05 Reasonคงไม่มีอะไรสามารถทำลายเช้าวันศุกร์ที่แย่อยู่แล้วของผมให้แย่ลงไปได้อีกนอกจากคุณมิ่งฟ้า วงศ์กฤษณะ หัวหน้าฝ่ายดีไซน์และการออกแบบเท่านั้น หลังจากที่วันพุธผมโดนถล่มทั้งจากศัตรูที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจถึงสองยกแล้วตามด้วยการดื่มเหล้าหนัก ๆ จนแฮงค์ไปตลอดช่วงเช้าของวันใหม่ บ่ายวันเดียวกันผมก็ลากสังขารมาออฟฟิศจนได้ โชคดีที่คุณมิ่งฟ้ามีประชุมผมเลยรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด
แน่นอน...โชคดีไม่ได้เป็นของผมทุกวัน ดังนั้นขณะที่ชงกาแฟดำให้ตัวเองในครัวเล็ก ๆ ของแผนกเจ้าของรอยยิ้มกวนประสาทก็โผล่เข้ามา เอาไหล่พิงกรอบประตูเล็ก ๆด้านหนึ่งเอาไว้
“วันนี้ไม่ซื้อร้านข้างล่างหรือ”
“รีบขึ้นมาน่ะครับ วันนี้มาสาย”
“จะแวบลงไปสั่งก็ได้นะ ผมไม่ใช่หัวหน้าที่เคร่งอะไรขนาดนั้น”
ผมไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปสบตายามที่คุยกัน เสียงเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราทำให้เมื่อผมกลืนน้ำลายก็ได้ยินมันสะท้อนอยู่ในหูอึกใหญ่ ๆ
“เมื่อวานพี่ชิตบอกว่าไม่สบาย ได้ไปหาหมอหรือเปล่า”
“ไม่เป็นอะไรมากครับ” ก็แค่ปวดหัวจนลืมตาไม่ขึ้น พอลุกไหวก็อ้วกเอาแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปแบบไม่บันยะบันยังออกมาหมดกระเพาะเท่านั้น “พักแป๊บเดียวก็หาย”
“ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก ป่วยจนกลิ่นละมุดหึ่งนี่เป็นโรคประหลาดนะ ถ้าเป็นบ่อย ๆ เห็นทีผมต้องไปเยี่ยมแสดงถึงน้ำใจในฐานะหัวหน้า”
ไอ้บ้านี่! ก็รู้อยู่แล้วนี่หว่าว่าเมาจนตื่นไม่ไหวยังจะมาหลอกถามทำซากอะไร ผมมองค้อนก่อนเบือนสายตาหนีเมื่อพบว่าอีกฝ่ายจับจ้องตาหวานเยิ้มอยู่ก่อนแล้ว “ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ”
“ธรรมด๊า” หางตาผมเห็นอีกฝ่ายไหวไหล่ วันนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน รับกับผิวขาวเหลืองทำให้มองดูสบายตาแต่กลับเป็นภาพที่ผมไม่อยากมองเท่าไร คุณมิ่งฟ้าขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาในห้อง “ห่วงว่าเย็นนี้จะไม่ไปด้วยกัน”
นั่นสิ ผมเองก็ลืมไปเหมือนกัน วันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับมันนี่นา พลาดแล้วไอ้วิน ลาผิดวันแท้ ๆ
“...ผม..”
“เขาไปกันทั้งแผนก อย่าทำตัวแปลกแยกหน่อยเลย เรื่องที่เคยคบกันมีแต่พี่ชิตที่รู้ นายทำตัวมีพิรุธแบบนี้คนอื่นจะยิ่งสงสัยกันเปล่า ๆ แล้วถ้าพวกนั้นไปซักกับพี่ชิตคนสนิทของนายน่ะนะ...” น้ำเสียงทุ้มแผ่วในตอนท้ายก่อนกลายมาเป็นเสียงหัวเราะในลำคอ ผมบดริมฝีปากเข้าหากัน จ้องคนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระยะเวลาเพียงฉับพลันแข็งกร้าว
“คุณพยายามจะแบล็คเมล์ผม”
“ผมน่ะเหรอครับคุณวายุ? แค่เตือนเฉย ๆ เอง”
“อย่าบีบให้ผมหนีไปอีกครั้ง...” จบประโยคนั้นผมเห็นความวูบไหวในดวงตาก่อนรอยยิ้มเศร้าจะผุดขึ้น เสียงของเฟยเบาหวิวแต่กลับบาดลึกเข้าไปถึงใจ น้ำเสียงที่ฟังดูไม่เหมือนกับตัดพ้อเสียทีเดียวแต่ลึก ๆ นั้นก็ใช่...
“ผมลืมไป นั่นมันเรื่องถนัดของคุณ”
ฝีเท้าคู่นั้นเคลื่อนออกไปแล้วผมเผลอกำหูของถ้วยกาแฟเซรามิคสีขาวแน่น ข่มความรู้สึกบางอย่างให้นอนก้นเหมือนตะกอนที่ไม่ถูกกวนก่อนหน้าที่จะกลับมาเจอมัน
เคยดูแลตัวเองได้ดียังไง...ทำไมแค่อยู่ใกล้ ๆ ก็ทำไม่ได้เสียทุกที
ผมนั่งมองนักดนตรีที่อยู่บนเวทีจับไมค์และโยกตัวตามจังหวะไปมา เสียงทุ้มดังคลอกับดนตรีเบา ๆ เหมาะกับการนั่งชิวคืนวันศุกร์เป็นยิ่งนักก่อนใครบางคนจะนึกถึงเกมในวงเหล้าทำให้ผมเผลอทำหน้าเหยเกไม่อยากเล่นด้วย
โต๊ะไม้เคลือบแลคเกอร์อย่างดีถูกต่อยาวเป็นพิเศษเพราะการมาเยือนของทีมสถาปนิก ที่จริงแล้วเฟยสามารถเชิญฝ่ายวิศวกรรมออกแบบมาด้วยได้เพราะทำงานอยู่ชั้นเดียวกัน อีกอย่างโดยศักดิ์แล้วมันก็เป็นหัวหน้าของแผนกนั้นอีกที หากแต่ปัญหาที่เป็นรอยร้าวเล็ก ๆ อันมีสาเหตุมาจากผมทำให้ฝ่ายสถาปัตยกรรมกับวิศวกรรมไม่สามารถภักดีกับหัวหน้าฝ่ายได้ระยะหนึ่งแล้ว ในช่วงที่พี่อดุลย์เป็นหัวหน้าฝ่าย งานของฝั่งวิศวกรก็มอบหมายให้เป็นภาระของพี่นันทิยาเช่นเดียวกับตอนนี้
เกม Twenty One เป็นเกมที่ถูกเลือกโดยใครสักคนที่ไม่ใช่ผม กฎง่าย ๆ ของมันคือสลับกันนับเลข ใครได้เลขที่ลงท้ายด้วย 21 จะต้องเป็นคนดื่ม ว่าไปแล้วนี่มันก็เป็นเกมคะยั้นคะยอให้คนร่วมโต๊ะยกแก้วเหล้าแทนที่จะแสร้งทำเฉย ฟังเพลงไปเรื่อยดี ๆ นี่เอง
“นักดนตรีมองมาที่โต๊ะหลายรอบแล้ว...” พี่ชิตที่นั่งติดกับผมเปรย ผมพยักหน้าลงเห็นด้วย ไม่ใช่การกวาดสายตามองลูกค้าทั่ว ๆ ไป หากแต่จงใจหันมามองคนในโต๊ะหลายรอบ
“ทั้งกีตาร์ ทั้งนักร้อง”
“มองพี่โสครับ”
“อีกคนก็มองคุณมิ่งฟ้า” ไม่ใช่ผมคิดไปเองจริง ๆ ด้วย นักร้องหุ่นหมีที่หันมาบ่อย ๆ พยายามส่งสายตาไปให้คนหัวโต๊ะที่ยังเฮฮากับคนอื่น ๆ ด้วยท่าทีสบาย ๆ ผมถอนหายใจ เหลือบตามองเจ้าตัวแล้วยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นเมื่อตัวเลขวนมาถึง 121
“มึงกับคุณมิ่งฟ้า ตอนคบกันใครผัวใครเมียวะ ทางนั้นก็หน้าว้านหวาน ครั้นจะบอกว่ามึงเป็นผัวก็ดูท่าไม่น่าทำเป็น”
“หยาบคายว่ะพี่ชิต” ผมพูดพลางส่ายหัว “ดูถูกเกินไปแล้ว”
“ดูถูกมึง?”
“ดูถูกมัน” พูดพลางกระตุกมุมปากขึ้นเบา ๆ เห็นมันหน้าสวย ๆ แบบนี้แหละแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษตัวดี นึกถึงช่วงที่ถูกมันล่อลวงให้หลงมาบนเส้นทางสีม่วงแล้วก็เซ็ง มุกนี้มันไม่ได้ใช้กับผมคนแรกแต่ยังคงใช้ได้ผลเรื่อย ๆ เด็กในสต๊อกมันมีเป็นล้าน กว่าผมจะปัดกวาดเสี้ยนหนามได้หมดก็เหนื่อยจนลมแทบจับ
“มันล้มไอ้หมีนั่นได้ พี่เชื่อดิ”
“จริงเหรอวะ” พี่ชิตพูดพลางยกมือขึ้นถูแขน หลังจากพิจารณาชายหนุ่มหุ่นหมีแล้วหันกลับมากับแววตาเจ้าเล่ห์ของไอ้จิ้งจอกขาวแล้วก็เบะปาก “แต่คุณมิ่งฟ้าก็ดูเป็นคนมีอะไรจริง ๆ ว่ะ”
“เป็นคนมีอะไรคือยังไง”
“เป็นคนน่าสนใจ ดูผ่าน ๆ อาจเหมือนคนไม่ซับซ้อน...แต่ไม่รู้ดิ กูว่าถ้ากึ๋นไม่ดีจริงถูกคุณอธิปจับมาทำงานตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ แล้ว”
ผมหัวเราะร่วนเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ พี่ชิตเป็นชายวัยผ่านร้อนผ่านหนาวมาสมควร สมัยหนุ่ม ๆ หน้าตา ฐานะดีก่อนพุงจะพลุ้ยและเงินหดหายไปลงขวดช่วงใหญ่ ๆ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไม่ใช่หยอก แต่ก็เอาตัวรอดจากสาว ๆ นักล่ามาจนเจอแม่ของลูกที่ดูจะสุดแสนธรรมดาได้ “พี่ต้องพูดใหม่ ถ้าไม่มีกึ๋นจริงคงไม่ได้เรียนสถาปัตย์ หรือถ้าได้เรียนคณะนี้แล้วก็ไม่น่าจะชิ่งไปเรียนต่อ AA ทั้ง ๆ ที่ทางบ้านอยากให้เข้ามาช่วยงานตั้งแต่จบปริญญาตรีไม่ได้”
“สรุปคือเป็นคนที่น่ากลัว?”
“ก็ไม่ขนาดนั้น” ผมตอบตามที่คิด ไอ้เฟยมีจุดอ่อนของมันอยู่หลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นเคยเป็นผม “มันไม่ใช่ซาตานมาจุติ พี่ไม่ต้องระแวงไปหรอก”
“มึงกับมันเหมือนมวยถูกคู่ คนหนึ่งก็ซนเป็นปลาไหล อีกคนก็ทั้งดุทั้งใจแข็ง...อ้อ เดี๋ยวนี้เพิ่มเรื่องใจร้อนมาอีกอย่าง”
“กับเรื่องของมัน ผมใจร้อนตลอดแหละ” พูดพลางยิ้มอ่อน ๆ แล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ไม่อยากเล่าว่าเคยจัดการเรื่องกิ๊กของไอ้เฟยยังไงบ้าง ทั้งอาละวาด ใช้กำลัง ไม่ได้ใช้กำลังกับคนนอกครับ ชกไอ้เฟยจนปากแตกออกจะบ่อยไป ชกให้สันดานเปลี่ยน ไม่น่าเชื่อนะ แต่สุดท้ายมันก็ยอมเลิกให้ทั้งหมด
พี่ชิตทอดสายตาลงมองผมแล้วส่ายหัว “ถ้ารักอยู่ทำไมมัวแต่ทิฐิวะ มึงเริ่มต้นกันใหม่ได้นะเว้ย กูว่า...”
“ผมร้อนเงิน เลยไปนอนกับลูกพี่ลูกน้องมัน”
อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ บรรยากาศ หรือด้วยความกดดันที่แน่นตึงอยู่ในอกถึงได้โพล่งออกมาในที่สุด ตอนแรกก็ไม่อยากจะเล่า ไม่อยากพูดถึง แต่ถ้ายังเงียบอยู่ที่ชิตคงยุให้กลับไปหามันเรื่อย ๆ ผมก้มลงมองแก้วเครื่องดื่มที่เติมของเหลวสีอำพันด้วยตัวเองแล้วยิ้ม ยิ้มด้วยความสมเพช
“มันเกลียดคนขายศักดิ์ศรี...แต่ผมก็ทำ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นก็คบกับมันอยู่”
“แล้วทำไม...”
“ผมร้อนเงิน เงินก้อนใหญ่มาก ใหญ่จนนักศึกษาธรรมดา ๆ อย่างมันไม่มีวันหามาให้ได้โดยไม่ต้องรบกวนที่บ้าน แล้วช่วงนั้นมันก็ใช้เงินเก่งจนมีปัญหากับพ่อ”
พี่ชิตไม่พูดอะไร เอื้อมมือมาแตะไหล่ผม เสียงดนตรีคลอผ่านหูไป มันดังมากพอที่จะไม่ทำให้คนที่อยู่หัวโต๊ะอีกฟากได้ยินบทสนทนาของผมกับรุ่นพี่คนสนิท “ผมไม่มีหน้ากลับไปหามันหรอก ไม่มีปัญญาแม้แต่จะรวบรวมความกล้าอธิบายมันเรื่องนี้ด้วยซ้ำ”
แก้วแอลกอฮอล์ถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแม้ว่าผมจะไม่ได้นับเลขที่ลงท้ายด้วย 21 เสียงพูดคุยเฮฮาจากเพื่อนร่วมโต๊ะดังอยู่ใกล้ ๆ กระนั้นผมก็ไม่แม้แต่จะยิ้มไปกับคนอื่น ๆ ด้วย
ผมสบตากับคนนั่งหัวโต๊ะอีกครั้ง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ดนตรีสดเล่นจบแล้วและวงดนตรีก็เดินลงบันไดไปทางด้านหลัง พักเดียวบริกรก็เดินมาหาไอ้เฟย ยื่นกระดาษสีขาวที่เขียนอะไรบางอย่างให้ ถ้าให้เดาคงเป็นเบอร์ของนักร้อง ไม่ก็เขียนมาแสดงเจตจำนงที่มองมาทางหัวโต๊ะของผมบ่อย ๆ เจ้าของผิวขาวส่งยิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไรซึ่งนั่นทำให้ผมลอบถอนหายใจออกมาเพียงลำพัง
ไม่มีสิทธิ์หึง แต่พอใครมายุ่มย่ามก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้ไม่ชอบใจไม่ได้
ทำยังไง...ผมต้องทำยังไงถึงจะลืมมันไปได้สักที
“ไอ้เฟย มึงไม่ทำงานเองแบบนี้ตอนสอบจะเอาเหี้ยอะไรไปสอบวะ” เป็นวันที่ผมหัวเสียครับ เสียมาก หงุดหงิดสัตว์ ๆ งานตัวเองที่ส่งไปต้องเอากลับมาแก้ไม่พอ งานไอ้คนร่วมห้องที่บังคับให้ผมย้ายมาอยู่ด้วยเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายที่แม่งไม่ยอมแตะเลยสักนิดนี่อีก กูคนนะเว้ย มีสองมือสองตีน มัวแต่แก้งานให้มันจะเอาเวลาที่ไหนไปทำของตัวเอง
“มึงลุกขึ้นมาเลย! เลิกดูได้แล้วหนังโป๊เนี่ย กลางวันแสกๆ ไอ้เหี้ย”
“มึงขี้บ่นจังวะตี่ตี๋”
“ตี่ตี๋พ่อง ลุก!”
“สั่งกูเหรอ มึงเป็นขี้ข้าไม่รู้หรือไง”
“มึงใช้กูเยี่ยงทาส!” ผมตวาดลั่น นับตั้งแต่วันที่มันใช้หนี้ให้ก่อนก็ทำตัวเป็นท่านขุน ไอ้หน้าสวยมันสั่งให้ผมย้ายมาอยู่กับมัน เพราะอะไรน่ะเหรอครับ เพราะคอนโดอันหรูหราของมันมีสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่นและมันไม่สามารถทำความสะอาดไหว ไหนจะเรื่องอาหารการกินที่ต้องซื้อร้านตามสั่งเป็นประจำ เลยตัดปัญหาด้วยการใช้ผมแม่งเลย ตอนแรกก็เกรงใจมันหรอกแต่สักพักเริ่มคิดว่าหรือกูขาดทุนกันแน่ ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าอุปกรณ์ซื้อของมาทำโมเดลมันจ่ายให้ ไม่ทวงหนี้สามหมื่นห้านั่นด้วยแต่นอกจากเป็นพ่อบ้านให้มันแล้วไอ้มิ่งฟ้าก็ใช้ผมทำงานส่งเกือบทุกชิ้น
“มึงเป็นทาสในเรือนเบี้ย”
“ไม่ใช่โว้ย!” ผมโวยเสียงลั่น เดินกระทืบเท้าไปตรงหน้าแล้วดึงข้อศอกให้มันลุกจากโซฟา “ทำงาน!”
“มึงก็ทำไปสิ”
“กูต้องแก้งานกู อีกอย่าง เดี๋ยวหกโมงต้องไปที่ร้านพี่ตุ๋มด้วย”
“ลาออกได้แล้ว มึงจะเอาเงินไปทำอะไรนักหนา พ่อแม่มึงไม่ส่งให้หรือไง” ไอ้เฟยพูดพลางส่ายหัว เลื้อยตัวลงนอนทั้ง ๆ ที่ผมกำลังยื้อให้มันขยับตูดออกจากเบาะหนังหนานุ่มราคาเหยียบหมื่นอยู่ “ลาออกจากที่นั่นแล้วมาทำงานให้กูซะ”
“พอกูทำให้มึงก็เอาไปแก้เองอีกตลอด ไม่พอใจทำไมไม่ทำเองตั้งแต่ต้น”
“ให้มึงทำคนเดียวอาจารย์ก็จับได้สิ ฝีมือใครฝีมือมัน”
“งั้นมึงจะใช้กูทำเหี้ยอะไร”
“ก็มึงโง่” คนตัวขาวพูดพลางไหวไหล่ “ในห้องเรียนก็หลับ ถึงช่วงสอบก็ไม่เลิกทำงานมาอ่านหนังสือ ถ้าไม่ให้ทำงานซ้ำ ๆ แบบนี้จะไปเรียนทันคนอื่นเขาไหม”
“มึงแกล้งกูมากกว่า”
“กูจะแกล้งมึงทำไม ประสาท ไปไหนก็ไปไป๊ กูจะดูหนัง”
“ไอ้หนังเหี้ยนี่ก็เลิกดูได้แล้ว มึงหื่นขึ้นสมองแล้วรู้ตัวหรือเปล่า” ผมบอกพลางนึกถึงวันที่มันไปดื่มที่ร้านเฮียตุ้ย กลับมาทีไรก็เลื้อยผมเป็นต้นตำลึงเกาะหลักตลอด “ขืนยังดูแบบนี้สักวันกูได้เป็นเมียมึงแหง“
“ก็เป็นเสียสิ”
“อะไรนะ?”
“เป็นเมียกูไม่ดีตรงไหนตี่ตี๋”
“กูชื่อวินโว้ย!” ผมยังคงโวยวายเสียงลั่น หากแต่คนที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนกลับหัวเราะร่วน “มึงนี่มันน่ารักจริง ๆ ว่ะ เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้พวกนั้นถึงอยากให้มึงไปขายให้นายมัน”
“กูไม่คุยกับมึงแล้ว” พอผมทำท่างอนจริง ๆ มันก็ครางเสียงอ่อนเสียงหวาน จับมือผมไว้แน่นก่อนออกแรงดึงให้ล้มไปบนโซฟาตัวเดียวกัน เสียงจากคู่หญิงชายในทีวียังครางอือออปลุกเร้า ผมไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น ทะเลาะกับไอ้เฟยทุกวี่ทุกวันจนประสาทแดก อีกนิดเดียวก็น่าจะเซ็กซ์เสื่อมไปด้วย
“โอ๋...แค่นี้ทำงอน ไม่พูดแล้วก็ได้ รู้น่าว่าไม่ชอบ”
“เออออ” ผู้ชายที่ซ้อนอยู่ด้านหลังหัวเราะคิก สักพักก็เลื้อยตัวลุกขึ้นนั่ง โน้มตัวลงเพื่อเอาคางวางบนบ่า ผมปรายตามองมันนิดเดียวพอเห็นว่าผมหน้าอีกฝ่ายยาวจนจิ้มตาแล้วก็ดึงหนังยางที่คล้องไว้ตรงข้อมือออกมา “หันหน้ามาดี ๆ”
“อะไร”
“มัดจุกให้ เห็นแล้วรำคาญ” พูดพลางจับแก้มทั้งสองข้างมันให้ตั้งตรง ผมพกหนังยางไว้ที่ข้อมือตลอดเวลาเพราะช่วงนี้ผมด้านหลังก็เริ่มยาวละต้นคอแล้ว หาเวลาว่างสักพักจะนั่งตัดเหมือนกัน
ไอ้เฟยนั่งนิ่ง มองผมแต่ยกมุมปากขึ้นไปในองศาที่ไม่น่าไว้ใจเท่าไร พอผมจัดการกับผมหน้าของมันเสร็จก็เผลอยิ้มออกมา ใบหน้าหวานสวยเหมือนผู้หญิงกับจุกน้ำพุตรงหน้าเปิดหน้าผากเนียนของอีกฝ่ายช่วยให้ใบหน้ารูปไข่ดูน่ารักกว่าปกติ ตารีคลี่ยิ้มเมื่อสบตากับผมก่อนแก้มมันจะเป็นสีชมพูเลือดฝาด
“หน้ามึงเหมือนทอมเลยว่ะเฟย”
“เหรอ แล้วชอบไหมล่ะ”
“ก็สวยดี” ผมบอกตามความจริง หนุ่ม ๆ ที่คณะตามมันเกรียวแต่ก็ไม่เห็นจะสนใจใครเป็นพิเศษ “ถ้ามึงเป็นกะเทยมึงรุ่งมากนะเว้ย”
“งั้นเหรอ ถ้ากูเป็น มึงจะไม่รังเกียจกูเหรอ”
“ม่ายยย มึงดีกับกูขนาดนี้ใครจะไปรังเกียจมึงลง” ยิ้มแล้วก็หยิกแก้มใสด้วยความมันเขี้ยว ไอ้เฟยหัวเราะร่วนพลางย่นจมูกใส่
“เจ็บบบ”
“สำออย”
“เจ็บจริง ๆ แก้มกูแดงไปหมดแล้วมั้งเนี่ย” ผมปล่อยมือออกมามองแก้มขาวเป็นรอยปื้นสีแดงจริงก็หัวเราะร่วนแล้วลูบเป็นการปลอบประโลมให้คนเจ็บหายหน้างอ “หน้าก็ออกจะด้าน ไม่น่าเจ็บนะ”
“โอ้โฮ หลอกด่า”
“ไม่ได้หลอก ด่าตรง ๆ” พูดแล้วก็หุบยิ้มไม่ได้ ถึงจะกวนตีนไปหน่อยแต่มันก็น่ารักนะครับ ไอ้เฟยเนี่ย “มัดจุกแล้วกูน่ารักปะ”
“มากกกกก”
“แล้วมีงรักปะ”
“มากกกกกกก” ผมแกล้งลากเสียงยาวล้อมัน บางทีพออยู่กับมันไม่ค่อยรู้สึกหรอกครับว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนผู้ชาย อ้อ...ยกเว้นตอนที่เถียงกันน่ะนะ “งั้นกูจะไม่ตัดผม รอให้มึงมามัดให้แบบนี้เรื่อย ๆ จะได้รักกูมากกกก อย่างที่บอก”
“โอ๊ย แค่นี้ก็ไม่รู้จะมากยังไงแล้วครับคุณชาย รักปานจะแหกตูดดมแล้วไอ้เหี้ย”
“ฟังแล้วขนลุกเลยว่ะ ซาบซึ้งฉิบหาย แต่มึงไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก ไว้เป็นหน้าที่กู”
“ก็เหี้ยแล้วครับ” ผมดีดจมูกมันหนึ่งทีก่อนผุดลุกขึ้นยืน เฟยเงยหน้าขึ้นมองจากมุมที่นั่งอยู่ มันยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มตรงข้างแก้มชัดเจน “รักกูจริงต้องทำงานให้กูสิ”
ผมหุบยิ้มลงแทบไม่ทัน ผลักหัวหนัก ๆ ของมันให้ถอยไปด้านหลังแล้วเริ่มโวยวายใหม่ “ลุกขึ้นมาทำงานเลย! ไอ้ผีญี่ปุ่น!”
TBC
นี่มันยังวันอาทิตย์อยู่นะ 55555555555555555555+ ขอโทษที่มาช้าค่ะ เราอยากให้ทุกท่านเริ่มวันจันทร์ที่สดใสไปพร้อม ๆ กัน /ใช่เรื่องมั้ยยยย ตอนนี้เฉลยให้พี่ชิตฟังแล้วว่าทำไมตอนนั้นวินถึงหนีมา ต่อจากนี้ตอนหน้าเรื่องดราม่าจะคลี่คลายไปเรื่อย ๆ (เย้)
ชอบเขียนตอนที่นางมุ้งมิ้งกันสมัยละอ่อนมากเลย วินนี่ดูน่ารัก (ชื่อแรดกว่าตี่ตี๋อีกทีนี้)
การบรรยายของวินกับยูจะต่างกันค่ะ เพราะคนนึงเป็นคนที่ใกล้ชิดรู้จักตัวตนจริง ๆ กับอีกคนมองเฟยเหมือนเป็นรุ่นพี่ที่เป็นไอดอล เรามักจะใส่อารมณ์และรายละเอียดกับคนที่พิเศษจริงๆมากกว่าเนอะ
พี่เฟยจะทำยังไงต่อ วันอาทิตย์หน้าเจอกันค่า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ 