19 Coming Back Togetherผมถูกบังคับให้กินยาก่อนโจ๊กไก่ ไม่ใส่ขิงอุ่น ๆ จะถูกยกมาเสิร์ฟ มิ่งฟ้าซื้อโต๊ะเลื่อนล้อหมุนเล็ก ๆ สำหรับคนป่วยมาระหว่างทางกลับคอนโด ทุกอย่างที่นี่ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนนอกจากเสื้อผ้าในตะกร้าที่เพิ่มจำนวนขึ้นเท่านั้น
ผมนั่งคนโจ๊กไปเรื่อย ๆ มองมันถอดเสื้อสูทแล้วเหวี่ยงลงตะกร้า อย่างน้อยช่วงนี้มันก็รู้จักเก็บของให้เป็นระเบียบมากขึ้น ถ้วยชามในซิงค์ล้างจานไม่มีเหลือ ขยะถูกแยกเป็นถุงสำหรับใส่ขยะเปียกและแห้ง โต๊ะทำงานรกบ้างแต่ก็นับว่าดีกว่าวันแรกที่ผมเข้ามาอยู่ใหม่ ๆ
“อาบน้ำไหม เดี๋ยวเข้าไปเตรียมน้ำอุ่นให้”
“กินข้าวไปเถอะ ไม่ต้องห่วง กูจัดการเอง” มิ่งฟ้าเอ่ยเสียงเรียบ สักพักก็หยิบผ้าเช็ดตัวหายไปในห้องน้ำ ผมใช้ช้อนคนถ้วยใบเดิมไปมา ถึงกินยาแล้วก็ยังรู้สึกผะอืดผะอม ไม่อยากอาหารอยู่ แต่ถ้าเฟยกลับออกมาเห็นว่าโจ๊กยังเหลืออยู่ครึ่งจานแบบนี้โดนด่าตายแน่
ผมถอนหายใจ ยัดช้อนเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ ก่อนโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงที่มิ่งฟ้าถอดทิ้งไว้ในตะกร้าจะสั่น คลานไปกดดูเป็นชื่อพี่รุ่ง แต่ไม่ใช่เบอร์พี่รุ่งเลขาคนเก่ง
ผมนั่งมองด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง จะว่าไปวันนี้ก็เป็นวันที่มันนัดกับน้องคนนั้นว่าจะไปเจอที่ห้างเดิมแท้ ๆ แต่กลับต้องมาดูแลคนป่วยอย่างผม มันจะคิดว่าผมเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า เฟยจะรำคาญที่ผมยื้อมันไว้แบบนี้ไหม
จะเลิก...ก็คงสงสารเลยปล่อยไปเสียทีเดียวไม่ได้เด็กคนนั้นคงเอาใจดีกว่า คนรักผมถึงได้นอกใจไปตั้งหลายครั้งหลายครา ที่ผมเจอกับตาแค่สาม นอกจากนี้ไม่รู้เท่าไรอีกเท่าไร รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ต้องมานั่งหวาดระแวงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
“รับสายสิ”
เสียงของคนที่หายเข้าไปในห้องน้ำเมื่อครู่ดังขึ้นท่ามกลางความสับสน ผมยื่นโทรศัพท์คืนให้มันแต่เจ้าตัวไมรับ มันรู้ที่ผมรู้ว่าคนในสายไม่ใช่พี่รุ่ง แต่เป็นเบอร์ของเด็กคนนั้นที่ใช้ชื่อของเลขาคนเก่งกลบเกลื่อนมาตลอด กระนั้นก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“รับสายแล้วทำเหมือนที่เคยทำ”
มิ่งฟ้าหมายถึงสมัยเรียนที่ผมอาละวาดกับกิ๊กมันเสียทุกคน แต่ตอนนี้อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว ผมโตขึ้น คิดมากขึ้นและไม่เห็นว่าวิธีการแบบนั้นจะทำให้เฟยหยุดได้ตลอดชีวิตจริง ๆ
สุดท้ายมันก็มีคนอื่น
“เหนื่อยแล้ว” นึกมาถึงตรงนี้ก็ล้า หมดแรงจะจ้องจับผิด ถ้าอยากจะมีใครก็ผมเองก็หมดแรงจะห้าม คงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่โดยใช้คนรักร่วมกับใคร ๆ อยู่จนถึงวันที่ไม่ไหว ยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อเดินจากไปเพียงลำพัง
“วิน มึงไม่เคยเป็นแบบนี้”
“เราคุยกันรู้เรื่องนานแล้วเฟย คุยตั้งแต่ตอนที่คบกันเมื่อหกปีที่แล้วแล้วว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก หรือเพราะกูนอนกับเฮียอี้มึงเลยคิดว่าตัวเองก็ทำได้”
ผมหลับตาลง ไม่ได้ยินมันเถียงอะไรทั้งนั้น “ถ้าคิดจะใช้เรื่องนั้นมาเป็นข้อต่อรองล่ะก็...กูบอกได้เลยมึงใช้ได้ไม่นานหรอก คิดว่ากูจะทนมึงตลอดไปหรือไง!”
“ทำไมเรื่องของมึงกูให้อภัยได้ แต่พอเป็นเรื่องของกูมึงกลับไม่ยอมลงให้เลย”
“มันไม่เหมือนกัน!”
ผมตอบแล้วผลักอกมันไปด้วย ไอ้เฟยเซถอยหลังเพียงนิดเดียวแต่ก็ยังยืนประจันหน้า “กูรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น กูถูกจองจำด้วยการกระทำของตัวเองตลอด ไม่เคยคิดว่าเป็นเพราะมึง เพราะเฮียอี้ เพราะแม่ หรือเพราะใคร ทุกอย่างเป็นความผิดของกูเอง กูเสียใจที่ทำแบบนั้น”
“มึงคิดว่ามึงเสียใจคนเดียวหรือไง!”
“ถ้าอย่างนั้นมึงมีอะไรก็พูดกับกูตรง ๆ สิ บอกกูมาว่ามึงรับไม่ได้ มึงเกลียดกู อย่าบอกว่าไม่เป็นไร อย่าบอกว่าให้อภัยกูถ้ามึงไม่ได้คิดจะลืมมันจริงๆ”
ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มันเหยียดริมฝีปากเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แววตามันวาวฉ่ำน้ำที่ไม่ไหลหยดลงมาแต่เอ่อคลออยู่ข้างใน
“กูรู้เรื่องมึงนอนกับเฮียตั้งแต่หกปีก่อนแล้ว”
เสียงนั้นเอ่ยสั่นราวกับกะเทาะเปลือกแห่งความจริงที่มันซ่อนไว้ทั้งหมดออกมา ความอ่อนแอ เกลียดชัง ผิดหวังอย่างที่ควรจะเป็น ผมน่าจะรู้ ใครมันจะไปยอมรับข้อผิดพลาดครั้งนั้นไหว “กูเห็นข้อความที่เฮียส่งหามึง ถึงตอนนั้นมึงจะหนีไปแล้ว แต่กูก็เปิดเจอ โทรศัพท์ที่มึงทิ้งไว้ เฮียมันไม่รู้ว่ามึงทิ้งกูไปแล้วถึงได้ส่งรูปตอนที่มึงนอนกับมันมาแบล็คเมล์ มึงตอบกูสิวิน กูควรจะรู้สึกยังไง กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมมึงถึงนอนกับเฮีย ทำไมมึงถึงได้ไปเอากับญาติกูที่เกลียดกูทุกอณูขนาดนั้น กูถูกทิ้งไว้ที่เดิมด้วยคำถาม ขณะที่มึงหายไปใช้ชีวิตใหม่ มีแค่กูที่จมอยู่กับความผิดหวัง ความพ่ายแพ้ กูไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรพลาดเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ กูอยากเล่นงานทั้งมึง ทั้งเฮีย กูเกลียดพวกมึงสองคนจนอยากจะฆ่าให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น เรื่องที่กูพูดวันนั้นกับเฮียอี้โกหกทั้งหมด กูไม่ได้เพิ่งมาค้น กูมีหลักฐานรอวันจะเล่นงานมันมานานแล้ว กูจะหลอกให้มันอยู่ในที่ที่คิดว่าตัวเองสูงที่สุดแล้วถีบมันลงมาเอง”
มือทั้งสองข้างแตะบนหัวไหล่ผม แรงบีบเกิดขึ้นเบา ๆ ก่อนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“จนกูมาเจอมึงอีก กูก็อยากจะทำลายมึงไม่ต่างจากมัน ถ้ามึงทำร้ายกูด้วยความรัก กูก็จะฆ่ามึงทั้งเป็นด้วยความรู้สึกนั้นด้วย กูจะทำให้มึงรัก รักจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วก็ทิ้งอย่างที่มึงทำ”
“เด็กนั่นกูเจอในผับหลังจากวันที่เราเจอกันที่ออฟฟิศแค่วันเดียว กูยื่นข้อเสนอให้มันว่าจะเลี้ยงดูแล้วค่อยเดินออกมาในวันที่กูเรียก แต่กลายเป็นว่ามันรักกูเข้าจริง ๆ กูดึงมันเข้ามาในเกมนี้เองวิน”
“ที่ต้องปิดมึง ต้องโกหกทั้งหมดเพราะไม่อยากให้มึงคิดมาก กูแคร์มึงมากนะวิน แต่กูก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองกับเขาเหมือนกัน วิน...อย่าให้กูต้องเป็นคนทำลายเด็กคนนั้นเหมือนที่เฮียอี้เคยทำกับมึงเลยได้ไหม ขอให้น้องมันทำใจหน่อย อีกนิดเดียวกูก็จะทำอย่างที่มึงต้องการ”
“กูไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น! เอาชัยชนะของมึงไปเถอะ!” ผมสูดน้ำมูก ยกมือกุมที่ท้องที่เริ่มปวดขึ้นมาอีกครั้ง พยายามขืนตัวออกจากการเกาะกุมแต่เป็นไปได้อย่างยากลำบาก “ถ้ามึงต้องการให้กูเจ็บ กูเจ็บแล้วเฟย พอใจมึงหรือยัง!”
“ไม่...กูไม่ได้ชนะ ไม่เคยชนะ ไม่ได้พอใจเลยสักนิดเดียว”
น้ำตาหยดใสร่วงลงจากกรอบตาแดงก่ำทั้งสองข้างในเวลาไล่เลี่ยกัน เฟยหลับตาลง ซ่อนความรวดร้าวทั้งหมดไว้ใต้เปลือกตาคู่นั้น ปากแดงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “รู้ตัวอีกที กูก็ทำร้ายมึงไม่ลง ยิ่งเห็นมึงเจ็บ ยิ่งเห็นมึงเสียใจกูก็ยิ่งเจ็บมากกว่านั้น ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันดีมาก มากจนกูทำลายมันไม่ได้ วิน ถ้ากูจะขอ สักครั้ง...อีกสักครั้ง แค่ครั้งเดียว”
จบประโยคนั้นเราต่างก็นิ่งงันกันไปชั่วขณะ ราวกับว่ารอให้ความคิดที่ขุ่นฟุ้งอยู่ในหัวตกตะกอน ผมเริ่มปวดท้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่ได้กินยาหลังอาหาร อีกส่วนคือโจ๊กเมื่อครู่กินไปแค่พอเคลือบกระเพาะ
“เริ่มต้นกันใหม่นะ ตี๋”
ผมไม่ทันได้ตอบก็งอตัวเข้าหากัน ไอ้เฟยเห็นท่าไม่ดี สีหน้าหน้าซีดเผือด มันช้อนตัวผมขึ้นในท่าเจ้าสาวแล้วรีบพาไปวางลงบนเตียงด้วยความตกใจ
“วิน...วิน เป็นยังไง ไปหาหมออีกไหม”
“ยา...”
ผมร้องขอ ยังไม่อาจให้คำตอบอะไรไปทั้งนั้น อาการที่กำเริบขึ้นมาส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเครียด กลไกทางร่างกายจึงหลั่งกรดเพิ่มในช่องท้องที่เป็นแผลอยู่แล้วมากัดกระเพาะ ผมจิกมือกับหน้าท้อง แต่มิ่งฟ้าก็สอดมือเข้ามาให้ผมบีบแทนเสียก่อน
“วิน ไหวไหม กินอะไรรองท้องเพิ่มไหม”
“ไม่...อยากนอน” ไอ้เฟยทำท่าลังเลแต่ก็ยอมพยักหน้า ขยับจัดผ้าห่มให้เข้าที่ ยกมือข้างที่ว่างขึ้นอังหน้าผากวัดว่าผมมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่
“เช็ดตัวไหม”
“ไม่ต้อง” ผมบอกอีกครั้งเสียงแผ่วและติดจะห้วน อาการป่วยทำให้หงุดหงิด มิ่งฟ้าผงกหัวรับรู้ก่อนใช้มือข้างที่อังหน้าผากเมื่อครู่มาลูบหน้าลูบตาผม สักพักเจ้าตัวก็เลื้อยลงไปนั่งข้างเตียง มีเพียงมือที่ยื่นมาสอดคั่นระหว่างเล็บผมกับหน้าท้องเท่านั้นที่สัมผัสกันอยู่
ผมข่มตาลง หวังว่าการหลับใหลจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่บรรเทาความเจ็บปวดให้ทุเลา
ถ้าเราเป็นเด็ก ๆ ก็คงดี ผิดก็ขอโทษ ง้อก็หายโกรธ ไม่อยากเจอหน้าก็แค่หนี
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
มือที่ประสานกันอยู่กระชับเข้าหากันแน่น ผมปล่อยให้น้ำใส ๆ ร่วงจากตา โดยได้แต่ภาวนาว่าสักวัน...สักวันหนึ่งมันจะเหือดแห้งไป
พร้อมกับฝันร้ายที่ทำลายหัวใจดวงนี้ให้ทรมาน
“พี่ตี๋เป็นยังไงบ้างครับ”ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อประตูห้องนอนถูกผลักออกในวันถัดมา เด็กหนุ่มรุ่นน้องชะโงกหน้าเข้ามาเป็นอันดับแรก ก่อนจะก้าวเข้ามาทั้งตัวเมื่อเห็นผมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“หลับอยู่หรือเปล่าพี่ ผมมากวนเหรอ”
“เปล่า ๆ ตื่นพอดี ว่าแต่มายังไงน่ะ”
“อ๋อ เจอพี่เฟยที่ห้างแถวมหา’ลัยน่ะครับ พอถามถึงพี่เลยรู้ว่าป่วย ผมเลยชวนอินทรีมาเยี่ยม ซื้อขนมมาฝากด้วย หายป่วยไว ๆ นะพี่ จะได้ลุกขึ้นมากิน”
น้องยู หนึ่งในรุ่นน้องไม่กี่คนที่ยังสนิทสนมกันอยู่พูดพลางยิ้มตาหยี ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันเมื่อมองลอดออกไปนอกประตูเห็นหลังอยู่ไว ๆ
“แล้วนั่นทำอะไรล่ะ” เห็นเดินวนไปมาหน้าตาไม่รับแขกหลายรอบแล้วก็อดถามถึงไอ้เด็กเศรษฐศาสตร์คนนั้นไม่ได้
“เถียงอะไรกับพี่เฟยข้างนอกไม่รู้ครับ ผมขี้เกียจฟังเลยหนีเข้ามาก่อน พี่เฟยบอกพี่เป็นแผลในกระเพาะเหรอครับ เพราะว่ากินข้าวน้อยแน่ ๆ ดูสิ ผอมจะแย่แล้ว”
“แค่ช่วงนี้น่ะ” ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “พอดีเครียดเรื่องงาน”
“เรื่องงานหรือเรื่องคน เอาจริง เห็นสภาพพี่เฟยดูไม่ค่อยสดใสเหมือนกัน"
“งานนี่แหละ”
โกหกแล้วเบือนหน้าหนี แต่ดูเหมือนรุ่นน้องคนดีจะไม่เชื่อ “เรื่องเด็กคนนั้นหรือเปล่าพี่ มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จาน่า พี่เฟยรักพี่ตี๋นะครับ”
ผมถอนหายใจ ไม่อยากจะเล่าแต่ยูก็เป็นคนเห็นเหตุการณ์ร่วมตั้งแต่ครั้งนั้น ปิดบังไปรังก็จะอึกอักพูดกันไม่เต็มปากเปล่า ๆ
“ถ้ารักก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก”
“โธ่ พี่...ผมก็ไม่รู้จะปลอบยังไงเลย” ยุทธนาเกาหัวแกรก มองผมด้วยความเป็นห่วง “แต่ผมไม่สบายใจนะที่พี่สองคนเป็นแบบนี้”
“ช่างมันเถอะ” พอนึกถึงขึ้นมาผมก็ไม่อาจควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติได้ รุ่นน้องยังคงโคลงหัว พยายามช่วยคิดหาวิธีแก้ แต่เรื่องของผมกับเฟยมันไม่สามารถจบได้ด้วยการปรับความเข้าใจธรรมดา ไหนจะเรื่องความเชื่อใจที่เคยมอบให้และถูกทำลายไปนั่นอีก ไม่ใช่ว่าชอบที่ความสัมพันธ์เราสั่นคลอนแบบนี้ แต่ผมก็ยังหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้
“แล้วยังไงถึงไปเจอเฟยที่นั่นได้ล่ะ มันไปหาน้องคนนั้นเหรอ”
“ก็...คงงั้นน่ะครับ ผมไปเจอตอนพี่เฟยกำลังเคลียร์กับเด็กนั่นพอดี อีกคนร้องไห้จ้าเลย น่าสงสาร”
“ร้องไห้?”
“เขาพยายามรั้งพี่เฟยไว้น่ะครับ แต่ว่าพี่เฟยบอกว่ายิ่งยืดเวลาให้น้องคนนั้น คนที่เจ็บคือพี่ตี๋ ผมเห็นแล้วก็โมโห ยิ่งเคยเจอก่อนหน้านี้แล้วด้วยเลยเดินเข้าไปคุย เกือบมีเรื่องกันแล้ว สุดท้ายไอ้อินต้องจับแยก ผมไม่เข้าใจนะว่าพี่เฟยจะเริ่มเรื่องนั้นทำไมทั้ง ๆ ที่มีพี่อยู่แล้ว แต่ก็พอเข้าใจว่าเห็นอีกคนอยู่ในสภาพนั้นจะทิ้งเขาง่าย ๆ ก็สงสาร”
“คงเป็นเพราะมันเกลียดกูล่ะมั้ง”
“โธ่ พี่ตี๋” เด็กหนุ่มครางในลำคอ ยื่นมือมาจับมือผม ฝ่ามือของน้องยูอุ่น เช่นเดียวกับแววตา “ถ้าเขาเกลียดก็คงไม่เลือกพี่”
“มันไม่ควรจะมีทางเลือกอื่นนอกจากกูตั้งแต่ต้นนะยู มันควรจะมีแค่กู เหมือนที่กูมีแค่มัน”
แรงบีบเกิดขึ้นแผ่วเบาราวกับพยายามปรามให้ใจเย็นลง ผมหลับตา ข่มหัวใจที่เต้นรัวด้วยโทสะให้ผ่อนจังหวะเนิบช้า “กูไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นคนเจอกับเรื่องพวกนี้ซ้ำ ๆ มันเจ็บว่ะ”
“ผมรู้ครับ” รุ่นน้องพูดพลางดึงผมไปซบบนบ่า เมื่อหัวจรดกับไหล่ลาดก็รู้สึกราวกับความเจ็บปวดที่มีถูกถ่ายถอนออกไปบ้าง “ถ้าจะผิดก็คงเป็นเพราะความรักมันห้ามกันไม่ได้ ทุกเรื่องคงง่ายกว่านี้ถ้าน้องเขาไม่ได้รักพี่เฟย และพี่เฟยเย็นชาได้เท่ากับที่พยายามแสดงออกมาจริง ๆ”
“ก็เลยกลายเป็นกู ที่ต้องทำใจยอมรับทุก ๆ อย่าง ยอมแบ่งส่วนหนึ่งของคนรักตัวเองให้คนอื่น ยอมเข้าใจว่าเฟยมันทำดีที่สุดแล้ว...”
ยูเงียบไปอย่างหมดคำพูด ยกมือขึ้นลูบหลังผมเพียงแผ่วเบาราวกับว่าจะปัดเป่าทุกความโชคร้ายให้หมดไป ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่อยากทำให้น้องเห็นว่าอ่อนแอ อาจจะเหนื่อย แต่ผมไม่อยากเป็นคนขี้แพ้ที่จมกับรอยน้ำตาของตัวเองอีก
“พี่เฟยเคยสอนผมว่าคนคบกันถ้าเลิกกัน ก็ไม่อยากให้เลิกทั้งที่ยังรัก ให้เลิกกันเพราะไม่รักกันแล้วดีกว่า ไม่มีทางจะกลับไปดีกันเลยเหรอครับพี่ตี๋”
ผมตอบน้องไม่ได้ ประโยคนั้นเมื่อนานมาแล้วไอ้เฟยก็พูดกับผม และมันใช้ได้ดีเสมอมา เราต่างก็เชื่อแบบนั้น ทุกครั้งที่ทะเลาะกันถึงได้ไม่เคยเลิกกันจริงเสียที ยูถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอกก่อนพูดต่อ
“พี่เฟยไม่ได้บอกให้ผมมาช่วยพูดหรอกนะครับ แต่ผมเป็นห่วงทั้งพี่ตี๋ทั้งพี่เฟย ที่เป็นอยู่นี่สุขภาพก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ พี่เครียดลงกระเพาะ พี่เฟยก็โทรม พี่สองคนรอที่จะกลับมาเจอกันนานมากไม่ใช่เหรอครับ มัวแต่ทะเลาะกันน่าเสียดายที่อุตส่าห์ได้กลับมาเจอกันนะครับ”
จบประโยคนั้นก็เหลือเพียงความเงียบงันในห้องสี่เหลี่ยม ผมทบทวนความรู้สึกของตัวเองบางอย่างที่ลอยตลบราวกับอยู่ในหมอกควัน ยูไม่ได้คาดคั้น ไม่ได้ยุแหย่ ยังคงนั่งนิ่ง ๆ เป็นเพื่อนผมกระทั่งเสียงประตูห้องถูกผลักออก เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาผิดระเบียบก็ยืนกอดอกหน้ามุ่ย
“ทำไมต้องกอด”
“ก็พี่ตี๋น่ารัก” น้องยูเปลี่ยนโหมดทันที หันไปยักคิ้วยวนกวนคนอารมณ์เสียให้อินทรีหน้าตึงกว่าเก่า
“ผมก็น่ารัก” เด็กหนุ่มบอกเสียงทุ้ม อาการที่เห็นห่างไกลจากคำว่าน่ารักไปเป็นปีแสง แต่ก็เรียกรอยยิ้มให้คนรักและผมได้ง่าย ๆ ยุทธนาโคลงหัว ดึงผมเข้าไปกอดแล้วหอมแก้มตอนเผลอ ผมตกใจแต่ดูเหมือนจะมีอีกคนตกใจกว่า อินทรีร้องเรียกเสียงลั่นจนผมเผลอหดคอเข้าหากัน
“ยู! ทำบ้าอะไรวะ”
“ฮ่า ๆ ล้อเล่นน่า ซีเรียสไปได้ ไหน เมื่อกี้ไปช่วยพี่เฟยหั่นเห็ดหอมหรือยัง”
พอเห็นแฟนตัวเองผละออกจากผม อินทรีก็ชูนิ้วที่พันปลาสเตอร์ติดแผลโชว์ น้องยูหัวเราะร่วนลงคอเดินไปหา ดึงมือใหญ่มาจูบเบา ๆ ให้แก้มของคนตัวโตกว่าแดงก่ำ “พอใจยาง”
“ยัง ยูไม่อยู่ไอ้บ้านั่นมันเกือบเอามีดแทงผม ขวัญเสียหมดเลย ปลอบผมอีกดิ”
“อันนี้กวนตีนละว่ะ” ยุทธนาพูดพลางผลักหัวแฟนหนุ่มไปด้วย อินทรีไม่ยอมหยุด สวมกอดจากด้านหลัง เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดัง ทั้งสองคนเล่นกันราวกับโลกนี้เหลืออยู่เพียงความสุขที่เหลืออยู่
นึกถึงตัวเองตอนที่มีมัน ช่วงที่รักกันมันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนดีไม่ต่างจากรุ่นน้องทั้งสองคนเลยสักนิด
ผมเหลือบตามองไอ้เฟยนอกประตูโดยอัตโนมัติ มันสบตาผมครู่เดียวก็หันหลังกลับเข้าครัว ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างเรา แต่กลับมีเสียงความสุขของแขกผู้มาเยือนดังลั่นท่ามกลางความอึมครึมที่ปกคลุมรอบกาย
ผมรู้ว่าเฟยเคยไปเรียนที่อังกฤษ รู้ว่ามันทำอาหารแบบง่าย ๆ กินเองเป็นแต่เพิ่งรู้วันนี้ว่ามันทำโจ๊กอร่อย โจ๊กกุ้งใส่เห็ดหอมโรยหน้าด้วยผักชีหั่นฝอยรสชาติกลมกล่อมด้วยน้ำซุปกระดูกหมูที่ผ่านการเคี่ยวมาหลายชั่วโมง ผมไม่ได้ออกจากห้องเลยถึงเพิ่งรู้ว่ามันเปิดไฟอ่อน ๆ ตุ๋นน้ำซุปไว้ตั้งแต่ก่อนออกไปทำงานในตอนเช้า
หลังจากมื้อเย็นสำหรับสี่คนที่น้องยูกับแฟนกินไปทะเลาะกันไปสิ้นสุดลง ผมก็ถูกบังคับให้กินยาและเข้านอนก่อน ไอ้เฟยกลายเป็นคนเก็บถ้วยชามไปล้างทั้ง ๆ ที่เดิมทีเป็นหน้าที่ของผม เห็นได้ชัดว่าอะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป เฟยไม่ได้พูดเรื่องขอกลับมาดีกันอีกแต่กำลังดูแลผมอย่างสุดความสามารถที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้
สิ่งที่ผมรักมันขนาดนี้อาจเป็นเพราะเรื่องการกระทำที่มันทำให้ผมรับรู้ได้ด้วยหัวใจ ตราบใดที่อยู่ในสถานะที่ไม่ได้อยากได้ยินมันพูด มิ่งฟ้ามักจะฉลาดที่จะแสดงออกมาให้ผมรู้สึกเสมอ ๆ
ผมนอนคิดอยู่ในความมืด เฝ้าถามกับตัวเองว่าทำไมความผิดครั้งนั้นเฟยถึงให้อภัยทั้งที่ความจริงแล้วควรเรียกว่าเกลียดเข้ากระดูกดำ ทำไมเฟยถึงใจดีกับเฮียอี้ และเป็นห่วงเด็กคนนั้นโดยยินดีจะแบกรับทุกอย่างไว้เพียงคนเดียว
และทำไมความชั่วร้ายที่เป็นด้านมืดบอดนั้น จึงยอมสารภาพให้ผมเห็นถึงความอ่อนแอของตัวเองออกมาได้แต่โดยดี
คนเรามักจะทำตัวไม่น่ารัก เมื่อไม่ได้เป็นที่รัก คล้ายกับเด็กเกเรจะทำตัวเกเรมากขึ้นเมื่อถูกดุ ตรงกันข้าม เด็กดีมักจะทำตัวให้ดีมากขึ้นเมื่อได้รับคำชม
คนที่ได้รับความรัก ก็จะเผื่อแผ่ความรักให้คนรอบกายไปด้วย ผมไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้ใช้ได้จริงหรือไม่ แต่ก็คล้ายจะเป็นคำตอบเดียวของการกระทำทั้งหมดของมิ่งฟ้าในวันนี้
ไฟด้านนอกมืดดับลงในเวลาถัดมา ผมข่มตาให้ปิด เหลือเพียงแสงรำไรจากไฟโคมเหนือหัวเตียงเท่านั้นที่นำพาเจ้าของห้องให้กลับมาบนเตียงกว้าง เสียงกริ๊กดังขึ้นเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนไฟดวงเดียวที่เปิดอยู่จะปิดลง เอวผมถูกดึงรั้งให้ขยับไปชิดอีกฝ่าย อกแกร่งที่แนบมาจากด้านหลังขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ เฟยกระซิบเสียงแผ่วเบาก่อนจูบที่ต้นคอผมอย่างที่มันชอบทำในทุก ๆ คืน
“วิน กูขอโทษ”สรุปแล้วตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมลายาวตั้งแต่วันจันทร์ แรกเริ่มอาจเป็นด้วยเรื่องส่วนตัวแต่นับจากวันพุธเป็นต้นมาเพราะอาการปวดท้องที่ค่อนข้างรุนแรง ไอ้เฟยมาทำงานเป็นปกติ แต่ทุกเช้าจะทำอาหารอ่อน ๆ ทิ้งไว้ให้ ส่วนตอนเที่ยงก็จะแวะเข้ามาดูอาการแล้วกลับไปทำงานอีกทีในช่วงบ่าย
ผมกับมันยังคงปราศจากคำพูดใด ๆ ต่อกัน หากแต่ความโกรธเคืองกลับบรรเทาลงเพียงแค่เพราะเห็นหน้ากันทุกวัน มองชีวิตประจำวันที่ถูกมันเติมเต็มให้รู้สึกว่าผมไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงคนเดียว
ดินสอไม้สีครีมถูกหมุนไปมาในมือ ส่วนมืออีกข้างใช้เป็นคานยันสำหรับเท้าคางลงฝ่ามือ ตากลมมองจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดงานทิ้งไว้อย่างเหม่อลอย ก่อนเหลือบไปทางประตูทางเข้าที่พี่วิชิตเพิ่งกลับจากไปเยี่ยมชมไซต์ที่หัวหิน งานโรงแรมของคุณนภทีป์เขานั่นแหละ หอบแบบพะรุงพะรังหน้ามุ่ยไม่รับแขก
“ว่างเหรอเอ็ง”
“เปล่าครับ” ผมตอบแล้วหยุดหมุนดินสอ หยิบหมอนอิงขึ้นมากอด “คิดงานไม่ออก”
“มัวแต่คิดเรื่องอะไรล่ะ เป็นไง ดีกันหรือยัง”
“คราวนี้ทำไมเชียร์ให้ดีกันล่ะครับ ไม่เชียร์พี่เชนทร์แล้วเหรอ”
“รายนั้นยุไปก็เสียแรงเปล่า เดี๋ยวนี้ดูเข้ารูปเข้ารอยกับโน้ตดีแล้วด้วย กูว่านะ เมื่อก่อนที่ไอ้เชนทร์มันเจ้าชู้เพราะเรียกร้องความสนใจจากโน้ตแน่เลยว่ะ แต่เสือกไม่เป็นไปตามเกม โน้ตมันนิ่ง ไม่พอใจก็ต่อยลูกเดียวไม่โวยวายให้ความสำคัญไอ้เชนทร์เหมือนมิกกี้ เดี๋ยวนี้คงรักกันดีไม่ค่อยเห็นไอ้เชนทร์แก้มเขียว เห็นแต่คอโน้ตเป็นจ้ำ”
“พี่ชิตก็เมาท์เขา”
“มึงสังเกตดิ ไอ้เชนทร์ไม่วอแวใครโน้ตมันก็ใส่ใจดี ก่อนหน้านี้เดี๋ยวก้อร่อก้อติกมึงที ไอ้มิกที โน้ตไม่เห็นหัวเชนทร์เลย หรือคนเจ้าชู้มันต้องจัดการแบบนี้วะ”
ผมส่ายหน้า มองเข้าไปในห้องกระจก เห็นคนเจ้าชู้อีกคนกำลังนั่งเคร่งเครียดกับงานอยู่ “ไม่รู้สิครับ เกิดมายังไม่เคยเจ้าชู้ คบใครคบทีละคนตลอด”
“แต่เปลี่ยนบ่อย”
“วันไนท์แสตนด์ไม่เรียกว่าคบสิ” ผมหัวเราะในลำคอขณะตอบคำถาม จะว่าไปตัวเองก็มีมลทินเยอะจนไม่น่าให้อภัยเหมือนกัน
“แล้วมีปัญหาอะไรวะ ทำไมถึงยังไม่ดีกันอีก มันยังไม่เลิกกับเด็กนั่นเหรอ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ไม่ได้ตามแล้ว แต่มีรุ่นน้องมาบอกเหมือนกันว่าเฟยไปเคลียร์แล้ว แต่เขาไม่ได้บอกผมตรง ๆ” ตอบตามที่ได้ยินมา ส่วนที่เหลือก็ไม่รู้ ผมไม่ได้ตามแล้ว ยังอยู่กับความลังเลสองจิตาสองใจของตัวเอง
ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้อภัย
แต่อีกใจ...ก็ไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบลงแบบนี้เลย
“แล้วหายโกรธเขาหรือยังล่ะ”
“ก็...หายแล้วมั้งครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนั้นมันหายไปตอนไหน วันแรกที่รู้จะเป็นจะตายเสียให้ได้ แต่ ก็ยังไม่กล้ากลับไปคบกันเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นได้เหมือนกัน” พูดพลางถอนหายใจ ยังคงจับจ้องไปยังห้องกระจก คนที่เป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในนั้นยืดแขน เหยียดขาพลางยกมือขึ้นนวดขมับ ผมเผ้าที่รวบไว้เริ่มรวงลงมาระสายตา เห็นแล้วก็อยากเข้าไปรวบให้เรียบร้อยสักที
“แบบนี้แหละ คนเราพอรักกันมาก ๆ มันก็คาดหวังมาก รักแรก ๆ เราก็มองเหมือนตุ๊กตาน่ากอด ไม่ได้รู้หรอกว่าที่จริงมันคือกระบองเพชร รู้ตัวอีกที ไอ้รักที่เต็มไปด้วยความคาดหวังมันเลยทำให้คนที่กอดแน่น ๆ เจ็บปวดไปด้วยแล้ว”
ตั้งใจฟังผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัวเอ่ยสอนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ”แต่คนเราก็จะเยียวยาแผลเหล่านั้นได้ด้วยคำว่าให้อภัยนะ วนกลับไปเป็นลูปเมื่อเราให้อภัย เราก็จะรัก”
ผมพยักหน้า ยังคงจับจ้องไปยังคนในห้องกระจก มิ่งฟ้าลืมตาขึ้น ขยับตัวนั่งตรง จังหวะถัดมาที่ผมมองมันด้วยแววตาของความคิดถึงและโหยหา มันก็หันหน้ามาสบตากันพอดิบพอดี
ผมเบนสายตาหลบ จู่ ๆ แก้มก็ร้อนผ่าวเหมือนเด็กที่ประท้วงพ่อแม่ด้วยการอดข้าวแล้วแอบมากินขนมตอนดึก ๆ
แย่ที่สุดก็คือ เด็กคนนั้นโดนจับได้และไม่รู้จะแก้ตัวว่ายังไงดี
“วายุ”เสียงทุ้มของคนที่ควรอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวเมื่อครู่ดังขึ้นขณะผมเอาแต่ก้มหน้ามองมือที่ประสานกันอยู่ใต้โต๊ะ เหลือบหางตามองพี่ชิตที่แสร้งทำเป็นขยันขันแข็งขึ้นมาทันทีก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกอย่างเลี่ยงเสียไม่ได้ มิ่งฟ้ายืนนิ่งเก้ ๆ กัง ๆ พักใหญ่ก่อนจะยื่นลูกอมมาให้ เบือนสายตาหนี เลียริมฝีปากสีสดของตัวเองไปด้วย
“เผื่อง่วง”
พูดจบก็พลิกตัวกลับ พี่ชิตหัวเราะในลำคออยู่ข้าง ๆ ขณะที่ผมร้อนฉ่าไปทั่วหน้า มองลูกอมบนฝ่ามือแล้วก็แกะกิน เก็บซองที่เหลือพับไว้กับสมุด
“ง้อกันน่ารักดีว่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าวัยทำงานกันแล้ว”
“พูดมากว่ะพี่ชิต” แสร้งทำเสียงแข็ง หยิบกระดาษบนโต๊ะมาขยำแล้วปาใส่หลังกว้าง “ทำงานไปเลย!”
TBC
นี่เราเอานุ้งอินพี่ยูมาเส้นเลยนะ สงสารพี่เฟยเถิดท่าน ฮาาาา เหตุผลของพี่เฟยนี่ไม่รู้จะทำให้คนอ่านเมตตาหรืออยากกระทืบซ้ำ แต่มองว่านางเป็นคน ๆ นึง ที่เจ็บได้ ร้องไห้เป็นเถอะนะ /กรีดร้อง
คืนนี้มาดึกมาก เข้าวันใหม่แล้ว พอดีมีอุบัติเหตุกับชีวิตนิดหน่อย ขอโทษที่ทำให้รอด้วยนะคะ
เจอกันวันอาทิตย์หน้าค่ะ
