► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)  (อ่าน 51251 ครั้ง)

ออฟไลน์ --รมยกร--

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-3
แปะ ไว้ก่อน เดี่ยวเข้ามาอ่านทีหลัง
ตามแบบฉบับนักเขียนบรมอาจารย์ไม้เมืองเดิมจริงๆ พระเอกจะรักกับพี่สาว แต่จะมีเหตุให้ร้างลาไป ส่วนนางเอกตัวจริงจะเป็นน้องสาวที่แอบหลงพระเอก เกือบทุกเรื่องด้วยนะ เท่าที่เราอ่านนิยายของท่านมา

แต่ ฉบับวายจะยังไงน้าาาา ชอบนิยายพีเรียดมาก กลิ่นอายลูกทุ่งมันอยู่ในสายเลือด  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
อยากบอกว่าเอายศทหารตามหลังฐานันดรมิได้นะ......ต้องนำยศทหารขึ้นต้นยศกำเนิด
ในตอน7 หม่อมราชวงศ์ พันตรี พิษณุ ขัตติยพงศ์  ต้องเป็น พันตรี หม่อมราชวงศ์ พิษณุ ขัตติยพงศ์

ออฟไลน์ Apitchaya

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฮือออออ ชอบบบบ
จูบละมุนมาก (เหมือนโดนเอง)
ไม่ชวนนัองไปนั่งเล่นกันที่ห้องนอนละจ้ะชายขวัญ
เรียมก็น่ารักจนคนทั้งบ้านหลง
หวังว่าแม่พี่ขวัญจะไม่รังเกียจน้องทีหลังนะ เป็นสาววายเถิดจะเกิดผล

เก็บตังค์รัวๆเลยจ้าา เผื่อมีโอกาสได้อุดหนุน
อยากเก็บพี่ขวัญน้องเรียมไว้ในอ้อมอก 5555555

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
โอ้ยยยยยยย โอ้ยยยยยยยย โอ้ยยยยยยย
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
โง้ยยยยยยยยยยย นี่บิดจนที่นอนจะขาดแล้ว
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย น้องเรียมมมมมมมมมมมม
น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกก น่ารักมากกกกกก ฮือออออออ
ตอนที่ตอบพี่ขวัญว่าไม่รู้นี้แบบ กรี้ดดดดดดด
ทำไมน้องน่ารักได้ถึงเพียงนี้
พี่จิไม่ท๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
อึมครึมฝนจะตกมาทั้งตอน มาเจอฉากจบไป
ผมนี่เขินม้วนหน้าม้วนหลังเลย งื้ออออออ
แล้วพี่ขวัญเว้ยยยยยยย จูบน้องแล้วอะ จูบแล้ว ผิดผีแล้ว รับผิดชอบด้วยยยย!!!!
ไม่ใช่ทีเดียวด้วยนะ มีซ้ำๆอีกกก น้องเรียมก็ยอมพี่มัน โอ้ยยยย
ไม่ไหวๆ คนอ่านอกจิแตกละ
คนเขียนค่อยๆเขียนทีละนิด คนอ่านก็อ่านทีละนิดเหมือนกัน
อ่าน5บรรทัด ไปหาน้ำกิน อ่านอีก4บรรทัด เปิดเว็บอื่น
ไม่ใช่อะไร กลัวจบตอนเร็ว พออ่านจบก็ทุรนทุราย งื้อออออออออออออออออออออ

ออฟไลน์ taengoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เขินนนนนนนนน
งื้ออออออออ บ้าๆๆๆ
-/////-
 :o8: :o8:

ออฟไลน์ PEEM_JANG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :ling1: :ling1: :ling1: คือเขิน คือจิกหมอน คือกัดผ้าอ่ะ  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ lovekimkina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่ขวัญของเรียมมมมมมม แอร้ยยยย
เดี๋ยวนี้เขามีการพัฒนา... จุดพลุฉลอง
พี่ขวัญขี้หึงนะเรา ชอบบบบบ
รักเรื่องนี้จังเลย

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
หวานมากอ่ะ อิชั้นเขินแทนเลย

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
บ้าที่สุดเลยค่ะ!!
ทำไมชายขวัญเป็นคนแบบนี้
กรี๊ดดดดดดดดดดด!!   :hao5: :hao5: :hao5:

พี่ขวัญคนบ้า ฮืออออออ เขินมากอะไรมาก
คนอะไรเนียนมาก ช่วงแรกๆ ยังมาทำหวงน้อง เหวี่ยงคนโน้นคนนี้ไปทั่ว
หงุดหงิดไปหมด แต่พอได้มานั่งริมน้ำกับน้องเรียมหน่อย เอาใหญ่เชียวนะคะ!!

แหม่ะ! ตอนแรกนึกว่าจะได้เล่นน้ำแบบแนบชิดกันหนุงหนิงซะอีกค่ะ
แต่แบบ แอร๊ยยยยยยยย ถึงเราจะแอบเสียดายที่ไม่มีฉากเล่นน้ำกุ๊กกิ๊ก
แต่ตอนจูบมันเหนือความคาดหมายมากๆ ค่ะ! ฮึ่ยยย! น่าจะรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าชายขวัญน่ะร้าย!
น้องเรียมไปไม่เป็นเลย ถถถถถถถถถถถถ ไม่รู้ว่าทำไมถึงจูบก็เลยลองจูบน้องซ้ำๆ ดูจะได้รู้หรอคะ!?
ร้ายกาจเกินไปแล้วค่ะ! ยอมเลย ยอมมมมมมมมมมมม 5555555555555

 :-[

เอาจริงๆ ตอนนี้เริ่มสงสารน้องเรียมแล้วค่ะ พี่ขวัญร้ายมากอะไรมาก
กลัวน้องตามไม่ทัน ตอนนี้ขอยกป้ายไฟให้น้องเรียมแล้วกันนะคะ >_<

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ฟินข้ามโลกเลยค่าาาาา

เขิน-///-
หวานเกินไปแล้ววว

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
คิดถึงอีกแล้วววววว

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
คนเขียนหายไปไหน หายไปกับสงกรานต์รึเปล่า ฮือออออออออออออออออ

ออฟไลน์ Apitchaya

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กลับมาาาาาาาาาาาาได้รึเปล่าาา
กลับมาหาฉันทีได้มั้ยคนดี

คิดถึงแล้วน้าาาาาา

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
เป็นเดือนแล้วน๊าาา

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
ใยถึงทิ้งน้องไปได้นานเพียงนี้

ออฟไลน์ ม่วงระย้า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-3
ชอบแนวย้อนยุคมากเลย สนุกค่ะ มาต่ิอเถอะนะ

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
หายไปไหนอ่าาาาาาาาาาาตัวเองจ๋าาาาาา กลับมาเต๊อะะ

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
รอนานจนตะเตือนใตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ขอโทษด้วยครับที่หายไปนาน พอดีทำบ้านใหม่ เวลาหมดไปกับบ้านจนไม่มีเวลาแต่งเลยครับ
ขณะนี้บ้านก็ยังไม่เสร็จดี แต่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากแล้ว เอาเป็นว่าชีวิตเริ่มกลับมาปกติสุขอีกครั้ง
แม้ว่าจะยังไม่ใช่เต็มที่ก็ตาม แต่ก็ดีกว่าช่วงที่ผ่านๆ มามากครับ ถ้ามีอะไรจะแจ้งในเฟสเรื่อยๆ แล้วกันนะครับ

ความเดิมตอนที่แล้ว พี่ขวัญเริ่มเกิดอาการหวงน้องจากคนรอบๆ ตัว ทีนี้พอน้องมาหาถึงที่
ทีนี้พี่ขวัญแกว่ายน้ำ อาบแสงจันทร์รอมานาน เลยกลายร่างเป็นหมาป่าล่าเหยื่อทันที
จบตอนที่ว่าพวกเขาจุ๊บๆๆๆๆ กันแล้ว จากนี้ไปจะเป็นยังไงต่อ โปรดติดตามอ่านครับ ^ ^

ปล. 1 มีการปรับลักษณะการเขียนใหม่ให้ถูกต้องขึ้น และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ช้าครับ
เนื่องจากโดยปกติแล้วคนโบราณจะให้เกียรติกับเรื่องยศศักดิ์มาก
จำเป็นต้องเอ่ยพระยศนำหน้าชื่อเพื่อเป็นการให้เกียรติครับ
ทีนี้ดูตัวละครแต่ละตัวเถิดเจ้าข้าเอ๊ย คนแต่งอยากจะร้องไห้ โดยเฉพาะน้องเรียม อยากจะร้องไห้

ปล. 2 ลงตอนใหม่ฉลองให้กับการสมรสที่เท่าเทียมกันทั้ง 50 รัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาครับ ฮูเร่!

ปล. 3 อ่านช้าๆ นะ ตอนนึงแต่งน้านนาน คือเราแต่งไม่ทันคนอ่านนั่นเอง 55555+



+++++++++++++++++++++++++++++++++



ตอนที่ ๙


หนึ่งวันหลังจากนั้น หม่อมแม้นพิศก็เดินทางกลับไปที่วังขัตติยพงศ์ในพระนครด้วยอารมณ์แจ่มใส ส่วนผู้พำนักอาศัยชั่วคราวย้ายกลับไปที่เรือนตัวเองในตอนเย็นวันเดียวกัน นมละเอียดแจ้งแต่เพียงว่าเมื่อเหตุการณ์อะไรๆ ก็ดูสงบเงียบ ไม่มีวี่แววของจ้อยหรือครอบครัวของกำนันจงรักที่จะมาระรานอีก ก็เห็นสมควรที่กลับไปพักที่เรือน ไม่รบกวนให้เกรงใจกันไปกว่านี้

เมื่อคนที่เคยให้เขายืมหัวไหล่ต่างหมอนจากไปโดยไม่ได้มาบอกลาด้วยตนเอง หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงจึงแบกความว้าวุ่น อัดอั้นตันใจกับสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อคืนวานนัก

ไม่กล้าไปพบหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่คิดอะไรได้อย่างที่ผ่านมา จากที่เคยชี้ชวนกันชมนกชมไม้ กระเซ้า สนทนากันระหว่างที่เทพกำลังเรียนดนตรี หรือแม้แต่เล่นเพลงไพเราะให้ฟัง บัดนี้ชายหนุ่มได้แต่นั่งกระสับกระส่าย หักห้ามอารมณ์อ่อนหวาน และใช้เวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าปรกติทำงานจิปาถะ มากเท่าที่จะมากได้

ถึงกับโทรศัพท์ไปหาบิดาเพื่อเป็นธุระจัดการงานเอกสารต่างๆ ของกระทรวง จากที่เคยรับผิดชอบในส่วนของเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ในครั้งนี้ ชายหนุ่มเอ่ยปากถึงเอกสารราชการทั่วไปที่เป็นภาษาไทยเพิ่มเติมขึ้นอีก

ข้ออ้างว่าอยากศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเอกสารทั้งสองภาษา และอยากเรียนรู้งานราชการให้เข้าใจถ่องแท้ทำให้หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตถึงกับออกอาการแปลกใจ หากแต่ความปราโมทย์ที่บุตรชายเพียงคนเดียวนึกสนใจใฝ่รู้งานสนองคุณแผ่นดินนั้นเหมือนสายลมพัดเป่าความสงสัยให้ปลิวหาย ไม่มีเหลือ

วันถัดมา อาการเหม่อลอยเหมือนแผลที่เริ่มช้ำเขียว แทนที่จะทุเลา จิตใจไม่เป็นวุ่นวายเสียยิ่งกว่าเดิม เขาสอนเทพเล่นดนตรีได้อย่างไม่มีสมาธิเท่าที่ควร หลายครั้งที่ความคิดหวนกลับไปถึงกิริยาที่สำรวม งามสง่าทุกกระเบียดนิ้ว คิดถึงใบหน้าแอร่มที่ไร้ความรู้สึกนั่น ผมและดวงตาที่เป็นสีอ่อนกว่าคนทั่วไป คิดถึงแก้มแดงปลั่งบนผิวเนียนละเอียด จำได้ว่ามันนุ่มแค่ไหนในตอนที่ริมฝีปากเขาแตะสัมผัส กระทั่งจูบผะแผ่วราวกับปีกของผีเสื้อยามกระหยับบิน ทุกรอยประทับยังคงตราตรึงเหมือนสลักลงบนหินผา

เรียมทำให้หัวใจของเขากลายเป็นฝั่งน้ำที่เต็มเปี่ยม เย็นชื่นตลอดเวลา คุณชายขัตติยพงศ์ต้องสะกดความรู้สึกของจนเองหลายครั้ง และทุกครั้งก็ยากลำบากขึ้นทุกที

อาการนิ่งเงียบแปลกๆ นั้นทำให้น้ำทิพย์รู้สึกผิดสังเกต บ่อยครั้งที่หญิงสาวลอบมองเขาด้วยความเป็นห่วง หากแต่ชายหนุ่มที่ดูร่าเริงสดใสตลอดเวลากลับเงียบขรึม ไม่แม้แต่จะหยอกเย้ายามน้องชายของเธอยกมือไหว้และเอ่ยคำลาแบบทุกที

เขาไม่ยิ้มแย้มให้กับเทพหรือเธอ คุณชายขวัญสรวงเหมือนคนที่ครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเอ่ยถาม เขาก็ยิ้มพรายดังปรกติ จนน้ำทิพย์ได้แต่พูดกับตนเองว่าบางทีเธออาจจะคิดมากเกินไป

เด็กสาวไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนั้น ชายหนุ่มรู้สึกอย่างไรกับอาการกลับไม่ได้ไปไม่ถึงของตนเองตลอดสองวันมานี้ พอน้ำทิพย์และเทพคล้อยหลังไปจนลับแล้ว เขาถึงได้นั่งลงเต็มน้ำหนักบนตั่งไม้ใต้ร่มพะยอม ถอนหายใจอยู่หลายครั้งเหมือนคนจนใจ





คุณชายขัตติยพงศ์ไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครฟัง เขาไม่ไว้ใจตัวเองว่าจะสามารถรักษาสีหน้า ตลอดจนน้ำเสียงให้พ้นจากความสงสัยได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ และไม่มีผู้ใดที่สามารถจับกระแสบางเบาทว่าล้ำลึกที่แล่นไปมาอยู่ในแววตาที่คอยมองเหม่อไปทางเรือนฝรั่งหรูหราซึ่งปลูกขนาบ ห่างกันเพียงรั้วกั้นอยู่เป็นระยะๆ ได้ แม้แต่ความระแคะระคายก็ไม่ปรากฏ

ไม่เว้นแม้กระทั่งกานต์ ผู้เป็นเพื่อนที่คบหากันมานานหลายปี

“ไม่ได้เจอตั้งนาน ยังเหมือนเดิมนี่หว่า”

“จะให้กลายเป็นมิตร ชัยบัญชาหรือยังไง” เขาตอบติดหัวเราะ เดินนำไปเรือนไม้ ครู่เดียว เยื้อนยกกาแฟพร้อมกับปาท่องโก๋สูตรโบราณที่ถือเป็นสูตรพิเศษ ทอดจนเป็นสีทองนวลมาวางที่โต๊ะ

เป็นอันรู้กันว่า บ้านขัตติยพงศ์นั้นขึ้นชื่อเรื่องอาหารเป็นนักหนา ไม่เว้นแม้กระทั่งปาท่องโก๋ที่จำเพาะว่าต้องทอดด้วยน้ำมันใหม่ๆ ในกระทะทองเหลืองเท่านั้น ปาท่องโก๋ตำรับขัตติยพงศ์จึงได้กรอบนอก แต่เนื้อข้างในนุ่มและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่เหมือนใคร เป็นของโปรดที่กานต์ชื่นชอบถึงกับเคยขอซื้อสูตรไปขายที่โรงภาพยนตร์ของตนเองในพระนคร แต่แม่สายบุญนั้นหวงสูตร ไม่ขาย แต่ทำให้ทานกันฟรีๆ ทุกครั้งที่กานต์แวะมาหา จึงมีปาท่องโก๋หอมกรุ่มมาไม่อั้น

“ไม่ได้แวะมาพักเดียว บางกะปิเปลี่ยนแปลงขนาดนี้เชียวหรือวะ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคฤหาสน์ใหญ่โตขนาดนี้ปลูกขึ้นเคียงขัตติยพงศ์ ตึกแบบนี้ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือสถาปนิกต่างชาติ โอ่โถงกว่าที่นี่เสียอีก นี่ใครเป็นเจ้าของกันวะ” หนุ่มเจ้าสำราญถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ เขาทานปาท่องโก๋ไปสองตัวจึงจิบกาแฟหอมกรุ่น เอนหลังพิงพนักเก้าอี้

“เห็นว่าเป็นพ่อค้าวานิช” คนถูกถามพยายามตอบรวบรัดที่สุด

“แบบนั้นก็ไม่แปลก” กานต์พยักหน้าเหมือนคนเข้าใจอะไรง่ายๆ เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง พลางเอ่ยเสริมว่า “สมัยนี้ประเทศไทยเราทำธุรกิจกับต่างประเทศ คนที่รู้ภาษา มีช่องทางกำรี้กำไรเป็นเศรษฐีกันถ้วนหน้า ฝรั่งเองก็เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไม่น้อย อย่างว่า แผ่นดินเราอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อยากกินผักก็เด็ดผักข้างบ้านมากิน อยากกินกบ กินปลา ก็แค่ลงไปจับในน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านถึงได้ตรัสว่าแผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินทองสำหรับพวกเราทุกคน”

คุณชายขวัญสรวงยังคงนิ่ง เขาเห็นด้วยกับที่กานต์พูดทุกอย่าง ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ปลูกผักอะไรก็งอกงาม พืชพรรณธัญญาหารมีตลอดทั้งปี เทียบกับต่างประเทศที่เขาได้ไปร่ำเรียนมา ที่นั่นมีอากาศหนาวเย็นสบายกว่าก็จริง แต่ที่ดูจะงามก็เห็นจะมีแต่ดอกไม้ต่างๆ ส่วน พืชผัก ผลไม้นั้นยังถือว่ามีค่อนข้างน้อย

จู่ๆ กานต์ก็พยักพเยิดไปทางคฤหาสน์ที่ปลูกในรั้วข้างๆ ตั้งคำถามใหม่ “แล้วคนที่อยู่ในนั้นหน้าตาเป็นยังไง สวยไหม”

คนฟังสะดุ้งวาบในอก แต่ก็สู้ทำใจแข็ง วางท่าทีขรึมสุขุม   

“เป็นผู้ชาย” เขาเอ่ยสั้นๆ

ส่วนที่ถามว่าสวยไหม ชายหนุ่มอยากจะตอบเพื่อนรักเหลือเกินว่าคนคนนั้นจะเรียกว่าทั้งสวย ทั้งงามสง่ากว่าใครๆ ที่เคยพบมา แต่ก็สู้สะกดถ้อยคำเอาไว้ให้อยู่เพียงแค่ในอกตน

ทว่ากานต์กลับหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องสนุก

“หมดกัน ทีแรกก็นึกว่าที่เอาแต่อยู่บางกะปิจนถึงกับทิ้งเพื่อนฝูงสังคมเพราะดันไปติดใจใครแถวนี้เข้า ลืมพระนครไปแล้วหรือไรวะ จนหญิงอุ่น เพื่อนน้องสาวฉันร่ำๆ อยากจะให้ฉันขับรถพามาเห็นที่นี่กับตาให้ได้ว่ามีอะไรดีนัก สโมสรอะไรก็ไม่ไป เรียนดนตรีมา แต่เพลงไหนกำลังนิยมที่เมืองนอกรู้บ้างไหม นี่ไอ้สมิงมันก็ฝากมาบ่นแล้ว”

ปล่อยให้เพื่อนรักพูดเรื่อยเจื้อย หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงได้แต่นิ่งฟัง นานๆ ทีจึงตอบกลับไปสั้นๆ อันที่จริง ตัวเขาตระหนักถึงข้อนี้มานานแล้ว และที่กานต์พูดก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดเลย ทุกเรื่องที่ไถ่ถามล้วนมีคำตอบ แต่ชายหนุ่มกลับสิ้นถ้อยคำ เมื่ออีกฝ่ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่กานต์คาดคะเน

คนที่ทำให้เขาติดอยู่ที่นี่จนไม่อยากจะไปไหนคนนั้นเป็นผู้ชาย ผู้ชายเหมือนๆ กับเขานี่เอง





ลมโกรกพัดเย็นและทุ่งนาสีเขียวสดที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาไม่ได้ทำให้ความเบื่อหน่ายคลายบรรเทาแม้แต่น้อย ตามประสาคนที่ใช้ชีวิตในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน จันดีไม่ชอบความร้อนอบอ้าว แดดจ้าทำให้เธอหงุดหงิด และถ้าไม่ใช่เพราะเป้าหมายในใจ หล่อนคงจะไม่สู้ตื่นตั้งแต่บ่ายสองโมงมาเพื่อให้ผิวขาวๆ ที่เฝ้าทะนุถนอมมาหลายปีต้องแสบพองแบบนี้

“เอ็งห้ามบอกเรื่องนี้ให้ไปถึงหูพี่จ้อยเป็นอันขาดนะ ไม่อย่างนั้นเอ็งกับข้าได้พากันซวย” คนที่ถือไม้พายอยู่บ่นอุบ ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะมานัก แต่ก็ยอมทำด้วยเงินทองที่รับมาจากนางผุยเป็นน้ำใจมาโดยตลอด

“จ้ะพี่ จันดีรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูดหรอกนะจ๊ะพี่ศักดิ์” หญิงสาวเยื้อนแย้ม ตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน

หล่อนเป็นคนไหว้วานให้นายศักดิ์ ลูกน้องคนสนิทของจ้อยให้ช่วยพายเรือมาดูบ้านของน้ำทิพย์ หญิงสาวอีกคนที่จ้อยดูจะจริงจังด้วยมากกว่านางเอกลิเกอย่างหล่อน ข่าวลือว่าน้ำทิพย์เป็นเด็กสาวที่เพียบพร้อมนั้นเป็นเรื่องที่ได้ยินเข้าหูของจันดีมานาน ทุกครั้งหากมีคนเอ่ยชมความงามของจันดีที่ทำให้ผู้ชายทั่วทั้งบางกะปิหลงใหล ก็จะมีชื่อของน้ำทิพย์ผุดขึ้นมาเหมือนเปรียบเทียบให้หล่อนดูด้วยลงเท่านั้น เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อนเคยภาคภูมิใจ ล้วนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าเมื่อเปรียบกับผู้หญิงคนนั้น เกลียดก็แสนเกลียด แต่ผู้หญิงแบบน้ำทิพย์นั้นกลับไม่อยู่ในความสนใจของหล่อนเลยแม้แต่น้อย

คุณชายขวัญสรวง ขัตติยพงศ์ต่างหากที่ทำให้หล่อนดั้นด้นมาถึงที่นี่ เสียงล่ำลือที่ว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามเพียงไรนั้นเล่าที่ทำให้หล่อนอยากจะได้เห็น ได้ปรนนิบัติพัดวีให้ชื่นหัวจิตหัวใจสักครั้ง

จันดีเคยเห็นคนมีเชื้อสายทางเจ้าประเภทหม่อมอะไรต่อมิอะไรมากมายจากในละครทีวี แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงว่าคุณชายพวกนั้นจะหล่อเหลาเหมือนอย่างพระเอกในละครไหม หล่อนจบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่สี่ก็จริง แต่เพราะเอาแต่รักสวยรักงาม และเที่ยวเล่นไปกับเด็กชายมากมายที่มารุมเกี้ยวมากกว่าจะสนใจใฝ่เรียนแบบคนอื่นๆ จันดีจึงอ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่ตัว ภาพข่าวต่างๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ หล่อนจึงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คนไหนเป็นเจ้า คนไหนไม่ใช่

“ปรกตินังทิพย์มันจะช่วยน้าบานชื่นทำนา ไม่พาควายไปกินหญ้าก็จะอยู่แต่ในบ้าน จะมีก็แต่ช่วงบ่ายแก่ๆ นี่แหละที่กลับมาช่วยแม่ของมันทำกับข้าวที่บ้าน หรือไม่ก็ไปรับน้องชายกลับจากเรียน”

คำพูดของศักดิ์เข้าหูซ้ายก็ทะลุออกทางหูขวาของหญิงสาว ความสนใจของจันดีอยู่ที่ว่าเมื่อไรจะถึงคฤหาสน์ใหญ่โตของคุณชายขวัญสรวง และจะมีบุญตาได้มีโอกาสเห็นเขาหรือไม่

“ว่าแต่เอ็งอยากจะมาดูหน้านังทิพย์มันทำไมวะ หรือนึกจะหึงจะหวงกันขึ้นมา” เหมือนจะถามด้วยความสงสัย แต่ศักด์ก็เป็นคนสรุปความเอาเองทั้งหมด “พูดก็พูดเถอะวะนังจัน เรื่องนี้เอ็งต้องทำใจ ถึงยังไงกำนันก็ต้องให้ลูกชายของแกดองกับบ้านตาทับอยู่ดี ที่นาก็ไม่น้อย นังทิพย์มันก็สวยหยอกเสียทีไหน”

“จันดีรู้จ้ะ” หล่อนยิ้มอ่อนหวานตอบไปตามเรื่อง ก่อนจะหันไปลอบถอนหายใจหน่าย กระทั่งสะดุดตากับคฤหาสน์หลังโตที่ปลูกขนาบริมน้ำ ความกระฉับกระเฉงสดใสจึงคืนมา

“โอ้โห พี่ศักดิ์จ้ะ นั่นมันพระราชวังหรืออะไรกัน เกิดมาฉันไม่เคยเห็นบ้านหลังไหนทั้งใหญ่โตและโก้แบบนี้เลย อย่างกับปราสาทบนวิมานเทวดาแน่ะ นี่หรือเปล่าจ๊ะ วังขัตติยพงศ์ที่ชาวบ้านที่ตลาดเขาพูดถึงกัน”

ท่าทางตื่นเต้นของจันดีทำให้ศักดิ์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเอ็นดู “ไม่ใช่โว้ย ของพวกขัตติยพงศ์คือถัดไปที่ย่อมกว่านั่น แล้วก็ไม่ใช่วัง นี่มันแค่คฤหาสน์ วังขัตติยพงศ์น่ะเห็นว่าอยู่ที่อำเภอชั้นใน ใหญ่กว่านี้ไม่รู้กี่เท่า ผู้ดีอะไรจะมาปลูกวังที่บ้านนอกแบบนี้”

“แล้วใครกันจ๊ะ ที่ปลูกเรือนเป็นวังแบบนั้น” หญิงสาวทอดสายตามองไปทางตึกฝรั่งทาสีจำปา หล่อนส่งยิ้มอ่อนเดียงสา ฟันเรียงขาวเป็นระเบียบ

ศักดิ์มองภาพเบื้องหน้าด้วยอาการหลงใหลอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นดวงตากลมใสมองจ้องเหมือนรอฟังคำตอบ ก็สลัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าของตัวเองออกไป

“ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมาก เห็นว่าเป็นพวกเศรษฐีที่รวยจากการค้าขาย แต่ใครเป็นเจ้าของ ข้าก็ไม่แน่ใจ”

ใบหน้าอ่อนหวานพยักน้อยๆ รับรู้ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่คฤหาสน์ขัตติยพงศ์

สำหรับจันดีแล้ว หล่อนคิดมาโดยตลอดว่าพ่อค้าขายของกระจุกระจิกจนพอมีฐานะ จะไปสู้ผู้ดีมีเชื้อสายได้อย่างไรกัน ต่อให้ร่ำรวยเพียงใด ก็ไม่ได้ทำให้หล่อนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหม่อมเดินไปไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้ ร่ำรวยไม่ใช่เรื่องยาก เป็นผู้ลากมากดีต่างหาก ไม่ใช่ว่าใครก็จะเป็นได้ หญิงสาวครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งนายศักดิ์เอื้อมมือมาสะกิด

“นังทิพย์มันออกมาเก็บผักบุ้งที่ท่าน้ำอยู่นั่นไง เอ็งอยากเห็นหน้านักไม่ใช่รึ”

เหมือนมองแค่พอเป็นพิธี จันดีหันไปมองน้ำทิพย์แค่เพียงครู่ ก่อนจะกลับมาชะเง้อเข้าไปที่คฤหาสน์ขัตติยพงศ์ดังเดิม มองสำรวจจนกระทั่งเห็นศาลาริมน้ำ

ที่นั่น หล่อนเห็นผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ดูงามสง่ากว่าใครๆ ที่หล่อนเคยเห็นมาทั้งชีวิต แสงแดดลอดร่มไม้เล่นเงาบนผมสีดำขลับหวีเรียบแสกข้างของเขาจนเป็นเงาสะท้อน เขามีใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา ผิวพรรณขาวสะอาดผ่องใสขับริมฝีปากสีระเรื่อให้เด่นชัดจนชวนมอง ผู้ชายคนนี้ งามยิ่งกว่าพระเอกละครที่จันดีเคยดูเสียอีก อันที่จริง เขางามเสียยิ่งกว่าภาพในจินตนาการทั้งหมดที่หล่อนเคยนึกฝันมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กสาวเสียด้วยซ้ำ หล่อนยกมือขึ้นกุมทรวงอกอย่างลืมตัว ด้วยบัดนี้ หัวใจนั้นได้สูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายรุนแรงเหลือเกิน

“พี่ศักดิ์จ๊ะ ผู้ชายตัวสูงๆ คนนั้นคือคุณชายขวัญที่ชาวบ้านเขาพูดกันหรือเปล่า” จันดีเอ่ยถามเสียงสั่น

“คนนั้นแหละ คุณชายขวัญสรวง”

เมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของคนที่นั่งพายเรืออยู่ หญิงสาวก็จ้องมองเขาอย่างไม่วางตาอยู่หลายนาที และเพราะอยู่ไม่ห่างกันหรือสัญญาณอะไรก็ไม่อาจทราบได้ จันดีจึงหันกลับไปทางน้ำทิพย์ จ้องมองอย่างเต็มตา พินิจพิเคราะห์อยู่จนแน่ใจ หญิงสาวก็รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนกับใครโยนฟืนโยนไฟลงมาสุมในอกของหล่อน

มองปราดเดียวก็รู้ แม่น้ำทิพย์อะไรนั่นรู้สึกอย่างไรกับคุณชายขวัญสรวง!

จันดีสูดลมหายใจเข้าและออกอยู่หลายครั้งกว่าจะพอดับอาการรุมๆ ที่เจียนปะทุในอกได้ หล่อนหันกลับมาทางจ้อย ตีสีหน้าอย่างคนห่วงกังวล แล้วพูดเสียงเศร้า

“เรื่องพี่จ้อย พูดก็พูดเถอะจ้ะ พอฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว ที่พี่ศักดิ์บอกว่าพี่จ้อยดูแปลกๆ ไปช่วงนี้ จันดีสังหรณ์ว่าคงไม่แคล้วเพราะนางวันทองสองใจ”

“เอ็งหมายความว่าอะไร”

เสียงผ่อนลมหายใจแผ่วขึ้น ก่อนที่ดวงตาหวานใสจะตวัดขึ้นมองคนตรงหน้า แกล้งฝืนร่าเริงด้วยรอยยิ้มอย่างคนที่มีอะไรในใจ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พี่ศักดิ์ถือเสียว่าจันดีไม่ได้พูดอะไรเสียเถอะจ้ะ พูดไปพี่ศักดิ์ก็คงมองฉันคิดอกุศล”

มีหรือที่คนอย่างศักดิ์จะไม่หลงในจริตไร้เดียงสาของหล่อน เขาถามอีกครั้ง หล่อนก็ตอบปฏิเสธ และพอเขาเริ่มคาดคั้นหนักขึ้น หล่อนก็แสร้งเป็นกระดากปาก แต่จำต้องพูดเพราะเป็นห่วงจ้อยสุดจิตสุดใจ

“เรื่องทำนองนี้ถ้าไม่หูหนวกตาบอดจริงๆ ผู้หญิงด้วยกัน แค่ดูประเดี๋ยวเดียวก็รู้ ถึงพี่จ้อยจะดูแลเป็นอย่างดี แต่ใจแม่ทิพย์คงชอบคุณชายขวัญเธอมากกว่า ก็เหมือนอย่างนางวันทองนั่นแหละ ขุนช้างก็ดี ขุนแผนนางก็รัก พี่จ้อยอาจพอระแคะระคาย ก็เลยพลอยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เห็นพี่ศักดิ์บอกว่าพักหลังๆ พี่จ้อยดูเหม่อๆ ไม่อยากข้าวปลาจนซูบผอมไม่ใช่หรือจ๊ะ”

“เป็นอย่างนี้หรอกหรือ ข้าไม่เคยคิดเลย” ศักดิ์เม้มริมฝีปากแน่น หน้าขมึงเครียด “ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่เอ็งพูดจริง ข้าก็ไม่รู้จะช่วยพี่จ้อยได้ยังไง พวกไอ้ผู้ดีนี่ไม่ใช่คนที่ชาวบ้านอย่างเราจะไปทำอะไรได้”

“เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่จ้ะ พี่ศักดิ์คนเดียวอาจจะทำไม่ได้” จันดีพูด ชม้ายดวงตามองอีกฝ่ายอย่างมีจริต “แต่พี่ศักดิ์ก็ยังมีจันดีนี่จ๊ะ”

พอศักดิ์มองหล่อนเหมือนจะถาม หล่อนก็แสร้งเอี้ยวตัว ทำทีว่าหลบแดดใต้ร่มไม้ คอเสื้อกว้างหลวมหลุดลงจากไหล่ข้างหนึ่ง เผยหัวไหล่เนียนนวลผุดผ่อง แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเจียมเนื้อเจียมตัว

“ฉันพูดแบบคนไม่มีเกียรติจะเสียนะจ๊ะ จันดีก็แค่นางยี่เก เป็นผู้หญิงต่ำต้อย พี่จ้อยเมตตาจันดีขนาดนี้ ถ้ามีอะไรที่พอบรรเทาความทุกข์ร้อนพี่เขาได้ จันดีก็อยากจะทำอะไรเพื่อตอบแทนบ้าง”

หล่อนพลิกขาไปอีกด้าน เหมือนจะเปลี่ยนเพื่อพลิกไปนั่งพับเพียบ ชายผ้าถุงร่นขึ้น เผยให้เห็นปลีน่องขาวเนียน เป็นภาพที่ชวนวาบหวาม แต่หญิงสาวกลับมองศักดิ์ที่กลืนน้ำลายเอื๊อกเหมือนไม่รู้เรื่อง

“แบบนี้ดีไหมจ๊ะ เก็บเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้ระหว่างเราสองคน จันดีอยากช่วยพี่จ้อยอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดหวังจะได้อะไรตอบแทน ทุกวันนี้จันดีรู้ตัวว่าที่ได้รับความเมตตาจากพี่จ้อยก็มากเสียยิ่งกว่ามากแล้ว จันดีจะช่วยกันคุณชายขวัญให้ออกห่างจากแม่ทิพย์เองจ้ะ เรื่องนี้ ขอแค่พี่ศักดิ์ช่วยให้จันดีได้พบกับคุณชายขวัญก็พอ”

“เอ็งหมายถึง...”

คราวนี้จันดีโน้มตัวลงอีกครั้ง คอเสื้อที่หย่อนลง เผยให้เห็นทรวงอกอวบอิ่มที่เบียดชิด ดวงตากลมดำมองมาที่ศักดิ์ แล้วยิ้มอ่อนหวาน

“จันดีอยากให้พี่จ้อยมีความสุข ผู้หญิงแบบจันดีคงตอบแทนน้ำใจของพี่เขาได้เพียงเท่านี้แหละจ๊ะ”





หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงยืนกอดอก ทอดสายตามองผีเสื้อตัวน้อยบินโฉบผักบุ้งที่แตกดอกสีขาว ขีดริ้วสีม่วงเข้มลากไปรวมอยู่ที่โคนดอก แต่ภาพที่เห็นในม่านตากลับเป็นริมฝีปากที่มอบสัมผัสละมุนละไมจนเขาลืมไม่ลง

เข้าสู่วันที่สี่แล้ว เขาเหมือนจะหลบหน้าอีกฝ่าย ก้มหน้าก้มตาทำงานเช้าจรดค่ำชนิดที่เจ้าเยื้อนไม่กล้าเข้ามากวนแบบทุกที จนเมื่อเย็นวาน เยื้อนเล่าว่านมละเอียดแวะมาหา บอกว่าคุณเรียมเหมือนจะถามถึง แต่เมื่อเขาถามกลับว่าถามว่าอย่างไร คำตอบที่ได้ยินกลับทำให้หัวใจที่โลดแล่นของเขากลับไปอ่อนแรงลงเช่นเดิม

“คุณเรียมเธอไม่ได้พูดออกมาหรอกคุณชาย เธอเป็นคนพูดน้อย นมละเอียดบอกว่าปรกติก็มีคุณชายขวัญนั่งคุยเป็นเพื่อน พอคุณชายไม่ได้ไป คุณเรียมเธอก็คงจะเหงาน่ะสิ”

หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงถอนหายใจเมื่อนึกถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองได้มาหยุดยืนที่หน้าห้องพักที่อยู่ติดกันได้อย่างไร

ไม่กี่วันก่อน ใครคนหนึ่งพักอาศัยอยู่ในห้องนี้ ใกล้เข้ามาจนห่างกับเขาเพียงผนังกั้น หากแต่บัดนี้ ระยะห่างของเขากับใครคนนั้นถอยกลับไปห่างเท่ากับแต่ก่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เช่นเดียวกับเท้าที่ขยับเข้าไปภายในห้องนั้น พอได้กลิ่นกุหลาบอ่อนๆ ของน้ำหอมฝรั่งยังเจือจางอยู่ในอากาศ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปยังแพใบไม้เขียวชอุ่มร่มรื่นที่ทอดยาวไปถึงคลองแสนแสบ ต้นไม้เหล่านี้เคยทำให้เขาผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หากแต่ตอนนี้ มันกลับมีตัวตนเพียงต้นไม้สูงใหญ่ไม่กี่ต้นเท่านั้น

ชายหนุ่มลากสายตามองไปที่เรือนฝรั่งที่ปลูกติดกับอาณาเขตของขัตติยพงศ์ อยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าของเรือนอันโอ่อ่านั้นรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขากระทำลงไป มองอยู่สักพัก ระลอกลมก็พัดพาเสียงเพลงแว่วมา

ตอนแรก คนตัวโตคิดว่าตนเองหูฝาด แต่เมื่อตั้งอกตั้งใจฟังให้ดีๆ นั่นก็เป็นเพลงจริงๆ เขายืนฟังอยู่สักพัก ได้ยินเสียงนักร้องในแผ่นเสียงขับขานความในใจเป็นภาษาอังกฤษ ตั้งใจฟังจนกระทั่งจบก็ยิ้มออกมา

นี่เป็นรอยยิ้มแรกในหลายๆ วันที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ขรึมจนแทบไร้ความรู้สึก และรอยยิ้มก็แย้มพรายขึ้นกว่าเดิมอีกเมื่อบทเพลงเดิมถูกเล่นขึ้นอีกครั้ง

แค่นี้เขาก็โล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ที่เหลือก็แค่เรื่องเดียวที่ยังค้างคา หาคำตอบไม่ได้สักที




(มีต่อครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2015 17:27:49 โดย Lucea »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




เสียงของ Mel Carter กำลังขับขานเพลงที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในทวีปยุโรปและอเมริกา Hold Me, Thrill Me, Kiss Me ถ้าไม่ใช่เพราะกานต์ที่แวะมาเยี่ยมเยียนวันก่อนไม่พูดถึง เขาคงนึกว่ามีแต่ Elvis Presley, Dorris Day หรือวงดนตรีที่เขาเคยฟังผลงานอยู่บ้างอย่าง The Temptations เท่านั้นที่โด่งดัง

เพลงนั้นยังคงเล่นวนไม่หยุดจนกระทั่งเขาเดินมาถึงด้านใน และได้พบกับนมละเอียด

“คุณชายขวัญ มาหาคุณเรียมหรือคะ” หญิงชราทักขึ้นด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “อิฉันกำลังริ้วมะปรางอยู่พอดีเลยค่ะ ว่าจะแบ่งไปให้คุณชายที่บ้าน แต่ยังไม่เสร็จดี”

“ขอบใจนมละเอียดมากครับ เห็นที ผมคงต้องอ้วนเป็นแน่”

“พุทโธ่พุทถัง คุณชาย” นมละเอียดหัวเราะอย่างคนครึ้มใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเหมือนเข้ามานั่งอยู่ในใจ “คุณเรียมเธออยู่ที่ห้องหนังสือค่ะ เดี๋ยวอิฉันให้แม่แดงขึ้นไปตามมาพบนะคะ”

ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นเหมือนท้วง “เดี๋ยวก่อนครับ พอดีผมมีเรื่องอยากจะสอบถามนมละเอียดนิดหน่อย เรื่องคุณแม่ของอธิปน่ะครับ”

“อาการดีขึ้นมาแล้วค่ะ แต่คุณเริญ พี่ชายของคุณเรียมน่ะค่ะ เธอเป็นห่วง อยากให้อธิปเฝ้าไข้แม่เกสรต่ออีกสักพัก แต่ประเดี๋ยวพ่อคนนั้นก็คงจะต้องหนีกลับมานี่ล่ะค่ะ ฟังกันที่ไหน ห่วงคุณเรียมยิ่งกว่าอะไร”

หากนมละเอียดสังเกตดีๆ คงได้เห็นว่าคนฟังหน้าถอดสีเพียงไรในตอนที่ได้ยินประโยคท้ายนั้น แต่ชายหนุ่มก็สู้ใจแข็ง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงปรกติ

“ผมเข้าใจครับ เป็นญาติกันก็ต้องห่วงกันธรรมดา”

นมละเอียดรีบส่ายหน้า

เป็นเพราะคุ้นเคยสนิทสนมจนไว้ใจ เมื่อเห็นว่ามีอัธยาศัยเพิ่งพากันได้ในยากเดือดร้อน ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรไปเสียหมดทุกอย่าง แม่นมที่คุ้นเคยกับราชสกุลภัทรกุลมานานจึงพูดมากกว่าปรกติวิสัยของคนที่กุมความลับได้เป็นเยี่ยม

“ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณเรียมเธอมีพี่ชายแค่คนเดียว ญาติกาคนอื่นๆ ทำธุรกิจอยู่ที่เมืองฝรั่งกันหมด คุณเริญเธอก็ช่างเดินทางบ่อยเหลือ แทบไม่อยู่ ก็เลยให้อธิปที่เป็นลูกชายของพ่อวิศาล คนเก่าคนแก่ที่เป็นเลขานุการมาช่วยเป็นหูเป็นตา คอยระวังให้ มีอะไร คุณเรียมจะได้ใช้สอยได้ เพราะคุณเริญเมตตากับครอบครัวของพ่อวิศาลและแม่เกสรมากนั่นแหละค่ะ พ่ออธิปก็เลยยิ่งเคารพคุณเรียมมากเสียยิ่งกว่าใคร”

สิ่งที่ได้ยินนั้นกระจ่างจนทำให้หัวใจที่เหี่ยวเฉาพองจนแน่นคับไปทั้งอก คนหน้าถอดสีเมื่อครู่ ยิ้มกริ่มผ่องใส “แบบนี้นี่เอง”

“ไป แม่แดง ไปบอกคุณเรียมเธอว่าคุณชายมา” นมละเอียดหันไปบอกเด็กคนสนิท ทว่าช้ากว่าคนยิ้มตาพราวที่ลุกขึ้นยืนแล้ว

“คงกำลังยุ่งกันอยู่ ถ้าไม่ถือเป็นการเสียมารยาทเกินไป แบบนี้ดีไหมครับ ผมเดินไปเองก็ได้ จะได้ไม่ลำบาก แค่นี้เอง”

“ตายจริง เสียมารยาทอะไรเล่าคะคุณชาย” หญิงชรารีบร้อง

“ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าผมเหมือนคนในครอบครัว เป็นคนใกล้ ไม่ใช่คนไกล แค่นี้ ผมเดินไปเองก็ได้ครับ ทำงานกันอยู่ จะได้ไม่ลำบากกันเปล่าๆ”

“เอาแบบนั้นหรือคะ”

“แบบนั้นแหละครับ” เขายิ้มละไมจนแม้แต่นมละเอียดยังมองด้วยความแปลกใจ





ร่างสูงใหญ่ก้าวช้าๆ ไปตามท่วงทำนองของแผ่นเสียงฝรั่งที่เปิดค่อนข้างดัง จนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องที่ได้ยินเสียงดนตรีชัดเจนที่สุด เขายกมือขึ้น ตั้งท่าจะเคาะประตูแต่กลับเปลี่ยนใจ ค่อยๆ แง้มบานประตูออกแล้วพินิจถึงบรรยากาศที่อยู่ภายในห้อง

โซฟาหนังสีคาราเมลกรุล้อมด้วยชั้นหนังสือที่ทำจากไม้ขัดจนขึ้นเงา จัดวางด้วยหนังสือต่างประเทศหลายร้อยเล่ม มีโคมไฟตั้งพื้นแบบฝรั่งตั้งประชิดทั้งสองด้านส่องแสงหรุบหรู่ ใกล้กันเป็นโต๊ะไม้สักทองทรงเตี้ยเข้าชุดกันวางเคียง ประดับด้วยแจกันดอกกุหลาบสีอ่อนบางสะพรั่ง มีเครื่องเรือนและของตกแต่งบ้านมากมายซึ่งล้วนแต่ดูภูมิฐาน ภาพวาดสีน้ำมัน รูปปั้น ตลอดจนเครื่องเล่นแผ่นเสียงรูปทรงทันสมัย ทุกสิ่งสวยงามชวนตื่นตะลึง

ทว่าท่ามกลางสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุด สิ่งที่สะดุดตาที่สุดกลับเป็นร่างผอมบางที่มีสีหน้าไม่นำพาต่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น

คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกลัดกระดุม สวมทับด้วยเสื้อคาดิแกนสีขาวขลิบริ้วสีน้ำตาลเข้มตัดกับกางกางผ้าสีเทาแกมเขียว นั่งหลังตรง ปลายเท้าทั้งสองข้างวางชิดอยู่บนพื้นพรม

หลังจากหยุดยืนนิ่งที่หน้าประตูเพื่อชื่นชมความงดงามดุจต้องมนตร์นั้นอยู่หลายนาที หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็เคาะลงบนประตูไม้ที่ประณีตงดงาม รอยยิ้มเล็กๆ กลัดอยู่เหนือมุมปากขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวาน

“ที่เปิดเพลงดังขนาดนี้เพราะจงใจให้พี่ได้ยินใช่หรือเปล่า”

พระองค์เจ้าเรียมลลิตรเบือนพระพักตร์มาทางต้นเสียงเพียงเล็กน้อย แล้วหันกลับไปตามเดิม มิได้ปรารภสิ่งใด

ดวงตาสีเข้มช่างสำรวจของผู้มาเยือนเขม้นมองทุกองค์ประกอบอันเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วนั้นอย่างละเอียดลออ หัวไหล่ยังคงผึ่งผายตั้งตรง งามสง่าราวกับรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึก ทว่าริมฝีปากอิ่มสีที่เชิดรั้นรับกับปลายจมูกนั้นกลับเรียกรอยยิ้มของคุณชายขัตตยพงศ์ให้เบิกบานขึ้น

“กำลังโกรธพี่อยู่ใช่ไหม”

คนถามยังคงวางสายตาอยู่บนใบหน้าขาวนวลที่ยังคงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ หากแต่อาการตระแหน่แง่งอนที่ปรากฏบนหยักรั้นของริมฝีปากนั้นชัดเจนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

ทั้งที่อยากจะหาเรื่องรวน แต่หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็อดทนมองภาพนั้นอย่างใจเย็น จนในที่สุด พระองค์เจ้าเรียมลลิตรก็ตรัสเสียงเนิบ แต่ลงน้ำหนักเสียงทุกคำ “ทำไมต้องโกรธ”

คนตัวโตอมยิ้มน้อยๆ แล้วงับบานประตู ก้าวขาตรงไปที่โซฟากลางห้อง หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงเอื้อมมือไปจับต้นแขนของคนที่นั่งอยู่ ออกแรงฉุดให้ลุกขึ้น ขณะเดียวกัน เขาก็นั่งลงแทนที่เสร็จสรรพ

กว่าที่อีกฝ่ายจะทันได้แม้แต่อุทานตกใจ ร่างที่บางกว่าเกือบครึ่งก็ถูกดึงให้นั่งลงบนตักของเจ้าของรอยยิ้มแจ่มใสเอาเสียแล้ว พอเจ้าของห้องจะตั้งสติได้ หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็แอบฉวยจังหวะเผลอ หอมแก้มดังฟอด ซ้ำยังกอดเสียแน่น

“เป็นคนที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย” เขาเอ่ยเสียงระรื่น

สีหน้าเรียบนิ่งเมื่อครู่ บึ้งขึ้นแทบจะทันใด “ปล่อยนะ”

“ไม่ปล่อย” ชายหนุ่มตอบทันควัน คลอนศีรษะไปมาตามท่วงทำนองของแผ่นเสียงที่เล่นวนเสียหลายครั้งจนเริ่มจะร้องตามได้ “Hold Me, Thrill Me, Kiss Me เนื้อเพลงแบบนี้ พี่จะถือว่าเจ้าบอกให้พี่กอดเจ้า ช่วยทำให้หัวใจของเจ้าเต้นแรงอีกครั้ง และตอนนี้ เจ้ากำลังบอกให้พี่จูบเจ้า”

พูดจบ ก็ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ คุณชายขัตติยพงศ์ปรือตาลงช้าๆ ประทับจูบอันแสนอ่อนโยนบนเรียวปากที่ตามมาหลอกหลอนอยู่ในห้วงคิดคะนึงมาหลายคืน

ละม้ายละอองฝนที่โปรยปรายลงบนผิวน้ำ หยาดน้ำเล็กๆ ที่พรูจากผืนฟ้าลงมาฉ่ำชื่นชื้นชัฏ เม็ดแล้ว เม็ดเล่า สัมผัสของจากเจ้าของดวงตาหวานเชื่อมนั้นก็นุ่มนวล มิได้ต่างกันเลย

“อย่างอนสิ พี่ก็มาหาอย่างที่ต้องการแล้วไม่ใช่หรือ” เขาถาม แต่เมื่อใบหน้างามแอร่มยังคงนิ่ง ไม่พูด เอาแต่หลบสายตา คุณชายขวัญสรวงก็เอ่ยต่อ

“หลายวันมานี้ พี่ต้องจัดการเอกสารต่างประเทศให้กับคุณพ่อตั้งมากมาย แล้วไหนจะต้องสอนดนตรีให้กับเทพอีก ความสงบเรียบร้อยในบ้านก็ต้องดูแล เหนื่อยแสนเหนื่อย คนแถวนี้จะไม่เห็นใจกันบ้างเลยหรือไร”

อยากจะรู้เหมือนกัน จะใจดำ ไม่พูดอะไรกับเขาได้ลงคอเชียวหรือ

“บอกมาก่อน คิดถึงพี่หรือเปล่า”

พระองค์เจ้าเรียมลลิตรได้แต่นิ่ง อ้ำอึ้ง ร่างบางพยายามกระถดตัวออกห่าง แต่อ้อมแขนที่ตระกองกอดนั้นช่างแข็งแรงยิ่งนัก จึงไม่อาจทำอะไรได้มากกว่าเขยิบขยับตัวได้เพียงเล็กน้อยเลย “อึดอัด”

“เอ...หรือว่าเอาแต่คิดถึงอธิป” หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงกระเซ้าพร้อมรอยยิ้มต่อทันที

ความจริงที่เพิ่งรับรู้จากปากของนมละเอียดหรือไร ที่ทำให้หัวใจของเราปราโมทย์เช่นนี้ เขาถาม แกล้งถาม ทั้งที่รู้คำตอบนั้นอยู่เต็มอกอยู่แล้ว

“จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร คุณแม่ของอธิปไม่สบาย”

เห็นอีกฝ่ายพยายามอธิบายด้วยเสียงเนิบช้าก็ยิ่งชื่นใจเหลือเกิน คุณชายขวัญสรวงมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา ซ่อนรอยยิ้มและความปั่นป่วนวาบๆ ในอกไว้ด้วยความเคร่งขรึมอย่างแนบเนียน

“ไม่เคยจูบกันแบบที่ทำกับพี่ใช่ไหม” เขาซักต่อ เมื่อเห็นคนในอ้อมแขนมองอึ้งเหมือนไม่เชื่อหู ก็แกล้งย้ำความสงสัยอีกครั้ง “ว่ายังไง”

“อย่ามาดูถูกกันแบบนี้” พระองค์เจ้าเรียมลลิตรตรัสออกไปด้วยน้ำเสียงตำหนิ คิดว่าเขาจะหยุด แต่เปล่า เจ้าของร่างสูงใหญ่กลับรุกไล่ด้วยคำถามอื่นต่อ

“กอดล่ะ”

คนฟังได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะพูดสิ่งใดออกมา จึงปล่อยให้ถ้อยคำขาดหายไปเสียอย่างนั้น คิดว่าเขาจะโกรธ หรือปรามาส แต่เปล่า เขากลับกอดแน่นขึ้น และจูบพรมลงบนแก้มอย่างแสนอ่อนโยน คลอเคลียแนบชิดอยู่อย่างนั้น

เสียงของ Mel Carter ยังคงขับขานบทเพลงเดิมต่อไป กอดฉัน ทำให้หัวใจฉันประหม่าตื่นเต้น และโปรดจูบฉัน วนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งจบเพลง พระองค์เจ้าเรียมลลิตรจึงเริ่มบังคับอารมณ์ของตัวเองได้ เขายิ้มให้กับเจ้าของใบหน้าที่วางอยู่บนหัวไหล่ สงบสง่าราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“คุณแม่เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ซื้อแผ่นเสียงเพลงฝรั่งที่กำลังนิยมที่นั่นมาให้หลายแผ่น มีโน้ตเพลงของฟลุตด้วย ผมเขียนจดหมายไปขอให้คุณแม่ซื้อมาฝาก จะไปหยิบมาให้ พี่ขวัญปล่อยก่อนเถอะ”

บทเพลงเดิมเริ่มต้นบรรเลงอีกครั้ง คนตัวโตค่อยๆ คลายวงแขนออกแต่โดยดี แต่ก็ลุกขึ้นเดินตามไม่ให้ห่าง พอจะหยิบกล่องบุผ้าพิมพ์ลายที่บรรจุข้าวของที่ส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมากว่าซีกโลก เขาก็รีบแย่งไปช่วยถือและเปิดออกให้ จนพระองค์เจ้าเรียมลลิตรได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายด้วยความขอบคุณ





ขณะที่กำลังแยกหนังสือโน้ตเพลงออกจากหนังสือประเภทอื่น จู่ๆ คุณชายขัตติยพงศ์ก็กลับมาวางวงแขนรอบตัวของพระองค์เจ้าเรียมลลิตรเช่นเดิมอีก

สีเลือดแล่นซ่านขึ้นใต้ผิวบางของพระองค์เจ้าเรียมลลิตรอีกครั้ง แต่ก็ยังสู้รักษาสีหน้าและน้ำเสียงให้พ้นสัมผัสอันหวานชื่นจากเจ้าของอ้อมกอดนั้น

“ปล่อยก่อนเถิด ผมเคลื่อนไหวไม่สะดวก”

คนฟังดูไม่ใคร่สนใจนัก เขายิ้มหวาน ชี้ชวนไปอีกเรื่อง “ดูสิ โศกสปันต้นนั้นทอดเงาถึงแค่ชานเรือนเอง พอตกบ่าย แดดก็จะส่องตรงมาถึงที่ห้องนี่จนร้อนอ้าว คิดดูแล้ว พี่อยากจะปลูกต้นไม้รอบบ้านหลังนี้บ้าง จะได้ร่มรื่น และเป็นกำบังให้กับสายตาคนที่ผ่านไปผ่านมาด้วย อย่างน้อยก็จากความสอดรู้สอดเห็นของครอบครัวของกำนันจงรัก หรือลูกชายอย่างจ้อย” เขาเว้นจังหวะไปครู่ ด้วยไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์คราวก่อนจนเกิดอาการนึกเคือง

“พรุ่งนี้พี่จะให้ไอ้เยื้อนมันช่วยลงต้นไม้รอบๆ บ้านให้” ไม่ต้องรอให้คนในอ้อมกอดตอบสิ่งใด หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็เอ่ยสรุปความเอาว่าเจ้าของบ้านตกลงเห็นดีเห็นงามตามไปแล้ว

จบเรื่องหนึ่ง เขาก็เอ่ยถึงอีกเรื่องอันเป็นสิ่งที่กังวลอยู่ในใจออกมาต่อ แทบจะทันที

“พี่ขออะไรได้ไหม กับคนบ้านนั้น พี่ไม่อยากให้ไปคุยอะไรด้วยนัก ไม่ใช่คนที่น่าสมาคมด้วยเลย” คุณชายขัตติยพงศ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น คราวนี้เขาพลิกตัวคนในอ้อมแขนให้หันกลับมาเผชิญหน้า สบตา รอฟังคำตอบอย่างหมายมั่น

คอยดูเถิด ถ้าไม่พูดอะไร เขาก็จะไม่ปล่อย หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่คิดปล่อย

ความฉงนปรากฏขึ้นในดวงตาสีเปลือกละมุดเพียงครู่ แม้ความกังวลจะยังประทับอยู่ในส่วนลึก แต่พระองค์เจ้าเรียมลลิตรก็เปรยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเรียบ ทีละวรรคๆ

“ไม่ได้ยุ่งอะไรด้วยสักนิด เขาคงแค่อยากมาชมบ้าน มาประเดี๋ยว พอไม่เจอใครก็คงกลับ ถึงอย่างไรเขาก็เจ้าของที่เดิม”

คุณชายขัตติยพงศ์เอ่ยขึ้นแทบจะทันที “เป็นเจ้าของเดิมก็ไม่ควร เรื่องนี้เจ้าควรแยกให้ออก นี่ไม่ใช่นิสัยเผื่อแผ่โอบอ้อมอารีของคนไทย คนไทยแบ่งปัน การแบ่งปันไม่ได้หมายความถึงการเสียสละความเป็นส่วนตัวแบบนี้ ดังนั้น แค่ให้เข้าบ้านมาก็ไม่ได้ คนแบบนั้น จะไปไว้ใจได้อย่างไร”

“เขาจะมาขโมยของหรือ”

เพราะอยู่ใกล้จนเกือบจะชิด เขาจึงเห็นแววตาคู่นั้นว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเพียงไหน ไม่ต่างอะไรกับลูกกวางตัวน้อยที่ไม่รู้ถึงความกระหายเลือดเนื้อของเสื้อร้าย เรียมเอย น้องคงไม่รู้ดอกว่าคนประเภทนั้นหวังสิ่งใดในตัวเจ้าบ้าง แต่ก็เพราะเป็นอย่างนี้มิใช่หรือ เขาจึงหลงใหลเหมือนคนหัวปักหัวปำเช่นนี้

ครุ่นคิดอยู่สักพัก รอยยิ้มเล็กๆ ก็ผุดพรายขึ้นบนบนปากอิ่ม

คุณชายขัตติยพงศ์ปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ โน้มน้าวด้วยเสียงทุ้มชวนฟัง “พี่ไม่อยากทำผู้ใหญ่เป็นห่วงหรือตำหนิได้ คุณแม่พี่กำชับมาให้พี่ดูแลน้องเป็นอย่างดี แม้แต่นมละเอียดก็ยังออกปากกับพี่ แม้แต่พี่เองก็เป็นห่วงน้องยิ่งนัก หรือว่าน้องอยากให้พวกท่านและตัวพี่เป็นกังวลกัน”

“พวกเขาแค่อยากมาดูที่นี่ไม่ใช่หรือ”

“ยังจะเถียงอีก” น้ำเสียงจริงจัง แต่รอยยิ้มบางๆ กลับพริ้มพรายอยู่บนใบหน้าของคนแกล้งเย้า แววตาที่เต็มไปด้วยความวิตกแสดงแจ่มชัดอยู่ตรงหน้าถึงเพียงนี้ จะไม่ให้เขาปลื้มใจได้อย่างไร อดไม่ได้ คนตัวโตจึงแกล้งเย้าต่อ

“หรือนี่จะแกล้งให้โมโหใช่ไหม โทษฐานที่พี่ไม่ได้มาหาตั้งหลายวัน”

คนฟังชะงักไปครู่ใหญ่ เหมือนไม่รู้ว่าจะแย้งอย่างไรดี แต่คนเอ่ยนี่ซี กลับดูชื่นมื่นเป็นนักหนา

เรียมเอย คงไม่รู้กระมังว่าหัวใจของเขากำลังเต้นระส่ำเพราะดวงตาคู่นั้นของเจ้า และคงไม่รู้ว่าได้เผลอเผยความรู้สึกบางอย่างออกมาเพียงใด ชัดเจนจนสัมผัสได้แม้ยามที่ดวงตาของเจ้ายังคงหลุบหลู่อยู่กับแสงแดดรำไรที่ทอดผ่านกิ่งใบของโศกสปันริมชานระเบียง

ปลายจมูกประทับลงบนพวงแก้ม พออีกฝ่ายนิ่งตัวแข็งเหมือนกับทำอะไรไม่ถูก ริมฝีปากของคุณชายขัตติยพงศ์ก็แตะลงบนสีกลีบบัวที่ประดับอยู่บนใบหน้าอย่างละมุนอ่อนหวาน

“พี่ขวัญ อย่า... พี่ขวัญทำอย่างนี้ทำไม”

หัวใจของหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงเบาหวิวเสียยิ่งกว่าในคราแรก แววตาหวามไหวอยู่ตรงหน้านั้นเปรียบสายลมเย็นที่วาบลึกไปถึงความรู้สึกอันสับสนในใจ พัดความว้าวุ่นจนกระจายหายกลายเป็นความแช่มชื่นจนอิ่มเอิบ

“ไม่รู้” เขายิ้มกริ่มตอบ ดวงตาหวานเชื่อมมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แต่พี่ไม่เคยแม้แต่คิดจะทำแบบนี้กับใคร”

ไม่ใช่เสียงกระซิบ ชายหนุ่มเอ่ยชัดเต็มน้ำเสียงทุกถ้อยคำ




+++++++++++++++++++++++++++++++++




ตัวจิ๊ดประจำเรื่องเริ่มสำแดงฤทธิ์แล้ว จะลงเอยยังไงลองตามๆ ต่อไปนะครับ
ตอนนี้ คงได้เห็นแล้วว่าอิพี่ขวัญมันเกรียนขนาดไหน ชงให้ตัวเองตลอด
ความเกรียนของพระเอกจะเกรียนขึ้นเรื่อยๆ ส่วนน้องเรียมก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ถึงจะสวยจนคนตกตะลึง แต่ก็ขี้งอน ขี้เอาแต่ใจจนตกตะลึงไม่แพ้กัน
ตอนนี้เลเวลยังแพ้อิพี่ขวัญอยู่ คิดว่าอีกไม่นาง น้องคงพัฒนาตัวเองมาสู้ได้อย่างทักเทียม ฮ่าๆ
สรุปแล้วเรื่องนี้เป็นนิยายพีเรียดที่โปรดอย่าคาดหวังอะไรมาก มันเป็นเรื่องผัวเมียละเหี่ยใจนั่นเอง

อีกเรื่องที่อยากสอบถามกันคือเกี่ยวกับเรื่องลักษณะการเขียนที่จำเป็นจะต้องใช้คำราชาศัพท์ประกอบครับ
คิดว่าอ่านยากเกินไปไหม ถ้าพอไหว นับจากตอนนี้ไปก็จะแต่งทำนองนี้ไปจนจบครับ
แต่ถ้าคิดว่ายากไป คนแต่งจะลดพระยศของน้องลงให้เป็นหม่อมเจ้าแทน ง่ายๆ แบบนี้แหละ 555+
ยังไงก็ช่วยแสดงความคิดเห็นกันทีนะครับ ถ้าไม่แสดงความคิดเห็น ก็จะคงพระยศเดิมต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ

มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับตอนที่อัพนี้ต่อด้านล่างด้วย แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ ^ ^

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
เป็นความตั้งใจว่าถ้าพอมีเวลาจะมาชวนคุยหลังจากอัพแต่ละตอนเกี่ยวกับนั่นโน่นนี่ในตอนที่เพิ่งอัพไป

เริ่มต้นจากการริ้วมะปรางของนมละเอียด มันก็คือการคว้านเม็ด แกะสลักมะปราง แล้วเอาไปชุบน้ำเชื่อม เนื่องจากมะปรางมีผิวที่บอบบางมาก ช้ำได้ง่ายๆ เลย ดังนั้น ใครที่ทำอะไรแบบนี้ได้จึงถือว่าเซียนมากครับ จัดว่าเป็นหนึ่งในสี่อย่างที่กุลสตรีโดยเฉพาะชาววังจะต้องทำให้ได้ อีกสามอย่างก็คือการทำขนมเบื้อง ทำบายศรี แล้วก็จีบพลูครับ





ต่อมา ว่ากันด้วยเรื่องต้นไม้ในบ้านน้องเรียม นั่นก็คือโศกสปัน สมัยนี้จะเรียกเป็นว่าอโศกสปัน หรือโสกสปันครับ เพราะเขาเชื่อว่าชื่อของมันพ้องกับคำว่า “โศก” ที่หมายถึงโศกเศร้านั่นเอง จึงได้เปลี่ยนชื่อครับ โศกสปันเป็นไม้ต้นใหญ่ครับ ดอกสวยงามมาก คนแต่งอยากจะมีปลูกที่บ้านสักต้น และนี่คือดอกของมันครับ



แต่เดี๋ยวก่อน โปรดชมขนาดของพวงดอกมันก่อน นี่คือภาพเทียบกับขนาดฝ่ามือครับ





ปิดท้ายด้วยเพลงเจ้าปัญหาประจำตอนครับ ตอนแรกตั้งใจว่าจะใช้เพลงของเอลวิส แต่พอคิดๆ ดูแล้ว น้องเรียมคงไม่ถึงขนาดเป็นแฟนเพลงของเอลวิสแน่ๆ หวยเลยมาลงที่เมล คาร์เตอร์นั่นเอง เหมาะเจอะพอดีมาก ตอนที่เขียน รู้สึกว่าน้องเรียมประท้วงอะไรได้น่ารักขนาดนี้ คนที่สนใจลองไปหาเนื้อเพลงดูจากในกูเกิลแล้วกันนะ ^ ^

http://www.youtube.com/watch?v=DwGZHfMMXSQ

สำหรับตอนที่ ๑๑ ขอจบเพียงเท่านี้
ภาพและคลิปทั้งหมดมาจากอินเตอร์เน็ต กราบขอบพระคุณมาก ณ ที่นี้ด้วยขอรับ

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
กริ้ดดดด จิ้มก่อนเดี๋ยวมาอ่านค่าาา คิดถึงเรื่องนี้จับใจ
...............
พี่ขวัญดูท่าจะหัวปลักหัวปรำอย่างว่าแหละค่ะ555555 แต่เราชอบมากเลยนะผู้ชายรักจริงเนี่ย อิอิ ส่วนน้องเรียมโคตรรรน่ารัก ดื้อแบบเรียบร้อย เป็นผู้ดีที่ดูดีสุดดด

ส่วนชะนีที่ดูร้ายกาจนั่น ดูท่าแล้วจะทำให้มีมาม่าชามโตรึเปล่า สำหรับเราไม่อยากให้มีเลยง่ะอยากให้เรื่องนี้สายๆน่ารักอย่างงี้ตลอดไปจัง เพราะทั้งคู่หวานแลวน่ารักมากจ้า

เรื่องทำบ้านใหม่ ขอให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีนะคะ ^_^ ขอบคุณค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2015 21:57:32 โดย nunnuns »

ออฟไลน์ lovekimkina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ดูคุณพี่เหมจบก็ทำให้อิชั้นนึกถึงคุณชายขวัญ!? เอ่อ เกี่ยวไหม ไม่รู้
แต่เปิดมาดู เห็นอัพแล้วแทบกรีดร้องค่ะ คุณชายขวัญของน้องงงง...เรียม
ถ้าจะกอดจูบขนาดเน้ เรียกแม่มาขอเลยเถอะเจ้าค่ะ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันอยู่นะครับ ขอบคุณมากๆ ครับ

หลังจากตอนที่แล้วที่ได้สอบถามเกี่ยวกับการปรับการเขียน
โดยใช้คำราชาศัพท์ผสมตามแบบที่สมควรเป็นตามมารยาทการเขียนแนวพีเรียด
คือต้องให้เกียรติแก่ตัวละคร ที่นี้ด้วยตามพระยศของน้องเรียมเลยมีผลให้ควรใช้ราชาศัพท์
ซึ่งช่วงแรกๆ พยายามเลี่ยง แกล้งไม่รู้ไม่เห็น แต่พออ่านๆ ไปก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหลือเกิน
เลยได้สอบถามไป ผลก็คือเป็นเอกฉันท์ว่าให้ใช้ราชาศัพท์ต่อเพื่อความถูกต้องจะดีกว่า
ดังนั้น นับจากนี้การเขียนตอนต่อๆ ไปจะใช้ลักษณะการเขียนตามแนวทางนี้นะครับ

สำหรับตอนต่อไป พี่เริญได้มาเจอะกับชายขวัญแล้ว จะเป็นยังไงลองตามอ่านกันดูครับ




++++++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ ๑๒




เสด็จมาถึงยังไม่ทันได้ทรงขึ้นประทับบนตำหนักดี ก็ทอดพระเนตรเห็นชายแปลกหน้ากำลังลงต้นไม้บริเวณโดยรอบอย่างขมีขมัน มีนางต้นห้องอีกสี่ห้าคนตีวงล้อมเป็นวงกลมมุงดูอยู่รอบๆ เริญดนุภพจึงหันไปตรัสถามอธิปด้วยทรงสงสัย

“คนนั้นเป็นใครหรืออธิป”

“นายเยื้อน เป็นบ่าวของขัตติยพงศ์กระหม่อม”

คำราชาศัพท์ที่อธิปเผลอเอ่ยด้วยความพลั้งปากด้วยเคยชินทำให้เริญดนุภพขึงพระเนตร เช่นนั้นชายหนุ่มจึงเพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ สีเลือดบนใบหน้าจึงซีดเผือดลงด้วยความสำนึกผิด

“ขออภัยครับ ผมจะระวังให้มากขึ้น จะไม่ให้เป็นเช่นนี้อีกครับ”

เริญดนุภพโบกพระหัตถ์เบาๆ อย่างลุแก่โทษ “ฉันเข้าใจ แต่คอยระวังหน่อย ไม่อย่างนั้นจะได้เป็นเรื่อง”
ทรงไม่ประสงค์ให้ผู้ใดรับรู้พระฐานะแท้จริงของพระอนุชา แม้กระทั่งพระองค์เอง การที่มีเชื้อพระวงศ์มาประทับที่เขตอำเภอชั้นนอกก็เพื่อความเป็นส่วนองค์ ยิ่งพำนักในที่อันห่างไกลจากผู้ที่รู้เห็นเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้มากเท่าไรก็ยิ่งดีแก่ทุกฝ่าย

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากหลุดแพร่งพรายออกไปคงได้กลายเป็นที่อื้อฉาวไม่ใช่เพียงแค่ในพระบรมมหาราชวัง แต่ได้เป็นที่โจษจันไปทั่วพระนคร แม้แต่เริญดนุภพเองก็อาจถูกตำหนิจากพระญาติวงศ์องค์อื่นๆ ด้วยทรงกระทำสิ่งที่ไม่สมเกียรติพระยศ เรื่องนี้ก็เรื่องหนึ่ง ซึ่งก็นับว่านักหนาพอแล้ว ยังมิได้ทรงนับรวมกับอีกเรื่องที่น่าหนักพระทัยไม่แพ้กัน นั่นก็คือถ้าข่าวแพร่สะพัดออกไป ไม่ช้านาน ปัญหาเดิมๆ ที่เรียมลลิตรทรงประสบก็เห็นจะได้เวียนกลับมาให้หมองพระทัยกันอีกครา แล้วพระอุบายขององค์ที่ต้องการให้พระอนุชาได้ประทับอย่างสงบสันติก็คงกลายเป็นความสูญเปล่า นี่เองเป็นสาเหตุหลักๆ สองประการที่ทรงกริ่งเกรงพระทัยยิ่งนัก

ส่วนปัญหาเล็กน้อย ประเภทเรื่องที่ไม่ทรงโปรดถ้อยคำราชาศัพท์ด้วยเพราะมิใช่สิ่งที่รื่นพระกรรณของเริญดนุภพเอาเสียเท่าไรนั้นเป็นอาทิ ทรงพยายามไม่ถือพระทัยนัก

เช่นเดียวกับพระอนุชา อาจเพราะทรงประสูติเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูของพระชนนีที่เป็นชาวฝรั่งเศส ทั้งหม่อมแม่ท่าน ทั้งเรียมลลิตร หรือแม้กระทั่งองค์เองก็ไม่ทรงสันทัดเรื่องคำราชาศัพท์เฉกพระญาติพระวงศ์องค์อื่นๆ จะมีก็แต่พระบิดา พระองค์เจ้าเรืองฤทธีภัทรที่ทรงตรัสราชาศัพท์ได้คล่องพระโอษฐ์ แต่เพราะทรงประทับอยู่ที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลานาน ภาษาที่ทรงใช้จึงเป็นภาษาต่างประเทศเอาเสียมาก ต้นห้องบริวารดารดาษก็เป็นชาวต่างชาติไม่น้อย เริญดนุภพจึงทรงไม่ค่อยได้ยินใช้ราชาศัพท์เท่าไรนัก

หลังจากกลับมาที่ประเทศไทย ทรงเป็นนักธุรกิจ ติดต่อเรื่องค้าขายกับชาวต่างชาติมากกว่าปฏิสันถารกันในหมู่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง จึงทรงสันทัดการเจรจาด้วยต่างประเทศมากกว่า

เริญนุภพทอดพระเนตรมองไปรอบๆ ตำหนักน้อย แลทรงเห็นกล้าไม้ปลูกกระจายไปทั่ว บางต้นเป็นต้นเล็กๆ สูงเพียงคืบ บางต้นก็สูงราวเมตรกว่า และเมื่อทรงพิจารณาโดยละเอียดจนตระหนักแน่ในพระทัยก็แย้มพระโอษฐ์

บ่าวของขัตติยพงศ์คนนี้ช่างปลูกช่างคิด ลงไม้พุ่ม ไม่เลื้อย พืชผักสวนครัวจำพวกฟักทอง มะเขือเปาะ ตำลึง แตงกวา พริกขี้หนู มะนาวแซมกับไม้ใหญ่อย่างมะม่วง มะขาม ขนุน ได้อย่างลงตัว ต้นไม้ที่มีอายุไม่นานประเภทกล้วยน้ำว้าก็อยู่เป็นมุมเป็นระเบียบ ไม่ห่างจากส่วนที่เป็นโรงครัว

คนที่คิดอะไรรอบคอบแบบนี้ต้องเป็นคนที่เข้าใจธรรมชาติของต้นไม้ แลไตร่ตรองถึงอนาคตการใช้สอยมาเป็นอย่างดีแล้วจึงเว้นระยะห่างพอเหมาะพอควร ต้นไม้เหล่านี้ผ่านไปไม่กี่ปีคงเติบใหญ่จนร่มรื่นไปทั่ว ออกดอกออกผลจนงดงามไปทั้งตำหนัก ทรงชื่นชมอยู่ในพระทัยจนกระทั่งนมละเอียดเดินมาถึงองค์พร้อมกับนางต้นห้องคนสนิท

ละเอียดกระพุ่มมือไหว้เริญดนุภพ หันไปหยิบชามแก้วเจียระไนที่บรรจุด้วยน้ำฝนลอยดอกมะลิมาจากมือของแดง แล้วหันกลับมาส่งยิ้มละไม กระซิบพอได้ยิน

“เสด็จพระองค์ชาย ทูนหัวของหม่อม ทรงลูบพระพักตร์เสียหน่อยเถิดเพคะ จะได้ทรงชื่นพระทัย” ก่อนจะถอยเว้นระยะห่างออก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดต่อด้วยภาษาปรกติสามัญ “ขออิฉันสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ ทั้งคุณเริญทั้งคุณเรียม ช่างไม่สงสารคนแก่กันบ้างเลย เหาจะได้ขึ้นหัวอิฉันเอา”

เริญดนุภพแย้มสรวล ยกพระหัตถ์ขึ้น ทรงหยิบผ้าขนหนูสีขาวอ่อนนุ่มซับน้ำจนหมาดเช็ดพระพักตร์ ตรัสถามแม่นมคนเก่าแก่ในบ้านด้วยน้ำเสียงผ่อนสบาย

“ทำไมคนของขัตติยพงศ์ถึงมาปลูกต้นไม้ในตำหนักเราหรือนม หรือเรียมอยากให้ปลูก ทางนั้นเขาจึงส่งคนมาช่วย”

หญิงชรายิ้มกริ่มส่งเสียงตอบ “ที่ไหนล่ะเจ้าคะ คุณชายขวัญเธอมีน้ำใจ เป็นคนออกปากเสียเองทั้งหมด”

ในตอนแรก เริญดนุภพค่อนข้างหวั่นพระทัย เกรงว่าคุณชายขัตติยพงศ์จะมีกิริยาอัชฌาสัยไปในทางที่ไม่ต่างกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในพระบรมมหาราชวัง เห็นการเย้าแหย่พระอนุชาองค์เป็นเรื่องสนุก หากแต่เมื่อได้ยินคำอธิบายจากปากคนเก่าคนแก่ของวัง ความไม่สบายพระทัยก็คลายลง

“เธอเป็นห่วง เห็นว่าที่นี่โปร่งเกินไป ตกบ่ายแดดจะร้อนอ้าว แลต้นไม้พวกนี้พอโต นอกจากจะบังแดด ยังบังสายตาอ้ายพวกสอดรู้ได้ดีนักเทียว อิฉันเองก็เห็นด้วยกับคุณชายเธอตรงนี้ ส่วนต้นอะไรต้องปลูกตรงไหน อิฉันไม่สันทัด เธอชี้เองทั้งหมด อะไรเป็นไม้มงคลที่ควรปลูก เธอก็จัดแจงเป็นธุระหามาให้คุณเรียมเธอเลือก แต่คุณเรียมเธอสิ”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ สีหน้าของนมละเอียดก็คล้ายจะระย่อจนเริญดนุภพต้องทรงกลั้นสรวล ตรัสถามทั้งที่ทรงพอจะทราบเหตุผลเลาๆ อยู่ในพระทัยแล้ว “แล้วเจ้าเรียมเลือกอะไรล่ะ”

คล้ายจะรออยู่แล้ว นมละเอียดตอบแทบจะทันที “จะเลือกอะไรเล่าเจ้าคะ คุณเรียมเธอเลือกเสียที่ไหน เธอจะเอาทั้งหมด ไม้ผลก็จะเอา ไม้ดอกก็สวย ไม้ต้นไม้พุ่มดีไปเสียหมด จนคุณชายขวัญสรวงเธอพิพักพิพ่วน ทำอะไรไม่ถูกสิเจ้าคะ”

ทรงเหลือบพระเนตรไปมองอธิป เห็นอีกฝ่ายกำลังกลั้นรอยยิ้มอยู่ก็หันมาตรัสถามต่ออย่างนึกสนุก “นมหมายถึงคุณชายถูกเจ้าเรียมงอนใส่ใช่ไหม”

“เจ้าค่ะ” นมละเอียดตอบ ยิ้มน้อยๆ แบบที่แยกไม่ออกว่าเป็นความแจ่มใสหรือความอ่อนอกอ่อนใจ “คุณเรียมเธอไม่พูดด้วย พอคุณชายเธอออกไปสั่งงานนายเยื้อน เธอก็แอบเอาต้นไม้ไปปลูกเองที่ระเบียงห้องนอนนั่นให้ ต้นยูงทองนะเจ้าคะ ไม่ใช่ต้นเล็กๆ แบบมะกรูดโหระพา โตเต็มที่ก็ตั้งสี่สิบเมตร คุณเรียมเธอจะแอบปลูกที่ระเบียงห้องนอนให้ได้ พอคุณชายขวัญเธอแหงนหน้าขึ้นไปมองแล้วเห็นเข้า เธอก็เลยขอให้อิฉันพาขึ้นไป ยกเอาลงมาปลูกให้ที่เยื้องศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ”

เริญดนุภพสรวลขึ้นด้วยพระอารมณ์เบิกบานพระทัย พระองค์ทราบจากอธิปแล้วว่าทั้งที่ไม่ทราบความจริง แต่คุณชายขัตติยพงศ์นั้นกลับมีน้ำใจเอื้อเฟื้อให้แก่เรียมลลิตรและราชสกุลภัทรกุลมากถึงเพียงใด จึงทรงไม่ถือว่าความสนิทสนมนี้เป็นการลู่พระเกียรติหรือตีเสมอพระอนุชาแม้แต่น้อย ด้วยองค์เองก็มิได้โปรดธรรมเนียมถือยศถืออย่างแต่เดิมอยู่แล้ว อีกประการที่ทรงตระหนักนั้นก็สำคัญไม่ได้แพ้กัน

หากจะว่าไปแล้ว ที่อำเภอบางกะปิแห่งนี้ ทั้งพระองค์ ทั้งเรียมลลิตรต่างก็ใช้ชีวิตเป็นเพียงแค่สามัญชน เป็นแค่นายเริญ นายเรียม หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงผู้นั้นต่างหากที่เป็นเชื้อพระวงศ์ มีพระยศที่สูงกว่า

ส่วนพระอนุชา ถึงจะเป็นคนดื้อดึงเอาแต่พระทัยมาแต่ไหนแต่ไร แต่โดยปรกติแล้วจะทรงดื้อเงียบ วางพระพักตร์นิ่งเฉย ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่แค่มาอยู่ที่นี่ไม่นาน คุณชายขวัญสรวงผู้นั้นกลับทำให้เรียมลลิตรที่มีดวงพระพักตร์ดุจน้ำนิ่งเช่นนั้นแสดงออกถึงพระอารมณ์ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าดีพระทัย

ก่อนหน้านี้ เริญดนุภพรู้สึกสนพระทัยในคุณชายขัตติยพงศ์เพียงเพราะหม่อมราชวงศ์ผู้นี้จะมาเป็นเพื่อนบ้านใหม่ของราชสกุลภัทรกุล หากแต่บัดนี้ ความสนพระทัยในตัวคุณชายขวัญสรวงนั้น ทวีไปไกลกว่าที่ทรงเคยตั้งพระทัยมาก

“แล้วนี่เจ้าเรียมอยู่ที่ไหน”

คราวนี้นมละเอียดผ่อนลมหายใจออกมาแล้วยิ้มเหมือนจะกลั้นขัน “จะที่ไหนเล่าเจ้าคะคุณเริญ เธอจะปลูกเองเสียให้ได้ ผู้ชายตัวโตๆ สองคนแย่งกระถางต้นไม้ใบเล็กๆ แค่นั้น อิฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรเจ้าค่ะ”





ขวัญสรวงผ่อนลมหายใจแล้วมองคนที่นั่งกระง่องกระแง่ง เอาพลั่วตักดินใส่หลุมกลบไม่ทันจะเต็มดีก็หยิบบัวมารดน้ำจนโชกชุ่มไปเสียหมด จนเขาต้องรีบเอื้อมมือไปดึงบัวรดน้ำต้นไม้กลับแทบไม่ทัน

รดแบบนี้ จะได้ตายเสียก่อนจะโตปะไร

เขากำลังเข้าใจผิดหรือเปล่า เรียมกำลังโกรธเขาอยู่ แต่ขวัญสรวงก็ยอมรับผิดในข้อนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเขานี่เอง ยั่วกระเซ้าจนอีกฝ่ายนั่งตาคว่ำอยู่แบบนี้ เพียงเพราะอยากเห็นสีหน้าที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ไม่ใคร่แสดงออกมาให้ใครได้เห็นนัก

แค่ยอมรับว่าผิดนะ ส่วนเรื่องที่คิดจะหยุด ไม่เลย

ในตอนแรกที่เขาให้เยื้อนช่วยยกต้นไม้ต่างๆ มาจากที่บ้านราวสิบห้าชนิด รวมปริมาณหลายสิบต้น โดยเลือกเอาต้นที่น่าจะมีประโยชน์ ปลูกง่าย และมีความแข็งแรงพอจะไม่เป็นปัญหามาให้เลือกลงดิน ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นคล้ายจะสุกใสเป็นประกายด้วยความปราโมทย์ ริมฝีปากที่เรียบนิ่งก็เหมือนจะแย้มออกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ตั้งใจฟังเขาอย่างสนอกสนใจ แต่แค่ขวัญสรวงอธิบายว่าคงลงปลูกไม่ได้ทั้งหมด เพราะไม่อย่างนั้น พอต้นไม้เติบใหญ่จะแน่นจนเกินงาม เจ้าของดวงตาวิบวับยิ่งกว่าหยาดน้ำค้างก็ถอยกลับไปนิ่งเฉย นั่งหัวไหล่ตั้ง ไม่พูดไม่จาอะไรอีก ไม่ว่าเขาชวนคุยอะไร รูปปั้นที่มีชีวิตนั้นก็ไม่เอ่ยตอบ จนเขาเดินออกไปสั่งเยื้อนให้ปลูกต้นอะไร ทิศใด ตำแหน่งไหนให้ถูกตามหลักมงคล ใครจะคิดว่าเรียมคนนั้นจะให้สาวใช้ในบ้านช่วยกันยกกระถางต้นยูงทองไปซ่อนที่ระเบียงห้องนอน ร้อนถึงเขาต้องขึ้นไปเอาลงมา

ขวัญสรวงพอนึกออกว่าคนที่นั่งรดน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายคงจดจำจากต่างประเทศ พวกฝรั่งนิยมปลูกไม้เล็กๆ ในกระถางวางแต่งที่ชานระเบียงให้สวยงามร่มรื่น ก็คิดจะทำแบบเดียวกัน เมื่อเขาเห็นว่าเจ้าบ้านก็ชอบทุกต้น เมื่อไม่ติดขัด ขวัญสรวงจึงเลือกต้นที่ยังเล็กเกินไปออก ใครจะคิด

“น้องให้พวกเด็กๆ ยกกระถางขึ้นมาบนนี้ทำไมหรือ”

“เห็นว่าด้านล่างแออัด ปลูกที่นี่ก็ได้ ระเบียงห้องกว้าง” คนตัวเล็กเอื้อมมือไปหยิบบัวที่วางอยู่ขึ้นรดน้ำต้นยูง รดเอาๆ ไม่มองหน้าเขาสักนิด

กว้างน่ะกว้างจริง แต่ก็กว้างแค่เพียงสำหรับไม้ดอกไม้ประดับ ใช่ไม้ยืนต้นเสียเมื่อไร ชายหนุ่มโต้ตอบอยู่ในใจ

ฉวยยูงทองกระถางนี้ขึ้นมาคงเพราะนึกว่าต้นเล็กๆ แบบนี้ โตเต็มที่ก็ไม่กี่คืบเสียกระมัง ขวัญสรวงหันไปมองเหล่าบริวารของเจ้าของบ้านที่ยืนยิ้มแหย ไม่กล้าขัด แล้วพยักหน้าเพื่อบอกว่าเดี๋ยวเขาจะจัดการเอง

ปลอดผู้คนแล้ว เขาก็ย่อตัวนั่งลง ค่อยๆ แจกแจง “ต้นยูงต้องปลูกกับดินนะ”

“ในกระถางก็มีดินไม่ใช่น้อย ปลูกตรงนี้ ไม่ต้องรบกวนพี่ขวัญ ผมดูแลได้อย่างใกล้ชิด” ดูเถอะ ดูพ่อตอบเข้าซี

เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าพักหลังๆ เรียมดูจะงอนเขาบ่อยเหลือเกิน อาการเหล่านี้ไม่มีใครดูรู้ แม้กระทั่งละเอียดที่เป็นแม่นมคนสนิทก็ดูจะไม่สังเกตเห็น เพราะคนขี้งอนยังคงวางเฉยเป็นปรกติ กิริยาท่าทีล้วนยังคงความภูมิฐานไว้ทุกกระเบียด แต่ความงามสง่าเหล่านั้นไม่อาจปกปิดขวัญสรวงได้

เขาเป็นคนช่างสังเกต และหากไม่ใช่เพราะเจ้าตัวมักทำท่าไม่รู้สึกรู้สา ขวัญสรวงก็คงไม่มองชนิดไม่ให้คลาดการอ่านคำตอบผ่านการแสดงออกที่ไม่ใช่การพูดเช่นนี้ จนพบว่าใบหน้าเล็กเท่างบน้ำอ้อยนั้นมักมีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ เวลาที่ดีใจ ดวงตาคู่นั้นจะผ่องแผ้วคล้ายประกายเพชรระยับบนฟากฟ้ายามราตรี แต่หากเขาพูดอะไรขัดอารมณ์เข้านิด แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่ริมฝีปากอิ่มน้ำก็รั้นขึ้นแทบจะทันที แล้วก็จำเพาะว่าเป็นกับเขาเพียงเท่านั้นด้วยสิ

ไม่ใช่ว่ารำคาญหรืออึดอัดกระไร เพียงแค่เขาไม่ค่อยเข้าใจ

“พี่เต็มใจ อย่าถือว่าเป็นเรื่องรบกวนกระไรเลย”

คนถือฝักบัวยังคนนิ่งเงียบ ทำท่าคล้ายจะไม่ได้ยิน

ชายหนุ่มแจกแจงต่อ ไม่ทดท้อ “ปลูกในกระถางไม่นานก็เฉาตาย ยูงทองหรือหางนกยูงนี่เป็นไม้ยืนต้น โตเต็มที่สูงหลายสิบเมตร รากจะแผ่ออกด้านข้าง ปลูกใกล้ตึกก็เห็นจะไม่ควร ไม่สักกี่ปี ปูนพวกนี้เห็นจะได้ร้าว น้องปลูกที่นี่ไม่ได้หรอก ต้องลงดินที่ไกลจากตัวตึก อย่างน้อยก็หลายสิบเมตร”

ขวัญสรวงอธิบายอย่างใจเย็น แต่ผลก็คือเรียมยกกระถางหนีเขาหน้าตาเฉย

“เดี๋ยวก่อนสิ จะยกไปไหน”

“จะยกไปปลูก”

ลงท้ายกลายเป็นว่าขวัญสรวงก็ทำอะไรแบบที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำมาก่อน นั่นก็คือการแย่งกระถางคืนจากคนนั่งหลังตรง หน้าเชิดเอาดื้อๆ ยื้อกันไปยื้อกันมาเป็นเด็ก ที่น่าตลกกว่านั้นก็คือเขากลับรู้สึกว่ามันสนุกขึ้นมานี่สิ

นี่ก็อีกเช่นกัน การยั่วเย้าให้อีกฝ่ายงอนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความเบิกบานใจให้กับขวัญสรวงเป็นนักหนา ทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าเรียบเฉยแสดงอารมณ์อันหลากหลายต่อหน้าเขา มันทำให้หัวใจของขวัญสรวงโลดแล่นอย่างประหลาด ได้เห็นรวงแก้มอิ่มใสเจือไปด้วยสีชมพูอ่อนๆ ได้เห็นดวงตาที่ไม่ใคร่จะจับจ้องสิ่งใดเป็นระยะเวลานานๆ หันมาจ้องมองเขาเขม็งอยู่อย่างนั้น

หลายครั้งที่เขาอยากจะจับเจ้าของใบหน้ามากอดเสียให้แน่น สารภาพผิด จุมพิตเบาๆ บนพวงแก้ม แล้วเอ่ยคำขอโทษจากดวงใจ แต่ถ้ากระทำอุกอาจแบบนั้น เขาเองจะมีศักดิ์ศรีอะไรเหนือไปกว่าจ้อย เขาก็จะกลายเป็นคนที่สิ้นเกียรติเทียมกัน และคร้านบ่าวไพร่จะได้ซุบซิบนินทากันจนเป็นเรื่อง ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจำต้องอยู่เพียงแค่ในความคิดเพียงเท่านั้น

สบโอกาส พ้นสายตาคนอื่นเมื่อไร เขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้รอยยิ้มเล็กๆ ฉายขึ้นบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง จะกระทำทุกอย่าง จะอ้อนวอนจนกว่าเรียมจะยอมยกโทษ กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม




(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




เริญดนุภพทอดพระเนตรมองภาพพระอนุชาขององค์ด้วยความสนพระทัย ข้างๆ กันนั้นคือหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงที่กำลังพรวนดินอย่างแคล่วคล่อง แข็งขัน ยิ่งทอดพระเนตรก็ให้ยิ่งประหลาดพระทัย ถึงกับหันไปมองหน้าอธิปและนมละเอียดเป็นเชิงถามว่าพระองค์มิได้พระเนตรฝาดไปใช่หรือไม่

เริญดนุภพไม่เคยทอดพระเนตรเห็นหม่อมราชวงศ์คนใดสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น แลสวมรองเท้าแตะ คุกเข่าลงกับพื้น รดน้ำ พรวนดิน ทำงานของบ่าวไพร่ให้เนื้อตัวสกปรกแบบนี้มาก่อน ทั้งที่คุณชายขัตติยงพงศ์จะเรียกใช้บ่าวก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่กลับเลือกจะลงมือทำด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่งานหรือหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย

ไม่เพียงเท่านั้น หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงผู้นี้ยังกระทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ เขาดูคล่องแคล่ว ไม่กลัวเปรอะเปื้อน แสดงให้เห็นว่าเขาน่าจะมีความรู้ด้านนี้ไม่ต่างกับหม่อมเจ้าเขียนนิรมิต พระบิดา เรื่องนี้เคยกระทบพระกรรณอยู่บ้าง ทว่าทรงไม่ได้สนพระทัยนัก ด้วยรู้สึกว่าน่าจะเป็นเพียงข่าวลือพูดกันสนุกสนานปาก กระทั่งทรงได้ประจักษ์แก่พระเนตรถึงได้เข้าพระทัยว่าสิ่งที่ทรงได้ยินมานั้น ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อที่เกินจริงเลย

ราชสกุลนี้นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์ ตงฉินแล้ว ไม่ว่าสายหลักของราชสกุล หรือกระทั่งสายรอง ล้วนไม่ใช่คนติดความอู้ฟู่หรูหรา หนักเอาเบาสู้ ไม่เกี่ยงว่าเป็นงานอะไร ไม่ใช่คนหยิบโหย่ง

ตัวจริงของคุณชายการดนตรีเป็นคนแบบนี้เองหรือ ประหลาดเสียจริง

และถ้าหากหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงผู้นั้นถือว่าเป็นคนประหลาดแล้ว พระอนุชาขององค์นั้นยิ่งประหลาดเสียกว่า เพราะเรียมลลิตรก็ทรงแข็งขันกับการปลูกกล้าต้นนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน จนถึงกับทรงเหลียวพระพักตร์ไปยังอธิปอีกครั้ง เป็นเชิงตรัสถามว่านั่นใช่พระอนุชาขององค์จริงแท้หรือ

“กระผมจะเข้าไปห้ามคุณชายขวัญเองครับ” พูดจบ อธิปก็สาวเท้าตรงรี่ไปทางคุณชายขวัญสรวงทันที หากแต่ไม่ติดพระกรที่ทรงยกขึ้นมาห้ามไว้

อธิปชะงักเท้า มองพระพักตร์ของเสด็จพระองค์ท่านเหมือนไม่เข้าใจ ก่อนจะหันกลับไปมองนมละเอียดเชิงปรึกษา เมื่อหญิงชราไหวหน้าน้อยๆ แทนคำตอบว่าอย่าเพิ่งเข้าไปยุ่ง อธิปจึงยอมกลับมายืนสงบ

“ฉันไม่ได้โกรธ แต่แค่แปลกใจ ปกติน้องชายของฉันไม่ใช่คนที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้” ได้ยินรับสั่งจากพระโอษฐ์ อธิปจึงผ่อนความร้อนใจลงไปบ้าง กระนั้นก็ความกระวนกระวายก็ใช่จะคลายบรรเทาไปเสียหมด

เริญดนุภพทอดพระเนตรมองอยู่นิ่งนาน ทรงสะกดพระอารมณ์ที่แปรปรวนในพระอุระ ตรัสถามพระองค์เองว่าควรจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดี

หากถือตามธรรมเนียมก็ทรงต้องเข้าไปห้ามปรามอนุชาด้วยไม่เห็นสมควรที่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงจะทรงกระทำสิ่งใดแบบนี้ ทั้งยังทรงไม่คำนึงแก่จริยวัตรที่สืบทอดมาแต่บรรพกาล สูงก็ให้อยู่ให้รู้ว่าสูง อย่าลดตัวไปคลุกคลีเทียมผืนแผ่นดินให้ระคายเคืองพระยศ หากแม้นมีพระวงศ์พระญาติพระองค์หนึ่งพระองค์ใดได้ทอดพระเนตรเห็นเข้าจะได้กริ้วได้ และอาจกระทบกระเทือนไปถึงเสด็จพระองค์ท่านผู้เป็นพระบิดาและหม่อมพระผู้เป็นมารดาให้เสื่อมเสีย

หากแต่ลึกลงไปในพระอุระแล้วนั้น เริญดนุภพกลับแช่มชื่นพระทัยยิ่งนักที่ได้ทรงเห็นพระอนุชาองค์ทรงใช้ชีวิตเยี่ยงปรกติสามัญชน มีชีวิตที่เป็นอิสระ มิใช่เป็นดั่งวิหคอันงามสง่าเทียมฟ้า ทว่าถูกขังอยู่แต่ในกรงเหนือระลอกเมฆเฉกเช่นดำเนินมาตั้งแต่ครั้งพระเยาว์จนถึงพระชันษาที่ทรงเป็นผู้ใหญ่ ขนบและกฎมณเฑียรบาลตั้งแต่สมัยก่อนล้วนอยู่คงมั่นเสียยิ่งกว่ากำแพงหนา ซึ่งทรงตระหนักดีว่าสิ่งนั้นนำมาซึ่งความกำสรดลึกล้ำเพียงใด

เรียมลลิตรมีชีวิตที่ห่างไกลจากคำว่าความสุขมานานนัก ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในพระทัยของเริญดนุภพมาตั้งแต่พระเยาว์ ในขณะที่พระองค์ทรงได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนแบบเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง แต่เพราะเหตุผลบางประการ พระอนุชากลับต้องแยกไปเรียนเพียงลำพังในพระบรมมหาราชวัง จนทรงเติบใหญ่พอเสด็จประภาสไปไหนได้ เรียมลลิตรก็ทรงถูกส่งไปศึกษาต่อที่เมืองฝรั่งเพียงลำพัง ซึ่งในพระฐานะพระเชษฐานั้นนับเป็นความปวดร้าวพระทัยยิ่งนัก

ตรึกตรองมาถึงข้อนี้ก็ทรงตัดสินพระทัยได้โดยปราศจากความลังเล และแม้สิ่งที่พระองค์ทรงเลือกที่จะกระทำนี้จะไม่อาจชดเชยกับห้วงเวลาครั้งสมัยทรงพระเยาว์ที่ไม่เหมือนคนอื่นได้เลย แต่ก็ดีกว่าที่จะทรงนิ่งเฉย ไม่ทำสิ่งใด

“นมละเอียด อธิป ทั้งสองคนคิดว่าน้องฉันกำลังมีความสุขอยู่หรือเปล่า”

คนที่ถูกเอ่ยถามหันหน้ามามองกันเลิ่กลั่ก ก่อนที่นมละเอียดจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“มิได้เลยค่ะคุณเริญ เธอน่าจะกำลังโกรธสุดๆ ตรองดูสิเจ้าคะ พื้นก็แข็ง เนื้อตัวก็มอมเปื้อนไปหมด แถมแดดก็ร้อนเหลือ ถ้าเธอเป็นคนโผงผางมากกว่านี้เอาเสียหน่อย ไม่ใช่คนกิริยานุ่มนวลเช่นนี้ ต่อว่าคุณชายขวัญได้ เธอคงทำไปแล้ว”

“จริงของนม” เริญดนุภพสรวลขึ้นเหมือนเห็นด้วย ทอดพระเนตรมองอยู่สักพักก็กลับระบายพระอัสสาสะแผ่วเบา “เช่นนั้น เพราะเหตุใดเราจึงรู้สึกว่าน้องของเรากำลังมีความสุข”

สิ้นพระสุรเสียง นมละเอียดก็ยิ้มขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ “ในฐานะที่เลี้ยงดูคุณเรียมเธอมาตั้งแต่เล็ก อิฉันยืนยันได้ว่าสิ่งที่คุณเริญคิดนั้นมิได้ผิดไปจากความจริงเลยเจ้าค่ะ เธอกำลังฉุนอยู่ก็จริง แต่ลึกลงไปในใจ คุณเรียมเธอกำลังมีความสุข เธอสุขโดยที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่ทันเฉลียวรู้ตัว” พูดถึงตรงนี้ ละเอียดก็ยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้า สั่นสะอื้นจนไม่อาจพูดต่อไปได้

อธิปยกมือขึ้นแตะข้อมือของแม่นมที่ผูกพันมากับพระองค์เจ้าเรียมลลิตรมาตั้งแต่ทรงมีพระชันษาเพียงไม่กี่ขวบปีจนกระทั่งบัดนี้ หญิงชราผู้นี้ก็ยังภักดีอยู่เคียงข้างเสด็จพระองค์ท่าน หรือ “คุณหนูเรียม” ของเธอไม่มีห่าง เขาอมยิ้มก่อนจะหันกลับไปทางพระองค์ชาย ก้มหน้าลงนอบน้อมแล้วเปล่งเสียงกังวานชัดเจน “ผมเองก็เห็นด้วยครับ”

เริญดนุภพผ่อนพระอัสสาสะอีกครั้ง ต่างที่ว่าครั้งนี้ทรงมีรอยแย้มสรวลประดับบางๆ เหนือพระโอษฐ์ด้วย





เสียงแว่วๆ ของอธิปทำให้ขวัญสรวงเงยหน้าขึ้นจากต้นไม้แล้วเหลียวกลับมามอง เขาเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งจึงเพ่งพินิจ ผู้ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ดูงามสง่า ผมดำเป็นมันหวีเรียบเรียงเป็นระเบียบ แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบดูโก้ และกางเกงผ้าวูลสีเทาเข้มตัดเย็บอย่างดีเข้าชุดกับรองเท้าหนังสีดำมัน ผู้ชายคนนั้นโดดเด่นสะดุดตาแม้แต่อยู่ไกลๆ และเมื่อยิ่งพิเคราะห์โดยละเอียด จึงได้เห็นว่าใบหน้าคมคายนั้นกลับมีเค้าหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายกับคนที่นั่งเอามือตบดินอยู่ข้างๆ เขาในเวลานี้อยู่ไม่น้อย

นี่คงจะเป็นพี่ชายของเรียมเป็นแน่

เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มก็เช็ดไม้เช็ดมือให้สะอาด รีบลุกขึ้น แล้วรุดตรงไปที่ชายคนนั้นทันที ยังไม่ถึงดีก็หยุดปลายเท้า ประนมมือไหว้และเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“สวัสดีครับ ผมอยู่ข้างๆ บ้านนี้ ดีใจที่ได้มีโอกาสพบกัน คุณเป็นพี่ชายของเรียมหรือเปล่าครับ”

เริญดนุภพยกพระหัตถ์ประนมรับไหว้ด้วยความแปลกพระทัย หม่อมราชวงศ์คนนี้แปลกเสียจริง ทั้งที่กำเนิดในราชสกุล แลเป็นสายหลักของขัตติยพงศ์อันลือเลื่องไปทั้งพระนครโดยแท้ แต่กลับไม่ได้วางตัวอยู่เหนือใคร กลับสุภาพนอบน้อม มีมรรยาท แลเป็นฝ่ายยกมือขึ้นไหว้ผู้อื่นก่อนโดยไม่ถือพระยศ

“คุณชายขวัญใช่ไหมครับ” ทรงตรัสอย่างไม่ถือองค์ แล้วหันพระพักตร์ไปทางพระอนุชาที่สาวพระบาทตามมาช้าๆ “เรียม น้องสบายดีนะ”

เรียมลลิตรประนมหัตถ์ไหว้พระเชษฐา ปฏิสันถารเสร็จแล้ว จึงตรัสถามอย่างดีพระทัย “ท่านพี่มาได้อย่างไรกัน”

“พี่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ พอว่าง ทราบข่าวเรื่องน้าเกสรจึงได้รีบไปเยี่ยม เสร็จแล้วเลยให้อธิปช่วยพามา”

เรียมลลิตรทรงพูดคุยกับพี่เชษฐาอยู่สักพัก จึงหันพระพักตร์มาทางอธิป ตรัสถามด้วยทรงห่วงใย “คุณแม่อาการดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

ดวงใจของอธิปชื้นขึ้นด้วยน้ำพระทัยที่ทรงประทานให้ ชายหนุ่มก้มหน้าด้วยสำนึกในพระเมตตาเป็นล้นพ้น ก่อนจะจำต้องเอ่ยตอบราวกับสนทนาทั่วไป

“สบายดีแล้วครับ แต่ยังต้องพักรักษาตัว ทานอาหารอ่อนๆ ไปอีกสักพัก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คุณหมอบอกว่าสัปดาห์หน้าก็จะหายเป็นปรกติครับ ขอบใจที่ถามด้วยความเป็นห่วง” ชายหนุ่มจงใจตอบเสียงหวานตามที่ได้รับคำสั่งมาจากบิดา ทว่าในครั้งนี้ คุณชายขวัญสรวงกลับยืนนิ่งเฉย ไม่มีอาการค้นหาคำตอบอย่างที่ผ่านมา

ได้ยินคำตอบจากปากของคนสนิท เรียมลลิตรนิ่งเฉย ไม่ตรัสสิ่งใด มีแต่พระเนตรที่ทรงคลายกังวลลงเท่านั้นที่ทรงแสดงออก

“ผมต้องขอโทษ แต่งตัวไม่สุภาพ ไม่ทราบว่าจะได้พบกับคุณ” ขวัญสรวงหันไปเอ่ยขอโทษกับชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จัก

“อายุเราน่าจะพอกัน เรียกผมว่าเริญเถอะครับ คุณชาย เพื่อนบ้านกัน อยู่ติดกันแค่นี้ ไม่ต้องเกรงใจกันดอกครับ” เริญดนุภพตรัสด้วยพระสุรเสียงสบายๆ “จริงสิ ผมทราบจากอธิปว่าคุณชายช่วยเหลือน้องของกระผมไว้ตั้งหลายเรื่อง คอยเป็นธุระให้โดยไม่ถือว่าผมกับน้องก็เป็นเพียงแค่พ่อค้าวานิชธรรมดา ทั้งที่คุณชายเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ในราชสกุลขัตติยพงศ์แท้ๆ ต้องขอบคุณมากจริงๆ ครับ”

“โปรดอย่าได้คิดเช่นนั้นเลยครับ” ขวัญสรวงรีบยกมือห้ามด้วยความลำบากใจ “ท่านพ่อของกระผมทรงสอนตั้งแต่ตอนที่ผมเป็นเด็กๆ ว่าอย่าได้ถือว่าการที่เราเกิดมาในราชสกุลนั้นจะทำให้ขัตตยพงศ์เราอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ ความดีต่างหากที่ควรเป็นสิ่งที่ใช้จำแนกมนุษย์เรา มิใช่ชาติกำเนิด หากคุณเริญนับถือในน้ำใจของผม โปรดคิดว่าผมเป็นเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจต่อกัน เป็นสหาย หรือเป็นญาติที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความปรารถนาดี”

“ถึงอย่างนั้นก็ยิ่งต้องตอบแทน ถ้าไม่รังเกียจ เย็นนี้เชิญร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเสียหน่อยเถอะครับ โปรดอย่าได้ปฏิเสธน้ำใจผมกับน้องเลย”

“ขอบคุณคุณเริญมากครับ”

เริญดนุภพแย้มพระโอษฐ์ ทรงไม่ได้อยากปด ทว่าความจำเป็นทำให้ทรงต้องจำปิดความจริงในบางเรื่องเอาไว้ หากแต่เมื่อคุณชายขัตติยพงศ์เป็นผู้ออกปากว่าไม่ถือเรื่องชาติกำเนิด นับถือกันที่น้ำใจจริงดั่งสัตย์แล้ว ในทางกลับกันก็ไม่ควรจะหมางใจหากพระองค์จะทรงไม่นับว่าเป็นการที่องค์และพระอนุชาดำรงพระยศเป็นพระองค์เจ้าเป็นเรื่องสลักสำคัญเช่นกัน

“นี่ทำอะไรกันอยู่หรือ” เริญดนุภพตรัสถามพระอนุชา

“ปลูกต้นไม้ครับ”

“ปลูกเป็นกับเขาด้วยหรือ”

เริญดนุภพสรวลขึ้นแทบจะทันทีเมื่อเห็นพระอนุชาขึงพระเนตรมองมา ทรงพับแขนฉลองพระองค์ ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะปลูกด้วย”

แววบึ้งตึงในดวงพระเนตรของเรียมลลิตรคลายออกจนแลเห็นความสุกสกาว ทรงก้าวพระบาทไปทางต้นไม้ที่ทั้งคู่ช่วยกันปลูกเมื่อครู่ หากแต่ขวัญสรวงกลับเอ่ยขัดขึ้น

“อย่าเลยครับ เสื้อผ้าคุณจะเลอะเอาเสียเปล่า”

เป็นอีกครั้งที่เริญดนุภพทอดพระเนตรมองบุรุษตรงหน้าด้วยพระอารมณ์กึ่งประหลาดใจกึ่งประทับใจ ท่าทีแน่วแน่จริงจังของคุณชายขวัญสรวงทำให้ทรงสรวลเบาๆ ในพระศอ

อย่างที่ทรงดำริไว้ไม่มีผิด ขัตติยพงศ์นี้เป็นเพื่อนบ้านที่เหมาะสมที่สุดกว่าใครแล้ว และคุณชายขวัญสรวงเองก็ดีสมกับที่พระองค์ทรงคาดคะเนไว้เช่นกัน

“แค่เสื้อผ้า ผมไม่ถือเรื่องพวกนั้นดอกครับ ถ้าคุณชายไม่ถือว่านี่เป็นการตีเสมอ โปรดให้ผมกับน้องชายได้ร่วมปลูกต้นไม้กับคุณชายเถอะครับ”

เมื่อได้รับการยืนกรานจากอีกฝ่าย ขวัญสรวงก็จึงต้องจำยอมทั้งที่ลึกๆ แล้วก็ยังรู้สึกว่าเสื้อผาแพงๆ เหล่านั้นจะสกปรกให้เสียดาย “ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้ด้วยกันเถิดครับ ถัดจากต้นยูงทอง ผมว่าจะไปดูต้นไม้รอบๆ ที่ให้เจ้าเยื้อนลงดินให้เสียหน่อย คุณเริญมาช่วยดูอีกแรงก็ดีครับ เผื่อว่าอยากได้ต้นอะไรเป็นพิเศษ ถ้าที่บ้านมี ผมจะแบ่งมาให้”

“ดีเลยครับ” เริญดนุภพแย้มพระโอษฐ์ สาวพระบาทไปพร้อมๆ กับเรียมลลิตร ตามหลังคุณชายขัตติยพงศ์อย่างไม่รีบเร่ง โดยมีอธิปและนมละเอียดเว้นระยะตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทรงตรัสกับองค์เองในพระอุระด้วยความแปลกพระทัย

หลังการสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค เรื่องที่ทรงไม่เคยนึกถึงมาก่อนนั้นมีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือทรงไม่คาดมาก่อนว่าจะถูกชะตากับหม่อมราชวงศ์ผู้นี้ มากถึงเพียงนี้





+++++++++++++++++++++++++++++++




ผ่านไปอีกตอน ตอนนี้พี่ขวัญกับน้องเรียมโดนพี่เริญขโมยซีนไปบ้าง
ตอนต่อไปก็ยังจะคงโดยคนอื่นขโมยซีนอีกเช่นกัน
พอปรับเป็นราชาศัพท์ ความเร็วลดลงเยอะเลย แต่เอาแบบนี้ดีกว่านะ
ให้ถูกต้องตามลักษณะที่ควรจะเป็นดีกว่าเนอะ ยังไงก็จะพยายามอัพให้เร็วขึ้นนะครับ

หัวเลขตอนอาจจะไม่ตรงกันบ้างนะครับ เรื่องของเรื่องคืองงกับพวกซอยตอน
ขอตัดขึ้นตอนใหม่ไปเลยแล้วกัน ทีนี้จะแก้ก็เดี๋ยวงงกัน เอาเป็นว่ากดตามสารบัญก็แล้วกันเนอะ ^ ^

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
น้องเรียมบทน้อยมากกกกตอนนี้ TT บ่าวเศร้ายิ่งนักเจ้าค่ะ ส่วนคุณพี่นี่จะมีคู่รึเปล่าคะ อิอิ

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
ติดตามอ่านมาตลอด แต่ไม่ได้เข้ามาเม้นเลย ขอโทษจริงๆ นะคะ
ชอบเนื้อเรื่อง และการใช้ภาษามากเลยค่ะ เพราะไม่ค่อยได้พบเจอได้ในนิยายทั่วๆ ไป
อาจจะมาต่อช้าบ้าง แต่มาแต่ละทียาวสะใจ
จะติดตามต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เข้ามาอ่านได้ ๑ ตอน ชอบภาษาชอบบรรยากาศละมุนมาก
เดี๋ยวตอนที่เหลือจะรีบตามอ่านนะคะ
ปล.ไม่เคยอ่านแผลเก่าเลย แต่พอจะรู้จักขวัญเรียมมาบ้าง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด