► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)  (อ่าน 51292 ครั้ง)

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

พี่ขวัญรีบโกยคะแนนเลยนะคะ   :mew1:

ออฟไลน์ twenty8

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ยังคงต้องใช้ความละเมียดละไมในการอ่านเช่นเคยค่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ รออ่านอยู่เสมอ

 :กอด1:

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
อัพแล้ววว นึกว่าตาฝากเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อ่านทันเเล้วเข้ามารอ

บ้างตอนอ่านไปนิเขินสุดๆ ทั้งที่ภาษาก็ดูเรียบง่าย

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ ตอนนี้อ่านทันแล้ว

ชอบภาษา การบรรยายมากเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้มานะคะ

ที่สำคัญตอนนี้ชอบตัวละครเรียมลลิตรมากเลยค่ะ เป็นคนที่น่าเอ็นดู น่าทะนุถนอมอะไรขนาดนี้ หลงรักไปแล้วเรียบร้อย ส่วนขวัญสรวงก็ร้ายอย่าบอกใครเลย พอเข้ามาอยู่กับเรียมแล้วดูเหมาะสมกันมากๆ เลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ สู้ๆ จะรออ่านจนจบเลยค่ะ  :hao5: :กอด1:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
โธ่ พ่อขวัญ  คนดีอะไรอย่างนี้เนี่ย

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๑๓



เช่นเดียวกับวันอื่นๆ อากาศบนพาไลวันนี้ปลอดโปร่ง มีลมพัดเย็นสบาย ทว่าจ้อยที่นั่งอยู่บนตั่งใต้ร่มทองหลางกลับรู้สึกกระสับกระส่าย หลายวันมานี้แม้แต่อ่านหนังสือพิมพ์ หรือเปิดโทรทัศน์ดูรายการต่างๆ ก็ทำได้เพียงครู่ ไม่นานก็เบื่อหน่าย สุดท้ายใจก็กลับหวนไปถึงเจ้าของดวงตาหวานล้อแสงคู่นั้นที่ได้พบเจอกันเมื่อสัปดาห์ก่อน

บ่อยครั้งที่นางสะอิ้งต้องเอ่ยปากถาม นางเลี้ยงจ้อยมาแต่อ้อนแต่ออก มีหรือว่าจะไม่เห็นว่าลูกชายของนางมีอาการเหม่อแปลกๆ ไม่ออกไปเที่ยวเล่นที่ตลาด อาหารที่ชอบก็ไม่อยาก แต่จ้อยก็บอกปัดไปสั้นๆ ว่าขี้เกียจ เพียงเท่านั้นนางสะอิ้งก็เลิกสนใจซักไซ้อีก นางรู้นิสัยลูกชายสุดรักดีว่าพอนึกจะขี้เกียจ ก็หมดแรงจะทำอะไร ไว้ขยันอารมณ์ดี ประเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาทำอะไรเอง

นางไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อยว่าจ้อยแค่ตอบไปส่งๆ ให้จบเรื่องไปเท่านั้น เขาไม่ได้ขี้เกียจ เพียงแค่ในเวลานี้แค่ไม่คิดอยากจะไปตะลอนไหนแบบที่เคยไป เพราะเมื่อออกจากบ้านทีไรก็ไม่แคล้วอยากจะแวะไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์หลังโตนั้นเสียแทบทุกที

แต่เขาจะต้อนรับหรือ

นี่คือสิ่งที่จ้อยคิดหนัก คราวก่อนที่พบกัน ใช่ว่าจ้อยจะไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้างตามนิสัย เขาไม่เคยต้องตรึกตรองหรือเกรงใจใคร เพราะแต่เล็ก นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่พอใจเด็กคนไหนก็พาพวกไปชกต่อย ตกเย็นพ่อก็มาจัดการจนเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าหืออือ

ที่บางกะปิ จ้อยความถูกต้องเสมอ มันเคยเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยก็จนกระทั่งในตอนที่มายืนอยู่ต่อหน้าเจ้าของคฤหาสน์หลังนั้น

คนอะไรไม่เคยพบเคยเจอ นอกจากจะงดงามเสียยิ่งกว่าสาวสะคราญทุกคนที่จ้อยเคยเห็นมาแล้ว คนคนนั้นดูราวจะไม่ใช่คนที่จ้อยสามารถคาดเดาอะไรได้เลย

ก็ใครเล่าจะไปคิดว่าเจ้าของบ้านจะตอบกลับมาด้วยความเวทนาแบบนั้น ไม่ใช่คำพูดแสดงน้ำใจไม่ถือสานั่นดอก แต่เป็นความหมางเมินที่มอบคืนให้แก่ความกักขฬะของเขาต่างหาก

จะมาอีกก็ได้หรือ มันก็แค่คำพูดไปตามมรรยาท คนคนนั้นแม้แต่หางตาก็ไม่เคยมีตัวตนของจ้อยอยู่ด้วยซ้ำ

ยิ่งคิด จ้อยก็ยิ่งโทโส อาการหงุดหงิดนั้นสั่งสมขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งถึงจุดอิ่ม ถ้าเป็นน้ำก็เปรียบกับน้ำปริ่มตุ่มกลางฤดูฝน พระพิรุณสะบั้นความอบอ้าวด้วยห่าฝนแห่งความพิโรธ ไฉนเลยน้ำในตุ่มจะระเหยแห้งไปกับแสงอาทิตย์ ความรู้สึกในใจของจ้อยก็เช่นกัน ไม่เคยลด มีแต่จะล้น

อดรนทนไม่ไหว เขาจึงเรียกศักดิ์มาให้ออกเรือไปบ้านน้ำทิพย์ ซึ่งบ่าวสนิทก็จัดการได้รวดเร็ว ไม่ชักช้ารอนานให้รำคาญใจ ระหว่างทาง จ้อยแวะที่ร้านค้าในตลาด เลือกซื้อของที่ดีที่สุด แพงที่สุดจนพะรุงพะรัง

ข้าวของมากมายที่อัดแน่นบนเรือนั้น เทียบไม่ได้เลยกับความใหญ่โตโอฬารของศักดิ์ศรี เรือไม้ลำกว้างแล่นไปตามคลองแสนแสบ ไม่เคยหลบ หรือแม้แต่ชะลอให้กับเรือลำใดในบางกะปิ เป็นอย่างนี้มานานและจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจ้อยจะพอใจ

มีหลายครั้งที่มีกลุ่มชาวบ้านที่มองเขม็งมาอย่างตำหนิ แต่เมื่อจ้อยจ้องกลับ ชาวบ้านเหล่านั้นก็หลบสายตาแล้วพายเลี่ยงหนีไปเอง เห็นแล้ว จ้อยก็หัวเราะเสียงดังก้องไปทั่วคุ้งน้ำ

ใช่แล้ว เขาไม่เห็นจะต้องสนใจ คนอย่างไอ้จ้อยไม่เคยต้องเกรงใจใครในบางกะปิ โดยเฉพาะไอ้เศรษฐีตีนแดงนั่น จะผู้ชายรึก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิง





เรือแล่นลิ่วมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นบ้านของน้ำทิพย์ ยังไกลนักกว่าจะถึงท่า แต่ความคิดถึงอันเป็นตะกอนขุ่นในใจก็พาลให้สายตาของจ้อยก็เหลือบมองไปที่คฤหาสน์หลังโตนั้นอย่างอดไม่ได้เสียแล้ว

จะว่าไปที่ดินแห่งนี้ควรจะตกทอดมาเป็นของจ้อยในอนาคต แต่พ่อของเขากลับเปลี่ยนใจ ขายต่อให้กับเจ้าของใหม่ด้วยราคาที่ไม่ได้กำไรอะไร จ้อยไม่ได้เสียดาย เขาจึงไม่คิดแม้แต่จะถามถึงเหตุผล หากแต่เหตุการณ์เมื่อวันก่อน บางสิ่งบางอย่างทำให้จ้อยสงสัยว่าจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับอ้ายหม่อมราชวงศ์น่าเหม็นขี้หน้าคนนั้นหรือไม่

วันนั้น นอกจากจะเข้ามาถึงในบ้านคนอื่นอย่างผิดวิสัยไม่ผูกมิตรกับใครจนสนิทสนมแล้ว แววตาที่อ้ายคุณชายขวัญสรวงทอดมองมาที่เขานั้น ไม่ใช่แววตาของคนสบายๆ ใจเย็นเป็นน้ำแบบที่ชาวบ้านพูดกันเลย

ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ แม้ความนิ่งขรึมจะยังคงอยู่ แต่ที่สะท้อนอยู่ในนั้นคือความแข็งกร้าว ห่างไกลจากความขี้เล่น จ้อยอ่านมันออก นั่นเป็นสายตาของคนที่พร้อมประหัตถ์ประหารใครก็ได้ทุกเมื่อ และที่จ้อยสงสัยก็คือมันหมายความว่าอย่างไร

คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เพ่งมองไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอย่างสำรวจ กวาดตามองไปรอบๆ เหมือนเสาะหาอะไรบางอย่างให้แน่ใจ กระทั่งพบกับภาพเคลื่อนไหวรางๆ เดินเรียบริมน้ำ ซึ่งเขาจำได้ดีว่านั่นคือใคร

ไอ้หม่อมราชวงศ์คนนั้นมาที่นี่อีกแล้วรึ

เห็นดังนั้น จ้อยก็เอ่ยปากเร่งให้ศักดิ์ออกแรงแจวเรือให้ไวขึ้น “ไอ้ศักดิ์ เอ็งพายให้มันไวๆ หน่อยสิวะ ชักช้า น่ารำคาญ”

ยิ่งเรือแล่นเข้ามาใกล้ ความเลือนรางที่เห็นก็ยิ่งเด่นชัด และเมื่อยิ่งมอง ความอึดอัดขัดใจก็ยิ่งลุกลามเหมือนมีใครจุดไต้มาสุมรุม เพราะเห็นได้ชัดว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันนั้นไม่ได้แค่เดินรับลมเล่มริมคลองเสียคนเดียวอย่างที่เข้าใจ ข้างกายนั้นคือคนที่ทำให้ดวงจิตดวงใจของจ้อยปั่นป่วนมาตลอดสองสัปดาห์ และไม่ได้เดินกันเฉยๆ แบบคนทั่วไปที่รู้จักกัน

อ้ายคุณชายนั่นกำลังมองเรียมด้วยสายตาที่หวานเสียยิ่งกว่ามดแดงจ้องผลมะม่วงสุก!

คล้ายจะเห็นว่าสายตาฉุนๆ ของนายไปหยุดอยู่ที่ใด คนแจวจึงหยุดเรือนิ่ง ศักดิ์พาดพายลงบนตัก หันไปทางเดียวกันกับจ้อย และนั่งมองภาพนั้นเงียบๆ





แดดยามบ่ายลอดแสงผ่านเงาไม้ กระทบผิวน้ำคล้ายเพชรมงกุฎระยิบระยับ เหนือเปลวแสงวับวาวมีดอกบัวขาวบานสล้างประดับเป็นยอด คลี่กลีบดอกแย้มเรียงเลียบคลองบางกะปิ สลับกับยอดผักบุ้ง ผักกระเฉด เรียงรายเป็นพรมถักประณีตปูเหนือระลอกน้ำ

หลังจากช่วยกันนำต้นไม้ทั้งหมดลงดิน เจ้าของบ้านผู้พี่ก็เชื้อเชิญให้เพื่อนบ้านอยู่ร่วมรับประทานอาหาร โดยมีคุณเริญ คุณเรียม และขวัญสรวงร่วมรับมื้อเที่ยงด้วยกัน ส่วนอธิปนั้นขอตัวไปจัดการธุระเร่งด่วนและตรวจตราความเรียบร้อยต่างๆ ในบ้านหลังจากที่ไม่อยู่หลายวัน

นมละเอียดแสดงฝีมือทำอาหารฝรั่งเสียหลายอย่าง ทั้งซุปใสแบบฝรั่งเศส สลัดอกเป็ดกับน้ำสลัดสูตรเฉพาะ และสเต็กปลาทอดราดซอสเนย นางประยุกต์โดยใช้ปลากะพงขาวแบบไทยๆ แทนที่จะเป็นลิ้นหมาแบบต้นตำรับ อร่อยเหาะจนทุกคนเอ่ยปากชมเสียหลายครั้ง ก่อนจะปิดท้ายอาหารมื้อเที่ยงอันบริบูรณ์ด้วยของหวานแบบไทยๆ อันได้แก่ ขนมชั้นพับเป็นลายดอกกุหลาบและกล้วยไข่เชื่อมราดหัวกะทิเค็มปะแล่มที่เคี่ยวพอขึ้นข้น

หลังจากนั้น บทสนทนาบนโต๊ะอาหารก็เป็นไปอย่างเพลิดเพลินจนกินเวลาหลายชั่วโมง ขวัญสรวงเพิ่งทราบว่าคุณเริญนั้นมีอายุเท่ากัน แต่สมรสแล้วเมื่อปีกลาย ไม่ได้ครองสถานะโสดอีกต่อไปเช่นเขา ส่วนอธิปนั้นอายุน้อยกว่าหนึ่งปี ชายหนุ่มทั้งสองคนจึงนับกันเป็นสหาย ไม่เรียกกันว่าคุณหรือคุณชายให้ห่างเหิน ขณะที่เรียมนั้น ถึงจะพูดน้อยเช่นเดิม นานๆ จะตอบสั้นๆ ว่า ‘ครับ’ แล้วก็กลับไปนั่งนิ่ง ทว่าดวงตากลมใสสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นก็มองอย่างสนอกสนใจ ล่วงเลยมาถึงเกือบบ่ายสองโมงจึงแยกย้าย

อธิปกลับมาอีกครั้ง เขาเอ่ยเชื้อเชิญเจ้าของบ้านผู้พี่เพื่อให้ตรวจสอบบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้าน ขวัญสรวงจึงปลีกตัวแยกมากับเรียมผู้น้องที่ปรารถนาจะออกมาเดินเล่นริมน้ำ

อาการตระแหน่แง่งอนจางหายไปพร้อมกับความหิวแล้ว คนตัวสูงยกมือไพล่หลัง เดินเคียงข้างบุรุษร่างเล็กกว่าไปช้าๆ ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ หลายครั้งที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววฉงน มีคำถามสะท้อนเป็นภาพซ้อนอยู่ในแววตา เรียมไม่เหมือนกับใครที่เขาเคยรู้จัก ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่พูดด้วยสายตา ไม่พูดจาเรื่อยเจื้อย แต่พูดเฉพาะที่คิดว่าสำคัญหรือประสงค์ใคร่รู้ให้คลายสงสัย

ครั้งหนึ่งเมื่อดวงตาหวานสวยคู่นั้นทอดมองไปหยุดที่ผีเสื้อตัวใหญ่โดยไม่ละสายตา ผีเสื้อตัวนั้นมีพื้นปีกสีดำ ปีกคู่หน้าเป็นสีเทา ส่วนปีกคู่หลังเป็นสีน้ำเงินเหลือบ โดดเด่นงามสง่ากว่าทุกตัว

“ผีเสื้อติ่งนางละเวง” เขาเอ่ยแทนใจอีกฝ่าย “ตัวผู้ จึงไม่มีติ่งห้อยที่ปลายปีก เรียกอีกชื่อว่าผีเสื้อถุงเงิน”

เห็นคนที่ยืนนิ่งอยู่นานขยับเข้ามาใกล้ด้วยความสนใจ ขวัญสรวงจึงเอ่ยต่อ

“ที่ชื่อว่าผีเสื้อติ่งนางระเวงก็เพราะว่ามันมีปีกขนาดใหญ่ สวยสง่าเหมือนกับนางละเวง”

“นางละเวง?”

“เป็นตัวละครหนึ่งในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี นางละเวงวัณฬา เป็นหญิงฝรั่ง แต่งตัวด้วยชุดสุ่มขนาดใหญ่ แต่ตัวนิดเดียวเหมือนกับเจ้าผีเสื้อนี่แหละ” เขาอธิบาย “เมื่อก่อนแถวนี้มีมาก สมัยพี่ยังเป็นเด็ก ตามท่านพ่อมาที่นี่ จะเห็นผีเสื้อแบบนี้เต็มไปหมดที่ริมน้ำ ท่านพ่อของพี่บอกว่าพวกตัวเมียจะตอมดอกไม้ ส่วนพวกตัวผู้จะอยู่ตามริมน้ำ แต่เดี๋ยวนี้น้อยลงไปเยอะ นานๆ จะได้เห็นสักตัว”

เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองผีเสื้อตัวนั้นอยู่นิ่งนาน สักพักก็ตรัสถาม “จับมันไปเลี้ยงได้ไหม”

รอยยิ้มของผู้ชายตัวสูงผุดพรายขึ้นที่มุมปากทันที

อย่างที่ขวัญสรวงคิดไว้ไม่ผิด ลองชอบอะไรแล้วก็อยากได้เป็นเด็กๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นโอบสะเอวของคนที่ยืนเคียงข้าง รุนหลังให้ขยับเข้าไปดูใกล้ๆ

“จับน่ะได้ แต่ปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติจะดีกว่า ไม่มีใครอยากถูกจับขังอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่นเพื่อนคุยหรอก จริงไหม”แววตาคู่สวยหม่นลงแทบจะทันที ขวัญสรวงสังเกตอยู่แต่แรกแล้ว เมื่อเห็น เขาจึงพูดต่อ “ถ้าอยากเห็นมัน ก็แค่ออกมาเดินเล่นอีก พี่จะมาเป็นเพื่อน”

เห็นแววตาคู่นั้นกลับมาสดใสอีกครั้ง เขาจึงประคองเรียมเดินไปข้างหน้าช้าๆ ก่อนจะเฉไฉวกกลับเข้ามาสู่เรื่องที่อยู่ในใจมานานหลายวัน “จริงสิ พี่ไม่เคยรู้ว่าน้องมีพี่ชาย อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกันกับพี่ หรือแม้แต่เรื่องของอธิป ก็ไม่รู้มาก่อนเลย จนได้ยินจากปากของคนเก่าคนแก่ในบ้านเมื่อไม่นานมานี้เอง”

“ตอนรับประทานอาหาร พี่เริญก็พูดนี่ครับ”

“นั่นก็ใช่” เขาตอบ อมยิ้มน้อยๆ “แต่อย่างน้อย ก็น่าจะเล่าให้ฟังบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้พี่เป็นกังวลเสียนาน”

เรียมลลิตรทรงนิ่งเฉย อยากจะทรงตอบแต่ไม่รู้ว่าจะตอบว่ากระไร กระทั่งเจ้าของรอยยิ้มกริ่มข้างๆ เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า

“ใจดำ”

พระขนงขมวดขึ้นราวกับจะบอกว่าทรงไม่เห็นด้วย หากแต่คนตัวสูงที่ยืนข้างกันนั่นเล่ากลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น เขายิ้มกว้าง เผยฟันขาวสะอ้านเรียงเป็นระเบียบ

“คนใจดำ”

เขายื่นหน้ามาย้ำอีกครั้งใกล้ๆ หู จนเรียมลลิตรวางสีพระพักตร์ไม่ถูก

อันที่จริงแล้ว ขวัญสรวงมิได้ถือโทษใดๆ กับเรียมแม้แต่น้อย เขาแค่แกล้งเย้า ส่วนหนึ่งก็เพราะเคืองที่เอาแต่มองผีเสื้อโฉบราชินีแห่งไม้น้ำไปมาจนแทบไม่มองมาที่เขาเอาเสียเลย เรื่องเริญ เรื่องอธิปก็ไม่เคยคิดจะบอก ปล่อยให้เขากลัดกลุ้มจนไม่เป็นอันทำอะไร อีกส่วนก็เพราะอยากกระเซ้าเย้าเล่นให้อีกฝ่ายโกรธ

โกรธ...แล้วเขาจะได้ง้อ ไม่มีกระไรมากไปกว่านั้น

คุณชายขัตตยพงศ์ซ่อนรอยยิ้มละไมไว้ในสีหน้าขรึมสุขุม “ก็ปล่อยให้พี่เป็นห่วงไม่ใช่หรือ ปล่อยให้พี่ต้องคอยเป็นกังวล ทั้งที่ทางนี้ก็มีคนมากมายยินดีเป็นธุระให้อยู่แล้ว ทั้งพี่ชายของน้อง ทั้งอธิป แต่น้องกลับปล่อยให้พี่ร้อนรน กลัวว่าหากคลาดสายตาแล้ว จะมีใครมาทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า”

ยิ่งเห็นสีหน้าไม่สบายใจของอีกฝ่าย ขวัญสรวงก็ยิ่งบอกกับตัวเองว่าการวางสีหน้านิ่งเฉยแบบเรียมนั้นช่างลำบากยุ่งยากเสียเหลือเกิน เช่นในขณะนี้ที่เขาพยายามอย่างหนัก ซ่อนอารมณ์เบิกบานบนหน้าจนเกร็งไปหมด และแม้จะอดทนอดกลั้นไว้ได้เก่งกาจเพียงใด ความรู้สึกส่วนลึกในใจนั้นช่างตรงกันข้าม ความสุขทำท่าจะไหลพรูเป็นน้ำตกที่ยากจะห้ามไม่ให้สายน้ำไหล

หากหม่อมแม่หรืออ้ายเยื้อนมาเห็นเข้า คงได้ล้อเขาสนุกปากเป็นแน่ แต่ที่นี่ไม่มีผู้ใด อาการซุกซนเป็นเด็กๆ จึงออกมาวิ่งพล่านรอบๆ ตัวคนหน้าเสียเช่นนี้

“แกล้งพี่ ไม่ใยดีเลย แบบนี้ ถ้าไม่ให้เรียกว่าใจดำ ควรจะเรียกว่าอะไร” เขาปิดท้ายด้วยดวงตาหวานฉ่ำและเสียงอ้อน

นิ่งไปสักพัก เรียมลลิตรก็ตรัสด้วยพระสุรเสียงเนิบช้า “ไม่ได้ใจดำนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้น พี่จะเชื่อ” เขาตอบเสียงเศร้า หลิ่วตามองสีหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยต่อด้วยใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม “แต่จากนี้อธิปก็กลับมาแล้ว ไหนจะเริญ พี่ชายแท้ๆ อีก พี่ชายข้างบ้านคงจะไม่จำเป็นอีกแล้ว”

สีพระพักตร์ของเรียมลลิตรขณะนี้ฉาบไปด้วยแววหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ทรงยืนเงียบ ตรัสอะไรไม่ออก

ตรงกันข้ามกับอีกคน บัดนี้ดวงใจของขวัญสรวงกำลังโลดแล่นด้วยความปิติปราโมทย์ อย่างน้อย เรียมก็แสดงให้รู้ว่าเขายังคงมีความสำคัญเพียงใด แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ขวัญสรวงแทบไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาคอยเฝ้าดูแลใกล้ๆ อีกแล้วก็ตาม

หลังจากตรึกตรองดูในพระทัยอยู่นาน จึงได้ตระหนักว่าต้นเหตุนั้นเป็นเพราะองค์เองเล่า เขาและคนอื่นๆ จึงต้องลำบากเป็นกังวล อีกทั้งยังต้องธุระให้มากถึงเพียงนี้ เรียมลลิตรตั้งพระทัยจะขอโทษคุณชายขวัญสรวง ยังไม่ทันตรัสก็ทอดพระเนตรเห็นเรือพายลำใหญ่หยุดนิ่งอยู่กลางลำคลอง แปลกเสียจริง เหตุใดจึงหยุดอยู่เช่นนั้นอยู่นานสองนาน อีกทั้งคนทั้งสองบนเรือก็เหมือนมองมาทางพระองค์อย่างไม่ละสายตา

ทรงพิจารณาอีกครั้งโดยถี่ถ้วน เมื่อทรงทราบว่าใครอยู่บนเรือลำนั้นก็ตรัสขึ้นด้วยความแปลกพระทัย “เอ๊ะ นั่นนายจ้อยหรือเปล่าครับ ผ่านมาแถวนี้หรือ มองมาทางนี้”

ขวัญสรวงมองไปทางท่าเรือฝั่งตรงข้ามทันที และเมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่เรือลำนั้น สัญชาตญาณบางอย่างทำให้ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกมายืนข้างหน้าคนตั้งคำถามโดยไม่รู้ตัว อารมณ์เบิกบานขี้เล่นเมื่อครู่เหมือนถูกกระแสลมพัดปลิวหายไปเสียสิ้น คงเหลือแต่แววตาที่นิ่งขรึมจนดูคล้ายเป็นคนละคน




(ยังมีต่อนะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2015 19:13:25 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




เพราะเป็นวันหยุดตามตารางงาน พิษณุจึงไม่ได้เข้าที่กรมในวันนี้ พอมีเวลาว่าง เขาก็มีอารมณ์เบิกบานพอจะขันอาสาไปส่งพิรงรองที่โรงภาพยนตร์ด้วยความเป็นห่วงตามประสาพี่ชาย หญิงอุ่นเพิ่งกลับมาจากศึกษาที่ปีนังไม่นาน ไม่คุ้นกับที่ทางในจังหวัดพระนครนัก แม้ว่าจะมีกัลยา เพื่อนสนิทไปชมด้วย แต่เขาก็ไม่ยากวางใจ

พิษณุปฏิเสธที่จะร่วมรับชมด้วย เขามิได้มีอคติใดกับการรับชมภาพยนตร์ แต่ก็มิได้โปรดปรานกิจกรรมเหล่านี้มากเป็นพิเศษ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไปออกกำลังกายกับเพื่อนที่กรมระหว่างรอ และจะมารับเธอกลับเมื่อถึงเวลาเหมาะสม

เป็นเพราะเจอผู้หลักผู้ใหญ่ในกรมขณะจะกลับออกมา พิษณุจึงมาถึงช้ากว่าเวลานัดประมาณสิบนาที เขามองหาพิรงรอง เมื่อไม่พบก็จึงยืนรออยู่ที่นัดหมายก็ใจไม่ดีนัก แต่ก็ให้คิดว่าเธอคงไปรับประทานอาหารว่างกับเพื่อน ประเดี๋ยวก็คงจะกลับมา

ทว่าผ่านไปหลายนาทีพิษณุก็ยังไม่เห็นวี่แววของผู้เป็นน้องสาว จากที่คิดว่าคงไม่เป็นกระไรก็เริ่มกระวนกระวาย หากแต่เขาก็ยังคงสงบ เพราะวิสัยนายทหารที่หล่อหลอมมาแต่เล็ก พิษณุจึงรอบคอบมั่นคง ไม่คิดอะไรบุ่มบ่ามตื่นตูม

เขาคิดว่าบางทีตั๋วอาจจะจำหน่ายหมด และพิรงรองก็คงจะตัดสินใจดูหนังเรื่องอื่นซึ่งเข้าช้ากว่าก็อาจเป็นได้ แต่หากไม่ใช่ จะมีเหตุอันใดที่ทำให้หญิงอุ่นไม่อยู่รอเขาตามที่นัดกันไว้

เขาควรจะออกตามหา หรือควรรออยู่ที่จุดนัดหมายต่อดี พิษณุชั่งน้ำหนักในใจอยู่หลายนาที แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าควรจะเลือกหนทางไหนดีกว่า เขาจึงยืนอยู่กับที่ ไตร่ตรองทบทวนในใจ พลางเหลือบมองไปรอบๆ โรงหนังเป็นระยะ

กานต์มาตรวจตราความเรียบร้อยที่โรงภาพยนตร์ตามกิจวัตร เขาเห็นชายหนุ่มสวมเสื้อยืดคอโปโลสีเหลืองยืนไหล่ผาย หลังตรงสง่า ผู้ชายคนนั้นยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นมาเป็นชั่วโมงโดยไม่ขยับไปไหน นานๆ ทีจะเหลียวมองไปรอบๆ สักหนแล้วก็กลับไปยืนนิ่งเป็นรูปปั้นใหม่

กานต์เห็นเขาเหลือบมองรอบฉายภาพยนตร์ที่ติดอยู่ที่ผนังอยู่บ่อยๆ ดวงตาคมเข้มกะพริบเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ ความที่เป็นคนเข้าสังคมเก่ง มีอัธยาศัย ผนวกกับที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งนี้ด้วย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสอบถาม เผื่อว่าเขาคนนั้นจะต้องการความช่วยเหลืออะไร

“สวัสดีครับ มารับชมภาพยนตร์หรือครับ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า” กานต์ถามด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

ในตอนนั้นดวงตาสีเข้มเหลือบมามองทางเขาเหมือนงวยงง แต่กานต์ก็ยิ้มกลับอย่างเป็นมิตร และโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดสิ่งใด ชายหนุ่มก็เอ่ยเชื้อเชิญเขา

“ได้ชมเรื่อง ‘เงิน เงิน เงิน’ ที่คู่ขวัญ มิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์แสดงนำหรือยังครับ เรื่องนี้ เสด็จพระองค์ชายเล็ก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการทรงกำกับ ได้รับความนิยมที่โรงภาพยนตร์ของเรามากเลยครับ”

“มิได้ครับ” พิษณุตอบสั้น ด้วยว่าเกรงใจจึงไม่อาจเอ่ยออกไปว่าตนไม่ได้ชื่นชอบการชมภาพยนตร์เท่าไรนัก

ขณะที่กานต์ซึ่งเห็นแววตาอีกฝ่ายหลุบลงเหมือนหนักใจ จึงเดาว่าผู้ชายคนนี้คงรับชมไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ชื่นชอบภาพยนตร์แนวนั้นสักเท่าไร เขาจึงแนะนำอีกเรื่องซึ่งเป็นแนวที่ต่างกัน

“ส่วนเรื่องที่เพิ่งเข้าสัปดาห์นี้ก็คือเรื่องเจ้าเมือง นำแสดงโดยสมบัติ เมทะนีและพิศมัย วิไลศักดิ์ครับ เป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตการต่อสู้ สนุกไม่แพ้กัน”

ทว่าท่าทีนิ่งเฉยของอีกฝ่ายนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย กานต์รู้ว่าตัวเลือกของตนนั้นยังไม่ใช่ บางที ผู้ชายคนนี้อาจชอบภาพยนตร์จากต่างประเทศ

“ภาพยนตร์ฮอลลิวูดก็มีนะครับ เราพากย์เป็นภาษาไทย บันทึกแบบเสียงในฟิล์มครับ ฉายทันเกือบเท่ากับเมืองฝรั่ง”

“มิได้ครับ” เขาตอบทื่อ คราวนี้หันกลับมามองที่กานต์เป็นครั้งแรก “กระผมเพียงแค่มารับน้องสาวเท่านั้นครับ ไม่ได้ตั้งใจมารับชมภาพยนตร์”

เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายแล้ว กานต์จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “น้องสาวของคุณชมเรื่องอะไรหรือครับ”

“ไม่ทราบครับ เธอบอกแค่เพียงว่าให้มารับตอนประมาณสี่โมงเย็น” พิษณุตอบ พลางเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือของตนเอง “นี่ก็เกือบจะห้าโมงแล้ว แต่ผมยังไม่พบ”

เช่นนั้น ที่นั่งก็มีมากมาย ไฉนจึงยืนเฉยเสียเป็นชั่วโมง คุณไม่เมื่อยบ้างหรือไร

นี่คือสิ่งที่กานต์อยากอยากจะถามนัก แต่เมื่อได้สังเกตใกล้ๆ ได้เห็นแวววิตกกังวลฉายชัดผ่านดวงตาคมเข้มคู่นั้น เขาจึงเลือกจะเก็บคำพูดเชิงเสียดสีนั้นไว้เพียงในใจ ผู้ชายคนนี้คงจะรักน้องสาวมาก หากมองในข้อนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ชวนน่าประทับใจไม่น้อย เขาเองก็เป็นถึงเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ควรจะมีมิตรจิตมิตรใจมิใช่หรือ

“ถ้าอย่างนั้นเชิญนั่งรอทางนี้ก่อนจะดีไหมครับ นั่งอยู่ตรงนั้นจะมองเห็นรอบๆ ได้ดีกว่า” กานต์ผายมือไปยังม้านั่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เห็นรูปปั้นค่อยๆ ขยับ จึงเป็นคนเดินนำไป

“มีเรื่องที่เพิ่งจบไปช่วงประมาณบ่ายสามโมงห้าสิบนาที ส่วนรอบต่อไปก็จะจบประมาณห้าโมงครึ่ง” เห็นอีกฝ่ายยังคงเงียบ ไม่พูดไม่จา ก็ถามคำถามต่อ “คุณพอจะบอกให้ผมทราบได้ไหมครับว่าน้องสาวคุณมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เธอแต่งตัวแบบไหนในวันนี้ ผมจะให้เด็กๆ ช่วยดูให้”

สีหน้าของเขามีร่องรอยของความหนักใจ กระนั้นก็ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงกังวาน

“ขอบคุณครับ” เขานิ่งไปอีกพักหนึ่งเหมือนทำท่านึก ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาทีละประโยค “น้องสาวของผมอายุสิบเจ็ดปี ตัวค่อนข้างสูง ผิวขาว ดวงตากลมโต ผมยาวประบ่า ดัดเป็นลอนแบบสมัยนิยม แต่งตัวด้วยชุดประโปรงสีฟ้าอ่อน ผูกโบที่ผมเป็นสีเดียวกันครับ”

สิ่งที่ได้ยินสะกิดให้กานต์ชะงักไปนิดหน่อย ซึ่งพิษณุสังเกตเห็นในข้อนี้ จึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าคุณได้เห็นน้องสาวของผม”

ศีรษะของคนที่ทิ้งตัวลงนั่งก่อน ไหวช้าๆ ขณะที่ตอบคำถาม “ผมกำลังนึกทบทวนอยู่ครับ ตอนนี้นึกออกแค่เพียงหนึ่งคน แต่คิดดูแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ครับ”

กานต์ตอบตามความคิด เขาคิดว่าเห็นผู้หญิงลักษณะเช่นที่ผู้ชายคนนี้เอ่ยมาคนหนึ่ง แต่คิดอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

ชายหนุ่มยังจำได้ดีว่าหม่อมราชวงศ์หญิงพิรงรองเอ่ยถึงพี่ชายของเธอว่าอย่างไร

“พี่ของหญิงไม่เหมือนกับพี่ขวัญหรือพี่กานต์หรอกค่ะ พี่เป็นคนไม่ชอบกิจกรรมบันเทิงทุกรูปแบบ เฉยชา อย่างกับคนไม่มีความรู้สึก ชีวิตและลมหายใจมีแต่เรื่องทหารแล้วก็ทหาร วันทั้งวัน พี่พิษณุจะสวมเครื่องแบบทหารตลอดเวลาเลยค่ะ ขนาดอยู่ที่บ้านก็ยังใส่เสื้อยืดของทหาร ไม่เคยใส่เสื้อผ้าปรกติ จนหญิงคิดว่าเครื่องแบบพวกนั้นคงเป็นส่วนประกอบหนึ่งของผิวหนังพี่พิษณุไปเสียแล้ว”

ยังมีถ้อยคำเปรียบเปรยอีกมากมายทำนองว่าพี่ชายเป็นหุ่นยนต์บ้าง เป็นเรือรบบ้าง แต่ละอย่างไม่พ้นการสื่อถึงความเจ้าระเบียบแบบชายชาติทหาร ที่สำคัญ กัลยาน้องสาวของเขาเองก็มักจะนำมาเล่าสู่กันตอนที่เขาบอกให้เชิญชวนพี่ชายของเพื่อนสนิทมาดูหนังบ้าง

“คงไม่ละค่ะ หญิงอุ่นบอกพี่ชายของเธอไม่มีวันเข้ามาเหยียบโรงหนังแบบคนอื่นๆ หรอก ถ้าชวนไปยิงปืนเมื่อไร พี่พิษณุคงจะไม่ปฏิเสธ”

ตระหนักถึงข้อนี้ ความคิดที่ว่าจะเป็นคนเดียวกันนั้นจงลบทิ้งไปจากความคิด กานต์หันมาชวนอีกฝ่ายคุย เจตนาให้เป็นเรื่องขบขัน เพื่อคลายความกังวลเรื่องน้องสาวของชายหนุ่มคนนั้นลงไปบ้าง

“ที่ผมคิดว่าไม่น่าใช่ก็เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวผมเองครับ มาชมภาพยนตร์ที่นี่บ่อยๆ แต่ลักษณะของพี่ชายตามที่เธอเปรยให้ผมและน้องได้ยิน แตกต่างจากคุณมากเชียวครับ เธอมักบอกว่าพี่ชายของเธอเป็นหุ่นยนต์เสาไฟฟ้าบ้างละ เอาแต่ขลุกอยู่กับงาน ไม่มีความรู้สึกบ้างละ แล้วก็ไม่ค่อยออกไปไหน แถมหน้าเขาก็ดุอย่างกับยักษ์”

พิษณุชะงักไปกับถ้อยคำที่กระทบหูนัก ยิ่งอีกฝ่ายพูด เขาก็ยิ่งคิดถึงน้องสาวช่างเจรจาคนนั้น เพราะหญิงอุ่นมักจะเอ่ยเสียดสีถึงความแข็งกระด้างของเขาอยู่เป็นประจำ แต่ละคำ ตรงราวกับคาสเซ็ตต์บันทึกเสียง!

“แต่คุณไม่ใช่เลย ผมว่าคุณมีสายตาที่อ่อนโยน จึงไม่คิดว่าจะเป็นคนเดียวกัน” กานต์สรุปในตอนจบ

พิษณุระบายลมหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอประทานโทษครับ เธอคนนั้นมีชื่อว่าอะไรหรือครับ”

“คุณหญิงอุ่นครับ หม่อมราชวงศ์พิรงรอง”

กานต์ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส หากแต่หัวคิ้วของอีกฝ่ายขมวดขึ้นจนเป็นปม ซ้ำยังถามกลับด้วยเสียงนิ่งๆ “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนหรือครับ”

ท่าทีนั้นทำให้เจ้าของโรงภาพยนตร์ตั้งใจมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นจะนึกอยากจะสะอึกขึ้นมาดื้อๆ ผิวที่คล้ามแดดนั้นพรางตาให้ลืมสังเกตถึงความจริงที่ว่า เค้าหน้าของชายหนุ่มนั้นก็มีส่วนคล้ายเหมือนกันอยู่ไม่น้อย แต่เป็นไปในทางเข้มขรึมของบุรุษเพศมากกว่าความอ่อนหวานแบบหม่อมราชวงศ์พิรงรอง

เอาละสิ!

กานต์กลืนน้ำลายเหนี่ยวๆ ลงคอ เอ่ยถามทั้งที่พอจะทราบคำตอบอยู่แล้ว “หรือว่าคุณคือ...”

ยังไม่ทันจะได้ยินคำตอบจากปากอีกฝ่าย เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งก็แว่วขึ้นมาแต่ไกล ตอบทุกความสงสัยจนกระจ่าง

“ท่านพี่” พิรงรองโบกมือน้อยๆ แล้วก้าวไวๆ เข้ามาหาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ท่านพี่มาถึงนานหรือยังคะ หนูอุ่นต้องขอโทษจริงๆ พอดีกัลยา เพื่อนของหนูอุ่นทำต่างหูที่คุณแม่ให้ตอนวันเกิดหาย หนูอุ่นเลยไปช่วยหาเป็นเพื่อน คิดว่าตกอยู่ที่ห้องน้ำ แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ จนมาเจอที่ร้านอาหารค่ะ มัวแต่ร้อนใจ เลยไม่ทันได้ดูเวลา” หญิงสาวหันไปสบตากับกัลยา เพื่อนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ

“จริงค่ะ หนูซุ่มซ่าม ทำตุ้มหูหล่น นึกเสียดายเลยช่วยกันหา”

“ใช่ค่ะ ดังนั้น วันนี้ท่านพี่ต้องห้ามเอ็ดหนูอุ่นนะเจ้าคะ” เธอขานรับเป็นพี่เป็นขลุ่ย

ปกติแล้ว หากพิรงรองแทนตัวเองว่า ‘หนูอุ่น’ แทน ‘หญิงอุ่น’ เมื่อไร พี่ชายก็จะอ่อนให้กับเธออย่างเห็นได้ชัด ทว่าคราวนี้พิษณุกลับยังมีท่าทีตึงแข็งไม่คลายจนเธอแปลกใจ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนหวาน “พี่ชายคะ”

เห็นสายตาประจบของน้องสาว มีหรือที่พี่ชายจะไม่ใจอ่อน พิษณุผ่อนลมหายใจ ตอบสั้น “หนูอุ่นไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

เพราะรู้ดีว่าพี่ชายไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เมื่อเขาตัดบทเหมือนไม่อยากจะพูดอะไรอีก พิรงรองก็คลายความกังวลลงไป

หญิงสาวหันกลับมายิ้มให้กับชายหนุ่มที่นับถือเป็นเหมือนกับพี่ชายอีกคน เห็นเขานั่งเงียบผิดปกติ เธอก็ยิ้มให้แล้วเอ่ยแนะนำ น้ำเสียงยินดี

“นี่รู้จักกันแล้วหรือคะ พี่กานต์คะ นี่อย่างไรคะ คุณชายพิษณุ พี่ชายของหนูอุ่นเองค่ะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” กานต์ตอบไม่ค่อยเต็มเสียง

คราวนี้พิรงรองหันไปทางพี่ชายของเธอ เอ่ยแนะนำกับพิษณุบ้าง “พี่ชายคะ นี่พี่กานต์ที่หญิงเคยพูดถึงบ่อยๆ อย่างไรล่ะคะ พี่กานต์ใจดี เป็นเพื่อนพี่ชายขวัญด้วยค่ะ นี่พี่กานต์รับปากว่าจะขับรถพาหญิงไปหาพี่ชายขวัญที่บางกะปิด้วย”

พิษณุสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาแข็งทื่อ น้ำเสียงที่เอ่ยก็แข็งไม่แพ้กัน “กระผมขอบคุณในน้ำใจมากครับ แต่บางกะปิก็ไกลอยู่มาก กลัวว่าจะรบกวนคุณกานต์เปล่าๆ ไว้พี่ขับรถพาหนูอุ่นไปเองนะ”

แต่ไหนแต่ไร กานต์ไม่ใช่คนเกรงกลัวกำแพงแห่งความห่างเหินอยู่แล้ว เขาเป็นคนทำธุรกิจเกี่ยวกับบันเทิง พบปะผู้คนหลายประเภท พูดจาเหมือนขวานผ่าซากบ้าง เจ้าระเบียบบ้าง หรือประเภทที่ไม่พูดอะไรเลยก็มี

แต่กานต์ไม่เคยถอยสักประเภท

“ไม่เป็นการรบกวนหรอกครับ ที่บางกะปิร่มรื่น อากาศปลอดโปร่ง ผมเองถ้าว่างๆ ก็ไปหาชายขวัญบ้างอยู่แล้ว” เขาตอบด้วยรอยยิ้มแจ่มใส

ผิดกับพิษณุที่เขม้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคมกริบ ชายหนุ่มกำลังพิจารณาถึงท่าทีกรุ้มกริ่มไหลลื่นเป็นธรรมชาติของอีกฝ่ายแล้วก็สรุปได้อย่างมั่นใจเลยว่าผู้ชายที่ชื่อกานต์คนนี้ เป็นคนเจ้าชู้ ไว้ใจไม่ได้ขนาดไหน

เขาคงไม่ติดอกติดใจอะไรมากถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่พี่ชายของกัลยา เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของพิรงรอง ซึ่งนั่นหมายถึงนายกานต์คนนี้ก็จะมีมิตรภาพระหว่างหญิงสาวทั้งสองคน เป็นสะพานแห่งสายใยชั้นดีทอดเทียบมาสู่น้องสาวของเขา

และตามประสาพี่ชายที่รักและห่วงน้องสาวเสียยิ่งกว่าชีวิต มีหรือที่พิษณุจะยอมให้กานต์ได้ก้าวข้ามผ่านสะพานนั้นมาสู่กลางใจของน้องสาวเขาได้ง่ายๆ

แต่ถ้าจะรั้นข้ามมาถึงอีกฝั่งให้จงได้ ก็ต้องผ่านปราการด่านหน้าอย่างพิษณุให้ได้เสียก่อน



+++++++++++++++++++++++++++



ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะครับ ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกัน
สำหรับตอนนี้อิพี่ขวัญยังคงความเกรียนอย่างต่อเนื่อง ส่วนน้องก็ตกเป็นเหยื่อไป
ตอนหน้าคงได้มีฉากปะทะระหว่างพี่ขวัญกับจ้อยมาเบาๆ
ส่วนพิษณุนี่เขียนไปก็เหนื่อยใจไป พยายามกดไม่ให้ออกมาเท่าไหร่
กลัวว่าจะเด่นข่มพระเอกของเรื่องไป พีเรียดกับคนในเครื่องแบบนี่ไม่ได้เลยจริงๆ ฮ่าๆๆ
ช่างนี้ระบบระเบียบชีวิตดีขึ้น ยังไงจะพยายามมาอัพให้ไวๆ นะครับ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
มาถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนนี้นี้กันบ้าง เริ่มต้นจากพาไล


พาไลคือบริเวณที่เห็นในภาพ เป็นลักษณะเฉพาะของเรือนไทยในภาคกลาง
บักจ้อยจะชอบไปนั่งปั้นจิ๋มปั้นเจ๋อตากลมอยู่ที่พาไลตามประสาคนขยันตัวเป็นขน

ต่อมาก็คือผีเสือติ่งนางระเวง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Great Mormon
ที่เห็นในภาพนี้คือตัวเมีย จะมีติ่งห้อยลงมาจากปีกด้านล่าง


ส่วนอันนี้จะเป็นตัวผู้ เรียกอีกชื่อว่าผีเสื้อถุงเงิน สีจะเหลือบแวววาว
มองเผินๆ จะเหมือนตัวเมียสวยกว่า แต่เปล่าเลยครับ
เพราะว่าตอนขยับปีกบิน ตัวผู้จะสวยมากๆ เลย


ส่วนนางละเวงวัณฬาอันเป็นที่มาของชื่อเนี่ย เป็นตัวละครในเรื่องพระอภัยมณี
เพราะแต่งตัวแบบฟู่ฟ่าจัดเต็มแบบตะวันตกนี่เองเลยเป็นที่มาของชื่อผีเสื้อนี้
ผีเสื้อติ่งนางระเวง และผีเสื้อถุงเงินเป็นผีเสื้อขนาดใหญ่
ปีกกางออกเต็มที่จะมีขนาดกว้างถึง 12-15 เซนติเมตร
ดังนั้นจึงเด่นมาก น้องเรียมเห็นแล้วอยากได้ไปเลี้ยงเองซะให้ได้

มาถึงโปสเตอร์หนังกันบ้าง นี่คือเรื่อง ‘เงิน เงิน เงิน’ ที่ทำสถิติรายได้สูงมาก
และได้รับรางวัลหลายรางวัล รวมทั้งรางวัลตุ๊กตาทองในปีถัดมาด้วย


ส่วนอันนี้เป็นเรื่องเจ้าเมือง สมบัติ เมทะนี และมี้ พิสมัย นั่นเอง


สำหรับตอนนี้ น่าจะมีแค่นี้นะครับ พบกันใหม่ตอนหน้าเน้ออออ... ^ ^

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ยังยืนยันคำเดิมว่าเอ็นดูเรียมลลิตรมากจริงๆ ค่ะ น่ารักน่าหยิกน่ากอดมากๆ  :กอด1:

ว่าแต่จ้อยกำลังสับสนในตัวเองใช่หรือเปล่าเนี่ย 55555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
เรียมทำไมน่าหยิกถึงเพียงนี้คะ! น่ารักที่สุดในโลกอะคนอะไรรร ก็คงไม่ผิดถ้าจะมีหนุ่มๆสาวๆรุมตอมคิคิ ส่วนพี่ขวัญชอบแกล้งน้องเรียมอ่าเดี๋ยวจะโดนงอนจริงจังนะยะหึหึ

ส่วยนายจ้อยถ้ามาร้ายก็อย่าพายเรือมาค่ะ อยู่บ้านเห๊อะ และนายพิษณุ เราว่าเราชอบนะ(แต่นางคงมาชอบนุ้งเรียมของเราแหงมๆโฮฮ) พี่แกดูพระเอ๊กพระเอกจัง ดีงามจ้า

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
หวังว่าพี่ชายจะกันทาได้นะ ไม่ใช่ไปตกหลุมซะเอง 555

เรียนน่ารักน่าเอ็นดูจริง >< หลงให้หมดทั้วคุ้งทั้วเเคว

ออฟไลน์ twenty8

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พิษณุกับกานต์รึป่าวอะคะ
จะลุ้นขึ้นรึป่าวเอ่ย 5555

 :pig4:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อ่านถึงคุณชายขวัญพาลทำให้นึกถึงปลาไหล  ลื่นไปได้เรื่อยกับน้อง

คู่รองออกแล้วหรือเปล่าเอ่ย

สมัยยังเป็นวันรุ่นอยู่เคยคุยกับคุณยายเรื่องมิตร ชัยบัญชา คุณยายก็บรรยายให้ฟังว่าหล่อเหลายังไง  เล่นหนังนี่คุณยายต้องหาโอกาสไปดูทุกเรื่อง   คุยเพลินจนคุณตาเดินเข้ามาได้ยินก็โกรธคุณยายเป็นฟืนเป็นไฟ จำได้คุณตาว่าคุณยายแรงๆว่าผู้หญิงดีๆที่มีสามีแล้วเขาไม่มานั่งพร่ำเพ้อถึงผู้ชายอื่นหรอกนะ     ติ่งดาราสมัยนั้นก็คงได้แค่นี้แหละค่ะ

คุณอุ่นเรียกพี่ชายว่าท่านพี่นี่ไม่ชินเลยค่ะ   แค่เรานะคะ  ไม่ได้บ่นอะไรหรอกค่ะ

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
โถ น้องเรียม อยากให้น้องเรียมพูดคุยแสดงความรู้สึกกับพี่ขวัญอีกนิด

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
สนุกค่ะ ละเมียดมาก
อ่านแล้วเหมือนลอยตัวเอื่อยๆในลำธารเย็นๆ มีปลาตอดเท้าเพลินๆ

ออฟไลน์ theG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เพิ่งได้มาอ่าน อย่างแรกเลยก็คือ นับถือในการใช้ภาษาค่ะ  :katai2-1:
ยอมรับว่าบางอันเราอ่านก็ไม่เข้าใจบ้าง แต่จะพยายามค่ะ 5555555 (แต่มันก็ยากจัง) TT

พี่ขวัญตอนแรก แอบคิดไปเองว่าคงสุภาพบุรุ๊ษษษษษสุภาพบุรุษ ที่ไหนได้...  :-[ ร้ายนี่หว่าคุณพี่ ฟฟฟฟ
เดี๋ยวก็เนียนจับมือ นั่งตัก กอด หอมแก้ม จูบ โอ้ยยย นี่ถ้าเป็นน้องเรียมคงละลายตายไปแล้วววว

ส่วนเรื่องจ้อยนี่จะเอาไง เอ็งอย่ามาร้ายนะเฮ่ยยย ตอนแรกแอบเห็นใจเล็กๆ เพราะเห็นว่าเป็นหมาวัดมองดอกฟ้าหรอกนะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังนะ ชิชะ

ส่วนนางจันดี ... บาย บาย บาย ไม่ได้อะไร แต่คิดว่าต่ำต้อยอย่างนางคงไม่มีทางเทียบเคียงน้องเรียมได้อยู่แล้ว เราเบาใจ (มั้ง)

ส่วนพี่พิษณุ...ขอให้ตกหลุมที่ชื่อกานต์เร็วๆนะ จะรอดูคนหวงน้องต้องเสียศูนย์ 555

รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่ออยู่นะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๑๔




จ้อยพูดห้วนๆ กับบ่าวคนสนิทให้เทียบเรือขึ้นไปบนฝั่ง นึกอยากจะเผชิญหน้ากับความผยองของไอ้คุณชายวางท่านั้นดูสักครั้ง เอาให้รู้กันไปว่าไอ้จ้อย ลูกกำนันจงรักคนนี้ก็เป็นชายชาตรีองอาจ ไม่หวั่นเกรงผู้ใดทั้งสิ้น แต่ไอ้ศักดิ์กลับฝ่อ บอกว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้พวกสกุลเจ้า เขาจึงฮึดฮัดขึ้นมาทันที

“เออ ดี! ใครก็แตะมันไม่ได้ อีกหน่อยคนทั้งบางกะปิไม่ต้องยกมือกราบตีนมันเช้าเย็นหรอกหรือ”

“อพิโธ่! มันจะเป็นอย่างนั้นได้กระไรเล่าครับ ถ้าพวกชาวบ้านจะไหว้กราบ ก็มาไหว้เจ้านายของไอ้ศักดิ์ไม่ดีกว่าหรือ เห็นช่วงจะลงข้าวใหม่ทีไรก็แห่มาไหว้ปลกๆ กันถึงที่บ้าน ถ้ากำนันจงรักไม่เมตตาก็อดตายกันทั้งนั้น จริงไหมครับ” ศักดิ์รู้นิสัยของจ้อยดี จึงยกเอาข้อนี้ขึ้นมาพูดเหมือนค่อยๆ เอาน้ำเย็นราดลงบนถ่านที่กำลังร้อน “ลำพังแค่คุณจ้อย คุณชายขวัญสรวงไม่มีทางสู้ได้อยู่แล้ว นี่คุณจ้อยยังมีไอ้ศักดิ์คนนี้อีกทั้งคน มันจะไปคณามือได้ยังไงเล่าครับ”

คำพูดที่ได้ยินทำให้จ้อยเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด แต่โทสะก็ยังไม่ดับ “ถ้าอย่างนั้น เอ็งก็รีบพายเรือไปเทียบที่ท่านั้นสิวะ!”

“แล้วคุณคนนั้นเขาจะไม่ตกใจหรือครับ” ศักดิ์ถามขึ้น พอเห็นคนเป็นนายเงียบ ก็รีบพูดต่ออย่างที่ได้ยินมาจากคุณนายสะอิ้ง “กระผมเคยได้ยินคุณนายสะอิ้งพูดว่าบ้านนี้มีบารมีในพระนครนัก ตอนนี้พ่อกำนันกับคุณนายอยากจะให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้มีแต่อำนาจ แต่เราก็เปี่ยมน้ำใจไม่แพ้พวกขัตติยพงศ์นั่น มีทั้งอำนาจ มีทั้งน้ำใจ พอทางนั้นเห็นในข้อนี้ เขาย่อมอยากคบหากับเรามากกว่าพวกเจ้าพวกเชื้อ แล้วทีนี้เรื่องคุณชายนั่นจะจัดการเมื่อไรก็ได้ครับ มันก็แค่เรื่องขี้ประติ๋วสำหรับคุณจ้อยของกระผมเท่านั้นเอง”

“แต่ข้าไม่ชอบ เห็นมันเสนอหน้าอยู่อย่างนี้ มันขวางหูขวางตาเหลือเกิน” จ้อยกระแทกเสียงดัง ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ เขาไม่สน

ข้อนี้เองที่ตรงกับแผนการของจันดีที่คุยกันเมื่อคราวก่อน ศักดิ์รอจังหวะนี้อยู่แล้ว จึงตอบอย่างว่องไว

“ถ้าเรื่องนี้กระผมพอจะมีแผนการอยู่บ้าง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระผมเถอะครับ คุณจ้อยอย่าได้เป็นห่วง ได้เรื่องยังไงจะรีบมารายงาน วันนี้แวะไปหาแม่ทิพย์ก่อนเถอะนะครับ ไม่ได้พบกันนาน ป่านนี้แม่ทิพย์คงจะคิดถึงคุณจ้อย นายของไอ้ศักดิ์คนนี้จะแย่”

แต่อารมณ์เบิกบานของจ้อยสิ้นไปแล้ว เขาจึงตอบกลับอย่างไม่ใยดี “ข้าไม่มีอารมณ์ เอ็งพายเรือกลับบ้าน ไปเดี๋ยวนี้”

“อ้าว แล้วข้าวของที่ซื้อมาพวกนี้ล่ะครับ” จ้อยหน้าเหรอ

ตามประสาคนที่ถูกตามใจ มีเงินทองใช้ไม่ขัดสนมาตลอด จ้อยจึงตอบไปว่า “เอ็งจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเอ็ง ข้ายกให้”

สิ้นคำสั่งของนาย เรือไม้ก็ค่อยๆ หมุนหัวเรือกลับ ทิ้งภาพของพระองค์เจ้าเรียมลลิตรและหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงไว้เป็นเพียงภาพลิบๆ ที่อยู่ด้านหลัง





ยามที่แสงเงินแสงทองทาบทอลงจากฟากฟ้า ย่อมเกิดทั้งแสงและเงา หากฝั่งที่ถูกผลักให้อยู่กับความหม่นมืดของเงานั้นคือจ้อย ขวัญสรวงก็คงเป็นฝั่งที่ได้รับแสงสว่างอันอบอุ่นนั้น

เขาลูบมือไปบนลำคอของโนอาห์ ม้าพันธุ์เธอโรเบร็ตเพศผู้ที่เป็นเสมือนเพื่อนคอยรับฟังเรื่องราวต่างๆ ในยามนี้ ขวัญสรวงไม่อาจบอกเล่าความรู้สึกขณะนี้กับใคร ขณะเดียวกัน หากจะเก็บกักเอาไว้แต่เพียงในใจ ความปราโมทย์โสมนัสก็ปรี่ล้นเกินกว่าจะทนได้ไหว กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้

“โนอาห์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าฉันทุกข์ร้อนกับเรื่องที่นายจ้อยทำท่าจะมารังควานอีกเพียงใด ฉันรู้ว่าครอบครัวของกำนันจงรักนั้นเหมือนกับสะเก็ดไต้ ตกที่ใดก็ร้อน พวกเขาไม่น่าไว้ใจเลย เฉพาะสายตาที่นายจ้อยมองมาที่เรียมด้วยโทสะนั้น ฉันมองไม่เห็นทางอื่นนอกจากการเผชิญหน้ากัน แต่ความกังวลของฉันแทบจะมลายสิ้นเมื่อเรียมตั้งคำถามกับฉัน”

พูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็อดจะยิ้มด้วยอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาไม่ได้

“เขากระซิบถามฉันว่า ‘พายของเขาหักหรือครับ จึงไปไหนไม่ได้’ ดูสิโนอาห์ เขาถามฉันแบบนั้น” ขวัญสรวงแผ่วเสียงลงเนิบและอ่อนหวานแบบที่ตนเองได้ยินมา

เขายังยิ้มอยู่อีกนานหลายนาทีกว่าจะปรับเป็นน้ำเสียงทุ้มกังวานในยามปรกติ “ดีแล้วที่ครั้งนี้นายจ้อยยอมพายเรือกลับไปโดยง่าย ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ยอม คงต้องมีเรื่องราวกัน”

อาชาสีขาวส่งเสียงเบาๆ และขยับเท้ากุบกับราวกับรับรู้ความหมายของแต่ละคำพูดของนาย ขวัญสรวงตบไปบนหลังคอของมันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจยาว เงาหม่นบางๆ เหมือนก้อนเมฆทาบลงบนดวงหน้าแจ่มใสเมื่อครู่

“โนอาห์ ฉันบอกกับตัวเองไม่ถูกเสียจริง ยิ่งฉันอยู่ใกล้เขาเท่าไรก็ยิ่งเห็นว่าจิตใจเขาช่างบริสุทธิ์และสะอาด ไม่อาจทันเล่ห์เหลี่ยมคนสมัยนี้ ฉันพลอยกังวลแทนเขาไปเสียหมด อยากเป็นธุระดูแลไปเสียทุกเรื่อง จนหนักเข้า ความรู้สึกนี้ได้กลายเป็นความหวงแหนไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ฉันกอด ฉันหอมเขา เริ่มคิดไปไกล ซึ่งไม่ควรเลย แต่จะฝืนหรือหยุดก็ช่างยากเย็น”

ขวัญสรวงพูดทุกความรู้สึกที่ไม่เคยแพร่งพรายออกมา หลั่งไหลเหมือนธารน้ำตก ไม่จบสิ้น

“ฉันคิดเรื่องนี้อยู่ทุกคืน คิดและคิด ฉันคิดถึงเขาเหมือนคนบ้า” คำพูดนั้นหยุดที่รอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นยากที่จะบอกได้ว่าเป็นยิ้มแห่งความสุขหรือเยาะหยันกับความคิดอันไม่สมควรของตน

หากแต่เมื่อได้ระบายความรู้สึกที่สั่งสมมานานออกจนหมด เมฆหมอกที่บดบังความแจ่มใสก็คล้ายจะถูกระลอกลมพัดไล่จนสลาย ขวัญสรวงหยักรอยยิ้มบางเบา หากแต่อิ่มล้นด้วยความสุขทั้งดวงใจ

“จะให้ฉันทำกระไร ก็เขาช่างน่ารักจริงๆ”





จ้อยยังคิดวนไปวนมาเกี่ยวกับเรื่องมาตอนเย็น จนบัดนี้เขายังไม่อาจหาคำตอบชนิดไม่มีข้อกังขาให้กับตัวเองได้ว่า แววตาที่คุณชายขวัญสรวงใช้มองผู้มาอยู่ใหม่คนนั้นหมายถึงอะไร ระยะที่ค่อนข้างไกลนั้นอาจจะทำให้เขาตาฝาด แต่อีกใจกลับแย้งว่าความรู้สึกของตัวเองไม่น่าจะผิด

เมื่อไม่มีคำอธิบายที่เหมาะกับใจ ชายหนุ่มจึงแจวเรือออกมายังที่เดิมอีกครั้ง มองชะแง้หลังคาบ้านหลังใหญ่ของเรียมราวกับว่าจะมีคำตอบใดๆ ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตรอบรั้วตรงหน้า

จ้อยเทียบเรือเลียบริมน้ำ มองอยู่นานจนมืดค่ำ จนกระทั่งเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่ศาลาริมน้ำ



เรียมลลิตรฉลองพระองค์เพียงผ้าขาวม้าเคียนไว้ที่พระกฤษฎี ย่างพระบาทช้าๆ เลี่ยงไม่ให้เป็นที่สังเกตไปยังศาลาริมน้ำเพื่อที่จะทรงแอบลองเล่นน้ำในคลองแบบคนอื่นๆ บ้าง

ในเมื่อหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงยังมาสามารถเล่นน้ำในคลองได้เช่นเดียวกับชาวบ้านปรกติ พระองค์ก็ควรจะกระทำได้เช่นเดียวกันมิใช่หรือ แล้วเหตุอันใดตอนที่ทรงทูลขอประทานอนุญาตกับองค์เริญจึงทรงห้าม แม้แต่นมละเอียดหรืออธิปก็ยังไม่เห็นด้วย

ไม่ยุติธรรม เรียมลลิตรดำริกับองค์เองอย่างนั้น พระองค์จึงรออยู่ในห้องจนถึงค่ำที่ทุกคนขึ้นเรือนไปแล้ว ผลัดฉลองพระองค์เพียงผ้าขาวม้าเช่นเดียวกับที่ทรงทอดพระเนตรเห็นจากขวัญสรวงเมื่อวานก่อน ผ้าขาวม้านี้ทรงได้มาจากการตรัสส่วนองค์กับแดง ต้นห้องคนหนึ่งในตำหนักเมื่อหัวค่ำ ด้วยทรงรู้ว่าแดงไม่ใช่คนช่างซัก ไม่ถึงสิบห้านาที นางก็นำผ้าขาวม้าผืนใหม่เอี่ยมเรี่ยมมาถวาย โดยที่ทรงไม่ต้องตอบคำถามซักไซ้แบบที่ทรงออกปากกับนมละเอียด

ยังไม่ทันถึงที่ศาลาริมน้ำดีก็ทอดพระเนตรเห็นนายจ้อย ยืนยิ้มกริ่มอยู่ที่ท่าน้ำ มีเรือที่ทอดพระเนตรเห็นเมื่อตอนบ่ายเทียบอยู่เบื้องหลัง พระอารมณ์เบิกบานเมื่อครู่ก็คลายออกโดยไม่รู้ตัว

ทรงรับปากกับหม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงไปแล้วว่าจะทรงไม่สนทนากับนายจ้อยให้ทุกคนเป็นห่วงอีก หากแต่บัดนี้เขามาถึงเรือนชาน และที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดอีก พระองค์ควรทำอย่างไร จะทรงไม่ต้อนรับก็เสียมรรยาท กลายเป็นเรื่องบาดหมางโดยใช่เหตุ

ตัดสินพระทัยแล้วก็ทรงย่างพระบาทตรงเข้าไปในศาลาริมน้ำดังเดิม เรียมลลิตรไม่ได้ทรงยกพระหัตถ์กระพุ่มไหว้ เพียงแค่ตรัสด้วยพระสุรเสียงราบเรียบ ปราศจากความก้าวร้าว “ฉันแต่งตัวไม่สุภาพ ต้องขอโทษด้วย ไม่คิดว่าจะพบคุณที่นี่”

ยังไม่ทันจะตรัสถามว่ามีธุระกระไร อีกฝ่ายก็ชิงพูดเสียแล้ว “ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ”

จ้อยก้าวขึ้นมาจากท่า เดินเข้ามายังศาลาริมน้ำ กวาดตามองไปรอบๆ สังเกตสังกา เมื่อไม่เห็นใครก็หันกลับมาจ้องมองที่คนตรงหน้า สายตาหลุกหลิกคู่นั้นแสดงออกอย่างเปิดเผยว่ากำลังไล่สำรวจร่างกายของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดวางตา

“ผิวละเอียดขาวเนียนอะไรเช่นนี้ ผู้ชายอะไร งามเสียจนผู้หญิงยังอาย” จ้อยพึมพำเบาๆ กับตัวเองด้วยความรู้สึกทึ่ง เขาไล่สายตาต่ออย่างไม่หวั่นเกรง มองและมอง สำรวจทุกรายละเอียด

ใช่เพียงจะงามลออแค่ผิวพรรณเสียเมื่อไร เนื้อตัวก็งามแอร่มอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม กิริยาก็ช่างสำรวมสุภาพเรียบร้อย ปากนิดจมูกหน่อย ใบหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มพริ้มเพรา น่ามองไปทั้งตัว แม้หน้าอกที่แบนเรียบเช่นเดียวกับเขา แต่ยอดถันก็ช่างระเรื่องามเป็นสีกลีบบัวแตกต่างจากจ้อยหรือใครต่อใคร

ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเองใกล้ๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อ ผู้ชายคนนี้ชวนหลงใหลเสียยิ่งกว่าสตรีใดๆ เสียอีก

เรียมลลิตรทอดพระเนตรเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่มองไม่หยุด ผิวพระปรางก็ซ่านขึ้นด้วยความอายจนแดงเรื่อ ทรงไม่เคยฉลองพระองค์ด้วยแพรพรรณน้อยชิ้นเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นมาก่อนจึงรู้สึกขวยเขินจนร้อนวาบไปทั้งพระพักตร์

หากแต่เมื่อทรงตรึกตรองดูแล้ว หม่อมราชวงศ์ขวัญสรวงก็แต่งตัวเช่นนี้ตอนสนทนากับองค์มิใช่หรือ นั่นคงเท่ากับว่านี่คือปรกติวิสัยของชาวบ้านปรกติกระทำกัน ในเมื่อแฝงองค์มาเป็นชาวบางกะปิ ก็ทรงต้องใช้ชีวิตได้เหมือนอย่างชาวบางกะปิเขาทำกันให้ได้

ทรงระบายพระอัสสาสะผะแผ่ว ฝืนตรัสถามสุภาพ “มีธุระอะไรหรือ”

“เอาไว้ทีหลังเถอะ” จ้อยเปลี่ยนเรื่องพูด จำละสายตาพร้อมกับปรามอารมณ์รัญจวนที่จู่โจมอย่างรุนแรงในอกจนร้อนวาบไปทั่วทั้งร่างขณะนี้

ชายหนุ่มสูดลมหายใจฟึดฟัด กดน้ำเสียงให้เป็นปรกติ “คุณเรียมสบายดีรึ”

เรียมลลิตรทอดพระเนตรมองอีกฝ่ายอย่างสังเกต ตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นๆ “สบายดีครับ นี่ก็มืดแล้ว คุณพูดธุระเสียเถิด”

“จะไม่ถามไถ่กันหน่อยหรือว่าสบายดีหรือเปล่า”

จ้อยตวัดสายตาไปจ้องเขม็ง หากแต่เมื่ออีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง ซ้ำยังไม่มีวี่แววว่าจะพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่คิดสนใจจะเคี่ยวเข็ญอีก เปลี่ยนเป็นประชดเสียงแดกดันต่อ ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น

“อะไร้ จะไม่เชิญให้นั่งเสียหน่อยเชียวรึ บ้างช่องก็ออกจะใหญ่โต แค่น้ำใจจะแบ่งให้คนอาศัยในละแวกเดียวกันจะไม่มีให้กันบ้างเลยหรือไร” ทั้งน้ำเสียง ทั้งกิริยาท่าทางล้วนกระด้างจนทำเอาเรียมลลิตรอ่อนพระทัย




(ยังมีต่อครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(อีกครึ่งตอนที่เหลือครับ)





จ้อยก็เดินไปนั่งโดยไม่ต้องรอให้ใครเชิญทั้งนั้น เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง นั่งขยับไปขยับมาพลางเหลือบมองไปทางอีกฝ่ายที่นั่งลงตรงเก้าอี้นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นระยะ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด จะมีก็เพียงสายตาของจ้อยที่เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด ขณะที่เรียมลลิตรนั้นยังคงความสงบสง่าไม่ไหวติง เป็นอย่างนั้นอยู่พักใหญ่จึงทรงได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นลอยๆ

“คุณควรจะแต่งตัวให้ดีๆ อากาศเย็น ประเดี๋ยวไม่สบาย”

“ไม่เอา” เรียมลลิตรตรัสตอบเนิบๆ

“นี่คุณจะนั่งอยู่อย่างนี้หรือยังไง”

“เดี๋ยวฉันจะเล่นน้ำในคลอง”

เล่นน้ำในคลอง? แบบนี้ใครผ่านไปผ่านมาก็คงได้เห็นไปทั่วน่ะสิ! จ้อยทำหน้าหงุดหงิดอยู่นับนาที สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นโผงผางด้วยอารมณ์อันแท้จริง

“จะบ้าหรือ ไม่กลัวโดนใครฉุดไปนอนด้วยหรือไงกัน คุณก็น่าจะรู้ว่าคนแถวนี้มันไว้ใจได้เสียทุกคนเมื่อไร ผมเองก็ไม่ใช่คนที่คุณจะไว้ใจได้ คุณเข้าใจคำว่า ‘นอน’ ไหม”

“เข้าใจ”

“นั่นละ ผู้ชายเรา ลองถ้าชอบใครก็อยากจะนอนด้วยทั้งนั้น”

พระขนงขมวดขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนจะค่อยๆ คลายกลับไปเป็นปรกติ ตรัสถามขึ้นว่า “ถ้าชอบก็ต้องอยากนอนด้วยหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แสดงออกด้วยวิธีอื่นไม่ได้หรือ”

จ้อยอึ้งชะงักไปหลายนาที เขากลืนก้อนน้ำลายลงลำคอแห้งผาก ถ้อยคำไหลลื่นแห้งแล้งอยู่ในเส้นเสียงเพียงเพราะคำถามนั้น

จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดทุกอย่าง ความรักใคร่ชอบพอไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยอารมณ์วาบหวานรัญจวนไปเสียทุกครั้ง ยังมีวิธีการแสดงถึงความรู้สึกหวานซึ้งจากหัวใจได้มากมาย แต่ที่เขาเลือกจะพูดไปอย่างนั้นมันคนละประเด็น ถึงตอนนี้จ้อยก็ยังไม่อยากจะยอมรับว่าที่พูดก็เพราะรู้สึกห่วงใยอีกฝ่ายมากมายล้นพ้น แต่ครั้นจะพูดไปตรงๆ ก็คงได้อับอายขายหน้า ผู้ชายจะมานั่งเป็นห่วงผู้ชายด้วยกันเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาในทางชู้สาวอย่างนั้นหรือ ตลกสิ้นดี!

“ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ชอบใคร อย่างน้อยก็ต้องพูด” เขายังดึงดัน ไม่ยอมแพ้จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายเงียบนิ่งไปนานอย่างใช้ความคิด

“คำพูดเองก็สำคัญไม่น้อยกว่าการกระทำสินะ” เรียมลลิตรตรัสขึ้นมาอีกครั้ง

“สำคัญสิ ถ้ารู้สึก อย่างน้อยก็ต้องบอกให้รู้”

“ฉันคิดว่าคนเรามีวิธีแสดงออกถึงความรู้สึกนั้นได้หลายวิธีเสียอีก”

อีกแล้ว จ้อยโดนต้อนจนสิ้นคำพูดง่ายๆ อีกแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะโดนรุกไล่ด้วยเหตุและผลแยบยลเช่นนี้ เขาพยายามหลีกเลี่ยงจะแสดงออกถึงความปรารถนาดีจากหัวใจอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ใครเลยจะคิดว่าอีกฝ่ายจะแหลมคมอย่างนั้น เช่นนี้แล้วจ้อยจะพูดอะไรได้อีก

“ว่าแต่ธุระที่ว่าคืออะไรหรือครับ”

จ้อยมองคนที่เอ่ยถามด้วยแววตาหม่นสลด ทั้งที่ใช้วาจาจาบจ้วงหยาบคาย แต่อีกฝ่ายกลับยังถามด้วยน้ำเสียงสุภาพสำรวม ทั้งยังไม่มีอารมณ์ดูถูกรังเกียจหรือโทโสแม้แต่น้อย ทุกสิ่งเหมือนยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อย ไม่มีอะไรจะไปตีเสมอได้เลย

‘เขาต่างกับเราถึงเพียงนี้ ถ้ายังวางตัวเป็นนักเลงบาตรใหญ่ก็ยิ่งจะไม่มีวันขึ้นมาเสมอกัน’ ตระหนักถึงความจริงในข้อนี้แล้ว จ้อยก็ไม่อาจปล่อยใจตนให้ไหลต่ำไปในความสามานย์ได้อีก จึงตัดสินใจพูดความจริงออกไปตรงๆ

“ธุระนั่นไม่มีหรอก ก็แค่พายเรือผ่านมา เห็นพอดีก็เลยขึ้นมาทัก”

เรียมลลิตรผ่อนพระอัสสาสะอีกครั้ง ตรัสเนิบช้า “ฉันขอบคุณในน้ำใจของคุณ แต่นี่ก็ค่ำแล้ว นายจ้อยกลับบ้านเถิด”

“ยังไม่อยากกลับ อยากนั่งอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ” เห็นเจ้าของบ้านพูดดีด้วยไมตรีจิต จ้อยก็ดื้อดึง ต่อโมงยามแห่งความสุขนี้ไปเรื่อยๆ

พึงใจแล้วที่จะนั่งมองเรียมด้วยแววตาประจบออดอ้อน ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำ จ้อยก็ยินดีนั่งมองไปอย่างนี้จนถึงเช้า เขาทอดสายตาอ่อนหวานอยู่อย่างนั้น เห็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลสวยมองเขานิ่งๆ อยู่หลายนาทีแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ถึงโตแล้ว แต่ลูกทุกคนก็ยังเด็กในสายตาของผู้ใหญ่ นายจ้อยนั่งอยู่ที่นี่ คุณพ่อคุณแม่ท่านจะเป็นห่วง”

นี่มันเหตุผลอะไรกัน! จ้อยทั้งนึกขันและนึกทึ่ง

ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้ ไม่เคยมีมาก่อน คนคนนี้แปลกเสียจริง มีความคิดที่บริสุทธิ์ใสสะอ้านได้อย่างเหลือเชื่อ และเช่นกัน น่ารักได้อย่างเหลือเชื่อทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย

จ้อยลุกขึ้นยืน ตรงเข้าไปหาคนที่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นตรงนั้นแล้วยอบตัวลงนั่งยองๆ กับพื้น มองหยาดน้ำค้างพราวใสในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น “ที่พูดแบบนี้ เป็นเพราะคุณเองเป็นห่วงผมอย่างนั้นใช่ไหม”

เรียมลลิตรตรัสตอบช้าๆ ด้วยพระสุรเสียงที่ปราศจากความรู้สึก “กลางคืนคลองแถวนี้มืดมาก ดึกกว่านี้พายเรือจะมองเห็นหรือ ฉันว่าอันตราย จากนี้ไปบ้านคุณ อีกไกลมิใช่หรือ”

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะลากลับ” จ้อยพูด ยิ้มกว้าง “แต่ช่วยตอบคำถามให้ผมได้สบายใจหน่อย พรุ่งนี้หรือวันอื่นๆ ผมจะพายเรือมาหาคุณเรียมที่นี่ ในเวลานี้ได้อีกหรือไม่”

ไม่มีเสียงใดๆ เอื้อนเอ่ยกลับ คนที่นั่งอยู่บนม้าเพียงแค่มองเขาอยู่อย่างนั้น

ผ่านมากี่นาทีแล้วกัน จ้อยถามกับตัวเองอย่างนั้นทั้งที่เพิ่งพูดจบไปหยกๆ เขาเผลอกั้นลมหายใจตัวเองขณะที่มองใบหน้านั้น ในระยะใกล้ๆ เช่นนี้

“นอนไม่หลับหรือ” ในที่สุด เสียงเนิบช้าก็ถามขึ้น

จ้อยเผลอดีใจไปกว่าเหตุทั้งที่ข้อความนั้นไม่ใช่คำพูดอนุญาตใดๆ เลย เขาคิดว่าอย่างน้อย เรียมก็ไม่ได้นึกรังเกียจเขาจนถึงขั้นไม่อยากพูดคุยด้วย ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับความยินดี เขาปะเหลาะกลับ

“ผมนอนไม่หลับ กลัดกลุ้มเหมือนสุมไฟมันทุกคืน ถ้าได้เพื่อนคุย ผมคงจะนอนฝันดี”

เรียมลลิตรไม่ได้ตรัสสิ่งใดอีก ทรงประทับบนม้านั่งนิ่งๆ กระทั่งมือของอีกฝ่ายเลื่อนมากุมพระหัตถ์ พร้อมกับน้ำเสียงปีติที่ดังกังวาน

“ผมจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้”

พูดจบแล้ว เจ้าของรอยยิ้มชื่นบานก็เดินกลับไปขึ้นเรือแต่โดยดี เรียมลลิตรทอดพระเนตรเห็นเรือไม้ของจ้อยค่อยๆ หายไปกับความมืดของคลองแสนแสบยามราตรี





คฤหาสน์ขัตติยพงศ์ในเวลานี้เงียบสนิท บ่าวไพร่ในเรือนกำลังเตรียมพักผ่อนจากวันที่กำลังจะผ่านพ้น สายบุญตรวจตราความเรียบร้อยในตึกฝรั่งแล้วก็เดินเข้าห้องนอนของนาง ตระหลบมุ้งลงมาจากข้างบน ล้มตัวลงนอน ขณะที่เยื้อนซึ่งมีหน้าที่สำรวจฟืนไฟห้องหับในเรือนไม้ปั้นหยาเองก็กำลังจะหลับเช่นกัน

คงมีเพียงแต่เจ้าของบ้านที่ยังคงตาสว่าง กระปรี้กระเปร่าด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ ขวัญสรวงนั่งมองพระจันทร์ทอแสงนวลเกี้ยวยอดไม้ ไม่ว่ากิ่งก้านจะไกวไหวเกลียวเช่นไร ก็ยังเห็นแสงบุหลันก็ยังคงทอดตัวมาใกล้ พรอดคำรักรำพันอยู่ทุกค่ำคืน

แสงแขก็คงไม่ต่างอะไรกับเขากระมัง คอยเอาตัวเข้าไปใกล้ใครคนนั้นอยู่เสมอ มีโอกาสก็เข้าไปอยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่มีโอกาส เขาก็สร้างโอกาสขึ้นเสียเอง ต้นไม้รอบของเรียมเป็นอาทิ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนขอบหน้าต่างขยับตัวอีกครั้ง หยิบฟลุตที่วางอยู่บนตักขึ้นมาเป่า

เสียงดนตรีหวานแว่วทำให้บ่าวไพร่ที่กำลังจะเข้านอนต่างอมยิ้มขึ้นมาโดยพร้อมเพรียง แต่เมื่อเพลงที่กำลังเล่นอยู่นั้นกลับแตกต่างไปจากทุกครั้ง สายบุญ เยื้อน หรือแม้แต่นางต้นห้องคนอื่นๆ ต่างก็แปลกใจ เพราะเพลงที่คุณชายขัตติยพงศ์กำลังบรรเลงอยู่ หาได้เป็นเพลงคลาสสิกแบบฝรั่งเหมือนทุกครั้ง กลับเป็นเพลง ‘แค่คืบ’  เพลงประกอบภาพยนตร์ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนั้น

...แค่คืบเท่านั้น ฉันให้งงงัน มิกล้าเอ่ย
พบกันทุกวันกับทรามเชย แต่ยังมิเคยจะเอ่ยบอกรัก

เสียงเพลงแผ่วพลิ้วกระซิบผ่านสามลมไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานหลังจากนั้น บ่าวไพร่ทุกชีวิตในรั้วขัตติยพงศ์ก็นอนหลับด้วยความสุข

จบเพลงแล้วแต่ถ้อยคำในใจนั้นยังล้นเอ่อ ขวัญสรวงนึกถึงใบหน้าของเรียม แล้วเริ่มเป่าฟลุตขึ้นมาด้วยความรู้สึกคิดถึง พ้นไปหนึ่งท่อน เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้

เจ้าของร่างสูงใหญ่ตรงไปยังโต๊ะทำงานเล็กๆ ในห้องนอน วางฟลุตลงบนนั้น แล้วหยิบกระดาษและดินสอขึ้นมาเขียนตัวโน้ตที่เพิ่งเป่าลงไปทีละวรรค ทีละห้องเพลง ทำซ้ำๆ อยู่แบบนี้จนกระทั่งถึงโน้ตตัวสุดท้าย

ขวัญสรวงแต่งทำนองเพลงขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ แต่ควรจะตั้งชื่อบทเพลงนี้ว่ากระไรนั้น ยังนึกไม่ออก

เขาทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ สิ่งใดที่จะสื่อได้ถึงเจ้าของดวงตากลมใสดั่งหยาดน้ำค้างคู่นั้นได้ ไพล่นึกไปถึงผีเสื้อปีกเหลือบสีน้ำทะเลสะท้อนแดดที่เห็นเมื่อตอนบ่าย เรียมชอบมันนัก และเขาก็ชอบมันเช่นกัน

ครุ่นคิดอยู่สักพัก มือกว้างก็จรดปลายดินสอลงไปบนกระดาษ เขียนด้วยรายมือเรียงเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อยว่า ‘เพลงปีกผีเสื้อ’

เขานั่งมองท่วงทำนองเพลงบนกระดาษ ตัวโน้ตแต่ละตัวล้วนเป็นถ้อยคำที่เหมาะกับใจ ขวัญสรวงเก็บมันลงในซองกระดาษอย่างดี วางเอาไว้ในลิ้นชัก แล้วนั่งอมยิ้มด้วยความรู้สึกสุขไปทั้งใจ

หากแม้ว่าเวลานี้ยังมีใครสักคนที่ยังคงตื่นอยู่ คนนั้นคงได้ยินเสียงทุ้มอ่อนหวานของใครคนหนึ่งกำลังร้องเพลงแค่คืบ ด้วยความหวานละไมในหัวใจ

“...แค่คืบจริงจริง เหมือนผีมาสิงอยู่ในอุรา
จนใจที่ปาก ฉันมิกล้า เอื้อนเอ่ยวาจา...ว่ารักเธอ”



++++++++++++++++++++++++++++++


จริงๆ แล้วตอนนี้เป็นตอนที่ยาวมากๆ นะครับ ถ้าลงไปพร้อมกันคงอ่านตาทะลักแน่เลย
เลยขอแบ่งออกเป็นสองตอนจะได้อ่านแล้วไม่ตาลายกันไปซะก่อน
ขอแบ่งไว้ครึ่งนึง ปัดเป็นตอนต่อไปดีกว่า จะพยายามมาอัพให้เร็วๆ นะ ฮือๆ

ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามอ่านกันครับ ตอนหน้าอย่าพลาดกันนะ
แต่งยากมาก  แต่งไปปาดเหงื่อไป มึนกับพวกคำราชาศัพท์ 555555

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
คุณเรียมคงไม่รู้ตัวว่าเหมือนให้ความหวังจ้อยไปแล้ว ...

พี่ขวัญเข้าคงเดือด :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
โอ้ยยย นึกว่าพ่อขวัญจะมาเจอ ดันเป่าเพลงอยู่ซะได้ มันน่าจับตีพ่อเรียมจริงๆ

ออฟไลน์ twenty8

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อ่านตอนต้นแบบเบื่อจ้อยแล้วอะ อะไรนักหนา
ไปๆมาๆ โอ๊ยแกร แกมันพระรองชัดๆ
รอตอนต่อไปค่ะ

 :กอด1:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
จ้อยไม่มีถอยแน่งานนี้  ได้กำลังใจมาเพียบ เห็นเนื้อในคุณเรียมก่อนพี่ขวัญอีกมั๊ง
จะรอดูว่าจ้อยจะอัพตัวตนเพื่อคุณเรียมได้หรือเปล่า   คุณชายเป็นได้เหนื่อยแน่งานนี้

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

นึกว่าพี่ขวัญจะลงมาเจอคุณเรียมเล่นน้ำคลองซะอีก  :o8:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
เบื่อจ้อย

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
ต้องขอโทษจริงๆ ถ้าเราจะบอกว่าตอนนี้เบื่อเรียมมากกกกก
คนอะไรจะไม่รู้เดียงสาขนาดนั้น  :เฮ้อ:
พี่ขวัญก็บอกไปแล้วว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับจ้อย
นี่อะไรไม่หลบแล้วยังมาแก้ผ้าให้เขานั่งจ้องนั่งมองอีก
นี่ถ้าไม่โดนฉุดก็คงจะไม่รู้ตัวสินะ

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
จ้อยเป็นคนแรกที่เห็นเนื้อตัวน้องเรียม..... แค่คิดก็สงสารพีีขวัญแทนแล้วอ่า เฮ้ออ

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
เบื่อจ้อยยยยยยยยย
ไม่ชอบผู้ชายแบบนี้
แล้วน้องเรียมนี่ ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้
ว่าใครมาดีมาร้าย

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ก่อนเริ่มตอนใหม่ขอเข้าสู่ช่วงคนเขียนขอบ่นหน่อยครับ  :o8:

ที่หายไปนี่เป็นเพราะอินเตอร์เน็ตที่บ้านเจ๊งครับ ตามช่างมาซ่อมปรากฏก็พังอีก
ปรากฏว่าช่างบอกว่าเราท์เตอร์เสีย ต้องซื้อใหม่ พอไปซื้อที่ศูนย์ รุ่นที่ให้ไวไฟได้เท่ากับที่ใช้อยู่หมด! ดี้ดี
งานก็เลิกค่ำมืด นี่เพิ่งไปซื้อมาได้เมื่อวันก่อน แต่ก็ยังติดไม่ได้เพราะคิวว่างของช่างไม่ตรงกับที่ว่างเลย
อันที่จริงตอนนี้แต่งเสร็จมาสักพักแล้ว แต่ลงไม่ได้เพราะแบบนี้นั่นเอง
จะแอบโพสต์ที่ออฟฟิศก็ไม่ได้เพราะว่าอยู่ไม่ติดออฟฟิศเลยสักวัน (วันนี้พอดีเข้าออฟฟิศเลยแอบโพสต์ซะเลย)

ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากส่งสายตาพิฆาตกัน บักจ้อยก็แจวเรือกลับบ้าน แต่แอบมาหาน้องเรียมใหม่ตอนดึก
บังเอิญว่าน้องก็ช่างประจวบเหมาะแอบหนีลงมาเล่นน้ำในคลองไปซะได้
ผลก็คือโดนบักจ้อยแทะโลมไปตามระเบียบ ซึ่งน้องเรียมก็นั่งคุยกับเขาเสียได้ วอนมาก
จะเป็นยังไงต่อ โปรดติดตามตอนต่อไปฮับ เป็นตอนที่ยาวหน่อย ตัวหนังสือก็แน่น ค่อยๆ อ่านนะ





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++





ตอนที่ ๑๕





“ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ชอบใคร อย่างน้อยก็ต้องพูด”

คำพูดของจ้อยยังคงติดค้างอยู่ในพระทัยของเรียมลลิตร ทรงสลัดไม่หลุดแม้จะผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว แม้การที่ทรงว่ายน้ำในคลอง ดำริกับองค์ว่าน่าจะสนุก แต่เมื่อพระทัยยังทรงพะวักพะวนอยู่กับหลากถ้อยคำเหล่านั้น เรื่องที่น่าเบิกบานพระทัยก็กลายเป็นเรื่องที่ทรงทำไปอย่างนั้นเอง

ทรงลอยองค์นิ่งๆ อยู่ในลำคลอง กระทั่งเงาตะคุ่มปรากฏขึ้นที่ท่าน้ำติดกัน เรียมลลิตรทอดพระเนตรร่างสูงกำยำค่อยๆ ก้าวอย่างผึ่งผายออกมาสู่ลำแสงสีเงินยวงของพระจันทร์ พระโอษฐ์จึงคลี่แย้มออก




เป็นอีกคืนที่ขวัญสรวงเบิกบานใจเกินกว่าจะข่มตานอน เมื่อหัวใจตระหนักแน่แก่ความรู้สึกอ่อนหวานอันมีต่อคนที่อยู่ข้างบ้าน ดวงจิตดวงใจก็เหมือนอัดแน่นไปด้วยห้วงอารมณ์ละมุนละไมจนไม่อาจหลับลงง่ายๆ

เขาลงในน้ำ ตั้งใจจะดำผุดดำว่ายจนกว่าจะลืมความคิดอันไม่สมควรนี้ ได้ข่มตาหลับลงเสียที

ขวัญสรวงวักน้ำเย็นๆ ในคลองขึ้นลูบหน้า พอหันพลิกตัวกลับ หมายมาดจะดำน้ำ ก็เห็นคนที่อยู่ในความคิดตลอดวันมาลอยอยู่ตรงหน้า ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าตัวเองคงตาฝาด แต่เมื่อมองดูชัดๆ ว่ามันหาใช่ภาพมายาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาด้วยห้วงความคิดถึงไม่ ความรู้สึกตกใจและดีใจก็จู่โจมในอกพร้อมๆ กัน

“เรียม” เขาเอ่ยขึ้นแล้วนิ่งไปนานเหมือนสรรหาคำพูดที่เหมาะควร อึดใจใหญ่ น้ำเสียงทุ้มนุ่มจึงค่อยๆ ถักทอถ้อยคำต่อ “ทำไมมาอยู่ที่นี่ น้ำเย็น เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

เรียมลลิตรแหงนพระพักตร์ ทิ้งองค์ลอยบนผิวนที พยุงพระวรกายเหมือนกับทรงว่ายน้ำอยู่ในท่ากรรเชียง เพียงแต่พระกรทั้งสองข้างแนบอยู่กับพระปรัศว์ มิได้ทรงตวัดวาดบนสายน้ำ

ครู่หนึ่งจึงตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา “ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส ผมอยู่สวิมมิงคลับในมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่ใช่ระดับนักกีฬา แต่ก็พอว่ายพอได้ ช่วงฮอลิเดย์ก็ไปว่ายบ่อยๆ”

ขวัญสรวงพินิจร่างประเปรียวที่ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำโดยละเอียด สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่ว่ายพอได้ แต่น่าจะเรียกว่าว่ายได้ดีด้วยซ้ำ ตระหนักได้เช่นนี้ความกังวลก็ค่อยบรรเทา แต่ก็ใช่ว่าจะหมดสิ้นเสียทีเดียว

“ที่นั่นไม่มีใครว่ายน้ำในคลองหรือแม่น้ำ เราว่ายน้ำกันในสระ ไม่นานก็ขึ้น นึกไม่ออกว่าประเทศไทย คนสามารถว่ายน้ำในคลองกันได้ทั้งวันนั้นเป็นไปได้ยังไง น้ำในคลองต่างกับน้ำในสระตรงไหน จนได้มาว่าย”

ตั้งใจจะทักท้วง แต่เมื่ออีกฝ่ายที่ปรกติไม่ค่อยพูดกลับเอ่ยเหมือนชวนคุย ใจของขวัญสรวงก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คำห้ามปรามในใจเปลี่ยนเป็นคำถามกลัดรอยยิ้มนิดๆ ขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“แล้วได้รู้หรือยัง”

ไม่มีคำตอบออกจากริมฝีปากฝาดสีเรื่อจนอิ่มนั้น มีแต่รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของผู้มองพองแน่นอยู่ในอก

เจ้าของรอยยิ้มนั้นกระพุ้งน้ำช้าๆ เคลื่อนตัวที่นอนหงายอยู่มาใกล้จนศีรษะที่ลอยเหนือริ้วน้ำ แนบลงกลางแผ่นอกของขวัญสรวง โดยปรกติแล้วเขาควรถอยตัวออกห่าง แต่ชายหนุ่มกลับยืนนิ่ง มองเรือนผมสีน้ำตาลเข้มคลี่สยายในสายน้ำ และเพียงเขายกมือขึ้นสัมผัสเบาๆ พู่ไหมเส้นเล็กละเอียดเหล่านั้นก็ช่างราวกับมีชีวิต เส้นผมหนานุ่มค่อยๆ สอดลอดผ่านนิ้วมือแต่ละนิ้วราวกับจะยั่วเย้า ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของมันก็ไม่ได้ต่างสักเท่าไรเลย

มือกว้างค่อยๆ ยกขึ้น ลากปลายนิ้วเคลื่อนผ่านเบาๆ จากใบหู ไล่ลงสู่คาง ดวงตาเข้มคมทอดมองใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่คืบด้วยประกายแห่งความอ่อนหวาน

สบตากัน ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบกันไปพักใหญ่ นึกขึ้นได้ก็รีบหลบสายตากันทั้งคู่

ขวัญสรวงเป็นฝ่ายที่ผลักสายตาของตนกลับไปยังดวงหน้างามดุจภาพวาดนั่นก่อน คลอเคลียอยู่อย่างนั้นในระยะที่ค่อยๆ บีบเข้าหากันทีละน้อยๆ จนเหลือไม่ถึงคืบ กระทั่งเสียงผะแผ่วแว่วขึ้น

“พี่ขวัญ” เรียมลลิตรเปล่งพระสุรเสียงขึ้น สบพระเนตรกับดวงตาอ่อนหวานคู่นั้นอยู่นิ่งนาน แล้วตรัสเรียบๆ “ผมชอบพี่ขวัญ”
คนได้ยินชัดเต็มสองหูผงะอึ้งไปหลายนาที ซ้ำยังเผลอกลั้นลมหายใจโดนไม่รู้ตัว ตาสบตา ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงจังหวะเร่งเร้าในอกที่ค่อยๆ แรงขึ้น...แรงขึ้น

คล้ายกับว่าละเมอเพ้อพกหรือหูแว่วไปเอง จู่ๆ ขวัญสรวงก็เอ่ยขึ้นราวกับได้ยินประโยคเมื่อครู่ไม่ถนัด

“เมื่อกี้...ว่าอะไรนะ”

“ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ชอบใครก็ต้องกล้าพูด เพราะคำพูดก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการแสดงออก”

ดวงตาคมเข้มดั่งสีของท้องฟ้าในเวลานี้จ้องมองคนตรงหน้าอยู่อึดใจ เมื่อตั้งหลักจากท่าทางและคำพูดของอีกฝ่ายได้ เขาก็จูงมือ รีบพาว่ายมาที่เรือที่จอดเลียบแอบอยู่ข้างๆ ท่าน้ำ



เรือลำนี้ถูกคลุมผ้าใบไว้ไม่ให้แสงแดดเลียจนไม้ดูเก่าชำรุดไวกว่าอายุการใช้งานที่ควรจะเป็น เมื่อก่อนจะไปไหนมาไหน ขวัญสรวงก็จะใช้เรือลำนี้ แต่สองสามปีที่ผ่านมา ถนนหนทางของบางกะปิเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนจำแทบไม่ได้ ขัตติยพงศ์นั้นไม่ใช่ลูกหลานบางกะปิแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาจึงถนัดเดินทางบนบกมากกว่าทางน้ำ เมื่อมีถนนลาดยางมะตอยตัดผ่าน มีทางสำหรับเดินได้สะดวกขึ้นมาก เรือจึงถูกเก็บไว้ ไม่มีใครสนใจ บริเวณที่เก็บเรือแห่งนี้ก็ร้างลาถูกลืมจากผู้คน ทั้งจากพวกขัตติยพงศ์ และชาวบางกะปิ

เขาจูงมืออีกฝ่ายว่ายหลบมาที่นี่ ตั้งใจจะพูดคุยไถ่ถามกันเสียให้รู้เรื่อง แต่เมื่อพอได้มาอยู่ใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ รินรดกันแบบนี้ ที่อยากจะพูดกลับพูดไม่ออก ขวัญสรวงเป็นฝ่ายหลุบสายตาหลบ จนอีกฝ่ายเป็นคนถามขึ้นเสียเอง

“พี่ขวัญรังเกียจหรือ”

รังเกียจนั่นหรือ เขาอยากจะหัวร่อนัก

ถ้าความคิดในเชิงต่อต้านนั้นบังเกิดเพียงเสี้ยวเพียงน้อยในใจ ขวัญสรวงคงสบายใจกว่านี้ แต่นอกจากจะไม่มีอาการดังกล่าวแล้ว เขายังทำตัวเป็นปรปักษ์ด้วยการก้าวไปยืนอยู่ในซีกความรู้สึกที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่รู้สึกเดียดฉันท์แม้แต่นิด ซ้ำยังรู้สึกปรีดาปราโมทย์เสียด้วยซ้ำ

ใบหน้าคมคายไหวไปมาเล็กน้อย ก่อนจะบ่ายเบี่ยงด้วยเสียงขรึมๆ “เอาไว้คุยกันวันหลังเถอะ ตอนนี้ขึ้นมาจากน้ำก่อน”

“ไม่เอา”

เห็นแววตาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ทั้งอ่อนใจ ทั้งหนักใจ น้ำเสียงจริงจังเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความอ่อนหวาน เอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ขึ้นมาเถิด เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ไม่เอา”

ขวัญสรวงพยุงตัวเข้าไปใกล้จนชิด ยกสองแขนสวมกอดร่างเล็กบางจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา กังวลเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ล้มหมอนนอนไม่สบาย ชายหนุ่มค่อยๆ ตะล่อมถามอีกครั้งด้วยความห่วงใย ไม่สบายใจ

“ตัวสั่นๆ ไม่หนาวหรือ”

“หนาว”

“หนาวแล้วทำไมจึงดื้อ ไม่ขึ้นไปข้างบน พี่เป็นห่วง ประเดี๋ยวจะเป็นหวัด”

“ตอนนี้อุ่น ไม่ค่อยหนาวแล้ว”

เจ้าของเสียงอ้อมแอ้มขานตอบผะแผ่วพร้อมหลุบหน้าลง คนตั้งคำถามจึงเพิ่งตระหนักถึงวงแขนของตนที่ตระกองกอดด้วยความห่วงใย ขวัญสรวงโอบร่างที่ฝังอยู่ในอ้อมแขนแน่นขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหลียวกลับมามองแบบเขินๆ ประเดี๋ยวมอง ประเดี๋ยวก็หลบสายตา เขาจึงเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าลงไปใกล้ จ้องมองดวงตากลมสวยคู่นั้น หนีไปทางใด ขวัญสรวงก็ดั้นด้นตามไปจ้องมองอยู่อย่างนั้นด้วยรู้สึกอยากต้อนให้จนมุม ดูสิว่าจะหนีไปไหนพ้น

แต่ใครเลยจะคิดว่าเมื่อยิ่งจ้อง ยิ่งมอง จะยิ่งกลายเป็นเขาเองที่ตกอยู่ในอาการเคอะเขิน ไม่อยากสู้สบตาเอาเสียเอง

ก็ความแวววาวที่สะท้อนอยู่ใต้แพงานตาหนางอนนั้นเล่าที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นเช่นนี้ ใช่เพียงแต่มันจะหยอกแสงสะท้อนของดวงจันทร์กลางฟ้าเสียเมื่อไร ดวงตาหวานสวยคู่นั้นดูจะกำลังหยอกเย้ากับห้วงอารมณ์ที่ยากจะสะกดกลั้นในใจของเขาให้กระโจนสู่ดินแดนแห่งความรัญจวนโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดีไปพร้อมๆ กันด้วยนี่สิ

หลายครั้งที่ขวัญสรวงออกคำสั่งกับตัวเองว่าให้เลิกมองดวงตาวาววับคู่นั้น แต่ห้ามเท่าไร ถ้อยคำที่ควรเปล่งออกมาได้อย่างเต็มน้ำเสียงก็กลืนหายไปสิ้น ได้แต่พูดเลี่ยงๆ ไปเสียทุกครา ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ถึงมาพูดกับพี่” เขาถามเสียงขรึม

ไม่มีคำตอบออกจากปากของอีกฝ่าย คนที่อยู่ตรงหน้ายังคงเงียบ มองสบตาเขาอยู่อย่างนั้นอย่างชั่งใจ

“เรียม น้องต้องบอกพี่ เกิดอะไรขึ้น”

“เมื่อกี้ จ้อยพายเรือผ่านมา เขาขึ้นมาคุยที่ศาลาริมน้ำ”

เพียงได้ยินเท่านั้น ดวงตานิ่งสุขุมของชายหนุ่มก็แทบจะโชนเป็นคบเพลิงร้อนแรงในพริบตา แต่คนพูดดูจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความร้อนที่แผดเผาจนทุรนทุรายอยู่ในใจของเขาเลย ใบหน้างามสง่านั้นยังนิ่ง ปราศจากความรู้สึกเช่นทุกครั้ง

“เขาบอกว่าลูกผู้ชาย ถ้าชอบใครก็ต้องกล้าพูด ยังบอกอีกว่า ผู้ชายเรา ลองถ้าชอบใคร ก็อยากจะนอนด้วยทั้งนั้น”

“เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน” ขวัญสรวงส่งเสียงตะกุกตะกัก ทั้งฉุน ทั้งตื่นตระหนก เขาทบทวนความคิด เมื่อแน่ใจว่าคุมอารมณ์โทโสได้นิ่งแล้วจึงเอ่ยถามให้มั่นใจ “จ้อยมาที่นี่ เขา...นายจ้อยพูด...เกี้ยวพาราสี ชวนน้องไป เอ่อ...นอนอย่างนั้นหรือ”

แทนคำตอบ เรียมลลิตรกดพระพักตร์ลงนิ่ง

ในทีแรก ความโกรธนั้นทำเอาเนื้อตัวของขวัญสรวงแทบสั่นเต้น เขาอึ้งไปพักใหญ่ด้วยกระแสอารมณ์อันหลากหลายที่บังเกิดขึ้นในใจพร้อมๆ กัน ทั้งโมโห ทั้งเป็นห่วง แต่ทั้งหมดนั้นกลายเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเทียบกับอารมณ์หวามไหวหลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ จ้อยมาที่นี่ เกี้ยวพาราสี เอ่ยชักชวนอย่างสามหาว ซึ่งด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง คงถูกเจ้าตัวปฏิเสธกลับไป แล้ว...

“ก็เลยมาพูดแบบนี้กับพี่หรือ” เขาเอ่ยสรุปเรื่องราวทั้งหมดออกมาเพียงประโยคสั้นๆ

“ครับ”

รู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างฟาดเข้ากลางกระหม่อมแรงๆ ขวัญสรวงกะพริบตาหลายครั้ง กลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงลำคอ แล้วเงียบงันไปพักใหญ่

“ผมอยากนอนกับพี่ขวัญ”

“ใครพูดอะไรก็เชื่อไปเสียหมดเลยหรือ หรือไม่คิดว่าจะถูกจ้อยหลอกเอาบ้างเทียว” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โกรธจ้อยก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็คือโกรธที่อีกฝ่ายช่างไร้เดียงสาจนน่าตีให้เข็ดเสียนี่กระไร และที่โกรธที่สุด คงไม่พ้นตัวเองที่อยากจะตำหนิคนตรงหน้าให้เข็ดหลาบ แต่ใจนั้นสิ อ่อนยวบจนพูดอะไรไม่ออกได้เสียทุกครั้ง

ขวัญสรวงพ่นลมหายใจกรุ่นด้วยโทสะ ตัดบทด้วยน้ำเสียงระอิดระอาใจ “คนแบบนั้นไปเชื่อถือคำพูดได้กระไรกัน”

“ไม่ได้เชื่อไปทุกคน แต่พอลองคิดดูแล้วก็เห็นด้วย เพราะรู้สึกแบบนั้น”

หมายความว่า... ขวัญสรวงขึ้นประโยคคำถามนั้นในใจ แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งที่อยู่ในความคิด อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้น

“เรานอนกัน ได้หรือเปล่า”

สีหน้าเรียบเรื่อย ดวงตานิ่งเฉย ทว่ารวงแก้มนั้นกลับปลั่งเป็นสีผลหมากสุก คนตัวโตถึงกลับหยุดลมหายใจที่ได้เห็นภาพนั้น แต่ขวัญสรวงก็สู้อุตส่าห์ทำเป็นไม่เห็น กลั้นใจตอบปัดไปด้วยเห็นว่าไม่สมควรจะฉวยโอกาสจากความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

“ไม่ได้ เพราะว่าพี่ไม่คิดจะนอนกับน้อง”

ความสงัดเข้ามาแทนที่ทุกสรรพเสียง เงียบจนแม้แต่ผู้พูดก็ยังรู้สึกใจหาย

ขวัญสรวงเงยหน้าขึ้นด้วยความร้อนใจ เห็นอีกฝ่ายสบตานิ่งอยู่ก็พูดอะไรไม่ออก เขาจะตอบว่ากระไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกัน ซ้ำยังรู้เรื่องรู้ราวกับคำพูดของตนแค่ไหน ชายหนุ่มไม่อาจมั่นใจได้เลย

ปีติในใจนั้นก็ใช่ แต่แล้วเป็นอย่างไร เขาก็จำต้องเก็บซ่อนเอาไว้ให้มิดเม้นด้วยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น...มิใช่หรือ

“เข้าใจแล้ว”

ในที่สุด ความเงียบงันอันน่าอึดอัดก็คลี่ออก ได้ยินแล้วขวัญสรวงก็ลอบถอนใจโล่งอก แต่ยังไม่ทันจะได้ผ่อนระบายความหนักอึ้งสักเสี้ยว คำถามใหม่กลับจู่โจมแทบจะทันใด

“แล้วเมื่อไรจะคิด”

“หา?” คนตัวโตร้อง

“ช่วยคิดเร็วๆ หน่อยได้ไหม”

อ้ำอึ้งอยู่สักพัก ขวัญสรวงก็ยืนยันคำปฏิเสธแข็งขัน “พี่หมายถึงไม่ ไม่แบบจะไม่เลย”

“ทำไม”

“เพราะเราทำแบบนั้นไม่ได้”

“ทำไม”

คราวนี้ชายหนุ่มถึงกับถอนใจจนหมดปอด เขาควรจะพูดว่ากระไรเล่า

“รู้หรือเปล่าว่า ‘นอน’ มันหมายถึงอะไร” ขวัญสรวงถามกลับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ดื้อดึงตอบแทบจะทันที

“ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ประสาอะไรเสียหน่อย โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ทำไมจะไม่รู้”

ก็นั่นแหละที่เรียกว่าเด็ก ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง จับหัวไหล่ของอีกฝ่ายพลิกกลับมาเผชิญหน้า “น้องพี่ ความรู้สึกพวกนี้ มันเป็นเรื่องที่มีไว้สำหรับผู้ชายแบบเราๆ ใช้พูดกับผู้หญิง”

“แล้วผมพูดกับพี่ขวัญไม่ได้หรือ”

“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ชายกับผู้ชาย”

“เราแค่ยังไม่ได้ทำต่างหาก แต่ถ้าทำก็จะเป็นไปได้” เรียมลลิตรตรัสกลับ ไม่ลดละ “ที่ต่างประเทศ ผมเห็นผู้ชายกับผู้ชายคบกันตั้งมากมาย”

“นั่นก็ใช่ แต่เราสองคนอยู่เมืองไทย เราเป็นคนไทย เป็นผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน คนไทยถือว่ามันคือสิ่งแปลกประหลาด ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้แบบเมืองฝรั่ง”

“เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้านั่นหรือ”

“เครื่องใช้ไฟฟ้า?” ขวัญสรวงทวนคำอย่างไม่เข้าใจ

“ครั้งหนึ่งคนไทยก็ไม่เคยเห็นโทรทัศน์ ตู้เย็น พัดลม ทุกคนมองว่าประหลาด เป็นเหมือนเวทย์มนตร์ของภูตผี แต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้จัก และเห็นว่าการมีโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือมีพัดลมไว้ที่บ้านเป็นเรื่องปรกติ ส่วนใครจะไม่มีก็ไม่ใช่เรื่องที่ถือว่าแปลก มิใช่หรือ”

ทรงตรัสทีละคำๆ พลางทอดพระเนตรสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายด้วยท่วงทีสบายๆ

“อย่างการประกวดนางงาม สมัยก่อนก็เป็นเรื่องน่าละอาย รับไม่ได้ แต่วันหนึ่งก็คนไทยนี่เองมิใช่หรือที่ส่งนางงามไปประกวดเวทีเมืองฝรั่ง จนคุณอาภัสรา หงสกุลได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาลกลับมา กลายเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาให้กับแผ่นดินไทย ทุกคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องดี ชื่นชมกันหลายวัน”

ความแยบคายเฉียบคมทำให้คนฟังได้แต่นิ่ง จนคำพูดจนแย้งไม่ออก ขวัญสรวงไม่เคยได้ยินใครพูดแบบนี้มาก่อน ประหลาดใจจนไม่คิดว่าจะมีคนคิดแบบนี้

“นั่นก็จริง” เขายอมรับ

“ผมเห็นว่าประเทศไทยกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต่อให้สิ่งนั้นเป็นการฝืนความเชื่อที่มีมานาน แต่ถ้าวันหนึ่ง ทุกคนได้รู้ความจริงว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรแบบที่คิดกันไปก่อนหน้า การที่ผมกับพี่ขวัญจะรักกันก็จะไม่ใช่เรื่องแปลก” เรียมลลิตรตรัสต่อเป็นจังหวะคงที่สม่ำเสมอ “อีกอย่าง สิ่งนี้ก็เป็นความรู้สึกที่ดี ไม่ใช่ความพยาบาทริษยา อยากให้คนอื่นเป็นทุกข์ ผมจึงไม่คิดว่าความรู้สึกผมเป็นสิ่งผิด”

น้ำเสียงนั้นไม่มีวี่แววของความอึดอัด ยังคงช้าเนิบ ดูเป็นการสนทนาปรกติทั่วไป คล้ายเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่ขวัญสรวงกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้อยคำทั้งหมดทั้งมวลนั้นช่างไม่ต่างอะไรกับคมหอกนับร้อยพันที่พุ่งตรงเข้าทะลวงทะลุหัวใจ กำแพงความคิดที่สร้างขึ้นเสียแน่นหนาก่อนหน้านั้น พังภินท์ลงจนแทบไม่มีเหลือ แต่ละถ้อยคำที่เอ่ยจึงไม่ได้เต็มน้ำเสียงอย่างทุกครั้ง

“ใช่ว่าทุกคนจะรับได้”

“นั่นก็ใช่ครับ แต่คนไทยเป็นคนมีเหตุผล เมื่อเข้าใจก็จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ เหล่านั้นเช่นเดียวกับที่ชาวต่างชาติยอมรับ ผมเชื่อว่าสักวัน ความรู้สึกระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจะกลายเป็นเรื่องปรกติ เหมือนการประกวดนางงาม เหมือนการมีเครื่องใช้ไฟฟ้า มีรถยนต์หรือเรือยนต์ในบ้าน”

ขวัญสรวงมองใบหน้าของอีกฝ่าย พินิจพิจารณา ปรกติแล้ว ชายผู้นี้มีวิธีพูดที่แตกต่างจากทุกคนที่เขาเคยรู้จัก นั่นคือการพูดผ่านดวงตา แต่ในครั้งนี้อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะใช้คำพูดในการสื่อสาร นั่นคงเป็นเพราะว่าเหตุผลเหล่านี้นั้นมีความจำเป็นและเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจ้าตัวอยู่ไม่น้อย ข้อนี้เองทำให้ชายหนุ่มตระหนักว่าความรู้สึกที่ต้องการเผยให้เขารับรู้นั้นเป็นเรื่องที่จริงจังเพียงไร หากแต่เขาที่ผ่านโลกมาเยอะกว่า ความอาวุโสของประสบการณ์ชีวิตทำให้ชายหนุ่มไม่อยากไว้วางใจ

“พี่เองก็เชื่อว่าสักวันคงเป็นเช่นนั้น ถึงเราจะยังไม่รู้จุดสิ้นสุดของระยะเวลาที่ว่าก็ตามที” เขาพูด “แต่เรียมเอย น้องเป็นคนไหวพริบดี ซื่อตรงต่อความรู้สึกกว่าใคร แต่น้องก็บริสุทธิ์นัก เราสองคนเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ความรู้สึกของน้องอาจเพียงเกิดขึ้นชั่วครู่ ไม่ได้หล่อหลอมผ่านกาลเวลา สั่งสมจนมั่นคงดุจหินผา จะแน่ใจได้อย่างไรว่าน้องรู้สึกแบบนั้นต่อพี่จริงๆ ไม่ใช่แค่อารมณ์หวั่นไหว”

ทั้งที่ลึกๆ ในใจก็หวาดกลัวกับความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แต่ขวัญสรวงก็จำกลั้นใจ ซ่อนความรู้สึกหวามไหวในใจของตนเองเอาไว้ใต้ความสุขุมแน่นิ่ง จวบจนกว่าจะมั่นใจแล้ว เขาจะไม่มีวันปล่อยให้มันเล็ดลอดออกมาทำร้ายทั้งตัวเอง และคนที่เขาห่วงใยกว่าใคร

เห็นอีกฝ่ายสบตานิ่ง เจ้าของเสียงทุ้มกังวานก็ทั้งปรามและท้วงให้สะกิดใจอีกครั้ง “น้องเป็นคนดื้อ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่เคยแพ้ก็จริง แต่โปรดอย่าแข็งกล้าเสียจนไม่รู้จักกลัวต่อสิ่งใดแบบนี้เลย พี่ไม่สบายใจ”

“ใจร้าย”

หากแต่ครั้งนี้ ยากเย็นเหลือเกิน

“พี่เปล่า ไม่เคยแม้แต่จะคิดสักครั้ง” เขาตอบคำสัตย์

“ใจร้าย”

ยากจริง...ยากมาก และยากขึ้นเรื่อยๆ เขาจะทนกับแววตาและน้ำเสียงแบบนั้นได้นานสักแค่ไหนกัน

“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องมาพูดกัน” มือเล็กๆ แกะอ้อมแขนที่โอบรอบของเขา แต่ขวัญสรวงกลับดื้อแพ่ง ยิ่งกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น

“เข้าใจว่าอะไร”

“เข้าใจก็แล้วกัน”

“ก็แบบนี้แหละที่ไม่เข้าใจ ฟังก่อน ฟังพี่” จากโอบประคองหลวมๆ ขวัญสรวงออกแรงกอดจนแน่น เต็มแขนทั้งสองข้าง

“ไม่ฟัง ปล่อยนะ”

“ไม่ ยังไงก็ไม่ปล่อย จะกอดมันแบบนี้แหละ”

เขาปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำ แต่เมื่อเห็นดวงตาหวานสวยคู่นั้นมีหยาดน้ำฉ่ำคลอขึ้นมา ส่วนแข็งในใจก็พลันโอนอ่อนโดนไม่รู้ตัว เผลอเผยความรู้สึกส่วนลึกออกมาทั้งหมด

“เรียม...พี่ไม่ได้ใจร้าย ไม่เคยคิดรังแกน้ำใจเจ้า ขอให้เจ้าโปรดรับรู้ไว้เถิด ความรู้สึกของพี่นี้ห่างไกลเกินกว่าความชอบ มันอาจไกลเกินที่เจ้าเคยคะเนถึง เพราะพี่รัก...รักเจ้าคนเดียว รักแบบที่ไม่เคยรักใคร”




(ยังมีต่อครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2015 14:04:24 โดย Lucea »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด