04 Mine“แบบบ้านของคุณปกรณ์พี่แก้ตรงนี้หน่อยนะวิน มันสุ่มเสี่ยงมากเพราะชั้นสองมีสวนตรงชายคาด้วยอาจจะต้องเพิ่มเหล็กเส้น ไม่อย่างนั้นพี่ก็ไม่กล้าเซ็นรับรองเหมือนกัน กลัวตึกถล่ม”
ผมชะโงกหน้ามองแผ่นกระดาษที่วาดมาส่งบนโต๊ะของวิศวกรออกแบบที่อยู่ในชั้นเดียวกัน พี่ปุ๋ยวงดินสอพอเป็นรอยจาง ๆ เล็ก ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองผม “จากที่ออกแบบมา คำนวณแล้วยังไหวก็จริงแต่ถ้าพี่กลัวพ่อคุณจะไปเพิ่มนั่นนี่ตอนส่งไปให้มัณฑนากรอีกที วินมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“โอเคครับ ผมไม่มีปัญหาอะไร เอาปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เรื่องคำนวณยังไงต้องเชื่อพี่ปุ๋ยอยู่แล้ว”
“ต้องเอาไปปรึกษาคุณมิ่งฟ้าก่อนไหม ได้ข่าวว่าเขาช่วยออกหน้าให้เมื่อวานนี่”
“อ้อ...ไม่เป็นไรครับ ไม่น่าจะมีปัญหา เดี๋ยวผมเอาสมุดโน้ตของตัวเองไปอธิบายก็ได้เผื่อพี่ปุ๋ยต้องใช้แบบก่อน อย่างอื่นไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมครับ” คู่สนทนาก้มหน้าลงมองแบบแล้วส่ายหัว พักเดียวก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม
“เมื่อเช้าเห็นว่ามาทำงานพร้อมไอ้เชนทร์เหรอ”
“อ้อ...เรื่องนั้น...” ผมครางในลำคอ เมื่อเช้าตอนเจ็ดโมงเกือบจะห้าสิบคนกำลังพลุกพล่าน ที่นี่เริ่มงานแปดโมงเช้า เลิกห้าโมงเย็นจึงไม่แปลกเท่าไรที่พี่ปุ๋ยจะเห็น ไม่ใช่แค่ผมแต่เป็นเพราะสารถีตัวใหญ่ต่างหากที่เป็นที่สะดุดตาของสาว ๆ ไปหมด
“ไม่ได้จะละลาบละล้วงหรอกนะ แต่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าไอ้เชนทร์คบกับโน้ตอยู่ ไหนจะยังคาราคาซังกับมิกกี้ฝ่ายบัญชีอีก รอบก่อนที่มันมีเรื่องกันแย่งไอ้เชนทร์ก็โดนทัณฑ์บนไปทั้งคู่แล้ว พี่ไม่อยากให้รายต่อไปเป็นเรา เอาตัวออกมาห่าง ๆ เถอะ”
“ผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่เชนทร์ครับ”
“สองคนนั้นมันเชื่อเราหรือไงล่ะ” พี่ปุ๋ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เคาะปากกาเป็นจังหวะก่อนเหลือบตามองพาทิชั่นเยื้อง ๆ กันที่ยังว่างอยู่ ตรงนั้นเป็นโต๊ะของพี่โน้ตแผนกเดียวกัน “เมื่อเช้าไอ้เชนทร์แวะมาหาโน้ต ลากออกไปทะเลาะกันตั้งแต่เช้า ยังไม่กลับมาเลย”
“ครับ” ผมครางรับคำในลำคอ พี่เชนทร์นี่ก็พิลึกคน จะคบซ้อนก็วนเวียนแต่เป็นคนในบริษัทอยู่ได้ “ผมจะคุยกับพี่เชนทร์ให้รู้เรื่องเหมือนกันครับ ขอบคุณนะครับที่เตือน”
“อือ เห็นเป็นน้องเป็นนุ่งทั้งคู่ ไม่อยากให้ผิดใจกัน ไอ้เชนทร์หนังหน้ามันดีก็จริงแต่มันก็เหี้ย เจ้าชู้ไปเรื่อย อย่าไปเอามันเลย”
ผมหัวเราะร่วนก่อนยกมือไหว้ สุดท้ายก็ขอปลีกตัวกลับออกมาก่อนจะสวนกันกับคู่กรณี ท่าทางคงทะเลาะกันยาวจริงเพราะปกติพี่โน้ตจะค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ไม่ค่อยเอาเรื่องงานมามีปัญหาเท่าไรนัก ช่วงเดือนแรกที่ผมเข้ามาที่นี่เคยได้รับมอบโปรเจ็กต์ที่ต้องดีลกับเขายังอดชื่นชมไม่ได้ที่ฝ่ายนั้นไม่เอาอคติในเรื่องส่วนตัวมาปนกันกับเรื่องงานแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าพี่โน้ตรู้เรื่องที่ผมเคยนอนกับพี่เชนทร์หรือเปล่า แต่เรื่องที่นายช่างมาก้อร่อก้อติกผมน่ะรู้ตั้งแต่แม่บ้านยันซีอีโอไปแล้ว
“อ้าว พี่กำลังจะไปหาที่แผนกเลย ดีนะแวะมาห้องน้ำก่อนเลยเจอพรหมลิขิต” คนที่อยู่ในความคิดปรากฏตัวอยู่หน้าประตู ผมกำลังล้างมืออยู่เงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายในกระจก
“มุมปากเขียวมาเชียวครับ” มีลงไม้ลงมือด้วยว่ะรอบนี้ “ไม่รับผิดชอบนะ พี่เชนทร์ไปรับไปส่งผมเอง”
“โห ทิ้งกันอย่างนี้เลย แค่ปากช้ำพี่พอทน แต่ใจถูกทำร้ายจากคนที่ชอบเนี่ยไม่ไหวว่ะ จะร้องไห้”
“พอเถอะครับ ให้ปากพี่เชนทร์ช้ำคนเดียวนะ ขืนยังเป็นแบบนี้อยู่ผมกลัวว่าจะได้ช้ำตาม ๆ กันไป”
“ไม่มีใครแตะต้องวินหรอกน่า พี่ปกป้องเสียขนาดนี้” พี่เชนทร์ก้าวฉับ ๆ มาหน้ากระจกข้าง ๆ กันแล้วใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม “ช้ำจริง ๆ ด้วย ตอนที่โดนยังรู้สึกชา ๆ พอเห็นแผลเท่านั้นล่ะ เจ็บเลย”
“แต่ก็ยังดูไม่สำนึกนี่ครับ”
“ได้ทีด่ากันใหญ่เชียว” คู่สนทนาพูดพลางทำหน้างอแล้วพลิกตัวมาอ้อน ตาหวานมองหยาดเยิ้มอย่างคนเจ้าชู้ “ปฐมพยาบาลพี่หน่อยสิ”
“เดี๋ยวผมไปตามพี่มิกกี้ให้ครับ”
“โห รายนั้นจะมาสร้างแผลให้พี่อีกข้างนี่สิ” พี่เชนทร์พูดพลางยกมือขึ้นถูแขนเป็นภาพประกอบ ผมถอนหายใจยิ้ม ๆ กับท่าทางขี้เล่นของอีกฝ่ายและภาวนาให้เจอดีเข้าสักวัน
“ผมไปทำงานแล้วครับ พี่เชนทร์ก็แวะไปทำแผลที่ฝ่ายพยาบาลด้วยแล้วกัน”
“ที่เขาว่าคนน่ารักมักใจร้ายท่าจะจริงแฮะ” โดนตบมาปากเขียวขนาดนี้ยังแซวคนอื่นไม่ขาดปากอีก ผมล่ะเชื่อเขาเลย
บรรยากาศของแผนกผมในช่วงบ่ายค่อนข้างหม่น หลังจากที่ไปคุยกับพี่ปุ๋ยพี่ชิตก็มาดักรอผมหน้าประตูแล้วไหว้วานให้ไปพบลูกค้าแทนเพราะหมูกระทะเมื่อวานทำเหตุให้ท้องเสียตั้งแต่เช้า กลับมาอีกทีตอนแสงพระอาทิตย์ร้อนจัดจ้านกว่าทุกวันแต่เมื่อเห็นภาพที่พี่ ๆ นั่งหน้าตึงกลับรู้สึกว่ามันครึ้มฟ้าครึ้มฝนอย่างอธิบายไม่ถูก โต๊ะพี่วิชิตมีมะม่วงน้ำปลาหวานวางอยู่ ส่วนเจ้าตัวก็นั่งหน้านิ่งแทบไม่กระดิกตัวไปไหน
“อ้าว ทำไมกินมะม่วงล่ะครับพี่ชิต ไหนว่าท้องเสีย”
“เออน่า...ธุระที่ให้ทำเป็นยังไง”
“ก็โอเคครับ ลูกค้าชอบ ว่าแต่เป็นอะไร ทำไมเงียบ ๆ กันหมด” ถามพลางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพาทิชั่น ชำเลืองมองเข้าไปในห้องกระจกนายก็ไม่อยู่ เครียดกันแบบนี้หรือว่าไอ้เฟยจะองค์ลง
“ท่านหัวหน้าอารมณ์เสียเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิง” พี่วิชิตว่า เหลือบตามองไปยังประตูหน้าที่ติดกับลิฟต์ “เดี๋ยวเขามาคงเรียกเอ็งเข้าไปคุย”
“เรื่องงานคุณปกรณ์หรือเปล่า พอดีพี่ปุ๋ยฝ่ายวิศวกรรมจะขอปรับแบบนิดหน่อยแต่ผมยังไม่ได้รายงาน กะว่าจะเข้ามาบอกเขาพี่ก็ไล่ไปข้างนอกก่อน”
“เกี่ยวกับแผนกวิศวกรรมแน่” พี่ชิตพูดเสียงเครียด ส่วนประโยคท้ายกระซิบรอดไรฟัน “แต่ไม่ใช่พี่ปุ๋ยกับงานของเอ็ง”
ผมยังไม่ทันได้ถามต่อประตูกระจกที่กั้นเป็นแผนกสถาปนิกออกจากฝ่ายวิศวกรรมออกแบบก็เปิดออก อันที่จริงเราไปมาหาสู่ระหว่างสองฝั่งนี้ประจำเพียงแต่น้อยครั้งนักที่คนที่จะหลุดออกมาจากฝั่งนั้นจะเป็นระดับหัวหน้า คุณมิ่งฟ้าตีหน้าเครียดพอ ๆ กับพี่ชิต เมื่อเห็นผมก็พูดเสียงเย็น
“เข้ามาพบผมในห้องด้วย คุณวายุ”
พี่ชายคนสนิทถอนหายใจ ตบบ่าปุเป็นเชิงให้กำลังใจแต่ไม่มีวี่แววว่าจะอธิบายเพิ่มเติม
“ขออนุญาตครับ”
ผมชะโงกหน้าผ่านประตูที่ทำจากกระจกใสเข้าไปโดยมีรอยยิ้มแหย ๆ จากพี่ทิพย์ที่นั่งอยู่หน้าห้องส่งให้เมื่อเห็นผมเดินตามนายมาต้อย ๆ ทันทีที่ได้รับอนุญาตก็ก้าวเข้ามา ลากเก้าอี้บุนวมฝั่งตรงข้ามหัวหน้าออกมานั่งอย่างถือวิสาสะ
คุณมิ่งฟ้านั่งเท้าแขนกับโต๊ะขนาดกว้างที่มีแฟ้มงานและแบบส่งตรวจของลูกค้าสำคัญ ๆ อยู่บนโต๊ะระเกะระกะ ยกมือขึ้นกุมขมับหลับตาสนิททำให้ขนตาหนาเป็นแพสีดำโดดเด่นขึ้นมาจากใบหน้าขาว คิ้วโก่งได้รูปสวยขมวดเข้าหากันนิด ๆ แบบที่ไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก
เขากำลังเครียด และท่าทางเครียดจนแสดงออกมาให้คนอื่นรู้ช่างไม่เหมาะกับใบหน้าหวาน ๆ นั่นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นช่วงที่คบกันผมถึงพยายามทำทุกอย่างให้เขาอารมณ์ดี ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แต่อย่างน้อยถ้ากอด...หัวคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมก็จะคลายตัวลงบ้างต่อให้นิดเดียวก็ตาม
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ไอ้วิศวกรนั่นมีแฟนอยู่แล้วไม่รู้หรือไง”
“หมายถึงพี่เชนทร์น่ะเหรอครับ”
“คั่วอยู่กี่คนกันล่ะ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความประชดประชัน ผมจะอ้าปากเถียงแต่พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนใจ “ไม่ได้คั่วกับใครครับ เพียงแค่คิดว่าเขามีชื่อ และคุณมิ่งฟ้าก็ควรจะระบุตัว”
“ไอ้คนที่มึงเอาไปนอนด้วยเมื่อคืนไง เมียเขามาอาละวาดเมื่อเช้า โชคดีแค่ไหนที่พี่ชิตรับหน้าให้”
ผมกำลังจะเถียงว่าไม่ใช่อีกหน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอาจจะคลาดกับพี่โน้ตตอนที่ไปคุยงานกับพี่ปุ๋ยก็หุบปากลงฉับ “ผมกับพี่เชนทร์ไม่ได้คบกันเชิงชู้สาวครับ”
“เหอะ...” ไอ้เฟยหัวเราะหยัน ๆ ลืมตาขึ้นแต่ไม่ยอมมองหน้า “เชื่อตายล่ะ”
“คุณช่วยคุยกับผมในฐานะเจ้านายกับลูกน้องหน่อยได้ไหม ถ้าจะตำหนิอะไรก็พูดมาตรง ๆ จะกระแนะกระแหนทำไม”
“ก็มันน่าหมั่นไส้” หัวหน้าฝ่ายทำหน้าตึงประกอบบทสนทนา ส่วนผมก็ได้แต่บดริมฝีปากเข้าหากันแน่น
“แยกแยะให้มันถูกหน่อยได้หรือเปล่า ไม่ใช่เอาแต่หาเรื่องกันแบบนี้ คุณทำงานในฐานะหัวหน้าฝ่ายนะ ปฏิกิริยาแบบนี้ใครจะไปนับถือ”
“กับมึงไม่ใช่แล้ว!”
เสียงทุ้มตวาดลั่น มือขาวทุบโต๊ะดังก่อนผุดขึ้นลุก ผมเหลือบมองออกไปข้างนอก เพราะเป็นห้องกระจกทุกคนจะสามารถมองเข้ามาเห็นด้านในได้สบาย ๆ
“ทำบ้าอะไรของคุณ...”
“คุณโน้ตฝ่ายนั้นไม่ยอมจบ ผมถูกเรียกไปคุยในฐานะผู้บังคับบัญชา เข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ต้องไปแก้หน้าให้ลูกน้องในเรื่องชู้สาว ชู้สาวแย่งผู้ชายกันกับฝ่ายอื่น งามหน้าดีไหมล่ะ”
“ก็ผมบอกว่าผมกับพี่เชนทร์...”
“จะพูดว่าคุณกับเขาไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างนั้นเหรอ พูดออกมาสิ เมื่อคืนกลับด้วยกัน ตอนเช้ามาด้วยกัน โอ้...ที่รัก อย่าบอกนะว่าคุณสองคนจับมือช่วยกันนับดาวยันเช้า ประธานโทษด้วยเมื่อคืนมันคืนเดือนหงายนอกเสียจากคุณจะดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันจนฉ่ำปอดยังจะน่าเชื่อมากกว่า”
“ไม่ใช่แบบนั้น!” ผมตอบเสียงแข็ง ตั้งคอขึ้นตรง ต่อให้เคยมีอะไรกับพี่เชนทร์นั่นก็ก่อนหน้าที่จะรู้กิตติศัพท์ว่าอีกฝ่ายเจ้าชู้จอมกะล่อนขนาดมีคบหากันในระดับหนึ่งถึงสองคนซ้อน ดังนั้นในช่วงที่ยังไม่รู้ ผมถือว่าตัวเองไม่ผิด “เมื่อคืนพี่เชนทร์ไปส่งผมที่คอนโดแล้วก็กลับ”
“ไปหลอกเด็กอนุบาลเถอะคุณ”
“คุณจะเอายังไงกับผมกันแน่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็คิดกันไปเองไม่ใช่เหรอ พี่เชนทร์จีบผม พี่โน้ตเลยหึงสะระตะ แล้วความผิดผมหรือไงที่ห้ามความคิดเขาไม่ได้”
“เลิกยุ่งกับมันเสีย! ไอ้กะล่อนนั่น!”
“ผมมีเรื่องงานที่ยังต้องดีลกับเขาอยู่ งานของคุณนภทีป์ ทั้งบ้านที่ปทุม ฯ แล้วก็หอดูดาวของโรงแรมที่หัวหิน เกรงว่าจะไม่ได้”
“ติดเป้งหรือไง”
“มึง!” ผมผุดลุกขึ้นพร้อม ๆ กับคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นกำแน่น ประตูห้องผู้บริหารถูกผลักออกจากคนนอกที่เฝ้าสังเกตกรตั้งแต่ที่ผมถูกเรียกเข้ามโดยวิสาสะ พี่ชิตล็อกคอผมไว้แล้วดึงถอยหลัง
“ใจเย็นเฮ้ย ไอ้วิน”
“ไม่เย็นแม่งแล้ว นั่นปากคนหรือหมาวะ ไอ้เหี้ย... กูพยายามทนกับมึงแล้วนะไอ้เฟย อยากให้กูด่านักใช่ไหม แยกไม่ออกหรือไงเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานน่ะ ทีกับคนอื่นทำเก่ง ทีกับกูทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต!”
“ไอ้วิน! เกินไปแล้วนะโว้ย นั่นหัวหน้ามึงนะ!” พี่ชิตคำรามเสียงต่ำ คนอื่น ๆ เกาะอยู่หน้าห้องกระจกมีเพียงผมที่ยังโดดเหยงยกขาขึ้นจะถีบหัวหน้าปากหมาเข้าให้ คุณมิ่งฟ้าขยับปกเสื้อเล็กน้อยให้ทุกอย่างเข้าที่ มองตรงมาที่ผมดุ ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ชิต เราทะเลาะกันแบบนี้บ่อย ๆ”
“เอ๊ะ?”
“วินเป็นแฟนผมครับ” เสียงทุ่มเอ่ยราบเรียบแต่กลับทำเอาคนที่ล็อกคอผมอยู่สะดุ้งไปทั้งตัว หัวหน้าเลื่อนสายตาออกจากผมไปมองคนที่ซ้อนอยู่ข้างหลัง เกิดสภาวะเงียบงันไปชั่วขณะ ไม่มีเสียงพูดอะไรจากทั้งผมและพี่ชิต กระทั่งคนก่อเรื่องเอ่ยสำทับอีกครั้ง “แล้วผมก็ไม่ชอบใจนิดหน่อย ที่แฟนตัวเองมีเรื่องชู้สาวกับคนอื่น”
“พะ...พูดจริงเหรอครับ? อะ...ไอ้วิน มึงกับ...”
“ไหน ๆ พี่ชิตก็รู้แล้ว ผมรบกวนช่วยกันคุณคเชนทร์ออกจากวินด้วยนะครับ” พูดพลางละสายตามาจับจ้องที่ผมอีกครั้ง “แล้วก็เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับวินรบกวนพี่เก็บเป็นความลับด้วย เดี๋ยววินจะไม่สบายใจ ธุระผมมีเท่านี้ล่ะครับ เชิญไปทำงานต่อได้”
ผมอ้าปากจะเถียงแต่แขนที่ล็อกคออยู่ก็ลากออกจากห้องของหัวหน้าฝ่ายเสียก่อน ไอ้เฟยทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ แสร้งยกมือขึ้นกุมขมับทั้ง ๆ ที่เมื่อสบตาผมอีกครั้ง รอยยิ้มชั่วร้ายกลับผุดขึ้นที่มุมปากสวยอย่างคนเจ้าแผนการ
มันจงใจจะบอกพี่ชิต ให้กันผมออกจากพี่เชนทร์ให้แนบเนียนที่สุด!
“เอาล่ะ ทีนี้จะเล่าได้หรือยังว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”
แก้วแอลกอฮอล์ถูกวางลงกระแทกกระทั้นกับเคาน์เตอร์บาร์จนเครื่องดื่มที่พร่องไปเกือบครึ่งแล้วกระฉอกไปมาในแก้วใส เสียงของน้ำเข็งกระทบกันไม่ดังเลยเมื่อเทียบกับลำโพงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ดนตรีอิเล็กโทรนิกหนัก ๆ ลอยอยู่ในอากาศปกคลุมด้วยบรรยากาศสีสลัว ๆ
“มึงกับคุณมิ่งฟ้าคบกันอยู่เหรอ”
“เคย...” ผมตอบพี่ชิตในที่สุด เอานิ้วชี้คนเครื่องดื่มไปด้วย “เมื่อนานมาแล้ว”
“แล้วทำไมตอนเจอหน้าถึงต้องทำเหมือนเป็นคนไม่รู้จัก จบกันไม่ดีหรือไง”
“ครับ” ผมตอบแล้วถอนหายใจยาว “จะเรียกว่าผมหนีมันมาก็ไม่ผิด พี่ชิต...ผมไม่อยากพูดถึง” ที่มาดื่มเหล้าเพราะเบื่อ ๆ เครียด ๆ มากกว่า ไม่ใช่ว่าอยากมารื้อความหลังให้ใครฟัง
มันคงไม่ยากถ้าจะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาอีกถ้าผมไม่คิดอะไรแล้ว มีคนเคยบอกว่าถ้าเราก้าวผ่านเรื่องร้าย ๆ มาได้แล้วมองย้อนกลับไปมันจะเป็นแค่เพียงเรื่องตลก ๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น
เพียงแต่ผมยังไม่ผ่านมันมา...ไม่เคยก้าวผ่านเหตุการณ์ในตอนนั้นได้สักที
“เออ ๆ ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า แล้วมึงจะเอายังไงต่อ คุณมิ่งฟ้าท่าทางไม่ได้จบกับมึงง่าย ๆ นี่”
“ผมจะลาออก”
“เฮ้ย! พูดจริง?” พี่ชิตร้องเสียงหลง ขณะที่ผมพยักหน้า คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าฝ่ายนั้นยียวนนักก็จะหนี หนีไปให้พ้น ให้ไกลเหมือนที่เคยทำ งานมีเยอะแยะ ผมเชื่อด้วยว่าตัวเองมีฝีมือมากพอที่จะหลบไปไกล ๆ ได้ ให้ไกลจากเงื้อมมือมันที่สุด ให้ห่างจากการเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญอีกครั้ง
“วิน ข้าว่าใจเย็น ๆ เถอะว่ะ มีอะไรค่อย ๆ พูดกัน ไปเปิดอกเคลียร์ให้รู้เรื่องก่อนว่าอะไรเป็นอะไร มึงหนีไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”
“ผมไม่อยากยุ่งกับมัน”
“มึงยังรักเขาอยู่ใช่ไหมวะ” พี่ชิตถามตรง ๆ ขณะที่ผมกลับเงียบเสียงไป คว้าขวดเหล้ามาเทลงจนอีกฝ่ายต้องปรามไว้ “ใจเย็นเว้ย เดี๋ยวก็เมาหัวทิ่ม”
“ผมอยากเมา”
“เหล้าทำให้มึงลืมคำถามนะวิน แต่มันก็แค่ช่วงเดียว อันที่จริง วันนี้คุณมิ่งฟ้าก็ออกรับหน้าแทนมึงเยอะอยู่ เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรไม่ใช่เหรอ”
ผมพยักหน้า ตามด้วยกรอกเหล้าเข้าปาก
“เขาเป็นคนดี”
เสียงนั้นตอบคล้ายละเมอ เป็นเสียงของผมที่ดังมาจากที่อื่น พูดเองแต่กลับได้ยินมันสะท้อนไปมาไกลแสนไกล มันเป็นคนดี ไอ้เฟยน่ะ...ผมถึงต้องหนีมันไปให้ไกลสุดไกลแบบนี้ไง
“ตัวมันก็แค่นี้ พวกมึงมากันห้าคน ไอ้เหี้ย คนจริงสัตว์ กูนับถือ”
“เสือกเหี้ยไรด้วยวะไอ้หน้าตุ๊ด”
“ตุ๊ดแล้วไง” ผมปรือตาขึ้นมองอย่างยากลำบาก รู้ในทันทีว่าคิ้วแตก เปลือกตาบวม จากตรงนี้เห็นแค่รองเท้าตราช้างดาวสีขาวหูหนีบฟ้ากับกางเกงยีนขายาวของใครบางคน เลยไปอีกหน่อยเป็นผู้ชาย สิบตีน ห้าคนถ้วน “นั่นคือคำด่าของพวกมึงเหรอ”
“แม่งปากดีว่ะ ไอ้เหี้ยเนี่ย ไอ้สัตว์เตี้ยมันเป็นผัวมึงเหรอครับคุณหนูถึงออกโรงป้องกันขนาดนี้”
“ไอ้ตี๋เนี่ยนะ” เสียงของเฟย ใช่ครับ เสียงของไอ้เชี่ยเฟยพูดกลั้วหัวเราะแต่ไม่เถียง “มันเป็นอะไรกับกูก็ไม่ใช่ธุระพวกมึงปะ ต่อให้กูเป็นคนเดินผ่านมาเห็นมึงห้าตัวรุมซ้อมมันอย่างนี้ก็ต้องช่วย พวกมึงกลับไปเหอะไป แล้วอย่ามายุ่งกับมันอีก”
“พูดง่ายนะ แล้วเงินที่มันยืมกูไปมึงจะให้กูทำยังไง”
“ก็คนมันไม่มี มึงซ้อมมันไปมันก็ไม่มีให้มึงหรอก”
“เหอะ ไม่มีก็ไม่ขวนขวายเหี้ยอะไรสักอย่าง”
“มันทำ” ผมหลับตาลง หายใจหอบฟังเพื่อนร่วมคลาสเถียงกับพวกไอ้ตุ่นเสียงราบเรียบ “มันทำร้านอาหารอยู่ทุกเย็น แล้วมึงมาดักซ้อมมันอย่างนี้แหละจะทำให้มันขาดรายได้แล้วก็ไม่มีไปคืนพวกมึง กุ๊ยเอ๊ย”
“เงินจากร้านอาหารจะพอเหี้ยอะไร เป็นหมื่นนะสัตว์ ไม่ใช่บาทสองบาท”
“แล้วพวกมึงจะให้มันทำยังไง มันก็เรียนอยู่”
“ขายตูดไงไอ้โง่ เฮียเขารอมึงอยู่ ครั้งแรกก็ได้แล้วห้าพันจะเล่นตัวทำเหี้ยอะไร เป็นผู้ชายไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว หรือกลัวท้อง มึงท้องได้เหรอวะไอ้วิน มึงมีมดลูกเหรอวะ ฮ่า ๆ”
“แค่จ่ายหนี้ก็จบใช่ไหม” เสียงทุ้มที่เอ่ยเหมือนเล่นสนุกในทีแรกเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง ผมยังคงนอนพังพาบอยู่บนพื้นยางมะตอยที่มีความร้อนระอุลอยขึ้นมา ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นมาเถียง “มันเป็นหนี้เท่าไร”
“สามหมื่นห้า”
“เดี๋ยวกูเซ็นเช็คให้ แล้วเลิกยุ่งกับมันเสีย”
“กูจะชัวร์ได้ไงว่านั่นไม่ใช่เช็คเด้ง”
“ถ้าเด้งพวกมึงก็ดักเจอมันได้อยู่แล้วนี่ ครั้งนี้กูถือว่าเป็นหนี้ก็ต้องใช้ ถ้าคืนแล้วพวกมึงยังวอแวมันไม่เลิกกูเล่นคืนแน่ บอกไว้ก่อน”
“กูต้องกลัวไหมจ๊ะ สาวน้อย” ไอ้คนพูดยังมีกะใจมาแซว ไอ้เฟยไม่ตอบแต่รื้อสมุดเซ็นเช็คในกระเป๋าตัวเองออกมาเขียน ผมอยากจะปฏิเสธ บอกมันว่าไม่ต้อง เรื่องแค่นี้ผมจัดการได้ แต่ลำพังแค่หายใจในเวลานี้ก็ลำบากเต็มทน
“จะกลัวหรือไม่กลัวก็แล้วแต่พวกมึง แต่ถ้าไม่จบกูจะสอนพวกมึงว่าคนจริงเขาเป็นยังไง ได้แล้วก็ไสหัวไปซะ”
ผมหลับตาลง เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะหยัน มือนุ่มของใครอีกคนจับข้อศอกผมช่วยพยุงก่อนโอบเอวเข้าชิดตัว เสียงถอนหายใจดังผะแผ่ว ไม่ใช่ว่ารำคาญ แต่เหมือนจะขัดใจมากกว่า
“รู้ว่ามีคดีทีหลังก็อย่าเสร่อไปไหนมาไหนคนเดียว เข้าใจไหม”
“อือ...” ผมตอบในลำคออย่างยากลำบาก ริมฝีปากทั้งเจ็บและแสบไปหมด “ขะ...ขอบคุณ”
“ไม่ต้องพูดมาก สามหมื่นห้ากูไม่ได้ให้มึงฟรี ๆ” เพื่อนร่วมสถาบันกล่าวเสียงเครียด ผมพยายามปรือเปลือกตาข้างที่ไม่เป็นแผลขึ้นแต่เพราะระบมจากรอยช้ำบนหน้าทำให้สามารถเห็นหน้าคนช่วยแค่เสี้ยวหนึ่ง สายตาที่ทอดลงมาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ผมกับมันไม่ได้สนิทกันมาก เป็นแค่เพื่อนร่วมเอกที่พอมีงานกลุ่มก็จับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ
“ถ้ากูไม่ได้มาช่วย...มึงก็ไม่ได้คิดจะขายใช่ไหม”
เจ้าของเสียงถามเสียงเย็นเยียบ ผมส่ายหัวตอบตามความจริง นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายของท้ายที่สุดเลยที่จะทำ ผมไม่ใช่เกย์ ไม่เคยนึกถึงเรื่องพรรค์นั้นกับผู้ชายเลยสักนิด ต่อให้คนที่เสนอซื้อให้เป็นผู้หญิง ผมเองก็ไม่คิดจะทำ
“เออ ดีแล้ว...เดี๋ยวกูพาไปหาหมอแล้วมาคุยกันว่ามึงมีปัญหาเหี้ยอะไร”
“มะ..ไม่เอา..”
“เป็นเหี้ยไร แผลขนาดนี้ยังจะลีลา” ไอ้เฟยทำท่าหงุดหงิด ใบหน้าสวย ๆ ของมันหงิกงอแต่ก็ยังดูน่ารัก “เปลืองตังค์ ว่างั้น?”
ผมพยักหน้าลงถี่ แผลช้ำแค่นี้รักษาเองไม่กี่วันก็หาย ไอ้เฟยถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วช้อนตัวอุ้มผมพาดบ่า มันเป็นคนตัวสูงและดูผอมแห้ง แต่กลับยกผมขึ้นได้ทั้งตัวง่าย ๆ
“มึงเป็นทรัพย์สินของกูแล้ว และถ้ามึงพัง กูก็ต้องพาไปซ่อม เลิกทำหน้าเหรอหราเสียที อยู่เงียบ ๆ แล้วฟังที่กูสั่งก็พอ!”
TBC
วันนี้ไม่ใช่วันพุธ แต่เรามาลงก่อนเพราะวันพุธเราคงไม่ได้ลง ช่วงนี้เพิ่งเริ่มงานค่ะ ตารางชีวิตจะรวนนิดหน่อยเพราะจันทร์ถึงศุกร์จะไม่มีคอมใช้ (ยกเว้นวันนี้ไว้วัน) ยังไงน่าจะได้มาต่ออีกทีวันอาทิตย์นะคะ
ไม่มีแรงแล้วค่ะ เหนื่อยจนจะระเหยไปกับน้ำแฉะๆบนถนนหลังฝนตก
ปล. แอบไปส่องเซ็งเป็ดอวอร์ดมา ขอบพระคุณทุกท่านที่โหวตให้นิยายเราด้วยนะคะ *กราบแนบอกเรียงตัว* ไม่มีแรงพูดต่อแล้วค่ะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ พอจะเดาปมของวิน(ตี๋) ออกกันแล้วใช่มั้ยยยยย
