ตอนที่ 40
จากนี้ ตลอดไป
เวลา 8 โมงกว่าๆ ปลายฝันเดินออกมาจากบ้านพักในชุดที่รามินทร์เตรียมไว้ให้ พอไปถึงที่งานปลายฝันก็ต้องตกใจกับแขกไฮโซที่มีหน้าตาในสังคมมากมายมาอยู่ที่นี่กันเต็มไปหมด บางคนปลายฝันก็รู้จักเพราะเคยเห็นบ้างแล้ว ซึ่งมันทำให้ปลายฝันคิดถึงปฐพีกับอัคนีขึ้นมา
“ก็งานแต่งคนรวยนี่ จะเยอะก็ไม่เห็นแปลก” ปลายฝันพึมพำ หวังในใจว่าปฐพีกับอัคนีหรืออิสระกับคุณหญิงคงจะไม่ได้มาร่วมงานนี้
“คุณปลายฝันหรือเปล่าครับ” พนักงาเสิร์ฟในงานเดินมาถามปลายฝัน
“ครับ”
“เชิญนั่งด้านนี้เลยครับ” ร่างบางเดินตามที่พนักงานคนนั้นพาไปก่อนจะหยุดมองที่นั่งตรงนั้นอย่างสงสัยและไม่เข้าใจ
“เชิญครับ”
“เอ่อ...ผิดที่หรือเปล่าครับ” ปลายฝันถาม เพราะที่ที่พนักงานพามานั่งคือโต๊ะที่อยู่ตรงกลางระหว่างหน้างานกับเวที เป็นโต๊ะที่
สามารถมองเห็นด้านหน้าและด้านหลังได้อย่างชัดเจน เพราะมีโต๊ะเพียงตัวเดียวที่อยู่ตรงกลาง
“ไม่ผิดครับ ตรงนี้สำหรับคุณปลายฝัน”
“อาจจะคนชื่อเหมือนก็ได้นะครับ”
“คุณปลายฝัน สุขสวัสดิ์น่ะครับ” พนักงานบอกอีกครั้ง จนปลายฝันได้แต่สงสัย ไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องนั่งโดยดี เพราะชื่อที่เขาบอก
ออกมาก็ยืนยันแน่ชัดว่าเป็นโต๊ะสำหรับเขา ร่างบางมองไปยังเวทีตรงหน้าก็ยังไม่เปิดป้ายชื่อบ่าสาวอยู่ดี
สงสัยว่าเจ้าสาวยังไม่มาล่ะมั้ง
“สวัสดีตอนเช้านะครับ วันนี้ผมได้รับเกียรติให้มาเป็นพิธีกรดำเนินงาน และตอนนี้คนที่เรารออยู่มาถึงสถานที่จัดงานแล้วนะครับ”
สิ้นประโยคของพิธีกร ปลายฝันก็หันไปมองรอบๆ เพื่อหาบุคคลที่เป็นเจ้าสาวของงานนี้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเธอคนนั้นเป็นใคร
เหล่าผู้ที่มาร่วมงานนั้น ต่างก็รู้อยู่แล้วว่าบ่าวสาวเป็นใคร แต่ไม่พูดออกมาเพราะกลัวคำขู่ของผู้มีอำนาจคนนั้น คนที่สามารถใช้
อำนาจที่มีสั่งคนได้เป็นหมื่น
“อาจจะฟังดูว่าผมเป็นคนห่ามๆ แน่นอนครับเพราะไอ้เจ้าบ่าวมันเป็นเพื่อนผมเอง ส่วนเจ้าสาวของมันก็ไม่รู้จักผมด้วย ต้อง
ขอโทษนะครับที่คำพูดของผมฟังดูหยาบๆ ไป ก็ผมเป็นตำรวจนี่นา ฮ่าๆ ยังไงแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มารับชมรับฟังวิดี
โอซึ้งๆ กันก่อนนะครับ”
ปลายฝันมองผู้ชายที่เป็นพิธีกรที่ด้านหน้าเวทีอย่างใช้ความคิด เพราะเหมือนว่าตัวเองจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จักหรอก จากนั้นสายตา
ของปลายฝันก็หันไปมองที่โปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของเวที ก่อนที่จะมีข้อความพร้อมซาวด์เพลงเพราะๆ ดังคลอไป
ด้วย
ตั้งแต่วันแรกที่พวกผมเห็นเขาคนนั้น พวกเราก็คิดว่า ‘หน้าตาก็ดี แต่ไม่น่าเป็นคนแบบนี้เลย’ เพราะคิดว่าเขาคนนั้นจะเข้ามาเพื่อ
หวังทรัพย์สมบัติ
พอได้พูดคุยกันครั้งแรกก็เหมือนจะทะเลาะกัน และเขาคนนั้นก็เป็นคนแปลกมาก จนพวกเราต้องมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
เพราะนอกจากเขาจะไม่เหมือนใครแล้ว เขายังกล้าสอนคนอย่างพวกเราในแบบที่ไม่มีใครกล้าบอกอีกด้วย... กล้าว่า กล้าตำหนิ
กล้าบ่น กล้าเถียง
จากที่อยู่ด้วยกันแรกๆ ทะเลาะกัน และพวกผมก็ชอบที่จะแกล้งเขา หาเรื่องเขา ให้เขาโมโหและหงุดหงิดเล่น บ้างก็แกล้งกัน เอา
คืนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ร่างบางนั่งอ่านตัวอักษรที่วิ่งผ่านไปมาเพื่อเล่าเรื่องราวของความรู้สึกที่มีออกมา แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะเรื่องราวมัน
คล้ายๆ กับของตนมาก และเพลงที่ประกอบข้อความพวกนั้น มันทำให้ปลายฝันรู้สึกอินและซาบซึ้งแทนเจ้าสาวจริงๆ ก่อนจะนั่ง
อ่านข้อความที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างสวยงามต่อไปด้วยความสนใจ
จนกระทั่งวันหนึ่งความรู้สึกมันเปลี่ยนไป พวกเราเริ่มห่วง เริ่มหวง และเริ่มหึงกับเพื่อนสนิทของเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์
ที่พวกเรางี่เง่าและเด็กมาก เราทะเลาะกันรุนแรงมากอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ก็กลับมาเข้าใจกันได้
พวกเรามีความรู้ดีๆ ให้กับเขา ซึ่งไม่เคยที่จะให้ใครมาก่อน เชื่อฟังคำพูดของเขา เพราะอยากจะฟัง อยากจะทำตาม อยากจะ
ได้ยินมันไปตลอด วันไหนที่ไม่ได้ยินเสียงนั้น เราก็จะโทรไปหาเรื่องเพื่อที่จะได้มีกำลังใจในการทำงาน แต่ก็น่าแปลก เพราะพียง
แค่เสียงของเขา ก็ทำให้พวกผมหายเหนื่อยได้
เมื่อครั้งหนึ่งที่เขาถูกทำร้าย น้ำตาลูกผู้ชายของเราไม่เคยหลั่งรินเพราะใคร แต่กลับไหลรินเพราะคนๆ เดียว กลัวไปหมดว่าจะมี
อะไรเกิดขึ้น กลัวว่าเขาจะไม่อยู่ข้างๆ กลัวว่าตื่นมาในวันใหม่เราจะไม่เจอเจ้าของรอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบของพวกเราสว่าง
สดใส
เรื่องราวที่ผ่านมามากมายไม่สามารถที่จะเรียงร้อยผ่านเป็นตัวอักษรได้หมด แต่แค่อยากจะบอกว่าถึงพวกเราจะไม่เคยพูดออกมา
ไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่รัก
ร่างบางแอบปาดน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง แม้จะเป็นแค่ตัวอักษร แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าคนที่เล่าเรื่องนี้ต้องการจะบอกว่า
อะไร
ถ้าไม่ใช่รักที่มากมายเหลือเกิน
เหตุผลที่พวกเราเลือกที่นี่เพื่อทำเซอร์ไพรส์และขอแต่งงานนั้น นั่นเป็นเพราะว่า...ครั้งหนึ่งเราเคยมา อธิษฐานรักผ่านดวงดาว..
พอจบประโยคนี้พร้อมกับเสียงเพลงซึ้งๆ ก่อนที่เพลงใหม่จะดังขึ้น พร้อมกับภาพมากมายที่ทำให้ปลายฝันต้องร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ร่างเล็กกุมหัวใจตัวเองแน่นอย่างปลาบปลื้มและดีใจ
ก็เป็นคนธรรมดา ไม่พิเศษ
ก็เป็นคนที่เดินดิน อย่างคนทั่วไป
ไม่ได้ดี เกินกว่าคนไหน มีแค่ใจดวงเดียวให้เธอ
ก็เป็นเพียงคนๆ หนึ่ง
ไม่เลิศเลอ แค่บังเอิญมาเจอเธอ
แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งใกล้กัน
ก็ยิ่งหวั่นไหว อยากค้นใจเธอดูสักครั้ง
มันน่าอายมากๆ ที่ผู้ชายคนหนึ่งมาร้องไห้ต่อหน้าคนมากมาย แต่ต่อให้อายเขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เพราะภาพที่เขาเห็นมันเป็น
ภาพของเขาทั้งนั้น ริมฝีปากบางเม้มกันสนิทเพื่อไม่ให้หลุดเสียงสะอื้นออกมา เขาไม่สนใจอะไรแล้วตอนนี้ มองแต่หน้าจอด้วย
ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้ไหม
ให้ฉันเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอเหงาใจ
ไม่ต้องกลัว จะไม่ไปไหน
จะไม่ทำให้เธอเจ็บอีกเหมือนเคย จะดูแลอย่างดี
หากว่าเธอยังลังเลไม่แน่ใจ ก็ปล่อยให้มันเป็นไป
ให้ตัวฉันได้พิสูจน์ ว่ารักเธอ มากสักแค่ไหน
โปรดไว้ใจฉันดูสักครั้ง...
ภาพที่เขากับปฐพีและอัคนีถ่ายกันในวันที่มาเที่ยวที่นี่ครั้งแรก ภาพทุกภาพที่ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน มันก็บ่งบอกว่าในจอนั่น
มันภาพเขาทั้งนั้น มันเป็นภาพของปลายฝันที่ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายด้วยกัน ร่างเล็กโดนแอบถ่ายบ้าง จนสงสัยว่าเอาเวลาที่ไหนไป
ถ่าย สมองค่อยๆ ประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะเข้าใจแน่ชัดแล้วว่า
นี่เป็นงานของเขา
ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้ไหม
ให้ฉันเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอเหงาใจ
ไม่ต้องกลัว จะไม่ไปไหน
จะไม่ทำให้เธอเจ็บอีกเหมือนเคย จะดูแลอย่างดี
ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้ไหม
ให้ฉันเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอเหงาใจ
ไม่ต้องกลัว จะไม่ไปไหน
จะไม่ทำให้เธอเจ็บอีกเหมือนเคย จะดูแลอย่างดี…
เมื่อเพลงจบไปพร้อมๆ กับภาพปลายฝันที่นำมาต่อกันจนเป็นรูปหัวใจสวยงาม เสียงรอบข้างก็เงียบสงัดลงหันมามองที่ปลายฝัน
เป็นตาเดียว ส่วนปลายฝันก็หันไปมองรอบๆ เพื่อที่จะหาปฐพีกับอัคนี แต่ก็ไม่เจออะไร เลยนั่งปาดน้ำตาออกไปให้หมด
เขาจะรออยู่อย่างนี้...
“ถ้าหากว่าคุณรู้แล้วว่ามันเป็นงานของคุณ ขอให้คุณหลับตาลงครับ” พิธีกรพูดใส่ไมค์จนเสียงดังก้องไปทั่วทั้งงาน ร่างเล็กค่อยๆ
หลับตาลงช้าๆ ก่อนที่เสียงเพลงเบาๆ จะคลอขึ้น สักพักปลายฝันก็รู้สึกว่ามีมือเล็กๆ มาจับที่สองมือทั้งสองข้าง ทำให้คนตัวเล็ก
ต้องลืมตาขึ้น ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“ธารา วาโย”
“มัม!!” เด็กๆ เรียกปลายฝันเสียงดังด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข ปลายฝันสังเกตชุดที่เด็กๆ ใส่ก็ยกยิ้มอย่างเอ็นดู เด็กน้อยในชุดน่ารักสีขาวบริสุทธิ์
“มาทำอะไรที่นี่ครับ” ถามยิ้มๆ
“มาหามัม” วาโยตอบ
“แล้วมากับใครครับ”
“มากับคุณปู่ คุณย่า แล้วก็พ่อดินกับป๊าเพลิงค่ะ” ธาราตอบเสียงฉะฉาน
“แล้วตอนนี้อยู่ไหนกันหมดจ้ะ” ถามยิ้มๆ ในใจก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าทั้งคู่อยู่แถวนี้ แต่ส่งให้เด็กๆ ให้ออกมาทำอะไร
บางอย่างแน่ๆ
“บอกไม่ได้” วาโยบอกพร้อมกับส่ายหน้าไปด้วย
“ทำไมครับ”
“พ่อดินกับป๊าเพลิงให้ออกมาถามมัมว่าจะแต่งงานกันไหม” ธาราพูด
“แล้วถ้าแต่ง พ่อดินกับป๊าเพลิงจะออกมาหามัม” วาโยสมทบ
ปลายฝันส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ความรู้สึกที่เสียใจตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาถูกลบเลือนหายไป เพียงเพราะวันนี้วันเดียว ร่างบางยก
ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกเด็กๆ ไป
“ถ้าอยากให้มัมแต่ง ก็ให้พ่อดินกับป๊าเพลิงออกมาขอเอง!!!” ปลายฝันพูดเสียงดังข่มความอาย เพื่อให้ร่างสูงที่หลบอยู่แถวๆ นี้
ออกมา แขกที่อยู่ในงานก็ส่งเสียงแซวจนปลายฝันอายม้วน
ไม่คิดว่าแขกไฮโซจะส่งเสียงแซวอย่างกับงานวัดเป็นด้วย
ฮือ...ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้วนะ
“แต่งงานกับพี่นะ” เสียงกระซิบดังอยู่ทั้งสองข้างของใบหู เมื่อไม่รู้ว่าตอนไหนที่ปฐพีกับอัคนีเดินมาจากด้านหลัง แล้วกระซิบขอ
แต่งงานพร้อมกันข้างใบหูบางคนละข้าง ปลายฝันที่พอได้ยินจริงๆ ก็อดที่น้ำตาไหลออกมาไม่ได้ด้วยความปลาบปลื้มและดีใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อย่างที่ปลายฝันคิด...
เขาเข้าใจผิดมาโดยตลอด
“ท่ะ ทำไมถึงอยากแต่งกับดรีม” ปลายฝันถามสั่นๆ แต่ก็ยังไม่สนใจไปมองหน้าคนตัวสูงที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างเก้าอี้ที่ตนนั่ง ร่าง
บางมองตามเด็กๆ ที่ตอนนี้วิ่งออกไปหาคุณปู่ คุณย่าที่เพิ่งจะแสดงตัวเองเหมือนกัน
“พี่รักดรีม” ทั้งคู่บอกรักเสียงหนักแน่น จนคนตัวเล็กร้องไห้ออกมาเพราะรอฟังคำนี้มานาน และตอนนี้เขาก็ได้ยินมันแล้ว ไม่มี
อะไรที่จะต้องหนีอีกแล้ว
“รอฟังมานานแล้ว” เสียงสั่นเครือบอก
“พี่ขอโทษ” พูดพร้อมกันอีก
“ล่ะ แล้วทำไมวันนั้น” ร่างบางจะถามถึงวันที่ตนไปหาปฐพีแต่ก็ไปเจอภาพนั้นเข้า
“วันนั้นพวกพี่คุยกันว่าจะเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานนี่แหละ แต่ดรีมคงได้ยินไม่หมดล่ะมั้ง พอรู้ว่าดรีมหนีมา พี่สองคนก็พากันเปลี่ยน
แผน โดยให้คุณรามินทร์ช่วย” อัคนีสารภาพก่อนจะมองหน้าคนที่ตัวเองรักมากที่สุด
“ข่ะ ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอกดรีม พี่เองก็ต้องขอโทษที่ทำให้คิดมาก” ปฐพีพูด ปลายฝันส่ายหน้าทั้งน้ำตา
มันเป็นความผิดเขาเอง ที่ไม่ยอมรอฟังเหตุผลอะไรเลย
“แล้วเรื่องที่ดรีมบอกว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้” อัคนีพูดขึ้น
“พวกพี่จะทำให้มันเป็นไปได้เอง” ปฐพีพูดต่อ
“แต่งงานกับพี่นะ” ก่อนที่ทั้งคู่จะพูดประโยคนี้อีกครั้งหนึ่ง ปลายฝันพยักหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะลุกเดินไปหาปฐพีคนแรกแล้ว
ควงแขนกว้างที่ลุกขึ้นรออยู่แล้วจากนั้นเดินไปด้านหน้าแล้วคล้องเข้าแขนของอัคนีอีกข้างเดินขึ้นไปยังบนเวทีทั้งน้ำตา
มันเป็นช่วงเวลาชีวิตของปลายฝันที่สำคัญที่สุด
ผ้าม่านที่บังเวทีไว้เลื่อนออกด้านข้างก่อนจะเผยชื่อเจ้าบ่าว เจ้าสาวอย่างที่ปลายฝันอยากจะเห็น แต่พอวันนี้มาเห็นว่าเป็นชื่อตัว
เองก็ได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตา แขกต่างๆ ที่มาเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ ต่างก็ลุกขึ้นปรบมือให้กับทั้งสามคนด้วยความยินดี และปลายฝันก็
เพิ่งจะสังเกตเช่นกันว่าก้องภพกับญาณินก็มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
หลอกเขากันเป็นแก๊งเลย...
พิธีแต่งงานของทั้งสามคนเป็นไปอย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรมากมายหรือพิธีอะไรที่มันมากนัก เพราะปลายฝันไม่มีญาติที่ไหนก็เลย
เพียงแค่กราบอิสระกับอัญมณีไปก็เท่านั้น เพื่อฝากตัวเองให้เป็นสะใภ้และภรรยาของปฐพีกับอัคนีอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนเรื่องการจดทะเบียน เนื่องจากสามารถจดทะเบียนได้แค่คนเดียวหรือต้องจดเป็นคู่ แต่พวกเขามีสามคน เพราะฉะนั้นแล้ว
ทะเบียนสมรสมันก็แค่ใบที่ยืนยันว่าบุคคลคนนั้นเป็นสามีภรรยากัน ไม่ได้บ่งบอกว่าบุคคลนั้นๆ รักกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ทะเบียน
สมรสของทั้งสามก็คือ หัวใจ
ถ้าตราบใดที่ใจยังรัก และผูกพันกันอยู่ มันก็จะยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ดี ยังเป็นคนรักกัน ยังอยู่ด้วยกัน แต่ตราบใดที่ใจหมดรัก
วันนั้นก็จะหมดพันธะสัญญา...
“ผมสัญญาว่าจะดูแล และปกป้องปลายฝัน ภรรยาของผมคนนี้มีความสุขที่สุดจนกว่าชีวิตจะหาไม่” ปฐพีสัญญาเสียงดังและหนัก
แน่น ให้แขกในงานเป็นพยาน
“ผมขอสัญญา ว่าจะไม่ทำให้ปลายฝันคนนี้ คนที่ผมรักยิ่งกว่าชีวิต ต้องเสียน้ำตาอีกต่อไป จะสร้างแต่ความสุขและรอยยิ้มให้”
อัคนีสัญญาเสียงหนักแน่นผ่านไมค์เช่นกัน
แต่สายตายามที่เขาพูด ก็สบเข้ากับที่ดวงตาสวยของปลายฝันด้วยความรักสุดใจ ดวงตาที่ปลายฝันเห็นอยู่เสมอ แต่ไม่เคยเข้าใจ
ความหมายของมัน
แต่วันนี้เขารู้แล้ว
ปฐพีกับอัคนีก็รักเขา เหมือนที่เขารักทั้งคู่เหมือนกัน...
ปลายฝันพยักหน้าทั้งน้ำตา ก่อนหันไปกอดอัคนี และปฐพีก็สวมกอดจากทางด้านหลังอีกคน ทั้งสามคนกอดกันเพื่อที่ถ่ายทอด
ความรักทั้งหมดไปให้กันและกัน
“ดรีมรักพวกพี่”
…
…
…
(มีต่อ)