12 Trustเมโลดี้โทรศัพท์ที่คุ้นเคยดังขึ้นปลุกผมให้หลุดจากห้วงนิทรา แสงแดดสว่างจ้าแยงผ่านผ้าม่านที่รูดปิดไม่สนิทเมื่อผมปรือตาขึ้นเปิด ที่นอนข้างกายว่างเปล่าและเย็นเยียบ เมื่อเหลือบไปมองเข็มนาฬิกาที่ปลายเท้าก็พบว่าเป็นเวลาสิบโมงกว่า
เครื่องมือสื่อสารกรีดร้องราวกับโลกจะแตกสลาย ผมลุกขึ้นนั่ง บิดร่างกายที่เมื่อยขบจนกระดูกลั่นกรอบก่อนลุกมารับสายโทรศัพท์ที่วางทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไว้ใกล้โซฟารับแขกในที่สุด นายช่างคเชนทร์โทรมา คงสงสัยที่ป่านนี้ผมยังไม่โผล่ไปที่ไซต์เสียที
“ครับ”
“เสียงไม่ค่อยดีเลยวิน ไม่สบายหรือเปล่า”
“ครับ” ผมตอบ หันมาไอโขลกนอกสายก่อนกลับไปพูดต่อ “ขอเวลาแป๊บพี่ ผมเพิ่งลุก”
“ไม่สบายก็พักเถอะ เมื่อวานเดินทางมาเหนื่อย ๆ เดี๋ยววันนี้พี่ให้โฟร์แมนลุยงานส่วนที่ไม่ค่อยสำคัญไปก่อนแล้วกัน วินจะได้ไม่ห่วงงาน”
“เดี๋ยวบ่ายผม...”
“นอนพักไปเถอะ เอาให้หายดีค่อยมาก็ได้ ตากแดดตากลมเดี๋ยวก็เป็นหนัก”
ผมรับคำในลำคอ ส่วนหนึ่งที่เป็นไข้อาจเพราะเมื่อคืนนอนเปลือยเปล่าจนรุ่งสาง อีกทั้งออกแรงหนักเกินกำลัง นานแค่ไหนแล้วไม่รู้ที่ผมกับเฟยไม่ได้สร้างบทรักข้ามคืนจนผมเผลอหลับคาอกมันไปในที่สุด
“แล้ว
มัน...กลับไปแล้วใช่ไหม”
พี่เชนทร์ถามถึงคนในห้วงความคิด ผมรับคำอีกครั้งโดยไม่พูดออกมา อาการคันคอเริ่มเป็นหนักขึ้นเมื่อพยายามเอ่ยปาก “นอนไปก่อน เดี๋ยวตอนเย็นเสร็จงานแล้วพี่ซื้อของไปเยี่ยม”
“พี่เชนทร์...”
“ให้พี่ทำเถอะวิน แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าให้พี่เป็นห่วงเราเลย”
ผมไม่เถียงก่อนอีกฝ่ายจะตัดสายเป็นการจบบทสนทนาแบบมัดมือชก เดินมาเก็บเสื้อผ้าที่ถูกเหวี่ยงไว้ระเกะระกะเข้าตะกร้าก่อนยอมเข้าไปอาบน้ำอุ่นและพักผ่อนอีกครั้งในที่สุด เฟยคงออกไปตั้งแต่เช้า พอผ่านพ้นคืนอันแสนวิเศษมาด้วยกันเพื่อพบว่าตื่นมาอยู่คนเดียวก็อดเหงาในใจไม่ได้ ผมยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก สวมเสื้อนอนกับกางเกงที่ใช้ร่วมกับคนรักไว้แล้วหลับตาลง ดึงคอเสื้อขึ้นหอมฟอดใหญ่โดยหวังว่าจะรู้สึกเหมือนกับมันยังโอบกอดอยู่ตรงนี้อีกครั้ง
“จะถึงหรือยังนะ” ถามกับตัวเองได้ไม่นานก็หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมากด ไอ้เฟยปิดเครื่อง คงอยู่บนเครื่องบินกำลังเดินทาง เหลือบมองไปหน้ากระจกเห็นบิลเงินสดจากร้านสะดวกซื้อถูกพับเป็นนกวางทิ้งไว้เลยลุกขึ้นมาหยิบดู มีรอยปากกาเขียนหวัด ๆ ด้วยลายมือของคุณมิ่งฟ้าให้ต้องคลี่ออกอ่าน
ตอนเช้ารีบออก เดี๋ยวไม่ทันเครื่อง เหมือนมึงจะมีไข้ ซื้อยามาให้แล้ววางอยู่หลังตู้เย็น วันนี้อย่าเพิ่งไปทำงาน เดี๋ยวถึงพม่าแล้วจะโทรมาหาอีกทีมุมปากกดลงเป็นองศาที่ยากจะหักห้าม บรรจงพับนกกระดาษกลับเข้ารูปเดิมก่อนลุกไปยังเป้าหมาย มีกล้วยหอมกับของกินเล่นอีกไม่กี่อย่างในตู้เย็นสมกับที่เป็นโรงแรมห้าดาว ผมรองท้องด้วยผลไม้ กินยาและน้ำอุ่นที่เอาออกมาตั้งนอกตู้เย็นเล็กด้วยฝีมือของคนที่ไม่อยู่แล้วก่อนลมตัวลงนอนบนที่นอนอีกครั้ง พลิกตัวไปมา นึกถึงแต่หน้ามันจนนอนไม่หลับ
สุดท้ายก็ยอมแพ้ หยัดตัวขึ้นใหม่มาหยิบสมุดสเกตซ์กับดินสอ ภาพภายในส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับงาน มีวาดเล่นบ้างตอนเบื่อ ๆ หรือไม่ก็คิดอะไรไม่ออก ผมเอียงดินสอเป็นองศาที่ถนัด วาดโครงหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของมันเป็นอย่างแรก รอยยิ้มเวลาที่มันมองผม ดวงตาคู่นั้นจะหวานกว่าเวลาที่จับจ้องใคร ลักยิ้มเล็ก ๆ ที่บุ๋มลงไปข้างแก้มขาว สันจมูกได้รูปสวยรับกับใบหน้าและโครงคิ้วราวกับเป็นตุ๊กตา สมัยเรียนมีคนทักมันผิดว่าเป็นทอมอยู่บ่อย ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไว้หนวดเคราเขียว ถึงจะไม่เด่นชัดแต่ก็อยู่ในระยะที่เมื่อเดินเข้ามาใกล้จะเห็นพอเป็นเงาครึ้ม ๆ ปัญหาเหล่านั้นเลยถูกตัดไป บ่นหลายครั้งให้มันโกนให้สะอาดเพราะเมื่อซุกไซ้ซอกคอทีไรผิวผมจะเป็นรอยแดงเป็นปื้น จักจี๋ดี แต่บางครั้งก็ขูดครากจนเวลาอาบน้ำแล้วจะรู้สึกแสบนิด ๆ เหมือนกัน
เฮ้อ...คิดถึงมันว่ะความรู้สึกนั้นเด่นชัดจนกรองออกมาเป็นรูปร่าง นานแล้วที่ไม่ได้จับสีน้ำ ถ้าลองรื้อความรู้เก่ามาใหม่คงยากหน่อย ไม่รู้มือแข็งไปแค่ไหนแล้วแต่ก็อยากลองดู คนที่งดงามราวภาพจากพระเจ้าคนนั้น ผมรู้ดีว่าต่อให้คนเก่งแค่ไหนมาบรรจงเขียนก็เทียบเท่าไม่ได้กับตัวจริงเลยแม้แต่น้อย แย่ตรงที่ไม่มีอุปกรณ์เลย ถ้ามีโอกาสก็อยากเขาไปหาซื้อในเมืองเหมือนกัน
ผมละเลงปลายดินสอจนเป็นรูปร่าง สักพักก็หยิบสมุดสเกชต์มานอนกอดบนเตียง นึกถึงหน้ามัน เสียงมัน แล้วค่อย ๆ ผล็อยหลับทั้งที่ยังคงกอดภาพร่างของคนรักเอาไว้อีกหน
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากผมเผลอหลับเพราะฤทธิ์ยาและความอ่อนล้า อาการเมื่อยขบดีขึ้นมาก ไม่เจ็บคอและเหมือนว่าอุณหภูมิของลมหายใจจะกลับมาเป็นปกติ หยัดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน ควานหาแหล่งที่มาของเสียงจากใต้หมอนก่อนพบว่ามันไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นพรม พี่เชนทร์โทรมา คงจะรออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม เพราะจากการคะเนแล้วเลยเวลาเลิกงานมาพักใหญ่ ๆ
“ครับ”
“พี่อยู่ข้างล่าง วินพักอยู่ห้องไหน”
“เดี๋ยวผมลงไปหา”
“ให้พี่ขึ้นไปดีกว่า จะลงมาทำไม” ผมเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง ไม่สบายใจที่จะให้พี่เชนทร์รู้ห้องพัก ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจแต่ผมเกลียดความบังเอิญ ถ้าไอ้เฟยรู้ได้สั่งให้กลับกรุงเทพทันทีแน่
“ผมลงไปข้างล่างดีกว่าครับ พี่เชนทร์มีธุระต่อที่ไหนหรือเปล่า พอดีอยากไปร้านเครื่องเขียนในเมือง”
“อ้อ ไม่มีหรอก ตั้งใจจะมาอยู่เป็นเพื่อนเรานี่แหละ งั้นพี่รออยู่ข้างล่างนะครับ”
ผมรับคำในลำคอ พอวางสายเพิ่งเห็นว่าไอ้เฟยโทรมาก่อนหน้านี้สามรอบ ผมกดโทรกลับทันที ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วย
“ทำไมไม่รับสาย หลับเหรอ”
“อืม” ผมตอบก่อนตั้งคำถามกลับ “ไปถึงตั้งแต่กี่โมง”
“เกือบ ๆ เที่ยง แต่ไปเจอคนนั้นคนนี้ก่อน เพิ่งได้เข้าโรงแรม แล้วที่ป่วยเป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้ว กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้ว ไม่อร่อย อยากกินฝีมือมึงมากกว่า” ปลายสายพูดกลั้วหัวเราะ เหมือนจะพูดเล่นแต่ผมรู้ว่ามันพูดจริง ตั้งแต่กลับมาเจอกันอีกครั้งก็ไม่มีวันไหนเลยที่จะต้องห่างกันแบบนี้
“คนที่นั่นเป็นไงบ้าง”
“ก็ดี”
“มีสเป๊คมึงบ้างไหม”
“มีแต่แก่ ๆ” ผมยิ้ม เปลี่ยนชุดไปด้วย สักพักก็นั่งลงบนปลายเตียง ปล่อยให้พี่เชนทร์รอไปก่อน “แล้วคุณทีป์โทรหาบ้างหรือเปล่า”
“โทรมาเมื่อเช้า แต่กำลังรีบ ๆ เลยไม่ได้รับ ทำไม งานมีปัญหาเหรอ”
“กลัวว่าจะไม่ใช่งานน่ะสิ” แค่พูดลอย ๆ อีกฝ่ายก็หัวเราะร่วน “หึงหรือไง”
“เปล่า” ผมปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายกลับยังปักใจอย่างนั้น มันยังหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีจนผมต้องยอมรับออกมา เลือดฝาดแล่นริ้วขึ้นผิวหน้า นี่ขนาดไม่ได้อยู่กับมันแต่กลับนึกภาพออกว่าถ้าอยู่ใกล้ ๆ อีกฝ่ายจะมองผมด้วยสายตาแบบไหน
“เออ หึง ไม่ชอบ พอใจหรือยัง”
“แค่ลูกค้าน่า”
“ลูกค้าที่ชอบมึง”
“แล้วกูสนเหรอ”
“มึงไม่ปฏิเสธ” ผมพูดความจริง เฟยไม่ค่อยแสดงทีท่าว่าสนอกสนใจใคร แต่บรรดากิ๊กมันทั้งหลายก็เป็นพวกที่เสนอแล้วมันสนองให้ทั้งนั้น ผมเคยทะเลาะกับมันแรง ๆ ครั้งหนึ่งจนเกือบเลิกกันเสียให้ได้ ผมตวาด มันขึ้นเสียงกลับ สีหน้าแสดงความไม่พอใจฉายออกมาชัดเจน
“มึงอย่ามางี่เง่าว่ะตี๋ พวกนั้นก็แค่ผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไป เรื่องแค่นี้มึงเอามาซีเรียสอะไรนักหนา”
“แต่มึงคบกับกูอยู่นะเว้ย จะให้กูรู้สึกยังไงที่แฟนตัวเองไปนอนกับคนนั้นทีคนนี้ที”
ครั้งที่มิ่งฟ้าอายุยี่สิบผมยังยาวระปกคอเสื้อบน มันเสยผมไปด้านหลัง พ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด “มึงจะแคร์ทำไม กูไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว”
“แต่กูเสียใจ”
“กูถึงได้บอกไงว่ามึงงี่เง่า”
“งั้นก็เลิกกับกูสิ กูดีไม่พอให้มึงหยุดนี่ ทิ้งกูไปเลยแล้วมึงอยากจะมีใครก็ไป กูจะไม่ตาม ไม่ห้ามมึงแล้ว”
“พูดเหี้ยอะไร ใครเป็นเจ้าของชีวิตมึงตี๋” เสียงนั้นตะโกนลั่นในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตา เดินหนีอีกฝ่ายก็คว้าข้อศอกไว้ ไม่ต้องรอให้พูดอะไรต่อ ผมยกหมัดขึ้นซัดข้างแก้มมันให้สาสมกับความโมโหที่ปะทุในใจ ไอ้เฟยหลบบ้าง เอามือรับหมัดผมบ้าง สักพักก็อาศัยขนาดตัวที่สูงกว่ารวบเอวให้ผมลอยหวือขึ้นเตะต่อยในอากาสแล้วทุ่มหนัก ๆ ลงบนเตียง มันขึงพืดแขนทั้งสองข้างของผมให้กางออก ขณะที่ใช้เข่ากดน่องไม่ให้ขยับไปไหน แววตาคมดุดัน ฉายความรู้สึกโกรธขึงออกมา ความเงียบของมันทะเลาะกับเสียงโวยวายของผม น้ำตาที่ไหลจากกระบอกตาครั้งแล้วครั้งเล่าพยายามซ่อนมันไว้กับปลอกหมอนแต่ท้ายที่สุดก็ได้แต่นอนร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ดี
“เลิกร้องได้แล้ว กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนพวกนั้น เขาเข้ามาเอง กูไม่ได้คิดอะไรเลย”
“มักง่าย”
“ไอ้ตี๋ กูพยายามพูดกับมึงดี ๆ แล้วนะ” ฟันขาวขบกันจนเห็นสันกรามนูนขึ้นมา ไอ้เฟยเพิ่มแรงกดที่ข้อมือขณะที่ผมดิ้นพล่านไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติอีกฝ่าย “กูไม่ต้องการคำพูด ปล่อยกู กูเกลียดมึง! แน่จริงเลิกกับกูก่อนสิวะ!”
“กูเอากับใครก็คิดถึงว่าเป็นมึงตลอดนะตี่ตี๋...กูไม่อยากทำให้มึงเจ็บ มึงทนกูไม่ไหวหรอก ป่วยง่ายขนาดนี้...หยุดร้องไห้ได้แล้ว"
"ไม่เอา" ผมหลุดสะอื้น ส่ายหน้ากับหมอน แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลง "กูไม่ชอบ แค่กู..แค่กับกูได้ไหมเฟย กูขอร้อง"
ผมเหลือบตามองมันกล้าๆกลัวๆ มิ่งฟ้าถอนหายใจหนัก ใบหน้าสวยโน้มลงมาต่ำ ผมหลับตานิ่งกระทั่งริมฝีปากหยุ่นจรดลงเหนือหัวคิ้ว ผมยิ่งสะอื้นหนักเมื่อสัมผัสที่อบอุ่นทาบทับ ไม่รู้ว่ารักมันตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็ขาดมันไม่ได้ หวงมันแทบขาดใจ ปลายจมูกโด่งเป็นแนวยาวเลื่อนลงมาข้างแก้ม กดเบาๆก่อนใช้ริมฝีปากนาบตามมา
"ขอโทษ...แต่หยุดร้องไห้เถอะ กูไม่มีคนอื่นแล้ว พอแล้ว ไม่เอา เลิกร้อง"
ผมยังคงตัวสั่นในอ้อมแขนมัน สักพักก็โอบกอดราวกับกลัวว่ามันจะหลุดลอยไป
"กูรักมึงนะ"เผลอพูดออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า หลังจากครั้งนั้นก็ไม่ค่อยมีเรื่องที่มันไปหยอดคนนั้นคนนี้ให้เห็นบ่อยนัก น้อยลงจนรู้สึกได้ แต่ก็ยังมีประปรายตามสัญชาตญาณ คล้ายกับเสือที่ยังไม่วายไล่คำรามใส่หยื่อแม้จะอิ่มจนพุงกาง หากเพียงแค่ไม่ได้อยากจะขู่ฆ่าเพื่อกินก็เท่านั้น
"กังวลเรื่องนภทีป์ขนาดนั้นเลยเหรอ" เสียงทุ้มจากปลายสายถามอย่างคนรู้ทัน เมื่อผมยอมรับอีกครั้งในลำคอ เฟยก็เงียบเสียงไปพักใหญ่ ขาสองข้างเตะไปมาในอากาศทำให้เสียงสปริงลั่น กอรปกับปลายสายเอ่ยถึงเรื่องอย่างว่าขึ้นมาทำให้เผลอคิดถึงคืนวันที่ผ่านมาจนหน้าร้อนผ่าว
“คิดว่ากูจะไปหาใครถูกใจได้เท่ามึงอีกเหรอ หืม?”
“แค่ถูกใจเองเหรอ” ผมถามกลัวหัวเราะ ปลายสายเองก็เช่นกัน มันกระซิบเสียงแผ่วแต่กลับทำผมสั่นไปทั้งใจ “หรือควรเรียกว่าถึงใจ”
“พอเลย...กูจะไปกินข้าวข้างนอกแล้ว มึงเดินทางเหนื่อย ๆ ก็รีบอาบน้ำนอนล่ะ”
“ทำไมไม่สั่งขึ้นมากินข้างบน แล้วจะไปยังไง รถก็ไม่มี”
จบคำถามก็กลายเป็นผมที่เงียบเสียงไปก่อนจะโกหกมันเพื่อความสบายใจ “แถวนี้แหละ จะเดินเล่นริมหาดด้วย”
มิ่งฟ้าครางรับคำในลำคอรับรู้แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นสัพเพเหระก่อนตัดสาย อยู่ทางนั้นไม่อยากให้มันกังวลมาก ผมจะดูแลตัวเองให้ดีให้สมกับที่มันไว้ใจแน่นอน
ร้านอาหารในเมืองที่พี่เชนทร์พามาเป็นร้านที่มีสาขาอยู่ทั่วไปในกรุงเทพ ผมเลือกทานอะไรง่าย ๆ หลังจากได้สีน้ำและพู่กันที่จะใช้มาครบ นายช่างไม่ได้เซ้าซี้อะไร แค่พาผมมาเลือกซื้อแล้วก็ถือของให้ ถึงแม้จะดึงดันเก็บไว้เองผมก็ไม่อาจสู้แรงเจ้าของมือใหญ่ได้อยู่ดี
“วินชอบกินปลาหมึกเหรอ ไม่เห็นเคยรู้มาก่อน”
พี่เชนทร์พูดขึ้นขณะที่ตัดเมนูหมึกผัดไข่เค็มมาให้ ตอนแรกทั้งโต๊ะจะถูกเสิร์ฟด้วยปลาหมึกล้วน ๆ จนผมต้องปรามยกใหญ่ พี่เชนทร์ช่างเอาใจแต่ไหนแต่ไร แค่ครั้งนี้ผิดที่ผิดทางไปหน่อย โดนไอ้เฟยหลอกล้วน ๆ
“ก็...ครับ แต่เมื่อวานก็ทานแล้ว”
“ขี้เบื่อเหรอเรา”
ผมหัวเราะแห้ง หลบสายตาหวานที่มองมา พยายามเก็บมือไว้ห่างจากอีกฝ่ายให้มากที่สุด “แบบนี้พี่พอจะมีหวังไหม ถ้าเราเบื่อหมอนั่น”
“พี่เชนทร์ อย่าพูดเรื่องนี้ดีกว่าครับ”
นายช่างครางรับในลำคอ หลุบตาลงวูบหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มอ่อนโยน “นั่นสิ อยู่ตรงนี้พูดถึงแค่เรื่องของเราดีกว่าเนอะ วินทานนี่ อร่อยนะ อร่อยกว่าสาขาที่กรุงเทพอีก”
ผมพยักหน้า มองกับข้าวจากช้อนกลางที่อีกฝ่ายบรรจงตักวางให้บนข้าวสวยร้อน ๆ แล้วขอบคุณ พี่เชนทร์ท้าวแขนมองผมเต็มตาด้วยแววตาที่ชอบใช้ หวานฉ่ำชวนให้รู้สึกวูบไหว หากแต่ไม่เคยได้ผล
“พี่รักวินนะครับ” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นคล้ายกระซิบ ผมทำทีเป็นไม่ได้ยิน ก้มหน้าทานอาหารต่อไปโดยปราศจากคำพูดใด ๆ ราวกับว่าเป็นเพียงเสียงของสายลมพัดผ่าน จากนั้นไม่นานปลาหมึกชิ้นใหม่ก็วางเหนือข้าวสวยร้อน ๆ อีกครั้ง
"ทานเยอะ ๆ นะวิน จะได้หายป่วยไว ๆ"
"ขอบคุณครับ"
"อยากได้อย่างอื่นแทนคำขอบคุณจังครับ"
ผมเหลือบตามองนายช่างอีกครั้งก่อนหลบตาลงเมื่อเจอประกายวาววับจากอีกฝ่าย พี่เชนทร์ฉีกยิ้ม ใช้มือข้างหนึ่งหยิบทิชชู่เอื้อมมาเช็ดอาหารที่เลอะมุมปากให้ ผมเบี่ยงตัวหนีก่อนรับทิชชู่นั้นไว้แล้วจัดการกับคราบบนริมฝีปากตัวเอง
"ดูระแวงพี่จังนะ"
"ทำแบบนี้ไม่ดีครับ ผมมีแฟนแล้ว"
"ไม่ต้องย้ำบ่อย ๆ ก็ได้" อีกฝ่ายกล่าวพลางก้มหน้าจัดการอาหารในจานตัวเอง แววตาคู่นั้นหม่นแสงลงเล็กน้อย "แค่นี้พี่ก็เจ็บจะแย่แล้ววิน"
เสียงช้อนส้อมกระทบกัน ผมไม่รู้ว่าควรจะปลอบอีกฝ่ายหรือไม่ และควรต่อบทสนทนาไปในทิศทางไหน ถ้าในฐานะของเพื่อนร่วมงานผมยังอยากคุยกับพี่เชนทร์ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เช่นกันกับที่อยากให้พี่เชนทร์มองผมเป็นเพียงรุ่นน้องที่ทำงานร่วมกันคนหนึ่งเท่านั้นพอ
“มันรุ่มร่ามกับมึงหรือเปล่า” เสียงที่กรอกผ่านลำโพงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่ผมกำลังลงสีน้ำด้วยมือข้างที่ถนัด แม้จะใช้เวลาแค่ในช่วงหลังเลิกงานเท่านั้นเพื่อแต่งแต้มมันขึ้นมาแต่ภาพที่วาดไว้ใกล้เสร็จเต็มที
เฟยครางอย่างขัดใจเมื่อผมยังไม่ตอบ มัวแต่สนใจกับภาพเขียนที่ใกล้เรียบร้อยเต็มแก่จนคุยกับมันแบบถามคำตอบคำตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“อืม...ก็ไม่นะ ต่างคนต่างทำงาน” ผมตอบตามจริง เวลางานพี่เชนทร์หยอดบ้างตามนิสัยแต่หลังเลิกงานก็ไม่เคยรบเร้า บางวันนั่งทานข้าวด้วยกันจะได้คุยงานต่อแต่พอมาส่งผมที่โรงแรมก็ไม่เคยเซ้าซี้ที่จะขึ้นห้อง งานดำเนินไปได้ดี มีจุดที่ปรับแก้ตามสภาวะการทำงานนิดหน่อยแต่ก็ไม่มาก
“กลับมาวันไหน”
“คิดถึงอะดิ”
“ถามเฉย ๆ”
“งั้นไม่บอก” ไอ้เฟยกวนตีน ผมหัวเราะในลำคอแล้ววางพูกันเปื้อนสีลงในถาด หยิบผ้าขี้ริ้วผืนเล็กมาเช็ดมือก่อนกระโดดขึ้นเตียงไปคุยกับมันดี ๆ “บอกมา จะได้แจ้งกับโรงแรมเขาว่าจะให้เอารถไปส่งที่กรุงเทพไหม”
“เดี๋ยวกูบอกให้ แล้วมึงจะกลับวันไหน”
“มีคนกวนตีนกูว่ะ” ผมเลิกคิ้ว นอนยิ้มคุยโทรศัพท์เพ้อ ๆ ทุกวันเฟยจะโทรมาเวลาเดิม คุยจนเห็นสมควรแก่เวลาถึงยอมวางสายกันไป “ไม่กลับดีกว่า”
“วันศุกร์เก็บกระเป๋าเลย เดี๋ยวเช้าวันเสาร์จะให้รถโรงแรมมาส่งที่กรุงเทพ”
“มึงกลับวันเสาร์เหรอ” ไปตั้งแต่วันอังคาร ทำไมนานจังวะ พลิกตัวนอนตะแคงข้าง เผลอนึกถึงคืนที่มันนอนอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็ลูบแผ่นเตียงที่ถูกปูผ้าจนตึงเรียบตามมาตรฐานโรงแรม ไม่มีมันอยู่ด้วยหลายวันแล้ว อยากเจอชะมัด “ทำไมไปนานจัง ประชุมยาวเลยเหรอ”
“ก็ดูงานด้วย เที่ยวด้วย ตามโปรแกรมที่เขาจัด ๆ กันนี่แหละ ไหนว่าไม่คิดถึง ทำไมทำเสียงเศร้า”
“ใครจะไปเริงร่าเหมือนคุณมิ่งฟ้าได้ล่ะครับ” ถามย้อนแล้วหงุดหงิด มันจะไม่คิดถึงผมบ้างเลยจริง ๆ เหรอ “แค่นี้แล้วกัน จะนอนแล้ว”
“เฮ้ย รีบเหรอ เพิ่งสามทุ่ม”
“เออ ง่วง พรุ่งนี้ต้องลุยไซต์อีก เหนื่อยมาทั้งวัน”
“โอเค งั้นก็นอนเถอะ ฝันดีแล้วกัน”
ผมครางรับคำในลำคอเบา ๆ ก่อนกระซิบเสียงแผ่ว “คิดถึงว่ะ”
ปลายสายหัวเราะอย่างคนชนะ ผมเองก็ยิ้มตาม ไม่ได้จะมีฟอร์มมากมายอะไรอยู่แล้ว อยู่กันจนรู้ไส้รู้พุง ยิ่งเป็นผมที่ปิดอะไรไม่ค่อยได้แล้วยิ่งแพ้ทางมันตลอด
“อดทนหน่อยแล้วกัน ช่วงนี้ให้รักษาตัว ที่ช้ำ ๆ มันจะได้ใช้งานต่อไหว”
“ทะลึ่ง”
“อย่าบอกว่าไม่อยาก” ไม่พูดหรอกโว้ย ไอ้เวรนี่ เรื่องเลื้อยลงสะดือนี่ถนัดตลอด “กูไม่อยู่ช่วยตัวเองบ้างหรือเปล่า”
“ไม่โว้ย จะนอนแล้ว แค่นี้นะ”
“แต่กูนึกถึงหน้ามึงตลอดเลยนะวิน” เสียงนั้นพูดแทรกมา เกือบจะซึ้งแล้วเชียวถ้าไม่ติดที่ว่าเราคุยกันเรื่องอะไรอยู่ ผมหัวเราะกลับไป ยิ้มจนแก้มปริ “บอกว่าคิดถึงกูก็พอ ไม่ต้องลงรายละเอียดเยอะ ไอ้ห่า ไม่อายฟ้าอายดิน”
“ก็มีแค่กูกับมึงที่คุยกันอยู่จะอายทำไม แต่เอาเถอะ...กูคิดถึงมึง คืนนี้จะฝันดีหรือยัง”
ผมไม่ตอบแต่ก็ยังยิ้ม เราเงียบกันไปพักใหญ่ ๆ ให้ความคิดถึงเดินทางผ่านสายโทรศัพท์ ก่อนจะนัดวางหูพร้อม ๆ กัน ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับตอนที่กลับไปเป็นเด็ก ช่วงปิดเทอมปีหนึ่งหลังจากตกลงคบหากันจริง ๆ จัง ๆ แล้วไอ้เฟยก็มักจะทำแบบนี้บ่อย ๆ
บ้านผมอยู่ต่างจังหวัด ตอนนั้นยังไม่อยากให้แม่รู้ด้วยว่าคบผู้ชายเลยเลี่ยง ๆ ที่จะบอกมันว่าอยู่ที่ไหน แม้ค่าโทรจะแพงแสนแพง ไอ้เฟยเลยต้องยอมโทรหาให้หายคิดถึง โทรศัพท์สมัยนั้นยังถ่ายรูปเป็นไฟล์VGA อยู่เลย จะส่งรูปให้ดูว่าทำอะไรอยู่ก็ต้องอาศัยMMS ไม่ได้สะดวกรวดเร็วเหมือนเดี๋ยวนี้ กระนั้นก็มีแค่มันที่ทำให้ผมเฝ้ารอโทรศัพท์ได้ทุกวัน ๆ คล้ายกับคนบ้า ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ก็ยังมีแค่มันที่เมื่อวางหูไปแล้วก็ยังทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์พักใหญ่ ๆ
เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นตอนกลางดึก เป็นเวลาไล่เลี่ยกันในทุกคืน แทบจะไม่ต้องเสียเวลากดอ่าน นายช่างคเชนทร์ส่งข้อความมาราตรีสวัสดิ์ผม แม้จะไม่เคยได้รับการติดต่อไปเลยสักครั้งแต่พี่เชนทร์ยังทำเหมือน ๆ เดิม โชคดีตรงที่เวลางานเขายังแยกแยะออกที่จะไม่ทำให้ลำบากใจ
ข้อความดังกล่าวถูกลบ ผมปิดมือถือ ลุกไปล้างมือให้สะอาดแล้วแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนกลับมาปิดไฟ ล้มตัวลงนอนบนเบาะหนานุ่มที่เคยมีคนเคียงด้วยความหวังว่าเหลืออีกสองวันเท่านั้นเขาจะอยู่กับผมตรงนี้ คนที่สามารถทำให้อุ่นไปทั้งใจแม้จะนอนมองหน้ากันท่ามกลางความมืดก็ตาม
“แล้วเดี๋ยววินกลับวันไหน”
ผมเงยหน้าขึ้นจากแบบเอสาม มองวิศวกรหนุ่มใต้หมวกเซฟตี้สีเหลืองสดที่ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนซอกคอไปพลาง แสงแดดยามบ่ายแยงตาเข้ามาจนทำให้ผมต้องหยีตาเข้าหากัน
“พรุ่งนี้เช้าครับ ส่วนที่สำคัญ ๆ น่าจะเรียบร้อยแล้ว สัปดาห์หน้าคงจะจัดเวลาขับรถมาดูเป็นระยะ”
“เหรอ” เสียงทุ้มเบาลงนิด ๆ ก่อนจะแบ่งผ้าส่วนที่ยังไม่ชื้นเหงื่อมาเช็ดคราบไคลของผมบ้าง “กลับไปก็ดีเหมือนกัน อยู่นี่ออกไซต์ทุกวันเลย พี่บอกให้รออยู่ในคอนเทนเนอร์ก็ไม่เชื่อ หน้าไหม้หมดแล้ว”
“นิดหน่อยเองพี่ สองสามวันก็ลอกออกหมดแล้ว รับรองหน้าใสเหมือนเดิม”
“แต่จะหน้าแบบไหนก็น่ารักสำหรับพี่เสมอแหละ”
ผมหัวเราะ แต่เบนสายตาหนี เมื่อก่อนอาจจะแหย่กลับบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ยิ่งแสดงชัดเจนว่าไม่เล่นด้วยน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด “พี่แซวเล่น อย่าคิดมาก รู้แล้วแหละว่าเรารักเขา”
ผมพยักหน้าแต่ยังคงเอาแต่มองวัสดุก่อสร้างที่กองเอาไว้กลางแจ้ง นายช่างถอนหายใจก่อนเดินหายไปอีกฝั่ง ผมหาที่นั่งตามร่ม ใช้แบบพัดเหงื่อที่ไหลย้อยให้ระเหยไปในอากาศก่อนอะลูมิเนียมเย็น ๆ จะแนบลงตรงต้นคอให้สะดุ้งโหยง กระป๋องเบียร์จากตู้เย็นเล็กในตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำเป็นไซต์ออฟฟิศชั่วคราวถูกส่งมาให้ นายช่างที่หายไปเมื่อครู่ถืออีกกระป๋องไว้ในมือ
“พี่ไม่อยากให้เราเกลียดพี่”
“ผมไม่ได้เกลียดพี่เชนทร์ครับ”
“แต่ก็ไม่สะดวกใจเหมือนก่อนหน้านี้?” คำถามตรงประเด็นทำเอาผมไม่รู้จะโยกโย้ไปไหน นายช่างพยักหน้ายกเบียร์ขึ้นดื่ม “เป็นไปได้ไหมที่เราจะกลับมาสนิทกันเหมือนเมื่อก่อน”
“เขา...ค่อนข้างขี้หึงน่ะครับ”
“เรื่องนั้นพี่พอจะรู้อยู่ น่าอิจฉาที่วินเชื่อฟังมันไปเสียทุกอย่าง”
“ผมทำผิดกับเขาไว้มากครับ” นั่นคือความจริง แม้จะปิดบัง ซ่อนเร้น ไม่เคยนึกถึงแต่ผมเองก็ยังไม่อาจทำเป็นลืมมันไป คงไม่แคร์ ไม่ใส่ใจเลยสักนิดถ้าผมไม่ได้รักมันมากมายเสียขนาดนี้
“ถึงอย่างนั้นก็น่าอิจฉาอยู่ดี”
พี่เชนทร์พูดพลางยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม แดดยามบ่ายแก่ ๆ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีส้ม ผมนั่งจิบเบียร์เย็น ๆ กับนายช่างก่อนอีกฝ่ายจะยกกระติกน้ำแข็งแช่เบียร์มาอีกหลายกระป๋อง มองพระอาทิตย์ค่อย ๆ หายไปหลังตัวตึกสูงใหญ่ของโรงแรม นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระของเพื่อนร่วมงานกันโดยไม่วนกลับมาถึงเรื่องความสัมพันธ์ของผมและเขาอีก
“พี่เดินไปส่งที่โรงแรมไหม”
เขาถาม ผมเองก็เริ่มเมาแล้วเลยพยักหน้าลง คนงานเก็บของกลับบ้านกันเกือบหมด ระยะทางจากนี้ไปถึงที่พักแม้ไม่ได้ไกลมากแต่เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ก็ดี สำหรับผมแล้ว พี่เชนทร์ก็ไม่ใช่คนร้ายกาจอะไร เป็นพี่ชายที่ดีคนหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ
“ไอ้ทีป์ดูเหมือนจะชอบมิ่งฟ้ามากเลยนะ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นมาขณะที่เดินเตะทราย ผมพยักหน้ารับรู้ “เขาชอบคนง่ายเหรอครับ”
“ก็ชอบไปทั่วแหละ แต่ไม่ค่อยได้จริงจังนักหรอก ก่อนหน้านี้ตามจีบนักข่าวที่ทำข่าวมันกับเพื่อนรุ่นเดียวกันคนหนึ่งแต่เหมือนเขาไม่เล่นด้วยมันเลยเบื่อ ๆ ยิ่งมาเจอมิ่งฟ้าเลยเปลี่ยนเป้าหมายเร็วกันไปใหญ่ ตอนแรกพี่ก็ว่าเขาน่ารักนะ”
“โดนหลอกแล้วล่ะครับ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ อีกฝ่ายเลยหัวเราะไปด้วย แขนยาวยกขึ้นโอบบ่าผม “พี่ต้องเตือนไอ้ทีป์หน่อยแล้วว่าอย่าไปเข้าถ้ำเสือ นอกจากจะไม่ได้ลูกเสือแล้วเดี๋ยวจะโดนเสือขย้ำเสียเปล่า ๆ”
“คุณทีป์จะจีบเฟยจริง ๆ เหรอครับ”
“แฟนเราไม่ได้เล่าเหรอ” พี่เชนทร์เลิกคิ้วแปลกใจ ในขณะที่หัวผมเริ่มตื้อไปหมด “ไอ้ทีป์โทรหาบ่อยจะตาย ไม่ได้ห่วงค่าโรมมิ่งของฝั่งนั้นเลย แต่มันก็เด็กน่ะนะ ชอบอะไรก็เอาแต่ใจไปเสียหมด ไม่รู้ว่าไปมัดมือชกทางนั้นยังไง กลับไทยมาว่าจะไปกินข้าวด้วยกันด้วยนี่”
“งั้นเหรอครับ” เป็นประโยคที่เพียงแค่เติมเต็มบทสนทนาของอีกฝ่าย จากนั้นก็กลายเป็นผมที่เงียบตลอดเส้นทางกระทั่งถึงโรงแรม เบียร์ในมือหมดกระป๋องกันทั้งคู่ โยนลงถังขยะใกล้ ๆ จนมือทั้งสองข้างว่างเปล่า พี่เชนทร์ถือวิสาสะมาจับมือผมไว้ สอดประสานปลายนิ้วเข้ามาจนผมดึงออกไม่ได้
“พี่เชนทร์”
“ขอพี่ขึ้นไปเข้าห้องน้ำหน่อยสิ”
“ข้างล่างก็มีครับ...ปล่อยมือผมเถอะ”
“พี่จับมือวินได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ มีอีกหลายเรื่องเลยที่พี่อยากคุยกับเรา นะวิน...เดี๋ยวกลับไปเราก็กลายเป็นคนไม่รู้จักกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลังเล พี่เชนทร์ก้มหน้าลงเล็กน้อย “วันนี้วันสุดท้ายแล้วนะ หรือที่ผ่านมาพี่ทำอะไรให้วินรู้สึกว่าพี่ไม่น่าไว้ใจ” เสียงทุ้มเอ่ยซ้ำ ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เหลือบตามองเข็มนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มเศษ ๆ ถ้าสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่น่ามีปัญหา
“ถึงแค่สองทุ่มนะครับ ผมขอโทษนะพี่เชนทร์ แต่มากกว่านี้ผมก็ไม่สะดวกจริง ๆ”
TBC
เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดค่ะ หนีตามคุณ *ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า มา แฮร่ ไม่มีอะไรจะแก้ตัว ตอนนี้ตัดเป็นฉากสั้น ๆ หลายฉากเลย เพราะเฟยไม่อยู่ ให้โอกาสเดาไปหนึ่งสัปดาห์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เย้!! 
เจอกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ วันนี้ขออนุญาตไปอาบน้ำก่อน รู้สึกถึงความเค็มของเหงื่อในฤดูหนาวมาก (วันก่อนน้ำท่วมบ้านด้วย โอโฮ หน้าหนาวนี่มันหนาวจริง ๆ)
ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ อย่าเพิ่งฆ่าเราา ฉากต่อจากนี้มันยาวขอโทษที่ฉับแค่นี้ แง้! ขอบคุณที่เข้ามาช่วยกันต้มมาม่านะคะ
ปล. พรุ่งนี้เิปิดโอนรีปริ๊น Adore you คำประกาศของความรู้สึกใหม่ กับ เมื่อเพื่อนสงสัยว่าพี่ชาย...ค่ะ ยังไงเข้าไปอ่านรายละเอียดในเพจได้นะคะ
สำหรับคินนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ รักกกกกกกกกกก <3