ามาใกล้จันทร์แรมก่อนจะพูดกระซิบกับเธอว่า “จะได้คุยปรึกษาเรื่องในเกมได้ยังไงล่ะครับ”

จันทร์แรมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินที่อวิ๋นกระซิบ

ขนาดจูบลาในเกมไปแล้วยังหน้าด้านมาขอเบอร์มือถือกับที่อยู่อีก

ร้ายกาจจริงๆ


ด้วยความที่เธอกับอวิ๋นจะไม่ได้อยู่ใกล้กันแบบนี้อีก ก็เลยให้ไปแต่โดยดีเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเธอเหมือนในเกมได้อีกอย่างแน่นอน แต่ก่อนจะนั่งรถกลับบ้าน อวิ๋นกับอาเฟยยังตามมาส่งถึงรถยนต์อีก

“แล้วเจอกันในเกมนะครับคุณจันทร์แรม” อวิ๋นหันมาพูดกับเธอเบาๆ ซึ่งจันทร์แรมพยักหน้าแทนคำพูดก่อนจะเดินขึ้นรถยนต์ ในขณะที่นพกำลังจะขับรถยนต์พาทุกคนกลับบ้านอยู่นั้น จู่ๆอวิ๋นก็เดินเข้ามาพร้อมกับพูดกระซิบหูนพ ซึ่งทำให้คนฟังถึงกับเบิกตากว้างมองอวิ๋นด้วยความตกตะลึงปนโกรธเล็กน้อย “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”

แล้วอวิ๋นก็เดินจากออกไปโดยที่นพได้แต่มองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึงกับคำพูดกัดเจ็บของอวิ๋นที่ยังติดอยู่ริมหูว่า

“ปฐพี นี่ฉันเองเมฆา ฉันต้องขอบใจนายมากนะที่พาคุณจันทร์แรม ไม่สิ น้องราตรีเข้าไปเล่นเกมเรียลไลฟ์ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่มีทางได้เจอหน้ากันแบบนี้แน่ปฐพีเอ๋ย ฮะๆ”

...........................................................

ย้อนกลับไปในเกมอีกครั้งเมื่อหลายวันก่อน ในวันที่ราชาปีศาจพากองทัพปีศาจบุกไปชิงตัวราตรีอยู่นั้น ที่คุกชั้นใต้ดินในตอนนี้สองร่างกำลังนั่งพิงกรงขังโดยมีเดรคคอยประคองร่างบางอยู่มิห่าง

“...ที่รักคะ...” เสียงหวานสั่นเครือดังแว่วขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำให้ราชามังกรต้องลืมตาหลังจากนั่งทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังของตัวเองอยู่

“มีอะไรหรือเหม่ยจิง เจ้ายังต้องนอนพักอีกมากนะ อย่าฝืนแรงลืมตาหรือพูดอีกเลย” เดรคพูดด้วยความเป็นห่วงพลางบีบมืออันขาวเนียนน้อยนี้เบาๆ ซึ่งทำให้เหม่ยจิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเดรคนั้นถึงกับส่ายหน้าไปมา

“ไม่ค่ะเดรค ข้าไม่อยากหลับอีกแล้ว ข้าเป็นห่วงลูกเสียเหลือเกิน” เหม่ยจิงพูดเสียงสะอื้นไห้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีพลังพอที่จะใช้กระจกมายาเพื่อส่องดูความเป็นไปของลูกชายตัวเองได้อีกแล้ว ซึ่งคำพูดของเหม่ยจิงทำเอาคนฟังอย่างเดรคพลอยรู้สึกเป็นห่วงลูกชายด้วยอีกคน “ที่รักคะ เราไม่มีหนทางอื่นที่พอจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้แล้วหรือคะ”

เดรคได้ยินที่เหม่ยจิงพูดถึงกับถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน

“ถ้ามีข้าคงพาเจ้าออกไปนานแล้วล่ะเหม่ยจิง” เดรคตอบพลางใช้มือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกตาเหม่ยจิงออกเบาๆ “แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ลูกเรามีเพื่อนเยอะ คงเอาตัวรอดจากเงื้อมมือ...”

“ถ้าเอาตัวรอดได้จริง ข้าคงไม่โผล่หัวมาให้พวกเจ้าเห็นได้เร็วขนาดนี้หรอก” เสียงของราชาปีศาจดังขึ้นขัดจังหวะ ทำเอาเดรคกับเหม่ยจิงต้องหันไปมองต้นเสียงอย่างเร็ว ก่อนจะเห็นราชาปีศาจยืนแสยะยิ้มด้วยความพึงพอใจ

“ไม่จริง ข้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าหรอกราชาปีศาจ”

“หึ ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ข้าขอยืนยันว่าลูกชายของเจ้าถูกปีศาจของข้าฆ่าตายไปแล้ว ฮ่าๆ” คำพูดของราชาปีศาจทำเอาเหม่ยจิงถึงกับกรีดร้องจนสลบไป

“เหม่ยจิง!” เดรคเรียกชื่อคนรักด้วยความเป็นห่วง หากแต่ร่างอันบอบบางที่อยู่ในมือได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไปจึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของเดรคเลยซักนิด เดรคจึงหันไปมองราชาปีศาจด้วยความโกรธ “แก...เพราะแกทีเดียว แกบังอาจทำให้ลูกชายข้าต้องตาย”

ราชาปีศาจได้ยินดังนั้นถึงกับแสยะยิ้มด้วยความพึงพอใจ

“หึ ช่วยไม่ได้ ก็ลูกชายของเจ้าอยากอ่อนแอเองนี่” คำพูดของราชาปีศาจทำเอาเดรคถึงกับกัดฟันด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะอำนาจพลังของเขาในตอนนี้แทบจะไม่เหลืออะไรเลย นอกจากลมหายใจกับพลังเล็กน้อยที่คอยประคองชีวิตไปวันๆเท่านั้น “จะว่าไปก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ลูกชายของเจ้าต้องมาตายเสียก่อน ทำให้ข้าอดสูบพลังไปเลย แต่…ก็ช่างเถอะ เพราะตอนนี้ข้ามีเป้าหมายใหม่ที่ดีกว่าสูบพลังของลูกเจ้าอีกตั้งเยอะ”

“เป้าหมายใหม่? อย่าบอกนะว่าแกจะ…”

“ข้าจะยึดครอบครองโลกนี้ให้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวยังไงล่ะเดรคเอ๋ย หึๆ พวกเจ้าคอยดูข้าอยู่ในนี้แล้วกัน ฮะ ฮะ ฮ่า!”

แล้วราชาปีศาจก็เดินออกจากคุกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะของตัวเอง

.........................................

ในช่วงที่พวกจันทร์แรมกับพวกอวิ๋นกำลังกลับบ้านอยู่นั้น ทางด้านบริษัทเกมในขณะนี้ทีมงานกำลังหัวหมุนเนื่องจากโปรแกรมเกมที่เขาเคยเขียนเอาไว้เกิดผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ ทำเอาดนัยเทพกับปริญไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะต้องเข้าร่วมประชุมข้ามวันข้ามคืนเพื่อหาทางแก้ไขให้ได้ก่อนจะที่สายเกินแก้ โดยเฉพาะข้อมูลของเอ็นพีซีอย่างราชาปีศาจที่เกิดรวนขึ้นมาเพราะได้มีแฮคเข้าไปเจาะเมื่อครั้งนั้น ทำให้พวกเขาต้องรีบเข้าไปแก้ไขระบบหากแต่ข้อมูลของราชาปีศาจเกิดเสียหายยากเกินที่จะแก้ไข ทำให้พวกเขาได้แต่จับตาดูราชาปีศาจอยู่ทุกฝีก้าวหากราชาปีศาจเกิดทำอะไรร้ายแรงขึ้นมาต่อระบบของเกมนี้ แต่มาบัดนี้ราชาปีศาจกลับมีความคิดของตัวเองได้ขึ้นมาโดยที่พวกเขาไม่ได้ไปทำอะไรกับมันเลยซักนิด

นั่นก็คือการครอบครองโลกแห่งเกมนี้!

ซึ่งทีมงานได้รีบเข้าไปทำการแก้ไขข้อมูลส่วนนี้แล้ว หากแต่ทำได้เพียงแค่ยับยั้งเวลาไม่ให้ราชาปีศาจเข้าไปเข่นฆ่าผู้เล่นในเกมได้เท่านั้น

“ผมหวังว่าจะมีการแก้ไขให้ดีขึ้นมากกว่านี้” ท่านประธานของเกมกล่าวพูดขึ้นหลังจากได้ฟังรายงานของลูกน้องแล้ว “แต่ก่อนอื่นผมขอให้พวกคุณแจ้งเตือนกับผู้เล่นไปว่าให้เตรียมรับมือราชาปีศาจกับกองทัพราชาปีศาจให้พร้อมทุกเมื่อ เพราะทางพวกเราคงไม่ทราบล่วงหน้าว่าราชาปีศาจจะเริ่มบุกเมื่อไหร่”

“ครับท่านประธาน” ดนัยเทพตอบ

“ความจริงแล้วผมก็อยากให้พวกคุณเข้าไปจัดการกับราชาปีศาจในเกมซะเสียตอนนี้เลย เพราะถ้าหากราชาปีศาจตายแล้ว ระบบมันจะทำการรีเซ็ตกลับมาใหม่ทำให้ราชาปีศาจกลับมาเป็นราชาปีศาจที่ดีดังเดิม แต่…” ประธานหยุดชะงักพูดไปชั่วครู่เพื่อพักหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “…ผมอยากให้ผู้เล่นจัดการกันเองดีกว่า เพราะถือซะว่านี่คือภารกิจพิเศษที่ทางเราเป็นผู้จัดให้ โดยที่ผมจะขอให้พวกคุณช่วยแก้ไขระบบในส่วนค่าประสบการณ์ของผู้เล่นที่จะต้องถูกลดเมื่อถูกราชาปีศาจหรือกองทัพปีศาจฆ่าตายไปแล้ว จากที่ระดับแปดสิบขึ้นไปลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้เหลือแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์พอ ส่วนผู้เล่นที่ระดับยังไม่ถึงห้าสิบก็ให้ลดแค่ห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น”

“ครับท่าน”

“ส่วนเรื่องของตอบแทนหลังจากโค่นราชาปีศาจได้นั้น ถ้าผู้เล่นคนใดไปรับภารกิจจากต้นไม้มานาแล้วล่ะก็ จะได้ของรางวัลเพิ่มเป็นอาวุธแทน ซึ่งทางนี้ผมขอมอบหน้าที่ให้ฝ่ายด้านไอเทมไปจัดการกันเอาเอง แต่ผมขอย้ำว่าเป็นของที่ดึงดูดให้ผู้เล่นน่าสนใจเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วย จะเป็นอะไรก็ได้แต่ต้องมีไม่เกินห้าชิ้นเท่านั้น”

“ครับท่าน” แล้วท่านประธานก็หันหน้าไปทางปริญซึ่งกำลังนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ส่วนคุณปริญ” ประธานเรียกชื่อปริญอย่างหนักแน่น “ผมขอมอบหน้าที่ให้คุณไปช่วยดูแลความปลอดภัยของผู้เล่นไอดีแปดพันโดยใช้ตัวละครของคุณที่สมัครเอาเอง ห้ามใช้ไอดีจีเอ็มเป็นอันขาด เพราะผมกลัวว่างานโปรเจคย้อนวัยจะพังเอาได้ถ้าหากมีคนรับรู้เรื่องนี้ แค่ไปดูห่างๆนะ ไม่ใช่เข้าไปใกล้เหมือนกับคราวก่อนๆ ไม่อย่างนั้นผมจะยื่นซองขาวให้คุณโดยไม่รับฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น แล้วก็อย่าลืมกลับออกมาเขียนรายงานส่งผมทุกครั้งด้วยล่ะ”

“ทราบแล้วครับท่านประธาน”

เมื่อจบการประชุมแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

................................................

หลังจากพวกจันทร์แรมได้กลับมาถึงบ้านแล้ว ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นพอดี ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมามากพอแล้ว นพจึงเอ่ยปากชวนทุกคนให้ออกไปรับประทานอาหารที่ข้างนอกบ้านแทน หลังจากที่นพพาจันทร์แรมและทุกคนไปรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ก็พากันกลับบ้านเพื่อพักผ่อน ทว่าพอถึงบ้านแล้ว แทนที่จันทร์แรมจะกลับเข้าไปอาบน้ำแต่งชุดนอนแล้วทำสมาธิเหมือนอย่างเคย แต่กลับเรียกนพให้เข้าไปคุยในห้องพระ

“คุณยายมีอะไรจะคุยกับผมงั้นหรือครับ” นพถามอย่างสงสัยในขณะที่เขานั่งลงคุกเข่าอย่างเรียบร้อยต่อหน้าคุณยายที่นั่งพับเพียบรอก่อนอยู่หน้านั้นแล้ว

“ไหว้พระก่อนเถิดตานพ” จันทร์แรมบอก ซึ่งทำเอานพรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามกลับไป แล้วนพก็ทำตามที่เธอบอกโดยการจุดธูปแล้วไหว้พระตามปกติที่เคยทำ ครั้นนพไหว้พระเสร็จแล้ว จันทร์แรมจึงค่อยเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “ที่ยายเรียกนพมานี่ก็เพราะอยากจะคุยเรื่องในเกมออนไลน์”

นพได้ยินถึงกับขมวดคิ้ว

“นพรู้ใช่ไหมว่าเกมเป็นอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่สมมุตขึ้นมาโดยให้เราเดินไปตามบทบาทของตัวละครที่เราได้ไปเกิดในนั้น” จันทร์แรมพูดเกริ่น ซึ่งทำเอาหลานได้ยินถึงกับผงกหัวตอบ “เพราะฉะนั้นเรื่องในเกมตอนที่หลานไปทำร้ายเมฆาเพราะความเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับยายล่ะก็ ยายอยากให้หลานยุติความบาดหมางกับเขาแต่เพียงเท่านี้ เพราะการที่จะไปแค้นใครไม่ได้ช่วยให้หลานดีขึ้นมาเลย มีแต่รังจะสร้างบาปติดตัวหลานไปตลอด ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นเพียงแค่เกมก็ตาม”

“ทราบแล้วครับคุณยาย ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับผมสัญญา” นพพูดก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี หลังจากนั้นจันทร์แรมก็ชวนหลานชายนั่งสมาธิสวดมนต์แผ่เมตตา ซึ่งกินเวลานับชั่วโมงจนกระทั่งนพขอตัวกลับห้องนอนของตัวเองไป ส่วนตัวเธอก็ค่อยเดินกลับไปห้องนอนโดยมีฟางที่เป็นพยาบาลช่วยพยุงกลับไปด้วย หลังจากที่จันทร์แรมได้อาบน้ำแต่งชุดนอนเสร็จแล้ว เธอก็นั่งสมาธิสักพักก่อนจะสวมแว่นตาอนาล็อกเข้าเกมอีกครั้ง หากแต่การออนไลน์ครั้งนี้ระบบได้ประกาศแจ้งข่าวเกี่ยวกับราชาปีศาจและกองทัพปีศาจให้ฟัง รวมถึงภารกิจลุงมานาที่เธอเคยไปรับมาตั้งแต่เธอยังมีร่างเป็นเด็กทารกด้วย ครั้นพอราตรีลืมตาขึ้นมา กลับพบเมฆานั่งฉีกยิ้มรออยู่ข้างเตียงพร้อมกับมาริโออยู่ก่อนแล้ว

โรคจิตชัดๆ มีอย่างที่ไหนมานั่งดูคนอื่นตอนหลับเนี่ย

ราตรีคิดในใจอย่างเอือมระอา ซึ่งเป็นความโชคดีของราตรีที่เกมนี้ได้ลงโปรแกรมไว้ว่าถ้ามีผู้เล่นคนใดออฟไลน์เกมโดยนอนอยู่ในเต็นท์แล้วล่ะก็ จะไม่มีผู้เล่นคนใดเข้ามาทำมิดีมิร้ายได้

“อรุณสวัสดิ์ครับน้องราตรี เดี๋ยววันนี้หลังทานข้าวเช้าแล้ว พี่จะพาเราไปเก็บเลเวลนะ” เมฆาพูดอรุณสวัสดิ์พร้อมกับเอ่ยปากชวนเธอไปพร้อมกันในทีเดียว

“แล้วพี่อเลน น้องคริสตัล งุ้งงิ้ง คอเบียร์ล่ะครับท่านพี่เมฆา”

“อ้อ พวกเขายังไม่ออนไลน์เกมกันเลยนะครับ” เมฆาตอบก่อนจะลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวพี่จะไปทำอาหารก่อนนะ”

“ครับ”

แล้วเมฆาก็เดินออกนอกเต็นท์ไปโดยมีมาริโอขอตามไปช่วยทำอาหารด้วย หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วเธอก็เดินออกไปข้างนอกเพื่อทานข้าวเช้า ซึ่งหลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้ว เมฆาก็พาเธอกับมาริโอตะลุยเก็บเลเวลกับพวกสัตว์อสูรต่อจนถึงเที่ยง ซึ่งแน่นอนว่าระดับของราตรีในตอนนี้ได้พุ่งขึ้นมาเป็นแปดสิบห้าแล้ว

“แค่นี้ฝีมือน้องก็ใกล้เคียงกับอเลนแล้วนะครับ” เมฆาพูดกล่าวชมราตรี ซึ่งทำเอาเธอรู้สึกเขินเล็กน้อย แล้วหลังจากนั้นพวกเธอก็เดินกลับไปที่เต็นท์เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน พอพวกราตรีเดินไปถึงแล้ว ก็พบคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีประมาณห้าสิบกว่าคนยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่หน้าเต็นท์เต็มไปหมด ซึ่งมีธิดา หงส์หยก และปลายืนอยู่หน้าคนกลุ่มนั้นด้วย

“ท่านพี่ธิดา!” มาริโอร้องเรียกชื่อหญิงสาวพลางอ้าแขนวิ่งเข้าไปหาด้วยความคิดถึง ซึ่งทำเอาราตรีถึงกับเอามือกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ

ไอ้หน้าหม้อเอ้ย!

ส่วนธิดาเมื่อได้ยินเสียงเรียกของมาริโอแล้วก็หันมายิ้มให้ แต่ไม่ทันที่มาริโอจะได้วิ่งมาถึงตัวธิดา มีดสั้นเอย ดาบเอย พลังเวทย์เอย ต่างถูกซัดมาจากคนในกลุ่มนั้นมาปักลงพื้นต่อหน้ามาริโอ ซึ่งทำเอามันเกือบเบรกเท้าไม่ทัน

“อย่าเข้ามาใกล้ท่านประมุขนะไอ้เห็ดชีกอ!” หนึ่งในกลุ่มชุดสีฟ้าที่ซึ่งมีรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นพูดขู่มาริโอ ทำเอาเมฆาได้ยินถึงกับลอบอมยิ้มอย่างขบขัน ส่วนมาริโอเมื่อได้ยินคำว่าไอ้เห็ดชีกอแล้ว ถึงกับลงไปนอนดิ้นกับพื้นร้องไห้เสียงดังจ้า

“แง้! ข้าไม่ใช่เห็ดชีกอนะ! ฮือๆ” ราตรีส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าไปปลอบมัน ส่วนธิดาก็หันไปดุผู้หญิงคนที่ด่ามาริโอว่าเป็นเห็ดชีกอทันที

“ทีหลังถ้าฉันไม่ได้สั่ง ห้ามทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด! เข้าใจไหม!!”

“เอ่อ เข้าใจ...แล้วค่ะท่านประ...เอ่อ คุณธิดา” ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าตอบ ก่อนที่ธิดาจะเดินเข้าไปปลอบมาริโอด้วยอีกคน เมื่อมาริโอหยุดร้องแล้วเมฆาจึงค่อยเดินเข้าไปหาธิดา

“มีอยู่แค่นี้หรือครับคุณธิดา” เมฆาถามพลางมองผู้เล่นที่เป็นสมาชิกของจันทราวารี ซึ่งธิดาได้ยินก็หันหน้าไปตอบเมฆาว่า

“เปล่าค่ะคุณเมฆา นี่แค่ส่วนย่อยที่เคยติดตามฉันไปทำภารกิจอยู่บ่อยๆ แต่เดี๋ยวบ่ายๆจะมีตามมาทีหลังอีกค่ะ”

“แล้วจำนวนคนล่ะครับ ผมจะได้กะเกณฑ์ได้ถูก” เมฆาถามต่อ

“สามร้อยคนค่ะ แล้วของคุณเมฆาล่ะคะ ไม่กลับไปบอกคนในสมาคมเงาบ้างเลยหรือคะ”

“บอกสิครับ แต่ของผมไม่ต้องกลับไปบอกเพราะสามารถใช้โทรโข่งพิเศษบอกคนที่อยู่ห่างไกลเป็นพันกิโลเมตรได้นะครับคุณธิดา” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “แต่พวกเขาจะรอพวกเราที่นั่น เพราะสมาคมของผมเป็นทางผ่านที่จะไปดินแดนปีศาจพอดี”

“อะไรนะคะ สมาคมของคุณเป็นทางผ่านไปดินแดนปีศาจหรือคะ” ธิดาร้องอุทานเสียงเบา ส่วนราตรีเองก็ตกใจนิดหน่อยที่ได้ยินเรื่องนั้นเช่นกัน

“ครับ ก็แค่หมู่บ้านเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ” เมฆาตอบก่อนจะหันไปคุยกับอเลนที่เพิ่งจะเดินออกมานอกเต็นท์ของตัวเอง “งานที่ข้าสั่งเรียบร้อยแล้วใช่ไหมอเลน”

“อืม เรียบร้อยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง”

โชคดีที่ครั้งนี้มีคนอยู่เยอะ จึงทำให้พวกราตรีไม่ต้องลงมือทำอาหารเอง พอทานอาหารเสร็จก็ประจวบเหมาะที่พวกปฐพีได้ขี่ม้ากลับมาพร้อมพรั่งด้วยผู้เล่นที่ขี่ม้ามานับร้อย

“ขอโทษที่มาช้า พอดีมัวแต่เคลียร์งานในภัตตาคารนะ” ปฐพีพูดกับเมฆาพลางกระโดดลงจากม้าเดินเข้ามาหาทุกคน ซึ่งตามด้วยศาสตรากับพิภพที่กระโดดลงจากหลังม้าตาม ส่วนผู้เล่นคนอื่นที่ตามปฐพีมานั้น ก็พากันเก็บม้าของตัวเองกันไป

“ไม่เป็นไร ว่าแต่นายพาคนมาได้เท่าไหร่ล่ะ”

“ห้าร้อยคน แต่ก็ยังน้อยกว่าของนายแล้วกันเมฆา เห็นว่ามีตั้งแปดร้อยคนเลยไม่ใช่รึไง” เมฆายักไหล่เป็นคำตอบ

“ว่าแต่น้องราตรีเก็บเลเวลกับเมฆาไปถึงไหนแล้วครับ” ปฐพีถามราตรีเพราะเห็นยืนเงียบอยู่นานแล้ว

“แปดสิบห้าครับพี่ปฐพี แต่ผมคิดว่าแค่นี้ยังคงไม่พอ กะว่าจะเก็บให้ถึงเก้าสิบนะครับ”

“อืม ดีแล้วล่ะ”

หลังจากคุยเสร็จแล้ว เมฆาก็ได้แบ่งงานให้พวกธิดากับพวกปฐพีไปทำ ซึ่งไม่พ้นเรื่องหยูกยาอาหาร หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบที่จะใช้สร้างอาวุธด้วย เมื่อแบ่งงานเสร็จแล้ว เมฆาก็ได้ขอตัวพาราตรีกับมาริโอไปเก็บเลเวลต่อให้ถึงเก้าสิบตามที่ราตรีเคยพูดเอาไว้

...............................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 64 เริ่มต้นสงคราม

...............................................

ในขณะที่พวกราตรีกำลังฝึกฝนร่างกายเพื่อเตรียมสภาพพร้อมที่จะทำสงครามกับราชาปีศาจแล้ว ผู้เล่นคนอื่นที่ได้รับประกาศจากจีเอ็มต่างก็รวบกลุ่มกันฝึกซ้อมเช่นเดียวกับพวกราตรี ซึ่งเป็นผลพลอยให้พ่อค้าแม่ค้าต่างพากันงัดทำน้ำยาเพิ่มเลือดเพิ่มมานารักษาพิษขึ้นมาขายกันเป็นทิวแถว แถมราคาสินค้าจำเป็นต่อสงครามก็เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ก็เลยทำให้ตลาดทุกเมืองในตอนนี้กลายเป็นภาวะสงครามการค้าขายไปแล้ว และนอกจากนี้ตลาดก็ยังเต็มไปด้วยผู้เล่นที่ต่างมาจับจ่ายซื้อของ ซึ่งเยอะมากเสียจนจีเอ็มต้องประกาศให้พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านขายของในเวลาที่จำกัด ส่วนทางด้านพวกราตรีนั้น สองวันแรกเมฆาก็ช่วยเก็บเลเวลให้ราตรีกับมาริโอไปพลางๆก่อน ทว่าพอเข้าวันที่สามของการออนไลน์เกม เมืองที่อยู่ทางเหนือของทวีปหลักได้ถูกกองทัพปีศาจส่วนหนึ่งบุกเข้าโจมตี เป็นเหตุให้เมฆาต้องผละจากการช่วยเก็บเลเวลกับราตรีหันมาวางแผนประชุมเพื่อเตรียมรับมือหาทางช่วยเหลือผู้เล่นที่รอดตาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ราตรีกับมาริโอต้องหันมาเก็บเลเวลกับพวกคริสตัลแทน

“ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้เลื่อนเลเวลจาก94เป็น95”

“ท่านได้เลื่อนระดับอายุจากยี่สิบหกเป็นยี่สิบเจ็ด”


เสียงระบบประกาศบอกในหัวราตรี หากแต่ร่างกายไม่ได้สูงขึ้นตามอายุเลยซักนิด ซึ่งราตรีไม่ได้เก็บมาคิดเพราะเห็นว่าไม่สำคัญอะไร แต่สิ่งที่ราตรีต้องให้ความสนใจในตอนนี้คือการเก็บเลเวลให้ถึงเป้าหมายที่กำหนด จะได้ไม่ต้องเป็นตัวถ่วงให้ใครอีก

“พี่ราตรีขา เลเวลถึงเก้าสิบห้าแล้ว ยังคิดจะเก็บอยู่อีกไหมคะ” คริสตัลเดินมาถามหลังจากเสียงระบบประกาศเรื่องระดับของราตรีให้ทุกคนในปาร์ตี้ได้ยินพร้อมกัน

“ไม่แล้วครับน้องคริสตัล ผมกะว่าจะกลับไปที่เต็นท์นะ” ราตรีตอบพลางครุ่นคิดในใจ โชคดีที่เมฆายังไม่ได้ไปพร้อมกับพวกธิดาที่มุ่งหน้าไปช่วยเหลือผู้เล่นทางเหนือในวันนี้ “เดี๋ยวอาหารมื้อเย็นนี้ ผมจะทำสตูว์เนื้อหมูป่าให้ทุกคนทานแล้วกันครับ เห็นบ่นว่าอยากทานไม่ใช่หรือ”

“เย้! สตูว์เนื้อหมูป่า!! จะได้ทานแล้ว เย้ๆ” คริสตัลโห่ร้องอย่างดีใจกับมื้ออาหารที่จะได้ทานตอนเย็น ซึ่งรวมถึงมาริโอที่อดเต้นตามเสียมิได้ ส่วนงุ้งงิ้งกับคอเบียร์ไม่ได้โห่ร้องไปกับเขาด้วย เพียงแค่อมยิ้มกับท่าทางของคริสตัลเพียงอย่างเดียว

เนื้อหอมจริงๆเหลนฉัน

ราตรีคิดในใจหลังจากลอบมองสองหนุ่มนี้อยู่เป็นวันแล้ว

“งั้นพี่ขอตัวกลับเต็นท์ไปก่อนนะครับน้องคริสตัล” ราตรีบอกก่อนจะเดินหันหลังกลับไปทางเต็นท์ทันที เมื่อราตรีได้เดินกลับมาถึงแล้ว เธอก็พบกับผู้เล่นกลุ่มใหญ่ยืนเรียงเป็นแถวตอนลึกเต็มแน่นเอี๊ยดหน้าเต็นท์จนมองไม่เห็นผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเลยซักนิด

“ตามที่ข้าเคยบอกไปเมื่อครู่นี้ พวกเราจำต้องใช้แผนนั้น แต่แผนที่วางไว้จะเสี่ยงไปหน่อยเพราะพวกเรามีคนน้อย แต่ถ้าพวกเราร่วมมือกันแล้วจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องขุนพลปีศาจที่นำทัพบุกเมืองเหนือตนนั้นแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เพราะข้าเคยรู้จักเขามา...” เสียงนั้นชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของราตรี “...ก่อน เอาล่ะ วันนี้ประชุมพอแต่เพียงเท่านี้ หากไม่เข้าใจก็ให้มาถามใหม่ได้ แต่อย่ารบกวนพวกเพื่อนของข้าเชียวล่ะ เอาล่ะแยกย้ายได้”

“รับทราบ!” แล้วคนในชุดดำที่เคยยืนออนับร้อยก็พากันหายวับไปกับตา ซึ่งทำให้ราตรีกับมาริโอที่เดินตามมาทีหลังได้เห็นเมฆากับอเลนยืนเคียงคู่กัน

“น้องราตรีเก็บเลเวลเสร็จแล้วรึครับ แล้วพวกน้องคริสตัลล่ะ” เมฆาถามทันทีที่เห็นเธอ

“เก็บเสร็จแล้วครับ แต่พวกคริสตัลยังเก็บไม่เสร็จ ผมเห็นว่ามันก็ใกล้จะเย็นแล้วก็เลยขอกลับมาทำอาหารเย็นก่อนนะครับ”

“ให้พี่ช่วยไหมล่ะ น้องกลับมานี่ก็เหนื่อยแย่อยู่แล้วยังต้องมาทำอาหารอีก” อเลนพูดเชิงขอร้อง

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้ผมจัดการคนเดียวเองได้ พวกพี่สองคนไปทำอย่างอื่นก่อนเถอะครับ” ราตรีตอบพลางส่ายหน้าไปมา “เดี๋ยวผมทำเสร็จจะตะโกนเรียกเอาแล้วกันนะครับ”

“อืม เอางั้นก็ได้ เมฆา เดี๋ยวฉันขอตัวไปช่วยพวกน้องคริสตัลเก็บเลเวลนะ” อเลนหันมาพูดกับเพื่อนที่ยืนเงียบอยู่นานแล้ว

“อืม ตามสบายเลยแล้วกัน” เมฆาตอบก่อนที่อเลนจะเดินออกไปจากรัศมีจุดตั้งเต็นท์ เมื่ออเลนไปแล้วเมฆาจึงหันหน้ามาทางราตรีต่อ “น้องราตรีเลเวลเก้าสิบห้าแล้วใช่ไหมครับ”

ราตรีพยักหน้าแทนคำตอบ

“ดีมาก พรุ่งนี้พี่จะได้พาเราขึ้นเหนือไปด้วย ส่วนพวกน้องคริสตัล พี่คิดว่าเย็นนี้ก็คงจะเก็บเสร็จแล้ว จะได้ไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว” เมฆาบอกก่อนจะพูดอธิบายถึงแผนการที่ได้บอกกับพวกตัวเองไปเมื่อครู่นี้ให้ราตรีฟังอีกที “ตามนี้นะน้องราตรี อย่าลืมนำแผนนี้ไปบอกพวกน้องคริสตัลด้วย”

“ครับท่านพี่” ราตรีตอบก่อนจะทำท่าผละไปทำอาหารต่อ หากแต่เมฆารั้งแขนเธอเอาไว้ “มีอะไรอีกหรือครับท่านพี่”

ราตรีถามอย่างสงสัยพลางจ้องมือของอีกฝ่ายที่จับแขนเธออยู่สั่นเล็กน้อย

เป็นอะไรของเขาหว่า?

“พี่นึกขึ้นได้ว่าพวกปีศาจยังไม่รู้ว่าน้องยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากน้องไปปรากฏตัวท่ามกลางสงครามแล้วล่ะก็…” เมฆาพูดเสียงเครียด “…คงไม่ดีแน่ เพราะพี่เกรงว่าท่านพ่ออาจจะบุกมาชิงตัวน้องอีก”

อ้อ ที่แท้ก็เป็นห่วงเรานี่เอง

ราตรีคิดในใจ ถึงแม้เธอจะปฏิเสธเรื่องรักกับเมฆาไปแล้ว แถมสถานะภาพในตอนนี้ทั้งเธอและเมฆาเป็นเพียงแค่พี่ชายกับน้องชายเท่านั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังแสดงความห่วงใยเหมือนแต่ก่อนอยู่ดี

“ฮะๆ”

“นะ…น้อง…ราตรี?”

เมฆาขมวดคิ้วมองเธออย่างงุนงงเมื่อเห็นเธอจู่ๆก็หัวเราะออกมาอย่างหน้าตาเฉย

“เรื่องนี้ไม่ยากครับท่านพี่ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

“จัดการ? น้องจะทำอะไรงั้นหรือ บอกพี่ได้ไหมครับ”

เมฆาถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาราตรีฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ถึงเวลานั้นเดี๋ยวก็รู้เองครับท่านพี่ หึๆ”

............................................................

ในภาวะสงครามเมืองเหนือเริ่มร้อนระอุเมื่อกองทัพปีศาจเริ่มบุกโจมตีได้สามวันเต็ม หากแต่เมืองนั้นมีผู้เล่นคอยป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้าบุกโจมตีเมืองเกือบตลอดเวลา ซึ่งโชคยังดีที่มีสมาคมชื่อดังถึงสองสมาคมอย่างจันทราวารีกับจับฉ่ายคอยป้องกันอยู่ จึงทำให้ขุนพลปีศาจร่างยักษ์สามตาผู้มีกายเป็นสีแดงกับเขาบนหัวสองข้างเหมือนกระทิงที่นำกองกำลังปีศาจมาเพียงหมื่นกว่าตนบุกได้อย่างยากลำบาก แต่ทว่าด้วยจำนวนปีศาจที่มากกว่าและเวลาที่กระชั้นชิดเกินไป ทำให้สองสมาคมที่มีกำลังคนไม่ถึงหมื่นเริ่มหมดแรง เสบียงก็เริ่มร่อยหรอไปตามกาลเวลา

“ทำยังไงกันต่อไปดีคะท่านประมุข! ตอนนี้ข้าศึกใช้ท่อนซุงชนกับกำแพงแล้ว คาดว่าอีกไม่นานประตูทิศใต้นี้ก็คงจะพังอย่างแน่นอนค่ะ!” หนึ่งในสมาชิกจันทราวารีวิ่งขึ้นบันไดมายังตรงป้อมเพื่อบอกข่าวกับหัวหน้าของตัวเองในขณะที่ข้างกำแพงเต็มไปด้วยฝนธนูธาตุน้ำที่ลอยขึ้นสูงด้วยฝีมือของคนในสมาคมจันทราวารี เสียงร้องโห่จากพวกปีศาจกับผู้เล่นในสมาคมจันทราวารีดังเป็นระยะๆ ไหนจะเสียงต่อสู้ด้วยอาวุธอีก ถ้าหากเป็นเวลาไม่เร่งรีบ ธิดาคงจะหันไปตวาดคนที่พูดจาสำเนียงคล้ายนิยายกำลังภายในจีนกับเธออย่างแน่นอน แต่ทว่าตอนนี้เธอต้องตั้งสติครุ่นคิดถึงแผนการที่จะป้องกันประตูฝ่ายใต้เพื่อมิให้ข้าศึกเข้ามายังข้างในเมืองเพียงอย่างเดียว

“ปฐพีช่วยฉันคิดหน่อยสิว่าจะป้องกันประตูยังไงดี” ธิดาพรายกระซิบขอความช่วยเหลือกับอีกฝ่ายที่เฝ้าอยู่ประตูเหนือโดยไม่สนเรื่องความแค้นเก่าที่เคยมีต่อปฐพี ซึ่งอีกฝ่ายเมื่อได้รับทราบแล้วจึงพรายกระซิบตอบกลับเธอมาว่า

“บัฟเพิ่มพลังป้องกันประตู แล้วระดมยิงธนูกับเวทย์มนต์ใส่ตัวที่ตีเข้ามา หรือไม่ก็เล็งท่อนซุงแล้วทำลายมันซะ”

“อืม ขอบใจมากนะปฐพี ขอบใจ”

ธิดาพรายกระซิบขอบคุณ ซึ่งอีกฝ่ายก็พรายกระซิบกลับมาว่าไม่เป็นไร แล้วธิดาก็หันไปสั่งพรรคพวกเหมือนกับที่ปฐพีเคยบอก ก่อนที่ธิดาจะไปสั่งหงส์หยกกับปลาให้ทำตามแผนที่บอกไว้เมื่อครู่นี้ แล้วหันมาร่ายเวทมนตร์ธาตุน้ำจัดการกับพวกปีศาจต่อด้วยความหวังที่พวกราตรีจะมาช่วยพวกเธอในเร็วๆนี้ก่อนที่เมืองนี้จะพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ในขณะที่ธิดากำลังป้องกันการโจมตีของปีศาจอย่างเอาเป็นเอาตาย ทางด้านพวกปฐพีเองก็เหนื่อยกับการรับมือการโจมตีของกองทัพปีศาจที่ขนาบประตูทิศเหนือของเมือง หากแต่ฝ่ายด้านปฐพีโชคร้ายกว่าทางธิดามากนัก เพราะนอกจากจะมีพวกปีศาจนับพันแล้ว ยังมีขุนพลปีศาจยักษ์สามตาผิวสีแดงมีเขาบนหัวคล้ายกระทิงที่มาคุมทัพด้วยตนเองไม่ไกลจากกำแพงเมืองเท่าไรนัก

“หึ มนุษย์ก็เป็นซะแบบนี้ล่ะนะ เก่งก็จริงแต่เรื่องพละกำลังด้อยนัก อีกเดี๋ยวก็หมดแรงข้าวต้ม”

ขุนพลปีศาจยักษ์สามตาผิวสีแดงมีเขาบนหัวคล้ายกระทิงสวมชุดเกราะสีดำพูดเสียงเย้ยหยันเมื่อมองตรงไปยังพวกมนุษย์ที่กำลังป้องกันการโจมตีของมันเริ่มอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ขุนพลปีศาจยักษ์สามตานี้จะอยู่ห่างไกลป้อมที่ปฐพีอยู่มากก็จริง แต่เรื่องระดับสายตาของปีศาจอย่างมันแล้วกลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีกุนซือคอยออกคำสั่งอยู่เกือบตลอดเวลานับตั้งแต่เริ่มสงคราม ซึ่งกุนซือที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกเสียจาก...

ปฐพี

ส่วนปฐพีเองก็ใช่ว่าจะไม่เห็นขุนพลปีศาจยักษ์สามตา เพราะอีกฝ่ายมีร่างสูงใหญ่เกินกว่าปีศาจในทัพอยู่มาก ไหนจะมีร่างกายสีแดงเลือดอยู่ตนเดียว ดังนั้นชายหนุ่มจึงสามารถแบ่งแยกได้ด้วยสายตาว่าในทัพนั้นใครเป็นผู้ขุนพลนำทัพปีศาจกันแน่

“รับมือยากจริงๆเจ้าโอคุมะเนี่ย เฮ้อ” ปฐพีพูดพึมพำพลางครุ่นคิดถึงภาพปีศาจในคู่มือเกมที่ตนเคยอ่านเจอมาก่อน ซึ่งเขาพอรู้คร่าวๆว่าเป็นปีศาจยักษ์ที่มีร่างกายใหญ่โตสีแดงเลือด มีเขาสองข้างบนหัวคล้ายกระทิง สวมชุดเกราะสีดำทะมึน และมีอาวุธประจำตัวเป็นขวานเล่มใหญ่อยู่ข้างกายเสมอ หากแต่ระดับสมองของโอคุมะกลับเทียบเท่าเด็กประถมเวลาเอาแต่ใจ ดังนั้นเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่ปฐพีจะรับมือต้านการโจมตีของอีกฝ่ายได้อยู่ถึงสองวันเต็ม ทว่าด้วยกำลังคนอันน้อยนิดผนวกกับเสบียงที่ใกล้หมด ทำให้ผู้เล่นทั้งฝ่ายสมาคมจับฉ่ายของเขา สมาคมจันทราวารีของธิดา และผู้เล่นจากสมาคมอื่นๆที่มีอยู่ในเมืองนี้เริ่มอ่อนแรงลงทุกทีๆ แล้วปฐพีก็หันหลังกลับมองตรงไปยังทิศตรงข้ามซึ่งเป็นทางทิศใต้ของเมืองนี้ด้วยความหวังอันริบหรี่ “เมฆานะเมฆา เมื่อไหร่จะยกทัพมาช่วยฉันอีกล่ะเนี่ย ฉันต้านได้อีกไม่นานแล้วนะ”

ตูม!

เสียงประตูทางเหนือระเบิดขึ้นโดยเป็นฝีมือของนักเวทย์ฝ่ายปีศาจหลังจากที่ท่อนซุงของพวกมันพังไปได้ครึ่งวันแล้ว

“แตกแล้ว! ประตูแตกแล้ว!! พวกเราลุย!!”

นักเวทย์ที่เป็นปีศาจแผดเสียงดังลั่น ทำให้ปีศาจตนอื่นได้ยินต่างพากันโห่ร้องกรูเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว ทำให้ศาสตราที่เคยร่ายมนตร์ธาตุไฟโจมตีกับพิภพที่ร่ายเวทมนตร์ธาตุลมใส่พวกปีศาจที่อยู่นอกกำแพงเมืองต้องหันมาชักอาวุธแทนขึ้นมาก่อนจะโหมเข้าจัดการพวกปีศาจที่อยู่ใกล้เป็นอันดับแรกเหมือนผู้เล่นคนอื่นๆ ยกเว้นปฐพีที่ไม่ได้ชักอาวุธเหมือนศาสตรากับพิภพ ชายหนุ่มยืนนิ่งจนกระทั่งมีปีศาจห้าตนกรูเข้ามาใกล้หมายจะฆ่าปฐพีให้ตาย

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

8988

8788

8888

8871

8978


พริบตาเดียวปีศาจทั้งห้าต่างกระเด็นหงายท้องก่อนจะหายไปในพริบตาเดียว แล้วหลังจากนั้นปฐพีก็หันไปจัดการกับปีศาจตนอื่นที่กรูเข้ามาในประตูที่พังไปแล้วต่อ ซึ่งรวมถึงผู้เล่นคนอื่นที่เห็นพวกปฐพีเริ่มลงมือแล้ว พวกเขาจึงชักอาวุธของตัวเองก่อนจะกรูเข้าไปร่วมต่อสู้ด้วยอย่างรวดเร็ว

เฮ! เฮ!

ฉัวะ!

อ้าก!


ทั้งเสียงโห่ร้อง ทั้งเสียงอาวุธ ทั้งเสียงกรีดร้องของผู้เล่นหรือกระทั่งปีศาจทำให้ที่เมืองเหนือนี้กลายเป็นสมรภูมิเดือด ซึ่งพอพวกปีศาจที่เล็ดรอดหลุดเข้าไปยังข้างในได้แล้ว กลับต้องชะงักเมื่อเจอผู้เล่นตั้งป้อมรอ ซึ่งเป็นเทียนหลงกับหยางชุนหลานที่มาตั้งท่ารอตามแผนการของเมฆาที่ได้วางเอาไว้ล่วงหน้า

“พวกเราลุย! อย่าให้พวกปีศาจเข้ามาได้!!”

เทียนหลงตะโกนพลางชักพลองยาวขึ้นมาเตรียมพร้อมสู้กับหยางชุนหลานก็งัดกระบองท่อนแขนหรือทอนฟาขึ้นมาใช้บ้าง ส่วนผู้เล่นนับร้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังเมื่อได้รับคำสั่งจากเทียนหลงแล้ว ต่างโห่ร้องพร้อมกันก่อนจะชักอาวุธขึ้นมาสู้ทันที

เฮ!

แล้วผู้เล่นคนอื่นก็วิ่งเข้าไปลุยกับพวกปีศาจอย่างไม่กลัวเกรง ส่วนเทียนหลงกับชุนหลานต่างก็ลงมือจัดการพวกปีศาจด้วยเช่นกัน หากแต่ทั้งคู่มีวิธีจัดการได้ดีกว่าและเร็วกว่าผู้เล่นคนอื่น จึงทำให้พวกปีศาจที่มีระดับสูงหันไปลงมือกับสองคนนี้แทนที่จะไปจัดการกับผู้เล่นคนอื่นแทน ในขณะที่ทางประตูเหนือกำลังต่อสู้กับพวกปีศาจที่ทะลักเข้ามาในประตูได้อยู่นั้น ฝั่งทางด้านประตูทิศใต้ก็เพิ่งจะถูกพวกปีศาจพังประตูเข้ามาได้ด้วยฝีมือนักเวทย์ปีศาจเช่นเดียวกับทางเหนือ ทำให้พวกธิดาเลิกใช้เวทมนตร์ก่อนจะชักอาวุธของตัวเองขึ้นมาสู้แทน ซึ่งการต่อสู้ในสงครามนี้กินเวลานานพอสมควร และดูเหมือนฝ่ายเสียเปรียบคือฝ่ายมนุษย์ จากที่เคยมีผู้เล่นนับพันๆคน มาบัดนี้ล้มหายตายจากไปรอเกิดใหม่ในห้องรอเกิดกันเป็นว่าเล่น ทำให้เหลือแต่ผู้เล่นที่อึดกับเก่งระดับแปดสิบเก้าสิบเท่านั้น ส่วนทางด้านพวกปีศาจก็มีถูกพวกปฐพี พวกธิดา และพวกเทียนหลงจัดการไปบ้าง ก็เลยทำให้พวกปีศาจตายไปเสียสองส่วน จะเหลืออีกสองส่วนที่ยังอยู่

“หึ ไม่เลวนักนะไอ้พวกมนุษย์ จัดการทหารปีศาจของข้าหายไปเยอะเลยเหมือนกันนี่” โอคุมะพูดชมพวกปฐพีที่กำลังต่อสู้อยู่หน้าประตูอย่างพึงพอใจ

แต่ถึงจะเก่งยังไง พวกมันก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี!

แล้วสิ่งที่โอคุมะคิดไว้ก็ได้ขึ้นเกิดจริง เมื่อผู้เล่นที่มีระดับสูงเริ่มทยอยตายไปกันทีละห้าหกคนพร้อมกัน รวมถึงผู้เล่นที่เคยช่วยพวกปฐพีต่อสู้อยู่ข้างๆด้วยก็เช่นกัน ซึ่งทำให้ตอนนี้เหลือแค่ปฐพี ศาสตรา พิภพ และผู้เล่นคนอื่นๆอีก ยี่สิบกว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่อยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยเลือด แถมออกอาการหอบให้เห็นเด่นชัดเจน

“หึ เท่านี้ก็จบแล้ว” โอคุมะพูดเสียงเย้ยหยันพลางเดินเข้าไปในประตูหมายมาดว่าจะขอท้าประลองกับกุนซืออย่างปฐพีด้วย ทว่ายังไม่ทันที่โอคุมะจะได้เหยียบย่ำเข้าไปในเมือง...

ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดเกิดขึ้นพร้อมกับร่างของทหารปีศาจที่อยู่เบื้องหลังของโอคุมะกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยก่อนจะพลันหายไป ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าตายนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้น?!” โอคุมะร้องอุทานด้วยความตกตะลึงจนก้าวเท้าไม่ออก ครั้นพอหันไปมองก็เห็นศพทหารปีศาจของตนที่อยู่ไม่ไกลนอนจมกองเลือดด้วยระเบิดเวทมนตร์ของบุคคลปริศนาซึ่งยากที่จะคาดเดาได้ ทำให้ทหารปีศาจที่เหลือต่างพากันยืนล้อมเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าเล่นงานขุนพลของพวกเขา ควันระเบิดลอยขโมงอยู่ได้สักพักก็จางลง ก่อนจะเผยให้เห็นร่างในชุดคลุมปกปิดหน้าตาอยู่ถึงสามคน “พวกแกเป็นใครกัน!”

โอคุมะตะโกนถามด้วยความเดือดดาลเพราะทนไม่ได้ที่ตัวเองโดนลอบกัดหลัง

“หากต้องการรู้ให้กระจ่าง” หนึ่งในชุดคลุมพูด ก่อนจะตามด้วยคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“พวกเราก็พร้อมที่จะแถลงไข”

“เพื่อไม่ให้โลกนี้ต้องถูกทำลาย”

“เพื่อรักษาโลกนี้เอาไว้”

“พระเอกที่แสนน่ารัก และมีสเน่ห์”


แล้วสามร่างก็เข้ามาใกล้กันก่อนจะทำท่าพิสดารจนพวกปฐพีหรือแม้กระทั่งพวกปีศาจเห็นแล้วรู้สึกเหม่งๆ

“แก๊งยาโอยแห่งจักรวาล”

“เรียลออฟไลฟ์ พรุ่งนี้ที่สดใส รอเราอยู่”


ถ้าพวกปีศาจไม่ได้ยืนหันหลังให้พวกปฐพีอยู่ล่ะก็ คงจะได้เห็นกุนซืออย่างปฐพีทรุดตัวนั่งสิ้นหวังไปแล้ว ส่วนเทียนหลงที่เตรียมใช้ท่าไม้ตายยังออกอาการค้าง ไหนจะผู้เล่นคนอื่นๆถึงกับช็อคจนอาวุธหลุดมือ หรือแม้กระทั่งปริญกับพวกจีเอ็มอีกยี่สิบชีวิตที่มาในคราบผู้เล่นซึ่งยืนอยู่ห่างไกลจากจุดนั้นเป็นร้อยๆเมตร ยังต้องก้มหน้าด้วยความสิ้นหวังไปด้วย

ใครหนอช่างคิดชื่อออกมาได้

สิ้นหวังแล้วตู


......................

 :m20: :m20: :m20: :m20: :m20: :m20:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เฮ้ยโครตจี้อ่ะ 5555 อย่าบอกนะสามคนนั้นคือ มาริโอ้  เมฆาแล้วก็รัตติอ่ะ

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 65 โหมโรง

...................................

“กะ…แก…เป็นใครกันแน่?!”

โอคุมะถามอีกครั้งอย่างสงสัย ซึ่งทำให้หนึ่งในสามที่สวมชุดคลุมปิดบังหน้าตายืนอยู่ตรงกลางใช้มือเอาฮู้ตออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงเลือด ผมสีดำยาว

“ก็เป็นคนที่แกเคยพ่ายแพ้ย่อยยับในการประลองเมื่อสามปีก่อนยังไงล่ะโอคุมะ”

“จะ…เจ้าชายเมฆา!” โอคุมะพูดด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเปลี่ยนมาฉีกยิ้มอย่างพอใจที่ได้เห็นเมฆา “โผล่หัวมาได้ก็ดี ข้าจะได้จัดการเจ้าไปพร้อมกับพวกมนุษย์เสียเลยไอ้คนทรยศ”

คำว่าทรยศของโอคุมะ ทำเอาเมฆาได้ยินแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ถึงกระนั้นเมฆาก็ไม่ยอมให้ความรู้สึกมากดดันตัวเองให้เสียรูปแผนที่ตัวเองวางไว้

ต้องช่วยทุกคน!

นั่นคือสิ่งที่เมฆาคิดได้ในตอนนี้

“หึ อย่างเจ้ารึจะจัดการข้าได้นะโอคุมะ” เมฆาแสยะยิ้มพูดพลางมองโอคุมะอย่างดูถูกดูแคลน “แค่ขุนพลชั้นสวะ คิดหรือว่าจะเทียบชั้นข้าได้”

โอคุมะได้ยินคำดูถูกจากปากเมฆาแล้วถึงกับโมโหจนลืมเสียทุกอย่าง

“งั้นข้ากับแกจะได้เห็นดีกัน พวกเราลุย!”

โอคุมะตะโกนบอกกับพรรคพวกปีศาจของตัวเอง ซึ่งทำให้เมฆากับอีกสองร่างพยักหน้าให้กันก่อนจะหันหลังออกวิ่งกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าสามตัวที่ยืนรออยู่แล้ว

ฮี้!

เสียงม้าสามตัวร้องก่อนที่ทั้งสามจะควบม้าหนีกองทัพปีศาจอย่างรวดเร็ว

“ตามพวกมันเร็วเข้า! อย่าให้หนีไปได้!”

เฮ้!

แล้วโอคุมะก็พาพวกปีศาจทั้งกองทัพวิ่งตามพวกเมฆาไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่พวกเมฆาควบม้าหนีกองทัพปีศาจมาได้ไกลพอสมควร ก็รีบกระโดดลงก่อนเก็บม้าเข้าไปตามเดิม

“พร้อมแล้วใช่ไหมทุกคน” เมฆาถามพลางมองอีกสามคนกับหนึ่งตัวที่อยู่บนเนินสูงทั้งสองด้าน ซึ่งที่ๆพวกเขาอยู่นั้นเป็นช่องภูเขาแคบพอให้แค่คนเดินผ่านไปได้คนเดียวเท่านั้น

“พร้อมแล้วค่ะ/ครับ”

แล้วเมฆากับอีกสองร่างหันหลังกลับไปดู ซึ่งเบื้องหน้าอีกห้าสิบเมตรเป็นสะพานเชือกห้อยระโยงยาวโดยมีเบื้องล่างเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ในขณะที่พวกเขายืนรออยู่นั้น เมฆาก็ได้ถามเกริ่นกับคนข้างๆว่า

“ใครเป็นคนต้นคิดชื่อแก๊ง”

“มาริโอนะ ทำไมหรือ”

“เปล่า ไม่มีอะไร แค่ถามเฉยๆนะ” เมฆาตอบแต่ในใจคิดไปอีกอย่าง

กลับไปเอ็งตายแน่ไอ้เห็ดเกรียน

ซึ่งพวกเขายืนรอไม่นานนัก โอคุมะก็พาพวกปีศาจทั้งกองทัพมาจนถึงแล้ว

“หึ แค่นี้ก็หนีไม่รอดแล้วไอ้ทรยศ” โอคุมะพูดเสียงเย้ยหยัน “พวกเราลุย! อย่าให้มันรอดกลับไปได้สักคนเดียว!”

“เฮ้!”

แล้วพวกปีศาจก็พากันวิ่งกรูข้ามสะพานโดยมีโอคุมะวิ่งนำหน้า ซึ่งทำให้เมฆากับอีกสองร่างวิ่งถอยหลังเข้าไปในช่องแคบของหุบเขาก่อนจะหยุดวิ่งเมื่อเห็นว่าออกมาจากช่องแคบนั่นแล้ว

“จัดการได้เลย!!” สิ้นคำพูดของเมฆา เสียงระเบิดก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กองทัพปีศาจรวมถึงโอคุมะที่วิ่งไปได้แค่ครึ่งสะพานหยุดชะงัก

“อ๊าก!” เสียงพวกปีศาจร้องโหยหวนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตกลงไป ซึ่งเป็นความโชคดีของโอคุมะกับพวกปีศาจอีกสองร้อยตนที่จวนจะถึงฝั่งของสะพานแล้ว พากันกระโดดลอยไปข้างหน้าก่อนจะเหยียบพื้นดินได้อย่างปลอดภัย

“ชิ!” เมฆาสบถคำเมื่อเห็นว่าโอคุมะกับพวกปีศาจเอาชีวิตรอดมาได้ จึงเงยหน้าสั่งคนข้างบนอีกครั้ง “เริ่มแผนสามได้!”

“โอ้!!”

ฝ่ายอยู่ด้านบนตอนรับคำขานของเมฆา ก่อนที่ก้อนหินยักษ์จะกลิ้งหล่นลงมาจากหุบเขา ทำเอาโอคุมะกับพวกปีศาจที่กำลังจะวิ่งเข้ามาช่องแคบของหุบเขาถึงกับหยุดชะงักเท้าด้วยความตกตะลึง

“เหวอ!”

พวกปีศาจต่างกรีดร้องโหยหวนพลางหันหลังวิ่งหนีเอาตัวรอด ยกเว้นโอคุมะที่ยืนนิ่งจนกระทั่งก้อนหินยักษ์มาถึงตัวเองแล้ว พลันปล่อยหมัดของตัวเองเข้าประสานงากับก้อนหินยักษ์

ตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับก้อนหินได้ถูกทำลายอย่างง่ายดาย แต่ทว่าก้อนหินยักษ์ไม่ได้มีแต่เพียงเท่านี้ กลับมีอีกนับสิบก้อนที่ร่วงลงมาพร้อมๆกัน ซึ่งทำเอาโอคุมะเบิกตากว้างจนต้องหันหลังวิ่งหนีก้อนหินพร้อมกับพวกลูกน้องตัวเองอีกไม่กี่ชีวิตอย่างรวดเร็ว ครั้นพอพวกโอคุมะวิ่งไปถึงสะพานที่ขาดไปเพราะแรงระเบิดเมื่อครู่นี้ โอคุมะที่วิ่งนำหน้าก่อนพวกลูกน้องปีศาจของตัวเองก็ได้กระโจนลงไปทั้งตัวโดยใช้มือข้างซ้ายเกาะพื้นขอบเหวเอาไว้ ทำให้พวกลูกน้องปีศาจที่วิ่งตามหลังมาเบรกไม่ทันรวมถึงก้อนหินอีกหลายก้อนที่กลิ้งตามมา ต้องตกเหวลงแม่น้ำไปกันจนหมด

“ชิ! ยังรอดได้อีกอยู่รึนี่” เมฆาสบถคำเป็นครั้งที่สองเมื่อเห็นโอคุมะยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงเดินไปหาโอคุมะที่ยังคงเกาะอยู่ จนกระทั่งถึงที่หมายแล้วเมฆาจึงนั่งลงยองดูโอคุมะที่กัดฟันด้วยความโมโห

“พวกแกมันโกง เล่นรุมกันชัดๆ!”

“ใครรุมใครกันแน่โอคุมะ” เมฆาย้อน ก่อนจะพูดต่อ “ฝ่ายของข้ามีแค่ห้าหกคน แต่ของเจ้ามีตั้งพันสองพันตน แบบนี้เขาเรียกว่าหมาหมู่แล้ว”

แล้วเมฆาก็ชี้ที่หัวของตัวเอง

“ของแบบนี้อยู่ที่มันสมอง อย่างเจ้ามีดีแค่พละกำลัง โดนแหย่นิดหน่อยก็เต้นตามเกมที่ข้าวางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว” เมฆาพูดพลางลดมือลงก่อนจะไปจับนิ้วของโอคุมะที่เกาะดินอยู่ “แต่ก็ขอบใจที่อยู่ข้างท่านพ่อของข้า ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะชั่วสุดขีดก็เถอะ ขอบใจที่อยู่ข้างท่านพ่อของข้าจนวาระสุดท้าย…ไม่ได้ทรยศท่านพ่อเช่นเดียวกับข้าที่เคยทำ”

คำพูดสุดท้ายเมฆาพูดเสียงเบาจนได้ยินเพียงกันแค่สองคน แล้วเมฆาก็แกะนิ้วมือของโอคุมะออกจนหมด ทำให้ร่างยักษ์ร่วงหล่นลงเหวโดยที่มันได้แต่มองสีหน้าอันเจ็บปวดของเจ้าชายตนเอง

ตูม!

...........................................

ถึงแม้สงครามเมืองเหนือจะจบไปแล้ว แต่ฝ่ายราชาปีศาจไม่ได้จบไปด้วย เพราะราชาปีศาจได้ส่งขุนพลอีกสี่ตนยกทัพไปโจมตีเมืองอื่นๆอีก ซึ่งทำเอาผู้เล่นทุกคนที่ยังมีชีวิตรอดกับผู้ที่อยู่นอกเมืองต้องอพยพมาที่เมืองเหนือเพื่อขอความช่วยเหลือจากสมาคมเงา สมาคมจันทราวารี และสมาคมจับฉ่ายให้ไปช่วยเหลือเมืองอื่นๆที่โดนกองทัพปีศาจโจมตี และนอกจากนี้ผู้เล่นทุกคนได้ยกย่องให้เมฆาเป็นแม่ทัพใหญ่ให้กับทุกสมาคมอีกด้วย

ปัง!

เสียงทุบเก้าอี้ดังสนั่น ทำเอาเหล่าลูกน้องปีศาจที่ยืนเข้าเฝ้าราชาปีศาจต่างสั่นด้วยความหวาดกลัว

“พวกเจ้าว่าโอคุมะที่ข้าส่งไปทัพแรกตายกันหมดแล้วรึ” ราชาปีศาจถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกหลังจากฟังผลรายงานของลูกน้องที่รอดชีวิตมาได้ตนเดียว

“ขะ...ขะ...ขอรับท่านราชาปีศาจ”

ปัง!

เสียงทุบเก้าอี้ทำเอาลูกน้องปีศาจสะดุ้งตกใจเป็นครั้งที่สอง

“แล้วขุนพลตัวอื่นกับกองทัพที่ส่งไปล่ะ” ราชาปีศาจถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ซึ่งทำเอาลูกน้องที่เป็นผู้รายงานผลสงครามถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก

“เอ่อ ท่านขุนพลและกองทัพที่เหลือ...ไม่มีใครบาดเจ็บขอรับ แต่...ตายหมด”

ตูม!

ร่างของปีศาจผู้รายงานผลให้ราชาปีศาจฟังกระจัดกระจายไปพร้อมกับเสียงระเบิด เหลือเพียงแค่เศษซากชิ้นเนื้อให้ลูกน้องปีศาจตนอื่นที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนมองด้วยความหวาดกลัว

“ไอ้…พวก…ไม่…ได้…เรื่อง!” ราชาปีศาจกัดฟันพูดจนแลเห็นเส้นเลือดปูดออกมาจากขมับ “จัดพวกเก่งๆที่เหลือมารวมตัวที่นี่ให้หมด ข้าจะจัดประชุมแผนเตรียมบุกเมืองมนุษย์อีก…”

ราชาปีศาจยังพูดไม่ทันจบ มีปีศาจตนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

“เรียนท่านราชาปีศาจ แฮ่กๆ ตอนนี้…แฮ่กๆ พวกมนุษย์ยกทัพมาเป็นแสน แฮ่กๆ จวนจะถึงดินแดนปีศาจแล้วขอรับ!” ปีศาจตนนั้นพูดไปหอบไปพลาง

“ว่ายังไงนะ!!” เสียงราชาปีศาจตวาดถามดังกึกก้อง ทำเอาปีศาจตนนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ

“เอ่อ…พวกมนุษย์ยกทัพมาบุกถึงดินแดนปีศาจแล้วขอรับ คาด…คาดว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงที่นี่ขอรับ” ปีศาจพูดเสียงตะกุกตะกัก “ส่วนผู้ที่นำทัพมนุษย์มา…ก็คือ…เจ้าชายเมฆาขอรับ”

ปัง!

เสียงทุบเก้าอี้ดังขึ้นทำเอาลูกน้องปีศาจที่เข้าเฝ้าต่างสะดุ้งตกใจเป็นรอบที่สาม

“หึ ไอ้ลูกทรพี นอกจากจะทรยศแล้ว ยังจะพาพวกมนุษย์มาฆ่าข้าอีก” ราชาปีศาจแสยะยิ้มพูด ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากบัลลังก์พลางผายมือไปข้างหน้า “เตรียมกำลังพลให้พร้อม! อย่าให้มันได้มาดูถูกเผ่าปีศาจของพวกเราได้!”

“ไฮ! ยัวร์ไฮเนส!!”

พวกปีศาจโห่รับคำสั่งก่อนจะพากันหายตัวไปเตรียมกำลังพลตามคำสั่งของราชาปีศาจ พอพวกปีศาจไปแล้ว ราชาปีศาจก็แสยะยิ้มพลางบีบมือแน่น

“แล้วเราจะได้เห็นดีกันไอ้ลูกชั่ว”

............................................................

กว่าสงครามจะจบลงได้ก็กินเวลาอยู่เกือบสิบวันเต็ม โดยผู้ที่นำทัพไปจัดการขุนพลปีศาจทั้งสี่ตนซึ่งแยกไปโจมตีแต่ละเมืองได้นั้นก็หนีไม่พ้นเมฆา ธิดา ปฐพี และราตรี ซึ่งแน่นอนว่าผู้เล่นจากสมาคมอื่นยังไม่เชื่อฝีมือของราตรีเพราะเห็นเป็นเพียงแค่ผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีระดับสูง เมฆาเห็นดังนั้นจึงให้อเลน เทียนหลง หยางชุนหลาน ปลา คริสตัล งุ้งงิ้ง คอเบียร์ตามไปช่วยราตรีด้วย ซึ่งผลออกมาเกินความคาดหมาย เพราะนอกจากราตรีจะจัดการกับขุนพลปีศาจได้ด้วยตัวเองแล้ว ยังช่วยเหลือผู้เล่นคนอื่นนับยี่สิบชีวิตที่กำลังจะโดนขุนพลปีศาจฆ่าตายได้อีกด้วย

“น้องราตรีจ้ะ ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว น้องน่าจะเอาฮู้ตออกได้แล้วนะ คงร้อนตายแย่” ธิดาบอกราตรีที่อยู่ในชุดคลุมสีเทาปกปิดหน้าตาอย่างมิดชิด

“โอ๊ะ ผมลืมสนิทไปเลย แหะๆ” ราตรีพูดไปหัวเราะไปพลางก่อนจะเอาฮู้ตออก ซึ่งเผยให้เห็นเส้นผมที่เคยเป็นสีเงินสั้นก็ได้น้ำยาเร่งทำให้ผมยาวลากพื้น ส่วนสีผมก็จากที่เคยเป็นสีเงินก็แปรเปลี่ยนสีเป็นสีทอง ซึ่งถ้าไม่สนิทชิดเชื้อหรือเห็นหน้าราตรีทุกวันล่ะก็ คงจำไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือราตรี

“แต่จะว่าไปน้องราตรีทำไมต้องใส่เสื้อคลุมด้วยล่ะ ย้อมกับเร่งผมก็แล้ว ไม่น่าจะมีปีศาจตนไหนจำน้องได้สักคนนะ” อเลนถามอย่างสงสัย เพราะตอนที่ราตรีต่อสู้กับขุนพลตัวต่อตัวนั้น ฮู้ตที่อยู่บนหัวของราตรีได้หลุดออกจากหัวด้วย

“คงเป็นเพราะพวกปีศาจยึดติดกับรูปลักษณ์ของน้องราตรีว่าจะต้องเป็นผมสีเงินสั้นนะ” เทียนหลงตอบพลางมองหน้าราตรีก่อนจะวกกลับมาที่อเลนอีกครั้ง “แล้วอีกอย่างที่นี่คือเกมออนไลน์ ฉะนั้นข้อมูลของเด็กหนุ่มเผ่ามังกรที่มีผมสีทองยาวจะไม่มีในระบบเมมโมรี่ของพวกปีศาจยังไงล่ะ”

“อ้อ แบบนี้นี่เอง”

หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันออฟไลน์ โดยแบ่งหน้าที่กันว่าใครจะเข้ามาออนไลน์เมื่อไหร่ และมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้างหลังจากสงครามสิ้นสุดลงแล้ว ส่วนราตรีเมื่อได้ออฟไลน์เกมไปแล้ว เธอก็ทำภารกิจแบบเดิมตอนเช้าคือนั่งสมาธิ พอเสร็จแล้วก็รีบอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะเดินออกไปข้างนอกห้องเพื่อทำอาหารเช้า ซึ่งอาหารมื้อเช้านี้เธอไม่ต้องลงมือทำเอง เพราะรุ้งกับมีนาเป็นคนทำให้พร้อมเสร็จสรรพ ครั้นพอทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ต้องเดินลงไปส่งนพ รุ้ง มีนา และแก้วที่รถยนต์

“ขับรถกลับดีๆนะตานพ ไม่ต้องรีบร้อน” จันทร์แรมพูดด้วยความเป็นห่วง

“ครับ ผมจะขับกลับดีๆแน่นอนครับ คุณยายไม่ต้องเป็นห่วง” นพบอกก่อนจะพูดต่อ “ถ้ายังไงเรื่องในเกม คุณยายดูแลตัวเองให้ดีๆนะครับ เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายด้านปีศาจจะบุกมาเมื่อไหร่ ยิ่งตอนนี้พวกเราก็มายกทัพในดินแดนปีศาจด้วย ฉะนั้นคุณยายอย่าเดินออกไปเพ่นพ่านที่ไหนนะครับ”

ซึ่งเธอรับปากคำก่อนที่นพจะขับรถพารุ้ง มีนา และแก้วออกไปจากบ้านเรือนไทยหลังนี้ เมื่อพวกนพไปแล้ว เธอก็เดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับฟางที่เป็นพยาบาล

“เดี๋ยวฉันจะเล่นเกมสักหน่อย ระหว่างนี้เธอจะทำอะไรก็ทำไป”

“ค่ะคุณยาย”

ฟางตอบแต่ในใจคิดหาได้เช่นนั้นไม่ เมื่อจันทร์แรมบอกเสร็จแล้ว เธอก็รีบกลับเข้าไปในเกมอีกครั้ง เมื่อจันทร์แรมได้เข้าเกมแล้ว เธอก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิก่อนจะล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกมานอกเต็นท์ ซึ่งเผยให้เห็นกลุ่มเต็นท์นับหมื่นตั้งบนพื้นดินอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ครั้นพอมองไปรอบๆข้าง ก็เห็นผู้เล่นในชุดเกราะคล้ายทหารเดินถืออาวุธกันขวักไขว่ราวกับตรวจดูความเรียบร้อยของสถานที่แห่งนี้

จริงสิ ตอนนี้เรายกทัพออกมาที่ดินแดนปีศาจนี่นะ

พอคิดได้ดังนั้น ราตรีก็เดินออกไปยังซุ้มที่รับประทานอาหาร ซึ่งเต็มไปด้วยหม้อยักษ์ขนาดใหญ่เป็นจำนวนร้อยๆหม้อพอจะบรรจุคนอ้วนไปได้สองคนตั้งอยู่บนกองไฟที่ร้อนระอุ แถมตอนนี้ก็มีพวกผู้เล่นที่ใส่ชุดเกราะบ้าง ไม่ใส่ชุดเกราะบ้าง นั่งลงกับพื้นล้อมวงรับประทานอาหารอย่างสนุกสนานครื้นเครง

“อ้าว สวัสดีขอรับท่านรัตติ ในเกมเพิ่งจะผ่านไปได้สองวันเอง ท่านก็กลับเข้ามาออนไลน์เกมแล้วหรือขอรับ” หนึ่งในนั้นกล่าวทักทายรัตติอย่างสุภาพ ซึ่งทำเอาผู้เล่นคนอื่นที่นั่งคุยกับทานข้าวอยู่นั้นต้องหยุดชะงักแล้วหันมามองเธอพร้อมกัน “มาทานข้าวด้วยกันก่อนสิขอรับ อาหารเพิ่งจะทำเสร็จหมาดๆได้ไม่นานนี่เอง กำลังอุ่นได้ที่เลยนะขอรับ”

ด้วยความที่ราตรีเคยออกทัพกับกลุ่มพวกนี้ จึงทำให้พวกเขากล้าคุยกับเธออย่างสนิทสนม ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเธอว่ารัตตินั้น ก็เป็นเพราะว่าเมฆาไม่ต้องการให้ชื่อราตรีหรือราตรีพิสุทธิ์ลือเข้าหูของราชาปีศาจนั่นเอง

“อืม เอาสิ ข้าเองก็กำลังหิวอยู่พอดี” ราตรีหรือรัตติตอบก่อนจะนั่งลง แล้วพวกทหารในกลุ่มก็ยื่นชามข้าวมาให้เธอ ซึ่งเป็นข้าวโอตคลุกด้วยเนื้อหมูป่าผสมกับผักกาดขาว “อื้ม! อาหารอร่อยใช้ได้เลยนี่ วันนี้เป็นเวรของกลุ่มไหนทำกันล่ะเนี่ย”

“พี่เองครับน้องรัตติ พี่เป็นคนทำเองกับมือ ว่าแต่อาหารพี่อร่อยใช้ได้เลยใช่ไหมครับ” คำตอบที่ไม่ได้ดังมาจากผู้เล่นในกลุ่มที่เธอกำลังทานอาหารด้วยนั้นกลับดังมาจากข้างหลังแทน ซึ่งทำเอาทุกคนที่กำลังทานอาหารอยู่ถึงกับสำลักข้าวพร้อมกันในเวลาเดียว

“อร่อยใช้ได้เลยทีเดียวครับท่านพี่เมฆา” รัตติตอบพลางหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเห็นเมฆายืนถือชามอาหารไว้ในมือ “จะดีกว่านิดถ้าท่านพี่ใส่พริกไทยไปด้วย ว่าแต่ท่านพี่เห็นมาริโอบ้างไหมครับ”

“อ้อ มาริโอนะรึ กำลังทานข้าวเช้าอยู่กับหงส์หยกนะครับน้องรัตติ” คำตอบของเมฆาทำเอารัตติแทบเอามือกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ

หน้าหม้อไม่เลือกเวลาเลยนะมาริโอเอ๋ย

“ฮะๆ พี่ว่าเราน่าจะทำใจกับความเจ้าชู้ประตูดินของมาริโอได้แล้วนะครับ” เมฆาพูดพลางนั่งลงข้างรัตติ ซึ่งทำเอาพวกในวงเห็นต่างพากันขยับหลบออกห่างเมฆาเล็กน้อย “เพราะมาริโอคงจะทนเหงาไม่ได้ที่น้องรัตติไม่ยอมกลับมาออนไลน์ซักที ก็เลยไปขอนั่งทานข้าวกับหงส์หยกนะ”

รัตติพยักหน้าอย่างเข้าใจดี ซึ่งถ้าลองให้มาเป็นเธอล่ะก็ เธอคงทนไม่ได้อย่างแน่นอน เมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว เมฆาก็ได้ชวนเธอไปฝึกดาบด้วยกันท่ามกลางสายตาผู้เล่นหลายคนที่ฝึกอยู่ใกล้ๆ ซึ่งโชคยังดีที่ช่วงสองวันในเกมที่ทุกคนต่างรอผู้เล่นออนไลน์ครบจนหมดทุกคนนั้น ไม่มีทัพปีศาจบุกมาโจมตีพวกเขาเลยซักครั้ง พอเข้าวันที่ห้าของการออนไลน์เกม ปฐพีกับคริสตัลก็ได้ออนไลน์อีกครั้งพร้อมกับผู้เล่นคนอื่นๆ แล้วพวกเขาก็ประชุมหารือเกี่ยวกับการรบอีกครั้งก่อนจะพาผู้เล่นนับแสนมุ่งหน้าสู่สมรภูมิ

................................

 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
มันส์พะยะคะ

ออฟไลน์ tutankamen

  • ผีสิงประจำเล้า
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • Facebook ของผมเองครับ
สงครามกำลังเริ่ม สู้ๆ

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 66 ความช่วยเหลือจากเงามืด

..............................................................

ณ พระราชวังปีศาจใหญ่โตมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหุบเขาแลดูสวยงามและน่ากลัวไปพร้อมกัน หากแต่ผู้เล่นนับแสนที่ยกทัพมาด้วยใจฮึกเหิมกลับหาได้กลัวไม่ ยกเว้นเมฆาที่ควบม้านำทัพเบื้องหน้าสุดกลับรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก

คนทรยศชาติบ้านเมือง

เมฆาคิดในใจอย่างเจ็บช้ำจนแสบทรวง แต่เพื่อความถูกต้องและเพื่อราตรีแล้ว เขายอมโดนตีตราว่าเป็นคนทรยศต่อบ้านเมืองตัวเอง ซึ่งทำเอารัตติที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆลอบมองด้วยความเป็นห่วง ครั้นพอพวกเขายกทัพไปใกล้แล้ว ก็ได้เห็นกองทัพปีศาจตั้งทัพรออยู่ก่อนแล้ว หากแต่ผู้บัญชาการทัพปีศาจอย่างราชาปีศาจหาได้อยู่ตรงนั้นไม่ เมื่อพวกเขามาถึงแล้ว เมฆาก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณพร้อมพรายกระซิบบอกให้ทุกคนหยุดเดิน

“หึ ข่าวลือหนาหูว่าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยนำคนเพียงแค่หยิบมือไปปราบโอคุมะได้ไม่ถึงชั่วโมงนั้นที่แท้ก็เป็นพระองค์นี่เอง เจ้าชายเมฆา” แวมไพรพูดพลางแสยะยิ้ม เมื่อเห็นว่าเมฆาไม่ได้พูดโต้ตอบ จึงกล่าวต่อ “แต่พระองค์ทรงคิดยังไงถึงกล้าพาพวกมนุษย์มาบุกถึงถิ่นบ้านเกิดตัวเองล่ะขอรับ อยากจะแก้แค้นท่านราชาปีศาจที่ขับไล่พระองค์ออกไปจากที่นี่งั้นรึ ฮะๆ”

พอแวมไพรหัวเราะ ก็ทำให้พวกปีศาจที่เหลือก็พลอยหัวเราะเยาะไปตามด้วย ซึ่งทำเอาพวกรัตติที่พอรู้เรื่องเมฆาถึงกับโกรธ

“ข้าทำไปเพื่อความถูกต้อง” เมฆาแย้งเสียงเรียบหากแต่มือขวากำแน่นจนเลือดไหลซิบๆ “การเข่นฆ่ามนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าปีศาจจะพึงกระทำ พวกมนุษย์ไม่ได้ทำอะไรให้เผ่าปีศาจเลยซักนิด แล้วทำไมต้องบุกโจมตีด้วย ในเมื่อท่านพ่อต้องการจะทำสงครามกับมนุษย์ ข้าก็จะสู้ ต่อให้ฆ่าท่านพ่อด้วยมือนี้ก็ตามที”

“ทำไปเพื่อความถูกต้อง?” แวมไพรพูดทวนในสิ่งที่เมฆาพูดไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง“ไม่คิดเลยว่าพระองค์ทรงตรัสเช่นนี้ แล้วพระองค์ล่ะ สิ่งที่พระองค์ทรงทำในตอนนี้มันถูกต้องนักหรือ ทรยศท่านราชาปีศาจทรยศบ้านเมืองตัวเอง แถมหนำซ้ำยังพาพวกมนุษย์มาบุกทำลายบ้านเกิดตัวเองแบบนี้เขาเรียกว่าถูกต้องงั้นหรือขอรับ”

“หุบปาก แกไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของเมฆาหรอกไอ้ตัวดูด...” อเลนยังเถียงไม่จบ เมฆาก็ยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน

“เถียงไปก็เปล่าประโยชน์อเลน พวกเขาเป็นปีศาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อ จะเชื่อฟังก็แต่ท่านพ่อเท่านั้น” เมฆาบอกก่อนจะถอนหายใจ พลันจากสีหน้าที่เคยเหนื่อยล้ากับการฟังคำพูดของแวมไพรเปลี่ยนมาเป็นสีหน้ามุ่งมั่นแทน “เอาล่ะทุกคน พร้อมกันแล้วใช่ไหม!”

เฮ!

เสียงทุกคนขานตอบรับก่อนที่เมฆาจะให้สัญญาณ

“บุก!”

เฮ!

แล้วผู้เล่นก็วิ่งถาโถมเข้าใส่พวกปีศาจ ส่วนพวกปีศาจเองก็วิ่งเข้าหาด้วยเช่นกัน ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสมรภูมิเดือดยากเกินที่จะบรรยาย

“อย่าหาว่ากระหม่อมใจร้ายหากทำให้พระองค์ต้องทรงสิ้นพระชนม์นะ หึๆ” แวมไพรพูดดูถูก ซึ่งเมฆาหาได้สนใจไม่

“จะเข้ามาก็เข้ามาสิ” เมฆาพูดพลางชักดาบขึ้นมาในขณะที่แวมไพรเองก็ได้ทำให้เล็บมือโผล่ยาวขึ้นมาแลดูน่ากลัว “ข้าเองก็อยากจะรู้ฝีมือแวมไพรอย่างเจ้าว่าจะแน่สักแค่ไหนเหมือนกัน”

เคล้ง!

ในขณะที่เมฆากำลังต่อสู้กับแวมไพรอยู่นั้น พวกรัตติก็ได้สู้กับพวกปีศาจระดับบอสด้วยเช่นกัน

ฉึก!

8900

ดาบตัดขั้วลมหายใจ ทำให้บอสปีศาจที่รัตติจัดการนั้นสลายไปในพริบตาเดียว ซึ่งแน่นอนว่ารัตติไม่ได้อยู่ดูจนจบ หันหลังกลับมาสู้กับบอสปีศาจตนอื่นต่อ ในขณะที่มาริโอเองก็ใช้วิชาพ่นดอกไม้ไฟใส่บอสปีศาจที่คิดจะเข้ามาใกล้รัตติอยู่เกือบตลอดเวลา มีบ้างที่มันจะกระโดดเหยียบหัวบอสปีศาจให้เกิดความมึนงง หรือไม่ก็ใช้สกิลของตัวมันเองซึ่งได้มานานแล้ว นั่นก็คือสกิลดาวพิฆาตศัตรู พอใช้แล้วร่างกายของมาริโอจะเกิดประกายแสงระยิบระยับ เมื่อมาริโอวิ่งเข้าไปโดนศัตรูเข้า ศัตรูมีอันกระเด็นจนพลังเลือดลดไปเกือบครึ่งหลอด ซึ่งทำให้พวกปีศาจมีอันเพ่งเล็งมาริโอว่าเป็นตัวมอนสเตอร์รับใช้มนุษย์ที่มีวิชาประหลาด ห้ามเข้าใกล้เป็นอันขาด ถึงแม้พวกเขาจะพาผู้เล่นขนมาเยอะเป็นแสน แต่ก็ล้มพวกปีศาจได้แค่สองส่วนเพราะปีศาจแต่ละตัวที่เจอส่วนมากจะเป็นบอสระดับแปดสิบทั้งสิ้น

น่าจะมากันได้แล้วนะ

ในระหว่างที่รัตติกำลังต่อสู้อยู่นั้น มีปีศาจคิดจะแอบลอบโจมตีรัตติตอนเผลอ ทว่าจู่ๆก็มีเปลวไฟพุ่งลงมาจากท้องฟ้า เผาปีศาจตนนั้นจนไม่เหลือแต่ซาก

ก๊าซ!

เสียงมังกรที่ดังจากบนฟากฟ้า ทำเอาผู้เล่นทุกคนรวมถึงปีศาจต่างเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะตกตะลึงไปพร้อมๆกัน

มังกร!

แถมมีเยอะกว่าพวกเรากับพวกปีศาจรวมกันอีกด้วย!!


ผู้เล่นคนอื่นตกใจเพราะไม่รู้ว่าจะมีมังกรมาช่วย ยกเว้นพวกรัตติที่ต่างรู้ก่อนอยู่แล้ว ก่อนจะพาขึ้นเรือพิเศษที่เคยได้พิเศษจากการทำสงครามเมื่อหลายปีก่อนในเกมไปเกาะมังกร ซึ่งเป็นบ้านเกิดของราตรีนั่นเอง ส่วนเหตุผลที่เมฆาพาราตรีกลับไปเกาะมังกรนั่นก็เป็นเพราะไปขอความช่วยเหลือจากพวกมังกรให้รวมตัวกันมาช่วยราชามังกรกับนางพญามังกรนั่นเอง เมื่อพวกมังกรมาถึงแล้ว ต่างเข้าโจมตีพวกปีศาจอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาผู้เล่นที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนมองอ้าปากค้างเพียงอย่างเดียว

ช่วยได้เยอะเลย

รัตติหรือราตรีลอบคิดในใจอย่างยินดี แล้วจู่ๆ ก็มีมังกรตัวหนึ่งที่ใหญ่กว่าในฝูงมังกรบินโฉบลงมาก่อนจะกลายร่างเป็นมนุษย์มานั่งคุกเข่าเคารพต่อหน้ารัตติ

“ขออภัยที่กระหม่อมล่าช้า” ชายหนุ่มหน้าเข้มผมสีน้ำตาลยาวกลางหลังในชุดเกราะพูดเสียงนอบน้อม ซึ่งทำเอาผู้ที่เคยร่วมทัพกับรัตติต่างมองด้วยความงุนงง

“ลำบากพวกท่านจริงๆ กว่าจะรวบรวมกำลังของพวกเราได้ คงใช้เวลานานน่าดู” รัตติพูดยิ้มๆ “ทำตามที่เราบอก จัดการเปิดทางให้เรา แล้วเราจะเข้าไปในนั้นเพื่อช่วยท่านพ่อท่านแม่เอง”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”

สิ้นคำของชายแปลกหน้า ร่างสูงก้มหน้าโค้งให้รัตติหนึ่งทีพลางเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนจะกลายร่างเป็นมังกรตามเดิมแล้วกระพือปีกบินขึ้นฟ้าพลางคำรามเสียงดังสนั่น

ก๊าซ!

เมื่อมังกรตัวนั้นส่งเสียงคำรามแล้ว ทำเอามังกรทุกตัวที่ได้ยินต่างพากันจัดการปีศาจที่ยืนขวางประตูอย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงห้านาที เส้นทางที่จะเดินไปยังตัวพระราชวังก็ได้ถูกเปิดให้เดินได้สะดวกแล้ว

ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเผ่ามังกรไม่ใช่หมูๆ

ผู้เล่นทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างคิดในใจพร้อมกัน แล้วเมฆาก็สั่งให้ผู้เล่นทุกคนคอยจัดการพวกปีศาจที่เหลือก่อนที่จะเดินนำทางพวกรัตติให้เข้าไปข้างในตาม ซึ่งทันทีที่รัตติหรือราตรีได้ก้าวข้ามธรณีประตูแล้ว ร่างกายของเธอเกิดชะงักขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกอันคุ้นเคยที่จากไปนานแสนนาน

กลิ่นไอนี่มัน...

ของท่านพ่อท่านแม่ไม่มีผิด!!

“เป็นอะไรไปหรือน้องรัตติ ทำไมไม่เข้ามาอีกล่ะ” เมฆาถามอย่างสงสัย ซึ่งรัตติสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าไปมา

“ไม่มีอะไรครับ ผมว่าพวกเรารีบเดินกันต่อเถอะ” รัตติตอบก่อนจะก้าวเท้าเดินข้ามไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ทุกคนที่เดินนำหน้ารัตติหันหลังกลับแล้วรีบออกเดินตามหลังเมฆาไป ซึ่งในระหว่างทางนี้เธอเห็นว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องปกปิดอีกแล้ว จึงเอาฮู้ตออกมาจากหัวพร้อมกับคืนสภาพทุกอย่างให้กลับเป็นดังเดิม เมฆาพาทุกคนออกวิ่งไปเรื่อยๆ จากทางเข้าตัวพระราชวัง ห้องโถง ทางเดินที่เชื่อมลงไปข้างล่างใต้พระราชวัง ก่อนจะสิ้นสุดเป้าหมายตรงที่กำแพงซึ่งเป็นทางตัน

“ทางมัน...” ศาสตรายังพูดไม่ทันจบ เมฆาก็ได้ทำอะไรบางอย่างกับกำแพงจนกระทั่งกำแพงเบื้องหน้าได้ยุบหายตัวไปในพริบตาเดียว “...ตัน”

“อย่าเพิ่งเดินไปเชียวนะ เพราะทางข้างหน้านี้มีกับดัก” เมฆาบอกโดยไม่สนใจคำพูดอันซื่อบื้อของศาสตรา

“แล้วพวกเราจะต้องเดินไปกันยังไงล่ะครับ ในเมื่อมีกับดักนะ” ราตรีถามอย่างสงสัย

“เดี๋ยวพี่จะใช้ทักษะโล่ป้องกันทุกคนนะน้องราตรี” เมฆาตอบก่อนจะพูดต่อ “เพราะฉะนั้นเวลาจะเดินไปแล้วก็ช่วยจับมือต่อกันเป็นทอดๆ อย่าได้ปล่อยเด็ดขาดนะจำไว้”

เมื่อเมฆาพูดจบ ทุกคนพยักหน้ารับทราบก่อนที่เมฆาจะเริ่มใช้ทักษะตามที่กล่าวไว้ พอโล่ออกมาปกคลุมร่างเมฆาแล้ว ทุกคนก็เริ่มจับมือต่อกันเป็นทอดๆ พอมั่นใจแล้วว่าปลอดภัยดีแน่ เมฆาจึงพาทุกคนเข้าไปในนั้นทันที เมื่อผ่านกับดักซึ่งเป็นลูกธนูแล้ว ทันทีที่ได้เหยียบเข้าไปในห้องๆหนึ่งแล้ว ราตรีได้เห็นว่าท่ามกลางความมืดมิดมีชายผมดำยาวในชุดเกราะสีดำนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์กำลังแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเธอ

ราชาปีศาจ

ครั้นพอเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับกรงนกยักษ์ถูกแขวนอยู่บนกลางอากาศ

“ท่านพ่อท่านแม่!”

ราตรีร้องเรียกพ่อแม่ทั้งน้ำตาเมื่อเห็นทั้งคู่นั่งกอดกันโ ดยเอนหลังพิงกรงเหล็กด้วยสีหน้าซีดเซียว ซึ่งเสียงของราตรีนั้นทำให้สองร่างที่นั่งหลับตาอยู่นั้นถึงกับลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มมองหาต้นเสียง

“ราตรีพิสุทธิ์! นั่นลูกใช่ไหม” ผู้เป็นพ่อเรียกก่อนจะตามด้วยผู้เป็นแม่ที่กล่าวเสียงยินดีทั้งน้ำตา “ราตรีพิสุทธิ์ลูกแม่ ลูก…แม่ โอ้สวรรค์ ขอบคุณที่ช่วยลูกชายของข้าให้รอดพ้นจากความตาย”

ราตรีได้ยินดังนั้นทำท่าจะวิ่งเข้าไปหาหากแต่ถูกธิดารั้งเอาไว้

“อย่าน้องราตรี มันอันตราย”

“แต่ผมจะไปหาท่านพ่อท่านแม่”

“ถ้าอยากจะช่วย น้องราตรีต้องอดทนรอ ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงแค่…” เมฆาตอบด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนใจ “…โค่นบอสราชาปีศาจให้สำเร็จ”

พอราตรีได้ยินดังนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเมฆาเองก็ต้องลำบากใจที่ต้องจัดการพ่อของตัวเองด้วยเช่นกัน

“ครับท่านพี่”

“คุยพอกันรึยัง” ราชาปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายหลังจากรอได้สักพักแล้ว ก่อนจะชายตามองลูกชายของตัวเอง “ส่วนเจ้า ไม่ต้องห่วงไอ้ลูกชั่ว ในฐานะของพ่อ ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับชู้รักด้วยมือข้าเอง”

ส่วนเมฆาได้ยินที่พ่อของตัวเองพูดถึงกับพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

“ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อท่านไม่เห็นข้าว่าเป็นลูกอีกต่อไป ข้าก็จะได้ลงมือจัดการอย่างสบายใจซักที” เมื่อเมฆาพูดจบ ทุกคนต่างงัดอาวุธที่คิดว่าดีสุดขึ้นมาใช้ ซึ่งทำเอาราชาปีศาจที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ถึงกับแสยะยิ้มพลางลุกขึ้นยืน ก่อนที่มือขวาจะมีดาบเล่มหนึ่งที่มีไอความมืดแผ่กระจายจนพวกราตรีรู้สึกถึงมันได้

กระทั่งไอความมืดก็ยังสร้างกันได้

เกมนี้สร้างได้น่ากลัวเกินไปแล้ว!


ราตรีคิดในใจ รวมถึงทุกคนในที่นี้ด้วยเช่นกัน แล้วทุกคนต่างงัดฝีมือของตัวเองขึ้นมาใช้ตามแผนที่เมฆาเคยบอกไว้ หากแต่พลังป้องกันของราชาปีศาจมีค่าสูงเกินไป จึงทำให้พวกราตรีโจมตีไม่เข้า แถมหนำซ้ำยังถูกโจมตีกลับจนเกือบปางตายกันทุกคน

“อเลนเต็มถัง!”

“ได้เลย!”

อเลนตอบก่อนจะใช้ทักษะเพิ่มเลือดให้กับทุกคน ซึ่งทำให้พลังเลือดของทุกคนกลับคืนมา

“ยังคิดจะสู้อีกรึ ช่างไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลย” ราชาปีศาจพูดอย่างดูถูกดูแคลน

“ก็ยังดีกว่าเจ้าที่เอาพ่อแม่คนอื่นมาเป็นตัวประกันแล้วกันไอ้ราชาปีศาจจอมขี้ขลาด” มาริโอเถียงย้อน ทำเอาทุกคนหันไปมองมันพร้อมกัน

“มาริโอ” ราตรีร้องอุทานอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน และรู้สึกเป็นปลื้มที่เห็นมาริโอพูดแบบนี้ ส่วนราชาปีศาจนั้นเมื่อเห็นว่าผู้พูดนั้นเป็นใครก็ชี้นิ้วไปหามาริโอก่อนจะพูดว่า

“เป็นแค่มอนสเตอร์ระดับล่าง ริบังอาจลบหลู่เบื้องสูง ไปตายเสียเถอะ”

Dark Pillar!

9999


การโจมตีด้วยเวทมนตร์ของราชาปีศาจเพียงครั้งเดียว ทำเอามาริโอกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปนอนพับกับพื้นแลเห็นเนื้อตัวผิวไหม้เกรียมจนดูไม่ได้

“มาริโอ!” ทุกคนร้องเรียกมาริโอพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ก่อนที่อเลนรีบใช้พลังรักษาขั้นสุดยอด ทำให้ร่างมาริโอที่เคยไหม้เกรียมกลับหายเป็นปกติหากแต่สติของมันกลับเลือนหายไปพร้อมกับความเจ็บปวด

“ไม่ต้องห่วงมาริโอไปหรอกน้องราตรี อีกเดี๋ยวมันก็ฟื้นเอง” อเลนรีบบอกเพราะกลัวราตรีจะเป็นห่วงมาริโอจนทำอะไรไม่ถูก “ทางที่ดี น้องราตรีเอามาริโอไปไว้ด้านหลังไกลๆ เพราะพี่ไม่อยากให้มันโดนอีกเป็นครั้งที่สอง”

“ครับพี่อเลน” แล้วราตรีก็อุ้มมาริโอไปไว้ไกลๆก่อนจะวิ่งกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ราตรีคิดจะใช้ทักษะแปลงร่างมังกรขั้นสุดยอดในการต่อสู้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ใช้ราชาปีศาจก็พูดขึ้นแทรกมาว่า

“อย่าได้คิดสู้อีก ไม่เช่นนั้นพ่อกับแม่ของเจ้าตายแน่พ่อหนุ่มน้อยเอ๋ย” เมื่อราชาปีศาจพูดจบ ทั้งเดรคทั้งเหม่ยจิงต่างกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดซึ่งทำเอาราตรีถึงกับกัดฟันด้วยความเจ็บปวด แต่ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้นราตรีได้เหลือบเห็นเงาดำกำลังคืบคลานอยู่บนเพดานหลังบัลลังก์ที่ราชาปีศาจใช้นั่งอยู่

นั่นมันเงาอะไรนะ... ราตรีขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย เมื่อเห็นชัดเจนแล้วถึงกับอ้าปากค้างนิดๆ แต่ก็หุบปากเก็บกิริยาตัวเองไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะหันมามองทุกคนที่กำลังตกใจกับราชาปีศาจที่เลินเล่อกำลังดูดพลังของพ่อแม่เธอโดยไม่ทันได้สังเกตเงาดำนั่นเลยซักนิดเดียว ดีล่ะ...ต้องเสี่ยงหน่อยแล้วเรา...อาจจะเจ็บตัวหน่อยแต่ก็คุ้มค่าที่ได้ช่วยท่านพ่อท่านแม่ได้

ราตรีคิดในใจจบ ก็พลันกรีดเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดราวกับทนไม่ได้ที่เห็นภาพของพ่อแม่ตัวเองต้องทุกข์ทรมาน ซึ่งเสียงของเธอทำเอาทุกคนชะงักก่อนจะหันมามองเธอพร้อมๆกัน

“ฮือๆ ขอร้องล่ะ...อย่าทำอะไรท่านพ่อท่านแม่อีกเลย” ราตรีพูดขอร้องจนน้ำตาไหลอาบแก้ม “เอาผมไปแทนท่านพ่อท่านแม่ก็ยังได้...แต่ขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรท่านพ่อท่านแม่เลยได้ไหมครับท่านราชาปีศาจ”

“น้องราตรี!/พี่ราตรี” ทุกคนต่างร้องเรียกชื่อเธอพร้อมกันเป็นเสียงเดียว เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคน ส่วนราชาปีศาจนั้นเมื่อได้ยินคำขอร้องของราตรีแล้ว ถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่น

“ฮะๆ ได้สิ มาหาข้าเลย แล้วข้าจะปล่อยพ่อแม่ของเจ้าไป”

“ไม่นะ...ลูกรัก...อย่า...ทำแบบนั้น” เหม่ยจิงพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักในขณะที่เธอกับเดรคกำลังถูกราชาปีศาจใช้พลังทรมานเพื่อหลอกล่อทุกคนให้ยอมแพ้ ส่วนเดรคนั้นเมื่อได้ยินที่ลูกชายพูดแล้ว ก็ฝืนกัดฟันพูดกลับไปบ้าง “อย่า...ยอมแพ้...ง่ายๆ...แบบนี้...สิ...ลูกผู้...ชาย...ต้องสู้...ถ้า...ลูก...ยอมแพ้ตอนนี้...พ่อจะโกรธ...ลูก...ไป...ตลอด...ชีวิตแน่”

ราตรีได้ยินที่ทั้งสองคนพูดถึงกับกัดฟัน

ลูกขอโทษ แต่ลูกจำเป็นต้องทำ...

“ผมขอโทษฮะ” ราตรีกล่าวได้เพียงแค่นั้นก่อนจะก้าวเท้าเดินออกมาโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามของทุกคน เมื่อราตรีเดินมาถึงด้านหน้าของราชาปีศาจแล้ว เธอก็เหลือบเห็นเงานั้นกระโจนขึ้นบนกรงเหล็กอย่างแผ่วเบา

ขอให้สำเร็จทีด้วยเถอะ

“ดีมากไอ้หนุ่มน้อย ต้องแบบนี้สิ ถึงจะคุ้มค่ากับที่ข้าจะได้สูบพลังของเจ้า” ราชาปีศาจพูดอย่างพออกพอใจ ก่อนจะยื่นมือขวามาคว้าที่ลำคอขาวเนียนของราตรีท่ามกลางสายตาของทุกคน “แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า...ข้าจะปล่อยพ่อแม่ของเจ้าแน่แต่เป็นหลังจากที่ได้สูบพลังของเจ้าและพ่อแม่ของเจ้าจนหมดตัวนะ ฮะ...ฮะ...ฮ่า!”

“กะ...แก...ไอ้ราชาปีศาจ...ชั่ว...ไม่ทำ...ตามสัญญา...ที่ให้ไว้กันนี่ อ็อค!!” ราตรีแสร้งพูดด้วยความโมโหที่รู้ว่าโดนราชาปีศาจหลอกต้มซะเปื่อย แต่เธอก็พูดไม่จบเพราะโดนอีกฝ่ายบีบคอแน่นจนแทบหายใจไม่ออก

พลัง...พลังกำลัง...ถูก...ดูดออกไป

ส่วนคนอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็แทบจะถลาเข้าไปช่วย หากแต่ไฟสีดำกลับโผล่ออกมาขวางเป็นกำแพงไว้ไม่ให้ใครเข้าย่างกรายได้

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละไอ้พวกหน้าโง่!” ราชาปีศาจหันไปตวาดพวกเมฆาก่อนจะหันมาแสยะยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่ถูกบีบคออยู่ “ถ้าไม่อยากให้เพื่อนของพวกแกตายเร็วล่ะก็ จงอยู่เฉยๆซะ หึๆ”

ครั้นราชาปีศาจจะหันไปหยามเดรค แต่ใจก็หายวาบไปถึงตาตุ่มเมื่อเห็นกรงที่เคยมีสองคนนั้นอยู่กลับว่างเปล่า เหลือแต่เพียงบานประตูกรงที่ถูกเปิดออก

“บ้าน่า?! หายไปไหนแล้ว!!” ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ราชาปีศาจที่ตกใจตนเดียว กระทั่งพวกเมฆาเองก็ตกใจด้วยเช่นกัน หากแต่พวกเขาตกใจได้เพียงชั่วครู่ จู่ๆเสียงสวรรค์ก็ลงมาโปรด

“ไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ที่นี่ตั้งหากล่ะขอรับท่านราชาปีศาจ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเมฆา ทำเอาทุกคนหันหลังกลับไปมองต้นเสียงอย่างเร็วก่อนจะตกตะลึงเมื่อเห็นพ่อแม่ของราตรียืนอยู่โดยมีตัวตลกคอยยืนประคองอยู่ข้างๆกายด้วย

“ปิเอโร่!”

..............................................

 o13 o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
กำลังเข้มข้นเลยครัช สนุกๆ

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 67 สูญเสีย

..................................

“ปิเอโร่!”

ทุกคนร้องเรียกตัวตลกพร้อมกันเป็นเสียงเดียวอย่างไม่เชื่อสายตา ยกเว้นเมฆาที่นึกเอะใจตั้งแต่เห็นปิเอโร่เดินโผล่ให้เขาเห็นตอนอยู่ในเมืองดนตรีไปนานแล้ว

สงสัยมันตามเขามา

เมฆาคิดในใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกดีใจที่ปิเอโร่มาช่วยเขาในยามคับขัน ทว่าเมฆาดีใจได้ไม่นานนัก เสียงร้องของราตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อ็อค!”

ตายล่ะ มัวแต่มองปิเอโร่จนลืมน้องราตรีไปเสียสนิท!

ครั้นเมฆาและพรรคพวกคิดจะเข้าไปช่วยราตรีเดี๋ยวนั้น หากแต่ร่างบางเกิดแสงสีฟ้าขึ้นมาพร้อมกับเสียงระเบิด ทำเอาทุกคนต้องรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ทว่าช่วงทุกคนหลับตาอยู่นั้น ราตรีได้แปลงร่างขั้นสุดยอดก่อนจะใช้ทักษะเวรกรรมเตะผ่าหมากราชาปีศาจ

9999999

“อู๊วววววว!”

เสียงราชาปีศาจร้องโหยหวนอย่างกับควายถูกเชือด ซึ่งเมฆาได้ยินดังนั้นจึงรีบลืมตาขึ้นก่อนจะเห็นราชาปีศาจลงไปนอนหน้าเขียว สองมือกุมเป้ากางเกง นัยน์ตาเหลือกลาน น้ำลายฟูมปาก แล้วเมฆา อเลน ปฐพี พิภพ ศาสตรา ที่ยืนมองภาพนั้นอยู่ต่างก็ยกมือกุมเป้ากางเกงตนเองไว้อาลัยให้กับราชาปีศาจในทันที

ช่างอำมหิตเกินจะกล่าว

ลูกเตะเวรกรรม

แล้วราชาปีศาจก็ค่อยๆกัดฟันลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก

“อูย ซี้ด ไอ้เด็กบ้า โอย แก ทำ ข้า โกรธ โอย เจ็บเว้ย” ราชาปีศาจบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะกลายร่างเป็นปีศาจทันที ซึ่งพออีกฝ่ายแปลงร่างเสร็จแล้วก็เอ่ยปากพูดขึ้นต่อ “ข้ายังมีไพ่ตายเหลืออยู่อีกใบนะ”

“อะไรนะ?!” ทุกคนร้องอุทานพร้อมกัน ก่อนที่เมฆาจะรู้สึกปวดหัวจนต้องกรีดร้องออกมา

“อ้ากกกก!” แล้วจู่ๆก็มีออร่าสีดำครอบงำเมฆา ซึ่งราตรีเห็นท่าไม่ดีจึงพูดขึ้นแทรกว่า

“ท่านพี่อย่าให้จิตใจปีศาจเข้าครอบงำท่านสิ!”

ส่วนอเลนเองก็ทนอยู่เฉยไม่ได้ จึงพูดขึ้นบ้าง

“เมฆา เจ้านึกถึงเวลาที่เราสนุกด้วยกันสิ!”

“เมฆา!”

ทุกคนต่างร้องเรียกชื่อเมฆาเพื่อหวังเรียกสติชายหนุ่มให้ตื่น ซึ่งเสียงของทุกคนทำเอามาริโอที่นอนสลบอยู่นั้นถึงกับตื่น คราแรกมันออกจะมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นพอเห็นเหตุการณ์ก่อนจะทำการประมวลชั่วครู่ดูแล้วก็พอเข้าใจ มันจึงค่อยลุกขึ้นยืนก่อนจะตะโกนขึ้นว่า

“ตั้งสติหน่อยสิวะไอ้เมฆางี่เง่า!” สิ้นเสียงของมาริโอ ทำเอาเมฆาในคราบปีศาจหยุดชะงักร้องก่อนจะหันมามองมาริโออย่างเอาเรื่อง แล้วก็พุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อดึงมาริโอขึ้นมาท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ต่างมองด้วยความตกใจ

เพี๊ยะ!

500


“ปากเสียไม่หายซักทีนะไอ้เห็ดเวรตะไล” คำพูดของเมฆาทำให้ทุกคนดีใจที่เมฆายังเป็นคนเดิม แล้วเมฆาก็หันหน้าไปพูดกับราชาปีศาจต่อ “เสียใจด้วยนะตาเฒ่าที่ผิดแผน ถึงร่างกายของผมจะเป็นปีศาจ แต่หัวใจของผมยังเป็นมนุษย์อยู่เสมอ”

ราชาปีศาจได้ยินที่เมฆาพูดแล้วถึงกับสบถคำใส่อย่างเหยียดกลับมาว่า

“หัวใจของผมยังเป็นมนุษย์อยู่เสมองั้นรึ? น่าขันสิ้นดี เป็นปีศาจชั้นสูงแท้ๆแต่กระแดะอยากจะเป็นมนุษย์ชั้นต่ำ เห็นทีพ่อคนนี้คงต้องสั่งสอนลูกชายอย่างแกให้รู้จักหลาบจำเกี่ยวกับพวกชนชั้นสูงเสียแล้วกระมัง!”

พูดจบ ราชาปีศาจก็ดาหน้าเข้ามาหาเมฆาอย่างรวดเร็วก่อนจะตวัดกรงเล็บใส่เมฆาหมายจะทำลายใบหน้าคล้ายคลึงตัวเองนี้ให้สิ้นไป ทว่าเมฆารู้ตัวอยู่ก่อนแล้วจึงไหวตัวหลบได้ทันท่วงที ส่วนราตรีเมื่อเห็นเมฆาโดนโจมตีแล้ว จึงเข้าช่วยอย่างเร็ว

ผัวะ!

8000


ราตรีเตะเข้าที่สีข้างของราชาปีศาจ ทำเอาอีกฝ่ายกระเด็นไปด้านข้างตามแรงเตะก่อนจะพุ่งเข้าหาราตรีเพื่อที่จะเอาคืน แต่ก็โดนเมฆาใช้กรงเล็บตวัดกลับไปบ้าง

ขวับ!

ราชาปีศาจหลบการโจมตีเมฆาได้ทันก่อนจะหมุนตัวเตะเมฆากลับไปบ้าง โดยทั้งสามผลัดกันรุกผลัดกันรับเร็วมากเสียจนพวกอเลนไม่กล้าเข้าไปสู้ด้วยเพราะกลัวจะโดนลูกหลง แต่ก็มีบ้างที่ทุกคนจะหาโอกาสคอยเติมเลือดให้เมื่อเห็นราตรีกับเมฆาโดนราชาปีศาจโจมตีจนเสียเลือดไปเยอะ

“นี่ขนาดเมฆาแปลงร่างเป็นปีศาจกับน้องราตรีแปลงร่างเป็นมังกรขั้นสุดยอดแล้ว ยังเอาชนะไม่ได้อีกรึเนี่ย” อเลนพูดอย่างหัวเสีย

“นั่นสิ ทำไมถึงเอาชนะไม่ได้ซักที” ปฐพีพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนดูคุณยายต่อสู้อยู่นานแล้ว เพราะถ้าทั้งคู่ได้แปลงร่างตามเผ่าของตัวเองแล้ว จะมีพลังสูงกว่าเผ่ามนุษย์อย่างพวกเขามาก แต่แล้วปฐพีก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงหันหน้าไปหาพ่อแม่มังกรที่มีปิเอโร่คอยยืนประคองอยู่ข้างๆ “พวกท่านสองคนพอจะรู้จุดอ่อนของราชาปีศาจบ้างไหมครับ”

“เสียใจด้วยเด็กน้อย พวกเราไม่รู้อะไรเลย” เดรคตอบพลางส่ายหน้า ซึ่งทำเอาคนถามอย่างปฐพีฟังแล้วรู้สึกท้อ “รู้ไหมว่าเพราะเหตุใดทำไมลูกข้ากับเมฆาถึงเอาชนะราชาปีศาจไม่ได้”

“ผมไม่ทราบครับ” ปฐพีตอบอย่างจนมุม เพราะเขาไม่รู้ว่าทำไมสองคนนั้นถึงเอาชนะราชาปีศาจไม่ได้ซักที ทั้งๆที่ทั้งคู่มีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาที่เป็นมนุษย์อยู่มากโข

“นั่นก็เพราะลูกชายข้ายังงัดพลังของตัวเองออกมาใช้ได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่นะสิ”

“ห๊ะ?! ยังใช้ไม่ถึงหนึ่งในสี่เองหรอกหรือครับ?!” ปฐพีร้องอุทานอย่างตกใจ รวมถึงคนอื่นๆที่ยืนฟังอยู่นั้นก็พลอยตกใจด้วยเช่นกัน ซึ่งเดรคกับเหม่ยจิงพยักหน้าตอบพร้อมกัน

“ใช่ นั่นเป็นเพราะพวกเราผิดเองที่ไม่ได้มอบพลังให้แก่เขาก่อนจะพลัดพรากจากกัน” เดรคตอบพลางหันหน้าไปทางเหม่ยจิง “ยังพอไหวไหมเหม่ยจิง”

“พอไหวค่ะที่รัก ข้าพร้อมเพื่อลูกอยู่เสมอ”

“พวกท่านจะทำอะไรกันหรือ…”

ปฐพียังถามไม่ทันจบดี ทั้งสองคนก็หลับตาลงก่อนแสงสีฟ้าจะส่องประกายไปทั่วตัว แล้วแสงพลังนั้นก็ค่อยพุ่งเข้าหาราตรีอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาราชาปีศาจกับเมฆาต้องกระโดดถอยหนีตามสัญชาติญาณ

“เกิดอะไรขึ้น?!”

ทั้งราชาปีศาจทั้งเมฆาต่างตกตะลึง แม้กระทั่งตัวราตรีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน หากแต่ความรู้สึกถึงขุมพลังอันคุ้นเคยทำให้ราตรีเข้าใจเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะได้พลังมาแต่ทว่าราตรีกลับใช้พลังได้ไม่ถูกต้องจนคนเป็นพ่ออย่างเดรคต้องส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง

“ใจเย็นๆสิคะที่รัก เราต้องเชื่อมั่นในตัวลูกว่าต้องทำได้” เหม่ยจิงพูดปลอบ ซึ่งเดรคก็ได้แต่ถอนหายใจพยายามที่จะเชื่อมั่นในตัวลูกชาย

“ผมก็หวังว่าให้มันเป็นอย่างที่คุณว่าแล้วกัน” แล้วทั้งสองคนก็หันไปมองลูกชายกับเพื่อนต่อสู้ต่อด้วยความหวังอันริบหรี่ ซึ่งการต่อสู้ดูเหมือนจะยืดเยื้อไปอีกนานจนราชาปีศาจนึกเบื่อหน่ายที่จะต่อสู้แบบนี้ต่อไปอีก

“เล่นพอหอมปากหอมคอเท่านี้แล้วกัน” ราชาปีศาจพูดพลางกระโดดตีลังกาถอยหลังก่อนจะแบมือหันไปหาราตรี “ต่อไปนี้ข้าจะเอาจริงแล้วนะมังกรน้อย”

“อะไรนะ?!” ราตรีชะงักมือเมื่อได้ยินราชาปีศาจพูดกับตัวเอง ก่อนที่ราตรีจะรู้สึกว่าปลายเท้าของเธอเริ่มชาก่อนจะไล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วมากจนราตรีงัดน้ำยาแก้คำสาปขึ้นมาไม่ทัน และภาพสุดท้ายที่ราตรีได้เห็นก่อนจะดับวูบไปก็คือภาพของเมฆาที่วิ่งเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าตื่นตระหนก

“น้องราตรี!”

..................................................

ราตรีไม่รู้ว่าเธอนั้นสลบไปนานแค่ไหน แต่พอรู้สึกตัวดีเธอก็ได้ยินเสียงโอดโอยของเพื่อนๆดังอยู่รอบกาย ครั้นพอลืมตาขึ้นเธอก็พบว่าทุกคนยกเว้นพ่อแม่ของเธอนอนจมกองเลือดหากแต่สติของทุกคนยังคงอยู่

“เกิดอะไรขึ้น?!” ราตรีร้องอุทานอย่างตกใจ ครั้นจะขยับกายเข้าไปช่วยทุกคนหากแต่เท้าทั้งสองข้างกลับหาได้ขยับไม่

“หึ ดูท่ามังกรน้อยของเราจะรู้สึกตัวแล้ว” เสียงราชาปีศาจพูดเกริ่น ซึ่งราตรีได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองต้นเสียงก่อนจะพบว่าราชาปีศาจกำลังยืนแสยะยิ้มโดยที่ปลายเท้ามีเมฆา พ่อและแม่ของเธอนอนหายใจรวยรินอยู่ใกล้ๆ

มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เธอสลบไปกันแน่เนี่ย?!

“นะ…น้อง…ระ…รา…ตรี…นะ…หนี…ไป อั่ก!” เมฆาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แต่ก็มิวายโดนราชาปีศาจกระทืบหน้าอกแรงๆหนึ่งที ทำให้เมฆากระอักเลือดออกมา

“หุบปากไอ้ลูกชั่ว ยังไม่ถึงตาของแก” ราชาปีศาจพูดอย่างเลือดเย็น ก่อนจะก้าวเท้าเดินข้ามร่างเมฆาเดินไปหาคริสตัล งุ้งงิ้ง และคอเบียร์ที่ยังนอนคว่ำหน้าหายใจรวยรินอยู่ เมื่อเดินมาถึงแล้วราชาปีศาจก็หันหน้ามาแสยะยิ้มให้เธอ “เห็นแก่หน้าเจ้าที่เป็นลูกชายของเดรคและเหม่ยจิง ข้าจะให้เจ้าคอยดูคนที่เจ้ารักตายไปทีละคนโดยที่เจ้าทำอะไรไม่ได้เลย ส่วนพ่อแม่ของเจ้า ข้าจะเก็บไว้จัดการทีหลัง เป็นยังไงล่ะ ถูกใจเจ้าเลยใช่ไหมล่ะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า”

ราตรีได้ยินที่ราชาปีศาจพูดแล้วถึงกับกัดฟันด้วยความโมโห

โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!

ครั้นเธอจะใช้ทักษะเวทมนตร์เพื่อช่วยทุกคนให้รอดพ้นเงื้อมมือราชาปีศาจ แต่กลับใช้ไม่ได้เลยซักนิด

“เจ้าใช้เวทมนตร์ในตอนนี้ไม่ได้หรอกนะมังกรน้อย เพราะข้าได้ใช้คำสาปใบ้เวทมนตร์ให้เจ้าด้วย” ราชาปีศาจหันมาด้วยเมื่อเห็นว่าเธอจะใช้เวทมนตร์ “ฉะนั้นเจ้าจงยืนดูอยู่ตรงนั้นเฉยๆเถอะ หึๆ”

แล้วราชาปีศาจก็ชักดาบของตัวเองขึ้นมาก่อนจะแทงลงกลางหลังของคอเบียร์อย่างแรง ส่งผลให้คอเบียร์กระอักเลือดก่อนจะกลายเป็นแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วรายต่อไปก็เป็นงุ้งงิ้ง ซึ่งตายแบบเดียวกับคอเบียร์ ครั้นพอเป็นตาของคริสตัลบ้าง ยังไม่ทันที่ราชาปีศาจจะได้ฆ่าคริสตัล จู่ๆก็มีมีดสั้นพุ่งเฉียดแก้มราชาปีศาจจนเรียกเลือดออกมา

“ไม่นึกเลยว่าแม่นางน้อยคนนี้จะมีความสำคัญกับแกนะเจ้ามนุษย์” ราชาปีศาจพูดเกริ่นหลังจากรู้ว่าเจ้าของมีดสั้นนั้นเป็นใคร

“ห้ามทำ...น้องสาว...ของฉันนะ...ไอ้ราชาปีศาจ” เสียงปฐพีพูดตะกุกตะกัก ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ราตรีไม่สามารถหันคอไปมองได้ เพราะตั้งแต่คอลงไปจรดเท้าของเธอนั้นเป็นหินเกือบทั้งหมด จึงทำให้ราตรีมองได้แค่ตรงหน้าเท่านั้น แล้วราชาปีศาจก็หัวเราะลั่นเมื่อปฐพีพูดจบ

“หึ น้องสาวงั้นรึ” ราชาปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ “ดี ยิ่งเป็นน้องสาวก็ยิ่งอยากให้ข้าฆ่ามากยิ่งขึ้น”

ถึงแม้ที่นี่เป็นเพียงแค่เกม แต่สำหรับราตรีแล้ว ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยิ่งตายช้าก็ยิ่งเจ็บมาก ซึ่งเธอเคยเผชิญมาก่อนหน้านี้แล้ว

ไม่ได้! ยังไงเธอก็ไม่ให้เหลนแก้วต้องได้รับรู้ความรู้สึกแบบเดียวกับเธอเด็ดขาด!! 

“ได้โปรดละเว้นชีวิตเด็กคนนั้นสักคน ขอร้องล่ะ!” ราตรีเอ่ยปากอ้อนวอนสุดชีวิต ซึ่งทำให้ราชาปีศาจหันขวับมามองราตรีอย่างแปลกใจ

“โอ้ ดูท่าแม่นางน้อยคนนี้จะมีความสำคัญสำหรับเจ้าด้วยหรือมังกรน้อย แต่เสียใจด้วย...” ราชาปีศาจพูดจบ เสียงตวัดดาบดังขึ้นหนึ่งครั้ง พร้อมกับเสียงของปฐพีแผดร้องร่ำไห้ราวกับขาดใจมิปาน “...ข้าไม่เคยละเว้นชีวิตใคร ต่อให้มนุษย์ผู้นั้นจะเด็กผู้หญิงก็ตามที”

แล้วราชาปีศาจก็เดินย้อนกลับมาสู่สายตาของราตรีอีกครั้ง ก่อนจะตวัดนิ้วขึ้นหนึ่งครั้ง ร่างของปลากับหงส์หยกก็ลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนจะลอยมาหาราชาปีศาจที่ยืนแสยะยิ้มอยู่

“ดูได้จากสองคนนี้ ข้าจะฆ่าให้เจ้าดูเป็นตัวอย่าง” พอราชาปีศาจพูดจบ ก็ใช้มือทั้งสองข้างที่มีแต่กรงเล็บทะลวงเข้าท้องทั้งคู่อย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของทุกคนด้วยความตกตะลึง ก่อนที่ปลากับหงส์หยกจะกลายเป็นแสงขึ้นสู่ท้องฟ้าไป “ต่อไปจะเป็นใครดีนะ”

ราชาปีศาจพูดพลางทำท่าครุ่นคิด ซึ่งทำเอาราตรีโกรธจนแทบอยากจะออกไปฆ่าใจแทบขาด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะติดคำสาปหินอยู่ ซึ่งรายต่อไปนั้นก็เป็นศาสตรากับพิภพที่ถูกฆ่าด้วยคำสาปมรณะ และถัดมาก็เป็นธิดากับอเลนที่ถูกฆ่าด้วยกรงเล็บเฉกเช่นเดียวกับปลาและหงส์หยก

“หึ ต่อไปก็เป็นตาของแกแล้วนะ...” ราชาปีศาจพูดพลางก้มหน้ามองรายต่อไปที่จะฆ่า “...ไอ้ปิเอโร่”

ปิเอโร่หรือตัวตลกที่อดีตเคยเป็นทาสรับใช้ของเมฆานอนจมกองเลือดอยู่ก็จริง แต่ก็มิวายเงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มตามรูปลักษณ์ของตัวตลก

“กระผม...ไม่กลัว...ที่จะโดน...ราชาปีศาจ...อย่างท่าน...ฆ่าตายหรอก...ขอรับ”

“ฮึ จะตายอยู่แล้ว ยังปากดีได้อยู่นะ” ราชาปีศาจพูดด้วยความฉุนเฉียวที่เห็นปิเอโร่ไม่กลัวตาย “เพราะแกคนเดียวไอ้ปิเอโร่ ทำให้แผนการของข้าพัง ฉะนั้นข้าจะสงเคราะห์แกด้วยการฆ่าที่ทรมานที่สุดแล้วกัน”

หลังจากนี้ราตรีไม่รู้ว่าปิเอโร่ถูกราชาปีศาจฆ่าตายด้วยวิธีไหน เพราะเธอมองไม่เห็นปิเอโร่ เธอได้ยินแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของปิเอโร่เพียงอย่างเดียว ซึ่งตอนนี้จะเหลือก็แต่เมฆา ปฐพี มาริโอ และพ่อแม่ของเธอที่ยังคงมีชีวิตอยู่ เพราะพวกที่ตายไปแล้วกว่าจะเกิดใหม่ก็กินเวลาหนึ่งชั่วโมง ฉะนั้นไม่ต้องคิดให้เสียเวลาว่าพวกอเลนจะกลับมาช่วยเธอได้ทันเวลา

“ต่อไปก็ตาของเจ้าแล้วนะไอ้หนุ่มน้อย” ราชาปีศาจพูดพลางก้มหน้ามองปฐพีที่พยายามงัดน้ำยาฟื้นพลังขึ้นมาใช้ แต่ก็โดนราชาปีศาจเตะน้ำยาทิ้งจนใช้งานไม่ได้ ซึ่งราตรีพยายามเหลือบตามองหลานชายตัวเองให้ได้แต่ก็ไร้พ้น เพราะทั้งคู่อยู่ห่างจากสายตาของเธอที่จะมองเห็นได้ “จะฆ่าแบบไหนดีนะ จะใช้กรงเล็บหรือดาบดี”

“ไอ้ปีศาจโรคจิต” คำว่าปีศาจโรคจิตทำเอาราชาปีศาจที่กำลังครุ่นคิดถึงกับหยุดชะงัก

“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดอะไรออกมานะไอ้หนุ่ม ข้าได้ยินไม่ชัด”

“ไอ้…ปีศาจ…โรค…จิต” สิ้นคำพูดของปฐพี ราชาปีศาจก็ใช้เท้าถีบเข้าใบหน้าของผู้พูดอย่างแรง

บึก!

“เป็นแค่มนุษย์ผู้ต่ำต้อยบังอาจว่าข้าเป็นปีศาจโรคจิต แบบนี้คงปล่อยเจ้าให้ตายแบบดีๆเหมือนคนอื่นไม่ได้เสียแล้ว” ราชาปีศาจพูดเสียงเหี้ยม ก่อนที่ราตรีจะได้ยินกลิ่นเหม็นไหม้พร้อมกับเสียงกรีดร้องของปฐพีที่ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด ซึ่งราตรีพอเดาได้ว่าหลานชายของตนต้องโดนราชาปีศาจใช้เวทมนตร์ธาตุไฟเผาอย่างไม่ต้องสงสัย

ตานพ ยายขอโทษนะที่ช่วยอะไรหลานไม่ได้เลย

ราตรีหรือจันทร์แรมคิดในใจอย่างเจ็บปวด สุดท้ายแล้วปฐพีก็กลายเป็นแสงขึ้นฟ้าตามคนอื่นไป ซึ่งกลายเป็นว่าตอนนี้เหลือมาริโอ เมฆา และพ่อแม่ของเธอที่ยังอยู่

“ฮึ เจ้าเห็ดน่ารังเกียจ” ราชาปีศาจพูดพลางมองมาริโอที่ยังคงสลบอยู่ ก่อนจะสะบัดนิ้วขึ้นหนึ่งที ทำให้ร่างของมาริโอลอยขึ้นในระดับสายตาของราชาปีศาจ

ผัวะ!

5000


มาริโอถูกราชาปีศาจตบหัวแรงๆหนึ่งที ทำเอามันที่สลบอยู่ถึงกับสะลึมสะลือตาขึ้นมาอย่างมึนงง

“หนีไปเร็วมาริโอ!” ราตรีตะโกนบอกมันด้วยความเป็นห่วง “หนีไปซะ!!”

มาริโอได้ยินเสียงราตรีแล้วก็พลันหันหน้ามาก่อนจะตกตะลึงเมื่อเห็นราตรีกลายเป็นหินเกือบทั้งตัว

“อารายว้า แข็งท่านี้ไม่เมพเลย ก๊ากๆ ฮะ ฮะ ฮ่า!” มาริโอหันหัวเราะลั่นโดยที่ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่ากำลังอยู่ในเงื้อมมือของราชาปีศาจ “ฝีมือใครสาปวะ กากสุดๆ นู้บมากๆ จะสาปทั้งทีเลือกท่าที่มันดูแจ่มๆ หน่อยดิ”

เพี๊ยะ!

500


“อ้าว ตบหัวพ่อตายหรา ไอ้ราชากาก แน่จริงหยิบคีย์บอร์ดมาด่ากันตัวๆ ดิวะ”

เพี๊ยะ!

500


“ถุย แรงตุ๊ดวะ ไอ้นู้บ ลูกตุ๊ด”

กล่าวจบมาริโอก็ชูนิ้วกลางขึ้นหราจนเกือบทิ่มหน้าราชาปีศาจ ก่อนที่จะ...

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

500

500


500

“ฉ18+.......... (ข้อความนี้ มีเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความรุนแรง เพศ และการใช้ภาษา ผู้ปกครองควรใช้วิจารณญาณในการชม)”

ขณะนี้ราชาปีศาจได้รับผลจากทักษะเกรียนทะลุจักรวาล

ขณะนี้ราชาปีศาจตกอยู่ในสถานะมึนงง

แม่เจ้าโว้ย มันเกรียนเหนือเทพจริงๆ


ทั้งเมฆาและราตรี ต่างคิดในใจพร้อมๆ กัน เมื่อได้เห็นทักษะเกรียนทะลุจักรวาลของมาริโอแล้ว เล่นเอาราชาปีศาจถึงกับมึนจนลงมือไม่ถูก

“เฮ้ย จะตายแล้วยังเกรียนอยู่ได้ เดี๋ยวพ่อบลัสเลยนี่”

“บลัสละงาย คิดว่าข้าจะกลัวหรา แน่จริงมาเจอกันนอกจอได้เว้ย…”

มาริโอพูดพลางชูนิ้วกลางใส่ราชาปีศาจอีกครั้ง

โพละ!

99999


“ไม่นะมาริโอ!”

ความเกรียนของมาริโอยุติลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่อหัวของมันถูกตบอย่างสุดแรงจนแตกละเอียด ก่อนจะกลายเป็นลำแสงหายไป ในขณะที่ราชาปีศาจถึงกับยืนหอบจนตัวโยน ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องมารับมือกับเกรียนพระกาฬจนตนเองเกือบหลุดอาการเกรียนแตก

“ร้ายกาจมากมังกรน้อย ถามจริง ไปขุดมันมาจากไหน”

“ไปขุดจากปากแกมั้งไอ้ราชาปีศาจ”

ราชาปีศาจได้ยินที่ราตรีตอบถึงกับขมวดคิ้ว จากสีหน้าที่เคยเคร่งเครียดยิ่งเคร่งเครียดไปกว่าเก่า

“ด่ามันได้เจ็บมากลูกพ่อ!” เดรคที่นอนหน้าคว่ำอยู่หลังไม่ห่างจากจุดที่ราชาปีศาจกับมาริโออยู่นั้นได้ตะโกนพูดเชียร์ราตรี “เหมือนแม่ตอนเป็นสาวๆเปี๊ยบ!”

“เดรค! นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเชียร์ลูกตอนนี้นะคะ!! แค่กๆ” เหม่ยจิงพูดตะโกนว่าเดรคก่อนจะไอออกมาเป็นเลือด ซึ่งทำเอาเดรคต้องหยุดพูดก่อนจะหันมาสนใจภรรยาที่นอนไออยู่ข้างๆ

“ห่วงกันเข้าไป อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้ตายพร้อมกันอยู่แล้ว” ราชาปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ซึ่งทำเอาราตรีนึกโกรธที่ไม่สามารถทำอะไรราชาปีศาจได้ “แต่พวกเจ้านอนรอไปก่อนแล้วกัน เพราะข้าจะขอไปจัดการไอ้ลูกชายตัวแสบก่อน หึๆ”

แล้วราชาปีศาจก็เดินหมุนตัวกลับมาหาเมฆาซึ่งนอนฟุบอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ราตรียืนแข็งเป็นหิน

“อย่านะไอ้ราชาปีศาจ ถ้าจะฆ่าท่านพี่ล่ะก็ มาฆ่าข้าเสียดีกว่า” ราตรีบอกเพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาตายต่อหน้าเธออีก หากแต่ราชาปีศาจหาได้ฟังไม่ กลับเผยรอยยิ้มอันเย็นยะเยือกจนราตรีรู้สึกหนาวถึงกระดูก “ท่านพี่หนีไปเร็วเข้า! หนีสิ!!”

เมฆาก็อยากจะหนีเหมือนกัน แต่สภาพร่างกายมันอิดโรยผนวกเสียเลือดไปมากก็เลยทำให้ชายหนุ่มขยับหนีไปไหนไม่ได้ แถมตอนนี้น้ำยาเพิ่มเลือดกับเพิ่มพลังมานาที่เคยมีก็ได้ใช้ไปหมดแล้ว จึงทำให้เมฆาได้แต่นอนรอความตายเพียงอย่างเดียว

“ถ้าจะโทษพระเจ้าล่ะก็ จงโทษตัวเองเถอะไอ้ลูกชั่ว เจ้าอยากจะเนรคุณบ้านเมืองกับข้าเองดีนัก”

ร่างของเมฆาก็ลอยขึ้นกลางอากาศต่อหน้าราตรีกับราชาปีศาจ แล้วราชาปีศาจจะใช้มือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บบีบที่ศีรษะของเมฆาก่อนจะกดแรงบีบแน่น

โพละ!

9999


เพียงครั้งเดียว ศีรษะของเมฆาแตกกระจายก่อนจะเป็นแสงขึ้นสู่ท้องฟ้าไปในพริบตาเดียว

“ม่ายยยย!!”

..........................

 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
ราตรี๊  ไอ่ทักษะความมืดอ่ะ  งัดมายางงงงงงง โด่วววววงัดสกิลลับมาเด๊ :katai4:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 68 สิ้นสุดสงคราม

..................................................

“ม่ายยย!!”

ราตรีร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเมฆากลายเป็นแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไป ซึ่งทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแต่เธอกับพ่อแม่ของเธอเท่านั้น ส่วนราชาปีศาจนั้นเมื่อเห็นว่าลูกชายของตัวเองได้จบชีวิตลงแล้ว ถึงกับลั่นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนราตรีนึกแค้นใจตัวเองที่ช่วยเพื่อนไม่ได้ซักคนเดียว

ทุกอย่าง...จบสิ้นแล้ว

ราตรีหลับตาลงด้วยความท้อแท้และสิ้นหวัง หากแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ยังคอยความหวังของลูกชายแม้จะเหลือเพียงแค่ 0.01% ก็ตามที ส่วนราชาปีศาจนั้นเมื่อเห็นราตรีหลับตาร้องไห้แล้ว ก็เดินสาวเท้าเข้าไปหาราตรีก่อนจะใช้มือจับคางเชิดหน้าขึ้น

เพี๊ยะ!

500


แรงตบของราชาปีศาจได้ทำให้ราตรีถึงกับลืมตาขึ้นโพล่งด้วยความเจ็บปวด

“คิดจะหลับตาหนีตอนนี้จะไม่ฝันไปหน่อยรึมังกรน้อย” ราชาปีศาจแสยะยิ้มพูดพลางบีบคางราตรีให้หันกลับมามองตัวเองตรงๆ “ดูเพื่อนของเจ้าตายไปแล้ว ฉะไหนถึงไม่ดูความตายของพ่อแม่ล่ะมังกรน้อย อย่าบอกนะว่าเจ้าทนเห็นไม่...”

“ข้าจะฆ่าแก...ไอ้ราชาปีศาจเฮงซวย” ราตรีกัดฟันพูดด้วยความโกรธ ซึ่งทำเอาราชาปีศาจหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะก้มลงมองราตรีตั้งแต่หัวจรดเท้า

“แข็งเป็นหินแบบนี้ อย่าว่าแต่จะฆ่าข้าเลย แค่ช่วยเพื่อนตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ฝันไปเถิดไอ้หนู” ราชาปีศาจพูดจบ ก็หมุนตัวเดินกลับไปหาเดรคกับเหม่ยจิง “เอาล่ะ ถึงคิวของพ่อแม่เจ้าแล้ว คอยดูให้ดีแล้วกันนะมังกรน้อย หึๆ”

“ไม่นะ ไม่” ราตรีพูดทั้งน้ำตา ทั้งดิ้นทั้งขยับก็ไร้วี่แวว จนกระทั่งราชาปีศาจเดินถึงเดรคกับเหม่ยจิงแล้ว ทั้งสองร่างก็ลอยขึ้นกลางอากาศด้วยเวทมนตร์ของราชาปีศาจ

“พวกเจ้าต้องขอบคุณข้าที่ข้าอุตส่าห์เป็นคนจบชีวิตพวกแกด้วยมือของข้าเองนะไอ้เพื่อนรัก” ราชาปีศาจแสยะยิ้มพูด หากแต่เดรคหาได้ชอบใจไม่

“ฮึ ถ้าจะตายด้วยน้ำมือของแกแล้วล่ะก็ ข้าฆ่าตัวเองตายเสียจะดีกว่า” สิ้นคำพูดของเดรค ราชาปีศาจใช้มือจับคอของเดรคทันที

“ปากดีนักนะแก” ราชาปีศาจพูดเสียงเหี้ยมเกรียมก่อนจะหันไปบีบคอเหม่ยจิงด้วยอีกคน “เดี๋ยวข้าจะส่งพวกแกสองคนไปลงนรกพร้อมๆกัน จะได้ไม่ต้องทนเหงายังไงล่ะ อ้อ เดี๋ยวพอพวกแกตายไปแล้ว ข้าจะส่งลูกชายพวกแกไปทีหลังนะ ฮะ ฮะ ฮ่า!”

แล้วราชาปีศาจก็บีบคอทั้งคู่แรงขึ้น จนสีหน้าของเดรคกับเหม่ยจิงซีดอย่างเห็นได้ชัด ถึงทั้งสองคนจะเป็นเพียงแค่เอ็นพีซีในเกมแต่ราตรีก็นับเดรคกับเหม่ยจิงเสมือนพ่อแม่ของเธอจริงๆ

อุตส่าห์ได้พบหน้ากันแล้ว

เรื่องอะไรจะปล่อยให้ท่านพ่อท่านแม่ตายได้กันล่ะ

ไม่มีวัน!!


ครั้นพอราตรีคิดเสร็จ ร่างกายที่แข็งเป็นหินก็พลันมลายหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาราชาปีศาจที่รู้สึกถึงขุมพลังมหาศาลจากด้านหลังถึงกับชะงักปล่อยมือสองข้างที่บีบคอเดรคกับเหม่ยจิงออก ทำให้สองร่างทรุดลงไปนั่งกับพื้น ก่อนที่ราชาปีศาจจะหันหลังกลับไปดู ก็พบเห็นเด็กหนุ่มที่เคยแข็งเป็นหินยืนทำสีหน้าขึงขังพร้อมกับไอพลังสีฟ้าครามที่กำลังปะทุขึ้นอยู่รอบตัว

“โฮ่ ช่างเป็นพลังที่สูงอะไรเช่นนี้ เห็นทีข้าคงปล่อยเจ้าให้…” ราชาปีศาจพูดยังไม่ทันจบ ราตรีในคราบร่างมังกรขั้นสูงสุดก็บินพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ซึ่งภาพของราตรีในสายตาราชาปีศาจนั้นเป็นมังกรร่างจริงแลดูสวยงามและน่าเกรงขาม

สวย ช่างเป็นมังกรที่สวยอะไรอย่างนี้

ราชาปีศาจลอบคิดในใจอย่างชื่นชม

ตูม!

9999


เพราะด้วยความเผลอมองจนลืมป้องกันตัว ทำให้ร่างของราตรีพุ่งทะลุท้องของราชาปีศาจไปอย่างง่ายดาย

“อ็อค!” ราชาปีศาจกระอักเลือด ร่างกายสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด ส่วนราตรีนั้นเมื่อลอยทะลุท้องของราชาปีศาจแล้วก็พลันหยุดลงก่อนจะหันหน้ากลับมามองราชาปีศาจที่กำลังบาดเจ็บสาหัสใกล้จะตายอยู่เร็วๆนี้แล้ว “หึ ร้าย...กาจมาก...มังกร...น้อย...ทำ...ร้ายข้าได้...ตอนที...เผลอ อ็อค!”

ราชาปีศาจกระอักเลือดอีกครั้ง ซึ่งราตรีเองก็ไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสเพิ่มเลือดของตัวเอง รีบสาวเท้าเข้าไปหาราชาปีศาจ แล้วค่อยยกมือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันที่กลางอก แล้วทันใดนั้นลูกพลังสีฟ้าสดใสก็ปรากฏขึ้นคล้ายดวงอาทิตย์ขนาดเล็ก

“ในเมื่อแกต้องการพลังของมุกมังกรนัก ข้าก็จะให้แกได้ลิ้มรสมันเดี๋ยวนี้แหละ!” ราตรีพูดจบ ก็ยิงลูกพลังนั้นเข้าไปที่บาดแผลอันเกิดจากฝีมือของตนเองทันที ซึ่งเมื่อพลังของราตรีได้สัมผัสกับร่างของราชาปีศาจแล้วก็เกิดระเบิดต่อหน้าต่อตาราตรี

ตูม!

ร่างของราชาปีศาจโดนพลังแล้วก็ต่างพากันกระจัดกระจายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะพลันสลายไปกับอากาศทันที

ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์กำจัดราชาปีศาจสำเร็จ

เสียงระบบประกาศบอกก่อนจะตามด้วยเสียงโห่ร้องดีใจของผู้เล่นที่อยู่ด้านนอกพระราชวัง

นี่เรา...กำจัดราชาปีศาจได้แล้วรึเนี่ย

ราตรีคิดในใจ เมื่อรู้ว่าตัวเองทำสำเร็จแล้ว เธอจึงหมุนตัวกลับวิ่งเข้าไปสวมกอดพ่อแม่ที่ยืนกางแขนรอรับเธออยู่

“ท่านพ่อท่านแม่ ในที่สุดข้าก็ช่วยพวกท่านได้เสียที” ราตรีพูดไปน้ำตาไหลไปพลาง ซึ่งทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่พลอยน้ำตาไหลไปด้วย “ท่านพ่อท่านแม่บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ผมจะได้เอาน้ำยาเพิ่มพลังมารักษาให้”

แน่นอนว่าราตรีไม่รอให้ทั้งสองคนได้ตอบ เธอรีบงัดน้ำยาที่เหลือในกระเป๋าไอเทมขึ้นมาให้พ่อแม่ของเธอได้ดื่มเพื่อฟื้นพลังเลือดที่เสียไปทันที หลังจากที่ทั้งสองคนหายเป็นปกติดีแล้ว เดรคกับเหม่ยจิงก็ถามไถ่เรื่องราวของราตรีหลังจากผจญภัยโลกภายนอกว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งราตรีเองก็รีบเล่าโดยไม่คิดจะปิดบังทั้งสองคน

.............................................................

หลังจากเล่าจบเสร็จ ทุกคนที่ตายไปแล้วก็ได้กลับมาพร้อมกันอีกครั้งในเวลาใกล้เคียง ซึ่งทำเอาทุกคนที่เตรียมพร้อมจะสู้รบปรบมือกับราชาปีศาจอีกครั้งต้องพบกับความงุนงง เมื่อเห็นราตรีนั่งขัดสมาธิโดยมีเดรคกับเหม่ยจิงนั่งอยู่ข้างๆด้วยสีหน้ารอยยิ้มเหมือนคนปกติดี

“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องราตรีถึงไปนั่งอยู่กับพ่อแม่ได้ล่ะ แล้วราชาปีศาจหายไปไหน” เมฆาพูดด้วยความงุนงง ซึ่งราตรีก็ได้เล่าเรื่องของเธอว่ากำจัดราชาปีศาจได้ยังไงกัน หลังจากเล่าจบแล้ว จู่ๆคนที่ทุกคนไม่คาดฝันก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าราตรี ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับอ้าปากค้างช็อกกันเป็นแถว

“ราชาปีศาจ!” ครั้นพูดจบ ทั้งเดรค ทั้งเหม่ยจิง ทั้งเมฆา ทั้งปฐพีต่างกระโดดเข้ามาบังหน้าราตรีไว้จนมิด ส่วนคนอื่นๆที่เหลือต่างรีบงัดอาวุธของตัวเองขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะสู้อีกครั้ง หากแต่คนที่ถูกกล่าวถึงกลับทำหน้าขมวดคิ้วมองมาที่พวกราตรีอย่างงุนงง

“เมฆา นั่นเพื่อนของลูกหรือ” ราชาปีศาจหันมาถามเมฆาอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาคนถูกถามถึงกับมึนงง แล้วราชาปีศาจก็พูดต่อโดยไม่รอคำตอบจากลูกชายเลย “แล้วทำไมทุกคนถึงทำหน้าทำตาน่ากลัวแบบนั้นล่ะ มีอะไรอยู่ด้านหลังข้างั้นรึ?”

ครั้นราชาปีศาจพูดจบ มาริโอก็พูดขึ้นแทรกมาทันที

“ไอ้กาก พ่องตายเหรอ ฆ่าตู”

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

100

100

100

100


เสียงทุกคนตบกบาลมันเรียงตัว ซึ่งแม้กระทั่งราชาปีศาจก็พลอยตบหัวมันไปด้วยอีกคน

“ไอ้เห็ดปากเหม็น ข้าเคยไปทำอะไรให้เจ้าไว้ ห๊ะ มาถึงก็ด่ากันโครมๆ เดี๋ยวตบบ๊องหูแตกเลยปั๊ดเหนี่ยว” ราชาปีศาจพูดพลางทำท่าจะไปตบหัวมาริโออีกครั้ง แต่กลับชะงักเมื่อเห็นสายตาของเหม่ยจิงกับเดรคที่จ้องมองมา “อ้าว นั่นเหม่ยจิงกับเดรคนี่ พวกเจ้าสองคนสบายดีหรือ แล้วพวกเจ้ามาที่บ้านของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ”

“นี่เจ้าจำไม่ได้จริงๆหรือเคออส” เดรคถามอย่างสงสัย ซึ่งทำเอาคนถูกถามขมวดคิ้วเกาหัวหยิกๆ

“ก็...จำได้ว่าข้าจะบินไปเยี่ยมเหม่ยจิง แล้วก็...ชวนเจ้าไปคั่วอีหนูแถวๆเมืองดนตรีนะ”

คำว่าอีหนูได้สะกิดต่อมความโกรธเหม่ยจิงเข้า

“เดรคอธิบายหน่อยสิคะ”

“อืม แบบนี้เป็นเคออสคนเดิมตัวจริงแน่ๆ” เดรคพูดตัดบทเอาดื้อๆ ซึ่งเหม่ยจิงทำท่าจะตวาดใส่เดรค หากแต่ธิดารีบเอ่ยปากชวนทุกคนให้มายืนเรียงแถวหน้ากระดานเพื่อที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกแทน

“เย้! ถ่ายรูปๆ” คริสตัลพูดเสียงตื่นเต้นดีใจ แล้วธิดาก็ไล่พวกผู้ชายให้ไปยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งมีเคออส เดรคกับเหม่ยจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เสกมาเป็นศูนย์กลาง ส่วนพวกผู้หญิงก็ให้ยืนอยู่ในแถวเดียวกับเคออส เดรค และเหม่ยจิง ยกเว้นมาริโอที่ขอยืนโชว์เดี่ยวด้านหน้าตามลำพังซึ่งธิดาก็ไม่คิดจะขัดศรัทธามัน ซึ่งในระหว่างที่ธิดากำลังไล่ทุกคนให้ไปยืนเรียบร้อยนั้น เดรคก็ได้เล่าทุกอย่างให้เคออสฟัง ซึ่งทำเอาเคออสต้องรีบขอโทษเพื่อนที่ทำอะไรลงไปไม่รู้ตัว

“เอาล่ะนะคะ ยืนนิ่งๆนับถอยหลังสิบวิแล้วยิ้มกันนะคะ” ธิดาพูดพลางเซ็ตกล้องก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปยืนข้างหงส์หยก ซึ่งในระหว่างที่ทุกคนกำลังนับเวลาถอยหลังนั้น จู่ๆอากาศด้านหน้าของทุกคนเกิดบิดมวลออกมา ก่อนจะเผยให้เห็นสองหนุ่มในชุดคลุมสีขาวพร้อมปีกขนนกสีรุ้งกับสีแดงปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนที่ยืนเรียงแถวถ่ายรูปอยู่

“โผล่มาในเกมแบบนี้มันจะดีหรือครับคุณโซล ประเดี๋ยวเกมก็ได้แฮ้งเหมือนคราวที่แล้วหรอก”

“ถ้าแฮ้งเดี๋ยวพวกเขาก็ซ่อมได้นะคีย์

แชะ!

เสียงถ่ายรูปดังขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่สองร่างปริศนาที่เพิ่งจะโผล่มาตกใจเล็กน้อย ส่วนราตรีเองนั้นก็เพิ่งเห็นหน้าสองหนุ่มที่เข้ามาแทรกระหว่างที่พวกเธอกำลังถ่ายรูป

“นั่นใช่พี่โซลกับพี่คีย์ที่เจอกันในป่าสีเขียวหรือเปล่าครับ นี่ผมเอง เด็กทารกที่พวกพี่เคยช่วยไว้ในป่านะครับ” ราตรีรีบปราดเข้าไปถามอย่างรวดเร็ว พร้อมกับลากมาริโอให้พวกเขาได้เห็นเผื่อจะจดจำเธอได้ ซึ่งทีแรกสองหนุ่มมองราตรีแล้วยังจำไม่ได้ แต่ครั้นพอเห็นมาริโอแล้วถึงกับร้องอ้อ

“อ้อ จำได้แล้วครับ น้องทารกคนนั้นนะเอง ว่าแต่กำราบเจ้าเห็ดปากเสียได้แล้วใช่ไหมครับเนี่ย”

คำถามของคีย์ทำเอามาริโอถึงกับโมโห

“ใครปากเสียห๊ะไอ้หน้าหวาน! โด่ แน่จริงมาสู้กันตัวต่อ…”

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

“โอ๊ยๆ!!”

300

300


มาริโอโดนอีกฝ่ายฟาดด้วยแส้ ซึ่งทำเอาทุกคนที่รู้นิสัยของมันดีถึงกับส่ายหน้า

สมควรล่ะ

อยากเกรียนเมพไม่เลิกเองนี่


หลังจากที่ราตรีได้แนะนำสองหนุ่มให้ทุกคนได้รู้จักแล้ว คีย์กับโซลก็รีบขอตัวออฟไลน์เกมทันทีเพราะกลัวจะทำเกมแฮ้งไปอีกรอบเหมือนคราวแรก แต่ก่อนที่จะไปนั้น คีย์ได้เข้ามากระซิบหูราตรีด้วย

“คีย์เค้ามาพูดกระซิบอะไรกับน้องราตรีเหรอครับ” เมฆาถามอย่างสงสัย หากแต่คนถูกถามกลับอมยิ้มตอบกลับไปว่า

“มันเป็น…ความลับครับ”

หลังจากนั้นธิดาก็ได้ให้ทุกคนถ่ายรูปอีกครั้ง โดยครั้งนี้ราตรีไม่ลืมที่จะพรายกระซิบเรียกหยางชุนหลานกับเทียนหลงให้มาร่วมถ่ายรูปด้วยกัน ครั้นถ่ายรูปเสร็จ เสียงระบบก็ได้ประกาศดังในหัวของราตรีว่า

ผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์สำเร็จภารกิจช่วยเหลือต้นมานาค่ะ

แล้วระบบก็ประกาศของรางวัลที่ราตรีกับเพื่อนๆจะได้รับกัน ก่อนที่หยางชุนหลานกับเทียนหลงขอตัวกลับ เมื่อภารกิจเสร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยไม่ลืมที่จะนัดแนะกันไว้ว่าทุกสองเดือนของวันที่สองในเกมจะกลับมาเจอกันที่นี่ใหม่อีกครั้ง

...........................................

สองปีในเกมหรือหนึ่งปีของโลกจริงได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราตรีหรือจันทร์แรมก็ได้ล้มป่วยลงจนไม่สามารถเข้าไปเล่นเกมได้บ่อยเหมือนครั้งก่อนๆได้ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงที่ราตรีได้เข้าไปเล่นเกมนั้น เธอได้อยู่กับพ่อแม่ตลอดเวลาเพื่อชดเชยเวลาที่แยกจากกับพวกท่านเมื่อครั้นยังเป็นเด็กทารกด้วย จนราตรีหรือจันทร์แรมเริ่มเข้าเกมไม่ไหวแล้ว เธอก็ได้เข้าเกมเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อบอกลาพ่อแม่ของเธอโดยแสร้งทำเป็นว่าจะออกเดินทางเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตให้กับตนเอง

“ไปเถิดจ้ะลูกรัก ถ้าเจ้าต้องการแบบนั้น พ่อกับแม่ก็ไม่ขอขัด”

“ครับท่านแม่”

“อย่าลืมส่งจดหมายกลับมาหาพ่อกับแม่ด้วยล่ะไอ้ลูกชาย” เดรคพูดพลางก้มหน้ากระซิบกับเธอเบาๆว่า “แล้วก็…เรื่องที่พ่อเคยบอก ลูกช่วยไปหาอีหนูสวยๆให้พ่อด้วยล่ะ”

“เดรค!” เหม่ยจิงเรียกชื่อเดรคพลางบิดหูจนอีกฝ่ายร้องโอดครวญ ซึ่งท่าทีของพ่อแม่ทำเอาราตรีถึงกับหัวเราะ

“ถ้างั้นผมขอตัวออกเดินทางก่อนนะครับท่านพ่อท่านแม่”

“จ้ะ ขอให้ลูกเดินทางโดยสวัสดิภาพนะ”

แล้วราตรีก็เข้าสวมกอดทั้งสองคนอีกครั้ง ซึ่งเธอใช้เวลากอดร่ำลาทั้งคู่อยู่นานพอสมควรก่อนจะบอกลาพ่อแม่แล้วรีบออกจากพระราชวัง ก่อนจะออฟไลน์เกมทันที ทว่าราตรีหาได้รู้ไม่ว่าหลังจากที่เธอได้เดินก้าวออกจากพระราชวังแล้ว เดรคกับเหม่ยจิงได้มายืนส่งเธอทั้งน้ำตา

“ถ้าหากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้กลับมาเป็นพ่อแม่ลูกกันอีกนะ”

“ลาก่อนราตรีพิสุทธิ์”

...............................

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทที่ 69 พบหน้า

...........................................

หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน จันทร์แรมอาการทรุดหนักลงจนลุกขึ้นจากที่นอนไม่ได้ ทำให้ทุกคนเริ่มไม่สบายใจกับอาการของเธอ ซึ่งโดยเฉพาะนพที่ดูทุกข์ร้อนกว่าคนอื่นๆ เพราะหมอที่รักษาคุณยายนั้นได้บอกว่าท่านคงมีชีวิตได้อีกไม่นานนี้ ขอให้เตรียมใจไว้พร้อมด้วย

“คุณจะโทรศัพท์กับส่งอีเมล์ไปชวนเพื่อนในเกมให้มาหาคุณยายงั้นหรือคะ” มีนาถามอย่างสงสัยในขณะที่นพกำลังนั่งส่งอีเมล์ถึงทุกคน

“อืม พอดีเป็นคำขอของคุณยายนะมีนา” นพตอบพลางกดส่งข้อความไปหาอวิ๋นหรือเมฆา ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่นพส่งอีเมล์ไป ทีแรกนพไม่รู้หรอกว่าเมฆาในโลกจริงนั้นเป็นใคร แต่พอได้รู้ความจริงจากคุณยายแล้ว นพถึงกับพูดไม่ออก ครั้นจะไปเอาเรื่องกับอวิ๋นก็ใช่ที่ เพราะอีกฝ่ายมีอายุมากกว่าตนเองนับพ่อได้เลยด้วยซ้ำ แถมคุณยายก็สั่งห้ามไม่ให้ไปเอาเรื่องกับอวิ๋นอีกด้วย “คุณยายบอกว่าอยากจะเจอกับเพื่อนๆทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย”

พอนพพูดจบ เขาก็หยุดพิมพ์ก่อนจะถอนหายใจเฮือกด้วยความเหนื่อยอ่อน ซึ่งคนเป็นภรรยาอย่างมีนาเห็นท่าทางของสามีแล้วก็รู้ได้เป็นอย่างดีว่าคนรักกำลังไม่สบายใจเรื่องคุณยายอยู่อย่างแน่นอน

“เดี๋ยวผมขอตัวไปโทรศัพท์หาคนอื่นก่อนนะมีนา”

“ค่ะ”

แล้วนพก็โทรหาทุกคน ซึ่งเพื่อนๆก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีว่าจะขึ้นเครื่องบินมาหาเขาถึงจังหวัดพิษณุโลกในวันพรุ่งนี้เช้า พอตกกลางคืนนพกลับเข้าไปดูข้อความอีกครั้ง ซึ่งผลปรากฏว่าอวิ๋นได้ส่งเมล์บอกเขาว่าจะมาถึงประเทศไทยตอนตีสอง โดยจะขึ้นเครื่องบินสองต่อมาลงที่จังหวัดพิษณุโลก ดังนั้นนพจึงต้องขับรถไปรับอวิ๋นตอนตีสาม ซึ่งแน่นอนว่านพไปรับอวิ๋นที่สนามบินในเวลานั้นจริงๆ หากแต่อวิ๋นไม่ได้มาเพียงคนเดียว ยังได้สอยอาเฟยห้อยตามมาด้วยอีกคน

“น้องราตรี ไม่สิ คุณจันทร์แรมนอนหลับไปแล้วใช่ไหมปฐพี” อวิ๋นถามทันทีที่ได้ขึ้นมานั่งในรถยนต์ของนพแล้ว

“เรียกผมว่านพตามเดิมเถอะครับคุณอวิ๋น” นพบอกพลางจับกระจกมองหลังให้เข้าที่ ก่อนจะหันหลังไปพูดกับอวิ๋นที่นั่งอยู่ด้านหลังคนขับ “ตอนนี้คุณยายหลับไปแล้วครับ คาดว่าจะตื่นอีกทีก็ตอนเก้าโมงเช้า”

แล้วนพก็หันหลังกลับก่อนจะสตาร์ทรถพาอวิ๋นกับอาเฟยกลับไปบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้ว นพก็ให้ทั้งคู่ได้นอนพักในห้องรับแขก ก่อนที่ตัวเองจะขอตัวไปนอนพักเอาแรงบ้าง รุ่งเช้าต่อมา นพก็ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าขับรถไปรับพวกเพื่อนๆที่นั่งเครื่องบินตามมาทีหลัง นพยืนรอจุดผู้โดยสารขาออกได้ไม่นาน ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข็นกระเป๋าสัมภาระออกมาด้วยพร้อมกัน ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากพวกเพื่อนๆในเกม

“อ้าวแล้วอเลนล่ะ ไม่ได้มาด้วยหรือ” นพถามอย่างสงสัย ซึ่งโชคยังดีที่เพื่อนๆเคยส่งรูปของตัวเองมาให้เขาดู จึงทำให้นพสามารถทักเพื่อนได้โดยไม่หน้าแตก แล้วคำถามของนพทำให้ชายหนุ่มหน้าเข้มผมสั้นรองทรงในคราบเสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงยีนส์สีเทาตอบกลับมาว่า

“เข้าห้องน้ำนะนพ เดี๋ยวก็เดินตามมา”

“อืม งั้นพวกเราก็รออเลนกันตรงนี้ก่อนแล้วกันศาสตรา” นพพูดพลางเสตามองพรรคพวกในเกมเป็นครั้งแรก จะมีแต่ศาสตรา พิภพ และธิดาเท่านั้นที่เขาเคยเห็น ส่วนอเลน งุ้งงิ้ง คอเบียร์ หงส์หยก และปลานั้นเขาไม่เคยเจอหน้าซักที เห็นแต่ในรูปที่พวกนั้นส่งมาเท่านั้น หากแต่พวกเขาดันใช้ชื่อจริงลงไปในเกมด้วย ก็เลยทำให้นพไม่ต้องจำว่าคนนี้ชื่ออะไรบ้าง จะยกเว้นก็แต่ธิดาที่ไม่ได้เป็นผู้หญิงจริงๆ ส่วนชื่อในเกมนั้นเจ้าตัวบอกว่าเป็นชื่อของแม่ที่เสียไปเมื่อสิบปีที่แล้ว

“สวัสดีฮะพี่ปฐพี ผมงุ้งงิ้งนะฮะ ส่วนนี่ก็คอเบียร์” เด็กหนุ่มวัยรุ่นผมสั้นเกรียนติดหนังหัวมาในคราบเสื้อยืดคอวีสีเทากางเกงยีนส์ขายาวยกมือขึ้นกล่าวสวัสดีนพพร้อมกับแนะนำอีกคนที่เป็นเด็กหนุ่มสูงกว่าหน่อย ผมสีน้ำตาลประกายทองยาวปะบ่า สวมเสื้อคอวีสีขาวกางเกงยีนส์สามส่วนยืนฉีกยิ้มยกมือขึ้นไหว้ด้วยเช่นกันกับงุ้งงิ้ง

“สวัสดีฮะพี่ปฐพี”

“สวัสดีน้องงุ้งงิ้ง น้องคอเบียร์” นพยกมือขึ้นไหว้รับเด็กๆ ก่อนจะพูดต่อ “เอ่อ พวกน้องไม่ต้องเรียกพี่ว่าปฐพีหรอกนะ พี่ชื่อนพ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะ”

“ฮะคุณป๋านพของคริสตัล” งุ้งงิ้งพูดหยอกกลับ แต่คนโดนหยอกไม่เล่นด้วย จึงย้อนกลับไปว่า

“เฮ้ย น้อยๆหน่อย”

คอเบียร์เห็นท่าไม่ดีจึงพูดเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ใจเย็นครับคุณลุง งุ้งงิ้งเค้าก็พูดหยอกคุณลุงเล่นเท่านั้นเอง อย่าคิดมากเลยนะฮะ”

นพได้ยินที่คอเบียร์พูดถึงกับใจเสีย

นี่เราแก่ถึงขนาดเด็กเรียกเราว่าลุงแล้วรึเนี่ย

“นพ” ร่างสูงผมยาวปะบ่าในคราบเสื้อกั๊กกางเกงแสลกเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับเรียกชื่อไปด้วย “แล้วน้องราตรี ไม่สิ คุณจันทร์แรมเป็นยังไงบ้าง”

“ก็มีไข้บ้างเป็นบางครั้งแต่ตอนนี้ก็ลดลงแล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกธิดา เอ้ย ธีม” ธีมหรือธิดาในเกมยิ้มเมื่อเห็นว่านพเรียกชื่อเขาผิดไป แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับไป

“งั้นก็ดี เพราะวันนี้ฉันจะได้ทำอาหารให้คุณจันทร์แรมได้ทานบ้าง” ธีมบอกเหตุผลของตัวเอง “ว่าแต่ท่านทานได้แต่ของอ่อนๆใช่ไหมล่ะนพ ฉันจะได้ทำอาหารได้ถูก”

“อืม แต่ถ้านายจะทำล่ะก็ ต้องถามคุณอวิ๋นก่อนล่ะ เพราะขานั้นคิดจะทำอาหารให้คุณยายทานด้วย” นพตอบ ซึ่งธีมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วพวกเขาก็รอได้ไม่นานนัก อเลนซึ่งเป็นลูกครึ่งอังกฤษก็เดินกลับออกมาจากห้องน้ำ ก่อนนพจะพาทุกคนนั่งรถยนต์กลับไปบ้านของเขาทันที

.......................................................

เมื่อนพพาทุกคนมาถึงบ้านแล้ว นพก็ได้แนะนำแม่กับภรรยาของตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก

“แล้วคริสตัลละฮะ” สองหนุ่มเฟรชชี่ถามอย่างสงสัย

“อ๋อ ลูกแก้วเค้าไปปลุกคุณทวดนะจ้ะ” มีนาตอบยิ้มขำขันเมื่อได้ยินชื่อของลูกสาวตัวเองที่ใช้ในเกม ซึ่งทำให้สองหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ แถมได้รู้ชื่อจริงของคริสตัลไปด้วยพร้อมกัน “เดี๋ยวก็มาพร้อมกับพี่ฟางที่เป็นนางพยาบาลน่ะ”

“แล้วพี่เมฆา เอ้ย คุณอวิ๋นละฮะ”

“อ๋อ ทำอาหารเช้าอยู่ในครัวนะ จะเข้าไปทักทายเขาหน่อยไหมล่ะจ้ะ” รุ้งพูดตอบแทนมีนา ซึ่งทำเอาทุกๆคนพยักหน้าเพราะอยากจะไปเห็นตัวตนจริงของเมฆา แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไปในครัว เสียงใสเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้นมาจากชั้นสอง

“คุณทวดค่อยๆเดินนะคะ เดี๋ยวจะหกล้มตกบันได”

“อืม”

ทุกคนเงยหน้ามองไปยังบันไดเห็นสามร่างเดินลงมา ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงในชุดพยาบาลกับเด็กสาววัยสิบขวบในชุดตุ๊กตาสีชมพู ส่วนคนกลางที่ถูกประคองให้เดินลงมาด้วยพร้อมกันนั้น เป็นหญิงวัยชราอายุราวประมาณแปดสิบเก้าสิบเห็นจะได้

“โธ่ ลูกแก้ว นี่ลูกพาคุณทวดเดินลงมาทำไม ลูกก็รู้อยู่ว่าคุณทวดลุกขึ้นเดินไม่ไหวแล้ว” นพพูดบ่นอย่างหัวเสีย หากแต่จันทร์แรมที่เดินลงมาถึงชั้นล่างพร้อมกับแก้วและฟางแล้วกลับหยุดเดินก่อนจะตวาดเสียงใส่

“ฉันอยากจะลงมาเองล่ะตานพ ยัยแก้วไม่เกี่ยว” แล้วจันทร์แรมก็หันไปมองเพื่อนๆที่ยืนมองเธอด้วยความตกตะลึง “เอ่อ ผม ไม่สิ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ปิดบังทุกคน คงจะรังเกียจมากสินะที่เห็นฉันไม่ใช่เด็กผู้ชายเหมือนในเกมแต่เป็นหญิงแก่โรคจิตคนหนึ่งที่เล่นเกมเป็นตัวผู้ชายนะ”

เพื่อนๆที่ทำหน้าตะลึงได้ยินที่จันทร์แรมพูดก็รีบส่ายหน้ากันเป็นพัลวัน

“ไม่เลย ไม่ได้รังเกียจเลยซักนิด” ทุกคนตอบพร้อมกันเป็นเสียงเดียว ซึ่งโชคดีที่นพได้บอกเรื่องตัวจริงของราตรีให้ทุกคนรู้ล่วงหน้าก่อนสองเดือนแล้ว และนอกจากนี้ไม่มีใครคิดจะรังเกียจราตรีที่เป็นผู้หญิงมาเล่นในตัวผู้ชายเลยด้วยซ้ำไป ส่วนคนฟังเมื่อได้รับคำตอบจากเพื่อนๆแล้ว สีหน้าก็ดีขึ้นกว่าเดิมราวกับเก็บความคิดนี้ไว้นานพอสมควร

“ขอบใจนะ ขอบใจจริงๆ” แล้วจันทร์แรมก็เอ่ยปากชวนทุกคนให้ร่วมรับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน แต่ในขณะที่ทุกคนนั่งคุยกันถึงเรื่องเกมอย่างสนุกสนานระหว่างรออวิ๋นทำอาหาร (งานนี้มีลูกมือหลายคนที่เข้าไปตามช่วยอวิ๋นในครัวด้วย) จู่ๆก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น “นั่นใครมานะตานพ ลองออกไปดูหน่อยซิ”

จันทร์แรมบอก ซึ่งนพพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปดูหน้าประตูรั้วที่ข้างนอกบ้าน แล้วจันทร์แรมกับทุกคนนั่งคุยกันได้ไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงนพก็ร้องดังออกมาจนทุกคนลุกขึ้นด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นหรือตานพ ร้องเสียงดังซะทุกคนตกอกตกใจกันหมดแล้วนะ” จันทร์แรมบ่นพลางเดินเนิบนาบโดยมีงุ้งงิ้งกับคอเบียร์คอยช่วยพยุงแขนด้วย ส่วนคนอื่นๆไม่ต้องพูดถึง ต่างวิ่งออกมาดูพร้อมกับจันทร์แรมทันทีที่ได้ยินเสียงของนพ ครั้นพอจันทร์แรมเดินออกมาในระยะสายตาพอจะเห็นนพกับคนที่มากดกริ่งแล้ว ถึงกับตะลึง เพราะภาพเบื้องหน้านั้นเป็นชายหนุ่มสามคนยืนยิ้มโบกมือให้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนที่ทุกคนไม่คิดว่าจะออกมาจากในเกมเรียลได้

“ปิเอโร่!!”

“ขอรับท่าน” ปิเอโร่ขานรับยิ้มๆพลางเหล่มองอวิ๋นที่ยืนถือตะหลิวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอย่างพึงพอใจ “กระผมปิเอโร่เองขอรับ ต้องขออภัยที่มาโดยมิได้บอกกล่าว”

ส่วนอีกสองหนุ่มนั้นทุกคนไม่รู้จักหน้าค่าตา หากแต่จันทร์แรมได้สังเกตมองดูคนฝั่งขวาของปิเอโร่แล้วถึงกับร้องอุทานเสียงดังลั่น

“พี่ปริ๊นซ์!” คำว่าพี่ปริ๊นซ์ทำเอาทุกคนหันไปมองจันทร์แรมพร้อมกัน

“คุณยายรู้จักเขาด้วยหรือครับ” นพถามอย่างสงสัย ซึ่งจันทร์แรมพยักหน้าก่อนจะพูดตอบกลับไปว่า

“เขาเป็นคนที่ช่วยยายกับมาริโอเอาไว้ตอนที่เจอฝูงหนอนยักษ์รุมนะ” ครั้นพอจันทร์แรมพูดจบ อวิ๋นถึงกับสะดุ้งไปอีกรอบ

“งั้นที่คุณจันทร์แรมกับมาริโอหนีรอดมาได้นี่ก็เพราะผู้ชายคนนี้ได้ช่วยเหลือเอาไว้อย่างงั้นหรอกหรือครับ” อวิ๋นพูดอย่างคาดเดา

“ค่ะ คนนี้แหละที่ช่วยดิฉันไว้” จันทร์แรมตอบอวิ๋นก่อนจะหันหน้ากลับไปทางเดิม “ว่าแต่พวกคุณมีธุระอะไรหรือคะ อย่าบอกนะว่ามาเยี่ยมดิฉันนะ”

สามหนุ่มยิ้มให้กันก่อนที่คนซ้ายมือสุดจะหันมาตอบกับเธอว่า

“ใช่แล้วครับ พวกผมมาเยี่ยมคุณครับ คุณจันทร์แรม” สุดท้ายแล้วจันทร์แรมจึงเชิญสามหนุ่มให้เข้ามาร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน โดยที่สองหนุ่มไม่ลืมที่จะแนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จักกันอีกครั้ง ซึ่งทำเอาคนฟังถึงกับอ้าปากค้างเป็นรอบที่สอง แถมนอกจากนี้ดนัยเทพกับปริญก็ได้เล่าเรื่องโปรเจคย้อนวัยให้ทุกคนได้ฟังอีกด้วย

“ให้ตายสิ พวกคุณนี่เล่นอะไรก็ไม่รู้ เล่นเอาคุณยายของผมไปทดลองโดยไม่บอกก่อนล่วงหน้า แบบนี้ผมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องได้นะคุณ” นพพูดด้วยความฉุนเฉียว ซึ่งทำเอาดนัยเทพกับปริญได้แต่ยิ้มรับอย่างจนใจ

“ไม่เอาน่านพ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น” ธีมหันมาพูดปลอบใจเพื่อน “แล้วอีกอย่างโปรเจคนี้ก็เป็นการสุ่มไอดีด้วย ฉะนั้นคุณจันทร์แรมได้ไปก็เป็นความบังเอิญที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น จริงไหมครับคุณดนัยเทพ คุณปริญ”

“จริงครับ ของพวกนี้ขึ้นอยู่กับการสุ่มของเครื่องเกม แล้วอีกอย่างพวกผมก็คอยจับตาดูคุณจันทร์แรมอยู่ทุกเวลา แทบไม่ได้หลับได้นอนเลยด้วยซ้ำครับ” ดนัยเทพตอบพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อเล็กน้อย

“นายเองก็เหมือนกันธีม” นพหันไปพูดอย่างเอาเรื่อง “รู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่บอกกันบ้างเลยนะ ปล่อยให้ฉันเป็นห่วงคุณยายแทบแย่”

ธีมยิ้มแห้งๆเมื่อโดนนพดุ หากแต่จันทร์แรมกลับใช้ไม้เท้ายกขึ้นตีหัวนพหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

“ไม่ต้องไปว่าธีมหรอก เรื่องนี้ยายเป็นคนบอกให้ธีมปิดบังเรื่องนี้เองแหละ” จันทร์แรมพูดพลางถอนหายใจเฮือก “ยายอยากจะลองมีชีวิตแบบเด็กทารกดูก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหลานเลยซักนิดเดียว หรือว่าแกเห็นว่าไม่ดีล่ะตานพ”

นพยิ้มแห้งๆพลางเอามือลูบหัวที่ปูดบวมจากการโดนจันทร์แรมฟาด แล้วหลังจากนั้นปิเอโร่ก็ได้สารภาพว่าตัวเองนั้นเป็นผู้เล่นคนหนึ่งเหมือนกัน หากแต่ขอจีเอ็มไว้ว่าจะเป็นมอนสเตอร์ แต่ไปมากลับต้องเป็นทาสรับใช้ของเมฆาหรืออวิ๋นเสียจนได้

“แล้วอีกอย่างกระผมไม่ได้ชื่อปิเอโร่นะขอรับ” ปิเอโร่บอกเสียงเง้างอน “กระผมชื่อลาสก์ ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ”

แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็ได้รู้ประวัติความเป็นมาของลาสก์จากปากเจ้าตัว ซึ่งทำให้ทุกคนได้รู้คร่าวๆว่าลาสก์เป็นคนป่วยคนหนึ่งที่ทางเกมรับไว้ดูแลอยู่เกือบตลอดเวลา และนอกจากนี้ลาสก์ยังมีคนรักชื่อว่ามาเรียอีกด้วย แต่เธอคนนั้นป่วยเป็นเจ้าหญิงนิทรา ซึ่งเธอได้รับการรักษาโดยการเข้ามาเล่นเกมในเกมเรียลไลฟ์อีกด้วย ซึ่งทำให้ลาสก์ต้องตามสอยเข้ามาเล่นกับมาเรียจนกระทั่งอีกฝ่ายลาลับโลกไป

“แล้วฉันก็มาเจอนายที่เกาะสุสานร้างนั่นพอดี” เมฆาหรืออวิ๋นพูดต่อทันทีที่ได้ฟังลาสก์พูดจนจบ

“ใช่แล้วขอรับ” ลาสก์ตอบยิ้มๆ หากแต่นัยน์ตากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย “เพราะกระผมไม่มีที่ไป แถมคุณอวิ๋นก็พูดจนกระผมคิดได้ กระผมจึงขอตามคุณเป็นทาสรับใช้ยังไงล่ะขอรับ”

คำพูดของลาสก์ทำเอาอวิ๋นเอามือตบหน้าผากด้วยความกลัดกลุ้ม แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นก็ยังยินดีที่อีกฝ่ายคิดปลงกับชีวิตของคนรักที่เสียไปได้

“แต่ไหนๆกระผมก็ออกมาจากเกมทั้งทีแล้ว กระผมคงไม่อยากให้อีกคนต้องน้อยหน้าหรอกนะขอรับ” ลาสก์หรือปิเอโร่พูดเกริ่นขึ้น ซึ่งทำเอาทุกคนนึกสงสัยว่าลาสก์จะทำอะไรกันแน่ แต่แล้วลาสก์ก็หันไปพยักหน้าให้กับดนัยเทพและปริญ ทั้งสองคนเดินกลับไปที่รถยนต์ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับกล่องใหญ่ประมาณครึ่งตัวของแก้วออกมาแกะ แต่ในระหว่างที่ดนัยเทพกับปริญกำลังแกะกล่องนั้น ลาสก์ได้พูดต่อว่า “กระผมใช้เวลานานอยู่เลยทีเดียว กว่าจะไปขอร้องผู้อำนวยการของเกมนี้ให้ทำตามคำขอได้ ต้องเดินเข้าๆออกๆบริษัทเกมเป็นว่าเล่น แถมต้องเสียเงินตั้งเป็นแสนกว่าจะทำสำเร็จ”

เมื่อลาสก์พูดจบ พวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาดูดนัยเทพกับปริญแกะกล่อง จนกระทั่งฝากล่องหลุดออกจากกันแล้ว ซึ่งทำเอาทุกคนที่จ้องมองถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“มาริโอ!”

...........................................

ร่างของมาริโอนั่งหลับตาในท่าขัดสมาธิ หากแต่ด้านหลังของมาริโอกลับเต็มไปด้วยสายไฟนับสิบกว่าเส้นได้

“ผมวานคุณนพให้เอาตัวเชื่อมต่อเกมมาให้หน่อยได้ไหมครับ พอดีผมต้องการมาเสียบเพื่อเชื่อมต่อนะ” ปริญถามนพ ซึ่งชายหนุ่มพยักหน้าตอบแทนคำพูดก่อนจะวิ่งหายออกไปจากห้องรับแขก สักพักก่อนจะวิ่งกลับมาพร้อมกับเครื่องเชื่อมต่อเกม “ขอบคุณครับ ถ้ายังไงช่วยกรุณารอสักครู่ด้วย เพราะนี่เป็นงานวิจัยครั้งแรกที่ผมทำมันขึ้นมา”

แล้วปริญก็ลงมือต่อเครื่องด้วยตนเอง โดยที่ดนัยเทพกับทุกคนได้แต่ยืนจ้องดูเพียงอย่างเดียว แล้วเวลาผ่านไปได้สิบนาที ปริญก็หยุดมือก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินถอยออกห่างสองก้าวได้

“ผมจูนเครื่องเรียบร้อยแล้วครับ ทีนี้ก็รอดูกันว่าจะสำเร็จไหม” ปริญพูดจบ ทุกคนต่างหันไปมองมาริโอด้วยความลุ้นระทึก ถึงแม้จะไม่เข้าใจกับสิ่งที่ปริญทำก็ตามที แต่ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยจนกระทั่งร่างของมาริโอที่นั่งเป็นหุ่นก็เริ่มขยับไหวตัว ก่อนแพขนตาของมันจะขยับไหวสองสามรอบแล้วลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าพร้อมกับคำพูดที่คุ้นหู

“แม่งรอนานจนเผลอหลับไปแล้วนะเนี่ยไอ้ปิเอโร่ ไหนว่าจะช่วยข้าออกมาหารัตติที่มิติโลกคู่ขนานยังไงละวะ สงสัยมันหลอกเราแหงๆเลย”

ดูท่ามาริโอจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวมันนั้นได้หลุดออกมาจากโลกแห่งเกมแล้วจริงๆ!

“ข้าจะไปหลอกเจ้าทำไมกันล่ะไอ้เห็ดเน่า” ปิเอโร่หรือลาสก์พูดหยอกกลับแบบกวนๆใส่ หนำซ้ำยังสาวเท้าเดินเข้าไปนั่งลงยองตรงหน้ามาริโออีกด้วย “ลองหลับตาอีกครั้งแล้วก็เบิกตาดูให้ดีๆล่ะ ว่าโลกที่เจ้าเคยอยู่เมื่อครู่นี้มันเปลี่ยนไปแล้วนะ”

ว่าแล้วลาสก์ก็ปิดท้ายด้วยการทุบหัวมันเบาๆก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินถอยหลังออกห่าง ซึ่งทำเอามาริโอที่กำลังสับสนอยู่นั้น รีบหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่อีกครั้ง

“จริงด้วย! ที่นี่ไม่ใช่โลกที่ข้าเคยอยู่แล้วจริงๆ” มาริโอแผดเสียงอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นผู้คนแปลกหน้ายืนรายล้อมตัวมัน ก่อนจะไปชะงักเมื่อเห็นปิเอโร่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ “รัตติอยู่ไหนล่ะปิเอโร่ ข้าแทบอยากจะเจอรัตติแทบแย่อยู่แล้วนะ!”

ปิเอโร่หรือลาสก์เชิดหน้ามาทางจันทร์แรม ซึ่งทำให้มาริโอรีบหันไปมองตามก่อนจะทำท่าตกใจ

“เฮ้ย! รัตติกลายเป็นอีแก่ไปแล้ว!!”

โป๊ก!

ไม้เท้าของจันทร์แรมลอยกระเด็นเข้ามาโดนหัวมาริโอเข้าจังๆ

“ปากเสียเหมือนเดิมไม่มีผิดเลยนะมาริโอ จำที่ข้าสอนไม่ได้แล้วรึไงว่าให้พูดจาเพราะๆนะ” เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสับสน จันทร์แรมจึงเลือกใช้คำพูดที่เคยอยู่ในเกมแทน ส่วนมาริโอนั้นพอได้ยินที่จันทร์แรมพูดแล้ว มันก็มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใช่เจ้าจริงๆแน่รึรัตติ ทำไมดูไม่เหมือนเจ้าคนเดิมเลยซักนิดล่ะ” มาริโอถามอย่างสงสัย ซึ่งจันทร์แรมยักไหล่ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ก็แหงล่ะ เพราะที่นี่คือมิติโลกคู่ขนาน แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อล่ะก็ ลองโดนแส้ของข้าซักหน่อยไหมล่ะ สติสะตังจะได้กลับมาซักที” มาริโอได้ยินที่จันทร์แรมพูดแล้ว ถึงกับรีบส่ายหน้าอย่างเร็ว

“ไม่ล่ะ ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าคือรัตติตัวจริง”

“แล้วลาสก์ไม่ได้ชวนพี่หยางชุนหลานกับพี่เทียนหลงมาด้วยรึ” จันทร์แรมถามอย่างสงสัย เพราะเธอไม่เห็นสองคนนั้นมาด้วย ซึ่งแทนที่ลาสก์จะตอบ กลับเป็นดนัยเทพยกมือขึ้นตอบคำถามของเธอแทน

“ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับทุกคนครับ” ดนัยเทพพูดยิ้มๆก่อนจะพูดต่อไปว่า “พอดีหยางชุนหลานกับเทียนหลงเป็นเอ็นพีซีที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ไว้สำหรับช่วยเหลือผู้เล่นในโครงการยามฉุกเฉิน โดยทางเราได้ใช้ข้อมูลบางส่วนจากราชามังกรกับนางพญามังกร จึงทำให้ทั้งคู่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือเมฆาในร่างปีศาจได้สบายๆ ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่มีตัวตนในโลกจริงครับ”

พอดนัยเทพพูดจบ ทุกคนถึงกับร้องอ้อเป็นเชิงเข้าใจกันหมด ยกเว้นมาริโอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำสีหน้างุนงง

..........................................

หลังจากนั้นทุกคนก็ได้สนุกสนานเฮฮาตามประสาคนไม่เจอกันนาน โดยเฉพาะจันทร์แรมที่ไม่ได้เข้าเกมนานนั้นรู้สึกสนุกสนานมากเป็นพิเศษ พอตกบ่ายจันทร์แรมได้ชักชวนให้ทุกคนไปยังที่โรงฝึกซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านของเธอ

“คุณยายคิดจะทำอะไรหรือครับ” นพถามอย่างสงสัยในขณะให้สัญญาณกับฟางที่เป็นพยาบาลให้ไปตระเตรียมอุปกรณ์ยามาให้พร้อม

“เดี๋ยวก็รู้กัน” จันทร์แรมตอบก่อนจะพาทุกคนเข้าไปยังในโรงฝึกที่ไม่ได้เข้ามานานเกือบสามสิบปี ทันทีที่ประตูถูกเปิด เผยให้เห็นห้องไม้สี่เหลี่ยมกว้างๆธรรมดา หากแต่ห้องหับเต็มไปด้วยฝุ่นหยากไย่ “สกปรกแบบนี้คงทำให้ดูไม่ได้ แม่รุ้งแม่มีนา ช่วยจัดการห้องนี้ให้สะอาดทีได้ไหม เอาแบบพอใช้ได้นะ อย่านานล่ะ เพราะฉันขี้เกียจรอ”

“ค่ะคุณแม่/คุณยาย” แล้วรุ้งกับมีนาก็ลงมือทำความสะอาดทันที ส่วนพวกจันทร์แรมก็ไปนั่งรอที่สวนดอกไม้ที่อยู่ใกล้ๆโรงฝึกนี้ หลังจากผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงรุ้งกับมีนาก็ได้ทำความสะอาดจนเสร็จ

“ตานพ ไปเอาดาบประจำตระกูลมาซิ” จันทร์แรมบอก ซึ่งทำเอานพกับทุกคนถึงกับงุนงง

“อะไรนะครับคุณยาย” นพถามอีกครั้ง ซึ่งทำเอาจันทร์แรมเอาไม้เท้ามาตีหัวนพหนึ่งที

“นี่แน่ะ ฉันบอกว่าให้ไปเอาดาบประจำตระกูลมา” จันทร์แรมพูดพลางส่ายหน้ากับความซื่อบื้อของหลานชายตัวเอง “เอามาสองเล่มนะ เข้าใจไหมตานพ” พอได้ยินชัดถ้อยชัดคำแล้ว นพก็เข้าใจแล้วว่าคุณยายต้องการอะไร

“ไม่ได้นะครับคุณยาย! คุณยายแก่มากแล้ว ผมไม่อยากให้คุณยายล้มป่วยไปมากกว่านี้” เมื่อนพพูดจบ ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าจันทร์แรมต้องการอะไร

“ถูกของนพ ผมว่าคุณอย่าทำอะไรเกินตัวจะดีกว่านะครับ” อวิ๋นเข้ามาพูดห้ามอย่างเป็นกังวล เพราะต่างรู้ดีว่าสุขภาพของจันทร์แรมจะแย่หากฝืนใช้ดาบในตอนนี้ “ถ้าขืนคุณใช้ดาบในตอนนี้ ผมเกรงว่าคุณจะ…”

“คุณอวิ๋นไม่อยากเห็นวิชาดาบลับขั้นสุดยอดของซินแซหรือยังไงคะ” จันทร์แรมพูดแทรก ซึ่งทำเอาอวิ๋นถึงกับขมวดคิ้ว

“อะไรนะครับคุณจันทร์แรม ผมฟังไม่ชัด”

วิชาดาบลับขั้นสุดยอด” จันทร์แรมตอบย้ำอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “วิชานี้นอกจากดิฉันกับนรินทร์แล้ว ซินแซไม่เคยสอนให้ใครอีกเลย”

“อะไรที่ทำให้คุณจันทร์แรมมั่นใจได้ว่าซินแซไม่เคยสอนนะครับ” อวิ๋นถามอย่างสงสัย

“ก็มั่นใจตั้งแต่ดิฉันได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคุณอวิ๋นในสงครามตอนอยู่ในเกมนะสิคะ” จันทร์แรมตอบพลางถอนหายใจแรงๆ “เพราะถ้าหากคุณเคยเรียนท่าดาบลับสุดยอดกับซินแซแล้วล่ะก็ คุณคงจะนำท่าดาบนี้ขึ้นมาใช้กับพวกบอสปีศาจในเกมไปนานแล้ว ฉะนั้นดิฉันจึงมั่นใจว่าคุณไม่เคยเรียนท่านี้มาก่อนอย่างแน่นอนค่ะ”

เมื่อพูดจบ จันทร์แรมก็ไล่นพให้ไปหยิบดาบประจำตระกูลมาอีกครั้ง ซึ่งทีแรกนพก็อิดออดไม่ยอมไปเอามา หากแต่โดนสายตาของจันทร์แรมที่จ้องมองมา ทำให้นพจำยอมเดินกลับไปเอาดาบมาให้แต่โดยดี

.............................

 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
 :mew2:  ไม่อยากให้จบเลย  :katai1:

ออฟไลน์ dragon123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 744
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
บทสรุป

...................................

หลังจากที่จันทร์แรมใช้นพให้ไปเอาดาบแล้ว นพก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับดาบสองเล่มในมือ

“คุณยายแน่ใจแล้วหรือครับว่าจะใช้ดาบนะ” นพถามย้ำอีกรอบอย่างเป็นกังวล แต่ก็ยังไม่ยอมยื่นส่งดาบให้เธอ “ผมกลัวว่าอาการคุณยายจะทรุดลง”

หากแต่จันทร์แรมไม่ฟัง กลับคว้าดาบทั้งสองเล่มออกมาจากมือของนพอย่างเร็ว

“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นสิตานพ” จันทร์แรมบ่นก่อนจะส่งดาบให้อวิ๋น ซึ่งทำเอาคนรับมองดาบด้วยความมึนงง “รับไปสิคะคุณอวิ๋น อย่าบอกนะว่าลืมวิธีการใช้ดาบไปแล้วนะค่ะ”

จันทร์แรมพูดแซว ซึ่งทำเอาคนฟังยิ้มแห้งๆ

“ไม่ได้ลืมหรอกครับ” อวิ๋นตอบก่อนจะพูดต่อ “ทำไมต้องให้ผมถือดาบด้วยล่ะครับ คุณจันทร์แรมจะแสดงวิชาดาบลับขั้นสุดยอดให้ผมดูเฉยๆไม่ใช่รึไงครับ”

จันทร์แรมได้ยินดังนั้นก็รีบส่ายหน้าทันที

“ไม่ใช่แค่แสดงให้ดู แต่ดิฉันจะสอนวิชาดาบนี้ให้คุณอวิ๋นตั้งหากล่ะคะ” พอจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนถึงกับร้องอุทานด้วยความตกใจ

“สอนดาบหรือครับ?!” อวิ๋นพูดอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ “ผมว่าอย่าเลยจะดีกว่า ผมคงไม่เหมาะที่จะเรียนวิชานี้หรอกครับ”

“เหมาะไม่เหมาะนั้นดิฉันจะเป็นคนตัดสินเองค่ะ เพียงแค่คุณอวิ๋นทำตามที่ดิฉันบอกก็พอ”

“แต่ผมเกรงว่า....”

“ดิฉันไม่ต้องการได้ยินคำว่าเกรงใจ” จันทร์แรมพูดแทรก ซึ่งทำเอาอวิ๋นอ้าปากค้าง “ที่ดิฉันสอนก็เพื่อไม่ต้องการให้วิชาการต่อสู้ของซินแซสูญหายไปตั้งหากค่ะ แล้วอีกอย่างดิฉันต้องการให้คุณอวิ๋นกับตานพได้สืบทอดวิชานี้ต่อด้วย”

“อะไรนะครับ ผมก็ต้องเรียนวิชานี้ด้วยงั้นหรือครับคุณยาย” นพพูดอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่แล้วนพ ยายจะให้หลานได้เรียนวิชานี้จากคุณอวิ๋นหลังจากที่ยายได้สอนเขาเสร็จแล้วนะ” จันทร์แรมหันมาตอบนพก่อนจะวกสายตากลับไปที่อวิ๋นตามเดิม “ขอความกรุณาช่วยจดจำท่าที่ดิฉันสอนให้ดีนะคะคุณอวิ๋น เพราะดิฉันคงทำให้คุณดูได้เพียงครั้งเดียว...ครั้งเดียวจริงๆ”

ครั้งเดียวที่จะทำให้ดูได้...

เพราะไม่แน่ใจว่าหลังจากทำเสร็จแล้ว ตัวเธอจะเป็นยังไงเนี่ยสิ


จันทร์แรมคิดอย่างหนักใจ หากแต่เธอกลัวทุกคนเป็นห่วงจึงแสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มออกมา

“ถ้าไม่ตอบก็เป็นอันว่าตกลงนะคะคุณอวิ๋น” จันทร์แรมพูดพลางปล่อยดาบลงบนมือของอีกฝ่าย ก่อนจะปล่อยไม้เท้าออกแล้วเดินเข้าไปในห้องฝึกราวกับคนปกติดีไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อน “มาสิคะคุณอวิ๋น มาเตรียมรับการถ่ายทอดวิชาจากดิฉัน ส่วนนพกับคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้อง ช่วยไปนั่งดูห่างๆหน่อยนะ เพราะฉันไม่แน่ใจว่าคมดาบของฉันจะไปโดนใครบ้างนะ”

เมื่อจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนต่างเดินเข้าไปในห้องก่อนจะนั่งลงพับเพียบที่ข้างกำแพงของห้อง ยกเว้นอวิ๋นที่เดินไปหาจันทร์แรม ซึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ใจกลางของห้องฝึก

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะคุณอวิ๋น เพราะดิฉันจะไม่ใช้ดาบด้านที่คม” จันทร์แรมบอกก่อนล่วงหน้า “ถึงไม่ใช่ด้านคม แต่มันก็สามารถทำให้คุณสลบได้ ดังนั้นขอให้คุณอวิ๋นได้เตรียมใจไว้ก่อนนะคะ”

“คะ…ครับ” อวิ๋นพูดตอบเสียงอ่อย ซึ่งทุกคนที่นั่งจ้องมองอย่างเงียบๆนั้นต่างลุ้นระทึกกับในสิ่งที่จะได้เห็นในต่อไปนี้ แล้วจันทร์แรมกับอวิ๋นก็ก้มหน้าทำความเคารพซึ่งกันและกัน ก่อนที่อวิ๋นกับจันทร์แรมจะเอาดาบออกจากฝักพร้อมกัน โดยอวิ๋นยกดาบขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อม ส่วนจันทร์แรมกลับยืนนิ่งปล่อยตัวตามสบาย ระหว่างที่จดจ้องกันและกัน ทุกคนได้เห็นเหงื่อเม็ดใหญ่ขึ้นบนหน้าอวิ๋นด้วย ครั้นพอทุกคนหันกลับไปมองจันทร์แรมอีกครั้ง กลับพบว่าอีกฝ่ายยืนในท่าสบายๆ ไม่มีอาการอึดอัดเหมือนที่อวิ๋นเป็นในขณะนี้

ฟุบ!

อวิ๋นเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นจันทร์แรมพุ่งตัวเข้ามาตวัดดาบใส่ ครั้นยกดาบรับ เขาก็รู้สึกว่าถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจนชาไปทั้งตัว ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย

..........................................

เมฆา…

เม…


“คุณอวิ๋น!” อวิ๋นลืมตาขึ้นโพล่งทันทีเมื่อได้ยินคนเรียก ก่อนจะเห็นจันทร์แรมนั่งยองอยู่ข้างเขา

“เฮ้อ ดิฉันนึกว่าคุณอวิ๋นจะสลบไปไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว สงสัยดิฉันจะออกแรงมากไปหน่อย”

“ไม่หรอกครับ ผมผิดเองที่รับดาบคุณไม่ได้จนสลบไป” อวิ๋นพูดพลางลุกขึ้นนั่งก่อนจะเห็นพวกเพื่อนๆนั่งล้อมเขามองดูด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่ท่าดาบที่คุณจันทร์แรมใช้เมื่อครู่นี้ เขาเรียกว่าอะไรงั้นหรือครับ ทำไมผมมองไม่เห็นดาบเลย”

จันทร์แรมยิ้มก่อนจะตอบกลับมาว่า

ดาบไร้ลักษณ์

“ดาบไร้ลักษณ์?”

“ค่ะ ดาบไร้ลักษณ์” จันทร์แรมตอบย้ำอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “มันเป็นดาบที่ไม่มีท่าตายตัว พลัง ความเร็ว นั่นคือเคล็ดลับของดาบไร้ลักษณ์ แต่ถ้าพูดให้ถูก…วิชานี้คือวิชาที่เอาไว้ใช้ฆ่าคนค่ะ”

พอจันทร์แรมพูดจบ ทุกคนถึงกับอึ้ง

“ทำไม…ทำไมคุณจันทร์แรมถึงเอาวิชานี้มาสอนผมกับนพได้ล่ะครับ” อวิ๋นพูดด้วยความตกตะลึง “ในเมื่อมันเป็นดาบฆ่าคน ทำไมเซ็นแซถึงได้เอาวิชานี้มาสอนคุณกับแฟนของคุณได้ล่ะครับ เซ็นแซไม่กลัวว่าพวกเราจะเอาวิชานี้ไปใช้ในทางไม่ดีเลยรึครับ”

เมื่ออวิ๋นพูดจบ จันทร์แรมก็ส่ายหน้าไปมา

“ไม่เลยค่ะ เซ็นแซรู้ดีว่าพวกเราต้องไม่นำวิชานี้มาฆ่าคนอย่างแน่นอนค่ะ แล้วอีกอย่างดิฉันก็มั่นใจว่าคุณกับตานพต้องไม่เอาวิชานี้ไปใช้ฆ่าคนแน่ เพราะงั้นดิฉันถึงได้ตัดสินใจที่จะสอนวิชานี้ให้ยังไงล่ะคะ” จันทร์แรมตอบก่อนจะพูดต่อ “ถ้าคิดในทางกลับกัน หากพวกเราใช้ดาบด้านที่ไม่คม วิชาดาบไร้ลักษณ์นี้ก็จะไม่เป็นวิชาที่ฆ่าคนอีกต่อไป แถมนอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้เพื่อป้องกันตัวเองหรือคนรักก็ย่อมได้ค่ะ”

ทุกคนรวมถึงอวิ๋นเมื่อได้รับทราบแล้วต่างพยักหน้าอย่างเข้าใจดี

“มิน่าล่ะ คุณจันทร์แรมถึงยอมลงทุนลงแรมสอนวิชานี้ให้ผมกับนพเพื่อการนี้นี่เอง”

“ค่ะ ถ้าคุณอวิ๋นเข้าใจแล้วดิฉันก็ค่อยโล่งอกหน่อย” จันทร์แรมพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวดิฉันจะไปเอาดาบมาก่อนนะคะ เพราะดาบที่คุณถือมันกระเด็นไปอยู่นู่นแล้ว”

จันทร์แรมเชิดหน้าไปด้านหลังของอวิ๋น ทำให้เขาต้องหันหลังกลับไปดูก่อนจะเห็นว่าดาบที่เขาเคยถือเมื่อครู่นี้มันปักอยู่ที่พื้นไม้ ซึ่งไม่ห่างจากจุดที่เขานั่งอยู่เท่าไหร่ ครั้นจันทร์แรมลุกขึ้นยืนแล้ว กลับเซล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำเอาทุกคนที่กำลังหันไปมองดาบอยู่นั้นต้องรีบหันกลับมามองคนล้มทันที

“คุณจันทร์แรม/คุณยาย/คุณแม่/คุณทวด/รัตติ!”

หากแต่คนถูกเรียกกลับนอนแน่นิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน ซึ่งทำให้ฟางที่เป็นนางพยาบาลรีบเข้าไปดูอาการอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไหวค่ะ จากที่ใช้ดาบเมื่อครู่นี้ทำให้ชีพจรของท่านอ่อนลง ต้องนำส่งโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียวค่ะ” ฟางบอก ซึ่งทำให้นพพยักหน้าก่อนจะเข้ามาทำท่าอุ้มจันทร์แรมไปส่งโรงพยาบาล หากแต่คนล้มกลับคว้ามือของนพเอาไว้

“ไม่ต้องไป…ขอฉัน…นอน…ตาย…ที่บ้าน…ดีกว่า”

“คุณยาย!”

“ขอร้องล่ะ ขอฉันนอนอยู่ที่บ้าน…จนกว่าจะ…ถึงเวลา…นั้น” แล้วคนพูดก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ทำให้นพต้องบอกฟางให้เรียกหมอประจำตัวมาดูอาการคุณยายที่บ้านแทน ซึ่งพอหมอมาตรวจดูแล้วถึงกับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง เพราะอาการของจันทร์แรมหนักมากถึงขั้นเกินเยียวยาแล้ว หมอจึงทำได้เพียงแค่ให้น้ำเกลือก่อนจะบอกทุกคนให้เตรียมทำใจไว้ด้วย

“คงอยู่ได้ไม่ถึงพรุ่งนี้” นั่นคือคำบอกของหมอ ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับเศร้า แน่นอนว่าทุกคนอยู่เฝ้าจันทร์แรมไม่ห่างกายจนกระทั่งถึงเวลาตอนกลางคืนซึ่งเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง จันทร์แรมที่หลับไปนานแล้วก็ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณทวดฟื้นแล้วค่ะคุณพ่อ!” แก้วบอก ซึ่งทำเอาทุกคนที่นั่งหงอยเหงาถึงกับกระเถิบเข้าไปรุมล้อมจันทร์แรมที่นอนอยู่บนฟูกด้วยความเป็นห่วง ครั้นนพจะถามคุณยายว่าต้องการน้ำหรือยาดมไหม แต่คนป่วยกลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ฉันรู้ตัวดีว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน ลูกรุ้งเอ๋ย จงอย่าเสียใจเลยถ้าหากแม่จากไป บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อของลูกเป็นคนเก็บหอมรอมริบสร้างขึ้นมาด้วยกับมือของตัวเอง ฉะนั้น ขอให้รักษาเอาไว้ให้ดี แม่ขอยกให้ยัยแก้วนะลูก”

“คุณแม่คะ อย่าเพิ่งพูดมากเลยค่ะ นอนพักผ่อนให้มากๆดีกว่านะคะ” รุ้งพูดไปเช็ดน้ำตาไปพลาง แต่ทว่าคนป่วยกลับไม่ยอมทำตามที่ลูกสาวของตัวเองบอก

“หมั่นทำบุญสร้างกุศลเข้าไว้ ตั้งตัวอยู่ในศีลในธรรม กุศลนั้นจะเป็นเหมือนแก้วคุ้มครองตน” จันทร์แรมพูดจบก็หันไปมองนพกับมีนาที่นั่งอยู่ข้างขวาของเธอ “นพ มีนา อย่าลืมคำอวยพรในวันแต่งงานที่ยายเคยให้ไว้นะลูก”

“ครับคุณยาย ผมกับมีนาจะทำตามที่คุณยายบอกอย่างแน่นอน” นพกัดฟันตอบด้วยความขมขื่น ก่อนที่จันทร์แรมจะหันไปมองแก้ว ซึ่งเอาแต่เช็ดน้ำตาไม่หยุดไม่หย่อน

“ยัยแก้วเอ๋ย เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่นะลูก ไม่มีใครรักหนูเท่าพ่อกับแม่ได้อีกแล้ว”

“ฮือๆ ค่ะคุณทวด” แก้วตอบเสียงสะอื้นไห้ จากนั้นจันทร์แรมจึงหันกลับไปที่นพอีกครั้ง

“ยายฝากมาริโอด้วยนะ ถึงมันจะเกรียน จะดื้อ แต่มันก็เป็นเด็กดี ยายเป็นห่วง กลัวว่าถ้าไม่มียายแล้วมันจะเกเร” จันทร์แรมพูดพลางหันไปมองมาริโอด้วยสายตาอ่อนโยน “นิสัยเกรียนๆก็เพลาลงหน่อยนะมาริโอ เจ้ายังต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง”

ครั้นจันทร์แรมพูดจบ มาริโอถึงกับร้องไห้น้ำตาไหล

“ไม่นะรัตติ เจ้าจะต้องไม่จากข้าไปไหน อยู่กับข้าตลอดนะรัตติ” จันทร์แรมได้ยินที่มาริโอพูดถึงกับส่ายหน้าไปมา ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบหัวมาริโออย่างแผ่วเบา

“ข้าไม่ได้ไปไหนหรอกมาริโอ ข้าจะอยู่ในเจ้าตลอดเวลา เชื่อข้าสิ”

“จริงนะรัตติ เจ้าไม่ได้โกหกข้านะ” มาริโอถามย้ำพลางสูดน้ำมูกที่ไหลย้อยแรงๆ “เจ้าจะอยู่กับข้าตลอดเวลานะรัตติ”

จันทร์แรมพยักหน้าทันทีที่มาริโอพูดจบ ก่อนที่เธอจะหันไปมองฟางซึ่งกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่

“หนูฟาง ที่ผ่านมายายขอบใจหนูมากที่ช่วยดูแลยายมาตลอด” ฟางได้ยินดังนั้นจึงเลิกซับน้ำตาก่อนจะพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“คุณยายอย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูก็รักคุณยายก็เหมือนยายแท้ๆของหนูค่ะ”

“ยายก็รักหนูเหมือนหลานแท้ๆเช่นกัน” พอจันทร์แรมพูดจบ ก็ได้หันหน้าไปมองพวกอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็มีความสุขมากที่ได้รู้จักกับทุกคน”

“คุณจันทร์แรม” ทุกคนพูดชื่อของเธอพร้อมกัน ก่อนที่จันทร์แรมจะหันหน้ากลับมามองฝ้าเพดานแทน

“เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน ขอหลับ...” จันทร์แรมพูดเสียงอ่อย นัยน์ตาสองข้างเริ่มปรือลง “...ตาลงพักสักหน่อย...นะ...ทุกคน”

แล้วนัยน์ตาของจันทร์แรมก็ได้ปิดลงสนิทพร้อมกับลมหายใจค่อยๆหมดลงอย่างช้าๆ ซึ่งทำเอาฟางที่อยู่ใกล้สุดสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงรีบเอานิ้วมืออังจมูกดูพร้อมกับวัดชีพจรข้อมือของจันทร์แรมท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังรอคำตอบจากฟางอยู่ ซึ่งไม่นานนักฟางก็ยืดตัวตรงพร้อมกับเม้มปากแน่นเอ่ยคำตอบให้กับทุกคน

“คุณยายท่าน...ได้จากพวกเราไปแล้วค่ะ”

..............................................................

“คุณยายท่าน...ได้จากพวกเราไปแล้วค่ะ”

คำตอบจากฟางทำเอาทุกคนถึงกับร้องไห้ออกมาทันที ผิดกับนพที่นั่งก้มหน้าเม้มปากมือไม้สั่นและไม่ได้ร้องไห้อย่างที่ควรจะเป็น

“ไม่จริง...” จู่ๆนพก็พูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงร้องของทุกคน ซึ่งทำเอาทุกคนหันไปมองนพอย่างสงสัย “...คุณยายจะมาจากพวกเราไปง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน...ผมไม่ยอมหรอก”

“ใจเย็นๆนะคะนพ มีนารู้ว่านพเสียใจที่คุณยายจากพวกเราเร็วเกินไป...แต่ความจริงมันก็คือความจริง...คุณยายท่านได้ไปสบายแล้ว เพราะฉะนั้น...”

ปึง!

เสียงของแข็งกระแทกพื้น ทำเอามีนาถึงกับหยุดพูดไปในทันที

“ผมรู้มีนา ผมรู้ เพียงแต่...” นพก้มหน้ากัดฟันพูดด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะนึกถึงคำพูดของคุณยายที่เคยพูดเปรยให้เขาได้ยินอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว “...เพียงแต่คุณยายจะจากโลกนี้ไปโดยที่ท่านยังคิดถึงคุณตาอยู่ได้ยังไงกัน...แบบนี้ก็เท่ากับว่าท่านนอนตายตาไม่หลับนะสิ!”

“ลูกนพ!!” ผู้เป็นแม่ร้องอุทานอย่างไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยินจากปากลูกชาย

“ผมไม่ได้บ้าคิดเองเออเองนะครับคุณแม่ คุณยายเคยพูดกับผมไว้แบบนี้จริงๆ” นพตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองใคร “เพราะเหตุนี้ไง ผมถึงได้ชวนคุณยายเข้าไปเล่นเกมเรียลไลฟ์เพื่อที่จะให้ท่านได้เลิกคิดถึงคุณตา...แต่...แต่ผมคิดผิดทั้งหมด คุณยาย...คุณยายยังคิดถึงคุณตาอยู่มาตลอดจนถึงบัดนี้”

“อะไรที่ทำให้นพคิดแบบนั้นล่ะ บางทีคุณจันทร์แรมอาจจะเลิกคิดถึงคุณนรินทร์ไปแล้วก็ได้” อวิ๋นพูดตามความเข้าใจของตัวเอง เพราะเห็นว่าจันทร์แรมบอกลาทุกคนโดยไม่มีสีหน้าเป็นกังวลเลยซักนิดเดียว ซึ่งคำพูดของอวิ๋นทำเอานพถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นด้วยความเดือดดาล

“เลิกคิดรึ?” นพทวนคำพูดของอวิ๋นอย่างดูแคลน “คุณอวิ๋นคิดว่าคุณยายจะเลิกคิดถึงคุณตาได้ง่ายงั้นรึ ฮึ เสียแรงที่อยู่ข้างคุณยายในเกมมาตั้งนานสองนาน ไม่เคยรู้จักสังเกตคุณยายเลยบ้างซักนิด ทั้งๆที่คุณเองก็น่าจะเคยได้ยินเสียงท่านร้องเพลงในคืนพระจันทร์เต็มดวงตอนอยู่ในเกมนะ ให้ตายสิพับผ่า”

พอนพพูดจบ ก็ทำเอาทุกคนที่เคยเดินทางร่วมกับจันทร์แรมมาด้วยกันถึงกับร้องอ้อ แม้กระทั่งมาริโอเองก็พลอยพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของนพ เพราะทุกคนล้วนเคยได้ยินจันทร์แรมร้องเพลงมาก่อนแล้วจริงๆ

“แล้วเพลงนั้นมันเกี่ยวข้องอะไรกับที่คุณจันทร์แรมยังไม่เลิกคิดถึงคุณนรินทร์ล่ะ” อวิ๋นยังคงถามอยู่ไม่เลิกรา ซึ่งทำเอานพนึกอยากจะลุกขึ้นไปต่อยหน้าอวิ๋นแต่เกรงว่ามันจะเป็นการไม่เคารพคุณยายที่เพิ่งจะเสียไปได้หมาดๆ

“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว” นพตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ก็เพราะบทเพลงนั้นเป็นบทเพลงที่คุณตาเป็นแต่งให้คุณยายไว้ก่อนที่ท่านจะเสียไปนะสิ”

พอนพพูดจบ ทำเอาอวิ๋นถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่าบทเพลงที่จันทร์แรมใช้ร้องเพลงทุกคืนพระจันทร์เต็มดวงจะสำคัญต่อจันทร์แรมถึงขนาดนี้

“ขอโทษนะนพ...พอดีฉันไม่คิดว่าจะ...”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ถึงตอนนี้พูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะคุณยายได้ตายไปแล้ว” นพพูดตัดบท ซึ่งทำเอาทุกคนถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น

ลา...ลัน...ลา

จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ซึ่งทำเอาทุกคนที่นั่งนิ่งถึงกับเงยหน้ามองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่ทุกคนก็สงสัยได้ไม่นาน เสียงเพลงนั้นก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง

“เสียงเพลงนั่น...” นพพูดพลางขมวดคิ้วกับเสียงเพลงที่ได้ยิน “...ไม่ผิดแน่...เพลงนั้นเป็น...เพลงที่คุณยายเคยร้องอยู่เสมอ”

ครั้นนพพูดจบ ก็รีบผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปเลื่อนประตูที่อยู่ด้านข้างซ้ายของของทุกคนออก ซึ่งทำให้ทุกคนรีบลุกขึ้นตามนพไป ก่อนจะเผยให้เห็นสามร่างยืนอยู่นอกตัวบ้าน หากแต่สองในสามนั้นเป็นชายหนุ่มคุ้นตาทุกคนและรู้จักดีอยู่แล้วมาด้วยชุดเดียวที่เคยปรากฏตัวในเกมตอนที่พวกเขาถ่ายรูป แถมนอกจากนี้ที่ด้านหลังของทั้งคู่ยังมีปีกติดอยู่ที่หลังอีกด้วย

“นั่นมัน...คุณโซลกับคุณคีย์ไม่ใช่รึ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” นพพูดพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะเหลือบตามองอีกร่างโปร่งแสงที่เป็นชายหนุ่มอายุราวประมาณสามสิบต้นมาในชุดราชปะแตนยืนอยู่ห่างออกไปจากจุดที่สองคนนั้นยืนอยู่ไม่เท่าไหร่ ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจนแล้ว นัยน์ตาของนพก็ถึงกับเบิกกว้างด้วยความตกใจ “คุณตา! ไม่จริงน่า?! คุณตา...ตายไปนานแล้ว...จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!!”

ดีที่คุณยายได้เอารูปคุณตาให้นพดูก่อนหน้านี้ ก็เลยทำให้นพจำได้ทันทีที่เห็น เมื่อนพพูดจบ ทุกคนถึงกับตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ยกเว้นรุ้งที่เป็นลูกสาวของจันทร์แรมกับนรินทร์หาได้รู้สึกกลัวไม่ แต่กลับร้องห่มร้องไห้เมื่อได้เห็นร่างวิญญาณของผู้เป็นพ่อแทน

“ผมมาทำตามสัญญาที่บอกไว้ตอนนั้นแล้วนะครับคุณจันทร์แรม” คีย์บอกยิ้มๆ ซึ่งทำให้อวิ๋นกับนพนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในเกม ตอนนั้นอวิ๋นได้ถามจันทร์แรมว่าคีย์พูดกระซิบอะไรกับจันทร์แรม หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มตอบเขากลับมาว่ามันเป็นความลับ

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง

แต่ทว่านพไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ แถมคุณยายเพิ่งจะเสียไปได้ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ทำให้นพรู้สึกโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“ทำตามสัญญาบ้าบออะไรกัน!” นพตวาดเสียงใส่ด้วยความเดือดดาล “พวกนายมันก็แค่พวกสิบแปดมงกุฎ กล้าเอาคนหน้าตาเหมือนคุณตามาล้อพวกเราเล่นแบบนี้ อยากตายนักรึไง!”

ครั้นนพพูดจบ ชายหน้าหวานถึงกับส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มตอบกลับมาว่า

“เรื่องนี้ผมไม่ได้ล้อเล่น ผู้ชายคนนี้คือคุณตาของพวกคุณ ถ้าหากพวกคุณไม่เชื่อก็ลองหันหลังกลับไปดูตอนนี้สิ” พอได้ยินดังนั้นแล้วทุกคนจึงหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นหญิงรูปงามอายุราวประมาณยี่สิบต้นสวมชุดที่สวยงามสง่าแบบกุลสตรีไทย หากแต่ร่างของผู้หญิงคนนี้กลับโปร่งแสงเช่นเดียวกับชายที่มีใบหน้าคล้ายคุณตา

“คุณแม่/คุณยาย?!” เนื่องจากรุ้งเป็นลูกสาวของจันทร์แรมย่อมเคยเห็นแม่ของตัวเองตอนยังสมัยสาวๆ ส่วนนพเคยเห็นรูปคุณยายสมัยสาวๆ ก็เลยสามารถรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือคุณยายของเขา หากแต่คนอื่นๆไม่เคยเห็นรูปจันทร์แรมสมัยสาวๆมาก่อน ก็เลยพากันอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

“ขอบคุณที่มาตามสัญญาค่ะคุณคีย์ ไม่สิ คุณลูฟาเอล เทวทูตแห่งมวลดอกไม้” จันทร์แรมตอบพลางก้มหน้าขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายตอบกลับมาเพียงว่าไม่เป็นไร

“จันทร์แรม” เสียงทุ้มที่ดังมาจากชายหนุ่มที่นพคิดว่าคล้ายคุณตาได้พูดขึ้นมา “ขอโทษที่ให้คอยนาน ไปกันเถอะ”

ส่วนจันทร์แรมหรือคุณยายของนพในคราบสาวสวยเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูดก็ฉีกยิ้มหวานก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ค่ะนรินทร์” แล้วคุณยายของนพก็สาวเท้าเดินหกระเหินออกนอกตัวบ้านไปโดยผ่านทุกคนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเข้าสวมกอดคุณตาที่กางแขนรอพร้อมอยู่แล้วอย่างแนบแน่น

คุณยายกับคุณตา...

ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที...


“ห้ามทิ้งคุณยายอยู่ตามลำพังอีกนะครับคุณตา!” นพตะโกนพูดทั้งน้ำตา “ไม่อย่างนั้นผมจะตามไปจัดการคุณตาที่บนสวรรค์แน่!”

ครั้นนพพูดจบ ทั้งนรินทร์ทั้งจันทร์แรมต่างฉีกยิ้มให้กับนพ

“ไม่ทิ้งหรอกหลานรัก...ตาให้สัญญา”

“ลาก่อนตานพ...ลาก่อนทุกๆคน”

จันทร์แรมเอ่ยคำลากับทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะพลันหายไปอย่างช้าๆพร้อมกับเสียงร้องไห้จากนพผู้ซึ่งเป็นหลานชายที่รักคุณยายมากที่สุด

“นพ” อวิ๋นพูดพลางเอามือมาตบไหล่เบาๆเพื่อต้องการปลอบใจชายหนุ่ม “เขาไปดีแล้ว คุณนรินทร์อุตส่าห์มารับถึงที่แล้ว เพราะงั้นนพเลิกเป็นห่วงคุณยายได้แล้วนะ ป่านนี้ทั้งคู่คงไปสวรรค์แล้วล่ะ”

นพได้ยินที่อวิ๋นพูดก็ได้แต่พยักหน้าไปเช็ดน้ำตาของตัวเองไปพลาง

นั่นสินะ คุณยายของเขาได้จากไปอย่างมีความสุขกับคนที่ตัวเองรักไปแล้ว

ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก...


เมื่อนพคิดในใจเสร็จแล้ว ก็หันจะไปเอาเรื่องกับสองหนุ่มนั้นต่อ หากแต่ทั้งคู่กลับยืนลอยกลางอากาศต่อหน้าต่อตาทุกคน

บ้าน่า?! คนธรรมดาที่ไหนจะเหาะเหินเดินอากาศได้!!

“ใช่ ถ้าเป็นคนธรรมดานะ” ชายที่ชื่อโซลตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ซึ่งทำเอานพถึงกับสะดุ้งตกใจ “แต่พวกเราสองคนไม่ใช่มนุษย์ แล้วอีกอย่างพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมอบสิ่งที่แม่นางผู้นั้นต้องการแทนคำขอโทษที่พวกเราไปทำให้ครอบครัวของแม่นางในเกมมีอันต้องพลัดพราก แต่ถ้าจะอธิบายให้ฟังเกรงว่าจะยืดยาว เอาเป็นว่าขอให้พวกเจ้าเข้าใจตามนี้แล้วกัน”

เมื่อโซลพูดจบ คนชื่อคีย์ก็รีบอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พวกนพได้ฟังอีกครั้ง ซึ่งทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องได้อย่างรวดเร็ว

“มิน่าล่ะ ว่าทำไมจู่ๆราชาปีศาจถึงนึกเกิดคลั่งทั้งๆที่บริษัทเกมตั้งโปรแกรมให้เป็นราชาปีศาจที่ดี” อวิ๋นพูดทบทวนความคิดของตัวเอง “ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพวกคุณนี่เอง”

“ถ้าพวกคุณเข้าใจแล้วก็ดี ผมจะได้สบายใจขึ้นมาหน่อย” คีย์พูดพลางถอนหายใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะบอกลาทุกคนแล้วพลันหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกใจของทุกคน

“นี่พวกเรา...กำลังอยู่ในเกมรึเปล่าเนี่ย” ธีมพูดพลางตบหน้าของตัวเองแรงๆ ราวกับต้องการออกจากเกมในตอนนี้ “ทั้งวิญญาณเอย ทั้งเทวทูตเอย ปนกันมั่วไปหมดแล้ว”

“จะอะไรก็ช่าง แต่เรื่องคุณยายนั้น ผมคิดว่ามันเป็นความจริง...คุณยายตายไปแล้ว ตายไปอย่างมีความสุขกับคนที่ท่านรอมานาน” นพกล่าวขึ้นมาลอยๆโดยไม่สนใจกับคำพูดของธีมเลยซักนิด เมื่อนพพูดจบ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องสว่างสดใสท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน

ลาก่อนครับคุณยาย ผมจะไม่มีวันลืมคุณยายไปตลอดชั่วชีวิต
 
อวสาน

.................................................

ปล.ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามอ่านนิยายของเราตั้งแต่ต้น ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริงค่ะ ^/\^

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-03-2015 07:09:49 โดย dragon123 »

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
Re: The Real of Life Online (บทสรุป (update 100%) P.4 6/03/58)
«ตอบ #113 เมื่อ06-03-2015 16:46:54 »

TT จบแล้ววว คุณยายตายแล้วว
ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวสนุกๆมาให้อ่านนะคะ

ออฟไลน์ tutankamen

  • ผีสิงประจำเล้า
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • Facebook ของผมเองครับ
Re: The Real of Life Online (บทสรุป (update 100%) P.4 6/03/58)
«ตอบ #114 เมื่อ06-03-2015 21:57:32 »

หนุกหนานๆ ขอบคุฯสำหรับเรื่องสนุกๆ ครับ

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: The Real of Life Online (บทสรุป (update 100%) P.4 6/03/58)
«ตอบ #115 เมื่อ06-03-2015 22:58:23 »

จบแล้วว ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะมีตัวป่วนก็เถอะ

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
Re: The Real of Life Online (บทสรุป (update 100%) P.4 6/03/58)
«ตอบ #116 เมื่อ07-03-2015 02:11:33 »

สนุก สนาม มันส์หยด

ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆคะ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
น้ำตาไหลพากเลย  ฮือออออ :hao5:

ออฟไลน์ GMT101

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด