16 Under the carpetหลังจากอาบน้ำเสร็จเหมือนหัวจะเย็นลงมาก ผมถูกจับให้นั่งที่พื้นปลายเตียงโดยมีเจ้าของห้องเป่าผมให้อยู่ด้านหลัง เสียงของดรายเป่าผมดังลั่นพัดแรงจนเส้นผมเริ่มแห้งดีแล้วมันก็ม้วนสายไฟเก็บ ผมนั่งมองมันเดินไปเดินมาในห้อง ถดตัวขึ้นมานั่งบนเตียง สักพักเบาะข้าง ๆ ก็ยุบตัวลง ไอ้เฟยยีหัวผม ยื่นหน้ามาจูบขมับ
“มึงตามกูเจอได้ไง”
ผมเปิดคำถามก่อน เพราะร้านนั้นก็ไม่เคยไป จะบอกว่าเฮียอี้โทรบอกมันก็ไม่น่าจะใช่ “แอปฯ Find my iPhone ไง”
“แอบมาตั้งตอนไหนวะ โรคจิตหรือเปล่าต้องตามกันขนาดนี้เลย?”
“เออ แล้วมันดีไหมล่ะ” ไอ้เฟยพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อผมถาม ไอ้ดีมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไร “เหมือนมึงไม่ไว้ใจกู”
“จะให้ไว้ใจยังไงวะ สัปดาห์สองสัปดาห์มึงเป็นยังไง วัน ๆ เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา กูไปไหนก็ไม่คิดจะถาม ถ้าไม่ติดงานคงตั้งใจจะหนีไปแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วทำไมวันนี้ไปไหนไม่บอก”
“มึงไปไหนก็ไม่เคยบอกกูเหมือนกัน”
“กูรอให้มึงถามอยู่นี่ไง กำลังดูว่ามึงเลิกสนใจกูไปแล้วใช่ไหม”
น้ำเสียงที่ถามกลับมาเข้มขึ้นทุกขณะ มิ่งฟ้าน้อยใจและไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบที่ระหว่างเราเป็นแบบนี้เสียหน่อย ลมหายใจหนัก ๆ พ่นผ่านจมูก เอนตัวนอนลงบนที่นอนโดยทิ้งปลายเท้าไว้ที่พื้น จากมุมนี้จะทำให้ผมไม่ต้องเห็นเสี้ยวหน้าของคู่สนทนา ภาพเบื้องบนเป็นแค่เพดานสีขาวกับไฟกลมสีส้มนวลเท่านั้น
“กูแค่อยากใช้ความคิด”
“แล้วกูให้เวลามึงมากพอที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือยัง”
“จะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่าก็อยู่ที่มึง” ตากลมกรอกไปมา ตัดสินใจแล้วว่าต้องพูด เฮียอี้เอาจริงแน่ ไม่ใช่แค่ขู่ “เฮียมึงบอกให้กูเลิกยุ่งกับมึง”
ไอ้เฟยมีญาติที่นับศักดิ์เป็นพี่ชายแค่คนเดียว เขาควรเป็นหลานคนโปรดของอากงแต่ก็เปล่า เฮียอี้เป็นคนสมองทึบ เก่งแต่เรื่องอันธพาล หาเรื่องปวดหัวให้กงทุกวัน ถึงแม้ไอ้เฟยก็มีกลิ่นของมาเฟียติดอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับผลงานที่ผ่าน ๆ มาแล้วไอ้เฟยก็ครองตำแหน่งหลานชายคนโปรดที่เชิดหน้าชูตาให้ครอบครัวได้ไม่ยาก
มันเรียนเก่ง มันนิสัยดี ถึงเหมือนจะไม่เอาการเอางานแต่ก็ไม่เคยขัดใจที่บ้านไปเกกมะเหรกเกเรสักครั้ง เรื่องที่เรียนในสาขาที่อากงไม่ได้สนับสนุนยังอุตริได้ทุนมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งด้านสถาปัตยกรรมของโลกให้อากงมันด่าไม่ลงเสียอีก
คนอย่างไอ้เฟย ถ้าไม่เรียกว่าเพอร์เฟค ผมก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาเปรียบเปรยได้อีก
“ไปฟังอะไรเฮียอี้มัน ขี้อิจฉา”
“เฟย...ที่กูหนีมึงไปตอนนั้นเพราะเรื่องเฮียอี้นั่นแหละ”
ผมสูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาลงข่มความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ใต้เปลือกตา “กูขายตัวให้เฮียอี้”
เสียงหัวเราะหึดังขึ้นในลำคอ ไอ้เฟยไม่พูดอะไรและนั่นทำให้ผมอึดอัดเสียยิ่งกว่าโดนมันด่า จะกระชากผมขึ้นไปต่อย หรือยิงทิ้งตอนนี้เลยก็ได้ แต่ไม่ใช่แค่หัวเราะหยันกันด้วยความสมเพช
“ทำไมต้องเป็นมัน”
“แม่กูไม่สบาย...ปกติแกอยู่บ้าน วันนั้นเฮียมารับกู บอกว่ามีธุระด่วน” ผมไล่เลียงลำดับภาพที่ทำร้ายและหลอกหลอนมาตลอดเวลา ฝันที่เหมือนมะเร็ง เกาะกินและลุกลามไปใหญ่โตจนไม่เห็นทางรักษา “เขาพากูไปที่โรงพยาบาล แม่กูรออยู่ในห้องผ่าตัด นอนเหมือนคนหลับสนิท แต่หน้าตากำลังบอกว่าเขาไม่ไหวแล้ว”
“ต้องใช้เงินด่วน?”
“กูมีเวลาคิดไม่มาก วันนั้นต้องผ่าตัด เงินเป็นแสน...”
“มึงมีกูไว้ทำไมวะ!”
“กูมีมึงไว้เป็นแฟน ไม่ใช่คนให้กูปอกลอกไงล่ะ มึงจ่ายให้กูมาเท่าไร ทุกครั้งที่แม่ป่วยมึงก็จ่าย จ่ายจนพ่อมึงตัดเงินเดือนไม่ใช่หรือไง มึงต้องโกหกที่บ้านสารพัดเพื่อเอาเงินมาให้กูใช้ มึงคิดว่ากูละอายบ้างไหม”
“อายที่จะใช้เงินกูแต่เสือกไม่อายที่จะขายตูดให้ไอ้เหี้ยนั่น!”
ผมยกมือขึ้นปิดหน้า เสียงของอะไรบางอย่างในห้องแตกกระจาย นั่นอาจหมายถึงความสัมพันธ์ของผมกับคนรัก “กูขอโทษ กูคิดไม่ทัน ทุกอย่างมันฉุกละหุกไปหมด กูแค่ต้องการเงินด่วน เฮียอี้บอกว่าพ่อมึงก็มีปัญหาเรื่องเงินแต่เขาไม่บอกมึงเพราะกลัวไม่สบายใจ เรื่องนี้มีแต่ญาติผู้ใหญ่ ๆ ที่รู้”
อีกครั้งที่เสียงหัวเราะหึดังในความเงียบ ผมกลั้นเสียงสะอื้นไว้ในคอ ปิดเปลือกตาให้แน่นแค่ไหนก็น้ำตาก็รินลงมาได้อยู่ดี มิหนำซ้ำ มันยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายนบแตก ริมฝีปากบนกับล่างขบกันจนสั่น แต่ผมก็ไม่อาจหยุดร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่เกาะกุมในใจได้สักที
“โดนมันหลอกแล้ว”
“กูไม่รู้ แต่กูไม่อยากให้มึงเดือดร้อน”
“เลิกเอาแต่ห่วงคนอื่นสักที ตัวเองไม่ไหวแล้วทำไมไม่พูด กูมีความสำคัญกับมึงบ้างไหมวิน กูเคยเป็นคนที่มึงคิดว่าวิ่งเข้าหาเวลาไม่มีใครบ้างไหม”
“มึงสำคัญ” นั่นเป็นเรื่องจริง ยิ่งสำคัญผมยิ่งไม่อยากให้มันว้าวุ่นใจ ยิ่งสำคัญ...ผมถึงอยากเก็บมันไว้ให้ห่างกับหายนะที่ตามติดผมไปทั่วทุกแห่งมากที่สุด
“เกลียดกูแล้วใช่ไหม” คำถามนั้นเอ่ยออกไปทั้งที่ไม่อยากได้ยิน พรุ่งนี้ผมจะทำยังไงต่อ ผมควรจะเก็บข้าวของออกไปจากชีวิตมัน ควรจะเริ่มต้นด้วยการไม่เหลืออะไรอีกครั้งหรือควรจะหน้าทนอยู่ที่นี่เพียงเพื่อมีมันอยู่ในสายตาแบบนี้
ไอ้เฟยถอนหายใจหนัก มันไม่ได้ตอบในทันที แต่ท้ายที่สุดก็ยังตอบ “มึงว่ากูควรจะรู้สึกยังไงล่ะ”
ผมขดตัวเข้าหากัน หยดน้ำตาที่รินออกมาพยายามถ่ายทอดทุกความรู้สึกและชำระล้างความอัดอัดที่มีออกจากใจ เคลื่อนตัวผ่านสันจมูกและแก้ม หยดลงไปกองรวมกันที่ผ้าปูอันเคยเป็นรังรักแสนหวานเป็นหยดสาย มือเท้าชาจนแทบจะไร้ความรู้สึก หากแต่มีเพียงจิตใจเท่านั้นที่รับรู้ว่าตอนนี้ความเจ็บปวดเป็นเช่นไร น้ำเสียงที่เย็นชานั่นค่อย ๆ บีบบังคับเสียงสะอื้นให้หลุดออกไปอย่างง่ายดาย
“ช่างมันเถอะ”
น้ำเสียงของคู่สนทนาอ่อนลงเมื่อผมสั่นไปทั้งตัว สัมผัสที่อ่อนโยนราวปีกขนนกแตะลงบนบ่า สักพักมันก็ออกแรงกระชากให้ผมลุกขึ้นจมหายไปในอ้อมกอด ไอ้เฟยถอนหายใจหนัก กดหัวผมลงไปบนอกแกร่งของมัน มือทั้งสองข้างผมจับเกร็งบนเสื้อยืดสีขาว บิดจนคล้ายว่ามันอาจจะหลุดออกมาได้ไม่ยาก
“ช่างมันเถอะตี๋ มันผ่านมาแล้ว กูไม่โกรธมึงแล้ว”
ฝ่ามืออุ่นเคลื่อนไหวบนแผ่นหลังของผมเชื่องช้า คล้ายกับกุญแจวิเศษจากเทพเจ้าที่ปลดแอกทุกความผิดพลาดในอดีตให้เป็นอิสระ ลูบขึ้นลงเบา ๆ เพื่อชำระล้างทุกความเจ็บปวดให้มลายหายไป ความผิดนั้นผมเป็นคนก่อ และมันจะเยียวยารักษาได้เพียงเพราะคนที่โอบรัดผมไว้ในตอนนี้เท่านั้น
“ร้องไห้ออกมาให้พอ จากวันนี้เราจะเริ่มกันใหม่ มีเรื่องอะไรปรึกษากันทุกอย่าง มันมีคนที่เกลียดกู จ้องทำลายกู เกลียดอากง และเต็มไปด้วยความริษยา จุดอ่อนเดียวของอากงคือกู และจุดอ่อนที่ทำให้กูเสียคนได้ก็มีแค่มึง...เราต้องเข้มแข็งกันมากกว่านี้ พูดและฟังกันมากกว่านี้”
ผมพยักหน้าชิดอก นึกไม่ออกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีขนาดไหนที่มีมันอยู่ข้าง ๆ ไอ้เฟยถอนหายใจอีกครั้ง ย้ำถึงต้นเหตุที่ทำให้ผมพลาดพลั้งครั้งที่ผ่านมา “เราเป็นคน ๆ เดียวกันแล้วนะวิน รู้ใช่ไหม”
ผมพยักหน้าพลางสูดน้ำมูก ไม่สามารถกลั่นคำพูดใด ๆ มาโต้ตอบกับมันได้อีก
พระเจ้า...หากนี่เป็นฝัน ได้โปรดอย่าให้ผมตื่นขึ้นมาอีก และหากนี่เป็นความจริง ได้โปรดอย่าให้ผมหลับใหลแม้แต่ในอ้อมกอดมันในเวลานี้ก็ตาม
“เป็นไงบ้างวะ”
ทันทีที่โผล่หน้าไปทำงานหนึ่งในผู้ร่วมเหตุการณ์คืนวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ชะโงกหน้ามาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมจิบกาแฟร้านประจำที่แวบลงไปซื้อก่อนขึ้นมา ยังไม่ตอบในทันทีกระทั่งอีกฝ่ายรบเร้าซ้ำ ๆ ผมตอบอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงเครียดขึง
“ก็....บอกไปแล้วครับ ผู้ชายคนเมื่อวานคือญาติมันที่ผมเคยเล่าให้พี่ชิตฟังน่ะ”
“แล้ว?” น้ำเสียงพี่ชิตฟังดูลุ้นยิ่งกว่าตอนดูบอลเสียอีก ผมถอนหายใจพลางขยายความ“ตอนแรกก็เหมือนจะทะเลาะกัน แต่มันก็บอกว่าช่างเถอะ”
“สรุปว่าดีกัน?”
“ประมาณนั้น”
“ง่ายจังวะ”
ประโยคนั้นของพี่ชิตผมไม่รู้ว่าเจือด้วยน้ำเสียงเสียดายที่ไม่ได้เชียร์นายช่างคเชนทร์รุ่นน้องคนสนิท แต่ถามว่าผมรู้สึกว่าอะไรมันง่ายเกินไปไหม ลึก ๆ แล้วก็รู้สึกแบบนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ถึงไอ้เฟยจะเป็นคนมีเหตุผลแต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เมื่อรับฟังแล้วสามารถให้อภัยง่าย ๆ ขณะเดียวกันผมก็รู้ จิตใจของมิ่งฟ้าคือสิ่งที่คาดการณ์ได้ยากที่สุด
“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ พอผมออกมาแล้วพี่เชนทร์มีเรื่องกับเฮียเขาหรือเปล่า”
“ไม่อะ” รุ่นพี่พูดพลางเคี้ยวแซนวิชมื้อเช้าตุ้ย “ก็แยกกันกลับ ไอ้เชนทร์ดูซึม ๆ เลยพาไปส่งที่บ้าน โน้ตยังไม่นอนเลยให้มันรับช่วงต่อ”
“พี่เชนทร์อยู่บ้านเดียวกับพี่โน้ตเหรอครับ” ผมทำตาโต เรื่องนี้ไม่เคยได้ยิน พี่ชิตรีบกลืนแซนวิชคำสุดท้ายลงคอก่อนโบกมือปฏิเสธ
“บ้านมันอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเฉย ๆ ไอ้สองคนนี้มันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก”
พยักหน้าเข้าใจแล้วหันกลับมาที่คอมพิวเตอร์ ยังคิดเรื่องของตัวเองกับมิ่งฟ้าไม่ตกผลึก ลึก ๆ ยังกังวลไม่หาย “มึงก็อย่าไปคิดมาก เขาดูรักมึงจะตาย แรก ๆ ก็งี้แหละ อาจรู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่พยายามใช้เวลาร่วมกันมาก ๆ เดี๋ยวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเอง”
ผมพยักหน้ารับ เคยทะเลาะกับไอ้เฟยแรง ๆ เหมือนกัน ส่วนใหญ่พอเคลียร์กันแล้วก็ใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าจะกลับมารักกันใหม่ ซึ่งในที่นี้หมายถึงรักกันใหม่มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“อาทิตย์ที่แล้วมีหนังน่าดูเข้าใหม่ วันนี้คนคงซา ๆ ไปแล้ว มึงลองชวนเขาไปดูสิ”
“โห ไม่ได้เข้าโรงหนังกันมานานมากเลยพี่ ตั้งแต่สมัยเรียนมั้ง”
“นี่ไง ย้อนเวลากลับไปเหมือนตอนนั้น ใช้ชีวิตด้วยกัน รักกันแบบไม่ต้องกังวลอะไร”
ผมพยักหน้า นึกขอบคุณสายตาเป็นห่วงของพี่ชิตที่จนถึงตอนนี้ก็ยังแนะนำอะไรดี ๆ ให้ ดูเหมือนจะยอมรับได้แล้วว่าเชียร์น้องชายคนโปรดไปแค่ไหนผมก็ไม่สนใจ เลือกไปแล้วตั้งแต่ตอนอยู่ปี 1 และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเลือกใครได้ใหม่อีกครั้งในชีวิต
ตารางรอบการแสดงหนังที่พี่ชิตบอกมีเกือบทุกยี่สิบนาที ผมนั่งหาข้อมูลกับรีวิวต่าง ๆ ในเว็บไซต์สลับกับทำงานตัวเองบ้าง ช่วงนี้ลูกค้าไม่ค่อยเร่ง อาจเป็นเพราะเปลี่ยนมือมาจากพี่ชิตที่ดำเนินงานไปเกือบ 50% แล้วผมเลยมีสิทธิ์อู้นิดหน่อย เสียงฝีเท้าดังเข้าใกล้ ผมปิดหน้าจอพันทิปแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเงาสูงโปร่งที่ยืนเท้าแขนอยู่บนพาทิชั่น
“อู้”
“นิดหน่อยน่า...เพิ่งกลับจากประชุมเหรอ”
“อืม งานทวายน่ะ ทำพรีเซนต์ไปให้อากงดูแล้วโดนสั่งกลับมาแก้ยกใหญ่” ผมเลิกคิ้วขึ้น ปกติเฟยไม่ค่อยพลาดเรื่องงาน ถึงผมจะไม่รู้อะไรมาก และมันไม่เคยหอบงานผู้บริหารกลับไปทำที่บ้านแต่เวลาอยู่บริษัทก็ไม่เคยแวะมาเล่นกับคนอื่น มันใช้เวลาเก้าชั่วโมงได้อย่างเต็มที่ แม้กระทั่งมื้อเที่ยงยังสั่งให้พี่รุ่งซื้อมาให้ เวลาอยู่ห้องระหว่างที่ผมทำงานก็เห็นมันอ่านนั่นอ่านนี่ไปเรื่อย
เฟยไม่เคยเครียด แต่ขณะเดียวกันผมก็รู้ว่ามันกำลังพยายามฝืนใจตัวเองมาทำงานที่ไม่ได้รักอย่างสุดความสามารถ
“เย็นนี้–”
“เย็นนี้กลับมืดนะ หาอะไรกินไปก่อนเลย”
“นัดลูกค้าเหรอ”
“อืม นัดกินข้าวน่ะ แล้วเสาร์อาทิตย์นี้ต้องหาเวลาว่างเข้าไปคุยกับอากงที่บ้านใหญ่ด้วย ไว้ไปด้วยกันนะ”
ผมไม่ได้ตอบ เสียงโทรศัพท์ก็เข้าเสียก่อน ไอ้เฟยหยิบออกมาดูแล้วยักคิ้วให้ก่อนเลี่ยงไปคุยในห้องทำงาน พักนี้มันยุ่งกว่าปกติ ลึก ๆ แล้วยอมรับว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะปัญหาของผมกับมันที่คาราคาซังเมื่อสัปดาห์ก่อนคงทำให้หัวหน้าฝ่ายไขว้เขว ตอนนี้ถึงเวลาสะสางงานทั้งหมดถึงได้ดูวุ่นวายไปเสียหมด
ผมปิดหน้าต่างเว็บไซต์แสดงรอบหนัง ไว้มันเคลียร์งานได้ค่อยหาเวลาดูอีกทีก่อนเปลี่ยนแผนเป็นลุกไปชงขาคาโมมายด์ให้คนที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงในห้องกระจกแทน
ตอนเย็นวันเดียวกัน ผมติดรถพี่ชิตมาลงที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพราะมันสะดวกที่จะกลับคอนโดแต่เพราะมันอยู่ใกล้บ้านพี่ชิตเลยมาลงที่นี่ จะให้เลยไปส่งที่คอนโดก็เกรงใจ อีกอย่างคือห้างนี่ก็ใหญ่ติดหนึ่งในสามอันดับต้นของประเทศ อยากเลือกซื้ออะไรที่นี่ก็มีให้พร้อมสรรพ
ผมเลือกรถเข็นจากแถวที่ยาวที่สุดเข็นเข้าซุปเปอร์มาเกต นานพอสมควรที่ไม่ได้แวะซื้อของเข้าบ้าน ของสดในครัวร่อยหรอ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีโอกาสได้ทำกินกันเท่าไร เฟยกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลาซื้อของไปตุนก็กลัวว่าจะบูดเน่าเสียก่อน แต่อาหารง่าย ๆ บางอย่างสำหรับมื้อเช้าก็เป็นทางเลือกที่ดี อย่างน้อยก็ดีกว่ากาแฟดำและแครกเกอร์อย่างที่มันยัดลงกระเพาะลวก ๆ ทุกวันนั่นแหละ
“พี่ตี๋” เสียงหนึ่งตะโกนลั่นขณะที่ผมกำลังหยิบไข่ไก่ใส่รถที่มีผลไม้วางอยู่ก่อนอย่างสองอย่าง น้องยูนั่นเอง นึกว่าใคร
“มาทำอะไรแถวนี้”
“ถามอะไรผม คอนโดผมอยู่แถวนี้ พี่ตี๋นั่นแหละมาทำอะไร มากับพี่เฟยเหรอครับ”
“เปล่า ๆ พอดีติดรถรุ่นพี่มาน่ะ แต่แยกกันแล้ว กะจะซื้อของกลับไปที่ห้องหน่อย”
“อย่างนี้ก็ต้องกลับเองสิครับ”
“อืม จากนี่เรียกแท็กซี่ไปไม่เท่าไรหรอก ถ้าจากบริษัทนั่นโดนฟันหัวแบะ” แถบนั้นรถติดมาก อย่างน้อยมาลงที่นี่ก็ย่นเวลาได้พอสมควร “เดี๋ยวผมช่วยเลือกแล้วไปส่งที่คอนโดดีกว่า"
“เฮ้ย ไม่เป็นไร ไม่ได้ไกลมาก”
“เถอะครับ วันนี้ไอ้อินกลับไปกินข้าวกับแม่ พี่ตี๋เลี้ยงผมแล้วเดี๋ยวผมขับรถไปส่ง โอเคไหม แฟร์ ๆ เลย”
สุดท้ายพอเจอลูกหยอดกับตาหวาน ๆ ของเด็กหนุ่มผมก็พยักหน้า ยูเป็นคนที่อยู่ใกล้แล้วจะรู้สึกอุ่น ๆ ผมอธิบายไม่ถูก แต่ถ้ากับเด็กท่าทางโมโหร้ายคนนั้นก็ดูเหมาะสมกันดี
“แล้วพี่เฟยไปไหนล่ะครับ”
“ติดธุระน่ะ พักนี้มันเครียด ๆ เลยอยากทำอะไรให้หน่อย เดี๋ยวว่าจะขึ้นไปดูน้ำมันหอมระเหยข้างบนก่อนกลับด้วย”
“ดับกลิ่นห้องเหรอครับ”
“เปล่า ผสมน้ำอาบ” ยุทธนายิ้มกรุ้มกริ่ม ฉวยเอารถในมือผมไปเข็น “เอาใจแฟนจังนะครับ ผมได้แฟนอย่างพี่ตี๋นี่รักตายเลย ไม่ต้องมีเรื่องปวดหัวเหมือนทุกวันนี้”
“ทำไมล่ะ ที่คบอยู่ไม่ดีเหรอ”
“เด็กน่ะครับ บางทีก็มีปากเสียงกันบ้าง”
“พี่ว่าคนที่ทะเลาะกับเด็กได้นี่ก็ไม่น่าเรียกว่าผู้ใหญ่นะ” ถึงทีเอาคืนบ้าง รุ่นน้องมหาวิทยาลัยก็ทำเสียงกระเง้ากระงอด “ผมรุ่นน้องพี่นะโว้ย ทำไมเข้าข้างคนอื่นวะ”
“ก็พูดตามที่คิดเฉย ๆ แล้วเวลาทะเลาะกันเป็นไงล่ะ”
“เรื่องหยุมหยิมน่ะครับ ไม่ค่อยทะเลาะกันแรง ๆ เท่าไร ตีกันได้ห้านาทีก็หายแล้ว” ผมพยักหน้ารับรู้ เด็กก็แบบนี้ เดี๋ยวดีกัน เดี๋ยวทะเลาะกัน แต่ไม่มีเรื่องอะไรให้คิดให้คาใจมาก ยิ่งฝั่งนั้นอายุน้อยกว่าแล้วยูคุมเกมได้เห็น ๆ
“แล้วพี่กับพี่เฟยเป็นยังไงครับ โอเคดีหรือเปล่า”
ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าเพิ่งทะเลาะกันจนแจกันแตกไปหนึ่งใบ ที่จริงแล้วมันค่อนข้างรุนแรงทุกครั้งที่มีปัญหา เพราะถ้าเป็นเรื่องหยุมหยิมไอ้เฟยจะออกแนวไม่ใส่ใจเสียมากกว่า
“งั้นก็ดีแล้วครับ อ้อ พี่ตี๋ มีร้านข้าวห่อไข่เปิดใหม่ชั้นหนึ่ง ถ้าซื้อของเสร็จแล้วไปลองกันไหม”
ผมพยักหน้าเป็นครั้งที่สาม หยิบของที่อยากได้ใส่รถเข็นก่อนเดินไปจ่ายเงิน
ข้าวห่อไข่ที่ยูแนะนำจัดได้ว่าอร่อยสำหรับร้านค้าที่เปิดตัวใหม่ คนไม่เยอะนักแต่มีเข้าออกเรื่อย ๆ หลังจากเก็บเงินเรียบร้อยแล้วผมก็เดินลูบพุงตามรุ่นน้องที่เอาถุงเครื่องใช้ที่ซื้อมาไปถือไว้แต่เพียงผู้เดียว เมอร์เซเดสรุ่นใหม่จอดในโซนของรถมียี่ห้อ ไม่รู้มาก่อนว่ายูรวยขนาดนี้ อย่างน้อย ๆ ค่าน้ำมันเดือนหนึ่งก็ปาไปเท่าไรแล้ว
“รถของไอ้อินมันน่ะครับ ไม่ใช่ของผมหรอก”
คนที่เดินนำพูดถ่อมตัว คงไว้ใจกันมาก ถึงขั้นให้ยืมรถยืมรามาขับ คันไม่ใช่ล้านสองล้าน ไม่ใช่แน่ ๆ แต่ผมก็ตีราคาไม่ได้ว่าประมาณเท่าไร
ยุทธนากดรีโมทให้แสงไฟสีส้มที่เป็นตาของรถสีขาวนวลกะพริบปริบ ๆ ยังไม่ทันเดินมาถึงที่สองขาก็ชะงักเสียก่อน เล็กซัสสีดำป้ายทะเบียนคุ้นอีกแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้จอดชั้นเดิม แต่จอดมุมเดิมที่คนไม่พลุกพล่าน นักศึกษาหนุ่มสะพายเป้ยืนทำหน้าหงอยอยู่ข้างรถที่เปิดกระจกลงมาแค่ครึ่งบาน
“พี่ตี๋?”
ยูแตะแขนเบา ๆ ให้พอรู้สึก มองเลยไปยังปลายสายตาผมแล้วหันกลับมาอีกครั้งราวกับตั้งคำถาม จากมุมนี้ไม่เห็นว่าคนในรถเป็นใคร และไอ้เฟยก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนคนไหนถึงขั้นยืมรถกันได้ ดังนั้นตัดเรื่องผิดคนออกไปได้เลย ผมยืนจ้องอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ตอบคำถามยูว่ากำลังมองอะไรอยู่
เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก้มหน้าลงชิดอกกว่าเก่า มือทั้งสองข้างบิดสายสะพายเป้ พักเดียวเจ้าของรถก็ยอมลงมา รุ่นน้องที่ยืนข้างกันจึงได้คำตอบโดยปริยายว่าผมกำลังมองใคร
มือขาวยกขึ้น ตบบ่าเล็กเบา ๆ สักพักก็ยกขึ้นยีหัวทุย นักศึกษาคนนั้นห่อไหล่ก่อนจะสั่นคล้ายกำลังสะอื้น ก่อนจะโผเข้ากอดผู้ชายของผมไว้ทั้งตัว
ไอ้เฟยไม่กอดตอบ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ มันยังยกมือขึ้นลูบศีรษะนั้นเป็นการปลอบประโลมเบา ๆ
ผมอธิบายไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรและทำสีหน้าแบบไหน มีเพียงความเงียบเข้าครอบคลุมในใจแม้หูจะได้ยินเสียงสั่นสะเทือนของหัวใจดังกึกก้อง ภาพข้างหน้าถูกปิดลงด้วยมือนุ่ม น้องยูกระซิบคล้ายปลอบประโลมแต่ก็ไม่ได้ปลอบ
“ผมไปส่งที่บ้านนะครับพี่ตี๋”
ผมพยักหน้า เดินขึ้นเมอร์เซเดสโดยปราศจากซึ่งความตื่นเต้นใด ๆ เหมือนก่อนหน้านี้
เสียงบานประตูปิดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมนั่งมองโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้อย่างเลื่อนลอย ในอกขุ่นฟุ้งด้วยความรู้สึกประหลาดที่หายไปนานแล้วโดยอธิบายไม่ถูกว่ามันเรียกว่าอะไร ไอ้เฟยสวมกอดจากด้านหลัง หอมแก้มซ้ายขวาของผมแล้วใช้คางเกยบนหัว
“กินอะไรหรือยัง”
“อืม กินมาแล้วกับน้องยูน่ะ”
คนที่กอดอยู่ทำหน้ามุ่ย ผมเห็นมันสะท้อนกับกระจกบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา “ทำไมไปด้วยกันได้”
“แวะซื้อของเข้าห้องแล้วบังเอิญเจอน้องเลยชวนกินด้วยแล้วขับรถมาส่งน่ะ เหนื่อยไหม นั่งก่อนดิ เดี๋ยวไปเตรียมน้ำอุ่นให้แช่”
ไอ้เฟยมีสีหน้าลำบากใจนิดหน่อย พอผมลุกขึ้นก็คว้าข้อมือไว้ แววตาเจือความรู้สึกบางอย่างที่คล้าย ๆ กับว่ารู้สึกผิด “ขอโทษที่ต้องให้คนอื่นดูแล ช่วงนี้กูยุ่งจริง ๆ”
“อืม ไม่เห็นเป็นไรเลย เข้าใจน่า” ผมยิ้มให้มันประกอบบทสนทนา วางมือทับกับมือขาวแล้วแกะออก “เดี๋ยวไปเตรียมน้ำอุ่นให้ กินข้าวมาแล้วใช่ไหม”
ไอ้เฟยพยักหน้า ผมเลยเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไปเปิดน้ำใส่อ่าง มีน้ำมันหอมระเหยสำหรับผสมน้ำอาบที่ซื้อมาใหม่ กลิ่นหอมติดจมูกตั้งแต่ตอนลองดมที่ห้างจนบัดนี้ ผมเทผสม หรี่ไฟในห้องน้ำสีเหลืองนวลให้เหมาะกับการพักผ่อนแล้วออกมาตามคนรักด้านนอก
“เฟย น้ำได้แล้วนะ”
คนที่นั่งหลับตาอยู่บนโซฟาลืมตาขึ้น ผมเดินไปปลดกระดุมกับเนกไทเส้นเก่งของมันออกก่อนยื่นมือไปนวดขมับเบา ๆ สีหน้าของอีกฝ่ายไม่แช่มชื่นเลยแม้แต่น้อย ท่าทางคงมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ “เครียดเหรอ”
“นิดหน่อย”
“ปวดหัวหรือเปล่า”
มันพยักหน้า ผมถอนหายใจแล้วเลื่อนนิ้วลงมานวดที่หลังหูด้วย “งั้นไปแช่น้ำก่อน เดี๋ยวออกมาแล้วนวดให้”
ไอ้เฟยดึงมือผมไปจับ จูบเบา ๆ ที่หลังมือแล้วยิ้มอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “รักมึงนะ”
แปลกที่วันนี้คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ใจเต้นแรง แต่กลับปวดหน่วงขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ภาพของมันกำลังกอดเด็กคนนั้น กับคำพูดที่เคยทิ้งไว้ของเฮียอี้
คิดว่ามันมีมึงคนเดียวหรือไง ตอกย้ำให้ผมตั้งคำถาม เด็กคนนั้นเป็นใคร สนิทกับเฟยระดับไหน และทำไมต้องโกหกกัน
ความอยากรู้อยากเห็นขับเคลื่อนการกระทำทุกอย่าง เมื่อเฟยเข้าห้องน้ำไปแล้วจึงหยิบมือถือมันออกมาดู เบอร์โทรเข้าโทรออกล่าสุดเม็มไว้ในชื่อของพี่รุ่ง แต่พอกดดูเบอร์กลับไม่ใช่เบอร์เดียวที่ผมมีอยู่ในเครื่อง ไม่มีข้อความหรือแชทเฟซบุ๊กที่น่าสงสัย แต่พอกดดูรายชื่อเพื่อนในแอพลิเคชั่นไลน์กลับมีคนหนึ่งที่ตั้งชื่อว่า “Mate” ใช้ภาพแสดงตัวเป็นไอ้เฟยตอนหลับ
ไม่มีข้อความหรือบทสนทนาเลยสักอัน ถ้าเดาไม่ผิดคงลบทิ้งไปหมดแล้ว
ส่วนข้อความข้างหลังเป็นชื่อเพลงสั้น ๆ ว่า “เธอทำให้ฉันคิดถึงแต่เธอ”
ผมนั่งมองรายชื่อนั้นอยู่พักใหญ่ ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกับที่เจอวันนี้ไหม ลองพิมพ์จุดแล้วส่งไปเหมือนที่ไอ้เฟยใช้เวลาทักแชทมาเด็กหนุ่มก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
22.00 Mate - ถึงบ้านแล้วเหรอครับ
22.00 Feii - อืม
22.00 Mate - ขอบคุณนะพี่เฟยที่อุตส่าห์แวะมาหา
22.00 Mate - ผมขอโทษ ทีหลังจะไม่งอแงแบบนี้อีกแล้ว น่าจะรู้ว่าพี่ยุ่ง ๆ
22.00 Mate - ที่บอกว่าคิดถึง ผมพูดจริง ๆ นะครับผมไม่ตอบ กดอ่านแล้วลบข้อความทั้งหมดทิ้ง วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ส่วนตัวเองก็มานั่งกุมหัวใจที่แตกสลายอยู่ปลายเตียง ผมพยายามทุกอย่าง ทำทุก ๆ อย่างเพื่อไม่ให้มันจบ ขณะเดียวกันอีกฝ่ายกลับมองว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่น ๆ ที่พร้อมจะเปลี่ยนคนมานั่งแทนที่ผมตรงนี้อยู่แล้ว
หรือความเจ้าชู้มันเป็นสัญชาตญาณ เป็นเรื่องที่ผมต้องยอมรับและทำใจให้ได้
โกรธ ผิดหวังจนอยากจะโวยวาย หากแต่ความรักที่มีกลับบีบบังคับให้ผมกลั้นน้ำตาอยู่ตรงนี้ นั่งมองเข็มนาฬิกาค่อย ๆ หมุนไป นับวินาทีบนหน้าปัดที่ขยับเคลื่อนไปเรื่อย ๆ อย่างเลื่อนลอย มือทั้งสองข้างกำกางเกงนอนไว้แน่น กระทั่งไอ้เฟยเดินออกมาจากห้องน้ำก็หลับตาลง เสียงฝีเท้าขยับเข้าใกล้ มันเป่าผมมาจากในห้องน้ำแล้วตอนที่เอาคางมาเกยบ่าจึงไม่มีน้ำหยดลงมา
“เป็นอะไร หืม?”
“เปล่า”
ทำได้เพียงปฏิเสธ ค่อย ๆ ลืมตาแล้วส่งยิ้มให้มัน ผมนั่งคุกเข่าลงที่พื้น ใช้มือลูบรอยสักรูปนกบนไหล่เปลือยก่อนลากปลายนิ้วลงมาเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อบนหน้าท้องไอ้เฟยหดเกร็ง มันเลิกคิ้ว ทำหลิ่วตากวนเมื่อปลายนิ้วโป้งผมกดนวดลงรอบ ๆ สะดือบุ๋ม
“นี่เหรอที่บอกว่าจะนวดให้”
ผมส่งยิ้ม แม้ในใจจะร้องไห้ เมื่อก่อนคงทำได้ไม่ดีขนาดนี้ถ้าไม่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาจนรู้ว่ายิ้มแต่ปากนั้นต้องทำยังไงให้คนอื่นเชื่อ ทำยังไงให้ดูมีความสุข ทำยังไงถึงจะซ่อนน้ำตาในหัวใจนี้ได้มิดชิด
เพราะนี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะรั้งให้ผมอยู่กับมันได้
ถึงแม้จะดูต่ำตมและไร้หนทาง ผมก็จะทำให้ดีที่สุด จะเหนี่ยวรั้ง จะจองจำมันเอาไว้ ต่อให้ไปหาเศษหาเลยกับขนมหวานรสชาติใหม่ ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหนก็ให้มันโหยหาแต่อาหารจานหลักที่รอที่บ้านเพียงอย่างเดียว
ผ้าเช็ดตัวที่พันท่อนล่างไว้ถูกคลายปมออก ใช้สองมือประคองความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายไว้ก่อนค่อย ๆ แตะปลายลิ้นลงไป ขนาดและความอุ่นคับแน่นในริมฝีปากเมื่อขยายกรามให้กว้างขึ้น กลิ่นสบู่อ่อน ๆ และน้ำมันหอมระเหยผสานกับกลิ่นเฉพาะของเฟย ผมประคองส่วนฐานไว้ก่อนจะกลืนกินเข้าไปจนลึกถึงลำคอ
เสียงคำรามทุ้มเหมือนเสือโคร่งดังขึ้น มือขาวขยุ้มศีรษะแล้วคลายออก เสียงกระซิบของเฟยสั่นพร่า แต่ก็จับใจความได้ “ตี่ตี๋...ลึกไปแล้ว...เดี๋ยวก็สำลัก”
ผมไม่ตอบแต่ใช้ปลายลิ้นขยับตามรูปทรงของมัน คายออกและกลืนเข้าไปใหม่ซ้ำ ๆ ใช้มือทั้งสองข้างจับหน้าขามันให้ขยายออกแล้วห่อปากให้พอดีกับสัดส่วน เฟยร้องโอดครวญแต่ก็ยังพยายามจะสวนสะโพกขึ้นสู้เมื่อผมห่อลิ้นและขยับหัวหงึกหงัก
ผมเงยหน้าขึ้นสบตา เมื่อเห็นสายตามันปลาบจับจ้องอยู่ก็หน้าร้อนเห่อขึ้นมาทันที รอยยิ้มยวนยักขึ้นข้างหนึ่ง มันใช้มือทัดผมเส้นยาวไว้หลังใบหูแล้วลูบแก้มผมที่ยังมีร่างกายมันคาปากจนบวมตุ่ย โน้มตัวลงมาจนจูบบนศีรษะได้ก็กระซิบเสียงแผ่ว
“น่ารัก”
คำนั้นมันพูดพร้อมรอยยิ้ม และนั่นกลับทำให้หัวใจผมฟูฟ่องขึ้นมายิ่งกว่าคำว่ารักที่ไร้ความรู้สึกของมันเป็นเท่าตัว
TBC
ตอนนี้พี่เฟยจะโดนด่ามั้ยนะ ด่ามันค่ะ ด่ามัน 555555555555555 ตอนหน้าเฮียอี้จะโผล่มาค่อยอวยนางใหม่ (นักเขียนอะไรขี้สปอยล์) เหลืออีกประมาณสี่ตอนก็จะจบแล้ว โอ๊ยย ไวจนน่าใจหาย เจอกันอีกทีก็ปีหน้าแหน่ะ ทิ้งท้ายตอนนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไร ความดราม่าจะหลอกหลอนท่านไปถึงปีหน้า แก้เคล็ดได้ด้วยการไปอ่านตอนพิเศษของนิยายเรื่องอื่น ๆ ได้ในเพจค่ะ ช่วงนี้กำลังนับถอยหลังขึ้นปีใหม่อยู่ ฮาาา
สำหรับใครที่แวบผ่านเข้ามาในตอนนี้ขอแฮปปี้นิวเยียร์ล่วงหน้าเลยนะคะ ขอให้เป็นอีกปีที่ดีสำหรับทุกคนค่ะ ปีนี้ทุกคนทำให้เป็นปีที่ดีของเราอีกปีเลย ขอบคุณนะคะ
เจอกันใหม่ปีหน้าและถ้วยมาม่าค่ะ
