► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)  (อ่าน 51288 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0




ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2015 22:10:15 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ด้วยแรงบันตาลใจจากบทประพันธ์เรื่อง "แผลเก่า" ของ "ครูไม้ เมืองเดิม"
ดัดแปลงสู่เรื่องราวของความรักที่ผูกพันกับคลองแสนแสบอย่างที่คุ้นเคย
แต่นี่จะไม่ใช่ขวัญและเรียม หนุ่มสาวแห่งทุ่งบางกะปิแบบที่มีใครเคยได้อ่าน
เพราะขวัญและเรียมใน "เพลงปีกผีเสื้อ" นี้จะเติบโตในราชสกุลใหญ่ที่รู้จักไปทั่วทั้งพระนคร
รูปร่างหน้าตาดี ร่ำรวย มีการศึกษา เติบโตมาพร้อมกับชีวิตที่หรูหรา

...และทั้งคู่เป็นผู้ชาย

ลืมโศกนาฏกรรมทางความรักและความพลัดพรากแบบเดิม ๆ ทิ้งไป
โลกเปลี่ยนไปแล้ว
ที่คลองแสนแสบนับจากนี้จะเหลือแค่เพียงความรักของขวัญและเรียมที่ทุกคนต้องอิจฉา


เปิดเรื่องใหม่แล้ว คราวนี้เป็นแนวพีเรียด ฝากติดตามกันด้วยนะครับ >///<


:L2: สารบัญ :L2:

ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒.๑
ตอนที่ ๒.๒
ตอนที่ ๓.๑
ตอนที่ ๓.๒
ตอนที่ ๔
ตอนที่ ๕
ตอนที่ ๖
ตอนที่ ๗
ตอนที่ ๘
ตอนที่ ๙
ตอนที่ ๑๐
ตอนที่ ๑๑
ตอนที่ ๑๒
ตอนที่ ๑๓
ตอนที่ ๑๔
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2015 22:27:43 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0

ตอนที่ ๑



จังหวัดพระนคร พุทธศักราช ๒๕๐๗



เพียงชั่วขณะที่สายลมกลับมาพัดไหว ผีเสื้อตัวน้อยที่เกาะยอดผักบุ้งริมน้ำก็กระหยับปีกขึ้น กังหันลมสีฟ้าตรงขอบหน้าต่างเริ่มหมุนเป็นเกลียววนอีกครั้ง ลมเย็นแผ่วนั้นผสานกับเสียงขลุ่ยแว่วหวานเกิดท่วงทำนองอันเป็นสีสันคล้ายยินเสียงนกตัวน้อยขับขานบทเพลงไพเราะอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทั้งหมดล้วนเป็นบรรยากาศอันปรกติในอาณาเขตขัตติยพงศ์ที่ใครต่อใครในละแวกอำเภอบางกะปิต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เสียงยวบบนไม้กระดานดึงดวงตาที่ทอดมองอยู่บนวงกระเพื่อมน้ำให้กลับมายังบานประตู ปลายนิ้วซึ่งพลิ้วไหวอยู่บนขลุ่ยฝรั่งหน่วงจังหวะช้าลงก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหวลงสนิทในตอนที่เสียงเคาะปึงปังดังขึ้นหน้าห้อง

“คุณชายครับ คุณชายขวัญ”

คนที่ถูกเรียกชื่อวางฟลุตลงบนที่หน้าตัก

“เยื้อนหรือ มีอะไร”

สิ้นเสียง ผู้ชายในเชิ้ตแขนสั้นสีขาวก็ชะโงกหน้าที่ซึมไปด้วยเหงื่อออกมาจากหลังมุขประตู

“แหม...วิ่งเสียเหนื่อย โทรศัพท์จากท่านพ่อครับ”

“รู้หรือเปล่าว่าเรื่องอะไร”

เจ้าเยื้อนส่ายหัวแทนคำตอบ คิ้วหนาเข้มของขวัญสรวงมุ่นขึ้นเพียงน้อยในตอนที่ลุกตามบ่าวคนสนิทลัดผ่านโถงออกไปที่ด้านล่างของเรือนริมน้ำ




เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตละสายตาจากเอกสารเบื้องหน้าขึ้นมาแล้วกลับมาสนทนากับบุตรชายผู้เอ่ยทักทายจากอีกฝั่งของสาย

“ท่านพ่อ”

“ช่วงนี้ชายติดธุระอะไรไหม”

ขวัญสรวงปฏิเสธ

ได้ยินแล้วผู้เป็นบิดาก็ผ่อนลมหายใจเหมือนวางของหนักลงจากสองแขน “ชายขวัญคงรู้จากแม่พิศแล้วว่าพ่อจำต้องขึ้นไปราชการด่วนที่ทางเหนือสักสี่ห้าวัน แต่อีกสองวันจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินมารังวัดที่ ชายพอจะช่วยเป็นธุระให้ได้ไหม”

“ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ครับท่านพ่อ ผมจะช่วยดูให้อย่างดี”

“ถ้าอย่างนั้นพ่อคงเบาใจ เจ้าของที่ดินริมน้ำติดรั้วเรากำลังจะขายที่ให้กับเจ้าของใหม่ ถึงอย่างไรเราก็อยู่ตรงนี้ เป็นเหมือนเจ้าบ้าน ถ้าคุณหญิงและขวัญไปด้วยน่าจะดีกว่าจะให้ทนายทรงเดชเป็นธุระเพียงลำพัง”

“ใครกันนะครับที่จะมาซื้อที่ตรงนี้”

“ข่าวว่าไม่ใช่พ่อค้าวานิชแต่เป็นข้าราชการระดับสูงในกรม”

แม้ขวัญสรวงจะนึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็รับคำผู้เป็นบิดาอย่างมั่นเหมาะ




คุณหญิงแม้นพิศมองดูบุตรชายที่สนทนาโทรศัพท์กับผู้เป็นบิดาจากศาลาริมน้ำ ยิ่งมองก็ยิ่งพาลให้ปลื้มใจเป็นนักหนา ด้วยว่าร่างสูงใหญ่นั้นช่างงามสง่า ดั่งมิ่งมงคลของสวรรค์ชั้นฟ้าไม่ต่างกับชื่อที่สมเด็จทรงพระราชทานให้เลย

ม.ร.ว. ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ เติบใหญ่เป็นหนุ่มรูปงามนัก ขวัญสรวง หรือที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกว่าคุณชายขวัญเพิ่งล่วงเบญจเพสมาไม่กี่เดือน แม้ผิวจะไม่เข้มคล้ามแดดแบบชายชาติทหาร แต่บุตรชายของหล่อนก็มีรูปร่างกำยำ หัวไหล่ผึ่งผายงามสง่าไม่แพ้ผู้เป็นบิดา นิสัยที่แม้จะดูมุทะลุในบางครั้งแต่ก็รู้รับผิดชอบดี ทั้งมีสติปัญญาหลักแหลม กอปรกับรู้จักเจรจาพาทีและมีนิสัยไม่ถือตัว นับไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อขวัญสรวงจะเป็นที่หลงใหลใฝ่ฝันของเด็กสาวตลอดคลองบางกะปิ ถ้าไม่ติดที่คฤหาสน์หลังนี้อยู่ในอำเภอชั้นนอกของพระนคร เสียงล่ำลือถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของเธอคงกระฉ่อนไปค่อนเมืองเสียกระมัง  แม้นหากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผู้เป็นมารดาผิดหวังในตัวขวัญสรวง คงจะเป็นเรื่องนิสัยใฝ่ในเสียงดนตรีแทนที่จะรับราชการในกระทรวงกลาโหมเฉกผู้เป็นบิดาเช่นคฤหัสน์ในราชสกุลอื่น ๆ เขาทำกัน ดูเถอะดู ส่งไปร่ำเรียนเมืองฝรั่งมังค่าพ่อก็ยังอุตส่าห์แอบไปเรียนดนตรีพ่วงมาให้ขัดใจผู้เป็นมารดาเล่นเสียอย่างนั้น

คิดแล้วก็น่าเสียดาย แต่เอาเถิด ถ้ามีโอกาสเธอจะลองคุยเรื่องนี้กับท่านชายเขียนนิรมิตดู




ขวัญสรวงเดินออกมาจากเรือนด้านใน ดวงตานิ่งสุขุมมองหาเยื้อน ผู้ที่เป็นทั้งบ่าวและเป็นทั้งเพื่อนเล่นมาแต่ครั้งเยาว์ หากแต่ความคิดทุกอย่างก็หยุดลงเมื่อพบกับคุณหญิงแม้นพิศและสายบัว แม่ครัวคู่มือนั่งส่งยิ้มอยู่ข้างคนที่มองหาในศาลาไม้สีขาวเยื้องจากเรือนแฝดไปไม่ไกล เจ้าของแผ่นหลังกว้างจึงค่อยเดินลัดเงาพะยอมที่แผ่ร่มสีเขียวครึ้มเรี่ยคลองมาที่ริมน้ำ

“หม่อมแม่”

หญิงวัยกลางคนผู้ถูกเรียกค้อนให้กับบุตรชายที่เข้ามาสวมกอดอย่างไว้ตัว

"มาถึงตั้งแต่เมื่อไรครับ"

"สนใจแล้วหรือ นึกว่าวัน ๆ สนใจแต่ขลุ่ยฝรั่งนั่น"

ขวัญสรวงอมยิ้ม หอมแก้มคนหน้าบึ้งอย่างประจบ

“พอ ๆ ลูกคนนี้" ร่างท้วมยิ้มให้อย่างเอ็นดู

"น่าจะบอกก่อน ผมจะได้ไปรับ"

"ไม่ต้องลำบากหรอก แม่ให้นายเปี๊ยกขับรถมาส่งก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร" มืออวบอูมยกขึ้นจับแขนลูกชายด้วยความคิดถึง "ชายขวัญหิวไหม แม่ทำปอเปี๊ยะกุหลาบ เอามาจากวังแน่ะ”

ขึ้นชื่อว่าอาหารชาววัง คุณหญิงแม้นพิศมีฝีมือประดิดประดอยไม่เป็นรองใคร ด้วยหม่อมประไพจำรัสผู้เป็นย่านั้นเคยถวายตัวเป็นนางข้าหลวงมาตั้งแต่ปลายรัชมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ห้า ฝีมือนั้นตกทอดมาถึงหม่อมแม้นพิศผู้เป็นหลานราวกับลอกลายบนผ้า นอกจากบุตรชายที่เธอปลื้มใจจนออกหน้า เห็นจะมีก็เรื่องอาหารตำรับชาววังที่หญิงร่างท้วมยึดอกได้อย่างภาคภูมิ การันตีได้ว่าอาหารทุกอย่างที่ผ่านฝีมือของหล่อนล้วนอร่อยจนลืมกลืนถึงกับออกปากทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แขกที่แวะเวียนมาบ้างในบางเพลา หรือกระทั่งคนในครอบครัวอย่างท่านชายเขียนนิรมิตและขวัญสรวงที่คุ้นลิ้นมาตั้งแต่เด็ก

เห็นริมฝีปากผู้ชายตัวโตยิ้มกริ่ม หม่อมแม้นพิศก็หันไปสั่งบ่าวคนสนิท

“แม่สายบัว เดี๋ยวช่วยจัดใส่จานให้ชายขวัญสักชุด เลือกที่กลีบดอกแย้มสวยเท่านั้นนะ แนบผักแนมพอดีคำแล้วยกมาที่นี่ อ้อ...บุบน้ำแข็งใส่น้ำกระเจี๊ยบในตู้เย็นแล้วยกมาเคียงกันด้วย”

ขวัญสรวงยิ้มในความประณีตจนถึงเจ้ากี้เจ้าการของผู้เป็นมารดา หม่อมแม้นพิศจุกจิกแค่ไหนแต่ก็เป็นที่รักของบ่าวไพร่ทุกคนด้วยเนื้อแท้ที่อัธยาศัยไม่ถือตัว

“ขอเป็นที่ห้องในตึกใหญ่ดีกว่าครับ อยากดูเอกสารเรื่องการรังวัดที่เสียหน่อย”

“งั้นก็ตามใจ” หม่อมแม้นพิศวาดพัดลูกไม้ในมือ “สนใจงานราชการพวกนี้ไว้บ้างก็ดี ชายขวัญเป็นลูกผู้ชาย ควรจะรับราชการสนองคุณแผ่นดิน จะมานั่งเป่าปี่เป่าขลุ่ยเป็นพระอภัยมณีแบบนี้เห็นจะไม่ได้เรื่อง”

“โธ่...หม่อมแม่ ผมไม่คล่องงานเอกสารพวกนี้หรอกครับ ให้เป็นตัวแทนท่านพ่อเป็นครั้งคราวคงพอได้ แต่จะให้ออกหน้าเต็มตัวคงไม่ไหว สู้ให้ไปจับจอบเสียมแบบเจ้าเยื้อนยังถนัดมือกว่า”

“เอ๊ะ! ลูกคนนี้นี่”

ผู้เป็นมารดาฟังแล้วแทบล้มราบลงกับตั่งไม้สักด้วยรู้ดีกว่าขวัญสรวงเป็นคนพูดทีเล่นทีจริงแค่ไหน ไม้ใหญ่ที่ครึ้มร่มรื่น ตลอดจนไม้ดอกไม้ผลที่งอกงามตลอดทั้งปีของคฤหาสน์หลังนี้ล้วนแสดงให้เห็นฝีมือของบุตรชายได้เป็นอย่างดีแล้วว่าขวัญสรวงมีฝีมือด้านนี้ไม่ใช่แค่ราคาคุย

เหมือนท่านชายอย่างกับแกะพิมพ์!

สำหรับใจของผู้เป็นแม่แล้ว แม้อยากให้ขวัญสรวงกลับไปอยู่ที่วังใหญ่ในพระนครกับเธอให้ใกล้หูใกล้มือเพียงไหน ทว่าอีกใจ หม่อมแม้นพิศกลับยอมรับกับตนเองกลาย ๆ ว่าการที่บุตรชายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก ด้วยหากอยู่ในวังเช่นครอบครัวปรกติทุกวันหยุดสุดสัปดาห์สองพ่อลูกคงไม่แคล้วพากันหยิบจอบเสียมไปรดน้ำพรวนดินต้นไม้ทั่วทั้งวังกับเจ้าเยื้อนให้แสลงใจอยู่ร่ำไป

“ก็หัดเอาไว้สิ ของแบบนี้มันฝึกกันได้ จบก็ตั้งเมืองนอกเมืองนา ความสามารถก็ใช่ไม่มี จริงไหมเจ้าเยื้อน”

“ไม่จริงจ้ะ” บ่าวผิวเข้มฉีกยิ้มกว้างแล้วพลันส่ายหัวยิก “เมืองนอกน่ะก็ใช่นะหม่อม แต่คุณชายขวัญแกรักการดนตรีนัก เห็นจะไม่เหมาะกับกระทรวงกลาโหมแบบคุณท่านมังครับ”

“พูดได้ดีมากเยื้อน” ขวัญสรวงหัวเราะชอบใจ

ผิดกับหม่อมแม้นพิศที่ค้อนปะหลับปะเหลือก ถึงจะแสดงออกว่าไม่ชอบใจเป็นนักหนา แต่หัวอกของผู้เป็นมารดาก็ไม่เคยคิดขัดใจผู้เป็นลูกชายได้เลยสักครั้ง




คฤหาสน์แห่งนี้แม้จะไม่ใช่ที่อยู่อาศัยหลักของราชสกุลขัตติยพงศ์แต่ก็มีอาณาเขตกว้างใหญ่สมฐานะ เป็นสัดเป็นส่วน ทั้งอาคารฝรั่งสองชั้นที่ออกแบบด้วยสถาปนิกต่างชาติ ก่อสร้างด้วยปูนและประยุกต์การตกแต่งแบบยุโรป อีกส่วนคือเรือนไม้สักทองที่ปลูกแบบไทย โดยมีศาลาไม้สีขาวริมน้ำเป็นเรือนแฝดที่ปลูกเคียงกันตามลำดับ ด้านหลังเรือนแฝดเป็นโรงม้าขนาดเล็กซึ่งเป็นที่อยู่ของโนอาห์ ม้าพันธุ์เธอโรเบร็ตสีขาวนวลอายุแปดปีเศษ พื้นที่ทั้งหมดโอบรอบด้วยรั้วปูนทาสีโอลด์โรสตัดกับสีขาวเป็นกำแพงชั้นนอก แลห้อมล้อมด้วยพรรณไม้ใหญ่ด้านในเป็นกำแพงธรรมชาติอีกชั้น หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตเลือกอำเภอบางกะปิที่ค่อนข้างห่างไกลจากความวุ่นวายของตัวเมืองอย่างย่านเจริญกรุง เยาวราช หรือวงเวียนราชเทวีปลูกคฤหาสน์หลังนี้ขึ้่นมาสำหรับใช้พักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดแทนที่จะเป็นที่ชายทะเลแถบบางปูแบบข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรมคนอื่น ๆ เพราะนอกจากจะสะดวกในการเดินทางกว่าแล้ว ท่านชายยังรักธรรมชาติและหลงใหลในทัศนียภาพของสองฝั่งคลองบางกะปิหรือคลองแสนแสบเป็นส่วนองค์ แม้ปัจจุบันเรือกสวนไร่นาจะทยอยเปลี่ยนเป็นอาคารบ้านเรือนตามถนนที่ตัดผ่านไปมากจนแทบไม่เหลือเค้ากลิ่นโคลนสาบควายดังแต่ก่อน กระนั้นบางกะปิแห่งนี้ก็ยังคงเสน่ห์ลึกล้ำแบบที่หาไม่ได้ในอำเภอชั้นในไหน ๆ ของพระนคร ปรกติแล้วคฤหาสน์แห่งนี้ปลูกไว้เหมือนสร้างเปล่า นานทีปีหนท่านชายและหม่อมจะเสด็จมาพักผ่อนสักครั้ง หากแต่เมื่อขวัญสรวงกลับจากยุโรปหลังสำเร็จการศึกษาก็ถือวิสาสะย้ายมาพำนักที่คฤหาสน์แห่งนี้แทนวังใหญ่ด้วยพึงใจในวิถีชีวิตเรียบง่ายของที่นี่กว่าแสงสีในนคร

นับจากวันนั้นก็เป็นเวลาสองปีกว่าเข้าไปแล้ว

ขวัญสรวงละสายตาจากเอกสารปิดผนึกจากกรมที่ดินในเวลาโพล้เพล้ จากริมหน้าต่างของตึกฝรั่ง ขอบฟ้าเหมือนถูกเด็กมือบอนจุ่มพู่กันแต้มด้วยสีแสด เกลี่ยสีโทนร้อนสลับสล้างผสมสีเขียวชะอุ่มเหมือนผ้ามัดย้อมที่ผึ่งแดดไว้บนราวตาก มีเสียงนกตัวน้อยขับขานร้องเพลงจุ๊บจิ๊บประสานกับเสียงของผู้ประกาศในจอโทรทัศน์ที่หม่อมแม้นพิศเธอเปิดดูละครอยู่เป็นระยะ ชีวิตสองฝั่งคลองบางกะปิเต็มไปด้วยความเรียบง่าย ห้อมล้อมไปด้วยอ้อมกอดของท้องฟ้าและทุ่งนาสีเขียว ผู้คนที่นี่ตรงไปตรงมาไม่วุ่นวายไปกับแสงสี กระนั้นก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบฝรั่งตามเหมาะสม ไม่ขาดไม่เกิน และความสันโดษของที่แห่งนี้ก็ช่างคล้ายกับเวียนนาที่ขวัญสรวงไปร่ำเรียนการดนตรีมานัก ถึงขั้นหลายปีที่ศึกษาอยู่ออสเตรียชายหนุ่มไม่สู้เป็นโรคคิดถึงบ้านแบบคนอื่น ๆ สักเท่าไร ด้วยรู้สึกบางอย่างที่พ้องกันอย่างเหลือเชื่อจนให้คุ้นเคยกับเมืองฝรั่งราวกับบ้านพักอีกแห่งของครอบครัวซึ่งเคยไปเที่ยวเล่นครั้งยังเยาว์

เสียงฟลุตแว่วดังขึ้นอีกครั้งจากห้องนอนของบุตรชายคนเดียวของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ร้อยเรียงความงดงามที่พอจะจำแนกออกด้วยสายตาห่มหัวใจของทุกชีวิตในคฤหาสน์แห่งนี้รวมถึงชาวบางกะปิทุกคนที่สัญจรผ่านไปมาทั้งทางถนนและทางลำคลอง

บทเพลงซึ่งปราศจากถ้อยภาษาหยอกล้อแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับจากขอบฟ้าอย่างสนุกสนาน ขวัญสรวงทอดสายตาผ่านร่มพะยอมที่รำแพนกิ่งก้านทั่วอาณาเขตขัตติยพงศ์ ภาพซึ่งปรากฏอยู่เบื้องหลังปลายนิ้วที่รัวพรมอยู่บนฟลุตนั้นคือร่างสูงโปร่งที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงริมขอบรั้ว คล้ายกับถูกด้ายที่มองไม่เห็นร้อยความสนใจทั้งหมดให้หยุดอยู่ที่คนคนนั้น ดวงตาเข้มสุขุมจึงไม่อาจละสายตาจากทัศนียภาพแปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนี้ได้เลย

ใครกัน ?

ขวัญสรวงจ้องมองอย่างตั้งคำถาม ชายร่างโปร่งคนนั้นเดินจากไปช้า ๆ ในช่วงที่บทเพลงจบ ทุกย่างก้าวที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอมั่นคง และในตอนที่คุณชายผู้เป็นเจ้าของบ้านลงไปด้านล่างของตึก เด็กหนุ่มคนนั้นก็หายไปจากร่มประดู่แดงที่ริมรั้วเสียแล้ว




อาหารมื้อเย็นเป็นไปอย่างอุดมสมบูรณ์ หม่อมแม้นพิศเป็นคนมือเติบ แม้โดยนิสัยจะไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย หากแต่เมื่อไรก็ตามที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกิน หญิงร่างท้วมจะไม่ยอมให้ถูกครหาว่าเป็นคนตระหนี่เป็นอันขาด น้ำใจนี้เผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนบ้านและเด็กในครัวเรือนทุกคน ลบบรรยากาศของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์อันหน้าเกรงขามจากชาวบ้านละแวกนั้นเมื่อครั้งสร้างเสร็จใหม่ ๆ เสียสิ้น บัดนี้กลับกลายเป็นที่เลื่องลือว่าคฤหาสน์ขัตติยพงศ์นั้นช่างโอบอ้อมอารี งานบุญใด ๆ หากมีโอกาสหม่อมแม้นพิศเธอไม่เคยบอกปัด ด้วยถือค่าว่าชดเชยงานสังคมสโมสรในพระนครแบบหลังบ้านเสด็จหรือพ่อค้าวานิชอื่น ๆ ที่เธอไม่ใคร่จะถูกโฉลกจนบอกผ่านอยู่บ่อยครั้ง

“ตาขวัญชิมอันนี้ดูสิ แกงเผ็ดลิ้นจี่สอดไส้”

“อร่อยครับ แต่หม่อมแม่หาลิ้นจี่ในหน้าฝนได้ยังไงกัน”

หม่อมแม้นพิศยิ้มอย่างภาคภูมิ ต่อให้เอามีดมาบั่น หล่อนก็จะไม่บอกบุตรชายแน่ว่าเป็นลิ้นจี่พันธุ์คัดเฉพาะ นำเข้ามาแค่เพียงหยิบมือจากเซี่ยงไฮ้ กิโลกรัมร่วมเจ็ดบาท

อันที่จริงบุตรชายเธอไม่ใช่คนเรื่องมาก นิสัยกินอยู่ง่ายถอดแบบออกมาจากบิดา เครื่องหน้าที่คมคายได้รูปนั้นก็เช่นกัน จะมีก็เพียงนิสัยช่างเอาอกเอาใจคนอื่น ผิวพรรณละเอียดละออ และรอยยิ้มอันกลัดไว้เหนือมุมปากจนเป็นนิสัยที่ใครก็บอกว่าถ่ายทอดมาจากเธอ กระนั้นนิสัยเห่อลูกของผู้เป็นแม่ก็อดไม่ได้ที่จะดูแลพะเน้าพะนอเต็มที่

"พรุ่งนี้เช้าชายขวัญขับรถพาแม่ไปส่งที่วัดตรงหัวตะพานทีได้ไหม จะพาแม่สายบัวไปช่วยงานที่วัด"

"ได้ครับ"

คุณหญิงแม้นพิศกวักมือเรียกสายบัวให้มาเติมน้ำกระเจี๊ยบที่พร่องแก้วลงไปของบุตรชาย

“แล้วนี่นายเฉ่ง กานต์ นายสมิง เพื่อน ๆ ชายขวัญเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ไม่เห็นหน้าค่าตา”

“ส่วนมากก็ช่วยกิจการที่บ้านครับ เฉ่งต้องดูแลธุรกิจติดน้ำพุของที่บ้าน เห็นว่าพอติดที่วงเวียนราชเทวีก็รับงานไม่หวาดไหว กานต์ก็รับช่วงต่อกิจการโรงภาพยนตร์อีกแห่งจากพ่อ ส่วนงานรถเมล์ของสมิงก็กำลังขยาย ปีนี้คงยุ่งหนักทุกคน”

“จะไปสู้รถรางได้อย่างไรกัน”

หม่อมแม้นพิศรำพึง เธอไม่ค่อยสู้ยานพาหนะที่แล่นเร็วทั้งมีผู้โดยสารอยู่เยอะนัก

“จะว่าไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมา ทุ่งนาละแวกนี้ก็ลดลงทุกปี มีคนย้ายเข้าย้ายออกเยอะ คนที่นี่ก็ย้ายเข้าอำเภอชั้นใน ส่วนคนต่างจังหวัดก็ย้ายเข้ามาเป็นชาวบ้านที่นี่ ที่จะรังวัดที่มะรืนมะเรื่องก็เป็นตัวอย่าง”

ขวัญสรวงพยักหน้ารับด้วยรู้สึกเห็นด้วยกับมารดาทุกประการ หลังกลับจากศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เขาแทบจำบางกะปิแห่งนี้ไม่ได้ หากแต่ในเวลานี้ ชายหนุ่มกลับไพล่นึกไปถึงคนแปลกหน้าริมรั้วเมื่อยามเย็นด้วยรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกพิเศษกว่าชาวบ้านปกติทั่วไปในละแวกนี้

“เมื่อเย็นหม่อมแม่ได้เห็นชาวบ้านหน้าใหม่ ๆ บ้างไหมครับ ผู้ชาย วัยและรูปร่างสูงโปร่งน่าจะไล่เลี่ยกับลูก”

“มีเยอะจนจำไม่หวาดไหว ทำไมหรือ อย่าบอกว่าจะหาเพื่อนเที่ยวแทนพวกนั้นอีกนะ”

ขวัญสรวงเหน็บรอยยิ้มไว้เหนือมุมปาก

“แค่ถามดูครับ”



(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับๆ)




“คุณชายครับ”

เสียงเรียกของบ่าวคนสนิททำให้คนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการขี่ม้าเหลียวกลับมามอง

“อยู่กันแค่นี้ ไม่ต้องเรียกเต็มยศก็ได้ ตอนเด็ก ๆ เรียกยังไงก็เรียกแบบนั้นเถอะ”

บ่าวรับใช้ผิวเข้มที่โตมาด้วยกันเอามือป้องปากแล้วข่มเสียงพูด

“ลองขืนเรียกแบบนั้นสิ หม่อมแม่คุณชายได้แพ่นกระหม่อมไอ้เยื้อนแยกเป็นเสี่ยง”

ขวัญสรวงส่ายหัวยิ้มขัน ขณะที่บังคับม้าเดินกลับมาก็คิดถึงวีรกรรมต่าง ๆ ของเจ้าเยื้อน

หม่อมแม่มักเทียวไปเทียวมาระหว่างที่วังใหญ่กับที่นี่ มาทีก็จะอยู่ค้างสองสามวัน ยกโขยงแม่บ้านกันมาเป็นกองทัพเสียวุ่นวาย และเหมือนเทพเทวาแกล้งหยอก มากี่คราหม่อมแม่ก็มักจะได้เรื่องกับเจ้าเยื้อนร่ำไปจนเดี๋ยวนี้เจอกันเมื่อไรกลายเป็นต่างฝ่ายต่างระแวงจับผิดกันไปโดยปริยาย

“ว่าแต่มีอะไร ?”

“สี่โมงครึ่งตามที่คุณชายสั่งให้ช่วยเตือนแล้วครับ”

ผู้ออกคำสั่งไว้แต่บ่ายถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองสนุกจนลืมเวลาไปเสียหลายชั่วโมง ขวัญสรวงทรงตัวลงจากอานม้าแล้วจูงไปส่งให้เยื้อน กำชับให้เอาไปเก็บที่คอก อาบน้ำ แปรงขน ให้น้ำและอาหารตามเวลา

"คุณชายจะออกไปข้างนอกหรือครับ"

ขวัญสรวงไหวหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วมุ่งตรงไปที่เรือนใหญ่ ชายหนุ่มกลับขึ้นไปที่ห้องนอน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อย ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ที่ขอบหน้าต่าง กังหันสีฟ้ายังหมุนวนเช่นทุกบ่าย ดวงตาสุขุมทอดมองดูช่อมะม่วงที่ลงดินไว้เมื่อปีกลายถูกสายลมพัดหยอกจนไหวลู่ สักพักมือกว้างก็หยิบฟลุตออกมาจากกล่องกำมะหยี่




ร่างสูงกำบำเดินไปที่ศาลาไม้ริมน้ำ ความนึกสงสัยในคนแปลกหน้าเมื่อวานทำให้ชายหนุ่มเลือกที่จะลงมานั่งเป่าฟลุตที่ด้านล่างในวันนี้ ขวัญสรวงไม่ได้ตื่นเต้น กระตือรือร้น หากเพียงแค่อยากรู้ในบรรยากาศอันดูเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคนอื่นซึ่งสัมผัสได้เมื่อวานเป็นแค่ความรู้สึกเพียงวูบหรือมีสิ่งใดที่มากกว่านั้น

เสียงฟลุตดังขึ้นในจังหวะที่สายลมพัดยอดผักกระเฉดริมคลองจนเคลื่อนไปบนผิวน้ำ และเพียงไม่นานร่างโปร่งที่อยู่ในความคิดตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมาก็ปรากฏตัวขึ้นที่แห่งเดิม ขวัญสรวงหลับตาลงพร้อมกับมุมปากที่ยกกระหวัดขึ้นสูง เขาเลือกเล่นเพลงที่มีท่วงทำนองเบิกบาน ละม้ายว่าเสียงตัวโน้ตแต่ละตัวนั้นกำลังทดแทนถ้อยรู้สึกที่ดังแว่วในใจ

บทเพลงจากเครื่องดนตรีสีเงินวาวถูกสลับสับเปลี่ยนอีกสามถึงสี่เพลง หากแต่ดวงตาเข้มลุ่มลึกกลับไม่ผละจากชายหนุ่มที่ยืนเอามือไพล่หลังฟังอยู่ริมรั้วแม้แต่นิด เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่มองตรงมายังเขา ผิดก็เพียงที่ว่าแววตาคู่นั้นดูว่างเปล่าปราศจากความรู้สึกใด

เจ้าของเสียงเพลงมองคนไม่คุ้นหน้าอย่างพิจารณา ผมสีดำขลับถูกหวีเสยไปด้านหลังด้วยสีผึ้งจนเรียบ เด็กหนุ่มคนนั้นสวมเสื้อลำลองสีอ่อนที่ให้ความรู้สึกเหมือนหมอกสีนวลละม่อมในยามเช้าของต้นฤดูหนาว กางเกงแพรสีขาบที่สวมอยู่ดูคล้ายกับสีของทะเลสาบกลางหุบเขา คนคนนี้ให้ความรู้สึกแปลกตาไม่เหมือนคนอื่น แม้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชาวบ้านปรกติ หากแต่บรรยากาศที่รายล้อมกลับดูมีรสนิยมและลุ่มลึกเฉกผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว

บทเพลงจบลงพร้อมกับริมฝีปากที่เปื้อนยิ้ม ขวัญสรวงลุกขึ้นยืนแล้วเดินลอดทิวไม้ออกรั้วขัตติยพงศ์เพื่อไปหาเจ้าของนัยน์ตาหวานโศกพริ้มเพรา หากแต่เมื่อเสียงฟลุตหยุด อีกฝ่ายก็เริ่มขยับตัวอีกครั้งเช่นกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกุหลาบเจือมากับสายลมแผ่วพลิ้ว ดวงตาเข้มที่เจือแววสงสัยของชายหนุ่มมองดูคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ค่อย ๆ เดินเลียบผ่านรั้วสีโอลด์โรสนั้นช้า ๆ

ปลายเท้าของชายคนนั้นย่างเพียงเล็กน้อย ขณะที่ท่อนบนของร่างกายก็นิ่งราวกับไม่มีการขยับใด ๆ ขวัญสรวงอ่านภาษาแห่งการเคลื่อนไหวนั้นได้ว่านั่นไม่ใช่ความสำรวม ทว่าเป็นความงามสง่าด้วยท่วงท่าอันผึ่งผาย ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นหยุดฝีเท้านิ่งอยู่ที่ใต้ร่มประดู่แดงที่แผ่ออกมาจากริมรั้ว ทุกการเคลื่อนไหว ทุกอิริยาบถดูคล้ายจะไม่กริ่งเกรงต่ออาณาเขตที่กว้างใหญ่ของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์แม้แต่น้อย

ละม้ายยูงที่รำแพนหางท้าทายผืนฟ้ากว้างไม่ผิดเพี้ยน

ยากจะเรียกว่าเป็นชาวบ้านในละแวกนี้ด้วยบรรยากาศอันทำให้รู้สึกอึดอัดนิด ๆ ที่ห้อมชายหนุ่มผิวขาวกระจ่างผิดแผกคนทั่วไป ขวัญสรวงไม่ได้หวั่นกลัวกับความรู้สึกนั้น ไม่แม้แต่จะรู้สึกสะท้านใด ๆ ในการปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบที่ริมรั้ว ตรงกันข้ามที่บรรยากาศนั้นกลับกระตุ้นความกระหายใคร่รู้ถึงลักษณะพิเศษที่เป็นอัตลักษณ์ที่อยู่เบื้องหน้า

“คุณชอบเสียงฟลุตหรือครับ”

เจ้าของบ่าและลำคอที่ตั้งตรงนั้นนิ่งแลสงบราวกับไม่ได้ยินถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ย ครั้นเมื่อขวัญสรวงจะเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความสงสัย เสียงแผ่วเบาและทุ้มสุภาพก็ดังขึ้นเพียงสั้น ๆ พร้อมกับแววตาหวานที่กดลงบนดอกผักบุ้ง

“เปล่าครับ”

ร่างสูงอมยิ้มกับคำตอบที่ได้ยิน เมื่อวานก็ครั้งหนึ่ง วันนี้ก็อีกครั้ง ขวัญสรวงนึกตั้งคำถามในใจเล่น ๆ ว่าหากไม่ชอบในเสียงดนตรีแล้วชายคนนี้จะหยุดยืนฟังได้ครึ่งค่อนชั่วโมงเชียวหรือ

“ในบรรดาเครื่องดนตรีฝรั่ง ปกติแล้วเสียงฟลุตจะเทียบเท่ากับเสียงของนก แต่สำหรับเพลง Butterfly Etude กลับแตกต่างที่ใส่จินตนาการลงไปในเพลงให้เป็นเสียงกระพือปีกของฝูงผีเสื้อ ผมชอบเสียงของฟลุตมาก มันให้ความรู้สึกเหมือนท้องฟ้าโล่ง ๆ ที่มีนกตัวเล็ก ๆ บินอยู่บนนั้น”

“ครับ”

จากด้านข้าง ดวงตาคมลึกจับจ้องอยู่ที่ใบหูที่โค้งสมส่วนและแพขนตาที่โค้งงอนตรงหน้าอย่างลืมตัว โดยปรกติแล้วผู้คนมักคิดว่าใบหน้า ผิวพรรณ หรือแม้แต่รูปร่างของผู้ชายนั้นดูกระด้างและหนาเทอะทะ แต่ขวัญสรวงมั่นใจว่าไม่ว่าใครที่ได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ คงต้องยอมรับโดยดุษณีว่าผู้ชายคนนี้นับเป็นข้อยกเว้น

“บ้านคุณอยู่แถวนี้หรือครับ ผมไม่เคยเห็นหน้าเลย หรือว่าเพิ่งจะย้ายมาอยู่”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลียวมามองเขาเพียงครู่ก่อนจะย้อนกลับไปจ้องแสงสีทองที่สะท้อนอยู่เหนือคุ้งน้ำ

“เพิ่งจะย้ายมาอยู่ครับ”

ชายหนุ่มผิวขาวละเอียดพูดช้าเนิบ ชัดถ้อยชัดคำ สุ้มเสียงแผ่วเบาดั่งคำกระซิบทว่าให้น้ำหนักที่ทรงพลังนัก

ขวัญสรวงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ รู้จักคนมาก็มาก แต่ไม่มีครั้งไหนที่เพียงการสบตาเพียงวูบ ถ้อยคำแค่ไม่กี่คำจะทำให้เขาเกิดอาการคล้ายประหม่าแบบแปลก ๆ เช่นนี้ หากแต่อาการนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ แล้วก็หายไปคล้ายกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“แล้วชอบที่นี่ไหม”

เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มใต้แพขนตาหนานั้นทอแสงอุ่นนุ่มนวล

ภาพตรงหน้านั้นดึงมุมปากของคนที่ลอบมองอยู่ให้กระหวัดยิ้ม

“ผมเห็นที่นี่มาตั้งแต่เด็ก อยู่กับมันมานานจนแม้แต่หลับตาก็ยังนึกภาพได้" ขวัญสรวงวาดฟลุตขึ้นถือสองมือด้วยท่าทีสบาย ๆ แล้วทอดสายตามองเวิ้งฟ้าเบื้องหน้า "ที่นี่ไม่เคยเงียบเหงา ตอนเช้าจะมีชาวบ้านพายเรือไปตักบาตรที่วัด มีเรือขายผลไม้ขายอาหารพายล่องตลอดวัน พอโพล้เพล้พระอาทิตย์จะตกที่ริมน้ำมุมโน้น  ที่ตรงนี้จึงเป็นเวิ้งโค้งของคลองที่ให้วิวสวยที่สุด ผมชอบที่นี่มาก ชอบจนคิดว่าตัวเองคงจะอยู่ที่นี่ตลอดไป”

ชายหนุ่มคนนั้นยินคำพูดของขวัญสรวงอย่างไม่ใส่ใจนัก แววตาสวยชวนมองนั้นยังคงดูว่างเปล่า เฉกเช่นสีหน้างดงามดุจภาพวาดก็ยังคงปราศจากความรู้สึกใด ๆ

แม้จะเป็นเช่นนั้น หากแต่ด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไปทำให้ขวัญสรวงรู้สึกว่าชายแปลกหน้าซึ่งยืนประชิดอยู่กำลังรู้สึกพึงพอใจในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปอยู่ไม่น้อย

ผู้ชายคนนี้มีบุคลิกที่ประหลาดนัก ขวัญสรวงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าร่างที่แบบบางกว่าเพียงน้อยนั้นซุกซ่อนความรู้สึกนึกคิดไว้มากมายเพียงไหน ชั่วขณะนั้นเองที่คุณชายหนุ่มไพล่นึกขอบคุณท่านพ่อที่ส่งไปร่ำเรียนอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยศิลปินและผู้มีใจรักในเสียงดนตรีจนรู้สึกคุ้นชินกับท่าทางที่ค่อนข้างยากต่อการอ่านความรู้สึกของผู้คนเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง ขวัญสรวงจึงไม่ใคร่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก เขาเพียงแค่มองว่าคนทุกคนก็คล้ายกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่อาจพิจารณาคุณค่าเพียงปกที่พิมพ์สวยงาม หากแต่ต้องให้เวลาในการศึกษาทีละแผ่น ทีละหน้า ทีละประโยคอักษรกระทั่งเข้าใจถ่องแท้จึงจะสรุปตีความได้

เจ้าของดวงตาสีเข้มยังคงลอบมองใบหน้าที่เรียบนิ่งของคนข้างกาย พยายามอ่านความนัยในความสงบสุขุมนั้น ทว่าทุกสิ่งยังดูนิ่งเรียบเหมือนแพรอ่อนนุ่มที่ถักทอไร้ตะเข็บ ขวัญสรวงไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอะไรในท่าทีเฉยเมยตรงหน้า หากแต่กลับค่อย ๆ ใช้เวลาแต่ละวินาทีขณะนี้มองลักษณะที่เหมาะเจาะสมส่วนพอดีนั้นอย่างค้นคำตอบ

กระโหลกศีรษะนั้นทุยได้รูปรับกับหน้าผากที่โค้งมน ผิวขาวละเอียดตัดกับดวงหน้า รวงแก้มฝาดเหมือนสีเกสรดอกชมพู่มะเหมี่ยว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นก็ดูแปลกตานัก รวมถึงสันจมูกที่ตั้งตรงดูไม่มีข้อตินั้นก็เช่นกัน แม้แต่ริมฝีปากที่เป็นสีกลีบบัว พิศดูอย่างไรก็ไม่ละม้ายกับคนที่มีเชื้อสายไทยแท้หรือแม้แต่ไทยผสมจีนแบบที่มักเห็นจากครอบครัวพ่อค้าวานิชทั่วไป

“คุณเป็นลูกครึ่งหรือ”

นิ่งไปสักพัก ในที่สุดชายแปลกหน้าคนนั้นก็เบือนหน้ามาทางเขาเพียงเล็กน้อยแล้วตอบคำถามแผ่วเบา ประหยัดทั้งคำพูดและน้ำเสียงแบบทุกครั้ง

“ครับ คุณแม่เป็นฝรั่ง”

ขวัญสรวงตอบรับด้วยอาการยิ้มแย้ม ยังคงรักษาท่วงท่าและระยะห่างเท่าเดิม

“อายุเท่าไรแล้ว”

“ปีนี้ยี่สิบสาม”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นน้อง พี่อายุยี่สิบห้า ชื่อ...ขวัญ น้องชื่ออะไรหรือครับ”

ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นนั้นขยับเพียงน้อย ก่อนเสียงแผ่วเหมือนสายลมเอื่อยจะดังแว่วในความเงียบ

“เรียมครับ”

“เป็นชื่อที่เพราะดีนะ”

ขวัญสรวงจรดฟลุตที่ริมฝีปาก แล้วเสียงดนตรีแว่วหวานก็ดังขึ้นที่ริมคลองแสนแสบอีกครั้ง



++++++++++++++++++++++++



สวัสดีครับ เปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว  คราวนี้ขอลองของกับแนวย้อนยุคดูครับ
อ่านตอนแรกจบแล้วบางคนคงคุ้นกับชื่อพระเอกกับนายเอกบ้าง
ใช่แล้วครับ มันคือการหยิบเอา "แผลเก่า" ของครูไม้ เมืองเดิม
มาดัดแปลง หยิบเอาองค์ประกอบนั่นนิดนี่หน่อยมายำเป็นเรื่องใหม่
และเนื้อเรื่องก็ไม่เหมือนกับแผลเก่าแบบที่เคยอ่านจากนิยายหรือดูในละครหรือหนัง
แต่จะเป็นยังไงต่อไป ฝากติดตามกันด้วยนะครับ ฮิฮิ

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ครับ ไม่เคยแต่ง อ่านก็น้อยมาก
ไม่ค่อยมีความรู้กับแนวการเขียนพีเรียดมาก ฝากแนะนำติชมด้วยนะครับ

ออฟไลน์ KhunToOk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-4
น่าติดตามค่าาา รอตอนต่อไปนะคะ ชอบแนวนี้ อิอิ  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
 :mc4:  เรื่องใหม่ๆ รอน้องแมกซ์สุดเกรียนอยู่น้าา.
ตอนแรกอ่านก็ว่าอยู่ละพระเอกชื่อขวัญ อย่างนี้นายเอกจะชื่อเรียมหรือเปล่าหว่า ปรากฏว่าใช่จริงๆด้วย55555
รอตอนต่อไปค่า :mew1:

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
ิอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกำลังนั่งมองภาพวาดบนฝาผนังเลยค่ะ
บรรยากาศมันดูสวยงาม ละเอียด แล้วก็ประณีตยังไงไม่รู้ >_<

อีกอย่างที่รู้สึกได้ก็คือ เราอยากถลาซบอกแน่นๆ ของคุณชายขวัญมาก 55555555
 :-[ :-[ :-[
ชอบบุคลิคของคุณชายมากเลยค่ะ อ่ายแล้วรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายแบบนี้ แอร๊ยยย
ส่วนน้องเรียมนี่.. มามาดนิ่งๆ เชียว

ความรักของคู่นี้น่าติดตามมาก รอตอนต่อไปค่าาา

ออฟไลน์ xeruoh

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ชอบแนวนี้!!
โอ้เย่ หาอ่านยาก
ขอแปะไว้ก่อนยังอ่านไม่จบ
เดี๋ยวจะไปนอนอ่านต่อในโทรศัพท์แล้วเดี๋ยวจะไม่ได้เม้นกันพอดี
มาเม้นในคอมก่อน ฮ่าๆ

ชอบ ชอบ ชอบ !!

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ขวัญเรียมเวอร์ชั่นใหม่ น่าติดตาม :mc4: :mc4:  รอตอนต่อไปค่ะ  :3123:

ออฟไลน์ twenty8

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ทำไมน้องเรียมพูดน้อยจังคะ แงงง
อยากรู้จักน้องเรียมมากกว่านี้แล้ว
รอตอนต่อไปปป

 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ชอบคุณชายขวัญจัง
สุขุม เคลิ้ม

ออฟไลน์ romsai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
หลงรักน้องเรียมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขวัญของเรียม จะจบเศร้าเหมือนแผลเก่ารึเปล่านี่
ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ขอบคุณที่ติดตามกันครับ
สำหรับคนที่กลัว Tragedy เป็น Sad Ending งานนี้หายห่วงครับ
เพราะคนแต่งมันบ้าบอพอจะแต่งตามใจตัวเองไว้ก่อน ฮ่าๆ
ยังไงอยากให้คนที่ชอบแนวนี้ติดตามต่อไปครับ
วันนี้ขอแวะมาอัพตอนที่ ๒ ต่อ แต่ว่ามันยาวมากกกก...
คราวนี้ขอแบ่งออกเป็นตอนย่อย ๒ ตอนครับ
๒.๒ จะตามมาในคราวต่อไปครับ แหะๆ



+++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ ๒.๑




ช่วงเวลาสั้น ๆ และการพูดคุยไม่กี่ประโยคยังคงสลักในความคิดของขวัญสรวงมาโดยตลอด ทั้งที่ชายหนุ่มไม่เคยนึกฝันว่าจะจดจำอะไรได้มากมายนัก หากแต่เมื่อทุกครั้งที่หยิบฟลุตขึ้นมาเป่า ภาพในตอนนั้นกลับสะท้อนขึ้นในตาอย่างไม่มีเหตุผลจนแม้แต่ตัวเองก็ยังอดที่จะรู้สึกประหลาดใจในความช่างจดช่างจำนี้ไม่ได้

นับจากเย็นวันนั้นก็เป็นเวลาร่วมสองเดือนแล้ว แต่คุณชายขวัญกลับไม่เคยพบหรือเจอเรียมอีกเลย

ยามแดดล่มลมตก บทเพลงจะหวานแว่วอยู่ใต้ชายคาศาลาริมน้ำกระทั่งดวงอาทิตย์พลบหายไปในปุยเมฆ เป็นอย่างนี้ทุกวันเหมือนเป็นกิจวัตรอันขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว

โดยปรกติ ขวัญสรวงมีหน้าที่ช่วยดูเอกสารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับท่านชายเขียนนิรมิตผู้เป็นบิดา นอกเหนือจากนั้นซึ่งนับเป็นเวลาว่าง ถ้าไม่เล่นดนตรีหรือเจ้าโนอาห์ คุณชายหนุ่มก็จะมักใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากเมืองนอกหัดดนตรีให้กับเด็ก ๆ ในละแวกคลองบางกะปิสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย

คุณชายขัตติยพงศ์ใช้ไม้ไผ่ที่หาได้ไม่ยาก เลือกเอาขนาดที่เหมาะเจาะแล้วตัดมารอไว้จนไม้แห้งสนิท จากนั้นก็ขัดมันจนไร้เสี้ยน เหลาลิ้น เจาะรูและประกอบจนกลายเป็นขลุ่ยเพียงออให้นักดนตรีตัวน้อยฝึกหัด ส่วนมากก็เป็นลูกหลานของชาวบ้านละแวกนี้

"เริ่มเป็นเพลงขึ้นแล้วนะเทพ"

ดวงตากลมใสของลูกศิษย์ตัวน้อยเป็นประกายแวววับเมื่อถูกชม

"จริงหรือครับพี่ขวัญ"

มือกว้างวางลงบนกระหม่อมของเด็กชายอย่างนึกเอ็นดู

"พี่จะโกหกเราทำไม"

"แบบนี้ผมก็อวดแม่ได้แล้วสิ"

ความอ่อนเดียงสาทำให้ริมฝีปากที่อยู่บนใบหน้าสุขุมอุ่นขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากความแปลกหน้ากลายเป็นความคุ้นเคย จากเสียงอู้อี้กลายเป็นท่วงทำนองไพเราะ เพลงแขกบรเทศดังเจื้อยแจ้ว ผิดบ้างถูกบ้างแต่ก็เพราะชื่นใจนักด้วยความตั้งใจของผู้หัดเป่า กระทั่งเสียงหนึ่งหวานกังวานขึ้นจากริมรั้ว

"เทพ"

ทันทีที่ยินเสียงพี่สาว เด็กชายเจ้าของชื่อก็ทิ้งทุกอย่าง ขาเล็ก ๆ ทั้งสองข้างแทบจะกระโดดแผล็วไปหาต้นเสียง

"พี่ทิพย์"

น้ำทิพย์โอบวงแขนรอบบ่าเจ้าตัวน้อยที่ยืนส่งยิ้มแป้น เทพเป็นลูกหลง อายุห่างจากหล่อนที่เป็นพี่สาวร่วมสิบปี ยามที่น้องชายมาเรียนขลุ่ยกับคุณชายขัตติยพงศ์ แม่จะไหว้วานให้มาเป็นธุระให้เสียทุกครั้ง ขามารับกลับก็มักจะมีปิ่นโตพ่วงติดมือมาฝากด้วยถือเป็นของตอบแทนน้ำใจให้กับคุณครูเสมอ

"พี่ขวัญจ๊ะ แม่ให้เอาปิ่นโตมาให้"

เจ้าของบ้านค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มที่กลัดไว้เหนือมุมปาก

"พี่ฝากขอบคุณน้าชื่นด้วยนะทิพย์ จริง ๆ ไม่น่าลำบากเลย"

ใบหน้าพริ้มเพราของสาวน้อยไหวแผ่วอย่างสงบเสงี่ยม รวงแก้มฝาดขึ้นเป็นริ้ว

"พอดีพ่อได้ปลาช่อนนามาหลายตัว ทานกันเองยังไงก็ไม่หมด แม่คิดว่าพี่ขวัญอาจจะชอบ เลยทำมาเผื่อจ้ะ"

"พี่คงอ้วนเพราะน้าชื่นกับทิพย์เอาสักวัน"

น้ำทิพย์หัวเราะน้อย ๆ ด้วยความขันและเคอะเขิน ทุกครั้งที่อยู่ตรงหน้าร่างสูงกำยำนั้น แลอาการปราโมทย์จนเกินพอดีทำให้หล่อนเกิดความประหม่า ยิ่งเมื่อเจ้าของรอยยิ้มอุ่นเอื้อเอ่ยคุยด้วยอย่างไม่เคยนึกถือตัว ดวงตาสุกใสก็ได้แต่หลุบลงมองชายซิ่นตนเองเสียทุกครั้ง ไม่กล้าแม้สบตา

"ไว้ทิพย์จะกลับมารับปิ่นโตวันหลังนะจ้ะพี่ขวัญ"

ยังไม่ทันที่คนซึ่งถือปิ่นโตอยู่จะได้พูดตอบอะไร ร่างเล็กนั้นก็จูงน้องชายต่างวัยตัดผ่านร่มพะยอมออกจากรั้วไปไกลเสียแล้ว






ห่อหมกปลาช่อนนาส่งกลิ่นหอมฉุยแข่งอาหารอีกสองสามชนิดจากฝีมือของสายบุญ น้าแท้ ๆ ของสายบัวและเป็นคนเก่าแก่ของบ้านที่หม่อมแม้นพิศส่งมาดูแลกับข้าวกับปลาคนในคฤหาสน์หลังนี้ให้บริบูรณ์

ข้าวสวยร้อน ๆ ที่หุงพร้อมใบเตยจนหอมตักวางบนจานกระเบื้องแต้มลายสีน้ำเงินตุ่นแบบพอดีทัพพีด้วยฝีมือหญิงวัยกลางคนร่างผอมแห้ง

"ทานด้วยกันสิครับป้าบุญ"

"คนแก่จะกินอะไรได้นักหนาล่ะคะ วันละมื้อตอนสาย ๆ ก็อิ่มไปทั้งวันแล้ว คุณชายเถอะค่ะ ทานเยอะ ๆ" มือเล็กแกร็นคดข้าวเติมอีกครึ่งทัพพี

"กินข้าวที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนฝีมือแม่กับป้าบุญ"

เล่นเอาคนถูกชมยิ้มแก้มปริ ข้าวทุกมื้อของสายบุญจะหุงเช็ดน้ำแบบโบราณในไหข้าวที่ทำจากไม้เนื้อแข็งทั้งต้นตัดเป็นท่อนและคว้านเอาเนื้อไม้ตรงกลางออก เมล็ดข้าวจึงนิ่มอร่อยกว่าการหุงด้วยหม้ออลูมิเนียมหรือหม้อหุงข้าวสำเร็จรูปที่นิยมกันในสมัยนี้นัก ถึงขนาดที่เพียงได้กลิ่นตอนสุกใหม่ ๆ ก็เผลอกลืนน้ำลายไปเสียหลายอึก ไม่เว้นแม้แต่เจ้าเยื้อนที่กวาดเรียบเสียหมดหม้อแทบทุกวัน

"ว่าไงเยื้อน กินด้วยกันไหม"

บ่าวผิวเข้มแอบเหล่มองป้าบุญแล้วส่ายหัวขยาด

"เจ้าของแกรักแกหวงเสียขนาดนั้น"

"ตอนเด็ก ๆ ยังกินด้วยกันได้"

คนเป็นบ่าวรีบแจ้นเข้ามายกมือปรามแทบไม่ทัน

"พุทโธ่! มันจะไปเหมือนกันได้ยังไงครับ ตอนนั้นไอ้เยื้อนยังเป็นเด็ก แถมคุณชายก็แอบไปกินที่ก้นครัวตอนคุณหญิงท่านไม่เห็นด้วย"

"นี่ก็ไม่มีใครเห็นนี่" ขวัญสรวงเอ่ย

"ใครว่า?" เยื้อนเหล่ไปทางร่างผอมซูบที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เสียงห้าวบีบเสียเล็กเหมือนกลัวใครจะได้ยิน "ไม่เกินมะรืนมะเรื่องได้หูขาดกัน"

คนฟังส่ายหัวด้วยอาการขัน เริ่มตักอาหารทานอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเหตุผลพิลึกที่ได้ยินคล้ายว่าเป็นเรื่องที่ไร้น้ำหนักความ

"อร่อยไหมครับ"

"รสชาติดี"

"ดีเพราะมีอะไรพิเศษหรือเปล่าหนอ"

ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองบ่าวคนสนิทอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ครั้นพอเห็นกิริยาทะเล้นห่ามก็ให้นึกอ่อนใจ

มือกว้างหนาวางช้อนส้อมแล้วหันมามองคนยิ้มแฉ่งโชว์ฟันขาวเรียงซี่ก่อนจะเปรยขึ้น

"คราวนี้อะไรอีก"

"ก็ไม่มีอะไร" เยื้อนลากเสียงสูง "เขาแค่สงสัยกันว่าพักหลังที่คุณชายขัตติยพงศ์ผู้หล่อเหลาไปนั่งเล่นดนตรีที่เรือนริมน้ำเวลาเดิม ๆ ทุกวันเพราะรอใครหรือเปล่า"

"รอใคร?"

เยื้อนบุ้ยหน้าไปยังจานห่อหมกซึ่งพร่องไปมากกว่าอาหารจานอื่น ๆ

"สงสัยว่าสาวน้อยทั่วพระนครจะอกหักก็คราวนี้"

เจ้าของบ่ากว้างนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ ในความเรียบสุขุมเป็นปรกติ จะมีก็เพียงแค่ดวงตาคมเข้มที่เป็นประกายประหลาดกว่าทุกครั้ง

กำลังรอใครอย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ ข้อสังเกตของเยื้อนไม่เคยอยู่ในความคิดของขวัญสรวงเลยสักนิด






คุณหญิงแม้นพิศมาถึงที่คฤหาสน์ในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับข้าวปลาอาหารวางบนกระจาด อะไรที่เป็นของคาวที่มีน้ำ หม่อมเธอก็ให้เด็กรับใช้ใส่ถุงพลาสติกมัดยางที่ปากมาเป็นอย่างดี พวกขนมก็รองด้วยใบตองเจียนเรียงหลั่นเป็นระเบียบดูน่ารับประทาน

รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าอวบอูมดูอิ่มเอิบกว่าทุกครั้งในตอนที่ขวัญสรวงกระพุ่มมือไหว้ สองมือลูบหน้าลูบหลังบุตรชายที่สูงกว่าครึ่งอย่างเอ็นดู

"ไหว้พระเถอะลูกคนนี้ มาทุกสัปดาห์ก็ไหว้ทุกสัปดาห์"

"โบราณว่าพ่อและแม่ก็เหมือนพระประจำบ้านของลูกนี่ครับ"

มืออวบอูมตีต้นแขนของคนช่างเจรจาอย่างเอ็นดู

ขวัญสรวงแสร้งสะดุ้งเจ็บทว่ารอยยิ้มกลับพรายพรั่งกระจ่างทั้งใบหน้า ดวงตาคมขำหันไปมองสายบุญเชิงให้สัญญาณ บ่าวที่รออยู่แล้ว เห็นเข้าก็ยกขันน้ำมาให้คุณหญิงทันที

น้ำฝนลอยดอกมะลิบรรเทาอาการกระหายได้ชะงัก คุณหญิงส่งขันเงินขัดเกลี้ยงให้กับบ่าวพลางมองสำรวจตรวจตราไปรอบ ๆ

"ใกล้หน้าฝนยอดมะม่วงแตกช่อกันน่าดู"

"โตทันข้าวเหนี่ยวมะม่วงของหม่อมแม่ปีหน้าแน่นอนครับ" ขวัญสรวงยักยิ้มกว้าง "ว่าแต่นี่ขนอะไรมาเสียเยอะแยะครับ"

"สัปดาห์หน้าที่วัดจะมีงานขึ้นอุโบสถใหม่ เห็นว่าจะทำบุญเข้าพรรษาไปด้วยกันเลย ที่วังเรามีข้าวของพวกนี้ไม่ขัดสน ก็เอามาช่วยบุญกันไป"

ชายหนุ่มมองคนขับรถเปิดกระโปรงด้านหลังขึ้นให้อากาศถ่ายเท ในนั้นเป็นหลัวไม้ไผ่ขนาดย่อมหลายใบ แต่ละใบล้วนบรรจุรวงข้าวทีี่สุกจนเหลืองผ่องจนพูน

"ข้าวพวกนี้ด้วยหรือครับ"

หม่อมแม้นพิศพยักหน้า "วัดจะทำข้าวตอกดอกไม้กัน ครั้งนี้เป็นงานใหญ่ ต้องเผื่อเวลาล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ บ่ายนี้ถ้าชายขวัญไม่มีธุระจะไปด้วยกันกับแม่ไหม"

มือกว้างหยิบรวงข้าวฟ่างที่ยังไม่ฝัดสีขึ้นมาดูแล้วรับคำโดยไม่คิดอะไร






งานใหญ่ของหม่อมแม้นพิศนั้นใหญ่สมกับที่จาระไนไว้ ทั้งที่งานบุญยังไม่มาถึงแต่ที่ลานวัดกลับเนืองไปด้วยชาวบ้าน บ้างนำกับข้าวกับปลามาช่วย บ้างก็มาช่วยแรงจนเกือบจะล้นลานวัด

"คนเยอะจังครับ"

ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตานักเมื่อลานเคยที่โล่งกว้างกลับคลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านมากมาย ไม่เว้นกระทั่งเด็กตัวน้อย

"ก็ต้องเยอะสิชายขวัญ ขึ้นอุโบสถไม่ได้มีบ่อย นี่แม่ว่าคนจะมาครบทั้งอำเภอ"

หม่อมแม้นพิศว่าพลางเดินนำบ่าวไพร่ซึ่งลำเลียงกระจาดของกินจุกจิกและหลัวไม้บรรจุรวงข้าวฟ่างไปร่วมบุญกับของชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ด้านหลังอุโบสถใหม่อย่างแคล่วตล่อง ขณะที่ขวัญสรวงซึ่งน่าจะคุ้นเคยกับท้องที่กว่าได้แต่ยืนมองไปรอบตัวคล้ายจะหาใคร

"สาว ๆ เขาขึ้นโครงอยู่ในศาลา ฯ โน่นแน่ะคุณชาย"

เจ้าเยื้อนยิ้มมีนัยอย่างคนสู่รู้ หากแต่ผู้เป็นนายยังคงยืนเงียบ บ่าวหัวใสก็จัดแจงขยายความต่อ

"น้าชื่นแกก็มานะ"

ขวัญสรวงได้แต่ส่ายหน้าระอาก่อนจะเดินนำไปอีกทางที่กลุ่มชาวบ้านผู้ชายรวมกลุ่มกันคั่วทรายให้ร้อนอยู่ ชายหนุ่มไม่ได้มองหาน้ำทิพย์หรือใครทั้งนั้น




(ยังมีต่อครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




อีกด้านหนึ่งที่ศาลาการเปรียญ สาวน้อยที่ถูกเอ่ยถึงกำลังช่วยผู้เป็นแม่มัดหญ้ากระเทียมขึ้นเป็นโครงโค้งอย่างแข็งขัน คลายออกบ้างหลุดบ้างตามประสาคนไม่เคยมือ นานครั้งจึงจะมีสักชิ้นที่พอใช้การได้แต่ก็ไม่ได้สลักเสลางามพอจะอวดใคร ขณะนั้นเองที่บานชื่นผินใบหน้าขึ้นจากที่กำลังสอนอยู่ เห็นหม่อมแม้นพิศเข้ามาในศาลา ฯ ก็รีบยกมือขึ้นไหว้ตามประสาคุ้นเคยนับถือ น้ำทิพย์เองก็ปฏิบัติตามอย่างสำรวม

คนสวมชุดลูกไม้สีชมพูกลีบบัวรับไหว้ด้วยเมตตา

"ลูกสาวแม่ชื่นหรือ หน้าตาจิ้มลิ้มเข้าที"

"ทิพย์น่ะค่ะคุณหญิง ปีนี้ก็สิบแปด"

"จำแทบไม่ได้ ไหนเงยหน้าขึ้นสิแม่หนู"

น้ำทิพย์เงยหน้าขึ้น ความตื่นเต้นโสมนัสทำให้เด็กสาวมัดหญ้ากับโครงลวดผิด ๆ ถูก ๆ จนหม่อมแม้นพิศสรวลขึ้นในความไม่ประสา

"มานี่สิ เดี๋ยวฉันสอนให้"

สองมือที่เล็กแต่เอิบอิ่มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว งานจำพวกนี้หม่อมเธอฝึกมาแต่เด็ก ฝีมือประดิษฐ์ประดอยจึงฉมังนัก ไม่นานมัดหญ้าแห้งก็เริ่มขึ้นเป็นโครงสวยงาม ดวงตากลมใสของสาวน้อยได้แต่มองตามด้วยความทึ่งและชื่นชมอย่างเปิดเผย

"หม่อมมาคนเดียวหรือเจ้าคะ" บานชื่นถามขึ้นขณะขึ้นโครงลวด

"มากับตาขวัญน่ะจ้ะแม่ชื่น คั่วทรายอยู่ทางศาลาด้านโน้น" แววตาที่เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจของผู้เป็นแม่ฉายไปยังเบื้องหน้า

น้ำทิพย์ไล่สายตาตามไปยังแผ่นหลังที่กว้างงามสง่านั้น แม้จะมองจากที่ไกลแสนไกล หากแต่รอยยิ้มธรรมชาติซึ่งแต้มแต่งใบหน้าสุขุมและคมคายอยู่นั้นกลับทำให้เด็กสาวต้องรีบงุดหน้าลงด้วยอาการขวยเขิน






ข้าวตอกดอกไม้เป็นประเพณีที่สืบทอดมาจากทางเหนือ กระจายสู่ท้องถิ่นต่างในภาคกลางรวมถึงภาคอื่น ๆ เป็นงานที่ต้องใช้แรงคนจำนวนมาก ชาวบ้านที่มาช่วยจึงมักต้องแบ่งงานกันไป งานที่ใช้แรงน้อยอย่างขึ้นโครงด้วยหญ้ากระเทียมหรือมัดโครงด้วยลวดและเชือกจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง ขณะที่ฝ่ายชายจะรับผิดชอบงานคั่วรวงข้างฟ่างกับทรายในกระทะให้ร้อนจนแตกเป็นข้าวตอกดอกไม้ด้วยใช้แรงไม่ใช่เล่นทั้งยังร้อนเหลือใจ

รวงข้าวฟ่างซึ่งหม่อมแม้นพิศเธอนำมาถวายนั้นอยู่ในวัยกำลังสาว ไม่อ่อนจนเกินไปเพราะจะทำให้คั่วแล้วไม่แตกออกเป็นช่อ และไม่แก่จัดเพราะจะทำให้ไม่มีความเหนียวจนหักและขาดได้ง่าย

ข้าวทุกรวงจากวังขัตติยพงศ์ล้วนถูกคัดมาเป็นอย่างดีจากนครสวรรค์และราชบุรีสื่อความตามคติที่ว่าเป็นพืชพรรณที่งอกเงยในเมืองแห่งสรวงสวรรค์และเมืองแห่งพระราชาตามลำดับ จึงบริบูรณ์พร้อมแก่การเป็นเครื่องบวงสรวงเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในงานมงคลพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นสำคัญ

ขวัญสรวงหยิบพลั่วขึ้นตักทรายที่ร้อนวางทับรวงข้างฟ่าง รอเวลาให้เมล็ดข้าวจะแตกดอกสวยโดยมีเยื้อนและเปี๊ยกเป็นผู้ช่วย ทำแบบนี้ไปทีละรวงจนครบร้อย ทรายที่คั่วไว้จะเริ่มดำจนต้องเปลี่ยน บ่าวทั้งสองอาสาลงแรงไปยกกระสอบใหม่มาลงใหม่ ชายหนุ่มจึงได้แต่จับเรียงรวงดอกไม้สีขาวที่ส่งกลิ่นหอมให้เป็นระเบียบ

ระหว่างที่ยังคงรออีกฝ่ายลำเลียงกลับมาจากหลังวัด ดวงตาสีดำขลับพลันหยุดมองที่ภาพซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศอันเป็นปรกติของวัดที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

รถยนต์โอลด์สโมบิลสีฟ้าอ่อนแล่นเรื่อยเรียบถนนกระทั่งเลี้ยวเข้าจอดที่ลานวัด แม้ว่ารถเครื่องจะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยง่ายในถนนย่านเจริญกรุง วังบูรพา หรือราชวงศ์ แต่สำหรับอำเภอบางกะปิที่ถือเป็นชั้นนอกของพระนครแล้วนั้น อย่าว่าแต่รถยนต์คันโตนำเข้าจากเมืองฝรั่งมังค่า กระทั่งรถยนต์ขนาดกะทัดรัดธรรมดาก็ถือได้ว่าหาได้ยากนัก จึงนับไม่ใช่การแปลกหากสายตาทุกคู่ในบริเวณนั้นจะจับจ้องไปยังรูปทรงเหลี่ยมโก้สีสวยที่เหมือนหลุดจากหน้าข่าวสังคมในหนังสือพิมพ์มาอวดโฉมอยู่ต่อหน้าในระยะไม่กี่วา

ขวัญสรวงจำรถยนต์คันนั้นได้ และจดจำผู้ชายร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีเข้มดูโก้เนี้ยบที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถได้เช่นกัน ผู้ชายคนนั้นคือ อธิป ผู้ประสงค์ซื้อที่ดินติดกับคฤหาสน์ขัตติยพงศ์เมื่อช่วงเดือนหกก่อนนั่นเอง

มือกว้างพาดพลั่วลงกับไม้ใหญ่ข้างศาลา ความที่พึงใจในชีวิตเรียบง่ายไม่เอิกเกริกและไม่ใคร่เอาตัวเองไปอยู่ในสังคมจนดูวุ่นวาย ชายหนุ่มจึงเดินเลี่ยงออกไปอีกด้านแทนที่จะขลุกรวมอยู่กับกลุ่มชาวบ้านที่ชะเง้อแง้มองผู้มาเยือนอย่างตื่นเต้น

ทว่าปลายเท้าทั้งสองข้างกลับต้องชะงักกึกเมื่อเห็นประตูอีกฝั่งที่เพิ่งถูกเปิดออกด้วยคนขับรถนั้นมีใครอีกคนที่ก้าวลงมา

เรียม

เรียมคนนั้นแต่งกายในชุดแฟชั่นแบบฝรั่ง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวงาช้างกับกางเกงขายาวสีเบจอ่อน ๆ มีสายซัสเปนเดอร์สีน้ำตาลเข้าชุดคาดจากสะเอวรั้งฉากกับบ่าสมส่วนทั้งสองข้างและสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลหุ้มข้อเข้าชุดกัน นอกจากผมเส้นละเอียดที่ถูกเสยขึ้นด้วยสีผึ้งจนเรียบ เผยให้เห็นกระโหลกที่ทุยโค้งรับกับเครื่องหน้าอันพิศพิลาสทว่าเรียบเฉยจนยากจะอ่านความรู้สึกแล้ว เจ้าของรูปร่างสมส่วนซึ่งเคลื่อนไหวราวกับคนที่ครอบครองเวลาทั้งหมดของโลกเอาไว้นั้นยังคงดูงามสง่าและมีรสนิยมกว่าผู้คนทั้งหมดที่ขวัญสรวงเคยเห็น

รถยนต์รุ่นล่าสุดที่แสนหรูหราแทบจะตีราคาเทียมเศษเหล็กในพริบตานั้น และบรรยากาศรอบตัวก็ดูเปลี่ยนไปเมื่อผู้เป็นเจ้าของดวงหน้ากระจ่างละม้ายไม่เคยต้องแดดเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าสำรวม ดูภูมิฐานเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ความเด่นสะดุดตานั้นเดินเคียงไปกับอธิปที่ในอุโบสถ ถอดรองเท้าและก้าวย่างอย่างเชื่องช้าเข้าไปด้านใน

ขวัญสรวงมองอธิปจุดธูปและส่งให้กับเรียมอย่างประคบประหงม นึกค่อนผู้ชายร่างสูงคนนั้นที่ปฏิบัติกับอีกฝ่ายเสียยิ่งกว่าสตรีผู้แสนบอบบาง ทะนุถนอมราวกับเป็นแก้วล้ำค่าที่พร้อมแตกสลายได้ทุกเมื่อก็ไม่ปาน

ขวัญสรวงเดินส่ายหัวไปกับภาพที่ไม่เห็นความน่าสนใจ ไม่ทันได้รู้สึกเลยว่าตนได้เดินเข้ามายังศาลาการเปรียญที่กลุ่มผู้หญิงกำลังมัดขดหญ้าแห้งขึ้นโครงกันตั้งแต่เมื่อไร กระทั่งเสียงของผู้เป็นมารดาดังขึ้น

"ชายขวัญ แม่อยู่ทางนี้ลูก"

ร่างสูงที่ถูกเอ่ยหลุดจากความเหม่อลอย มุมปากที่นิ่งสนิทยกหยักยิ้มให้กับหม่อมแม้นพิศ โดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้น้าชื่นที่นั่งอยู่เคียงกันด้วยเคารพในอาวุโส

"นี่ยังพูดถึงชายขวัญกันอยู่ แม่ชื่นเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ลูกหาเต็มเมืองแล้วหรือเรา"

"มิได้ครับหม่อมแม่" คนตัวใหญ่เอ่ยตอบ ดวงตาวาดประกายรอยยิ้มสุขุมชวนมอง ขวัญสรวงนั่งขัดสมาธิกับพื้นข้าง ๆ กับน้ำทิพย์ พอหันไปยิ้มให้อีกคนที่นั่งใกล้ สาวน้อยก็ยิ้มตอบอย่างสำรวม

น้ำทิพย์ขยับวงขาที่นั่งพับเพียบให้แคบลง เก็บชายผ้าที่ปลายซิ่นไม่ให้เกะเกะผู้ชายตัวโตที่นั่งเสมอพื้นกับตนอย่างไม่ถือวรรณะที่สูงกว่า

"เจ้าเทพลูกชายน้ามาเอาขลุ่ยมาเป่าอวดน่าดู พอเริ่มฟังเป็นทำนองปุ๊บ พ่อเจ้าประคุณก็เป่าได้ทั้งวันจนปวดหู"

"ตายจริง" หม่อมแม้นพิศสรวลขึ้นอย่างนึกเอ็นดู

ขวัญสรวงได้แต่ยิ้มรับ ทว่าแววตาคมกลับจ้องไปที่ยังลานวัดนอกศาลา ฯ  ด้วยความนึกครั่นคร้ามสงสัยในชายหนุ่มสังคมผู้มาเยือนทั้งสองคน

ไม่นานนักร่างสูงของอธิปเดินก้าวออกมาจากด้านในโดยไร้วี่แววของผู้ที่มาด้วยกัน แววตาคมที่คอยสังเกตอยู่นานสองนานถึงหันไปมองที่อุโบสถใหม่โดยด้วยความฉงน

"มีอะไรหรือขวัญ"

คนตัวใหญ่สะดุ้งแต่ยังเก็บอาการไว้ได้อย่างเงียบเชียบ

"เปล่าครับ แค่มองอะไรเพลิน ๆ"

บานชื่นที่ฟังอยู่ส่งยิ้มให้ชายหนุ่มตัวโตที่นั่งขัดสมาธิหลังตรง

"ทิพย์บอกน้าว่าคุณชายขวัญชอบแกงเทโพหรือจ้ะ ย่างหน้าฝนผักบุ้งงามน้าจะได้แกงฝากทิพย์ไปให้"

"ครับ" เสียงทุ้มขรึมตอบ ทว่านัยน์ตากลับยังคงสอดส่องหาใครคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ในอุโบสถไม่เลิกลา และเมื่อจนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย อาการที่เคยสงบสุขุมก็เริ่มดูลุกลี้ลุกลน

"ครับนี่อะไรชายขวัญ มองอะไรนี่เรา ตอบให้ดี ๆ"

ขวัญสรวงยิ้มอ่อน ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมานั่งนิ่งแต่โดยดี

"ผมว่าห่อหมกปลาช่อนนาของน้าชื่นอร่อยมากครับ"

หม่อมแม้นพิศ บานชื่น และน้ำทิพย์หันกลับมามองหน้ากันด้วยความงุนงง กระทั่งคนที่อาวุโสสุดยกมือขึ้นตีที่หลังมือของคนตัวโตเบา ๆ อย่างนึกคลางแคลง ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นบุตรชายที่สุขุมเยือกเย็นดูหลุกหลิกแบบนี้

"แม่ชื่นเขาถามถึงแกงเทโพ ไม่ใช่ห่อหมกปลาช่อนนา"

คนเพิ่งรู้สึกตัวชะงักจนนิ่งเงียบ ได้แต่ระบายรอยยิ้มตัวเองกลบเกลื่อน

"เพิ่งทานเมื่อวันก่อนครับ"

"จริงสิ พอดีเมื่อวันก่อนชื่นเพิ่งทำห่อหมกปลาช่อนนาไปให้คุณชายเธอลองทานดูน่ะค่ะ พี่ทิดแกได้ปลาช่อนตัวโตมา ใบยอที่ท้ายคลองก็แตกยอดอ่อน" บานชื่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

คุณหญิงแม้นพิศเขม้นมองบุตรชายที่เอาแต่นั่งนิ่งแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยอ่อนใจ

"ว่าแต่ชายเดินมาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าจะมาเหล่สาวคนไหน บอกแม่มานะ"

คำถามนึกสนุกของสตรีร่างท้วมทำเอาเด็กสาวที่นั่งพับเพียบอยู่เคียงข้างถึงกับประหม่า หัวไหล่เล็ก ๆ ของน้ำทิพย์คล้ายหดงุ้มลง ปลายนิ้วทั้งสิบถักสานต่ออย่างไม่กล้าส่งเสียง

ผิดกับเจ้าของหัวไหล่กว้างที่นั่งผึ่งผายเหยียดตรงซึ่งอยู่เคียงกัน

"มิได้ครับ แค่เดินมาดูหม่อมแม่"

ขวัญสรวงตอบเสียงเรื่อย กวาดตาที่เต็มไปด้วยคำถามไปทั่ว กระทั่งได้พบกับคำตอบเมื่ออีกฝ่ายลัดร่มชายคาตามแนวกุฏิศาลามายืนเก้งก้างอยู่ที่หน้ากระทะคั่วทราย ดวงตาสีดำขลับจึงฉายแววโล่งใจก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่คนซึ่งสวมกางเกงสีน้ำตาล คอยจับจ้องอย่างนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรต่อไป




คนเก้งก้างไม่รู้จะทำอะไรที่ว่ากำลังยืนหลังตรง จ้องมองกระทะที่เริ่มระอุร้อนตรงหน้า ใบหน้าชวนมองแลซ้ายขวาคอยดูว่าคนที่เหลือทำอะไร แต่ทุกคนก็ดูจะสนใจกับงานตรงหน้าของตนเอง

ลังเลชั่วครู่ มือสมส่วนก็เอื้อมไปหยิบข้าวฟ่างขึ้นมาหนึ่งกำมือก่อนจะตัดสินใจวางลงไปบนทรายที่ร้อนจนเป็นไอ มองกระทะที่อยู่ข้าง ๆ แล้วย่อตัวลงยื่นหน้าเข้าไปมองเสียจนใกล้




เดี๋ยวก็ได้ประทุใส่หน้าเอาหรอก

ขวัญสรวงได้แต่ไหวศีรษะไปมาแล้วพูดกับตัวเองขณะที่มองอีกฝ่ายซึ่งยังคงจ้องมองเมล็ดข้าวฟ่างที่คั่วอยู่บนทรายร้อนจัดอยู่แบบนั้นโดยไม่คิดถอยหนี

ร่างผึ่งผายนั่งกอดอก หันมาสนใจกับหัวข้อสนทนาที่อยู่ตรงหน้า ช่างปะไร เดี๋ยวผู้ดูแลก็คงจะรีบแจ้นมา ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเสียขนาดนั้น

"เจ้าเทพติดคุณชายขวํยเหลือเกิน อะไร ๆ ก็คุณชายมาก่อนเสียทุกที น้าจะรบกวนฝากให้คุณชายช่วยอบรมดูแลน้องทีจะได้ไหม"

"ครับ"

ความที่เป็นคนมีน้ำใจอารี ขวัญสรวงรับปากแบบไม่อิดออด แม้จะดูนิ่งสงบเป็นปรกติ และไม่สนใจอะไรมากกว่าเรื่องราวที่ผู้เป็นแม่กำลังคุยอยู่กับน้าบานชื่น ทว่าความคิดกลับลอยไปหาเด็กหนุ่มที่ดูเงอะเงิ่นคนเดิม คิ้วเข้มของขวัญสรวงขมวดขึ้นช้า ๆ อย่างแน่นเหนียวละม้ายว่าจะไม่ยอมคลายออกได้ง่าย ๆ

ป่านนี้จะมีคนเตือนบ้างหรือยังนะ

อดรนทนไม่ไหว คนหน้าตึงก็หันกลับไปมองต้นเหตุแห่งความกังวลเสียรู้แล้วรู้รอด จริงดังคาดเมื่อดวงหน้าที่งามหมดจดนั้นยังคงจ้องมองเมล็ดข้าวสีเหลืองนวลหลายรวงในกระทะอย่างใจจดจ่อเช่นเดิม ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่ามันอันตรายแค่ไหน

เดี๋ยวคงจะร้อนจนถอยออกมาเองนั่นละ เสียงในใจของขวัญสรวงพูดแบบนั้น

"ขอบใจคุณชายมากนะที่เมตตาเจ้าเทพ ทิพย์ขอบคุณหม่อมท่านกับคุณชายด้วยเสียสิลูก"

"ขอบพระคุณหม่อมท่านมากค่ะ" น้ำทิพย์พนมมือไหว้นอบน้อม จากนั้นก็ขยับตัวหันมาทางขวัญสรวงแล้วกระพุ่มมือขึ้น พวงแก้มปลั่งเป็นสีชมพูระเรื่อ

"ขอบคุณคุณชายมากค่ะ"

จู่ ๆ ขวัญสรวงก็ขยับตัวลุกขึ้นจนหม่อมแม้นพิศตกใจ

"มีอะไรหรือชายขวัญ"

"เดี๋ยวผมมานะครับ"

พูดจบขวัญสรวงก็รีบเดินออกไป หม่อมแม้พิศและบานชื่นมองตามอยู่สักพักเมื่อเห็นว่าร่างสูงตรงไปที่กลุ่มผู้ชายที่คั่วทรายอยู่ก็ไม่รู้สึกติดใจอะไร ทั้งสองหันกลับมาพูดคุยเรื่องที่ค้างไว้ต่อ

น้ำทิพย์ค่อย ๆ ลดมือทั้งสองข้างลง เด็กสาวได้แต่มองตามชายหนุ่มที่ผลุนผลันออกไปด้วยอาการเก้อระคนแปลกใจ





+++++++++++++++++++++++++





จริงๆ แล้วตอนที่สองจะต้องยาวกว่านี้ แต่ไม่ไหวแล้ว เยอะมาก
ขออนุญาตหั่นตอนเป็นสองตอนย่อยแล้วกันนะครับ
การเดินเรื่องของเรื่องนี้จะเรื่อยเอื่อยตามประสาพีเรียดหน่อยนะครับ
สำหรับคนที่รอน้องเรียมอยู่ ใจเย็นนิดนึงนะครับ ตอนหน้าเรียมจะพูดขึ้นอีกนิดละ 55555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกัน ฝากแนะนำคอมเมนต์เสนอแนะด้วยนะครับ ^ ^

อนุญาตแจ้งข่าวเรื่องนังแม็กซ์สำหรับคนที่ตามอยู่หน่อยนะครับ
พอดีพิมพ์ตอนใหม่ไปแล้วแต่คอมเครื่องนั้นมีปัญหา เปิดแล้วชอบดับ
เดี๋ยวขอแบกไปซ่อมก่อนนะครับ เสร็จแล้วจะรีบมาอัพแน่นอน
เรื่องของเรื่องคือขี้เกียจพิมพ์ใหม่นั่นเอง แอบเสียดาย 55555

พบกันสัปดาห์หน้าเนอะ พยายามจะรักษาระดับการอัพประมาณนี้ไว้ครับ :D

ออฟไลน์ Lactobacillus_casei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่ขวัญหลุกหลิก พี่ขวัญหึงใช่ไหมมมมมม

เรียม เรียมน่ารัก หลงเรียมแม้ตอนนี้จะไม่บทพูดใดๆ ตอนที่แล้วแล้วก็นับคำได้ 5555

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

สวัสดีคุณพี่ค่ะ เพิ่งได้เข้ามาอ่าน  :กอด1:

เป็นนิยายที่ละเมียดละไมจนน้องเม้นต์ไม่ถูกกันเลยทีเดียว   :o8: งั้นยกยอดรอเม้นต์นังแมกซ์ละกัน 555  :z2:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
คือชอบอะ คือใช่อะเรื่องนี้ มันละมุนละม่อม มันหวานหอมดอกจำปี กริ้ดดดดค่ะกริ้ดดดด


ชอบเรื่องราวสบายค่ะ ใสๆน่ารักค่อยเป็นค่อยไปเนอะ ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
พี่ขวัญหึงอะเดะะะะะะ
รีบไปดูแลเล้ยยยย
แต่ทิพย์คิดไปไกลละม้างง

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
เฮ้ยยยยยยย น่ารักกก เรียมโมเอะมากกกกกกกกกกกกกกกก
พี่ขวัญรีบไปดูเลย ไม่รู้ข้าวดีดใส่หน้าเรียมรึยัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบชายขวัญ
อยากถลาไปซบอกคุณชายจริงๆ เลยค่ะ
ชอบผู้ชายที่มีบุคลิคอบอุ่น อ่อนโยน ขี้เล่นนิดๆ แบบนี้ โอ้ยย ก๊าววว

เหมือนนั่งมองภาพวาดสีน้ำจริงๆ นั่นแหละ
ตอนนี้หนูเรียมดูน่ารักนะคะ >_<
ถึงจะยังไม่มีบทพูดอะไร แต่ตอนใส่ข้าวฟ่างลงบนทรายร้อนแล้วนั่งมองนี่คือ..
ให้ความรู้สึกแบบ ไร้เดียงสามากกก ลืมมาดนางพญา(?)ที่สร้างเอาไว้เลย 5555
น่ารักมากจริงๆ ค่ะ

รอตอนหน้าน้า  :o8:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ติดเรื่งนี้นะคะ นักเขียนขา รีบมาต่อน้าา ชอบจังเลย

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586



มาจองที่คะ

ออฟไลน์ Apitchaya

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น่าติดตามมากเลยค่ะ

อยากรู้จริงๆว่าน้องเรียมคิดอะไรอยู่

ชอบที่ชายขวัญแทนตัวเองว่าพี่แล้วเรียกน้องเรียมว่าน้อง ฟินมากค่ะ 55555

ไม่ทันไรชายขวัญก็หึงน้องเรียมละ รีบมาต่อนะคะนะคะ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๓




ดวงตาใหญ่กลมจ้องมองรวงสีเหลืองสุกตรงหน้าด้วยอาการใคร่สงสัยความที่เติบโตและร่ำเรียนอยู่ยุโรปแต่เยาว์ ทั้งมารดาผู้เป็นดั่งครูคนแรกยังเป็นฝรั่งตาสีน้ำข้าวทำให้เรียมลลิตรไม่ประสากับขนบจารีตของแผ่นดินไทยนัก ชายหนุ่มไม่เคยเห็นดอกไม้ที่เกิดจากการคั่วข้าว ไม่รู้จักกระทั่งข้าวรวงที่สุกร่วงเมื่อเหลืองสวย กระทั่งใบเขียวเรียวของต้นข้าว มือขาวที่ดูคล้ายจะบอบบางนักก็ไม่เคยต้องสัมผัสมาก่อน

ชีวิตแม้จะได้ผ่านพบสิ่งที่ชาวบ้านร้านช่องไม่ใคร่ได้โอกาสเห็นจนกลายเป็นความสามัญปรกติ แต่กับสิ่งธรรมดาที่ใคร ๆ ต่างรู้จักกลับกลายเป็นของให้กระตือรือร้นสำหรับชายหนุ่มร่างประเปรียว เมล็ดข้าวที่คั่วจนแตกดอกขาวดูงามประหลาด ทั้งกลิ่นอ่อน ๆ ของดอกข้าวตอนสุกก็ช่างหอมแปลกนัก หลังพิเคราะห์รอบข้างอยู่พักใหญ่ เจ้าของดวงหน้างามพิสุทธิ์ก็มั่นใจว่าตนเองน่าจะพอทำได้

แววตาสีน้ำตาลเข้มแลใสกระจ่างยามได้หยิบจับสิ่งเล็กสิ่งน้อย พวงแก้มใสก็เริ่มปลั่งจนกลายเป็นสีชมพูจัดด้วยไอร้อนจากทรายคั่วจนขึ้นสี ผ่านมาหลายนาทีแต่รวงข้าวนับสิบกำกลับไม่มีทีท่าจะแตกดอกสวยเหมือนคนอื่น กระทั่งเรียมลลิตรผู้ไม่ประสาลองยื่นมือไปแตะให้คลายสงสัย พลันร่างกายก็ลอยหวือเหมือนถูกพระพายหอบ กว่าจะรู้สึกตัวก็ยืนอยู่ในวงแขนของใครคนหนึ่งเสียแล้ว

"อย่าเข้าไปใกล้แบบนั้น"

เสียงกังวานลึกกระซิบที่ข้างหู และเมื่อชำเลืองกลับก็สบกับดวงตาสุขุมดำขลับจับจ้องอยู่ประชิดไม่วางตา เรียมลลิตรได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ สักพักดวงหน้านวลกระจ่างก็ให้หลุบลงอย่างนึกขวย

"ไม่เจ็บอะไรใช่ไหม" ร่างที่หนากำยำกว่าครึ่งเอ่ยถาม

ศีรษะของคนในอ้อมอกเพียงแค่ไหวน้อย ๆ แทนคำตอบ

"ดีแล้ว"

ขวัญสรวงผ่อนลมหายใจเหมือนโล่งอก หมดห่วงว่าอีกฝ่ายไม่บาดเจ็บอะไรก็คลายวงแขนทั้งสองข้างออก เดินผละออกไปหยิบเอาพลั่วที่อิงไว้ใต้ร่มไม้ตักรวงข้าวซึ่งเริ่มไหม้ออกจากเม็ดทรายสีดำเข้ม

"แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่"

คนตัวโตตั้งคำถามกับเจ้าของพวงแก้มปลั่งนวลที่ปั้นหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย แปลกที่ชายหนุ่มกลับเห็นความตื่นเต้นอ่อนเดียงสาระคนอยู่กับแววแห่งความดื้อดันเอาแต่ใจในความนิ่งเฉยคล้ายปั้นปึ่งนั้น

"ผมอยากลองทำดู"

เรียมลลิตรค่อย ๆ พูดทีละคำ

"แล้วทำเป็นหรือ"

สิ้นคำถาม ใบหน้าที่งามเหมือนกุหลาบยามแรกแย้มพยักลงน้อย ๆ เอ่ยชัดถ้อยชัดคำเป็นการยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิด

"คิดว่าคงพอทำได้"

ดวงตาเข้มคมพินิจรวงข้าวที่เพิ่งตักออกมาจากเตาร้อน แต่ละช่อแลกระดำกระด่างเหลือ แดกดอกบ้างไม่แตกดอกบ้างให้อ่อนใจ

"ทรายมันดำแล้ว ต้องรอเปลี่ยนก่อน"

"อย่างนั้นหรือ"

จากรวงข้าวนับสิบที่เพิ่งถูกตักขึ้นมา ขวัญสรวงสุ่มหยิบรวงหนึ่งแล้วชูขึ้น

เรียมลลิตรค่อยย่อตัวลงมองรวงข้าวที่แตกดอกชนิดขาด ๆ เกิน ๆ ส่วนของดอกที่แตกออกก็สีหมองไม่นวลกระจ่างแบบคนอื่น ยิ่งมองก็ยิ่งคร้านให้นึกละอาย

"ทำไม่เป็นก็น่าจะถาม" คนตัวใหญ่เอ่ยเสียงเนือย

"ถามได้หรือ? แล้วถามใคร?"

คนที่รวบเอารวงข้าวทั้งหมดออกจากกระทะนั้นส่ายหัวอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองรอบตัว ตั้งใจจะกวักมือเรียกใครสักคนมาช่วยอธิบาย หากแต่ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นต่างก็พาลยิ้มแหย ไม่ก็ก้มหน้าทำงานแสร้งไม่รู้ไม่เห็นกลบเกลื่อน โดยพร้อมเพรียง ไม่มีใครกล้าตีเสมอมาคุยกับอีกฝ่ายที่ดูเป็นหนุ่มสังคมภูมิฐานทุกกระเบียดขนาดนั้น

เห็นแล้วคุณชายขัตติยพงศ์ก็จำต้องถอนความคิดตนเก็บลงหีบพับไว้

"คนที่มาด้วยกันเขาไม่ได้บอกให้ฟังหรือ"

"ไม่ใช่ว่าไม่บอกหรอก เราพูดคุยกันเยอะแต่อธิปไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้"

คนฟังขึงตามองเจ้าเสียงเรียบช้าที่แช่มชื่นขึ้นทันตา สองมือหยิบรวงข้าวคั่วแตกดอกขึ้นมาดูใกล้ ๆ อย่างสนอกสนใจ

"นี่เรียกอะไรหรือ"

"เขาเรียกว่าข้าวตอกดอกไม้" ขวัญสรวงตอบเสียงขุ่น

"ข้าวตอกแบบที่เป็นขนมหรือ"

"ทำนองนั้นกระมัง"

"ทานได้ไหม"

"อย่าดีกว่า"

"ข้าวโพดคั่วแบบฝรั่งยังทานได้"

"ข้าวพวกนี้คั่วกับทราย มันสกปรก"

ใบหน้างามพิลาสคล้ายภาพวาดนั้นนิ่งไปนานจนขวัญสรวงเหลือบมองด้วยความฉงนกระทั่งริมฝีปากอิ่มเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วนิ่ง

"ผมทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า"

คนตัวโตชะงักงันกับถ้อยคำเรียบ ๆ ที่เปรยขึ้นอย่างไม่คิดฝัน เสียงผะแผ่วที่เจือด้วยแววตัดพ้อนั้นช่างจี้จุดกระด้างในใจของขวัญสรวงจนอ่อน

หากถามว่าขวัญสรวงรู้สึกรำคาญใจหรือเปล่าที่ต้องมาคอบตอบคำถามแบบนี้ ชายหนุ่มพร้อมจะตอบโดยไม่คิดลังเลว่าเปล่า ติดจะปราโมทย์ด้วยซ้ำที่เห็นอีกฝ่ายตั้งใจใฝ่รู้ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะกับใครน้ำใจและความจริงใจของคุณชายขัตติยพงศ์ก็ล้วนอยู่ในการแสดงออกอย่างเปิดเผย แต่หากถามว่าไม่พอใจตรงไหน ชายหนุ่มกลับตอบไม่ถูก

ตอบไม่ถูกเสียจริง ๆ

"ใช่อย่างนั้นเสียเมื่อไร"

ผู้ชายตัวโตพูดแล้วก้มหน้านิ่ง ไม่คิดต่อคำ สองมือรวบรวงข้าวที่เสียแล้วฝัดเมล็ดให้ร่วงออก แยกเอาไว้คั่วทำดอกไม้โปรยหน้าอุโบสถพิธีอย่างขมักเขม้น

พระอาทิตย์ค่อย ๆ ขยับขึ้นสู่จุดสูงสุดบนท้องฟ้า นกกระจิบตัวน้อยส่งเสียงจุ๊บจิ๊บสลับเสียงอึงอลของชาวบ้านที่มาช่วยงานบุญที่วัดจนเนืองแน่นเหมือนบทเพลงที่บรรเลงซ้ำ ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นท่วงทำนองใหม่ ใต้ร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านกำบังแดดริมศาลาโปร่ง เสียงหนึ่งซึ่งแว่วเทียมสายลมก็ดังขึ้นอย่างที่ใครอาจไม่ทันสังเกต

"พี่สอนให้ไหม"

เรียมลลิตรเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาที่แฝงด้วยแววปิติ

"จะไม่รบกวนหรือครับ"

ใบหน้าสุขุมของคุณชายขัตติยพงศ์ไหวเบา ๆ จนแทบไม่รู้สึก

"ไม่หรอก" ขวัญสรวงตอบเสียงเรียบเรื่อย "ถ้าไม่รีบไปไหน พี่จะสอนให้"

พูดจบก็ก้มหน้ากอบเมล็ดข้างฟ่างที่ร่วงจากรวงขึ้นใส่กระจาดสานด้วยไม้ไผ่ ไม่รู้สึกยินดียินร้าย เอ่ยแล้วก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยให้ติดใจ






หลังจากช่วยท่านเจ้าอาวาสดูท่อน้ำที่รั่วอยู่จนพลอยเสียเวลาไปนานนม บริวารทั้งสองที่หายไปนานสองนานก็เข็นกระบะทรายกลับมาด้วยอาการเร่งรีบ ถึงศาลาได้เห็นผู้เป็นนายกำลังอธิบายชายหนุ่มท่าทางดูภูมิฐาน แต่งกายด้วยชุดฝรั่งดูเนี้ยบ สะอาดหมดจดก็ค่อยย่องสำรวมอย่างรู้เวลา

"มาแล้วหรือ เอาขึ้นไฟเลย"

ได้ยินคำสั่ง คนเป็นบ่าวก็กุลีกุจอแข็งขัน เสร็จแล้วก็ให้ถอยไปยืนอยู่ด้านหลัง คอยดูว่าผู้เป็นนายจะเรียกหาอะไร

"ใครวะเปี๊ยก งามสง่ายิ่งนัก ท่าทางเธอก็ดูเป็นผู้ดี ฝรั่งรึ?"

"ข้าก็ไม่รู้ ในพระนครก็ไม่เคยเห็นใครเทียม คนอะไรอย่างกับตุ๊กตา"

"จริงของเอ็ง ยิ่งอยู่กับคุณชายขวัญยิ่งเด่น สง่าโก้ไปคนละแบบ" เยื้อนเอ่ยพลางชะเง้อมอง พึมพำเหมือนกับจะพูดกับตัวเอง

"งามอย่างกับภาพวาด"

ใช่เพียงแต่เยื้อนและเปี๊ยก ชาวบ้านคนอื่น ๆ ในละแวกนั้นก็ต่างลอบมองชายหนุ่มทั้งสองด้วยความชื่นชม เค้าความสุขุมสง่าของคุณชายขัตติยพงศ์เธอนั้นมีมาแต่เดิมอยู่แล้ว หากแต่ความคุ้นเคยนั้นทำให้กลายเป็นความชินตา แต่เมื่ออยู่กับท่านชายที่ดูงามประหลาดท่านนั้น ความชินตานั้นก็กลายเป็นความสะดุดตาขึ้่นมาทันที โดยเฉพาะรอยยิ้มที่เยื้อนแย้มอยู่ในดวงตาหวานสีน้ำตาลเข้มของบุรุษแปลกหน้าที่ไม่มีใครรู้จัก

งามจนคนที่ได้เห็นต่างก็อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มตามด้วยความชื่นชม

ไม่เว้นแม้แต่ผู้ชายตัวสูงที่เป็นผู้สนทนาด้วย

"เลือกเอาที่ต้นสวย ๆ ครับ"

มุมปากของขวัญสรวงยกขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มโดยไม่ทันรู้ตัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่เอาแต่เขม้นมองรวงข้าวราวกับจะสำรวจไปทีละเม็ด

"เลือกเป็นไหม"

ใบหน้านิ่งเฉยไม่ยินดียินร้ายตามขนบผู้ดีเพียงไหวเล็ก ๆ เคอะเขินด้วยที่เลือดในกายมีความเป็นไทยของผู้เป็นบิดาอยู่ถึงครึ่งแต่กลับไม่ประสาเพียงนี้

"คิดว่าเป็น"

"เป็นก็เป็น"

คนที่คุ้นเคยกับกิจกรรมนี้ดีลอบยิ้มขณะที่ย่อตัวนั่งลงเคียงกัน ใบหน้าคมขรึมขยับเข้ามาใกล้ อธิบายช้า ๆ เป็นขั้นตอน

"เวลาเลือก เลือกเอารวงที่กำลังดี ข้าวเต็มรวง ไม่แน่นนักแต่ก็ไม่ร่วงจนดูน้อย ทำออกมาจะได้สวย"

"ใครก็รู้ แต่มันคล้ายกันไปหมด"

นิ้วมือยาวเรียวเหมือนวาดก็หยิบจับรวงข้าวแต่ละต้นช้า ๆ พินิจพิเคราะห์ พยายามจะหาต้นที่ดีที่สุดไม่ให้เสียชื่อ กระทั่งฝ่ามือหนาของคนตัวโตที่นั่งข้าง ๆ ทาบทับลงบนหลังมือแล้วรวบรัดหยิบขึ้นมาต้นหนึ่ง

"ต้นนี้กำลังดี"

อีกครั้งที่ยามชำเลืองกลับก็ให้พบกับดวงตาเข้มขรึมที่มองจ้องอยู่ในระยะที่ห่างเพียงคืบ

"ค่อย ๆ วางลงบนทราย" ขวัญสรวงกล่าวหน้านิ่ง

ร่างประเปรียมหันกลับไปสนใจกับสิ่งตรงหน้า คำเตือนครู่ก่อนให้ระวังของร้อน เรียมลลิตรจึงรั้งมืออย่างระมัดระวัง

มีหรือที่คนเอ่ยเตือนจะไม่สังเกตเห็น?

"กลัวร้อนหรือ?"

เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เจ้าทฤษฎีก็วิสาสะโอบประคองมือขาวละออนั้นให้เคลื่อนไปบนกระทะช้า ๆ กดนิ้วมือให้ลงต้นหนึ่งและหยิบอีกต้นมาวางเคียงกันในตำแหน่งพอเหมาะกระทั่งสำเร็จ

"ขอบคุณครับ"

ได้ยินเสียงหวานเรียบ ขวัญสรวงก็พยักหน้าขรึม เอื้อมมือไปหยิบพลั่วมาเขี่ยทรายจากด้านข้างขึ้นมากลบรวงข้าวจนมิด

"ทำแต่น้อยช่อจะสวยกว่า แต่ละครั้งต้องรอจนข้าวแตกออกจากเปลือกสักสิบนาที โชคดีเราได้กระทะใหญ่ ทำทีละสองต้นก็ได้"

"จนกว่าจะหมดนั่นหรือ"

ร่างสูงกำยำส่ายหน้า "จนกว่าจะได้หมื่นช่อ"

"มากจัง"

ขวัญสรวงหยักยิ้มให้กับน้ำเสียงเรียบเรื่อยที่แฝงด้วยความประหลาดใจ

"นี่เป็นงานใหญ่ ไม่ได้มีบ่อย งานบุญคราวนี้ชาวบ้านถึงมาลงแรงช่วยกันล่วงหน้าเป็นสัปดาห์เพื่อให้ทัน นี่ก็น่าจะได้หลายพันแล้ว"

ดวงหน้าที่งามพยักช้าเนิบรับ ครุ่นคิด

"คนถึงเยอะนัก"

แสงแดดทอกระจ่างทั่วฟ้า ลอดร่มไม้เป็นสายสีเหลืองอ่อนตกกระทบใบหน้าคมคายที่ดูไม่ใส่ใจกับผู้คนที่ขวักไขว่เฉกเช่นอีกคนที่คอยแต่เมียงมองพิจารณาไปทั่ว ขวัญสรวงนิ่งสงบ วางแววตาอันอ่อนละไมแบบไม่บ่อยนักที่ใครจะได้เห็นลงบนสีชมพูอ่อนของริมฝีปากที่เรียบเป็นเส้นตรงเบื้องหน้า

"เขาเชื่อว่าทำบุญร่วมกันก็จะได้เกิดมาร่วมกุศลกันทุกชาติไป"

พูดจบก็สบกับดวงตาสีอ่อนที่กำลังแย้มยิ้มน้อย ๆ ในดวงตา






ลมพัดโกรกไอร้อนของแดดเข้ามาในร่มจนอ้าว คนที่นั่งหลังตรงตลอดเวลากำลังลืมกิริยาเรียบเฉยไปเสียสนิท แผ่นหลังสมส่วนโน้มมาข้างหน้า หัวไหล่ก็งุ้มงอขณะแลมองดอกไม้สีขาวจากฝีมือตัวเอง สีหน้าแม้อาจจะนิ่งเฉยทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นมีประกายแห่งความพอใจนัก

"ขอกลับไปสักช่อได้ไหม"

รอยยิ้มบางจนแทบไม่รู้สึกติดอยู่ที่ริมฝีปากสีกลีบบัว

"จะเอากลับไปทั้งสองช่อก็ได้ ข้าวยังมีเหลือเฟือ" ขวัญสรวงตอบ อดไม่ได้ที่จะยิ้มกับภาพแห่งความกระตือรือร้นที่เห็น

"แค่ช่อเดียวก็พอ อีกช่อตั้งใจว่าจะทำบุญถวายวัด"

จากรอยยิ้มที่ยกขึ้นเพียงมุมปากค่อย ๆ คลายออกจนกลายเป็นรอยยิ้มที่ไม่แอบซ่อนและตรงไปตรงมา

สำหรับขวัญสรวงแล้ว ผู้ชายที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกคนนี้เป็นคนที่แปลกนัก ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าคำพูดหรือคำถามที่เอ่ยจากน้ำเสียงที่แทบจะราบเรียบตลอดเวลานั้นเป็นแบบไหน ไม่ใช่แค่คำพูด การกระทำก็ไม่ต่าง ไม่มีอะไรคาดเดาได้ และอาจจะเป็นสิ่งนี้ที่ทำให้คุณชายขัตติยพงศ์คอยเฝ้าสังเกตสังกาอีกฝ่ายอยู่ตลอด

"ขอบคุณครับพี่ขวัญ"

คนตัวโตชะงักไปหลายอึดใจ ก่อนเสียงลึกกังวานจะเอ่ยขึ้นว่า

"ไม่เป็นไรครับ น้องเรียม"

ขวัญสรวงหันไปหยิบข้าวรวงใหม่ขึ้นไปวางบนเตาแล้วตักทรายกลบ กิริยาเร่งรีบที่ประหลาดเทียมกันนั้นแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจ



(ยังมีต่อครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




เสร็จธุระแล้ว อธิปก็เดินหาร่างประเปรียวที่หายไปจากสถานที่ที่นัดไว้ไปทั่ววัด จากอุโบสถไล่ไปตามศาลาต่าง ๆ ที่รายเรียงกระทั่งเห็นเจ้าของดวงหน้าพริ้มเพรากำลังหยิบข้าวฟ่างวางลงบนกระทะ

แม้จะเป็นภาพที่ให้ประหลาดใจยิ่งนัก แต่ความเป็นกังวลนั้นมีมากกว่า

"อยู่ที่นี่เองหรือครับ"

อารามรีบร้อนทำให้เพิ่งสังเกตเห็นร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ อธิปยกมือไหว้ชายหนุ่มเจ้าของที่ติดกับผืนดินซึ่งเจรจาอยู่ เขารู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี รู้ก่อนที่จะได้พบหน้าจริงในวันที่มีรังวัดและระวังชี้เมื่อสองเดือนก่อน ชื่อของ ม.ร.ว. ขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ บุตรชายเพียงคนเดียวของ ม.จ. เขียนนิรมิต อธิบดีในกระทรวงกลาโหมกับหม่อมแม้นพิศนั้นเป็นที่เลื่องลือพอสมควร ทั้งความสามารถด้านการดนตรี หรือแม้แต่ความคมคายของสติปัญญาที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปร่างหน้าตา แม้จะมีเพียงส่วนน้อยที่ได้พบเห็นด้วยไม่ใคร่สมาคมกับใครดั่งลูกผู้ดีคนอื่น ๆ แต่ส่วนน้อยที่ว่าต่างก็พูดต่อกันจนกลายเป็นเสียงของผู้คนทั้งพระนคร

ไม่คิดว่าจะบังเอิญจะมาพบในอำเภอชั้นนอกแบบนี้

"มาติดต่อเรื่องที่หรือครับ" ขวัญสรวงเอ่ยทักในตอนที่รับไหว้

"ครับ แต่ยังตกลงเรื่องราคากันไม่ได้"

อธิปตอบพลางย่างเท้าเข้ามาใกล้คนที่ตามหาอยู่ พลันสายตาก็สะดุดกับสิ่งที่อีกฝ่ายถือในมือ อากัปกิริยาที่ดูปิติแตกต่างจากทุกครั้งทำให้ชายหนุ่มนึกแปลกใจ

"นั่นอะไรครับ"

"ข้าวตอกดอกไม้ สวยไหมอธิป" เรียมลลิตรตอบช้าเนิบ

เห็นรอยยิ้มแย้มพรายในแววตาสีอ่อน ชายหนุ่มก็พลอยยิ้มตาม

"สวยครับ"

ขวัญสรวงไม่ใคร่ใยดีกับว่าที่ผู้เป็นเพื่อนบ้านเท่าไรนัก ยังพึงใจกับชีวิตสงบสันติของตนเองมากกว่าจะข้องเกี่ยวกับชีวิตเอิกเกริกแบบหนุ่มสังคมสมัยใหม่ แม้จะมีเพื่อนฝูงในแวดวงอยู่มาก หากแต่คุณชายขัตติยพงศ์ก็เลือกที่จะผูกมิตรสนิทด้วยเพียงไม่กี่คน

ร่างสูงเบี่ยงตัวออกมาทิ้งระยะ ใบหน้าคมสันพยักหน้าเพียงน้อย บริวารทั้งสองที่คอยอยู่ห่าง ๆ ก็รุดเข้ามาโดยไม่ต้องออกเสียงให้วุ่นวาย

"ลงมือกันต่อเถอะเยื้อน เปี๊ยก จะได้เสร็จเสียที"

บ่าวผิวเข้มกุลีกุจอแข็งขัน หากแต่เมื่อวางรวงข้าวบนทรายแล้วต้องรออีกหลายอึดใจอย่างไม่มีทางเลี่ยง เยื้อนและเปี๊ยกจึงได้แต่นั่งยิ้มแฉ่ง ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้อธิปเยี่ยงบ่าวที่ได้รับการอบรมมาดี

"ว่าไงเยื้อน สบายดีนะ"

"สบายดีครับ" เยื้อนตอบเสียงดังฟังชัด "มาธุระเรื่องโฉนดที่กับกำนันหรือครับ"

ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตเรียบโก้แบบฝรั่งพยักหน้ารับอย่างเคร่ง ๆ

"ยังไม่ได้ความเหมือนเดิม"

เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ไอ้เยื้อนก็ได้แต่ยิ้มแหย รีบเสเปลี่ยนเรื่อง "แถวนี้น้ำดี ปลูกข้าวปลูกผลไม้งามนะครับ"

ขวัญสรวงได้แต่อ่อนใจในความช่างจุ้นของบ่าวสนิท จะห้ามปรามก็ดูจะขัดมารยาทเมื่ออีกฝ่ายกลับสนทนาอย่างไม่ถือตัวแม้แต่น้อย ผิดกับภาพของหนุ่มสังคมนักเรียนนอกปรกติที่ตนเองอคติล่วงหน้าไปไกล

"เปล่าหรอก นี่ก็ตั้งใจจะสร้างบ้านน่ะ" อธิปตอบ

ถ้อยคำที่ได้ยินนั้นแม้แต่ขวัญสรวงเองก็ยังให้แปลกใจ มีหรือที่ผู้เป็นบ่าวจะไม่ร้องเสียงหลง

"ที่กว่ายี่สิบไร่ แบบนี้ไม่ใหญ่เป็นวังดอกหรือ"

"ไม่ถึงขนาดหรอก" คนฟังยิ้มขำ

"คุณจะมาอยู่สินะครับ" เปี๊ยกถามอย่างตื่นเต้น

"ไม่ใช่หรอก" ใบหน้าหล่อเหลาไหวนิด ๆ แล้วเบือนสายตาไปมองร่างประเปรียวที่ยืนอยู่เคียงข้าง

"แต่เป็นคุณเรียม"

คำตอบที่ได้ยินนั้นเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของขวัญสรวงอย่างประหลาดมาตั้งแต่ที่เห็นทั้งคู่ก้าวลงมาจากรถยนต์คันโก้นั้น

แปลกประหลาดมากทีเดียว






คนที่จะมาเป็นเพื่อนบ้านในอนาคตตัวจริงกลับไปพร้อมกับอธิปเมื่อครึ่งค่อนชั่วโมงก่อน คล้อยหลังจากแขก บ่าวสนิทจอมจุ้นอย่างเจ้าเยื้อนก็เริ่มคันยุบยิบตามประสาคนสู่รู้อยู่ไม่สุขจนคนตัวโตสู้รำคาญแทน เพียงมีช่องให้แทรกประเด็น เจ้าเยื้อนก็จัดแจงได้อย่างแนบเนียน ถามจบก็ยิ้มโชว์ฟันขาวเสียนอบน้อม

"คุณเรียมคนนั้นใครน่ะคุณชาย"

ขวัญสรวงหน้านิ่ง เอ่ยเรียบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ

"ปกติก็รู้ทุกเรื่องไม่ใช่รึ"

"อุ๊บ่ะ! คุณชายก็พูดเป็นเล่น"

เยื้อนย่นหัวคิ้วจนเป็นริ้วขมวด แต่เพียงครู่เดียวรอยยับก็คลี่ออกเป็นแววตาเคลิบเคลิ้มชื่นชม

"หน้าตาจิ้มลิ้มอย่างกับตุ๊กตาฝรั่ง ตอนที่คุยอยู่กับคุณชายมีแต่ชาวบ้านแอบมองจนเหลียวหลัง นี่ขนาดพวกสาว ๆ ยังไม่ได้เห็นนะ"

คนพูดพูดเสียใหญ่โต พูดจบก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

"คนที่งามเสียยิ่งกว่าภาพเขียนแบบนั้นจะมาอยู่ข้าง ๆ เราจริงหรือครับ บุญของไอ้เยื้อนแล้ว จะได้เห็นคนหน้าตาแบบนั้นทุกวัน"

ถามเองแล้วก็ตอบเอาเองจนคนเป็นนายส่ายหน้า

"เพลา ๆ หน่อยไอ้เยื้อน"

หน้าคล้ำกรำแดดให้สลดลงนิด แต่ก็ยังไม่วายพล่ามพูดตามประสา "แต่กำนันรักแกคงโก่งราคาน่าดู ยิ่งถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายดูท่าว่าจะร่ำรวยขนาดนี้"

ขวัญสรวงถอนใจยาว เขี่ยทรายจากข้างกระทะขึ้นกลบข้าวรวงสุดท้ายที่เหลือ เสร็จแล้วก็เสียบพลั่วไปกับกองทรายที่คั่วจนไหม้เป็นสีดำที่อยู่ใกล้ ๆ

"ถ้าเขาไม่ตกลงกับราคา แบบนี้ก็อดเป็นเพื่อนบ้านกับขัตติยพงศ์สิครับ ราคาแพงไปนักมันก็ไม่ไหวนา" เยื้อนลุกขึ้น กอบข้าวตอกดอกไม้ขึ้นเต็มสองมือ "คุณชายจะไม่ช่วยคุยกับกำนันจงรักให้เขาหน่อยหรือครับ คุณเรียมเธอก็ไม่น่าจะรู้จักใคร"

"จะไปทำอย่างนั้นทำไม ไม่ใช่ธุระของเรา"

เมื่อผู้เป็นนายพูดตัดบท บ่าวอย่างเยื้อนก็ได้แต่สงบคำ






รถยนต์สีฟ้าอ่อนสัญชาติอเมริกันแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ จากทัศนียภาพของทุ่งนาสีเขียวกลายเป็นบ้านไม้ขนาดสองชั้น กระทั่งกลายเป็นตึกปูนแบบสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่

หากแต่ทั้งหมดล้วนไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความสนใจของชายหนุ่มที่สวมรองเท้าหนังสีดำมันปลาบที่นั่งอยู่ในรถยนต์คันนั้นแม้แต่น้อย

อธิปกำลังตรวจสัญญาซื้อขายเทียบกับเอกสารจากกรมที่ดินอย่างละเอียดละออ ก่อนจะเก็บเข้าซองกระดาษสีน้ำตาลแล้วมัดป่านบนปากซองอย่างดี

แม้จะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยม แต่อธิปกลับเลือกจะทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของร่างประเปรียวที่นั่งอยู่ด้านข้างตามคำแนะนำของผู้เป็นพ่อ ตัวงานเกือบทั้งหมดแทบไม่ได้ข้องเกี่ยวกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาแต่กลับเป็นการดูแลอำนวยความสะดวกและเป็นเพื่อนสนทนาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างกลับทำให้อธิปรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ทำงานใกล้ชิดท่านชายพระองค์นั้น


พระองค์เจ้า เรียมลลิตร ภัทรกุล

เจ้านายของชายหนุ่มเป็นคนนิ่งสุขุม มีความเป็นธรรมชาติอย่างไม่ปรุงแต่ง ทั้งยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสากว่าผู้ใดที่อธิปเคยพบเจอรู้จัก คนทั่วไปอาจจะคิดว่าทั้งหมดนั้นคือกิริยาไว้ตัวอย่างนักเรียนนอกสมัยใหม่ที่เติบโตในราชสกุลใหญ่โต แต่ความเป็นจริงแล้วเจ้านายของอธิปเป็นเพียงคนไม่ชอบความวุ่นวายทั้งยังมีนิสัยขี้อายยิ่งนัก ส่วนบุคลิกที่เงียบขรึมแลน้ำเสียงนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากการอบรมในแบบผู้ดีเก่าจากพระพี่เลี้ยงในตำหนักแต่เยาว์ รูปลักษณ์กระทั่งกิริยาจึงพริ้มเพราดั่งแพรเนื้อนวลชั้นดี ไม่ฉูดฉาดบาดตา งามสมดั่งชื่อที่พระบิดาทรงประทานให้ว่า "เรียมลลิตร"

บุรุษที่พร้อมด้วยความงามสง่า

"พระองค์ทรงรู้จักกับคุณชายขวัญมาก่อนหรือเพคะ"

อธิปถามจากภาพที่เห็นในวัด ปรกติแล้วไม่ใคร่เห็นผู้เป็นนายสนทนากับใครจนดูสนิทสนมนัก

ดวงตางามหมดจดละจากภาพเบื้องหน้าและนิ่งไปสักครู่ ในที่สุดเรียมลลิตรก็เอ่ยขึ้น

"ไม่เชิงว่าอย่างนั้น"

"กระหม่อม" ชายหนุ่มเอ่ยรับด้วยเสียงนอบน้อม

เรียมลลิตรไม่เคยยินดียินร้ายอะไร และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องใด ๆ เป็นพิเศษ ทว่าตั้งแต่กลับออกมาจากวัดที่อำเภอบางกะปิ ผู้เป็นนายก็เอาแต่มองต้นข้าวรวงเล็กที่คั่วจนแตกดอกขาวด้วยความสนอกสนใจ อธิปในฐานะที่เป็นผู้ช่วยจึงได้แต่นั่งมองด้วยรอยยิ้มชื่นบานจากดวงใจ

"ทรงชอบข้าวตอกดอกไม้หรือเพคะ ประสงค์ให้กระหม่อมจัดหาเป็นส่วนองค์ไหม"

แม้จะนิ่งเงียบไม่มีการขยับไหว แต่ริมฝีปากที่กวาดสีจนอิ่มก็แย้มขึ้นเล็กน้อยเป็นการแสดงความปราโมทย์เท่าที่จะแสดงออกได้โดยไม่เคอะเขิน

"ไม่เป็นไรหรอกอธิป ไม่มีดอกไหนเหมือนดอกนี้"

เสียงช้าเนิบตามแบบของคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

ไม่ประสงค์สิ่งใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มจึงได้แต่นิ่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กระทั่งเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้น

"อธิป เรามีเรื่องอยากขอร้อง"

"เพคะ"

"อย่างที่เคยพูดไป เราอยากให้อธิปเลิกใช้ราชาศัพท์กับเรา ฟังดูเหมือนเราเป็นคนแก่เลย" เอ่ยจบเจ้าของใบหน้านวลกระจ่างก็นิ่งเงียบเป็นเชิงถาม

อธิปเป็นคนที่เข้าใจบุคลิกอันดื้อดึงโดยลักษณะเฉพาะตัวของผู้เป็นนายเป็นอย่างดี และโดยปรกติเขาก็พร้อมทำตามประสงค์ทุกอย่างด้วยความยินดี เว้นแต่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวด้วยรู้สึกเหมือนตีเสมอกับผู้เป็นนายจนเกินสมควร

"กระหม่อมเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยพระองค์ เกรงว่าหากเสด็จท่านทราบจะกริ้วได้เพคะ"

"อธิปอยู่กับเรามาหลายปี แสวงหรือนมละเอียดก็เหมือนกัน"

เจ้าของดวงตาหวานสีน้ำตาลแลออกไปยังภาพความวุ่นวายที่ดูมีชีวิตชีวาด้านนอกหน้าต่าง

"ท่านพ่อไม่ใช่คนถือพระยศแบบนั้นหรอก ท่านแม่ยิ่งแล้วใหญ่ ท่านพี่ อธิปก็รู้จักเป็นอย่างดี"

ทุกถ้อยคำล้วนคมคายและเป็นความจริงทุกประการจนคนที่เป็นผู้ช่วยหมดเหตุผลจะโต้แย้ง

"ไม่ได้หรือ"

ใบหน้าคมเข้มจนปัญญาจะขืนจึงยิ้มและตอบด้วยท่าทีที่สบายขึ้น

"ครับ คุณชาย"

"เรียกว่าเรียมก็พอ"

"ครับ คุณเรียม"

ดวงตาที่ดูไร้ความรู้สึกมีแววแห่งรอยยิ้มผุดผาดขึ้น

"อีกเรื่องที่เราอยากขอคือเรื่องราคาที่ผืนแปลงนั้น ตัวเงินไม่ได้ทำให้เราลำบากไม่ใช่หรือ"

"กระหม่อม..." อธิปเอ่ยขึ้นตามนิสัย แต่ก็ชะงักด้วยนึกขึ้นมาได้ว่าเพิ่งรับปากไป "ผมเห็นว่าที่ดินน้อยลงจากโฉนดเดิมตอนระวังชี้และสอบที่ดินคราวก่อน แม้ตัวเงินจะไม่ได้เท่าไร แต่การที่เจ้าของแปลงที่ดินกลับตีราคาค่างวดขึ้นกว่าเท่านั้นดูไม่สมควรเลย"

เรียมลลิตรเงียบไปสักพักราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเนื้อเสียงที่ราบเรียบและแววตาที่หม่นลง

"อย่างนั้นหรือ"

คล้ายกับถ้อยคำที่เปรยขึ้นกลาง ๆ แต่หากพิจารณาลักษณะน้ำเสียงสูงต่ำที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ลักษณะการพูด และสถานการณ์ขณะนั้นก็จะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าประสงค์สิ่งใด อธิปทำงานเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเรียมลลิตรมานานพอประมาณ แม้แต่ถ้อยคำสั้น ๆ ที่ยากจะคาดเดาความหมาย ชายหนุ่มก็เข้าใจเป็นอย่างดี

ครั้งนี้ก็เช่นกัน อธิปนึกตำหนิตนเองครั้งใหญ่ที่ลืมคิดถึงความรู้สึกของผู้เป็นนาย ชายหนุ่มจึงเอ่ยคำมั่นด้วยความรู้สึกอันนอบน้อม

"ผมจะจัดการให้ครับ"






ค่ำนั้น อธิปได้โทรศัพท์ปรึกษาพระองค์เจ้า เริญดนุภพ ผู้เป็นพระเชษฐาของเรียมลลิตร ความคิดที่จะสร้างตำหน้กอันใหญ่โตรโหฐานที่อำเภอบางกะปิซึ่งเป็นเขตอำเภอชั้นนอกอันห่างไกลจากวงสังคมแห่งนั้นมาจากความเป็นห่วงของพี่ชายที่มีต่อน้องชายอันเป็นที่รักด้วยบริสุทธิ์ใจ

ตั้งแต่กลับมาจากยุโรป ตำหนักภัทรกุลต่างก็มีแขกมาเยือนไม่เว้นแต่ละวันทั้งหญิงและชาย เริญดนุภพที่ทำงานดูแลบริษัทมากมายที่เป็นกิจการของที่บ้านอยู่ ต่อให้ห่วงใยแค่ไหนก็ไม่อาจปลีกตัวมาดูแลน้องรักได้ดั่งความคิด

ชายหนุ่มจึงเลือกผู้ช่วยจากผู้ที่ไว้ใจมากที่สุด จนได้บุตรชายของวิศาล ทนายประจำตระกูลมาช่วยดูแล

"อธิปลองคุยดูแล้วกัน ถ้าเรียมชอบ เท่าไรก็ไม่ติดขัด"

"กระหม่อม"

"ขออย่างเดียว อย่าให้ใครรู้ถึงพระยศของเรียม กระทั่งขัตติยพงศ์ที่เป็นราชสกุลเช่นกันก็ห้าม"

เมื่อปลายสายรับคำอย่างมุ่งมั่น เริญดนุภพก็วางโทรศัพท์ด้วยความเบาใจ

เพราะรู้ว่าเรียมลลิตรนั้นช่างไม่ประสาต่อเล่ห์อุบายของกลุ่มผู้ดีใหม่ที่ถือมรรยาทฝรั่งแบบถึงเนื้อถึงตัวเป็นธรรมเนียม เริญดนุภพจึงเลิกที่จะสร้างตำหนักอีกแห่งที่ใหญ่โตพรั่งพร้อมทุกอย่างไม่แพ้ตำหนักที่พญาไท เลือกผืนดินแปลงที่งามที่สุดของคุ้งน้ำบางกะปิ และด้วยบังเอิญ ที่ดินผืนนั้นอยู่ติดกับคฤหาสน์ขัตติพงศ์ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ชายหนุ่มเบาใจขึ้นมาก

ราชสกุลขัตติยพงศ์ทำงานสนองคุณแผ่นดินมาหลายรัชสมัย เกียรติประวัติ คุณงามความดีเป็นที่รู้จักไปทั่วพระนคร หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตนั้น แม้จะไม่สนิทสนมแต่ก็ดูคล้ายจะคุ้นเคยกับบิดาอยู่บ้าง เริญดนุภพเองก็เคารพในความเป็นผู้ใหญ่น่าเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย

หากจะเป็นห่วงก็เพียงแค่เรื่องเดียว

เริญดนุภพไม่รู้ว่าคุณชายขวัญสรวงเป็นคนเช่นไร





+++++++++++++++++++++++++




สุภาษิตประจำวันนี้ขอเสนอสุภาษิต "ว่าแต่เขา อิ(พี่ขวัญ)เหนาเป็นเอง"
เขม่นอธิปสารพัดแล้วดูพี่แกทำเข้า ฮ่าๆๆๆ
ใครว่าชีวิตของพี่ขวัญว่าสุขสบายจนน่าอิจฉาแล้ว เจอน้องเรียมก่อน

เพื่อไม่ให้เป็นการงง ขอลำดับพระยศของท่าน ๆ ทั้งหลายนะครับ
เรียงจากลำดับสูงไปลำดับที่ต่ำกว่านะครับ

พ่อและแม่ของเรียม
v
พี่เริญและน้องเรียม
v
พ่อและแม่ของพี่ขวัญ
v
พี่ขวัญ
v
อธิป, น้ำทิพย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย


ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะครับ ใจจริงอยากจะต่อเป็น ๒.๓ มาก
แต่ตัดขึ้นเป็นตอน ๓ เลยก็แล้วกัน ไม่เป็นไร ไม่ซีเรียส (แล้วจะบอกทำไม)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ ฝากติดตามเชียร์พี่ขวัญกับน้องเรียมต่อด้วยนะ

ปล. ได้คอมมาเมื่อไหร่จะอัพ LIE ที่ค้างไว้ต่อด้วยนะ 5555

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ชอบตอนเรียกกันว่าพี่ขวัญน้องเรียม
มันแบบอ้ากกกกกกกกกกกก
แหมพี่ขวัญมีใจล่ะสิ๊

ออฟไลน์ mutoo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-37
แปลว่าคุณปู่ของนายเอกเป็นกษัตริย์ เพราะคุณพ่อนายเอกเป็นถึงสมเด็จเจ้าฟ้าถูกมั้ยคะ
เพราะว่าตำแหน่งพระองค์เจ้า(เหมือนเราเคยอ่านๆเจอในนิยาย บางทีเค้าเรียกเสด็จในกรมฯ) เป็นลูกของสมเด็จเจ้าฟ้า
แล้วบุตรของพระองค์เจ้า(ชาย)คือหม่อมเจ้า , บุตรของหม่อมเจ้า(ชาย)คือม.ร.ว.
แต่คำว่าท่านชายใช้เรียกหม่อมเจ้าเท่านั้น เห็นมีคำตอนที่เลขานายเอกเรียกนายเอกว่าท่านชายองค์นี้ เราก็เลยงงนิดๆ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=1492 ลองอ่านลิงค์นี้ดูค่ะ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2 อีกอันค่ะ ช่วยกันเช็ค

อีกอย่างสมัยก่อนมีตู้เย็นกับน้ำแข็งแล้วเหรอ ตัวเองกะให้เนื้อเรื่องตรงกับช่วงพ.ศ.ไหนอ่ะ
ไม่อยากให้พลาด เพราะเราจะเตรียมซื้อหนังสือ อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2014 00:04:17 โดย mutoo »

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ

พอดีที่คุณ mutoo ทักมา เลยขออนุญาตตั้งขึ้นเป็นหัวข้อเผื่อแผ่อธิบายสำหรับคนอ่านทุกคนเลยแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนใจจริงไม่อยากพิมพ์อธิบายเท่าไร เพราะมันเท่ากับเป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงบางส่วน ถึงไม่ใช่ประเด็นที่มีผลต่อเนื้อเรื่องมากก็ตาม แต่คิดว่าเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นของคนอ่านก็ยินดีครับ

ในส่วนของลำดับชั้น เป็นอย่างที่เขียนครับ พูดง่าย ๆ คือเรียมเป็นหลานของ King ครับ แต่เกิดมาจากสายมารดาเจ้าจอม (เมียรองๆๆๆๆ)
(สำหรับในส่วนของการเรียกแบบลำลองที่หลุดมาหนึ่งจุดนั้นเกิดจากการพิมพ์ผิด เช่นเดียวกับคำอื่น ๆ ที่หลุดออกมาประปรายในตอนนี้อีกหลายจุด ต้องขอโทษในเรื่องคำผิดด้วยครับ)

ประเด็นเรื่องพระยศไม่ใช่เรื่องที่มีความสำคัญต่อเนื้อหาของเรื่องนี้ครับ และไม่อยากให้คิดไปไกลว่าจะไปดึงสาแหรกราชสกุลมามาเกี่ยวพันเป็นลำดับชั้นจนน่ากังวล อย่าเพิ่งตกใจกันไปครับ นี่อาจจะเป็นเพียงไม่กี่ตอนที่มีการเอ่ยถึงเกี่ยวกับปูมหลังของตัวเรียม ทั้งหมดเพื่อให้น้ำหนักกับอุปนิสัย การพูด การแสดงออก และรูปแบบการใช้ชีวิตที่สุขสบายครับ ตัวละครที่ช่วยซัพพอร์ตให้กับฝั่งเรียมคือพี่ชาย และเลขา และทั้งคู่ก็ไม่เกี่ยวกับระบบราชการครับ ทั้งเรื่องพ่อก็ไม่โผล่ครับ แม่อาจโผล่ประปราย หายห่วง

ส่วนที่มีการใช้คำราชาศัพท์ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงการร้องขอของเรียมให้พูดด้วยคำสามัญในการพูดคุยทั้งเรื่อง (ซึ่งถือว่าผิดปกติที่ควรเป็นและจำเป็นต้องมีฉากนี้) ประเด็นเรื่องพระยศแม้จะเป็นสิ่งสำคัญแต่สำหรับเรื่องนี้ถูกออกแบบมาให้เป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีความสำคัญ ขวัญและเรียมในเรื่องนี้จะเหมือนกับขวัญและเรียมในแผลเก่าในแง่การใช้ชีวิตอยู่ในคลองแสนแสบ มีทุ่งนา เพียงแต่เป็นเวอร์ชั่นที่มั่งคั่ง จากเป่าขลุ่ยไทยก็เป็นฟลุต จากขี่ควายก็เป็นขี่ม้าน่ะครับ สรุป เป็นนิยายรักครับ เดินเรื่องด้วยเรื่องรัก ๆ ของตัวละคร

เรื่องยุคสมัย อย่างที่ได้เขียนไว้ในตอนแรกครับ เพราะอาจจะอยู่ตั้งแต่บรรทัดแรกหลายคนอาจจะเผลอมองผ่าน แต่อยากให้ความสำคัญกับตรงนี้ด้วยครับเพราะจะมีผลต่อการอ่านอีกประมาณแสนประโยคนับจากนี้ 55555

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จะขอลำดับช่วงเวลาแบบที่พอจะเห็นภาพนะครับ เรียงจากเก่าไปใหม่ครับ

แผลเก่าต้นฉบับ > แดง ไบเล่ย์ 2499 อันธพาลครองเมือง > สุภาพบุรุษจุฑาเทพ > พี่เบิร์ด ธงไชย์ แมคอินไตย์เกิด > เรื่องนี้ ( 2507)

น่าจะเห็นภาพขึ้นนะครับ สำหรับคนอ่านพีเรียดที่มี mindset อยู่ว่าแนวย้อนยุคเหมือนจะต้องสมัยรัชกาลที่ 5 นุ่งโจงกระเบน เสื้อราชปะแตน เรียกกันแบบเจ้าพระยาอะไรทำนองนี้อยากให้ลบภาพพวกนั้นไปก่อนครับ นี่เป็นสวมชุดสูทแบบฝรั่งและเป็นเรื่องราวที่เกิดในสมัยรัชกาลปัจจุบัน ในยุคที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีเครื่องปรับอากาศ โรงหนัง จุฬาลงกรณ์เปิดเกือบครบทุกคณะ และมีการบินไทยถึงแม้ตอนนั้นจะมีแค่สี่เส้นทางก็เถอะ แต่ละปีมีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ไวมาก ความสับสนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ภาษาที่ติดจะเป็นภาษาคล้ายราชาศัพท์นั้นเกิดจากตัวละครเกือบทั้งหมดในเรื่องเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตแบบมีพิธีรีตรองครับ นั่นคือพูดและเล่าเรื่องด้วยภาษา(ติดจะ)โบราณบ้าง แต่เรื่องค่อนข้างสมัยใหม่ครับ




อันนี้ชวนคุยเล่นครับ เรื่องนี้รวมเล่มหรือเปล่า ปกติจะซ่ามาก แต่เรื่องนี้ยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดครับ เอาแค่ไม่ท้อจนแต่งจบไม่จบหรือเปล่านี่ก่อนแหละ ยอมรับจริงว่าไม่ถนัดแนวนี้ครับ แต่ละตอนใช้เวลานานมาก ประมาณสัก 20 เท่าอัพของเวลาที่คนทั่วไปใช้ในอ่านได้เลยมั้ง เวลาหาข้อมูลมาจัดเรียงระบบอีกไม่นับ ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกที่ไม่เกี่ยวกับเวลานะ ความทุ่มเทเอย ความอิสระที่เสียไปเอย แต่นี่คือเลือกแล้วไง มีสิ่งที่เสียไปเยอะแต่มันก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ได้กลับมาเยอะนะ ซึ่งมันก็มีความสุขตามอัตภาพอยู่ 5555

คือต้องแจงเพราะไม่ได้ดราม่าเรียกร้องอะไรนะครับ ไม่ได้ขอคอมเมนต์หรือความเห็นใจอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ แค่แวะมาอ่านก็ดีใจแล้ว เพราะนี่ก็พอใจจะเขียนเองแบบเสนอหน้ามาเองไม่มีใครขอ ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจกันครับ เมนต์ก็ดี ไม่เมนต์ก็ดีไปอีกแบบ(ไม่ต้องเกรงใจใครมากที่อัพช้าดี 555) แต่แค่อยากบอกว่าตัวนักเขียนก็อยากท้าทายตัวเองทำอะไรใหม่ ๆ ให้ตัวเองไปเรื่อย ๆ ดังนั้นถ้ามีอะไรที่มีประโยชน์อยากเสนอแนะก็เต็มที่เลยครับ ไม่ใช่เห็นว่าตอบยาวแล้วไม่กล้าพิมพ์ อะไรที่ทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น จัดมาแบบไม่ต้องเกรงใจครับ 55555555

อ้อ...อีกเหตุผลที่ไม่ค่อยอยากจะพิมพ์ตอบใครเพราะพิมพ์สั้นไม่ค่อยเป็นนี่แหละครับ ถือว่าอ่านขำ ๆ แล้วกันนะ :hao6:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ถึงจะอย่างนั้น แต่เนื้อเรื่องน่ารักๆแบบที่เราชอบงี้ก็อยากจะให้รวมเล่มจังเลยน้า

รอตอนต่อไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด