11 The night that you'll never forgetผมได้รับสายจากพี่เชนทร์ว่าเย็นนี้คุณนภทีป์เชิญร่วมรับประทานอาหารเย็นที่โรงแรมไดมอนด์ หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็นั่งเล็กซัสคันเดิมไปยังที่หมาย โรงแรมหกดาวที่ตบแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรา กับเครื่องประดับคริสตัลสอดคล้องกับชื่อโรงแรมได้เป็นอย่างดี พนักงานต้อนรับในชุดยูนิฟอร์มพาผมเดินนำไปยังห้องอาหารโซนวีไอพีที่มีเทอเรซด้านนอกยื่นไปในผืนทราย ยามค่ำคืนแบบนี้จะได้ยินเสียงคลื่นและรับลมทะเลเต็ม ๆ และจากตำแหน่งที่ตั้งของโรงแรมที่อยู่ห่างตัวเมืองมาระยะหนึ่งทำให้ฟ้าที่นี่มืดสนิท เห็นแสงดาวบนม่านสีน้ำเงินกำมะหยี่ชัดเจน
“ถึงว่า ทำไมที่นี่ถึงจะสร้างหอดูดาว ถ้าเป็นโรงแรมเฮียอี้หรือที่อื่น ๆ ในแถบนี้คงทำไม่ได้”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย โต๊ะสี่เหลี่ยมไม้เนื้อดีตั้งอยู่กลางลาน มีแสงเทียนถูกจุดขึ้นเป็นระยะกับดอกเดซี่สีขาวประดับอยู่ ผ้าปูโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตตุรัสถูกวางเป็นมุมสี่สิบห้าองศากับโต๊ะ มีเสียงดนตรีเพลงสบายหูเปิดคลอช่วยปรุงบรรยากาศให้น่านั่งยิ่งขึ้น ที่แห่งนี้มีเพียงผมกับคุณมิ่งฟ้า ส่วนพนักงานที่เดินนำมาเมื่อครู่ปลีกตัวไปเตรียมเครื่องดื่มไว้ล่วงหน้าแล้ว
“โรแมนติกดีเนอะ”
“อืม” ผมตอบ ท้าวคางกับขอบโต๊ะ มองไปยังเส้นขอบฟ้าที่กลืนไปกับทะเลแล้วเบนสายตากับมามองผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ มันทำท่าคล้าย ๆ กัน มีเส้นผมยาวที่มัดไม่หมดร่วงมาระใบหน้าบ้าง
“มัดผมใหม่ไหม”
“อืม มัดให้หน่อย”
“เดี๋ยวลูกค้าก็มา”
“ก็รีบ ๆ มัดดิ มัวแต่เถียง” ผมส่ายหัว ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ดึงหนังยางสีดำออกจากศีรษะ รวบเส้นผมไว้ด้วยมือข้างเดียวก่อนอีกข้างจะรัดหนังยางให้เรียบร้อย ผมยาวเกินไปแล้ว เวลาสระผมก็ต้องให้คนอื่นช่วยเช็ดทุกที
“เมื่อไรจะตัดผม รุงรัง”
“ถามตัวเองดิ ว่างตัดให้เมื่อไร”
“ไม่เอา เดี๋ยวก็แหว่ง”
“แนวออก” ไอ้เฟยยักคิ้วไม่ยี่หระ ผมเกลียดเวลาที่มันทำหน้าทะเล้นตอนกำลังพูดจริงจังทุกที “เป็นผู้ใหญ่แล้วนะเฟย”
“รู้น่า โตแล้ว มีเมียแล้วด้วย”
“ยังจะเล่น”
“มึงนั่นแหละเครียดไปแล้ว แบบนี้กูก็แย่สิ โดนดูดพลัง”
“เหี้ยอะไรของมึงอีก” ผมถามกลั้วหัวเราะ คุณมิ่งฟ้ายังทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยเหมือนที่ชอบทำเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง ผมลอบมองซ้ายขวาแล้วเตะมันใต้โต๊ะ “อะไร พูดมา”
“เคยได้ยินหรือเปล่า ว่าเซ็กซ์คลายเครียดได้น่ะ”
“โม้แล้ว”
“เอ้า จริง ๆ” มันพูดกลั้วหัวเราะ ทำตาระยิบระยับ “จากการวิจัยเขาว่าการมีเซ็กซ์ที่สุขสมจะทำให้หลั่งสารเอ็นโดฟินออกมาทำให้หายเครียด แก้ปวดหัว ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวแล้วก็หลับสนิท ไม่เคยอ่านเจอเหรอ”
แล้วทำไมผมถึงปวดเนื้อปวดตัวทุกครั้งที่ไอ้เฟยมันเอาเปรียบเลยวะครับ ป่วยการจะเถียง ผมส่ายหน้า ย่นจมูกเข้าหากัน พอดีกับเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้เราสองคนผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ
พี่เชนทร์ในชุดลำลองสบาย ๆ เดินมากับคุณนภทีป์แต่สีหน้าค่อนข้างจะตรงกันข้าม ผมบอกพี่เชนทร์แล้วว่าคุณมิ่งฟ้าจะมาด้วย ซึ่งเขาก็ยังคงทำหน้าบอกบุญไม่รับราวกับไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ขณะที่ผู้ชายผิวขาว หน้าตาดีและโดดเด่นกว่าใครกลับเผยยิ้มกว้าง พุ่มมือขึ้นไหว้ผมแล้วส่งสายตาให้ไอ้เฟยอย่างสนอกสนใจเป็นพิเศษ ฝั่งนี้เห็นเป็นลูกค้าหน้าตาดีหน่อยก็หยอดยิ้มหวานก่อนรับไหว้
“คุณนภทีป์ใช่ไหมครับ”
“ครับ นี่คุณมิ่งฟ้า หัวหน้าของพี่วินเหรอครับ”
ไอ้เฟยพยักหน้า คู่สนทนาเลยเลื่อนเก้าอี้ข้าง ๆ ตัวมานั่งด้วย หัวหน้าฝ่ายขึงตาตึงขณะที่พี่เชนทร์เลื่อนเก้าอี้มานั่งติดกับผมอีกฝั่ง
“เพิ่งรู้ว่าพี่วินมีหัวหน้าหน้าตาดีขนาดนี้”
นภทีป์ยักยิ้มที่มุมปาก สายตาคมมองอีกฝ่ายหวานหยด ไอ้เฟยไม่ตอบอะไรได้แต่หัวเราะแห้ง ในแวบแรกผมเชื่อว่ามันมองออกว่าลูกค้าคนสำคัญรู้สึกยังไง แต่เมื่อความหึงหวงเข้าบังตาก็เหมือนว่ามันจะไม่ใส่ใจความรู้สึกที่อีกฝ่ายพยายามสื่อออกมาแม้แต่น้อย
“รอนานหรือเปล่าครับ พอดีผมไปเดินเล่นตรงด้านหลังที่จะทำเป็นหอดูดาวกับพี่เชนทร์เสียก่อน”
“ไม่นานครับ เพิ่งมาเหมือนกัน” ผมตอบแทนเมื่อเห็นมิ่งฟ้าจ้องผู้ชายฝั่งตรงข้ามเขม็ง พี่เชนทร์ไม่สบตาทั้งผมทั้งไอ้เฟย นั่งเงียบสนิททำหน้าเหม็นเบื่อมองไปทางอื่น
หลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สู้หน้า ไอ้เฟยถึงค่อยละสายตาไปทักทายนภทีป์
“ทำเลที่นี่ดีมากเลยครับ”
“ครับ เป็นที่ดินที่ตกทอดมาหลายรุ่น เมื่อก่อนปล่อยรกร้างจนรุ่นคุณตาเพิ่งมาทำเป็นโรงแรม สนใจพักที่นี่ไหมครับ ผมจะให้คนเตรียมห้องที่ดีที่สุดให้พี่...เอ่อ...ขออนุญาตเรียกพี่เฟยได้ไหมครับ”
“ตามสบายเลยครับ” รอยยิ้มการค้าถูกส่งไป ตอนนี้กลายเป็นผมเองที่จิตใจว้าวุ่น พี่เชนทร์เหลือบตามอง เอื้อมมือมาแตะผมใต้โต๊ะซึ่งทำเอาผมสะดุ้งโหยง มิ่งฟ้าละสายตาจากลูกค้ามาวูบหนึ่งก่อนผมจะทำทีเป็นหยิบเมนูเพื่อยกมือขึ้นเหนือโต๊ะ
“เมื่อกี้ผมลองเปิดเมนูดู ที่นี่มีแต่อาหารน่าทานนะครับ”
“ครับ อาหารอร่อย ดนตรีเพราะ เตียงนุ่มนอนสบาย”
“พอดีโรงแรมของญาติผมอยู่ถัดจากนี่ไปไม่เท่าไร ไปค้างที่นั่นจะสะดวกกว่า”
“อ้อ เดอะไลท์ใช่ไหมครับ คู่แข่งรายสำคัญเลย” นภทีป์พูดกลั้วหัวเราะ อันที่จริงแล้วก็ไม่ถูกทั้งหมด ในแวดวงธุรกิจการทำงานในลักษณะเดียวกันบางครั้งก็เอื้อความสะดวกซึ่งกันและกันในบางส่วน “เดอะไลท์จัดอีเวนท์ทีไรลูกค้าผมแห่ไปพักที่นั่นหมด ไดมอนด์ต้องคอยดูแลคนที่ยังตกหล่นอีกทีทุกรอบเลย”
“ขอโทษด้วยครับที่รบกวน”
“โธ่ พี่เฟย ผมล้อเล่น ดีเสียอีกครับ โรงแรมคุณอี้จัดแคมเปญจ์เจ๋ง ๆ ไดมอนด์ก็ได้รับผลประไยชน์ร่วมไปด้วย” นภทีป์พูดยิ้ม ๆ เปิดกางเมนูแต่สายตาจับจ้องมาที่รูปหน้าสวยของคู่สนทนา ผมก้มหน้างเล็กน้อย เหมือนกับว่าพยายามพาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมมากเท่าไรลูกค้าคนพิเศษก็อยากจะคุยตามลำพังกับหัวหน้าฝ่ายเท่านั้น นภทีป์พลิกเมนูไปมา เอ่ยถามมิ่งฟ้าแสดงออกชัดเจนว่าอยากให้อีกฝ่ายสำคัญ
“พี่เฟยทานอะไรไม่ได้หรือเปล่าครับ”
“ได้หมดครับ ตามสะดวกคุณนภทีป์เลย”
“ผมเรียกว่าพี่เฟยแล้ว เรียกผมว่าทีป์เฉย ๆ ก็ได้ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยคล้ายกระซิบ ไม่ใช่แค่ผม แต่แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ทุกฝ่ายต่างรู้ดีว่าสิ่งที่นภทีป์กำลังพยายามทำอะไร ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าไอ้เฟย รอยยิ้มสวยผุดขึ้นอ่อนโยน เลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ พลางหัวเราะในลำคอ
“ทีป์มีเมนูอะไรแนะนำล่ะครับ”
สีหน้าของลูกค้าวัยอ่อนกว่าแสดงความพึงพอใจออกมา เขาหันไปสั่งบริกรโดยไม่ถามความเห็นผมกับพี่เชนทร์ราวกับว่าบนโต๊ะอาหารนี้มีเพียงสองคน แววตาหวานฉ่ำ รับกับใบหน้าหล่อเหลาช่างชวนมอง แต่กลับก่อไฟในอกผมให้คุกรุ่น ยิ่งเมื่อเห็นท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวคล้ายว่าจะเล่นด้วยของไอ้เฟยก็ยิ่งโกรธ ริมฝีปากบดเข้าหากันแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป กระทั่งรู้สึกว่ามีบางสายตาจับจ้องอยู่ถึงเหลือบขึ้นมอง พี่เชนทร์กำลังใช้ดวงตาคมสื่อความหมายอะไรหลาย ๆ อย่างซึ่งนั่นก็ทำให้ผมไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยตรง
“มัวแต่มองอยู่นั่นแหละครับพี่เชนทร์ ไหนว่าคิดถึงพี่วิน มาถึงไม่เห็นคุยอะไรกันเลย”
นายช่างคเชนทร์ละสายตาไปยังผู้พูด รอยยิ้มเศร้าจุดที่มุมปากแต่ตากลับแข็งกร้าว “ไม่เห็นต้องรีบเลย มีเวลาอยู่ด้วยกันตั้งหลายวัน”
ไอ้เฟยหัวเราะเหอะ ก่อนเหยียดริมฝีปากไปในทิศทางที่ไม่น่ามอง นภทีป์ดูเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้แต่มองหน้าเฟยกับพี่เชนทร์สลับกัน สักพักอาหารที่สั่งไปก็เสิร์ฟตัดสายตาเชือดเฉือนของคนทั้งคู่ ขณะที่นภทีป์พยายามชวนเจ้าของใบหน้าสวยคุย ผมกับพี่เชนทร์ได้แต่นิ่งเงียบ คุณนภทีป์เวลานี้แตกต่างจากที่คุณฉัตรกมลผู้เป็นแม่เคยกล่าวถึงลิบลับ เขาดูเป็นผู้ใหญ่ เอาการเอางาน และมีวาทศิลป์ในการเจรจาดีจนน่าทึ่ง
ผมทานข้าวไปไม่กี่คำก็รวบช้อน คนที่สังเกตเห็นตอนนี้กลับไม่ใช่คนรักที่กำลังคุยกับลูกค้าอย่างออกรสชาติหากแต่เป็นคนที่คอยมองมาตลอดอย่างพี่เชนทร์ เขาตักเนื้อปลาสีขาวสะอาดที่ถูกปรุงอย่างดีจากจานใกล้มือมาให้ ครั้งหนึ่งที่อีกฝ่ายเคยใช้มุกรักใครให้กินปลาแล้วสั่งอาหารที่เป็นปลามาเกือบทุกอย่างให้ผมเคยเรียกรอยยิ้มขำขันได้ พี่เชนทร์คนนั้นดูมีเสน่ห์จนต้องยอมรับ แต่กลับไม่ใช่ผู้ชายที่เอาแต่นั่งหน้าตึงตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน
“กินน้อยไปแล้ววิน”
“ผมเดินทางมาเหนื่อยน่ะครับ”
“ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งต้องทาน มาป่วยที่นี่ลำบาก หมอพยาบาลไม่ได้มีพร้อมเหมือนในกรุงเทพ”
ผมพยักหน้า ก้มลงเขี่ยเนื้อปลาในจานไปมาก่อนปลาหมึกชิ้นโตจะถูกวางลงทับ พอเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าดุดันของมิ่งฟ้าแล้วก็หลบสายตา น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยอย่างไม่ลดราวาศอกให้คู่กรณี
“ชอบไม่ใช่เหรอ”
ที่ไหนล่ะวะ ผมไม่ได้มีเมนูโปรดเป็นพิเศษ เป็นพวกอยู่ง่ายกินง่าย ตัวคนทำเองก็รู้ แต่ที่แสร้งทำเป็นบอกข้อมูลที่ไม่มีมูลออกมาต่อหน้าพี่เชนทร์เพียงหวังจะฉีกหน้าอีกฝ่ายเท่านั้น ทำไมผมจะมองไม่ออก
“เอาอะไรอีกไหมเดี๋ยวตักให้”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบพลางถอนหายใจ อยู่ในสถานการณ์อึดอัดทั้งด้วยตัวเองและที่มีไอ้เฟยอยู่ให้ใครอีกคนโลมเลีย นภทีป์ที่นั่งตรงข้ามผมยิ้ม ยกทิชชู่ขึ้นเช็ดปาก
“เป็นหัวหน้าที่น่ารักจังนะครับ ใส่ใจลูกน้อง ใครได้เป็นแฟนคงน่าอิจฉาแย่”
ไอ้เฟยไม่ได้ตอบด้วยคำพูดเพียงแต่ยิ้มกลับไปให้ ผมก้มหน้าลงกินปลาหมึกโดยจงใจละเนื้อปลาของพี่เชนทร์ไว้เพราะไม่อยากจะมีปัญหา สักพักเสียงช้อนอะลูมิเนียมวางกระทบจานกระเบื้องก็ดังขึ้น เก้าอี้ไม้ทรงวินเทจถูกเคลื่อนออกตามด้วยร่างสูงใหญ่ของนายช่าง ไอ้เฟยหัวเราะหยันในลำคอ สักพักก็หยิบผ้าขึ้นเช็ดปากแล้วลุกบ้าง
“ขออนุญาตเข้าห้องน้ำนะครับ”
“ตามสบายเลยครับ เดี๋ยวผมจะนั่งเฝ้าโต๊ะรอป็นเพื่อนพี่วินเอง”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน นึกอยากท้วงไม่ให้มันไปเพราะดูแล้วคงมีปัญหากับพี่เชนทร์แน่แต่ด้วยคำพูดของนภทีป์กลับตรึงไว้ไม่ให้ลุกไปไหน เมื่อพ้นรัศมีที่พอจะได้ยินแล้ว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าของโรงแรมก็หันไปสั่งไวน์แดงสองแก้วสำหรับผมและตัวเอง
“คุณนภทีป์มาเที่ยวเหรอครับ” ท่ามกลางความรู้สึกอึดอัดผมก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา เด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าพยักหน้า โคลงแก้วในมือให้ของเหลวกลิ้งอยู่ภายใน
“มาถ่ายแบบเมื่อวานครับ แล้วก็อยู่พักผ่อนไปในตัว พี่วินท่าทางจะสนิทกับพี่เฟยนะครับ หัวหน้าถึงกับต้องมาส่งเลย”
“คุณมิ่งฟ้าเพิ่งรับช่วงต่องานจากคุณอดุลย์ไม่นานน่ะครับ เลยอยากมาดูงาน” ผมตอบอ้อม ๆ “แล้วสมัยเรียนก็เคยเรียนที่เดียวกันก่อนผมซิ่วด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง” นภทีป์รับคำแล้วจิบไวน์ ดวงตาคมมีประกายวาววับ “พี่เฟยน่ารักนะครับ”
“ครับ?” อย่างมันนี่เรียกว่าห่างจากคำนั้นไปโขต่างหาก แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ จากคู่สนทนากับแก้มที่ขึ้นสีเล็กน้อยทำให้ผมเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างที่พูดจริง ๆ
“ผมหมายถึง ดูมีเสน่ห์ เหมือนเป็นคนที่ซ่อนอะไรไว้ในดวงตา น่าค้นหาดี”
“ก็...ประมาณนั้นมั้งครับ เป็นคนที่เข้าใจยาก”
“อย่างนี้คงไม่มีแฟนใช่ไหมครับ”
ผมจิบไวน์แก้วนั้นแล้วถือค้างไว้ คำถามนั้นรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร พาลนึกไปถึงที่พี่เชนทร์เคยแซวว่ารสนิยมของนภทีป์คือคนอายุมากกว่าแล้วก็หวั่น ผู้ชายตรงหน้าดีกว่าผมทุกอย่าง ทั้งเพียบพร้อมและงดงาม ถึงเฟยจะไม่ได้ปิดบังกับที่บ้านว่าเป็นเกย์แต่ถึงยังไงผมคิดว่าอากงก็คงอยากให้มันคบหาแต่กับคนในสังคมเดียวกันมากกว่า
จู่ ๆ ก็นึกเสียดขึ้นมาในอก เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างคนคิดหนักก่อนตอบปัด “เรื่องนั้นคุณทีป์ถามคุณมิ่งฟ้าเองเถอะครับ”
“โธ่ พี่วิน ช่วยผมหน่อยสิครับ ผมยังช่วยพี่เรื่องพี่เชนทร์เลย น้า..นะ นะ”
ผมหลบสายตาช่างอ้อนของอีกฝ่าย ต่อให้เป็นคนอื่นก็ไม่ช่วย ผมไม่ใช่พวกชอบยื่นจมูกไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องของไอ้เฟย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงได้แสดงความเป็นเจ้าของกันบ้าง แต่ด้วยอายุและหน้าที่ สุดท้ายก็ได้แต่กล้ำกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่จุกอยู่ในคอลงไป
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเรื่องพี่เชนทร์ แต่ผมมีแฟนแล้ว”
“อ้าว” เด็กหนุ่มอุทานเสียงดัง วางแก้วไวน์ลงขณะที่ผมกลับยกขึ้นดื่มอีกอึก “ที่ตั้งใจจะช่วย พอเถอะครับ”
“ผมขอโทษครับเรื่องนั้น พอดีผมไม่ทราบ” นภทีป์อ้อมแอ้มพูดในลำคอ ทว่ายังไม่ละความพยายาม วกกลับมาเรื่องหลานชายคนรองของเจ้าสัวอธิปอีกครั้ง “แต่เรื่องของพี่เฟย...”
“เขาไม่ชอบให้คนอื่นยุ่งเรื่องส่วนตัวน่ะครับ เรื่องนี้ผมคงช่วยคุณทีป์ไม่ได้”
ริมฝีปากสีสวยย่นเข้าหากันเช่นเดียวกับจมูก คุณนภทีป์ดูเป็นผู้ชายหล่อเหลา ขณะเดียวกันด้วยอายุกับความคิดที่ยังเด็กทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดู ผมยกไวน์ขึ้นดื่มอีกครั้ง สอดส่องสายตามองหาคนที่ถูกกล่าวถึงซึ่งหายไปเป็นระยะเวลาพอสมควร สุดท้ายไอ้เฟยก็เดินนำพี่เชนทร์กลับมา สีหน้าบอกบุญไม่รับทั้งคู่ นภทีป์ทำทีคล้ายจะชวนมิ่งฟ้าคุยต่อ แต่เจ้าของใบหน้าสวยสะกดสายตากลับเอ่ยเสียงเรียบขึ้นตัดหน้าก่อน
“ถ้ายังไงวันนี้ผมกับวินขอตัวก่อนนะครับ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางเช้า”
“อ้อ...ที่บอกว่าไปพม่าน่ะเหรอครับ”
“ครับ” มิ่งฟ้าตอบกระชับ นภทีป์เลยได้แต่พยักหน้าให้ “ผมไปส่งไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอารถมา ยังไงขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะครับ ถ้าเรื่องงานมีปัญหาอะไรติดต่อผ่านเบอร์ทางนามบัตรได้โดยตรงเลย ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำพลางอมยิ้มซุกซน แววตาวาววับจับจ้องคู่สนทนาอย่างมีเลศนัย เสียงคำรามดังขึ้นในลำคอแต่ผมก็ได้ยินชัด“
ได้ติดต่อไปแน่ ๆ”ทันทีที่ถึงโรงแรม เสียงประตูห้องปิดกระแทกดังโครม ไอ้เฟยถอดรองเท้าทิ้งระเกะระกะแล้วตรงไปที่โซฟา โยนมือถือกับกระเป๋าสตางค์ลงเบาะนวมด้วยความหงุดหงิด ตั้งแต่ออกจากโรงแรมยังไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น อารมณ์ของอีกฝ่ายกำลังคุกรุ่น ในขณะที่ผมก็เต็มไปด้วยความกังวลในใจไม่ต่างกัน
“กลับกรุงเทพเถอะ”
ชายหนุ่มพูดเรื่องเดิมอีกครั้ง ทำให้ไหล่ผมกระตุกเล็กน้อย จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “คุยกันรู้เรื่องแล้วนะเฟย พี่เชนทร์พูดอะไรให้ไม่พอใจอีกหรือไง”
“มันจ้องจะเคลมมึง!”
“โต ๆ กันแล้วน่า” ผมแย้ง ขณะที่อีกฝ่ายยังคงหัวเสีย “จะรีบเคลียร์งานรีบกลับไปอยู่ด้วย โอเคไหม”
“ไม่เลย”
“เมื่อกี้ไปคุยอะไรกัน”
“แค่ไปเตือน” ไอ้เฟยเอ่ยเสียงสะบัด เลือดที่แล่นพล่านอยู่ในตัวยังคงไว้ซึ่งอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง ผิวมันแดงก่ำด้วยเพลิงโทสะ
“แต่มันกวนตีนกู”
“กูเห็นมึงกวนตีนมันก่อน”
“ไอ้ตี๋”
“โอเค” ผมยกมือขึ้นยอมแพ้ เวลานี้ป่วยการที่จะเถียง ผมไม่ชอบให้มันโมโหยิ่งเกี่ยวกับหน้าที่การงานแล้วการทำให้มันพอใจนับเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ดังนั้นวิธีการแก้คือขยับเท้าเข้าไปใกล้ จับสาบเสื้อเชิ้ตที่กลัดกระดุมเรียบร้อยของมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนค่อย ๆ ปลดออกช้า ๆ
“ใจเย็น ๆ สิ อย่าเพิ่งโกรธ...กูเป็นของมึง มึงก็รู้ กูอยู่ทางนี้กูรู้แล้วว่าเขาอันตราย จะระวังตัวเองให้มาก อีกอย่าง...มึงก็ชนะเขาขาดทุกเรื่องอยู่แล้ว จะหึงทำไม” ผิดกับผมที่เมื่อเทียบกับนภทีป์แล้วฝ่ายนั้นต่างหากที่ชนะผมขาดลอย ส่วนตัวลึก ๆ ผมก็กังวลว่าถ้าห่างกัน ในช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ เฟยจะยังมีนิสัยชอบหาเศษหาเลยกับคนนั้นคนนี้อยู่หรือเปล่า ยิ่งอีกฝ่ายเป็นตัวเลือกที่หน้าตาน่ารัก คารมอ่อนหวานเสียขนาดนั้น แม้จะเข้าใจว่าเฟยเป็นฝ่ายรับ แต่ก็เห็นมานักต่อนักแล้วที่ยอมให้มนุษย์จิ้งจอกเก้าหางอย่างมิ่งฟ้าเป็นผู้นำ ผมไม่รู้ว่าอยู่ตรงจุดนั้นเฟยมันใช้คำพูดยังไง หรือเล้าโลมอีกฝ่ายจนเคลิบเคลิ้มได้ขนาดไหน ที่ผ่านมาใคร ๆ ถึงได้ปราชัยมันเสียสิ้น
ลมหายใจหนัก ๆ ผ่อนออกมาอย่างหมดคำพูด ไอ้เฟยเบือนหน้าหนีใช้ปลายนิ้วเรียวเสยเส้นผมที่ตกลงมาไปด้านหลัง พร้อมกับเกี่ยวดึงหนังยางหลุดติดมือมาด้วย ผมเส้นยาวสยายไปกับแผ่นหลังกว้าง ขณะที่ผมขยับตัวไปจุมพิตบนไหปลาร้าเหนือสักรอยนกอินทรีกำลังโผปีกทั้งสองข้างโบยบินอยู่บนผิวขาว เพียงเท่านั้น มือเรียวที่คล้องหนังยางไว้บนข้อมือก็ยกขึ้นจับคางผมให้เงยเชิด ริมฝีปากสีพีชประกบจูบลงมารุนแรง บดเบียดและดูดดึงด้วยอารมณ์ที่ยังปะทุในใจ ปลายลิ้นอุ่นชื้นฉกเข้ามา ณ ขณะนั้นผมทำได้เพียงหลับตาและอ้าปากให้มันควานหาวิญญาณจากโพรงปากได้ตามใจชอบ
มือที่เกาะขอบเสื้อผมเลื้อยผ่านผิวผ้าไปสัมผัสกายร้อน กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งตัวขึ้นเป็นลอนราวกับท้าทายให้ผมกดลากนิ้วลงไปมากกว่านี้ อารมณ์ดิบถูกขุดขึ้นมาโดยง่าย ร่างกายร้อนเร่าจากการปลุกเร้าที่คุ้นเคยหากแต่วันนี้มันกลับรุนแรงมากกว่าครั้งไหนอย่างเห็นได้ชัด
บางครั้งผมก็เป็นดั่งม้าไม่เจนสนาม แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าท้าทายของลูกค้าวันนี้แล้วก็ฮึดสู้ เลื้อยมือไล้และเกี่ยวกระหวัดลิ้นด้วยความรุนแรงไม่ต่างกัน กระทั่งเกิดเสียงคำรามด้วยความพอใจจากชายหนุ่มตรงหน้า ผมก็แทบกลั้นเสียงสะอื้นเพราะอารมณ์ที่พุ่งพล่านขึ้นมาไม่ไหว
เสื้อผ้าที่สวมมากระจัดกระจาย ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของผมกับมัน
มิ่งฟ้าผละจูบออก แต่กลายเป็นผมที่ไล่งับริมฝีปากนั่นไว้ไม่ให้ถอยหนี รอยยิ้มจาง ๆ จึงปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากคนเจ้าเล่ห์อย่างง่ายดาย
“รีบเหรอ” ไอ้เฟยเอ่ยกระเซ้าก่อนโน้มตัวลงมาจูบที่ข้างแก้ม จังหวะที่ยังไม่ทันได้เตรียมตัวนั้นทั้งร่างก็ถูกเหวี่ยงลงบนเตียง ตามทาบทับด้วยร่างกายที่ใหญ่โตกว่าของอีกฝ่าย รางกายบดเบียดจนแทบจมไปกับเตียงนิ่ม ปลายนิ้วเรียวไล่สัมผัสทุกสัดส่วนราวกับเถาวัลย์พันหลัก ข้าทั้งสองข้างถูกบังคับให้ชันขึ้น ก่อนร่างกายจะถูกรุกรานเข้ามาจากทางด้านหลังโดยใช้เพียงแค่น้ำลายเป็นสิ่งหล่อหลอม
นิ้วชื้นขยับดันเข้ามาทีละนิด ทั้งร่างผมเกร็งสั่นจนแทบชันไว้ไม่ไหว ริมฝีปากอุ่นก้มลงแตะที่ยอดอก บดขยี้และเกี่ยวกระหวัดให้เส้นประสาทจากเม็ดทับทิมแล่นพล่านไปทั่วร่าง เสียงกรีดร้องดังลั่น ดันแผ่นอกขึ้นลอยเด่นขณะที่ข้อนิ้วภายในร่างงอตัว จากมุมนี้เห็นเพียงกลุ่มผมสีดำที่ปรกลงมาเป็นม่านห่อหุ้มร่างกายผมไว้ พายุแห่งแรงปรารถนาก่อตัวขึ้นช้า ๆ บิดเกลียวอยู่ตรงท้องน้อยเมื่ออีกฝ่ายนวดคลึงอย่างช่ำชอง
พักเดียวก่อนทั้งร่างจะแตกสลาย ปลายนิ้วที่ทรมานกันก็ยอมถอนออกง่ายดายหากแต่เติมเต็มเข้ามาด้วยสิ่งอื่น กล้ามเนื้อที่ตื่นตัวเต็มที่ทำให้ผมแทบดาวดิ้นสิ้นใจ กางเล็บทั้งสองข้างจิกกับแผ่นหลังกว้างไว้ราวกับจะช่วยลดความวาบหวามที่พุ่งทะยานขึ้นมาได้ อุณหภูมิที่ร้อนฉ่า เส้นประสาทที่ตื่นตัวทำเอาเฟยต้องยืดตัวขึ้นมาปิดปากทั้งผมและมันด้วยริมฝีปาก รสจูบเร่าร้อนถูกป้อนซึ่งกันและกันจนแทบสำลัก สะโพกสอบโหมกระหน่ำเข้าซัดราวกับสัตว์ป่าที่หิวกระหาย
ผมสะอื้นเสียงสั่น ขณะที่อีกฝ่ายคำรามรอดไรฟัน เสียงของเนื้อยามตีกระทบกันบ่งบอกว่าเราต่างรุนแรงกับบทรักครั้งนี้ขนาดไหน แม้จะเป็นเตียงคุณภาพดีแต่สปริงก็ยังดังเอียดอาดทุกจังหวะการโยก มือไม้เกี่ยวกระหวัดซึ่งกันและกันเหนียวแน่น แผ่นอกของผมและมันกระเพื่อมจนชิดกัน
หยาดเหงื่อไหลซึมจากไรผมจนเป็นเม็ดโต ความรู้สึกแปลบปลาบแล่นปราด เสียวซ่านปะปนกับแสบและจุกมาถึงภายใน ทั้งทรมานราวกับจะขาดใจ แต่กลับสุขสมไม่ต่างกัน ร่างกายฝังเข้ามาลึก และลึกกว่าทุกครั้งราวกับอีกฝ่ายพยายามสลักความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่ตัวผมเองก็โอบกอดอีกฝ่ายไว้ราวกับจะปลอบประโลมและยึดเหนี่ยวไม่ให้ปล่อยมือ
หากต้องการเซ็กซ์ที่ร้อนเร่า ผมก็มีให้
หรือปรารถนารสรักที่อ่อนโยน ผมก็เต็มใจน้ำตาใสรื้นขึ้นมาเมื่อใกล้ถึงขีดสุด ลมหายใจหนัก ๆ ดังสะท้อนก้องห้องสี่เหลี่ยม ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองบนอกที่สั่นไหว ไม่ก็อาจเป็นเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่โหมกระหน่ำชัดเจนจนเกินไป
แสงสีนวลของไฟโรงแรมสว่างจ้าแต่ไม่แสบตา ผมเห็นมันหรี่ตาก่อนร่างกายภายในจะขยายตัวขึ้นเมื่อใกล้ถึงฝั่ง ผมขยับขาแยกออกห่างให้สะโพกสอบสลักร่างลงลึกยิ่งขึ้น ไม่นานนัก แรงเสียดสีก็บีบเค้นให้พายุที่ก่อตัวร่วงมาเป็นเม็ดฝนไม่ขาดสาย มือทั้งสองข้างผมจับประคองแก้มมัน มิ่งฟ้าจูบปิดปากผมและตัวเองหนัก ๆ ขณะที่หยัดตัวเข้ามาสุด
เช่นกัน ในรสสุขสมนั้นผมก็ปลดปล่อยออกมาแม้ไม่ได้รับการสัมผัสจากอีกฝ่ายโดยตรงแม้แต่น้อย อุณหภูมิจากอารมณ์กรุ่นเมื่อครู่คลายลง จูบที่บดเบียดจนริมฝีปากเจ่อพองค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน มือใหญ่ลูบที่ติ่งหูผมผะแผ่ว สบตามองกันก่อนปาดน้ำตาที่รินผ่านหางตาออกให้ช้า ๆ
“เจ็บหรือเปล่า”
ผมส่ายหน้า ไม่ใช่เจ็บทั้งหมด หากแต่สิ่งที่มากกว่านั้นกลบเกลื่อนราวกับร่องรอยของความโหดร้ายไม่เคยมี มันจูบที่หน้าผากผมครั้งแล้วครั้งเล่า และพร่ำขอโทษเป็นเสียงกระซิบ
“ไม่ทำแล้ว...ขอโทษ...”
“ไม่...” ผมแย้ง หลุบสายตาลงต่ำ หลังมือขาวลูบแก้มผมไปมา ขณะที่คิ้วโก่งเลิกขึ้นตั้งคำถาม “ไม่เป็นไร”
“ไม่เจ็บแน่เหรอ...”
“ไม่เลย”
“โกหก”
ผมหัวเราะ ยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดมุมปากลงนิด ๆ ส่ายหัวแล้วเอาแก้มไถกับหมอน ไอ้เฟยคงอดใจไม่ไหว ก้มลงมาหอมหนัก ๆ แม้ผิวหน้าผมยังคงชื้นเหงื่ออีกที “เขินอะไร”
“เปล่า”
“โกหกอีกแล้ว”
“เออน่า” ผมตอบปัด ๆ ทิ้งอมยิ้มไว้ที่มุมปากก่อนเบือนหน้ากลับมาให้ตรงกับคนรักในที่สุด สองแขนยกขึ้นโอบระหว่างเส้นผมกับลำคอ ไอ้เฟยหัวเราะร่วน กล้ามเนื้อที่อ่อนตัวลงในร่างผมค่อย ๆ เกร็งตัวแข็งขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มของมันก่อให้เกิดลักยิ้มเล็ก ๆ ที่น่ามอง ใช้เพียงปลายนิ้วยื่นไปหมายจะแตะ อีกฝ่ายก็งับปลายและดูดกลืนนิ้วผมเข้าไปอย่างเนิบนาบและเชื่องช้า
“ทะลึ่งว่ะเฟย”
“หมายถึงกูหรือมึง”
ผมหัวเราะ ซ่อนแก้มร้อน ๆ ไว้กับหมอนนุ่ม ชายตากลับมามองมันอีกครั้งแล้ว ดึงนิ้วชี้ออก เปลี่ยนเป็นส่งนิ้วกลางเข้าริมฝีปากสวย ก่อนจะอาศัยจังหวะเผลอดันอีกฝ่ายให้นอนราบไปที่เบาะ ไอ้เฟยประสานมือทั้งสองข้างไว้ท้ายทอย ทำตาท้าทายราวกับไม่เชื่อว่าผมยังมีแรงสานต่อ
“ไหวเหรอ” มันถาม ขณะที่ร่างกายที่ยังเชื่อมต่อกันขยายตัวขึ้นจนรู้สึกได้
“ดูถูก”
คู่สนทนายักยิ้ม เอื้อมมือมาแตะหน้าท้องผมที่นั่งทับอยู่ก่อนไล้มือขึ้นมาบนยอดอกเบา ๆ สายตาเจ้าเล่ห์จ้องมองมาเป็นประกายวาววับ เสียงทุ้มเอ่ยท้าทายก่อนดันสะโพกตัวเองสวนขึ้นมาจนผมต้องงอตัวด้วยความจุก มองค้อนอีกฝ่ายที่ยังขยับสะโพกเนิบนาบอยู่เบื้องล่างด้วยความชะล่าใจ
“ถ้างั้นก็พิสูจน์สิว่ากูไม่ได้ดูถูกมึงจริง ๆ”
ผมยิ้ม โน้มตัวลงจูบมันอีกครั้ง ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน ช่วงเวลาที่ห่างหายกันไป ผมจะทำให้มันประทับใจกับรสรักครั้งนี้จนไม่อาจลืมลงแม้สักวินาที
อย่าดูถูกกูมิ่งฟ้า...
เพื่อมึงแล้ว กูจะทำให้มึงไม่อยากเสพเซ็กส์กับใครอีกเลย..
TBC
ไม่รู้จะพูดอะไร เอาเป็นว่าเผื่อมีคนอยากเห็นวินหึงค่ะ 5555555555555