ตอนที่ 35
ด้านได้ อายอด!!
เวลา 3 ทุ่มครึ่งโดยประมาณ ปลายฝัน ปฐพี อัคนี พีรพัฒน์ และธีรไนยเดินทางมาถึงร้านอาหารใกล้ๆ กับคอนโด โดยเลือกไม่ทานที่คอนโดเพราะเบื่อแล้ว เลยจอดทานกันที่ร้านใกล้ๆ แทน
พอทั้ง 5 คนนั่งลง และพนักงานบริการนำเมนูมาให้ดูแล้ว ปลายฝันก็สั่งอาหารที่อยากจะทานทันทีด้วยความหิวเป็นอย่างมาก เพราะกว่าที่ปฐพีกับพีรพัฒน์จะเคลียร์งานต่างๆ เสร็จ ก็ทำให้คนที่นั่งคุยรอหิวข้าวจนท้องกิ่วกันทั้งสามคน แต่ก็ใช่ว่าปฐพีกับพีรพัฒน์ไม่หิวนะ หิวพอๆ กัน จนอัคนีเห็นไม่ได้ต้องเข้ามาช่วย จนได้มากินข้าวในที่สุดนี่แหละ
“หิวสุดๆ เลยอ้า” ร่างเล็กบ่นเมื่อกำลังนั่งรออาหารที่พนักงานบริการเพิ่งจะรับออเดอร์ไปเมื่อกี้นี้
“อย่าบ่นน่า หิวเหมือนๆ กันนี่แหละ” ปฐพีพูด
“แล้วอีกอย่าง เมื่อกี้ก็สั่งคนเดียวไปเยอะมากเลยนี่ กินให้หมด ไม่หมดโดนดี” อัคนีแซวก่อนที่ประโยคหลังจะขู่ขึ้นมา
“คนอย่างดรีมไม่เคยกินไม่หมดหรอกน่า รู้คุณค่าของข้าวดีเถอะ พวกพี่นั่นแหละที่กินมันให้หมด ห้าให้เหลือทิ้งขว้างเด็ดขาด” สั่ง
ขึ้นมาเสียงเข้ม จนทุกคนหัวเราะเบาๆ ออกมายกเว้นพีรพัฒน์ที่เอาแต่ยิ้มน้อยๆ
“ดรีมกับไอ้พัฒน์นี่เหมือนกันมากๆ เลยนะเรื่องของกินน่ะ” ธีรไนยพูดขึ้น
“เหมือน? ยังไงฮะ” ถามอย่างฉงน
“ก็ที่เห็นคุณค่าของข้าวนี่ไง ปกติพี่เป็นคนชอบกินข้าวเหลือนะ แต่มันชอบมาบังคับให้พี่กินให้หมด ทั้งๆ ที่พี่อิ่มมากๆ เลยอ่ะ”
“ก็มึงเหลือเยอะ”
“แล้วใครจะไปฝืนกินอย่างมึงล่ะวะ” หันไปแหวใส่
“ที่จริงพี่พัฒน์ไม่ต้องไปบังคับก็ได้นะครับ ถ้าพี่รู้ว่าพี่ธีร์ชอบกินประมาณไหน ก็แค่ควบคุมปริมาณเอา เหมือนที่ดรีมตักให้พี่ดิน พี่
เพลิงน่ะ” แนะนำออก
“ไม่ต้องหรอก” พีรพัฒน์บอกออกมานิ่งๆ
“ใช่ๆ ไม่ต้องหรอดรีม พี่ชินแล้วล่ะ เหอะ!” ธีรไนยพูดออกมาเซ็งๆ
ระหว่างที่ทั้ง 5 คนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเพื่อฆ่าเวลา ก็ถูกขัดด้วยเสียงของสองหญิงสาวที่เดินมายังโต๊ะของพวกเขาพร้อมกับเอ่ยทัก
“สวัสดีค่ะ บังเอิญจังเลยนะคะ” มัณฑิตาบอกอย่างยิ้มๆ ได้เห็นเสียทีใบหน้าที่อยากเห็นตลอดทั้งวัน หากแต่ไม่ใช่ว่าเธอเพิ่งจะ
เห็นหรอกนะ เธอเห็นตั้งแต่ออกจากบริษัทแล้ว
แน่นอนว่าเธอกับน้องแอบตามมา
“ขอร่วมโต๊ะด้วยคนสิคะ พอดีว่าทานกับพี่หมิวสองคนแล้วมันน่าเบื่อน่ะค่ะ ทานกันเยอะๆ น่าจะสนุกดี” มาธวีขอ มองหน้าทุกคน
อย่างยิ้มๆ ยกเว้นปลายฝัน จนร่างบางแอบเบ้หน้าให้อย่างหมั่นไส้
“คงไม่ได้ เพราะโต๊ะเต็มแล้ว” ธีรไนยตอบออกมา
“จะเต็มได้ยังไงคะ โต๊ะก็ใหญ่ เพิ่มเก้าอี้เอาสิคะ” มัณฑิตาแนะนำ
“พอดีว่าพวกเราต้องการความเป็นส่วนตัว” ปฐพีบอกเสียงเรียบ ในใจก็เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาทุกที ถ้าเป็นแต่ก่อนนี่โดนเขาไล่
ตะเพิดไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ปลายฝันทำให้เขาคิดได้ว่าควรจะให้เกียรติผู้หญิงบ้าง แม้ว่าจะทำตัวหน้ารำคาญหรือยังไงก็แล้วแต่
ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็คงจะเลิกไปเอง
“แล้วทำไมลูกน้องคุณถึงนั่งได้ล่ะคะ” มาธวีถามอย่างสงสัย
“เขาไม่ใช่แค่ลูกน้อง แต่คือคนสนิท” อัคนีตอบนิ่งๆ
หญิงสาวทั้งคู่หน้าเจื่อนลงทันทีที่พูดอะไรที่ไม่เหมาะสมกับสถานภาพตอนนี้ออกไป ก็ได้แต่แสร้งทำหน้าสำนึกผิดเท่านั้น
“ต้องขอโทษจริงๆ พอดีว่าพวกเราไม่ทราบน่ะค่ะ คิดว่าเป็นแค่ลูกน้อง” มัณฑิตาเอ่ย
“จะเป็นลูกน้องหรืออะไรก็แล้ว ก็ไม่ควรพูด ผมชอบคนให้เกียรติคน” ประโยคที่คล้ายจะสอนนั้นปฐพีมองหน้าสองพี่น้องสาวสวย
เขม็ง ส่วนประโยคสุดท้ายหันมามองหน้าปลายฝันยิ้มๆ
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา ถ้าเช่นนั้นมันก็เป็นการง่ายน่ะสิ
แกล้งทำนิดๆ หน่อย ก็สำเร็จแล้วล่ะ
“ไหมแค่หลุดปากเองนะคะ” แย้งออกมา
ใครเชื่อหล่อนก็บ้าแล้วล่ะ
“แต่เขาว่ากันว่า พวกคำที่หลุดออกมามักจะมาจิตใต้สำนึก ‘จิต’ คิดอะไร ก็พูดแบบนั้นออกมา” ปลายฝันโพล่งออกมาเบาๆ แต่สองสาวก็ได้ยินชัดเจน ได้แต่กำหมัดแน่น แต่ใบหน้าก็ยังยิ้มแบบเห็นฟันสวยให้เห็น ทั้งๆ ที่ในใจรู้สึกโมโหไปโลกหน้าแล้ว
และนี่เมื่อไหร่พวกเธอจะได้นั่ง...ยืนคุยมานานแล้วนะ
“ค่ะ” เธอพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เพราะพูดออกไปก็ยิ่งทำให้ตัวเองดูไม่ดีเปล่าๆ
“ผมว่าทางที่ดีพวกคุณไปหาที่นั่งทานดีๆ เถอะครับ พอดีเจ้านายของผมต้องการความส่วนตัว และจะคุยเรื่องานกันนิดหน่อย คงไม่สะดวกที่จะให้คนนอกรับรู้เท่าไหร่”
“คิก” ร่างบางหลุดหัวเราะออกมาเมื่อธีรไนยหลุดประโยคที่ถ้าเป็นใครฟังก็ต้องหน้าเสีย
ไอ้สงสารมันก็สงสารนะ แต่ตอนนี้ไม่อยากจะมีปากเสียงด้วยเท่าไหร่ เพราะหิวข้าวมาก และกลัวจะทานไม่ทานลง เพราะฉะนั้นวันนี้ผมขอก็แล้วกันนะฮะ
“แต่...” มาธวีทำท่าจะขัด แต่ปลายฝันก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“ถามหน่อยนะครับ คุณสองคนไม่อายหรือไง ที่มายืนโต๊ะที่มีผู้ชายถึง 5 คน ทั้งๆ ที่คุณยังไม่ได้นั่งนี่ คนอื่นเขามองคุณสองคนหมดแล้วนะครับ”
หญิงสาวหันไปมองรอบๆ อย่างตกใจ ก่อนจะรู้สึกอับอายขึ้นมา เมื่อมีลูกค้าของร้านบางคนซุบซิบนินทาต่อหน้าเธอสองคน ทั้งสองหันมามองหน้าปลายฝันอย่างแค้นๆ ก่อนจะเดินไปนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ แทน พนักงานที่รอดูเหตุการณ์อยู่ตั้งนานก็เอาเมนูมาให้เธอสองคนดู มัณฑิตากับมาธวีก็สั่งอาหารด้วยความโมโห
อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน!
ทางด้านชายหนุ่มทั้ง 5 นั้น อาหารที่ได้สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟอย่างเร็ว เนื่องจากปฐพีกับอัคนีเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ แม้จะใช้เส้นไปนิด แต่นี่คือชีวิตจริง
“อ่ะ กินเข้าไปเยอะๆ หิวมากไม่ใช่หรือ” อัคนีพูดพลางตักอาหารใส่จานของปลายฝันอย่างเอาใจ ซึ่งร่างเล็กก็ทานมันด้วยความหิว
“ผมก็ไม่ไหวแล้วนะเจ้านาย ขอทานเลยก็แล้วกัน” ธีรไนยบอกก่อนจะลงมือทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าด้วยความหิว ซึ่งปฐพี อัคนี และพีรพัฒน์ก็ค่อยๆ ทานตามอย่างเงียบ โดนที่ปฐพีกับอัคนีสลับกันตักกับข้าวให้ปลายฝันบ้าง ส่วนทางด้านพีรพัฒน์กับธีรไนยเองก็เช่นกัน พีรพัฒน์เผยมุมอ่อนโยนกับธีรไนยโดยที่ตัวร่างบางเองไม่เคยเห็นมาก่อน
พี่พัฒน์นี่นึกว่าจะโหดอย่างเดียวเสียอีก...
“มองทำไม” เสียงดุถามขึ้น
“ป่ะ เปล่าฮะ แค่คิดว่าพี่พัฒน์มีมุมนี้ด้วยหรือก็เท่านั้น” ปลายฝันรีบถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นหน้าดุๆ ของพีรพัฒน์
“ก็มันไม่ชอบกินผัก ก็ต้องบังคับ”
“มึงก็บังคับกูตลอดแหละ แม่ง” ร่างโปร่งบ่นเสียงอุบอิบ
“ฮะๆ” ร่างเล็กหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันมาตักอาหารใส่จานของร่างสูงที่นั่งประกบข้างๆ บ้าง เพราะถ้าเอาแต่ตักให้เขา
อย่างเดียว จะไม่อิ่มเอา
“ขอบคุณ” ปฐพีพูดยิ้มๆ ก่อนจะทานอย่างมีความสุข
“ไม่เป็นไรฮะ”
“ช่วงนี้เรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ” อัคนีถามขึ้น
“โหย...เพิ่งจะมาถามเอาตอนสอบกลางภาคเสร็จไปแล้วเนี่ยนะ” ปลายฝันถามออกมา เพราะนี่เป็นครั้งแรกหลังจากเปิดเทอมสอง
เลยที่ทั้งคู่ถามถึงเรื่องการเรียนของปลายฝัน
“นี่จะจบปีหนึ่งแล้วหรือ”
“แน่นอนครับพี่ดิน ระดับนี้เสียอย่าง”
“โธ่เอ้ย พ่อคนเก่ง อย่าสอบตกแล้วร้องห่มร้องไห้มาล่ะ”
“ปากเสียจริงๆ เลยนะพี่เพลิง”
“อ้าว? กูผิดอีกละ” พึมพำออกมาอย่างระอา
ที่จริงปลายฝันชินเสียแล้วล่ะ กับคำพูดที่บางครั้งหวานหยดปานน้ำตาล บางครั้งก็พูดจากขวานผ่าซาก บางครั้งก็ปล่อยมุกเสี่ยวๆ
ให้เขินเล่น ถ้าให้เปรียบเทียบผู้ชายสองคนในตอนนี้กับครั้งแรกที่เจอนะ
มันเปลี่ยนแปลงไปมากเลยล่ะ...
“เอาอะไรเพิ่มไหม”
“พี่ดินฮะ นี่กะจะขุนให้ดรีมอ้วนหรือไง” หันมาถามปฐพี
“ก็ดีออก จะได้กอดแล้วอุ่นๆ”
“บ้าน่า มาพูดอะไรต่อหน้าพี่พัฒน์ พี่ธีร์ล่ะ พี่ดินนี่รู้จักอายบ้างเถอะ” ตำหนิอย่างเขินๆ
“ทำไมต้องอาย ก็แค่พูดตามความคิด”
“ใช่แล้วดรีม อย่างที่คุณดินว่านั่นแหละ ไม่ต้องอายหรอก พี่ชินแล้ว โอ้ย! เขกหัวกูทำไมเนี่ยไอ้พัฒน์เจ็บชะมัดเลยวุ้ย!” ประโยค
แรกเหมือนจะแซวร่างบาง แต่ก็ต้องหันกลับไปด่าพีรพัฒน์เมื่อโดนเขกศีรษะอย่างแรง
“หยุดพูดเถอะน่า แล้วยัดนี่เข้าปากไป” ร่างสูงสั่ง พร้อมกับตักกับข้าวใส่ช้อนตัวเองแล้วจับยัดใส่ปากของธีรไนยไป ก่อนจะช้อนที่
เพิ่งป้อนธีรไนยไปมาทานข้าวของตัวเองต่ออย่างไม่รังเกียจ
ปลายฝันที่แอบมองก็หน้าแดง เพราะเขินแทนธีรไนยที่ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย อาจจะเป็นเพราชินไปแล้วก็ได้
“เฮ้ย พวกแกทำอะไร เห็นไหมว่าเยาวชนของชาตินั่งมองอยู่” อัคนีถามยิ้มๆ เพราะตนเองสังเกตใบหน้าหวานตลอดว่ากำลังมอง
อะไร
“ขอโทษครับ” พีรพัฒน์บอกออกมานิดๆ
“เออ ช่างเถอะ”
ทั้ง 5 คนคุยไป ทานข้าวไป อย่างสนุกสนาน สองหญิงสาวที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ ก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เห็นทีท่าว่า
ทั้ง 5 คนจะคุยเรื่องงานอย่างที่บอกเลย มัณฑิตากับมาธวีเลยได้แต่มองหน้ากันอย่างอาฆาตแค้น ไม่ชอบใจปลายฝันอยู่แล้ว ก็ถึง
กับเกลียดหนักเข้าไปอีก
เธอจะแย่งพวกเขามาให้ได้ ไม่ว่าใครหน้าไหนจะมาก่อนก็ตาม...
...
...
...
“ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะฮะ หรือจะกลับเลย” ปลายฝันถามขึ้น เมื่อทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“นั่งเล่นสักพักก่อนก็ได้ เพิ่งจะ 4 ทุ่มกว่าๆ เอง ไปเข้าก่อนเถอะ” ปฐพีบอก
“พี่ธีร์” หันไปเรียกเสียงหวาน จนร่างโปร่งต้องส่ายหน้าให้กับความน่ารักของปลายฝัน
“โอเคๆ พี่พาไปเอง” ร่างเล็กยิ้มออกมาก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำกับธีรไนยกันสองคน
ปฐพี อัคนี และพีรพัฒน์นั่งคุยกันต่อ ตามประสาคนที่เป็นสามี (?)
“เมียแกกับดรีมสนิทกันน่าดู”
“ตอนแรกผมก็ไม่ชอบนะครับคุณดิน แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไอ้ธีร์มันไม่ได้คิดอะไรเกินกว่าน้องชาย” พีรพัฒน์บอกออกมา
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร”
คุยกันได้ไม่เท่าไหร่ มัณฑิตากับมาธวีที่เห็นว่าปลายฝันกับธีรไนยเดินออกไปแล้ว ก็ไปนั่งแทนที่ของทั้งคู่แบบไม่กลัวว่าใครจะ
มองไม่ดีเลยสักนิด
ก็ในเมื่อจะเอา ก็ต้องทิ้งหน้าตาเอาไว้...
“ขอนั่งนะคะ”
ปฐพีกับอัคนีนิ่งเงียบ มองดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ทำไมชีวิตของเขาถึงได้เจอแต่ผู้หญิงหน้าด้านตามรังควานกันนะ
“ชาติที่แล้วเราทำบุญด้วยอะไรวะไอ้ดิน” อัคนีหัน ไปถามผ่านหญิงสาวผู้ที่พี่ที่มานั่งคั่นกลางแทนปลายฝันด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่าง
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมหรือคะ” มัณฑิตาถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
เธอไม่รู้หรือว่าเธอโง่กันแน่ที่ไม่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้พูดด้วย
“ถึงได้เจอแต่ปลิงในชาตินี้ไง” ปฐพีถึงกับหลุดหัวเราะกับคำพูดของน้องชายของตนทันที
หญิงสาวทั้งสองคนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะความโลภ ความต้องการ มันบดบังจิตใจ บดบังความรู้สึกนึกคิดอะไรไปหมด อยาก
ได้เพียงแต่ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น
แม้แต่ผู้ชายของคนอื่นเช่นเดียวกัน
“แหม...หมายถึงคู่หมั้นหรือคะ” มาธวีถาม
“ฉันจะว่าคู่หมั้นของตัวเองทำไม” ปฐพีถามเสียงเรียบ เริ่มรู้สึกโมโหหญิงสาวทั้งคู่ขึ้นมา ถ้าเกิดว่ามายุ่งเฉยๆ น่ะไม่ว่าอะไร แต่ถ้า
ลามปามเมียอันเป็นที่รักเมื่อไหร่ เจอดี!
“ก็เห็นว่าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีหัวนอนปลายเท้านี่คะ เห็นไหมล่ะ เด็กคนนั้นไม่มีอะไรที่เหมาะสมกับคุณสักนิด คิดใหม่ได้นะคะคุณ
ดิน” มัณฑิตาพูดยิ้มๆ
คิ้วหนากระตุกเมื่อจับใจความจากประโยคของร่างบางข้างๆ ได้ว่า คงจะไปสืบประวัติของปลายฝันมาอย่างดิบดี และแน่นอนว่าเขา
ไม่แคร์ว่าใครจะคิดว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
“แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเหมาะสม” อัคนีถามด้วยน้ำเสียงที่โมโห
“ก็ต้องสวย รวย มีการศึกษา แต่ถ้าอยากจะพิจารณา ยังไงขอให้พิจารณาพวกเรานะคะ” มาธวีบอกยิ้มๆ
“ที่สำคัญ ต้องเป็นผู้หญิง สามารถมีทายาทสืบทอดตระกูลได้”
“เฮอะ! ไม่จำเป็น เพราะคนที่ฉันจะเลือกมาเป็นแม่ของลูกนั้น จะต้องเป็นคนน่ารัก เรียบร้อย มารยาทดี มีเหตุผล ทำอาหารเป็น
ซึ่งพวกเธอไม่น่าจะมี” อัคนีพูดบอก
มัณฑิตากับมาธวีถึงกับหน้าเจื่อนลงเมื่อตัวเองไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวเลยสักนิด
“ของพวกนี้มันฝึกกันได้ค่ะ” มัณฑิตาพูด
“มันก็จริง แล้วหัวใจล่ะ เปลี่ยนได้หรือไง” ปฐพีถามนิ่งๆ
“ถ้าคุณเปิดใจ ทุกอย่างมันก็จะง่าย”
“ฉันสามารถทำให้คุณรักฉันได้” มาธวีพูด
“ทำไมเธอถึงมั่นใจ”
ทั้งคู่ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ จนได้ยินประโยคต่อไปนี้แหละ ที่ทำเอาเธอสองคนแทบจะกรี๊ดลั่นร้านอาหารหรูแห่งนี้
“ขนาดดารา นางแบบที่สวยกว่าพวกเธอ ฉันยังไม่คิดจะเอามาเป็นแม่ของลูกเลย” ปฐพีพูด
“ฉันไม่ชอบพวกเธอ ไม่มีความรู้สึกอะไรสักนิด ต่อให้แก้ผ้ามา ฉันก็ไม่ชายตาแล” คำพูดที่แสนร้ายกาจหลุดออกมาจากอัคนีอย่าง
ไม่สามารถที่จะห้ามปรามได้
สองพี่น้องกำหมันแน่ พร้อมกับกัดฟันตัวเองเพื่อห้ามเสียงกรี๊ดของตนไม่ให้ส่งเสียงออกมา เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้ข่าวใหญ่แน่ๆ
“กลับกันเถอะ” ปฐพีหันไปมองหน้าอัคนีกับพีรพัฒน์ เมื่อเห็นว่าปลายฝันกับธีรไนยเดินมาที่นี่แล้ว
“อ้าว? ทำไมรีบกลับล่ะฮะ ไม่คุยกับเธอก่อนหรือ” ปลายฝันถาม
“พี่ไม่อยากให้ดรีมมานั่งทับที่น่ะ” ปฐพีบอกเสียงเข้ม ก่อนจะเดินออกมาโอบเอวบางของปลายฝันแน่น ทางด้านอัคนีก็ไม่น้อยห
น้า ลุกออกจากเก้าอี้แล้วไปโอบเอวร่างเล็กเช่นกัน
“พี่ดิน พี่เพลิง ปล่อยนะ อายเขาบ้างเถอะ” ร่างเล็กพยายามสะบัดตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่เป็นผล
“อายทำไม หืม...เขารู้กันทั้งประเทศแล้ว” อัคนีถามเสียงนุ่มทุ้ม ต่างจากน้ำเสียงที่ใช้พูดคุยกับหญิงสาวยิ่งนัก จนมัณฑิตากับมาธ
วีรู้สึกอิจฉาตาร้อนผ่าว จ้องมองปลายฝันอย่างเคียดแค้น จนปลายฝันสะดุ้งเฮือก
เพราะสายตานี้ มันสามารถที่จะฆ่าเขาได้เลย
ผู้หญิงสองคนนี้เริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ
ผมหวังว่าคุณคงไม่คิดทำอะไรที่ทำลายชีวิตตัวเองหรอกนะ
“ไปกันเถอะ”
“โอเคฮะ ว่าแต่ไม่ลาเธอหน่อยหรือฮะ” ถามอย่างจริงจัง
จะบอกว่าร่างบางเริ่มกลัวมัณฑิตากับมาธวีก็ถูก เพราะถึงแม้จะเป็นผู้หญิง แต่พวกเธอมีเงิน และสามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ เขา
กลัว...
กลัวว่าจะมีโอกาสมายืนอยู่ตรงนี้ได้เพียงแค่นี้
(มีต่อ)