► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► เพลงปีกผีเสื้อ ◄ - ตอนที่ ๑๔ ♫ ♬ ♪ (๒๕ พฤศจิกายน)  (อ่าน 51229 ครั้ง)

ออฟไลน์ narunarutoboyz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 595
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
อ่านมาตั้งเเต่ต้น ชอบในภาษามากๆๆๆ ยอมรับว่ามีอึดอัดที่ตัวละครทำอะไรไม่ทันใจคนศตวรรษนี้เล้ยยยย
แต่เข้าใจค่ะ เพียงเเค่มันลุ้นจนเกร็งมากๆเฉยๆเพราะเราก็ชอบดูละครไทยเเนวนี้เป็นปกติอยู่เเล้ว
ยิ่งมาเป็นนิยายวายในยุคนั้นด้วยเเล้วนี่แอบฟินพ่วงความรู้สึกเป็นห่วงค่ะ เพราะคนสมัยนั้นนี่ไม่ยอมรับออกสื่อเลย
แม้จะมีการเล่นเพื่อนหรือมีนายในในวังกันจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะทำใจยอมรับกันได้เท่าสมัยนี้
เอาเป็นว่านั้นคือเรื่องในอนาคต ไว้เราไปเครียดพร้อมกัน ตอนนี้ขอเอ็นดู๊เอ็นดูวน้องเรียมก่อนดีกว่า
โอ๊ยยยยยยย ไอ้เราก็นึกว่าเครียดเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องของกำนัล ลูกกำนัน
โถวววววววว พ่อยอดขมองอิ่มของเจ้!!  :man1: นี่นึกออกเลยนะว่าถ้ารู้ความจริงจากปากพี่ขวัญ
คงเเจกค้อนนิ่งๆให้พี่ขวัญไปหลายอยู่ อิอิ

ส่วนเรื่องจ้อย จากตอนก่อนหน้านี้ดูน่าหมั่นไส้ ไปๆมาๆกลายเป็นเเค่เด็กโก๊ะๆคนนึงสินะ
ไม่รู้ว่ามโนไปเองจัดจนคิดว่าจ้อยจะมีคู่ นี่คุณLucea จ้อยจะมีรึเปล่าคะ? อิอิ  :teach:

จะติดตามและเป็นกำลังใจให้เรื่องนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงวันรวมเ่มเลย คึคึคึคึ o3  :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ Apitchaya

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ้ยยยยยย
จะตายกับประโยคตัวสั่นเป็นลูกหนูเลยน้องพี่
คือละมุนนนน
อีกหน่อยจะเป็นตัวสั่นเป็นลูกหนูเลยมียพี่ ไรแบบนี้ป่ะค้าา 55555

น้องเรียมนี่ผู้ดีแบบสุดๆ ฟินมาก
พี่ขวัญมาหาน้องบ่อยๆนะ เดี๋ยวจ้อยได้มาอีกแน่
 ดีใจมากเลยค่ะที่มาอัพ เป็นกำลังใจให้มาอัพตอนต่อไปไวๆนะคะ 55555555

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
นี่ขนาดยังไม่ได้จีบเลยนะคะะะะ
กรี๊ดดดดดดด หวานมุ้งมิ้งมาก ฮืออออ
กินน้ำตาลไปหลายก้อนแล้วค่ะ ฮือออ ชอบบบ
บรรยากาศหวานๆ อุ่นๆ ละมุนๆ แบบนี้มันคืออะไรกันนนน

 :hao5:

น้องเรียมน่ารัก น่าเอ็นดู น่าถนอม เลอค่าเหลือเกิน
ชายขวัญเองก็อบอุ่น ใจดี สุขุม นุ่มลึก ดูเป็นผู้ใหญ่ ดูแลน้องได้
กิ่งทองใบหยกเป็นยังไงก็เพิ่งจะได้รู้  :-[

อ่านไปเขินไปค่ะ ฮืออออ
ขนาดยังไม่ได้จีบนะะะ ยังไม่ได้จีบบบ ทำไมเราเขินแล้ว แงง
ถ้าจีบกันจะไม่เขินกว่านี้หรอคะ? อยากเขินอีกเยอะๆ จังเลยค่ะ
ชอบมาก ออกตัวปกป้องน้องขนาดนี้ ทำดีมากค่ะชายขวัญ

นี่ขำมากตอนจ้อยป้อน้องเรียมแล้วโดนถูกน้องตอบกลับไปอย่างเย็นชา
ภาษาปัจจุบันแถวบ้านเรียกเงิบ 5555555555 คอยดูซิว่าต่อไปจ้อยจะทำยังไง
ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆ นะคะ เพราะจ้อยมีส่วนช่วยให้ชายขวัญกับน้องเรียมได้ใกล้ชิดกัน

ฮี่ๆ รอตอนหน้าาาาาา >__<

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
แวะมาสองค่ะ  :katai5:

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
เพลานั้นล่วงเลย รอต่อค่อนแคล้ว ตอนหก

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
กรี้ดดดดดดดดดดด เพิ่งได้กลับมาอ่านฮืออออออ
หลังจากต้องทุ่มเวลาไปกับไฟนอลหรรษา
ตอนนี้ข้ากลับมาแร้นนน555555
(แต่คนเขียนยังไม่กลับมาเลย 5555)

โง้ยยยยยยยยยย น้องเรียมมม น้องเรียมของพี่ งื้อออ
น่ารัก น่ารัก น่ารักกก ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านี้
พี่ขวัญก็นะ เท่จรุงงง อยากให้เขาอยู่ด้วยกันเยอะๆ
พี่ขวัญพาน้องไปเที่ยว เปิดหูเปิดตา
ใกล้ๆก็พาตลาด ไกลๆก็พาเที่ยว ทะเล ออกตจว ไปเลย

ส่วนจ้อย.... ถ้านายไม่ร้าย เราจะยอมให้นายเป็นเพื่อนกะน้องเรียมก็ได้
แต่ถ้านายเป็นคนไม่ดี คิดจะมาตักผลประโยชน์เหมือนพ่อแม่นายละก็...
เราจะขอให้นายมีผัววววววววว !!!!

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
น้องเรียมพูดน้อยจังเลยค่ะ อยากจะรู้สิว่าผู้พิทักษ์ชื่อพี่ขวัญเมื่อไหร่จะได้พิทักษ์ใจน้องเรียม
ชอบเรื่องนี้ที่ภาษาของคุณ Lucea ภาษาสวยอีกแล้ว ไม่เคยผิดหวังจริงๆ ยิ่งมาอ่านเจอกลิ่นไทยๆไปแบบนี้ หลงเต็มๆ
เรื่องนี้ผูกปมอยู่ที่คุณเรียม เชื้อพระวงศ์ตาหวานของแม่ๆนี่แหละค่ะ อยากอ่านต่อแล้วน้า 

ออฟไลน์ ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-4
สนุกมาก ๆ เลยค่ะ
ภาษาละเมียดละไม ชอบมาก
อยากอ่านตอนต่อไปจัง แล้วจะรอนะคะ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๖





อธิปพับจดหมายจากนมละเอียดใส่ซองแล้วพูดกับสาวใช้ที่รออยู่

"ขอบใจแดงมากนะ ฝากบอกนมละเอียดด้วยว่าเสร็จธุระทางนี้ จะรีบกลับ ไม่ต้องเป็นห่วง"

เด็กสาวพนมมือรับคำมั่นเหมาะ กล่าวคำลาแล้วรีบเดินกลับไปที่รถ

เทียบกับความรู้สึกเมื่อวานตอนที่ได้ทราบเรื่องแล้วก็นับว่าใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังนับว่าห่างไกลจากความโล่งใจ ชายหนุ่มยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เฝ้าไข้ของเกสรผู้เป็นมารดาที่ป่วยด้วยโรคประสานธาตุ อาการป่วยไข้ของบุพการีนั้นถูกปัดเป่ารักษาด้วยทีมแพทย์ฝีมือดี แต่ความทุกข์ร้อนที่บางกะปินั้นเล่าจะเป็นอย่างไร

เมื่อไม่อาจประจักษ์ด้วยตาก็ยากคะเนได้ว่าเพื่อนบ้านที่ยื่นมือเข้ามาช่วยนั้นรู้สึกต่อเรื่องที่เกิดขึ้นแบบไหน อันไมตรีซึ่งคุณชายขวัญสรวงหยิบยื่นให้กับผู้เป็นนายของอธิปนั้นมีอยู่มากก็จริง แต่ทั่วพระนครก็รู้แจ้งว่าราชสกุลขัตติยพงศ์นั้นเป็นพวกถือสันโดษพอ ๆ กับเกียรติของตน ไม่เอาใครมาแต่ไหน

ชายหนุ่มจึงได้แต่พะวักพะวน หายใจก็ไม่คล่อง กระทั่งได้ยินเสียงเรียกจึงหันกลับมามอง เหมือนจงใจแกล้ง เมื่อจู่ ๆ พวกขัตติยพงศ์ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า อธิปปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ เอ่ยทัก

"คุณพิษณุ คุณพิรงรอง สวัสดีครับ"

พันตรี หม่อมราชวงศ์ พิษณุ และหม่อมราชวงศ์พิรงรองทักทายตอบตามมรรยาท จากนั้นผู้เป็นนายทหารก็เอ่ยขึ้น

"ไม่คิดว่าจะได้พบกันที่นี่ คุณอธิปไม่สบายอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ค่อยดี"

"มิได้ครับ ผมมาเยี่ยมคุณแม่ ท่านป่วยเป็นโรคประสานธาตุ อาการทุเลาลงบ้างแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนเพลีย" อธิปตอบ สีหน้าดูยิ้มแย้มขึ้น "ว่าแต่คุณชายมาทำธุระอะไรที่โรงพยาบาลหรือครับ"

พิษณุหันไปมองน้องสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วยิ้ม

"พาหนูอุ่นมาเยี่ยมเพื่อนครับ"

อธิปร้องอ้ออย่างเข้าใจ

"เพื่อนหนูอุ่นเป็นไข้หวัดใหญ่ค่ะคุณอธิป จามไม่หยุด คุณแม่เลยบังคับให้มาตรวจที่ศิริราช"

หม่อมราชวงศ์พิรงรอง หรือหนูอุ่นสับทับ อธิปจึงพยักหน้ารับคำ พูดตามน้ำ

"อากาศเปลี่ยน คนไม่สบายเยอะ"

หม่อมราชวงศ์พิรงรองนั้นเป็นคนไว้ตัวตามประสาสตรี สำรวม ระมัดระวัง แต่ก็มีความคิด ฉลาดเฉลียวคล่องแคล่วกว่าหญิงสาวส่วนมากในยุคสมัยนั้นมาก

ความฉลาดเฉลียวนี้เองที่ช่วยเจ้าตัวแยกแยะความเหมาะสม พิงรงรองสามารถสนทนาพาทีกับชายหนุ่มได้พอ ๆ กับเพื่อนผู้หญิงด้วยกันโดยปราศจากความรู้สึกกระดากอาย ตราบใดที่หัวข้อในการพูดคุยนั้นไม่ได้สื่อไปในทางผูกสมัครรักใคร่ เธอก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องต้องหลบซ่อนไม่สมควรแต่อย่างใด ข้อนี้เป็นสิ่งซึ่งอธิปนึกนิยมอยู่ในใจนับตั้งแต่การพบกันที่งานเลี้ยงในวังของหม่อมเจ้าภูวดลเมื่อหลายเดือนก่อน

พูดคุยทักทายได้สักพัก หญิงสาวก็เอ่ยปากตรง ๆ กับอธิปอย่างเป็นธรรมชาติ

"หนูอุ่นต้องขอประทานโทษกับคุณอธิปด้วยค่ะ พอดีต้องไปธุระต่อ เกรงว่าจะไปไม่ทัน"

ถ้อยคำตัดบทเอาเสียดื้อ ๆ นั้น หากเป็นคนอื่นพูดคงดูผิดมรรยาททางสังคมเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเป็นหญิงสาวที่บุคลิกคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉานอย่างพิรงรองแล้วนั้น กลับกลืนไปกับคำพูดธรรมดาได้อย่างเหลือเชื่อ

พิษณุเสียอีกที่ดูจะเป็นฝ่ายเกรงใจ

"หนูอุ่น ทำไมถึงพูดแบบนั้น"

"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณชาย"

เมื่อเห็นอธิปไม่ถือโทษโกรธเคือง นายทหารหนุ่มจึงดูเบาใจขึ้น แต่ก็ไม่วายเอ็ดผู้เป็นน้องสาวด้วยสายตา

"กระผมคงไม่รบกวนแล้ว ต้องขอประทานโทษที่วันนี้ไม่สะดวกไปเยี่ยม ต้องพาหนูอุ่นไปธุระต่อ ขอให้คุณแม่คุณอธิปหายไข้โดยไวครับ ถ้าสะดวก กระผมจะถือโอกาสมาเยี่ยมในคราวหลัง"

"ขอบคุณคุณชายมากครับ"

พอจะเอ่ยปากลา พิษณุก็ถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

"แล้วนี่คุณอธิปมาคนเดียวหรือครับ"

"ครับ แต่ช่วงบ่ายคุณพ่อคงตามมา"

ได้ยินเช่นนั้น พิษณุจึงเอ่ยปากลาแล้วปลีกตัวออกมา





"เมื่อครู่ พี่ชายถามถึงใครหรือคะ"

พิรงรองถามขึ้น ระหว่างที่รถยนต์แล่นออกจากพื้นที่ของโรงพยาบาลศิริราชไปแล้ว พิษณุชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามความคิด

"พี่แค่ถามเผื่อ"

"หนูอุ่นเห็นพี่ชายเหมือนมองหาใคร เลยนึกว่าพี่ชายอาจถามถึงคนรู้จัก"

คนเป็นพี่ชายได้ยินแล้วก็ยิ้มเรื่อย ๆ ก่อนจะถามถึงจุดหมายปลายทาง

"ให้พี่ไปส่งที่สะพานหัวช้างต่อใช่ไหม"

"ค่ะ หนูอุ่นนัดกับกัลยาเอาไว้ พี่ชายรู้ไหมคะว่าโรงหนังที่เพิ่งเปิดใหม่ของครอบครัวเพื่อนหนูอุ่นคนนี้ ทันสมัยไม่แพ้กับเมืองฝรั่งเลย ถ้าไม่ติดธุระอะไรอยู่ดูด้วยกันสิคะ"

คำตอบของพิษณุคือ

"ไม่ดีกว่า"

หญิงสาวถอนใจกับคำตอบที่ได้ยิน ในหัวสมองของพี่ชายเธอคงมีแต่เรื่องยุทธศาสตร์การทหารและภาระหน้าที่ในการปกปักษ์ผืนแผ่นดินสยาม ไม่เคยมีเรื่องความสนุกสนานบันเทิง ไม่เคยมีอะไรมากกว่านั้น เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่เป็นเด็ก และก็คงจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน

พิรงรองไม่รู้เลยว่าในความคิดของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่เคยคิดถึงแต่เรื่องหน้าที่ ความรับผิดชอบนั้น บัดนี้กลับมีใครคนหนึ่งที่เคยพบกันโดยบังเอิญเมื่อหลายเดือนก่อนแทรกตัวเข้ามา

ออกจะเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แม้แต่พิษณุเองก็ฉงนกับความคิดชั่ววูบซึ่งพลุ่งขึ้นมาในตอนที่เห็นอธิป





อีกด้านของโรงพยาบาลที่พิษณุเพิ่งจากมา อธิปกลับมาเข้าห้องพักฟื้นของผู้เป็นมารดาก็พบกับเริญดนุภพยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ เอ่ยทักด้วยความปิติระคนความประหลาดใจ

"คุณเริญ"

เริญดนุภพรับไหว้ด้วยท่าทีสบาย ๆ

"กระหม่อมต้องขอประทานโทษเพคะ เสด็จถึงนานแล้วหรือกระหม่อม"

"ไม่เอาน่าอธิป เคยบอกแล้วนี่ อย่าใช้ราชาศัพท์กับเราและน้องเรียมเลย"

"ขอรับ"

"ครับก็พอ" เริญดนุภพเอ่ยยิ้ม ๆ "เราเพิ่งมาถึง อาการคุณแม่ เห็นว่าหมอบอกว่าดีขึ้นมากใช่ไหม"

"ครับ พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ต้องพักฟื้นอีกสักระยะ"

สีหน้าของคนมาเยี่ยมดูโล่งใจไปมาก

"ต้องขอโทษด้วยที่มาช้า เพิ่งกลับมาจากฮ่องกง ทราบเรื่องจากน้องดาก็ตรงมาที่นี่เลย"

น้องดาที่ว่านั้นหมายถึงหม่อมจินดา คู่ชีวิตของเริญดนุภพ ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปีกลายที่อังกฤษ เมื่อกลับถึงประเทศไทย วิศาลผู้เป็นบิดาเป็นผู้ดำเนินการเรื่องเอกสารทางกฎหมายต่าง ๆ ให้ นั่นเป็นครั้งแรกที่อธิปได้รู้เรื่องเกี่ยวกับสมาชิกในราชสกุลภัทรกุล และระลึกจดจำได้อย่างแม่นยำทุกพระองค์

"ขอบคุณหม่อมจินดามากครับ ช่วยเป็นธุระให้ผมกับคุณพ่อมากมาย ไม่อย่างนั้นคงฉุกละหุกกว่านี้"

"อย่าถือเป็นธุระเลย อธิปเองก็ช่วยเราไว้มาก" เริญดนุภพเอ่ยด้วยความเมตตา ไม่ถือเรื่องใหญ่โต "เรียมเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม"

"สุขภาพแข็งแรงดีครับ อาหารไทยก็ทานเก่งขึ้นมาก เคยชมว่าถูกปาก"

น้ำเสียงของอธิปฟังดูร่าเริงแจ่มใส แต่เพียงครู่เดียวก็เจื่อนลงด้วยความไม่สบายใจ

"แต่ช่วงสองวันที่ผมมาที่นี่เกิดเหตุนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตอนนี้คงไม่มีปัญหาแล้ว"

"เรื่องอะไรหรือ"

"คล้าย ๆ กับเดิมน่ะครับ"

สีหน้าของอธิปดูไม่ใคร่สบายใจนักในตอนที่ตอบคำถาม

เริญดนุภพเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

"ไม่จบไม่สิ้นเอาเสียจริง ๆ สินะ แล้วนี่ทำอย่างไร"

"ต้องขอบคุณเพื่อนบ้านน่ะครับ"

"หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตนั่นหรือ"

"มิได้ครับคุณเริญ เป็นคุณชายขัตติยพงศ์"

สีหน้าของเริญดนุภพเผยแววประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับนิ่งเป็นปรกติ

"ขวัญสรวงนั่นหรือ"

เมื่ออธิปรับคำ ชายหนุ่มก็พยักหน้า ก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้าซึ่งอยู่มุมห้องด้านท่าทีผ่อนคลาย

"ว่าไปแล้วตั้งแต่ตำหนักน้อยสร้างเสร็จ ก็ยังไม่ได้ไปดูเลยสักครั้ง เห็นทีคราวนี้คงต้องไปดูให้เห็นด้วยตาว่างามสมกับที่น้องดาเขาชมนักหนาหรือเปล่า แล้วจะได้ไปเยี่ยมเรียมด้วย ดูว่าจะทานอาหารไทยเก่งขึ้นจริงหรือเปล่า"

ถือโอกาสอันดีที่จะได้ไปพบตัวจริงของคุณชายขัตติยพงศ์สักครั้ง





ระหว่างที่พาชมคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ ขวัญสรวงกลับลอบมองเรียมลลิตร สำรวจอย่างเพลินตาพลางนึกชมรสนิยมในการแต่งกายของอีกฝ่ายอยู่ในใจ

ลักษณะการแต่งกายของเรียมลลิตรนั้นแตกต่างจากคนทั่วไปที่มักจะสวมเสื้อและกางเกงในโทนสีที่ใกล้กันตามสมัยนิยม เช่นถ้าสวมเสื้อสีฟ้า กางเกงก็มักจะเป็นสีกรมท่าเข้าชุด แต่ชายหนุ่มกลับสวมกางเกงผ้าวูลสีเทานวล แม้จะตัดกับสีฟ้าอ่อนของตัวเสื้อเชิ้ต แต่กลับดูเข้าชุดกันอย่างประหลาด

อาจเพราะผ้าพันคอผืนเล็กที่ซ่อนชายไว้ในเสื้อนั้นที่ร้อยโทนสีซึ่งตัดกันได้อย่างฉลาด ลักษณะการแต่งกายแบบนี้คล้ายกับเหล่าสังคมชั้นสูงในยุโรปกำลังนิยม ผู้ชายจะแต่งกายด้วยโทนสีเรียบซึ่งต่างกันเล็กน้อยแต่เลือกเครื่องประดับอย่างอื่นให้ล้อกันเป็นลูกเล่น ทำให้ดูลงตัว

เช้าวันนี้ ขวัญสรวงเลาะรั้วด้านหลังไปพบนมละเอียดเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการให้เรียมลลิตรมาพักที่คฤหาสน์ขัตติพงศ์ชั่วคราว อย่างน้อยก็ช่วงวันสองวันนี้ ระหว่างที่รออธิปกลับมาจากตัวเมืองพระนคร หากมีผู้ใดมาขอพบ เมื่อเจ้าบ้านไม่อยู่ก็จะได้มีเหตุผลสมควรแก่การปฏิเสธไม่ต้อนรับใคร

"ช่วงที่อธิปไม่อยู่ก็มาพักที่นี่ก่อน ถือว่ากันไว้แต่เนิ่น ๆ ไม่ได้ลำบากอะไร บ้านนี้มีหลายห้อง ปิดไว้ไม่ได้ใช้ ดีเสียอีก ถือว่าได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ พี่จะพาไปดูห้อง อยู่อีกปีกของตึก"

เจ้าบ้านพาเดินตรงไปยังห้องที่อยู่สุดปลายทางเดินที่มักใช้เป็นห้องพักอาศัยของแขก ขณะที่ผ่านห้องหนึ่ง เรียมลลิตรก็หยุดยืนนิ่ง คล้ายสนอกสนใจ

ห้องนั้นอยู่เยื้องไปจากห้องนอนของขวัญสรวงเพียงเล็กน้อย เป็นห้องที่มีขนาดกะทัดรัดแต่สามารถเห็นทัศนียภาพของคลองบางกะปิจากอีกฝั่งได้สวยกว่าห้องใด

ขวัญสรวงเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองนิ่งนานก็ครุ่นคิด สักพักก็ตัดสินใจเดินนำเข้าไปด้านใน

ลำแสงอ่อน ๆ ลอดคลื่นเมฆเข้ามาทางหน้าต่าง กระทบฟูกหนาหุ้มแพรสีนวลที่ขึงจนตึงเรียบ เตียงนอนยกเสาขึ้นจากมุมทั้งสี่ด้าน คลุมด้วยมุ้งตาพริกไทยอย่างดี อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะเครื่องแป้งขัดมุกพร้อมกับบานคันฉ่อง ตั้งพานและโถสลักลายดอกพุดตาน ข้างกันเป็นตลับเครื่องใช้จุกจิกเข้าชุด ด้านล่างมีกระโถนที่ทำจากเงินแท้วางไว้ ถัดไปไม่ไกลนั้นเป็นพื้นที่ในส่วนที่ใช้พักผ่อนอ่านหนังสือ ทีโต๊ะทำงานและเก้าอี้สลักเสลาเป็นลวดลายอ่อนช้อยเข้าชุดกัน

"ชอบไหม หรืออยากจะดูห้องอื่นอีก"

"ที่ไหนก็ได้ครับ"

ขวัญสรวงอมยิ้ม ชายหนุ่มยื่นมือออกมาด้านหน้าแล้วยกค้างไว้อย่างนั้น

"มานี่สิ"

นิ่งไปสักพัก เรียมลลิตรจึงยกมือขึ้นวางบนฝ่ามืออุ่น ขวัญสรวงค่อย ๆ จูงมือของอีกฝ่ายให้เดินไปด้วยกัน กระทั่งถึงที่หน้าต่าง จึงใช้มืออีกข้างเปิดม่านออก

แพสีเขียวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าดุจพรมอ่อนนุ่มที่ปูทอดไปจนสุดริมน้ำ เยื้องไปทางด้านซ้าย กิ่งพะยอมที่ใกล้กับวงกบมีนกกระจาบทำรังอยู่ แม่นกตัวจ้อยกำลังทอฟางเส้นเล็ก ๆ สานกันจนเป็นรูปร่างคล้ายน้ำเต้าทรงเพรียว

"มีนกทำรังด้วย"

ขวัญสรวงยิ้ม ออกแรงที่มือซึ่งเกาะกุมอยู่เพียงน้อยเพื่อเรียกให้อีกฝ่ายหันไปมองอีกด้าน

"ดูนั่นสิ"

จากสายตาที่ทอดมองไปบนกิ่งไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหน้าต่าง เรียมลลิตรเห็นกระรอกสองตัวกำลังแทะลูกไม้ หางฟูฟ่องของพวกมันแกว่งไกวไปมาคล้ายกำลังหยอกสายลม

เหมือนจะเห็นว่าถูกจ้องมองอยู่ เจ้าของพวงหางสีน้ำตาลนวลเหล่านั้นจึงชะเง้อหน้าขึ้นมองกลับ พอเรียมลลิตรเอียงคอ ขยับตัวให้มองชัดขึ้น พวกมันก็รีบวิ่งซุน กระโดดขึ้นกิ่งไม้ต้นนั้นต้นนี้เหมือนเด็กวัยกำลังซนสองคนวิ่งหนีคุณครูอยู่ในสนามเด็กเล่น เรียกรอยยิ้มของคนที่มองอยู่ให้คลี่แย้มด้วยความเอ็นดู

"น่ารักจังนะคะ"

เสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ต่างกับเสียงลมต้องกิ่งไม้นั้นสะดุดหูของขวัญสรวง แรงสั่นสะเทือนน้อย ๆ กำซาบไปทั่วอกจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ

"นะคะ?"

เรียมลลิตรสบตาของคนที่มองอยู่ ไม่ได้พูดสิ่งใด แต่เยื้อนยิ้มในแววตา

ขวัญสรวงชะงัก เงียบไปพักใหญ่ ขณะที่ร่างแบบบางหันกลับไปมองทิวทัศน์เบื้องหน้า ดวงตาคมก็คอยลอบมองใบหน้างามพิสุทธิ์ด้านข้างนั้นด้วยความรู้สึกหวิว ๆ ในอก

สายลมเอื่อยอ่อนต้องผิว พัดความร้อนบนเนื้อตัวให้จางหาย แต่ในใจของชายหนุ่มนั้นกลับอุ่นวาบราวกับสัมผัสแสงอรุณยามเช้า

"พี่นึกไม่ถึง"

เรียมลลิตรค่อย ๆ หันกลับมามอง เงียบนิ่งเหมือนรอฟังด้วยความฉงน

"ที่พูดคะ”



(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)



เสียงทุ้มขรึมนั้นเว้นห้วงไปอีกพักใหญ่ จึงพูดต่อ

“พี่ว่าเหมาะกับน้อง"

ร่องรอยแห่งความสงสัยคลายออกเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แย้มขึ้นในดวงตาคู่สวย เรียมลลิตรเอ่ยนิ่ม ๆ ตามนิสัย

"เมื่อยังเด็ก ผมชอบเล่นสนุก เช้าจดเย็นลืมเวลา แล้วจะโดนนมละเอียดเอ็ด โดนจับนั่งพับเพียบ เอาไม้ตีตาตุ่ม หัดให้สำรวม พูดคะขา จะได้คลายซนลงบ้าง"

เรียมลลิตรเล่าไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ตัวว่าเผลอสนทนามากกว่าทุกครั้ง ทั้งยังใช้น้ำเสียงสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากเกินกว่าที่ตนเองจะคาดคิด

"จำได้ว่าตอนนั้นนั่งนานจนตะคริวกินเท้าไปหมด หิวจนปวดท้อง นมละเอียดให้ทำอะไรก็ทำ ไม่พยศ พอนานเข้าก็ติดเป็นนิสัย"

ขวัญสรวงยืนรับฟังอย่างเงียบ ๆ แต่ละถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาตินั้นทำให้ยิ้มกริ่มอย่างเพลิดเพลิน

“นึกภาพน้องซนไม่ออก”

“ซนครับ ผมโดนก้านมะยมหวดประจำ”

ขวัญสรวงหัวเราะ กระนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกทึ่ง

ใครจะคิดว่าคนที่ดูนิ่งสง่า กิริยาวาจางดงาม สำรวมสุภาพแบบนี้ ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผู้ใหญ่ปวดหัวเพราะซนมาก่อน ชายหนุ่มจึงได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสนใจ มีความสุขที่ได้รับฟังเรื่องต่าง ๆ อย่างไม่รู้เบื่อ จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

จวบจนกระทั่งความเบิกบานใจเกินกว่าเหตุนั้นบรรเทาลงจนปรกติ ชายหนุ่มจึงกระชับมือที่เกาะกุมขึ้นแล้ววกกลับมาพูดถึงเรื่องที่ค้างไว้

"อยู่ที่นี่จะซนเท่าไรก็ได้ พี่ไม่ดุ สัญญาว่าจะไม่เด็ดก้านมะยมมาเฆี่ยน”

เรียนลลิตรเผลอหัวเราะเบา ๆ รวงแก้มปลั่งเป็นสีชมพูระเรื่อ

“กลางวันก็อยู่เสียที่นี่ ขาดเหลืออะไรก็บอกให้นมละเอียดจัดหา สายบุญก็ได้ บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ไม่ยุ่งยากอะไร นานเข้า คนที่ราวีเขาจะได้เลิกราไปเอง ไม่ขุ่นข้องหมองใจกัน"

ได้ยินแล้ว คนหนีร้อนมาพึ่งเย็นก็เอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ

จากหน้าต่างของห้องที่ยืนอยู่นั้น สามารถมองเห็นบริเวณด้านข้างของตำหนักน้อยได้เช่นกัน แม้จะไม่ถ้วนทั่วอาณาเขตแต่ก็มากพอจะให้ประจักษ์ถึงทัศนียภาพเกือบทั้งหมดด้วยไม่มีร่มไม้สูงกำบัง ขวัญสรวงจึงแนะตามเหมาะสม

"ที่บ้านน้องควรปลูกต้นไม้ไว้บ้าง มีไม้มงคลหลายอย่าง นอกจากจะร่มรื่น ให้ดอกให้ผล ร่มไม้เหล่านี้ยังช่วยพรางสายตาคนนอก เป็นกุศโลบายของคนโบราณท่าน"

"กุศโลบาย?"

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มของคนตัวสูงขึ้นอีกครั้ง ขวัญสรวงแกล้งแชเชือน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำเป็นไม่ได้ยิน

ผ่านไปสักครู่ ใบหน้าเรียบเฉยจึงหันมามองพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความฉงน ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายอมยิ้มเบิกบานใจหนักหนา

"ทำไมต้องยิ้ม"

ยิ่งปราม เหมือนยิ่งยุ คนตัวโตกว่าจึงยิ้มเอา ๆ

"พี่ยิ้มไม่ได้หรือ"

เรียมลลิตรมองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์กรุ่น เพราะความไม่สันทัดแตกฉานในภาษาไทย คราก่อนที่เข้าใจผิดเรื่อง "ลูกของกำนัน" กับ "ของกำนัล" จึงถูกขวัญสรวงหยอกเย้าเสียพักใหญ่ พอครานี้ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "กุศโลบาย" ขวัญสรวงคนเดิมก็เอาแต่ยิ้มเย้า ชื่นมื่นนักหนา

ร่างประเปรียวเบือนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉุนไปอีกด้าน ก่อนจะเอี้ยวตัว ก้าวขากลับไปทางประตู

แต่ขวัญสรวงนั้นขืนแรง ไม่ยอมปล่อยมือ

"จะไปไหนหรือ"

"มานานแล้ว นมละเอียดคงรอ สมควรกลับเสียที"

จริงอยู่ที่ใบหน้านั้นยังคงเรียบนิ่งเป็นปรกติ หากแต่เสียงแผ่วเนิบกลับลงน้ำหนักคำกว่าทุกครั้ง

มีหรือที่คนช่างสังเกตจะไม่รู้สึก

ขวัญสรวงรีบเอียงหน้าหนีไปอีกด้าน กำมืออีกข้างหลวม ๆ แล้วยกมาป้องเหนือริมฝีปาก จากนั้นก็ลอบหัวเราะจนร่างที่สูงใหญ่สั่นไหว

แม้ว่าหันหลังอยู่ หากแต่บ่าและหัวไหล่ที่กระเพื่อมน้อย ๆ นั้นก็ชัดเจนพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายหันหน้าไปอีกด้านเพราะเหตุใด เรียมลลิตรจึงเอ่ยปากอีกครั้ง

"อะไร"

คนตัวโตค่อย ๆ หันกลับมาด้วยท่วงท่าที่ดูขรึม ทว่าดวงตาอันสุขุมคู่นั้น บัดนี้กลับดูขี้เล่น แจ่มใส เบิกบานเต็มที่ ยิ่งไม่มีคำตอบให้ คนที่เอ่ยถามก็ยิ่งปั้นปึ่ง

"งอนหรือ"

เอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งคล้ายกับว่าเป็นคนแปลกหน้ากัน ไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อไม่ได้มีถ้อยคำใดกลับ คนอารมณ์ดีนักหนาก็เอ่ยต่ออย่างไม่ลดละ

"ทำไมเรียมต้องงอนพี่"

คนถูกถามไม่ได้ตอบความ แต่มุ่นหัวคิ้วขมวดขึ้น ริมฝีปากบางเรียบเชิดจนรั้นรับกับปลายจมูก

ขวัญสรวงนั้นกลับยิ่งเบิกบานใจ ถึงขนาดแกล้งออกแรงดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วตะครุบตัวเอาไว้ด้วยสองแขน

คนตัวสูงทิ้งน้ำหนักลงนั่งที่ขอบหน้าต่าง ดึงอีกฝ่ายที่ขืนตัวไว้ให้เข้ามาใกล้ขึ้นอีก ยิ่งฝืน ก็ยิ่งออกแรงรั้ง กระทั่งเรียมลลิตรนั่งลงบนตักนั่นแหละ ขวัญสรวงจึงพอใจ

ใบหน้าคมคายแหงนขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มกังวานจะแว่วขึ้น

"ทำไมน้องจึงชอบเอาแต่ใจนัก"

"อย่าทึกทักแบบนั้น"

รอยย่นระหว่างหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ทั้งยังใบหน้าที่แสดงความรู้สึกไม่ชอบใจ ล้วนทำให้ขวัญสรวงอมยิ้ม

"เดี๋ยวนี้แสดงความรู้สึกได้ด้วยหรือ"

"แล้วทำไมถึงต้องแสดงไม่ได้ล่ะ?"

น้ำเสียงผะแผ่วนั้นยังคงเชื่องช้า แต่ผู้พูดนั้นเอ่ยมันขึ้นทันควัน

"ผมจะกลับแล้ว"

ขวัญสรวงไม่ปล่อยมือ

"พี่ไม่ให้กลับ"

เมื่ออีกฝ่ายดื้อแพ่ง เรียมลลิตรจึงทำได้แค่เพียงเบือนหน้าไปอีกด้านแล้วนิ่งเงียบเป็นรูปปั้น

"เรียม” คนตัวสูงเอ่ยเสียงกระซิบ “น้องพี่ โปรดฟังก่อน"

การหยอกนั้นสิ้นสุดไปนานแล้ว ขวัญสรวงกอดคนที่นั่งอยู่บนตักตัวเองเต็มมือ แม้จะเป็นอากัปกิริยาที่ค่อนข้างแปลก แต่เมื่อเทียบกับความไม่สบายจิตใจที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึกก็เปรียบดังธุลีเล็ก ไม่มีความหมายใดให้ชายหนุ่มใส่ใจ

ใบหน้าคมเข้มเอียงเข้าหา เอ่ยแต่ละถ้อยคำด้วยความสัตย์

"พี่เป็นห่วง อยากให้เสียอยู่ที่นี่ด้วยกัน น้องอยู่ที่บ้าน ถึงใกล้เท่านี้แต่ก็ไกลพี่ ไม่รู้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง พี่ก็พลอยกังวล"

เสียงทุ้มนั้นเว้นห้วง คล้ายจะรอว่าคนฟังว่าว่ากล่าวสิ่งใด แต่เมื่อทุกสิ่งยังคงนิ่งดังเดิม ขวัญสรวงจึงเปรยต่อด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ

"ใช่เพียงแต่พี่ นมละเอียดก็คงกลัดกลุ้ม เรียมไม่สงสารท่านหรือ"

แผ่นหลังนั้นยังคงสง่าตั้งตรงเป็นฉาก เปรียบดังกำแพงสููงทรงพลัง เรียมลลิตรยังคงเงียบ ไม่ขยับแม้แต่น้อย จนคนพูดชักใจคอไม่ดี แง่งอนก็เรื่องหนึ่ง แต่ความสุขสงบปลอดภัยจากแขกที่เจ้าบ้านคงไม่เต็มใจต้อนรับนั้นสำคัญกว่ามาก

ขวัญสรวงลากลมหายใจยาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"อยู่ที่นี่ มีอะไรจะได้ช่วยกันดูแล พี่เต็มใจ ไม่ถือเป็นเรื่องลำบากให้ต้องเกรงใจกัน"

เงียบไปชั่วครู่เหมือนครุ่นคิดตรึกตรอง สุดท้ายคนไม่ยอมพูดจาก็เอ่ยปากขึ้น

"ไม่ชอบให้จ้อยมาที่บ้านอย่างนั้นหรือ"

ใบหน้าที่ไม่สบายใจของคนที่ปรกติมักยิ้มแย้มอยู่เสมอทำให้เรียมลลิตรเป็นกังวลเกินกว่าจะใส่ใจกับความหมางเมินเล็กน้อย

"เขาเป็นคนอันตรายหรือ"

ขวัญสรวงนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกหลายหลาก ไม่เชิงว่าสิ้นคำตอบ แต่ลังเลว่าจะพูดอย่างไรเสียมากกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจเรียกเต็มปากได้ว่าถูกหลู่เกียรติ อารมณ์ฮึกเหิมของจ้อย สุดท้ายก็เปรียบได้เพียงสุนัขเห่าใบตองแห้ง ความต่างนั้นมีมากเสียเกินกว่าจะนำมาเทียมกัน

เรียมลลิตรเองก็เงียบไปนานเหมือนครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น

"ถ้าทำให้ทุกคนเป็นกังวลขนาดนั้น จะบอกให้เขาไม่มาอีกแล้วกัน"

ยังมีแก่ใจเป็นห่วงจ้อยอีกหรือ

ขวัญสรวงเอ่ยคำถามนั้นกับตนเองในขณะที่สบดวงตาคู่สวย แววตาคู่นั้นกำลังแสดงความรู้สึกผิดอยู่ในที

แม้ภายนอกจะคล้ายคนนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก แต่ขวัญสรวงกลับตระหนักรับรู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อ เห็นแก่ความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้าเป็นคนอื่นคงไม่จบลงด้วยความรู้สึกเมตตาปรานีของเจ้าบ้าน ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าน้ำใจของเรียมลลิตรนั้น มีพลานุภาพเหนือกว่าความใหญ่โตของจ้อยเหลือคณา

"หิว"

จู่ ๆ คนที่นั่งอยู่บนตักก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อเห็นคนที่นั่งกอดมองอย่างตกตะลึงก็เอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงช้าเนิบ

"หิวแล้ว"

ความตึงเครียดค่อย ๆ คลี่ออก ขวัญสรวงยิ้มขึ้นทันที ลืมเรื่องไม่สบายใจต่าง ๆ ไปเสียสิ้น

"อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม"

"ไม่รู้" เรียมลลิตรตอบสั้น

"อาหารน่าจะพร้อมแล้ว วันนี้สายบุญคงทำกับข้าวหลายอย่าง พี่ว่าเราลงไปดูข้างล่างกันไหม" ขวัญสรวงจับร่างเปรียวที่อยู่บนตักให้ลุกขึ้นขึ้น แล้วเดินนำออกไปจากห้อง "แต่คงต้องรีบหน่อย บ่ายนี้ ลูกศิษย์จะมาที่บ้าน"

เรียมลลิตรพยักหน้าน้อย ๆ รับอย่างไม่ติดขัด ก่อนจะเอ่ยถาม

"ได้สิ แล้วนายสิทธิ์เป็นใครหรือ"

คนตัวสูงหันขวับกลับมามอง ทั้งที่รู้ว่าจะต้องโดนอีกฝ่ายคาดโทษเข้าให้อีก แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ

"อะไร"

จำเลยไม่ได้ตอบคำถามแต่ฉีกยิ้มกว้างเต็มที่ เรียมลลิตรรับรู้ได้ในขณะนั้นเองว่าตนคงไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างแตกฉาน และเมื่อขวัญสรวงไม่มีทีท่าว่าจะให้คำตอบ จึงค่อย ๆ พูดทีละคำเหมือนจะเปรยกับตนเอง

"อธิปน่าจะรู้จัก"

เพียงประโยคสั้น ๆ ที่แว่วขึ้นนั้นกลับทำให้รอยยิ้มของขวัญสรวงค่อย ๆ เจื่อนลงอย่างง่ายดาย





ช่วงเวลากลางวัน ท้ายตลาดอันเป็นที่ตั้งของเวทีลิเกจะค่อนข้างเงียบเหงา มีเพียงแผ่นป้ายเขียนด้วยลายมือว่าค่ำนี้จะมีการแสดงลิเกเรื่องใดพอให้พอรู้ว่ายามตะวันลับไปจากขอบฟ้าไปแล้ว ความคึกคักจึงจะกลับมาอีกครั้ง

ชีวิตชีวานั้นซ่อนอยู่หลังเวที เมื่อไม่ได้ทำการแสดง ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตของตนเอง บ้างก็ฟังละครวิทยุ บ้างก็นอนคุดคู้ บ้างก็นั่งเล่นไพ่ พวกช่างศิลป์ทำฉากก็จะทำงานซ่อมแซมสีที่ถลอกจางของตน

คณะลิเกเทวราชของนางผุยประกอบด้วยนักแสดง เหล่าช่างที่คอยดูแลเปลี่ยนอุปกรณ์ เหล่าแม่ครัวคอยหุงหาอาหาร รวมแล้วก็ร่วมยี่สิบชีวิต ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหลังเวที ไม่แบ่งแยกชายหรือหญิง เด็กหรือชรา กินด้วยกัน นอนด้วยกันหลังฉากไม้ตีกั้นง่าย ๆ แห่งนั้น

จันดีเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด หล่อนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนางผุย เจ้าของคณะลิเก ข้อนี้จึงนับเป็นข้อยกเว้น หล่อนจึงมีที่พักแยกออกมาต่างหาก มีความเป็นส่วนตัว ห้องหับน้ำท่าสะดวกสบายต่างจากคนอื่น

บ่ายนี้ ขณะที่นางผุยกำลังคิดบัญชีรายรับรายจ่ายของคณะลิเกเทวราช จันดี ผู้เป็นลูกสาวกลับเพลิดเพลินกับการดูเครื่องประดับแพรวพรรณในหีบ ทุกอย่างล้วนเป็นของงาม มีราคาสมกับผู้เป็นเจ้าของห้อง ในตอนที่หญิงสาวกำลังส่องกำไลหยกชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้มาจากจ้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของนายดำ หัวหน้าฝ่ายช่างศิลป์ของคณะลิเก

"แม่ผุย จันดี นายศักดิ์มาขอพบ"

หลังจากได้ยินเสียงตอบรับของเจ้าคณะ ประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมกับนายศักดิ์ ผู้ติดตามของจ้อยซึ่งคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

"ดำ เอ็งออกไปก่อน ข้าจะคุยธุระ"

สิ้นคำสั่งของนางผุย ประตูก็ปิดสนิทลงอีกครั้ง

ศักดิ์หันมาหาหญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่กลางห้อง จันดีรู้ดีว่าควรทำอย่างไร หล่อนส่งยิ้มหวาน ใบหน้าที่งามแฉล้มจึงยิ่งดูสวยสะกดใจ

"พี่ศักดิ์มีธุระอะไรกับจันดีหรือเปล่าจ้ะ"

ศักดิ์พยักหน้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจที่ดังขึ้น

"ข้าแวะมาบอกว่าวันนี้พี่จ้อยคงไม่มา ไม่ต้องรอให้เสียเวลา"

"จ้ะพี่ จันดีต้องขอบใจพี่ศักดิ์มากนะจ๊ะที่ส่งข่าว"

หล่อนตอบเสียงหวานใส เป็นกันเอง ปราศจากอาการขวยเขิน ผิดกับนางผุยที่ดูจะประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลง

"เป็นอะไรรึ หรือว่าไม่สบาย"

"สบายน่ะสบายดี แต่พักนี้ไม่รู้เป็นอะไร ดูเบื่อ ๆ ไม่มีอารมณ์ออกไปรื่นเริงอะไรเหมือนเมื่อก่อน"

"หรือจะเบื่อนางจันเข้าแล้ว" นางผุยโพล่งขึ้นอย่างคนที่นั่งไม่ติด "ติดพันสาวใหม่หรือ นายของพ่อศักดิ์มีมองสาวคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า"

"ไม่เห็นนะ"

"หรือว่านางน้ำทิพย์ ลูกแม่บานชื่นนั่น เห็นว่าหน้าตากิริยาใช้ได้"

"ไม่ใช่หรอก ไม่เห็นจะไปบ้านนายเทิดแบบแต่ก่อน" ศักดิ์ส่ายหัวเหมือนจนปัญญา "ส่งข่าวแค่นี้ ข้ากลับละ เผื่อจะเรียกใช้ ไม่อยู่จะลำบาก"

"เดี๋ยวสิพ่อศักดิ์" นางผุยรั้งไว้

หล่อนเปิดลิ้นชัก หยิบห่อผ้าแพรจีนสีเลือดนกที่ใส่เงินเอาไว้ขึ้นมาแล้วเดินมาส่งให้กับศักดิ์ที่ยืนอยู่หน้าประตู

"ยังไงก็ขอบใจพ่อศักดิ์มากนะที่มาส่งข่าว มีอะไรก็อย่าลืมมาบอกกัน"

สีหน้าเคร่ง ๆ ของศักดิ์ดูอารมณ์ดีขึ้น ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำแล้วรีบกลับไป คล้อยหลังไปแล้ว นางผุยจึงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ หยิบหมากที่เชี่ยนไว้ขึ้นมาเคี้ยวด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันมาสอบสวนหญิงสาวที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่หน้ากระจกบานเล็ก

"เอ็งไปทำอะไรให้พ่อจ้อยไม่ชอบใจหรือเปล่า"

จันดีหัวเราะน้อย ๆ อย่างคนอิ่มสุข ดวงตาดูใสเป็นประกาย

"แม่จะไปเดือดร้อนทำไมล่ะจ้ะ เขาจะมาก็มา ไม่มาก็ไม่มา"

"นางจัน เอ็งระวังให้ดีเถอะ อย่าหวังจะได้สบายง่าย ๆ นางเด็กน้ำทิพย์นั่นข้าเคยเห็น สวยน้อยเสียปะไร"

นางผุยบ้วนหมากที่เคี้ยวไว้ลงกระโถน หันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

"ข้าจะเตือนไว้ ถ้ายังไม่อยากตกสวรรค์ก็รีบจับพ่อจ้อยเสียให้อยู่หมัด คนมีฐานะ เป็นถึงลูกกำนัน ไม่ได้มีมาถึงเอ็งมากนักหรอกนะ"

"แม่ก็คิดมากไป"

"เอ็งสิคิดน้อยไป คิดว่าพวกทองหยอง ต่างหู กำไล เครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เอ็งได้มามันเยอะหรือไร รวมกันจะสักกี่ร้อย ขายเป็นเงินไม่เท่าไรก็หมด แต่ถ้าเอ็งได้กับพ่อจ้อย เอ็งจะสบายไปทั้งชาตินะนางจัน"

"แล้วใครบอกว่าฉันไม่คิดล่ะ"

คำตอบง่าย ๆ ของจันดีทำเอาผุยชะงัก มองลูกสาวตัวเองอย่างไม่เข้าใจ หญิงสาวหยิบหวีขึ้นมา แปรงเส้นผมที่ยาวประบ่าช้า ๆ จนคลี่สยายออกดั่งพู่ไหม

"พี่จ้อยก็ดีนะ แต่ถ้าไม่ดีที่สุด ฉันก็ไม่อยากลงแรงให้เหนื่อย"

"เอ็งหมายถึงอะไร"

จันดีวางหวีลงบนโต๊ะ หยิบดอกมะลิซ้อนที่วางอยู่บนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเหน็บหู แล้วคลานมานั่งพับเพียบตรงหน้านางผุยด้วยกิริยาอ่อนช้อย

"แม่จ้ะ เขาว่าที่ปลายเวิ้งคลองแสนแสบมีปลาตัวโตอยู่"

สีหน้าของผู้เป็นแม่แสดงอาการตกใจไม่น้อย

"เอ็งหมายถึง..."

"คฤหาสน์ใหญ่โตอย่างกับวังตั้งสองหลังตรงนั้น จันยังไม่เคยเห็นเลย ได้ยินแต่ชาวบ้านเขาพูดว่างามนัก ลือกันอีกว่าคุณชายขวัญสรวงที่อยู่ในคฤหาสน์ก็งามไม่แพ้กัน"

"นี่เอ็ง..."

จันดีพยักหน้าน้อย ๆ พวงแก้มแดงปลั่ง หล่อนยิ้มเห็นฟันสะอาดขาว ดูราวกับเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเวลาที่อ้อนผู้ใหญ่เพื่อขอของเล่น

“จันไปเที่ยวเล่นได้ไหมจ้ะ”

"ทำไมจะไม่ได้ เอ็งนี้มันถูกใจข้าเสียจริง" นางผุยพูดเสียงฮึกเหิม หยิบหมากขึ้นเคี้ยว ชอบอกชอบใจนัก "ไม่เสียแรงที่ข้าฟูมฟักสั่งสอนมาเองกับมือ"




+++++++++++++++++++++++++





ฉลองคริสต์มาส + คอมใหม่ ลงสองตอน
อ่านต่ออีกตอนนึงนะครับ เอาให้ตายกันไปข้างนะฮะนะฮะ!!! :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๗





หลังชมภาพยนตร์จบ พิรงรองก็เดินออกมาพร้อมกัลยา และได้พบกับเจอกับกานต์ที่ยืนตรวจตราความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่โดยบังเอิญ

กานต์เป็นผู้ชายรูปร่างสูง คล่องแคล่ว อัธยาศัยดี และมีความคิดที่ค่อนข้างล้ำหน้ากว่ากลุ่มนักธุรกิจในวัยเดียวกัน ในตอนที่กัลยาบอกกับเธอว่าพี่ชายของเธอจะเปิดโรงภาพยนตร์ขึ้นที่ละแวกสะพานหัวช้าง นำเข้าหนังฝรั่งเรื่องดัง ๆ จากต่างประเทศมาฉายให้สลับกับหนังบ้านเรากับคนไทยได้ดู พิรงรองยังคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ผ่านมาแค่ไม่กี่ปี ความทุ่มเทของพี่กานต์ก็สัมฤทธิ์ผลด้วยสติปัญญาและความไม่ย่อท้อ แถมยังเป็นโรงภาพยนตร์ซึ่งใหญ่โตหรูหรายิ่งกว่าที่ปีนังเสียอีก

พิรงรองไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปทัก นับจากคราวก่อนที่ชายหนุ่มซื้อตุ๊กตาจากอังกฤษมาเป็นของฝากให้กับกัลยาและเธอตอนไปเยี่ยมที่ปีนังก็ไม่ได้พบกันอีกเลย

"สวัสดีค่ะพี่กานต์"

พิรงรองยกมือไหว้นอบน้อม

"หนูอุ่น" เขารับไหว้ เอ่ยถาม "มาดูหนังกับแก้วหรือ"

หญิงสาวพยักหน้า ยิ้มแย้มผ่องใส "หนูอุ่นเพิ่งได้รับจดหมายจากเพื่อนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนว่าหนังเรื่องนี้สนุกมาก ไม่คิดว่าจะได้ดูที่นี่"

"สงสัยเพราะพี่รู้ว่าคนแถวนี้น่าจะชอบ เลยขอซื้อเขามา"

กานต์ตอบสีหน้าเฉยเมยแล้วหันไปอมยิ้มให้กับกัลยาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แสร้งทำท่าน้อยใจ

"พี่กานต์สนิทกับหนูอุ่นกว่าแก้วที่เป็นน้องสาวแท้ ๆ เสียอีก"

"ก็เราคุยกับพี่เสียที่ไหน วัน ๆ เอาแต่เย็บปักถักร้อย ไม่เหมือนกับหนูอุ่น ไม่มีใครเคยเห็นในครัวเลยเสียครั้ง"

ถ้อยคำหยอกกระเซ้าทำเอาเด็กสาวทำหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนกัลยาก็ได้แต่ขันในความช่างประชดประชันของพี่ชายตนเอง

"พี่กานต์ชอบแกล้งเพื่อนของแก้ว"

"ใครจะไปกล้าแกล้ง พี่ชมต่างหาก" ชายหนุ่มยืนกรานเสียงแข็ง ทำหน้าตาย "ว่าแต่ทำไมหนูอุ่นถึงทำหน้ามุ่ยใส่พี่ หรือว่ากำลังหิว"

"ตายจริง"

คราวนี้กัลยาถึงกับต้องยกมือป้องปากหัวเราะ ขณะที่พิรงรองที่่ยืนตีขรึมทำโกรธเคืองได้ไม่นานก็หลุดหัวเราะตาม

เพราะมีอารมณ์ขันเสียอย่างนี้นี่ละ พิรงรองถึงนิยมกานต์นักหนา

"หนูอุ่นจะไปฟ้องท่านพ่อ ให้ท่านพ่อสั่งคนเอาปืนมายิง"

"ตาย ๆ พี่ตายพอดี" กานต์ทำท่าเจ็บปวด "กลายเป็นทำดีไม่ได้ดี นั่นสินะ เรามันไม่ใช่คุณชายขวัญสรวงคนดัง"

ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเบิกบานใจ เจตนาอิงไปถึงเพื่อนรักที่ไม่ได้พบเจอมาร่วมปี ด้วยรู้ดีว่าพิรงรองนั้นปลื้มอีกฝ่ายมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

พูดถึงตรงนี้ พิรงรองก็หัวเราะชอบใจ แต่สักพักก็กลับมาทำหน้าเบื่อ

"หนูอุ่นอยากให้พี่กานต์ได้เจอกับพี่พิษณุนักเทียว พี่ชายเป็นคนทื่อเหมือนไม้บรรทัด หนังละครไม่คิดจะดู อารมณ์ขันก็ไม่มี ไม่รู้จักบันเทิงอะไรเอาเสียเลย ไม่เหมือนกับพี่ขวัญ ถ้าพี่ชายหนูอุ่นได้เท่าครึ่งแบบนั้นคงจะดี"

กานต์ไม่เคยพบกับหม่อมราชวงศ์ พันตรี พิษณุ ขัตติยพงศ์ ความรู้จักนั้นล้วนผ่านคำบอกเล่าของกัลยา ซึ่งผู้เป็นน้องสาวเองก็ได้รับฟังมาจากหม่อมราชวงศ์พิรงรอง ผู้เป็นเพื่อนรูมเมทด้วยกันที่ปีนังอีกที

ความสนใจของกานต์ที่มีนั้นเป็นเพราะหม่อมราชวงศ์พิรงรอง หรือ หนูอุ่นนั้นเป็นญาติกาห่าง ๆ กับขวัญสรวงผู้เป็นสหายสนิท ต่างกันเพียงว่าขวัญสรวงนั้นสืบเชื้อสายมาจากราชสกุลสายหลัก ขณะที่อีกฝ่ายเป็นสายรองลงไป กระนั้นก็ถือเป็นขัตติยพงศ์ เป็นเครือญาติที่มีอัธยาศัยไมตรีต่อกัน

"พี่ยุ่ง ๆ ไม่เจอขวัญนานหลายเดือนแล้ว สบายดีไหม"

"คราวก่อนที่บ้านจัดงาน ดู ๆ แล้วก็สบายดีนะคะ"

พิรงรองตอบตามที่ตนเองคิด ทำเอาคนที่เอ่ยปากถามต้องขันในความไม่อ้อมค้อมผิดวิสัยสตรีคนอื่น ๆ ที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น

กัลยาก็ช่างเรียบร้อย ชอบการบ้านการเรือน ขณะที่เพื่อนสนิทกลับกลายเป็นคุณหนูไม่เกรงกลัวคน อาจเป็นเพราะพิรงรองเติบโตในครอบครัวนายทหาร จึงมีอุปนิสัยเข้มแข็งไม่แพ้บุรุษก็เป็นได้

"พี่กานต์คะ” หญิงสาวส่งเสียงประจบ “ถ้าว่าง ๆ เราขับรถไปเยี่ยมพี่ขวัญที่ทางโน้นดีไหมคะ หนูเองก็ไม่เคยไปบางกะปิเลย คุณแม่บอกว่าที่นั่นร่มรื่น รถยนต์ไม่พลุกพล่านแบบในเมือง มีทุ่งนาเขียว ๆ สุดลูกตา ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร"

"ทำไมหนูอุ่นถึงไม่ให้พี่ชายเราพาไปเสียเล่า"

กานต์ถามขณะเหลือบขึ้นมองนาฬิกาขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ในโถง จึงไม่ทันเห็นว่าพิรงรองแอบทำหน้าแหย

"ไม่เอาหรอกค่ะ น่าเบื่อแย่"

"เขาจะไม่ยิงพี่ตายหรือ เที่ยวได้พาน้องสาวไปไหน ๆ"

ดวงหน้าพริ้มเพราไหวไปมาด้วยเจตนาปฏิเสธ

"พี่ชายหนูอุ่นก็เหมือนกับพ่อค่ะ แต่ชอบวางท่าเหมือนกับเสือไว้ขู่คนเขาให้กลัว ถ้าใครได้รู้จักตัวจริง จะรู้ว่าพี่พิษณุใจดีมาก"

ความช่างเจรจาของพิรงรองทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเอ็นดู เขากระเซ้าต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก

"ยังไงก็เขาก็เป็นนายทหารนะ ยิงแม่น"

พิรงรองหยุดพูดไปชั่วขณะแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาคนตัวสูงกว่า

"พี่กานต์พูดเหมือนจะกลัว แต่ดูสิคะ หนูอุ่นเห็นยิ้มเอา หัวเราะเอา"

เมื่อหลักฐานปรากฏชัดเจน ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับเอาง่าย ๆ ไม่คิดปฏิเสธ เขายกนิ้วชี้ขึ้นเคาะนาฬิกาข้อมือของตัวเอง แล้วเอ่ยชักชวน

"ไปเถอะ นานทีได้พบกัน พี่จะพาน้อง ๆ ไปทานบะหมี่ปูที่ท่าราชวงศ์ รีบไป ประเดี๋ยวจะได้ค่ำเสียจริง"

พิรงรองหันมาสบตากับกัลยา เพียงครู่เดียวสองสาวก็หันกลับพยักหน้าให้กานต์ที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าเหมือนรู้คำตอบอยู่แต่แรกแล้วโดยพร้อมเพรียง





มื้ออาหารอันบริบูรณ์ด้วยฝีมือของสายบุญและนมละเอียดนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับคนที่ไม่คุ้นกับอาหารไทยโดยเฉพาะอาหารตำรับชาววังเป็นอย่างมาก เรียมลลิตรทานจนครบทุกจาน ขณะที่เจ้าบ้านอย่างขวัญสรวงเองก็ดูจะเจริญอาหารกว่าทุกวัน

สองแม่ครัวเอกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นอกจากช่วยกันจัดแจงสำรับคาวหวานชนิดไม่บกพร่องแล้วยังพูดคุยถูกอัธยาศัยเหมือนรู้จักกันมาแรมปี แม้แต่เยื้อนเองก็ดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

อิ่มหนำแล้ว คนตัวโตก็เดินนำผู้เป็นเพื่อนบ้านลงจากตัวตึกใหญ่ ลัดเลาะร่มพะยอมไปตามเรือนปั้นหยาที่ปลูกขนาบกัน ขวัญสรวงอธิบายถึงพรรณไม้นานาชนิดซึ่งเรียงรายอยู่ในคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ ทั้งไม้ใหญ่ยืนต้น ทั้งไม้พุ่มไม้เลื้อย กระทั่งพืีชผักสวนครัวหรือสมุนไพรต่าง ๆ ต่อเนื่องจากที่คุยค้างไว้ก่อนรับประทานมื้อเที่ยง

เรียมลลิตรยืนนิ่ง ฟังอย่างสงบ ปราศจากอาการยินดียินร้าย ผิดกับผู้พูดที่คอยเอียงคอมองอย่างตั้งใจ ดวงตาสีนิลเข้มของขวัญสรวงนั้นดูจะวับแวมผิดปรกติ แม้ชายหนุ่มจะกำลังเอ่ยถึงพรรณพฤกษาตรงหน้า ทว่าในใจกลับจดจ่ออยู่ที่การอ่านความรู้สึกนึกคิดของคนที่ยืนเคียงข้างผ่านท่าทีเล็ก ๆ น้อย ๆ อันแตกต่างคล้ายเป็นเรื่องสลักสำคัญ

อีกฝ่ายแม้จะนิ่งเฉยไม่ซักถาม แต่ก็ไม่มีท่าทีของความเบื่อหน่าย ขวัญสรวงจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเรียมลลิตรคงชื่นชอบต้นไม้อยู่ไม่น้อย

"ไว้พี่จะปลูกให้ที่บ้าน มีต้นไม้แซม ตกบ่ายจะได้ร่ม ไม่ร้อน"

เรียมลลิตรมองรอยยิ้มของคนตรงหน้าอยู่สักพัก จึงเอ่ยเสียงเนิบ แววตาที่เรียบสงบนั้นก็แฝงไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ

"จะปลูกหรือ"

คนตัวสูงกำยำไม่ได้ตอบคำถามนั้นตรง ๆ ด้วยคำพูด ทว่าความอุ่นอ่อนในดวงตาล้วนแสดงทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน ขวัญสรวงยิ้มแย้ม ยังคงรักษาความสงบสุขุมไว้ดังเดิม

เงาไม้ทอดกายเป็นพรมพื้น ขวัญสรวงและเรียมลลิตรเดินเคียงกันไปทางทิศศาลาหลังน้อยที่ปลูกขึ้นเลียบริมน้ำ ยังไม่ถึงดีสายลมก็โยกคลื่นใบไม้สีเขียวประสานเสียงกับเพลงขลุ่ยแว่วหวาน บอกว่าลูกศิษย์ตัวน้อยประจำที่ รอเรียนเพลงอยู่แล้ว

"เทพ ถึงแล้วหรือ"

ขวัญสรวงเอ่ยขึ้น

เด็กชายเทพเมื่อเห็นคุณครูที่รออยู่เดินมาแต่ไกลก็วางเลาขลุ่ยคู่ใจ ผุดขึ้นยืนยิ้มแป้น แต่เมื่อเห็นว่าข้างกายของขวัญสรวงมีใครอีกคนที่ไม่คุ้นหน้าก็รีบสงบเรียบร้อยตามผู้เป็นพ่อและแม่ได้พร่ำสอนเสมอ กระนั้นใบหน้าและผิวพรรณผ่องแผ้วเหมือนไม่เคยต้องแดดของคนที่ยืนอยู่หลังขวัญสรวงก็สวยสะดุดตาเด็กน้อยนัก

อาการใคร่รู้ เทพยื่นคอ ชะโงกซ้ายขวามองชายผู้งามสง่าท่านนั้น พอได้เห็นชัดเจน ดวงตาใสแจ๋วก็เบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น หลุดสำรวมกลายเป็นท่าประหลาดชวนขัน

เด็กน้อยหลุดความคิดจากในใจตนออกมาเป็นเสียงพึมพำ

"สวยจังเลย"

ผู้ที่เพิ่งเดินมาถึงได้ยินเข้าก็อดยิ้มเอ็นดูออกมาไม่ได้ ขวัญสรวงแสร้งกระแอมเสียงเข้ม ท่าทางที่ล่องลอยชวนฝันของเทพจึงถูกสลัดออกกลายเป็นท่วงท่าเอาจริงเอาจังตามประสาเด็ก

"พี่เรียม เป็นเพื่อนกับพี่"

เมื่อขวัญสรวงพูดจบ เด็กน้อยก็รีบกระพุ่มมือขึ้นไหว้ แนะนำตัวด้วยน้ำเสียงฉะฉานที่แฝงอาการประหม่า

"ผมชื่อเทพครับ มาเรียนเพลงกับพี่ขวัญ"

เรียมลลิตรยกมือขึ้นรับไหว้ ดวงตาสีน้ำตาลพราวพร่างไปด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ

"เทพมาเรียนขลุ่ยที่นี่ทุกสัปดาห์ ตอนนี้ก็เป่าเป็นเพลงได้มาก อีกไม่นานเห็นทีคงได้สอนเพลงฝรั่ง"

ขวัญสรวงเอ่ยอธิบาย ก่อนจะหันไปทางเทพ

"ที่สอนไปวันก่อน ฝึกได้ถึงไหนแล้ว"

เมื่อผู้พร่ำสอนวิชาเอ่ยถาม ลูกศิษย์ตัวน้อยก็รีบหยิบขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก ชั่วขณะสั้น ๆ บทเพลงไพเราะที่เรียมลลิตรได้ยินเมื่อครู่ก็แว่วขึ้นอีกครั้ง

สดับเสียงดนตรีอันซื่อตรงไร้เดียงสา ความรุ่มร้อนจากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนก็ค่อยคลายบรรเทา อาการประหวั่นลึก ๆ ในใจอ่อนลงราวกับถูกแพรเพลาะหอมกรอมหุ้มคลุมไว้ กลายเป็นความนิ่งสงบร่มเย็นเป็นปรกติ

ดวงตาที่แจ่มใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของเรียมลลิตรทำให้มุมปากของคนที่ยืนเคียงใกล้วาดขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ

นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งซึ่งขวัญสรวงปรารถนาให้เรียมลลิตรอยู่ที่ขัตติยพงศ์ ดนตรีนั้นมีสรรพคุณช่วยบำบัด คลายความกังวลไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่บริสุทธิ์นั้น บทเพลงเปรียบดังธารนทีใสสะอาด ชะล้างความรุ่มร้อนแผดเผาให้ทุเลาผ่อนคลาย

เพราะลูกศิษย์ตัวน้อยนั้นเป่าบทเพลงอย่างตั้งใจ คนเป็นครูจึงไม่อยากขัดจังหวะรบกวน จังหวะที่จะเดินขึ้นไปบนศาลา ขวัญสรวงจึงค่อย ๆ โน้มใบหน้ามาใกล้ ชวนคุยด้วยน้ำเสียงพอได้ยินกันสองคน

"เทพมีพรสวรรค์ สำหรับเด็กวัยนี้ เพลงนี้โดยเฉพาะตอนเปลี่ยนท่อนถือว่าเล่นยาก"

เรียมลลิตรนั้นตั้งใจจะก้าวขาขึ้นบันไดศาลาริมน้ำ หากแต่เมื่อได้ยินเสียงทุ้มลึกกระซิบที่ข้างหูก็พลันชะงัก ความรู้สึกที่สาวเท้าตามมาติด ๆ คือความประหม่าขวยเขินจากความใกล้ชิดอันไม่คุ้นเคย จังหวะก้าวนั้นจึงพลั้งพลาด ร่างประเปรียวเซคล้ายจะเซเสียจังหวะ

ทันใดนั้น ร่างกายกลับถูกรองรับจากด้านหลังอย่างมั่นคง

"น้องพี่ โปรดระวัง"

แผ่นอกที่หนากว่าเกือบครึ่งรับน้ำหนักทั้งหมดของเรียมลลิตรจากทางด้านหลัง มือทั้งสองข้างของขวัญสรวงค่อย ๆ จับข้อมือแบบบางที่ยังอยู่ในอาการค้าง ประคับประคองสมดุลของคนตัวเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขน เอ่ยด้วยความเป็นห่วง

"ไม่เจ็บแพลงใช่ไหม"

เงียบไปอึดใจ ใบหน้าของเรียมลลิตรจึงไหวเพียงเล็กน้อยพร้อมกับอาการตกใจที่ค่อย ๆ กลับมานิ่งสงบ ทุกอย่างยังคงเป็นปรกติ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่แสดงกระแสความรู้สึกอันหลากหลั่งประดังประเดเพียงบางเบา

สำหรับขวัญสรวงนั้น เพลานี้ในใจกลับไพล่กังวลไปอีกอย่าง

เพราะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีจึงซุกซ่อนกิริยาไว้ด้วยความนิ่งสง่า อีกฝ่ายน่าจะยังคงเสียขวัญไปกับการปรากฏตัวอันอุกอาจของจ้อยเมื่อคราวก่อน จิตใจจึงไม่อยู่กับเนื้อตัว

ความห่วงใยนั้นประทับอยู่เต็มอก จากที่เพียงประคับประคองอยู่ด้านหลัง คุณชายขัตติยพงศ์ออกน้ำหนักบนฝ่ามือหนาทั้งสองข้างขึ้นเพียงแผ่ว โอบคนที่อยู่ในวงแขนให้กระชับชิดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง

"พุทธานุภาพนำผล เกิดสรรพมงคลน้อยใหญ่
เทวาอารักษ์ทั่วไป ขอให้เป็นสุขสวัสดี
ธรรมานุภาพนำผล เกิดสรรพมงคลเสริมศรี
เทพช่วยรักษาปรานี ให้สุขสวัสดีทั่วกัน
สังฆานุภาพนำผล เกิดสรรพมงคลแม่นมั่น
เทเวศร์คุ้มครองป้องกัน สุขสวัสดิสรรพทั่วไป"


เรียมลลิตรแม้จะไม่เข้าใจในคำพูดทั้งหมดแต่ก็พอจับใจความได้ ความตื้นตันจึงพลุ่งขึ้นมาจากในอกวูบหนึ่ง แต่เมื่อรู้ตระหนักถึงความใกล้ชิด เลือดฝาดก็ฉีดซับขึ้นใต้ผิวจนกรุ่นพร้อมกับความรู้สึกระลอกถัดมา

ร่างแบบบางค่อยถอยออกมาห่าง เว้นระยะอย่างไว้ตัว

ต่างคนต่างมองกันอยู่อึดใจ ขวัญสรวงที่ปรกติมักจะเป็นฝ่ายชวนคุยอยู่เสมอกลับนิ่งเงียบ สบตาอยู่อย่างนั้น

"โคลงกลอนหรือครับ ไพเราะ"

เรียมลลิตรเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

"เนื้อเพลงที่เทพกำลังเป่า"

ขวัญสรวงตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วหันกลับไปมองเด็กน้อย

"พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์คำร้องขึ้น เพื่อขอให้เทพเทวาช่วยดลบันดาลไพร่ฟ้าเป็นสุขร่มเย็น เรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับดวงใจ"

"ขวัญ?"



(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่ออีกครึ่งที่เหลือเน้อ)



คนที่ชื่อพ้องกันพยักหน้าพลางมองหัวคิ้วที่ขมวดขึ้นตรงหน้าด้วยความเบิกบาน มืออุ่น ๆ ของเจ้าบ้านวาดขึ้นเต็มวงแขน เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเดินขึ้นไปบนศาลาริมน้ำก่อนแล้วจึงกระหยับก้าวตามขึ้นไป

"คนไทยเชื่อว่าขวัญเป็นส่วนประกอบของจิตใจ พี่ก็มี น้องเองก็มี"

ทว่ารอยย่นระหว่างคิ้วยังคงไม่คลายออกไปจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย คนพูดจึงเอื้อมมือมาแตะเหนืออกของเรียมลลิตร ออกแรงกดเบา ๆ ที่เหนือหัวใจ

"ขวัญอยู่ในนี้"

เรียมลลิตรกระถดตัวไปด้านหลัง หลุบตาลงด้วยอาการกระดากในใจ

ผิดกับเจ้าของฝ่ามืออุ่น ๆ นั้น รอยยิ้มคลี่ขึ้นบนใบหน้าขรึมสุขุมของขวัญสรวง เขาดูผ่อนคลายอารมณ์ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบสายตาไปมองที่เด็กชายตัวน้อยที่เพิ่งเล่นเพลงจบอย่างเร่งรีบผิดวิสัยสำรวม ระวังกิริยา

กระแสความรู้สึกที่ครอบงำทำให้เรียมลลิตรซ่อนสีหน้าได้ยากลำบาก คล้ายกับตกอยู่ท่ามกลางอารมณ์อันหลากหลาย จะสามารถทวนความเชี่ยวกรากไปจนถึงฝั่งหรือต้องจมอยู่ตรงนี้ หาทางออกไม่เจอก็ไม่อาจรู้ได้

"หนูเทพ"

เรียมลลิตรเอ่ยเสียงเนิบ ความซาบซึ้งและความขวยเขินทั้งหมดกลัดซ่อนเอาไว้เพียงแต่ในใจ ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา

"เล่นมานานแล้วหรือ"

เด็กชายตัวน้อยแหงนหน้าขึ้นจากขลุ่ยและสมุดจดทำนองเพลง รีบขานรับ

"ประมาณหนึ่งปีครับ"

"ไพเราะ"

"จริงหรือครับพี่เรียม"

แววตาไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความปิติจนขวัญสรวงที่ยืนนิ่งอยู่อมยิ้ม

"พี่เรียมไม่ได้ปดหรอกเทพ"

เมื่อได้รับการยืนยันมั่นเหมาะ อาการดีใจแบบกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อครู่ของเด็กชายเทพก็กลายเป็นความเบิกบานเต็มที่

"ถ้าพี่เรียมชอบ ผมจะเป่าเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังทุกวันเลยครับ แต่ว่าพี่เรียมต้องมาที่บ้านพี่ขวัญบ่อย ๆ นะครับ คุณพ่ออนุญาตให้ผมมาได้แต่บ้านพี่ขวัญ"

"ได้สิ"

ขวัญสรวงหัวเราะเบิกบานกับเหตุผลของเด็กชายแล้วจึงเอ่ยกำชับ

"มัวแต่คุยเล่น ไปซ้อมเพลงต่อได้แล้วเจ้าตัวเล็ก อย่าเถลไถล กวนใจพี่เรียม"

พอถูกตักเตือน เทพก็รีบก้มลงซ้อมเพลงต่อ บทเพลงดังขึ้นซ้ำ ๆ จบแล้วก็เล่นใหม่ราวกับแผ่นเสียงที่มีชีวิต





แสงแดดฤดูหนาวกระทบผิวน้ำในลำคลองเกิดระลอกแสงเจิดจ้าพลิ้วไหว ขวัญสรวงยิ้มได้อยู่แค่เพียงอึดใจก็หวนคิดทบทวน ความสงบร่มเย็นจะอยู่ได้นานเพียงไรเมื่อเค้าแห่งปัญหานั้นโคจรมาเรื่อย ถ้าเป็นคนแบบจ้อยก็คงจะพอปรามให้เกรงใจได้ แต่ถ้าเมื่อไรมีใครที่ขวัญสรวงไม่อาจรับมือไหว จะดับไฟที่มาถึงบ้านได้อย่างไร สิ่งที่ทำไปจึงก็ไม่นับว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดถูกวิธี อารามร้อนใจคิดไม่ตก จึงวกเข้าอธิปเหมือนจะคาดโทษ

"อธิปไม่น่าไปนาน ทิ้งให้น้องอยู่แบบนี้ พี่ไม่สบายใจ"

ถ้าเป็นยามปรกติ ขวัญสรวงคงนึกไปถึงบ่าวไพร่ในเรือน ผู้หญิงและผู้สูงวัยนั้นจะเป็นหูเป็นตา คอยดูแลบ้านหลังใหญ่โตได้ปลอดภัยเยี่ยงไร

แต่เมื่อผู้เป็นเจ้าบ้านนั้นเป็นชายหนุ่มเช่นเดียวกับตนเอง จะมองว่าเป็นเรื่องบริวารรับใช้ก็ไม่เต็มปาก ขวัญสรวงจึงผลักมูลเหตุมาที่อธิป พลางถามตัวเองซ้ำ ๆ ในใจว่าจะดันทุรัง ขายผ้าเอาหน้ารอดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

ทั้งยังเหมาะควรแล้วหรือไม่ที่จะเอาตนเข้ามาเป็นตัวแทนอย่างที่นมละเอียดร้องขอ เมื่อช้าหรือเร็วอธิปก็ต้องกลับมา ขวัญสรวงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรที่เข้าไปก้าวก่ายจุ้นจ้านเกินพอดี

ท่าทางกระวนกระวายใจของชายหนุ่มทำให้เรียมลลิตรเอ่ยถาม

"ไม่สบายใจอะไรหรือครับ"

ทั้งที่เป็นคำถามง่ายแสนง่าย แต่ขวัญสรวงกลับพูดไม่ออก ชายหนุ่มระงับความรู้สึก เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"คุณแม่ของคุณอธิปป่วยไข้หนักหรือ"

"พ้นขีดอันตรายแล้วครับ ไม่ถึงกับเจ็บหนัก แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง"

ถ้อยคำที่ได้ยินนั้นทำให้เบาใจ แต่ถ้อยคำในใจ ยิ่งได้ยินเสียงสะท้อนเดิม ๆ ก็ยิ่งให้หงุดหงิดตัวเอง สุดท้ายขวัญสรวงก็ตัดสินใจตรงเข้าสู่คำถาม ไม่เสียเวลาอ้อมค้อมเป็นพิธีการ

"พี่ห่วงเจ้ามาก มากเท่ากับนมละเอียดหรือคนอื่น ๆ วานนี้นมละเอียดทุกข์ร้อน ไม่รู้จะหันไปหาใครจึงเล่าเรื่องจ้อยให้ฟังทั้งหมด พี่จึงทราบเรื่อง"

ขวัญสรวงหันมาสบตาด้วยความมุ่งมั่น แสดงออกถึงความจริงจัง

"ขออย่าให้ถือพี่เป็นคนไกล ละลาบละล้วง พี่ต้องขอโทษ หากคำถามจะทำให้น้องไม่สบายใจ แต่อธิปเกี่ยวข้องอย่างไรกับน้องหรือ"

ความคลุมเครือมิใช่นิสัยปรกติของชายหนุ่ม เมื่อขาดความชัดเจน เขาก็ไม่ลังเลที่จะเอ่ยถาม

เค้าหน้าของอธิปนั้นก็ต่างจนเกินกว่าที่จะคิดได้ว่าเป็นญาติกา แต่ในเมื่อไม่ใช่เครือญาติเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องดูแลกันเสียมากมาย ถึงขนาดสร้างคฤหาสน์ใหญ่โตจนแทบจะเรียกว่าวังให้แบบนี้ยิ่งดูจะเป็นไปไม่ได้เลย

"หรือเป็นญาติพี่น้องโดยห่าง"

ในใจของขวัญสรวงนั้นมีคำตอบที่คิดไว้หลากหลาย แต่มีเพียงหนึ่งคำตอบที่แสร้งทำเป็นไม่เห็น

ไม่อยากจะเห็นมันเป็นจริงขึ้นมา





น้ำทิพย์ถือปิ่นโตใส่อาหารมาฝากขวัญสรวง ตั้งใจจะมารับเทพกลับบ้านอย่างทุกครั้ง แต่เมื่อเดินมาถึงศาลาริมน้ำก็ให้รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นคุณชายขวัญสรวงนั่งสนทนากับใครคนหนึ่งอยู่

พบว่ามีแขก เด็กสาวจึงค่อย ๆ เดินอย่างสำรวม ลัดเลาะร่มไม้เข้ามาด้วยความระมัดระวัง ไม่ส่งเสียงดังให้ขัดขังหวะ แต่เมื่อเข้ามาระยะใกล้จึงได้เห็นสีหน้าของผู้เป็นเจ้าบ้าน ก็ให้รู้สึกฉงน

คุณชายขวัญสรวงในความคิดของน้ำทิพย์นั้นเป็นชายหนุ่มสุขุม ใจเย็น จะกลายเป็นคนขี้เล่นอารมณ์ดีก็เฉพาะกับคนในครอบครัวและผู้ที่สนิทสนม เขาเป็นยิ้มง่าย โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ และเพราะเป็นพี่สาวของเทพ ความอบอุ่นของรอยยิ้มนั้นจึงเผื่อแผ่มาถึงเธอด้วย

แต่บัดนี้คุณชายขวัญสรวงกลับดูไม่เหมือนคนที่เคยรู้จัก ท่าทางนั้นยังคงดูนิ่งสุขุมก็จริง ทว่าแววตากลับดูร้อนรนยิ่งนัก และทั้งที่ดูกระวนกระวายอย่างนั้น แต่ดวงตาคมเข้มกลับฉายแววแห่งความอ่อนโยนลึกล้ำยิ่งกว่าทุกครั้งที่น้ำทิพย์เคยเห็น

เด็กสาวค่อย ๆ เลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่แขกซึ่งกำลังสนทนาด้วยความสงสัย

ทันทีที่เห็นใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างกับคุณชายขัตติยพงศ์ น้ำทิพย์ก็หลุบตาลงอย่างประหม่า เหมือนฟ้าที่ไม่อาจเทียมกรวดดิน ผู้ชายคนนั้นช่างงามสวย สง่า และสุภาพ ทั้งยังดูเป็นคนในสังคมชั้นสูงเสียจนเด็กสาวไม่มั่นใจว่าตนเองจะคู่ควรที่จะมองหรือไม่

หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นระส่ำ เลือดฝาดซับพวงแก้มจนกลายเป็นสีระเรื่อ แต่เล็กจนโต น้ำทิพย์ใช้ชีวิตส่วนมากกับในทุ่งนา มีต้นข้าวเป็นเหมือนเพื่อนสนิท  ส่วนเด็กสาวคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันที่เคยเห็น ถึงเป็นคนผิวพรรณขาวนวลแต่ส่วนมากก็กรำแดดจนสากกร้าน ต่อให้เปรียบกับคนที่มีฐานะ ไม่ต้องทำงานเอาหลังสู้แสงตะวันก็ไม่อาจเทียบกับผู้ชายคนนั้นได้แม้แต่น้อย

จริงอยู่ที่ว่าคุณชายขวัญสรวงนั้นก็สวยสง่า แต่ก็เป็นความสวยแบบชายหนุ่มรูปงาม แต่กับคนคนนั้นให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ความสมส่วนแบบผู้ชายนั้นยังคงอยู่ คิ้วเข้มคม จมูกเป็นสันสูง ลำคอตรงสง่า หัวไหล่กว้าง ผึ่งผาย แต่ทั้งหมดคล้ายถูกแต้มด้วยความรู้สึกอ่อนหวานแบบสตรีอย่างประณีต ริมฝีปากเป็นสีแดงเรื่องาม ผิวพรรณก็เนียนลออดั่งกลีบดอกไม้ต่างประเทศที่ดูหรูหรา ผู้ชายคนนั้นคล้ายกับรวมความสวยงามของผู้ชายและผู้หญิงไว้ในร่างกายได้อย่างพอเหมาะลงตัว

หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดจากไม่เข้าหู ผิดมรรยาทสังคมพระนครหรือเปล่า แล้วชายรูปงามดูโก้ขนาดนั้นจะรู้สึกเดียดฉันท์เด็กสาวบ้านนอกธรรมดาเกินกว่าจะสนทนาด้วยไหม น้ำทิพย์จึงได้แต่ยืนค้างอยู่กับที่ วางตัวไม่ถูก ไม่กล้าพอจะขยับเข้าไปใกล้กว่านี้แม้แต่เพียงก้าวเดียว



คนที่ทำให้เด็กสาวคนหนึ่งเกิดอาการประหม่ากำลังตอบคำถามของขวัญสรวงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"อธิปไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางสายเลือดหรอกครับ เขาไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้อง"

พูดจบ เรียมลลิตรก็นิ่งสงบ เฉยเสียจนอ่านความรู้สึกไม่ออก

คำตอบที่ได้ยินนั้นทำให้ขวัญสรวงเงียบไปพักใหญ่ จากที่พยายามให้เหตุผลกับตนเองมาตลอดว่าคงเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวพันทางบิดาที่เป็นคนไทยกลับต้องมาพบกับความกระอักกระอ่วน

ความที่ได้ศึกษาด้านการดนตรีมาจากต่างประเทศทำให้ชายหนุ่มรู้ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก อาจเพราะส่วนหนึ่งของคนที่ไปร่ำเรียนศิลปะดนตรีนั้นล้วนมีจิตใจอ่อนไหวแบบศิลปิน

ส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้คือบุปผาชน และเลือกที่จะแสวงหาความสุขตามที่ตนเห็นควรว่าจะเป็นมากกว่าจะยึดถือตามกรอบวิถีของสังคม บางส่วนเป็นคนที่เห็นความสำคัญในแก่นของความรักมากกว่านิยามตามขนบธรรมเนียมประเพณี

รักคือรัก รักที่ความรัก รักที่นิสัยใจคอ ใช่ที่ฐานะความเหมาะสม หรือแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ที่เรียกว่า "เพศ"

ขวัญสรวงไม่ได้รู้สึกสนับสนุนหรือต่อต้านในแนวความคิดเหล่านี้ เหมือนกับดนตรี บางคนชอบเพลงคลาสสิก ขณะที่บางคนอาจชอบดนตรีสมัยใหม่ เพราะคิดแบบนั้นมาโดยตลอด เขาจึงคบหาเป็นมิตรสหายได้กับทุกคนอย่างไม่ติดใจ และไม่เคยรู้สึกอคติ ปิดหูปิดตา ไม่รับรู้

แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น ในใจของคุณชายขัตติยพงศ์กลับแย้งไม่จบสิ้นเหมือนจะไม่ยอมรับ

"พี่ไม่ค่อยเข้าใจ"

เรียกว่าไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองคิดจะตรงกว่า ถ้าเป็นไปได้ ขวัญสรวงก็ไม่อยากให้อธิปเกี่ยวพันกับคนตรงหน้าแบบนั้น บางที อาจจะเพราะเกรงว่าเป็นแนวคิดแบบคนต่างชาติที่ทันสมัยเกินไปกับสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมชาวบ้านที่บางกะปิแห่งนี้





"พี่ทิพย์!"

เสียงตะโกนของเทพที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงวิ่งลงฝีเท้าตึง ๆ ทำให้ขวัญสรวงหันไปมอง เมื่อเห็นเด็กสาวยืนถือปิ่นโตยืนนิ่งอยู่ ก็จำฝืนยิ้มบนความว้าวุ่นในใจอย่างยากเย็น

"ทิพย์ วันนี้มาเร็ว"

เจ้าบ้านลุกขึ้นต้อนรับ เห็นเด็กสาวยกมือไหว้ก็รับไหว้ตามมรรยาท

เพราะขวัญสรวงยืนอยู่ตรงนั้น ความเคารพทำให้น้ำทิพย์จำใจยอบตัวเดินเข้ามาแต่โดยดี แต่เด็กสาวก็ก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะมองแขกของเจ้าบ้านด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว

"พอดีแม่ตำน้ำพริกกะปิมาฝากค่ะ กลัวผักที่ต้มกะทิไว้จะชืดเสียหมด"

"ขอบใจนะ"

ขวัญสรวงเอ่ยขณะที่รับปิ่นโตมา ไม่ลืมจะหันไปแนะนำร่างประเปรียวที่ยืนอยู่ด้านใน

"ทิพย์ นี่คุณเรียม ติดใจเสียงขลุ่ยเสียแล้ว ชมว่าเทพเล่นเพลงเพราะนัก"

คนพูดหันมาสบตาเรียมลลิตรพร้อมรอยยิ้ม แล้วเอ่ย

"น้องพี่ นี่ทิพย์ เป็นพี่ของเจ้าตัวซน"

สายตา น้ำเสียง และคำเรียกที่ไม่ค่อยได้เห็นขวัญสรวงใช้กับใคร ทำให้น้ำทิพย์ยืนทื่อ แขนขาเย็นเยียบแต่ภายใน เนื้อตัวกับร้อนซ่าน เพราะอะไรไม่ทราบได้ เด็กสาวกลับรู้สึกเขินอายแทนจนทำอะไรไม่ถูก

เทพแทรกตัวขึ้นมาหาเรียมลลิตร สองแขนเล็ก ๆ จับข้อมือของพี่ชายที่เพิ่งรู้จักวันนี้ตามประสาเด็กไร้เดียงสา

เรียมลลิตรยกมือขึ้นลูบหัวเทพเบา ๆ อมยิ้มแต่เพียงน้อยอย่างนึกเอ็นดู จากนั้นก็หันมาทางเด็กสาวที่เอาแต่ก้มหน้า

"สวัสดีครับคุณทิพย์"

เรียมลลิตรพูดอย่างเชื่องช้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สุภาพ

แค่คำทักทายสั้น ๆ ใจเอยก็พลันเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน น้ำทิพย์จับชายซิ่นของตนเอง ซ่อนความรู้สึกแปรปรวนอย่างยากลำบาก

เป็นเวลานานกว่าที่เด็กสาวจะยกมือขึ้นมาไหว้แบบขัดเขิน และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วจนแทบจะไม่ได้ยิน

"สวัสดีค่ะคุณเรียม"




+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ ลงสองตอนฉลองให้กับวันคริสต์มาส หายไปนานเพราะคอมเจ๊งต้องขอโทษจริงๆ ครับ
กว่าจะซื้อเครื่องใหม่ กว่าจะจัดการกับโปรแกรมกับไฟล์ต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้วก็นานเอาเรื่อง
ขอบคุณที่ยังติดตามกันครับ หายไปครบเดือนพอดีเลย เห็นแล้วตกใจเหมือนกัน

สรุปคร่าวๆ เกี่ยวกับสองตอนที่เพิ่งลงไปนะครับ เขาเริ่มหยอด ๆ กันแล้ว (เห็นไหมๆ 555)
ส่วนใครที่คิดว่าพี่ขวัญเป็นสุภาพบุรุษมาดขรึม น่าจะเห็นได้ว่าความเกรียนพี่แกเริ่มออกแล้วไง (เคยบอกแล้วนะ)
สองตอนที่ลงไปมีตัวละครใหม่ออกมาเต็มตัวสองคน คนแรกเป็นน้องสาวของพิษณุ เป็นสาวสมัยใหม่
อีกคนเป็นหนุ่มสังคม ออกแนวกะล่อนเพลย์บอยนิดๆ จะอลเวงยังไง อันนี้ต้องติดตามต่อไป
จากตอนที่เพิ่งจบไป คิดว่าคงทำให้คนไม่ชอบใจน้ำทิพย์น้อยลงบ้าง นางไม่ใช่ตัวอิจฉานะ
อย่าไปเขม่นนางเลย อ่านต่อไปเรื่อยๆ จะพบว่าจริงๆ แล้วนางเป็นสาววายดีๆ นั่นเอง 5555555

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะครับ พบกันใหม่ตอนหน้านะเจ้าฮะ

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
มาแล่นนนนนนนนน

BUNNz4

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วๆ :hao5:
สองตอนรวดยาวๆเอาซะคนอ่านปลื้มปริ่ม
โดยเฉพาะชายขวัญ ....แหมๆ รู้สึกว่าจะรุกคืบหน้าขึ้นเยอะเลยนะพ่อคู๊ณ :hao7:
พิโถพิถัง ดูเหมือนว่าหลายคนเหลือเกินอยากจะมาเยือนวังรัก เอ๊ย วังน้อยของน้องเรียมกับพี่ขวัญ
รอดูความอลเวงจ้า อยากเห็นตอนคุณเริญปร๊ะกับชายขวัญ หุหุ
คนแต่งสู้ๆ เป็นกำลังใจให้จ้า รอมาต่ออยู่นะจ๊ะ :z13:


ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ตอนแรกก็เกือบอคติกับน้ำทิพย์ไปเหมือนกันนะ55555 แต่พอมาอ่าน2ตอนนี้ก็พบว่า....คนที่ควรไม่ชอบน่าจะเป็นจันดีกับจ้อยเสียมากกว่า ...มั้งอิอิ

ค่อยๆหวานกันปายยยย ชอบจังเลยค่ะ น่ารักดีคู่นี้ แต่คุณขวัญเกรียนไปไหมคะ ชอบแกล้งน้องจังเลยนะ ชิชิ

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
ชายขวัญของน้องงงงงงงงงงงงงงง

เป็นผู้ชายที่ชวนให้เขินอะไรอย่างนี้
ตอนจับน้องเรียมนั่งตักนั่นคืออะไรรรรรร
เอาจ้อยมาอ้างใช้มั้ยยย ทำไมเป็นคนแบบนี้ 55555555

อ่านแล้วกรี๊ดมากเลยค่ะ แงงง  :hao5:
บทสนาของชายขวัญกับน้องเรียม ชวนเขินมากจริงๆ
ผู้ชายอบอุ่น ใจดี แต่ขี้เล่น มีหัวเราะขำตอนน้องเรียมไม่เข้าใจภาษาไทยด้วย
ชอบตอนง้อมากเลย นั่งตักคืออะไรรรร ฮือออออออ เขินนนนนนนนนน  :hao5:
ลายเริ่มออกแล้วนะคะชายขวัญ เริ่มเยอะแล้วค่ะ พระเอกนี่มันนนน *ทุบอกรัวๆ* 555555555

มีโทษอธิปอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยนะ โถถถ นี่ยิ่งสงสารอธิปเข้าไปใหญ่
ขนาดตัวไม่ได้อยู่ ยังโดนชายขวัญเขม่นเลย อยากปลอบใจอธิปปปปป >_<

อยากรู้ว่าตัวละครที่เพิ่มมาใหม่อย่างหนูอุ่นกับพี่กานต์จะมีบทบาทอะไร
เดาทางไม่ถูกเลยค่ะ แต่ก็ชอบบุคลิคของพี่กานต์นะ ถถถถถถถถถถถ
นี่อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกชอบตัวละครเกือบทุกคนในเรื่องเลย
ชายขวัญงี้ อธิปงี้ คุณพิษณุงี้ (นายทหารช่างก๊าวใจจริงๆ) นี่ยังมีพี่กานต์มาทำให้เราหวั่นไหวอีก
แอร๊ยยยยยยยย แต่ยังไงก็ชูป้ายไฟให้กับชายขวัญนะคะ

รอตอนหน้าาาา >________<

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
พี่ขวัญของน้องเรียมมมมมม อะไรจะมุ้งมิ้งขนาดนี้ น่ารักกกกกก

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เหมือนจะมีคู่มาให้จิ้นอีกหนึ่งค่ะ
พ่อทหารกับหนุ่มเพลย์บอย หึหึหึ

ส่วนวันนี้พี่ขวัญสรวงแอบเอานั่งเรียมนั่งตัก กำไรชัดๆ  :hao6:

ภาษาสวยมากค่ะ รวมเล่มเมื่อไหร่ ไม่พลาด

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
เอ้าละ จะเม้นละนะ ฮึบบบ!!!
ยัยจันดี !!!! นางคิดการใหญ่ ใฝ่สูงมากกกกกกก
แล้วคนแม่นี้อัลไลลลลล คือแบบบบบ สอนกันแบบนี้อิชั้นรับไม่ได้ ถถถถถถถ
แต่เชื่อว่าพี่ขวัญน้องเรียมจะสามารถปัดฝุ่นควันพวกนี้ไปได้ ไม่ให้กลิ่นติดตัวหรอก

พอละ มาพูดถึงพี่ขวัญน้องเรียมกันเถอะ !!!!!!!!!!
งื้อออออออออออออ เขินไปอีกกกก นั้งตักไปอีกกกกกกกกก โง้ยยยย
ตอนที่น้องเรียมงอนเนี้ยยยย ยิ้มตามพี่ขวัญเลย
แบบน่ารักอะ น่ารักจนอยากแกล้งอีก งื้อออออ
ชอบเวลาเขาอยู่ด้วยกันอะ มันดูเย็นตาดี จริงๆนะ แบบไม่รู้สิชอบบบ
อยากให้อยู่ด้วยกัน อยากให้เรียนรู้กันและกัน
สารภาพเลยว่าพอตอนคนอื่นนี้อ่านข้ามๆ ถถถถ

แต่ตอนนี้พี่ขวัญกำลังจะเข้าใจน้องผิดนะ
แล้วน้องจะกล้าบอกไหมนะว่าอธิปเป็นอะไร เพราะคงไม่อยากให้พี่ขวัญรู้รึเปล่า
ว่าจริงๆฐานะน้องเรียมคืออะไร งื้ออออ แต่ไม่อยากให้พี่ขวัญเข้าใจผิดเลยอะ
กลัวพี่ขวัญเข้าใจผิดแล้วจะระวังตัว ห้ามใจตัวเองงี้
เราชอบตอนพี่ขวัญแกล้งน้อง หยอดน้อง น้องเรียมต้องจัดการใหพี่เขาเข้าใจนะ
ชอบที่พี่ขวัญเรียกเรียมว่าน้องอะ น้องพี่งี้ โอ้ยตายยยยยยย
รอวันที่น้องเรียมจะแทนตัวเองว่าน้องกับพี่ขวัญแทนคำว่าผมนะ

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1090
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ชอบที่น้องเรียมเอ่ยถึงอธิป ตอนที่พี่ขวัญแกล้งไม่ยอมตอบเวลาน้องเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำที่ใช้
สมน้ำหน้า แกล้งน้องดีนัก
นี่ถ้าไม่มีฉากอ้อน ดึงน้องมากอด คะแนนจะติดลบมากกว่านี้ค่ะ
เห็นแก่ความมุ้งมิ้งตรงนี้ เราเลยให้เสมอตัว ฮ่าๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2
หลงรักเรียม :mew3:

ออฟไลน์ lovekimkina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กรี้ดดดดดดดดดด ดึงไปนั่งตักกัน คืออะไรคะ
ดีงามมากค่ะพี่ขวัญ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
พี่ขวัญของน้อง
อ่านละแบบบโอ้ยยยยยเรียมน่ารักอ่ะะชอบ

ออฟไลน์ taengoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบมากกกกกกก
ชอบนิยายพีเรียดอยู่แช้ว
อ่รแล้วจะเขินกว่าปกติสิบล้านเท่า >///<

เคยแวะมาส่องๆจองที่ไว้ แต่ไม่กล้าอ่น
กะจะรอให้จบก่อน เพราะกลัวโดนลอยแพ
แต่ทนไม่ไหว แล้วก็ไม่ผิดหวัง
เขินมากกกกกก >///<

ห้ามทิ้งเด็ดขาดนะคะ
แต่งให้จบนะ
รู้สึกได้ถึงความละเอียด และตั้งใจเลยอะ
ขนาดบอกว่าเป็นแนวที่ไม้ถนัด แต่อ่านแล้วรู้เลยว่ามีการศึกษาหาข้อมูล
ภาษาที่ใช้ก็ลื่นไหล เหมาะกับยุคสมัยด้วย

ไม่รู้อะ เค้าเริ่มอ่านแล้ว ติดแล้ว เขินแล้ว
ห้ามทิ้งเค้านะ >///<

ออฟไลน์ hongzaa

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
หายไปนานจังเลย

ออฟไลน์ Apitchaya

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หูยยยย
คิดถึงพี่ขวัญกับน้องเรียมแล้ว
เดือนกว่าเเล้วนาาา

ฉันมารอพี่ที่เล้าทุกวันเลยนะ ~

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ตอนที่ ๘





คืนนั้น ขวัญสรวงนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ความสงสัยเรื่องอธิปที่ยังไม่ได้รับคำตอบนั้นทำให้ยากจะข่มตาหลับ ชายหนุ่มเอาแต่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเย็น ตั้งใจไว้ว่าหลังจากน้ำทิพย์กับเทพกลับไปแล้วจะไถ่ถามต่อ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สบโอกาส

นมละเอียดเดินมาตามเจ้าตัวกลับไปที่บ้านตั้งแต่ทั้งสองคนยังไม่ได้พ้นชายศาลาด้วยซ้ำ กลับมาอีกครั้งก็ตอนช่วงอาหารมื้อค่ำ ขวัญสรวงทานอาหารน้อยกว่าทุกครั้ง ด้วยจิตใจนั้นพะวักพะวนอยู่กับคำถามซึ่งมีต่อคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ทว่านับแต่เกิดเรื่องวุ่น คนพูดน้อยก็ได้กลายเป็นแขกคนสำคัญของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ไปเสียแล้ว

สายบุญที่ปรกติมักไม่ค่อยสนทนากับเพื่อนของเขาคนไหนดูจะถูกใจกับเพื่อนบ้านคนนี้เป็นพิเศษ ถึงกับชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไม่หยุด เมื่อคนหนึ่งเล่า อีกคนก็ถามด้วยอาการอยากรู้ ต่อความกันไม่จบ ลงท้ายนมละเอียดกับจ้อยก็มาสมทบ แล้วเรื่องราวก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ของพระนครจนเขาได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ

ชีวิตที่เคยเรียบง่าย พอใจกับที่ตนมีอยู่ของขวัญสรวงกลับพบกับความหน่ายเป็นครั้งแรก

ชายหนุ่มนึกรำคาญบ่าวไพร่ในบ้านที่มีมากเกินความจำเป็นขึ้นมาโดยไร้เหตุผล ถึงกับคิดเล่น ๆ ว่าจะขอบิดาอยู่คนเดียวลำพังก็ดีไปอีกแบบ กับข้าวกับปลาก็หากินเอาตามที่มี ผักหญ้าที่นี่ก็มีไม่ขัดสน ไม่พอก็จับจ่ายที่ตลาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งม้าที่เลี้ยงดูไว้ก็ไม่ได้ยากเกินกำลังของขวัญสรวงนัก เสาร์อาทิตย์ก็ให้เด็กรับใช้จากวังใหญ่ติดรถมากับผู้เป็นมารดา ดูแลความสะอาดสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอ





"ที่แกเคยพูด มันก็จริง"

ขวัญสรวงเปรยกับบ่าวคนสนิทในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เยื้อนที่เพิ่งวางกาแฟร้อนลงตรงหน้าผู้เป็นนายก็ได้แต่ทำหน้าฉงน

"เรื่องอะไรหรือครับคุณชาย"

"ก็เรื่องที่...ช่างเถอะ"

คนร้องหากาแฟโดยที่ไม่คิดแม้แต่จะจิบสักนิดนั่งขมวดคิ้ว ก่นในใจ

ก็เรื่องที่สายบุญเป็นคนพูดมากเกินไปในบางครั้งนั่นปะไร

"อ้าว แล้วกัน ไอ้เยื้อนจะรู้ไหม"

บ่าวผิวเข้มนั่งเกาหัวหน้ายุ่ง

"ไม่มีอะไร จะไปทำอะไรก็ไปทำเสียเถิด"

"ขอรับคุณชาย ว่าแต่วันนี้นึกครึ้มอะไรหนอ ถึงลงที่นี่แต่เช้า ทุกทีเห็นคุณชายนั่งทำงานอยู่ในห้อง"

เยื้อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่เกรงกลัวว่าจะไปก้าวก่ายผู้เป็นนายจนเกินมรรยาทของบ่าวรับใช้ เพราะรู้ว่าคุณชายขวัญสรวงนั้นเป็นคนเมตตา ไม่ถือยศถือนายบ่าวกับตนหรือบ่าวไพร่บริวารคนอื่นเสียเท่าไร

"ไอ้นี่ จะไปไหนก็ไป"

แม้จะพูดเรียบเรื่อย ไม่ได้ตะเพิดเป็นการจริงจัง แต่ใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มนั้นก็ทำให้เยื้อนรู้ดีว่าไม่ใช่เวลาเล่นความ จิตใจที่ภักดีทำให้บ่าวหนุ่มไถ่ถามด้วยความรู้สึกอยากอาสาบรรเทา

"คุณชายมีอะไรให้กระผมรับใช้หรือเปล่าครับ เรื่องเล็กใหญ่ ขอให้บอก ไอ้เยื้อนยินดีทำทั้งหมด"

แต่ขวัญสรวงกลับส่ายหัวยืนยันคำเดิม เยื้อนรีรออยู่สักพัก จึงยอมก้าวออกไปอย่างคอตกราวกับว่าเป็นฝ่ายกลัดกลุ้มเอาเสียเอง

บริวารคล้อยหลังไปแล้ว คนตัวสูงก็ชะเง้อมองไปที่บันได พลางถามตัวเองในใจว่าใครที่ไหนจะช่วยอย่างไรได้ ในเมื่อแม้แต่ตนก็ไม่รู้แน่ว่าปัญหาที่รบกวนจิตใจอยู่ แท้จริงคืออะไรด้วยซ้ำ

ครู่ใหญ่ เสียงวิ่งตึงตังที่มาพร้อมกับอาการหอบจนตัวโยนของเยื้อนก็ทำให้คุณชายขัตติยพงศ์แปลกใจ





รถยนต์คันใหญ่ชะลอมาช้า ๆ ตั้งแต่ก่อนถึงปลายรั้วของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ เมื่อถึงประตูใหญ่ก็ไม่ได้กดแตรแบบทุกครั้ง นายเปี๊ยกเป็นผู้ลงจากรถมาเปิดประตูใหญ่ จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นด้วยเสียงเงียบกริบ

สายบุญคอยให้การต้อนรับอยู่แล้วอย่างรู้กัน หม่อมแม้นพิศเมื่อลงมาจากด้านหลังของรถก็ส่งกระเป๋าถือใบเล็กที่มักติดตัวอยู่เสมอให้กับสายบัวบ่าวรับใช้ ก่อนจะตรงไปหาแม่บ้านคนสนิทที่ยืนรออยู่

"เพื่อนของชายขวัญที่ว่าล่ะแม่สายบุญ"

"ยังไม่ลงมาจากข้างบนเลยเจ้าค่ะ"

"อะไร้"

หม่อมแม้นพิศอุทานเสียงเบา สีหน้าอิหลักอิเหลื่อ ผิดกับสายบุญที่ยังคงยิ้มกริ่มไม่เลิก

"แม่คนนี้นี่" ผู้เป็นนายมองอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะพูดต่อ "แต่ถึงขนาดชายขวัญชวนมาพักที่บ้านก็น่าจะนับได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเสียยิ่งกว่านายกานต์ นายเฉ่ง นายสมิงที่ฉันรู้จัก"

ข่าวลือเรื่องแขกผู้มาเยือนจากปากคนเก่าแก่ในบ้านจะเป็นอย่างไรก็ดี หม่อมแม้นพิศเพียงแค่รับฟังอย่างไว้หู ด้วยอยากประจักษ์แก่สายตาตนเสียมากกว่า ซึ่งขวัญสรวงก็เดินมาพอดี

"หม่อมแม่ ผมไม่ทราบว่าจะมาวันนี้"

ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้เป็นมารดา สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

"คิดถึงก็เลยแวะมาสักหน่อย ชายขวัญ สบายดีนะ" ใบหน้านวลปลั่งแม้ย่างเข้าสู่วัยสี่สิบปลาย ๆ ทักทายตามอัธยาศัย ก่อนจะเข้าประเด็น "แม่สายบุญบอกว่าเพื่อนบ้านมาพักที่บ้านเราหรือ"

"ครับ เมื่อคืน"

หม่อมแม้นพิศจึงเอ่ย ทำนองว่าชวนคุยต่อ

"จะว่าไป บ้านหลังนั้นใหญ่เสียยิ่งกว่าวัง โอ่โถงใหญ่โต ตอนที่สร้างก็สร้างเสียเร็วอย่างเทพท่านเนรมิต เสร็จแล้วก็เห็นเงียบ ๆ ไม่เอิกเกริก ไม่คิดว่าจะมีคนมาอยู่แล้ว ชายขวัญสนิทสนมกับเขาหรือ"

สนิทครับ"

จริงดังคาด หม่อมแม้นพิศคิดอยู่ในใจ ก่อนจะมุ่งสู่ประเด็น

"ดีแล้ว แล้วนี่เพื่อนลูกอยู่ไหน"





คุณชายขัตติยพงศ์เดินนำมารดามาที่โถงรับแขก เป็นเวลาเดียวกับที่เรียมลลิตรซึ่งได้ยินเสียงพูดคุยกันได้รุดมาจากชั้นบน เมื่อพบว่าขวัญสรวงมีแขกผู้หลักผู้ใหญ่ ร่างโปร่งบางก็กระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อม แล้วถอยไปยืนด้านข้างอย่างสุภาพ

"สวัสดีครับ"

หม่อมแม้นพิศรับไหว้ด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทของบุตรชายอย่างถนัดถนี่ หล่อนก็มองด้วยความนึกทึ่ง แม้จะยังสงวนท่าทีอยู่มิคลาย แต่ก็ออกปากกับสายบุญด้วยความชื่นชม

"ลูกครึ่งหรือ ฉันเพิ่งรู้"

"เจ้าค่ะ เห็นว่าแม่เป็นแหม่มชาวอังกฤษ"

หม่อมแม้นพิศพยักหน้ารับเนิบ ๆ แสดงความพอใจอยู่ไม่น้อย ก่อนจะหันไปหาบุตรชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

"งามอย่างกับพระลอ ตาสวย น่าเอ็นดู ชื่ออะไรหรือพ่อขวัญ"

"เรียมครับ"

ขวัญสรวงยิ้มกริ่ม ใบหน้าผ่องใสจนน่าหยิกให้เนื้อเขียว

"ไม่ต้องมาทำยิ้มใส่ฉัน พ่อตัวดี ก่อเรื่องอะไรเอาไว้บ้าง อย่านึกว่าแม่ไม่รู้"

จากนั้น ขวัญสรวงรับฟังคำเทศน์ของหม่อมแม้นพิศอยู่พักใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็ยิ้มสู้หัวเราะใส่สลับกับบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไปเท่าที่จำเป็น ส่วนเรื่องที่เขาออกหน้ากับจ้อยนั้นก็ไม่ถือว่าแปลกเลยที่จะทำให้ผู้เป็นมารดาเป็นห่วง

ก่อนจะย้ายมาพักอาศัยที่บางกะปินี้ หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตผู้เป็นบิดาออกปากย้ำว่าอย่าใช้ความเป็นราชสกุลขัตติยพงศ์ ตลอดจนยศถาบรรดาศักดิ์กับผู้ใด ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ตาม

"จะเป็นที่นับถือยำเกรงของผู้ใด ก็ให้ได้ด้วยพระคุณ ไม่ใช่พระเดช"

ขวัญสรวงยึดถือคำสั่งสอนของบิดาอย่างตั้งมั่นมาโดยตลอด กระทั่งมาถึงเรื่องของกำนันจงรักและครอบครัว เพียงแค่ได้ยินก็รู้สึกขัดหูขัดใจนัก

ปล่อยให้หม่อมแม้นพิศเอ็ดตะโรอยู่พักใหญ่จนเหนื่อยจะพูด ชายหนุ่มก็ส่งเสียงทุ้มกังวาน แกล้งยกมือไหว้ท่วมหัว

"สาธุ"

มือที่ประนมไว้แผ่ออก แล้วแตะเรี่ยจากศีรษะลงมาถึงบ่าทั้งสองข้าง

"โบราณท่านถึงว่าบิดามารดานั้นเป็นเหมือนพระในบ้าน"

"ต๊าย" หม่อมแม้นพิศร้องเสียงหลง ก่อนจะหยิกเนื้อที่ต้นแขนของบุตรชายพัลวัน "เห็นอะไรเป็นเรื่องสนุกไปเสียหมด น่าบิดให้เนื้อหลุดนักเทียว"

“ผมได้แขนขาดกันพอดี”

เมื่อเห็นมารดาหัวเราะ ขวัญสรวงก็หันไปยิ้มให้กับเรียมลลิตร ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงแต่มองด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายที่ประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ





เป็นเพราะได้ยินว่าแขกของบ้านนั้นให้ความสนใจในเรื่องประเพณีวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะอาหารไทยเป็นพิเศษ หม่อมแม้นพิศจึงพาเรียมลลิตรชมโรงครัวของคฤหาสน์ขัตติยพงศ์ด้วยตนเอง ทั้งยังแสดงฝีมือปลายจวักด้วยการทำแกงขี้เหล็กกับปลาย่างสูตรพิเศษให้ได้ลิ้มลอง

หลังมื้ออาหารอันบริบูรณ์ ขวัญสรวงตั้งใจจะสอบถามเรื่องของอธิปที่ยังติดพันจากเมื่อวานก่อน และเพราะเรียมลลิตรนั้นดูจะพึงใจในต้นไม้นานาพันธุ์เป็นพิเศษ เขาจึงเอ่ยปากชวนให้อีกฝ่ายไปเดินชมสวนด้วยกัน

"ไปที่ริมน้ำกันไหม เช้านี้พี่เห็นลูกกระรอกอยู่ที่นั่น"

เรียมลลิตรนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

"หม่อมท่านเอ่ยชวนให้ไปที่ครัว จะสอนวิธีทำอาหารง่าย ๆ ให้"

ขวัญสรวงถอนใจให้กับความผิดหวัง ปรับอารมณ์ในอกเพียงครู่ก็ตอบด้วยเสียงแจ่มใส ติดตลก

"ประหลาดจริง ไม่คิดว่าจะชอบงานครัวด้วย นี่เลยกลายเป็นคนสนิทของท่านแม่พี่ไปเสียแล้วสิ น้องจะฝึกไปทำไมหรือ นมละเอียดหรือแม่บ้านก็ทำอร่อยถึงเพียงนั้น หรือตั้งใจจะหัดทำให้ใครชิมเป็นพิเศษ"

เพราะไม่ทันได้คิดว่าคำถามที่เพิ่งเอ่ยถึงนั้นจะได้รับความจริงที่ทำให้ร้าวแปลบเพียงใด ร่างสูงจะชะงักไปพักใหญ่ในตอนที่ได้ยินคำตอบ

"ใครจะอยากชิม เห็นทีจะมีแต่อธิป"

เมื่อขวัญสรวงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เรียมลลิตรจึงชวนคุยต่อ

"ไม่รู้ทางนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง"

อารมณ์ขุ่นมัวก่อนขึ้นในอก ภายนอก ขวัญสรวงมักจะทำท่าไม่แยแสต่ออธิป ถือทรนงว่าตนเองก็เป็นผู้สืบเชื้อสายตรงเพียงคนเดียวแห่งราชสกุลขัตติยพงศ์ ทำงานสนองคุณพระเจ้าแผ่นดินรัตนโกสินทร์มาหลายรัชสมัย ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว แต่ลึก ๆ แล้ว เขากลับหวั่นไหวเมื่อความภาคภูมิใจเหล่านั้น หากเทียบกับอธิป กลับดูไม่มีความสำคัญใดในสายตาของอีกฝ่ายแม้แต้น้อย

"อย่ากังวลไปเลย"

คนตัวสูงยิ้มแห้งแล้ง สุ้มเสียงก็ไร้ชีวิตชีวา

"รีบไปเถิด ป่านนี้หม่อมแม่คงรอแล้ว พี่เองก็ต้องขอตัวเสียที"

พูดจบ ขวัญสรวงก็หันตัวกลับไปอีกด้าน จึงไม่อาจรู้ว่าอีกคนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

สีหน้าเคร่งเครียดและน้ำเสียงเรียบนิ่งผิดปรกติเมื่อครู่ของขวัญสรวงนั้น ทำให้เรียมลลิตรไม่กล้าเอ่ยปากชวนให้ไปหัดทำอาหารเป็นเพื่อน แม้แต่ความคิดที่ว่าอยากให้อีกฝ่ายชิมอาหารเป็นคนแรกก็จำล้มพับไปด้วยความเกรงใจ

แขกของบ้านยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งสายบัวเดินมาตามจึงหันหลัง ก้าวไปยังครัว





หลายวันต่อมา ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดำเนินไปคล้ายวันแรกในความรู้สึกที่กลมเกลียว เป็นกันเองกว่า เรียนลลิตรกลายเป็นเพื่อนสนทนาที่ถูกอกถูกใจหม่อมแม้นพิศนักหนา ทั้งยังดูจะเป็นขวัญใจของคนทั้งขัตติยพงศ์ ไม่ว่าจะมองไปเวลาไหน ขวัญสรวงก็มักจะเห็นรอยยิ้มของผู้เป็นมารดาสลับกับเสียงพูดแจ่มใสบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน

ครั้งนี้ หม่อมแม้นพิศอยู่นานกว่าทุกครั้ง ถึงกับให้นายเปี๊ยกขับรถกลับไปที่วังใหญ่ในพระนครเพื่อแจ้งข่าวแก่หม่อมเจ้าเขียนนิรมิตผู้เป็นสามี และเอาข้าวของจากในโรงครัวที่พรั่งพร้อมกว่ามาเติมที่นี่อีกหลายอย่าง

อาการเห่อเกิดขึ้นในคฤหาสน์ขัตติพงศ์ได้อย่างเหลือเชื่อ บริวารหนุ่มสาวไปจนถึงแก่เฒ่าก็ตื่นเต้นที่ได้เห็นฝรั่งมังค่าชัด ๆ แถมฝรั่งคนที่ว่ายังงามเสียยิ่งกว่าพระเอกในละครทีวี

อันว่าอาการโสมนัสเหล่านั้นกลับไม่มีใครเกินมารดาของขวัญสรวง เย็นวันหนึ่งหลังจากมื้ออาหาร ระหว่างที่เรียมลลิตรกำลังบอกเล่าเรื่องเมืองฝรั่งแก่สายบุญ สายบัว นมละเอียด และบริวารคนอื่น ๆ ในบ้านเหมือนทุกครั้ง หม่อมแม้นพิศก็รำพึงออกมาให้เขาได้ยินว่า

"ต่างพินิจพิศโฉมอุณากรรณ
ว่างามดังอสัญแดหวา
อันบุรุษสุดสิ้นแดนชวา
ทั้งในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน
บ้างว่าเปรียบเทวัญนั้นเห็นผิด
ดูจริตรูปร่างเหมือนนางสวรรค์
นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ
ดังบุหลันวันเพ็ญอำไพ


ชายขวัญคิดอย่างนั้นไหม"

ขวัญสรวงไม่ได้ตอบสิ่งใด แม้ว่าในใจจะนึกเห็นพ้องโดยไม่มีขเอโต้แย้งก็ตาม

หากจะต่าง ก็ต่างกันก็ตรงที่ว่ามาณพหนุ่มนาม "อุณากรรณ" ซึ่งเป็นตัวละครในวรรณคดีเรื่องอิเหนานั้น แท้จริงแล้วคือนางบุษบาแสร้งแปลงเป็นบุรุษ แต่เด็กหนุ่มที่ห้อมล้อมไปด้วยรอยยิ้มตรงนั้นนั้นกลับเป็นบุรุษรูปงามที่หากมองอีกด้านก็พริ้มเพราไม่แพ้สตรีใดโดยแท้จริง

ตลอดเวลาหลายวันนั้น ขวัญสรวงนั้นได้แต่มองห่าง ๆ อยู่แบบนั้น หากแม้มีโอกาสสนทนาก็เป็นการพูดคุยที่แสนสั้นจนน่าใจหาย ซ้ำการพูดคุยทั้งหมดก็เกิดท่ามกลางผู้เป็นมารดา และบ่าวไพร่คนเก่าแก่ในบ้าน

ความกลัดกลุ้มที่ไม่ได้บรรเทามาหลายวันจึงเสมือนแผลกลัดหนอง แม้จะยังคงระงับสติอารมณ์ได้โดยวิสัยของคนสุขุมรอบคอบ แต่อาการแสบร้อนนั้นเล่าก็ดั่งมัจฉาที่มีชีวิต ยังคงวนเวียนอยู่ในอก ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

หากเปรียบแล้ว ชายหนุ่มในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนหน้าชื่นอกตรม



(ยังมีต่ออีกนะครับ) :hao7:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อนะครับ)





คืนหนึ่ง ยามเมื่อแผลร้ายกลุ้มรุมเร้าจนนอนไม่หลับ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมาผลัดผ้า เคียนขาวม้าแล้วตรงไปที่ศาลาริมน้ำ ก่อนจะลงไปแหวกว่ายน้ำฆ่าเวลาเล่น หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าความรุ่มร้อนจะถูกชะล้างไปกับธารน้ำไหล แต่ยิ่งมองก็ยิ่งให้รู้สึกหดหู่

แสนแสบเพลานี้ต่างจากตอนกลางวันเหมือนเป็นสายนทีคนละแห่ง ปรกติแล้ว เมื่อขวัญสรวงทอดมองลงมาที่ลำคลองสายนี้ก็จะได้พบกับภาพชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่บนผิวน้ำดั่งบทเพลงอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาไปตลอดทั้งวัน หากแต่ยามนี้ แสนแสบแทบไม่ต่างจากบทเพลงรักที่ดำดิ่งเข้าสู่ความกำสรดล้ำลึก ทุกแห่งมีแต่ความเงียบเหงา ปราศจากความแบ่งบานแจ่มใส

โดยทั่วไปแล้ว หากไม่ใช่ดนตรีก็เห็นจะมีแต่สายน้ำที่เป็นเหมือนเพื่อนยากของชายหนุ่ม ทุกข์ร้อนเพียงใด ได้ดำผุดดำว่ายสักพักก็คลายบรรเทา หากแต่คนนอนไม่หลับกลับยังคงลอยนิ่งอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเย็นเยียบแห่งนี้ พร้อมกับอาการข่มใจแทบไม่มิด แม้ว่าจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม

ความรู้สึกแปลกประหลาดยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด และต้นเหตุก็หนีไม่พ้นเพื่อนบ้านคนใหม่ จะยามที่ใครคนนั้นสนใจเขาก็ดี ไม่สนใจก็ดี ยามหัวเราะ บึ้งตึง แม้แต่ยามเอาแต่ใจก็ดี ทุกอิริยาบถการกระทำ ไม่ว่าจะเล็กน้อยอย่างไร ขวัญสรวงก็ไม่อาจจะสลัดหลุดออกจากความคิดได้เลย

ครั้นพอเห็นสนิทสนมกลับใครยิ่งกว่าตน ความรู้สึกแปลก ๆ ที่คล้ายจะระคนไปด้วยโมหะและความริษยาก็จู่โจมในอกอย่างสาหัส เริ่มจากอธิป พิษณุ จนมาถึงจ้อย กระทั่งในตอนนี้ กลับไม่เว้นแม้ผู้เป็นมารดา หรือแม้แต่บ่าวไพร่บริวาร ขวัญสรวงไม่ชอบความรู้สึกนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็สิ้นปัญญาจะขจัดออกไปจากใจ

"เรียม"

คนลอยคออยู่ในคลองสะดุ้งวาบในอกด้วยความตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ

ขวัญสรวงสูดลมหายใจเรียกสติ เอ่ยถามออกไป

"ยังไม่นอนหรือ"

ดวงตาหวานโศกซึ่งดูเหมือนไร้ความรู้สึกหยุดที่ขวัญสรวงเพียงครู่ แล้วกวาดมองไปรอบบริเวณด้วยความสนอกสนใจ จนคนเอ่ยทักเป็นกังวล รีบว่ายกลับเข้ามาใกล้ศาลาริมน้ำเสียเอง

"ดึกดื่น ทำไมถึงออกจากตึก พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ ที่นี่ไม่เหมือนในเมือง กลางคืนน้ำค้างแรง ไม่ชิน น้องจะเป็นหวัดเอาได้"

เขาเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ทว่าคนที่ทั้งอยากเห็นหน้าและไม่อยากเห็นหน้าในเวลาเดียวกันนั้น ยังคงยังคงนิ่งเฉยจนขวัญสรวงระอาใจ

ครู่หนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจึงหันกลับมาที่ชายหนุ่มในน้ำอีกครั้ง และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงช้าเนิบ ปราศจากความยินดียินร้าย

"น้ำคลองนี่เล่นได้หรือ"

คนถูกถามพยักหน้ารับ และโดยที่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งใด ร่างที่ยืนสง่าก็หันตัว ถอดรองเท้าแตะ แล้วตั้งท่าจะก้าวลงน้ำ

ขวัญสรวงตกใจเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มรีบยกสองมือขึ้นห้ามทันที

"เดี๋ยวสิ จะทำอะไรน่ะ"

"อยากเล่นบ้าง"

เรียมลลิตรยังคงตอบด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

"ได้บอกนมละเอียดแล้วหรือ"

ปลายเท้านั้นชะงักไปชั่วขณะ ผ่านไปหลายอึดใจ ร่างบางยังคงเงียบราวกับไม่ได้ยินคำถาม

"อย่าบอกนะ ว่าหนีออกมา"

"ไม่ได้หนี" เรียมลลิตรพึมพำ เว้นห้วง "แค่ยังไม่ได้บอก"

ใบหน้าที่เจื่อนลงจนเห็นได้ ทำให้ขวัญสรวงลากลมหายใจยาวยืด

"น้ำคลองมีกลิ่นดิน ต่อให้ใสสะอาด ก็ไม่เท่ากับน้ำฝนหรือน้ำประปา อีกอย่างตอนนี้ก็ดึกแล้ว ผู้ใหญ่ก็ไม่ทราบเรื่อง พี่เห็นว่าไม่สมควร"

"พี่ขวัญยังเล่นได้"

นี่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ หรืออย่างไรกัน ขวัญสรวงได้แต่เอ็ดตะโรอยู่ในใจ และถึงแม้จะบ่นอุบแบบนั้น แต่คำพูดที่เปล่งออกมากลับเป็นฝ่ายผ่อนปรน ยอมตามใจเอาเสียเอง

"อย่าลงมาเลย ประเดี๋ยวเท้าจะเลอะดินเลนเสียเปล่า"

เจ้าของริมฝีปากเชิดรั้นดูอ่อนลงถนัดตา กระนั้นก็ยังยืนหยัดไม่ถอย

"พี่ขวัญก็เลอะ"

"พี่เลอะไม่เป็นไรดอก ไม่อยากให้เท้าน้องต้องสกปรก"

เรียมลลิตรยืนนิ่งด้วยความลังเล กระทั่งขวัญสรวงเสริมขึ้นว่า

"ถ้าอยากเล่นน้ำ นั่งเล่นบนท่าเถิด ยื่นขาลงมา พี่จะคอยอยู่ใกล้เป็นเพื่อน"

แม้จะอิดออด แต่ร่างประเปรียวก็ก้าวกลับขึ้นไปบนศาลาอีกครั้ง แล้วยืนรอคนให้คำสัตย์อย่างสงบนิ่ง

ขวัญสรวงขึ้นจากน้ำ ลูบเนื้อตัวจนหมาด เคียนผ้าขาวม้าที่เอวตนเองซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำจนร่นลงแนบต้นขาตนเองใหม่ให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินมารุนหลังคนที่ยืนอยู่เบา ๆ ไปที่อีกฝั่งของศาลาที่มีชายเรี่ยริมน้ำ

เห็นอีกฝ่ายหย่อนขาลงในคลองแล้ว จึงยอบตัวนั่งข้าง ๆ คนหน้าบึ้ง

"จริง ๆ เลยนะ"

ถึงแม้จะบ่นอย่างเสียไม่ได้ ทว่าริมฝีปากคนพูดกลับเผยอรอยยิ้ม ใช่เพียงแต่ความแบ่งบานจะผุดผายบนใบหน้า ในใจนั้นเล่าก็แทบไม่ต่าง อารมณ์อ่อนหวานลึกล้ำแทรกตัวเข้าแทนที่อาการสาหัสไปทั่วทั้งอกของชายหนุ่มจนพองแน่น

เดิมทีเดียว เขาคิดว่ามันคงเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เมื่อผ่านไปก็จะพัดปลิวแหลกสลายเหมือนสายเมฆยามถูกลมบนโบก แต่การณ์กับไม่ใช่อย่างนั้น ยิ่งนานวัน ความรู้สึกที่ว่ากลับสำแดงตนเฉกไม้แกร่งทานแดดฝน ยิ่งนานยิ่งผลิงามงอกเงย ยิ่งหยั่งรากมั่นคง

ขวัญสรวงไม่ทราบเลยว่าอาการเหล่านั้นก็แทบไม่ต่างกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้าง

สีชมพูซ่านขึ้นใต้ผิวบาง อารมณ์แปลกประหลาดที่ใกล้เคียงกับอับอายและความวาบหวามกำลังปะทะกันอยู่ในใจของเรียมลลิตรอีกครั้ง ยิ่งได้เห็นรูปร่างผึ่งผายกำยำยามไม่มีสิ่งใดปกปิดนั้นอย่างชัดแจ้งก็ให้ยิ่งละอายแก่ใจ เกิดเป็นลูกผู้ชายเฉกเช่นเดียวกัน แต่ไฉนตนเองกลับมีรูปร่างอ้อนแอ้นจนไม่อาจเทียมเทียบกับขวัญสรวงได้

ส่วนความรู้สึกอีกอย่างที่พลุ่งขึ้นมานั้น กลับน่าอับอายเสียยิ่งกว่า

หลายวันที่ผ่านมาเรียมลลิตรไม่ได้มีโอกาสพูดคุยตามลำพังกับขวัญสรวงเช่นแต่ก่อนนัก เป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ในยามที่ได้ชิดใกล้ อาการสะดุ้งวาบในอกจึงซ่านจนรู้สึกหวิว ๆ แววตาอ่อนโยนที่จ้องมองอย่างไม่ปกปิด ความใส่ใจ และรอยยิ้มที่เปิดเผยอย่างเป็นธรรมชาติช่างเหมือนหอกแหลมคมที่แทงทะลุเข้าเป้า เหล่านี้ล้วนทรงพละกำลังยิ่งนัก แม้จะปิดประตูลั่นดาลแน่นหนาอย่างไร ก็ไม่อาจเป็นผล

ดวงตาหวานสวยได้แต่มองเงาสะท้อนของคนที่นั่งใกล้ ๆ บนผิวน้ำ ไม่กล้าแม้แต่จะมองแบบปกติด้วยความสุจริตใจ น่าตลกเสียจริงที่นึกขวยเขินกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้ เรียมลลิตรได้แต่ปรามาสตัวเองอยู่ในใจซ้ำ ๆ

ห้วงเวลาที่เดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความเงียบก็ได้ร่ายมนตราให้เข้าสู่ห้วงอารมณ์หวามไหว

ท่ามกลางความวิจิตรที่แต่งแต้มด้วยธรรมชาติ ชายหนุ่มสองคนยังคงนั่งเลียบลำน้ำอยู่ใต้ชายคาไม้ฉลุ มองดูดวงไฟกลมโตสีนวลบนฟ้าลอยเรี่ยเหนือเงาสะท้อนสีนิลของพวงเมฆ สายลมพัดระลอกริ้วฉาบแสงสีเงินยวง เป็นประกายวิบวับเหมือนปิ่นเพชรระยับตายามต้องแสงไฟ

ขวัญสรวงลอบมองคนที่นั่งข้าง ๆ เป็นระยะ แสงจันทร์กระทบผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลอ่อนจนเป็นมันวาว และแม้ว่าจะงามจับใจเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบได้กับประกายของหยดน้ำที่หยอกแสงอยู่ในดวงตาคู่นั้น ชายหนุ่มพยายามแล้วที่จะห้ามใจไม่ให้มองจ้องรอยยิ้มจาง ๆ ที่แย้มสะพรั่งอยู่ในแววตาหวานงาม แต่ก็ทำได้เพียงครู่ ไม่กี่อึดใจ เขาก็กลับไปเผลอไผลต่อความงามจับตาจับใจนั้นอยู่ซ้ำซาก ไม่จบสิ้น

"อยู่ที่นี่เบื่อหรือเปล่า ที่นี่ไม่มีแสงสี ผักปลาถึงจะอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สะดวกสบายเหมือนกับในเมือง ไม่มีสโมสร ร้านค้าหรูหรา มีก็แต่ทุ่งนา ผักบุ้งสุดลูกหูลูกตา"

"ไม่หรอก"

ตอบคำถามแล้ว ต่างฝ่ายต่างนิ่งกันไปพักใหญ่ ก่อนที่เจ้าของเสียงทุ้มจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความหวั่นไหว

"แล้วอยู่กับพี่เบื่อไหม"

ลึก ๆ ในใจของขวัญสรวงเหมือนกับคนซึ่งก้าวเดินอยู่บนสะพานอันเปราะบาง แค่เพียงลมไหวแผ่วเบาก็สะท้านสะเทือนได้อย่างง่ายดาย เขาไม่ได้ทำอาหารเก่งแบบผู้เป็นมารดา ไม่ได้ดูโก้เป็นหนุ่มสังคมแบบอธิป เขาแทบไม่ต่างอะไรกับหนุ่มเจ้าสำราญด้วยซ้ำ งานการก็ไม่มีเป็นชิ้นเป็นอันแบบพิษณุ ถึงจะช่วยงานผู้เป็นบิดาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย แม้หากจะตัดเปลือกนอกเหล่านั้นไปเสียสิ้นแล้วนับแต่เพียงจิตใจอันเป็นเนื้อแท้ ขวัญสรวงก็ไม่อาจหาญแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาได้เหมือนจ้อยด้วยซ้ำ

ตรึกครองแล้ว ชายหนุ่มก็มองเห็นแต่ความมืดหม่น ไม่มีทีท่าว่าตนจะพบดวงไฟสว่างไสวรออยู่ที่ปลายสะพานแม้แต่น้อย

แต่เรียมลลิตรกลับพูดว่า

"สนุก"

ดวงตาสีน้ำตาลหวานคู่นั้นแสดงรอยยิ้มอุ่นอ่อน งามยิ่งกว่าดวงดาริกาจนคนฟังถึงกลับกลั้นลมหายใจ

"น่าจะเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิต"

สิ้นสำเนียง ขวัญสรวงนิ่งไปเหมือนไม่เชื่อหู ทุกอย่างเกินความคาดหมายของเขาไปไกลเหลือเกิน

นัยน์ตาของทั้งคู่หันมาสบมองกันเพียงครู่ แล้วเรียมลลิตรก็หลุบสายตาลงวางบนเงาสะท้อนของพระจันทร์บนผิวน้ำ ก่อนจะกระหยับขาเบา ๆ ไปมาในลำคลอง เกิดเป็นเสียงจังหวะ

จังหวะนั้น ถี่พอกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของคนที่ยังไม่อาจละสายตาไปได้

ขวัญสรวงค่อย ๆ เขยิบตัวเข้ามาใกล้ เอียงคอมองจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาวาบหวาม

นัยน์ตาที่พริบพราวเสียยิ่งกว่าดาวทั่วทั้งฟ้านั้นทำให้เรียมลลิตรทำอะไรไม่ถูก กรามแก้มเข้มขึ้นจนระเรื่อโดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งก้มหน้า กระหยับขาไปมาอยู่อย่างนั้น

ผิวอ่อน ๆ ที่เปลี่ยนเป็นสีหมากสุกงอมทำให้ใจของขวัญสรวงโลดแล่นไปด้วยอารมณ์หวามไหว ดวงตาคมจึงฉายประกายอ่อนหวาน คนตัวสูงค่อย ๆ ช้อนตามองขึ้น จ้องลึกลงไปในนัยน์ตาหวานสวยนั้นอย่างไม่คิดผละหนี

"เรียม"

เจ้าของชื่อยังคงนิ่งเฉย

"เรียม"

เสียงทุ้มลึกเอ่ยเรียกอีกครั้ง พร้อมกับกระเถิบตัวเข้ามาใกล้จนแขนที่เท้าอยู่บนพื้นไม้และลำตัวของคนทั้งคู่เบียดกัน

แน่นขึ้น

...และแน่นขึ้น

พักใหญ่ กว่าที่คนถูกเรียกซ้ำ ๆ จะยอมหันมาอย่างเชื่องช้า และพริบตานั้น ริมฝีปากของเรียมลลิตรก็แตะสัมผัสกับความอุ่นหวานโดยไม่ทันตั้งตัว

"พี่ขวัญ"

คนถูกเรียกชื่อขานอือในลำคอ

"จูบทำไม"

"ไม่รู้"

ขวัญสรวงไหวศีรษะไปมาขณะตอบ

"แต่ว่าเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน"

"นั่นสิ" ร่างสูงครวญ "เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ทำไมกัน ทำไมก็ไม่รู้"

ชายหนุ่มตอบตรงตามความรู้สึก แม้แต่เขาก็หาคำตอบไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะแท้จริงแล้วนั้น เป็นตัวเขาเองที่ไม่อยากจะหาคำตอบ ขวัญสรวงเองก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ ส่วนที่รู้และแน่ใจในขณะปัจจุบันนี้มีแต่ใบหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า แค่นี้เท่านั้น

ขวัญสรวงจูบอีกครั้ง

สัมผัสอ่อนโยนที่หวานหอมโรยตัวลงบนฝีปากใหม่ อุ่น วาบหวาม และเนิ่นนานนักกว่าจะผละจากด้วยระยะห่างแค่เพียงคืบ

"ทำไม"

"ไม่รู้...ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากจูบ"

พูดจบ ขวัญสรวงก็จูบอีกครั้ง

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ใบหน้าซึ่งยังคงนิ่งเฉยไร้ความรู้สึกของอีกฝ่ายเกลี่ยด้วยสีชมพูฝาดจนทั่ว กระจายไปถึงใบหู ไล่ลงไปถึงลำคอ ขวัญสรวงมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่ระรัวไม่เป็นจังหวะ

"โกรธหรือเปล่า"

คราวนี้เรียมลลิตรนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบสั้นด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน

"ไม่รู้"

รอยเล็ก ๆ ยกตัวขึ้นที่มุมปากของคนรอฟังอยู่ ทั้งที่น่าจะเดาคำตอบได้แล้ว แต่ขวัญสรวงก็ยังโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้จนแนบชิดแล้วกระซิบถามอีกครั้ง

"เรียมโกรธพี่ไหม"

"ไม่รู้"

คำตอบเดิมยกมุมปากของคนตัวโตให้เหยียดออกเป็นรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่จะแนบลงสัมผัสกับสีแดงฝาดที่ห่างเพียงลมหายใจกั้นตรงหน้าอีกครั้งเหมือนเด็กตัวน้อยที่ติดใจในรสขนมหวาน

หัวไหล่เกยกันจนเบียด หยดน้ำเล็ก ๆ บนผมของขวัญสรวงทิ้งตัวลงบนแก้มที่ร้อนวาบของเรียมลลิตรอย่างเชื่องช้า

ความอ่อนหวานเจ้าเอยใยจึงไม่ประทับติดตรึงแค่เพียงริมฝีปาก ไฉนจึงไหลซึมลงผ่านผิวกายและกระจายไปทั่วทั้งร่าง จนประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็นวูบวาบเยี่ยงนี้

"พี่ขวัญ"

"ครับ"

พอขวัญสรวงรับคำ เรียมลลิตรก็ได้แต่นิ่งเงียบไปเหมือนคนจนคำพูด กระทั่งร่างสูงที่รอฟังอยู่กลับมาเป็นฝ่ายชวนคุยเสียเอง

"หนาวหรือเปล่า"

ใบหน้าที่ยังคงระเรื่อเป็นสีผลหมากสุกแดงไหวสะเทิ้นเล็กน้อย ก่อนหลุบลงมองผิวน้ำเบื้องหน้าที่เป็นวงตามแรงแกว่งเท้า วงแล้ววงเล่าอยู่อย่างนั้น

ขวัญสรวงเผยอรอยยิ้ม ค่อย ๆ เอื้อมมืออกไปกุมมือของเรียมลลิตรไว้

"ถ้ายังไม่ง่วง เราอยู่ตรงนี้กันต่ออีกสักนิดเถอะนะ"

เมื่อคนที่พูดด้วยยังคงนั่งนิ่ง ไม่ปฏิเสธ เจ้าของคำถามที่เอาแต่อมยิ้มก็เอียงใบหน้าไปใกล้คนที่นั่งหลังตรงอยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ วางน้ำหนักลงบนบ่าเล็กที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนเหมือนกุหลาบแรกแย้ม

ริ้วรอยที่ขมวดตึงระหว่างคิ้วมานานคลายออกจนสิ้น พร้อม ๆ กับดวงตาสีดำขลับที่พริ้มหลับลง




+++++++++++++++++++++++++




สวัสดีครับ มาช้าหน่อยเพราะเปื่อยมาราธอน พอหายก็เลยต้องเคลียร์งานที่หมักไว้ตอนป่วยเป็นประวิง
อาศัยเติมวันละนิดวันละหน่อย ผลเลยเป็นฉะนี้ ต้องขอโทษที่มาช้า และขอบคุณที่ยังตามอ่านกันนะ
หลังจากอ้อยสร้อยมานาน เขาเริ่มจีบกันจริงจังแล้ว พี่ขวัญเกรียนอีกแล้ว เนียนสุดในเรื่อง 55555
ตอนนี้มีความโรคจิตบางอย่างของคนแต่งที่พยายามประยุกต์ประโยคคลาสสิกของแผลเก่าเอาไว้
คนที่พอจะคุ้นกับเรื่องแผลเก่าของต้นฉบับครูไม้เมืองเดิม คงพอจะคุ้นกับบทพูดบางประโยคบ้างนะครับ
เป็นเรื่องที่ภาษาอาจดูยุ่งยากนิดหน่อย แต่อารมณ์เรื่องจะอ่านสบายๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะเน้อ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ครับ สารภาพว่าเรื่องนี้แต่งยากไปอีกแบบ เพราะไม่ใช่แนวถนัดเลย (ย้ำอีกรอบ)
แถมอัพก็ช้า ตอนนี้ดีใจที่มีคนอ่านแล้วชอบ แถมยังตามอ่านต่อด้วย ขอบคุณมากๆ นะครับ T^T

พบกันใหม่ตอนหน้าน้า :กอด1:

ออฟไลน์ narunarutoboyz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 595
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด บ้าที่สุด เขินอายอ๊าาาาา  :-[
หายไปนานมากกกก แต่ก็ตั้งตาคอย ไม่เสียเเรงจริงๆค่ะ
กลับมาปุ๊ป พี่ขวัญกะน้องเรียมก็จูจุ๊บกันเเล้ววววว ดีใจที่สุดเลย ฮิ้ววววววววว

ตอนพี่ขวัญทำดราม่าไอ้เราก็พลอยอึดอัดไปด้วย ใกล้เข้ามาอีกนิด ชะชะ ชิดเข้าไปอีกหน่อย  :hao7:
พี่ขวัญสู้ๆๆๆๆๆ น้องเรียมก็คงต้องเขินตัวเเตกเข้าสักวัน อิอิ รักกันเร็วๆน๊าาาาาา

เป็นกำลังใจให้คนเขียนเน้ออออออ ติดตามตอนต่อไปค่าาาาา :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
กริ๊ดดดด ขอจิ้ม(ก้น เอ้ย5555555) ก่อนน้าาาาาา

ในที่สุด...ก็อัพเย้
ในที่สุด...ก็จีบกันจริงจังซะที
ในที่สุด...ก็ได้อ่านสักที เย้ๆๆๆ

ขอบคุณมากค่าาา จิกหมอนตลอดด หวานมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2015 18:17:19 โดย cattydoggy »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด