Title : At Dawn
วารินทร์ x วิณณ์
*********
ตอนพิเศษผม....ขึ้นชื่อเรื่องมั่นคงในรัก ผมมีความรักที่ฝังใจ แม้ว่าจะไม่มี “อีกฝ่าย” ให้เรียกว่าคนรักก็ตาม
เพื่อนบอกว่าผมโง่ ก็โอเค ไม่เถียง แต่ผมก็อยู่กับความภาคภูมิใจนี้มาตลอด จนกระทั่งวินาทีหนึ่ง ของวันหนึ่ง ของเดือนหนึ่ง ของปีหนึ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายวินาทีนั้น ทำให้ก้อนดำที่ถูกฝังให้หลับลึกอยู่ในหัวใจผม....ตื่นตัว“ไอ้วินมันบ้านแตก พี่อย่าใจร้ายกับมันนะ”
“ใจร้ายห่าเหวอะไร ยุงกัด กูยังขอขมาก่อนตบไส้ไหล เมตตาสูงขนาดนี้หาได้ที่ไหน”
“แล้วไงมึงเนี่ย”
“บ้านแตกเลยต้องมาแดกเหล้าหรอ? ห๊ะ?”
“ทักกูสิ จ้องหน้ากูไปสเก็ตภาพหรอ”
“เพื่อนมึงเป็นใบ้หรอโอม”
“สวัสดีครับพี่โป๊ะ ผมชื่อวิน”
“สะกดด้วยนอเนน แล้วก็นอเนนการันต์”
“ภาษาอังกฤษ ดับเบิ้ลยะ”
“สัส! กวนตีนนะมึง!”
สิ่งที่เกิดขึ้นในวินาทีเหล่านั้น...ความประทับใจค่อนข้างเป็นศูนย์ หลังจากนั้น ผมก็ยียวนไปตามนิสัย ไม่คิดเหมือนกันว่าไอ้เด็กนี่มันจะเอาแก้วเหล้าฟาดหัวผม หน้าตามันดูโมโห แสดงว่าสกิลการยั่วโมโหของผมยังไม่บกพร่องสินะ
ตอนนั้น ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่เตะมันให้เข่าทรุดแล้วบังคับให้กราบตีนขอโทษเหมือนที่ผมทำกับรุ่นน้องคนอื่นๆ เวลาที่ความเดือดดาลมันพลุ้งพล่านในกระแสเลือด
วิน….ชื่อมันสะกดด้วยนอเนน แล้วก็นอเนนการันต์
วิณณ์…ผมจะจำเด็กนี่ไปจนวันตายเลย ไอ้เด็กนี่ทำให้ก้อนดำๆ ในหัวใจผมขยับ แต่มันทำได้ยังไงผมก็ขี้เกียจจะหาคำตอบ ผมไม่มีเวลาวิเคราะห์ ไม่มีเวลาประเมิน เรื่องมันกลับกลายเป็นว่า ผมกำลังหาใครสักคนมาช่วยงานที่ร้านกาแฟ ชื่อมันก็มาอยู่ตรงหน้าให้ลองเลือก แล้วผมก็เลือก เลือกทั้งที่พอจะดูออกว่าไอ้ยุ่งนี่ก็ไม่ได้อยากทำงานนี้นัก
วิณณ์น่าสงสารระดับหนึ่ง ฟังเรื่องราวจากที่ไอ้โอมเล่าบ้าง บ่นออกมาบ้าง ด่าบ้าง จับใจความได้ว่า วิณณ์บ้านแตก พ่อแม่แยกทางกัน ตอนนี้อาศัยอยู่ในบ้านไม้ในสลัมาหลังวัด และมีผู้หญิงแก่เลี้ยงดู
มองๆ แล้วน่าจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เพราะผิวพรรณเด็กนี่สะอาดสะอ้าน ใบหน้าก็หมดจด เสื้อผ้าที่ใส่มาเจอกันแต่ละครั้งก็มีแบรนด์ทั้งนั้น ไหนจะนาฬิกา โทรศัพท์ และท่าทางหยิ่งทระนงกับศักดิ์ศรีของการมีแม่ยกนั่นอีก
รวมๆแล้วก็น่ามองดี แต่ลึกๆ แล้ว ผมว่าผมไม่ชอบใจนักที่เด็กนี่หลงผิดไปกับเงินทองที่ผู้หญิงแก่ปรนเปรอ
ผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเด็กนี่ถี่ขึ้น ทั้งจากการเป็นจ้างมาทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟ และการเป็นอาจารย์-ลูกศิษย์กันที่มหาวิทยาลัย แม้ผมจะเป็นแค่อาจารย์พิเศษก็ตาม
หลังจากพินิจเด็กคนนี้มากขึ้น โดยรวมแล้ววิณณ์เป็นเด็กมีความคิดที่ดี เป็นเด็กดี แต่ระดับความกวนตีน ความไม่ยอมคนมีสูงมาก เรียกตามภาษาของไอ้โอมที่นิยามเพื่อนมันก็คือ เอาแต่ใจ แต่ผมไม่รู้สึกเดือดร้อนกับการเอาแต่ใจของเด็กนี่นัก เพราะสัมผัสได้ว่าพรรษายังต่ำ ผมเคยรับมือกับคนเอาแต่ใจสุดๆ มาแล้ว ระดับวินถือว่าอ่อนหัด
แต่....เด็กนี่ขายตัว...
ไม่สิ ก็แค่มีผู้หญิงแก่ส่งเสียนั่นแหล่ะ แต่สำหรับผม มันก็คือการขายตัวอยู่ดี
ทั้งที่เป็นเด็กมีความคิดความอ่านที่ดี รักดี หน้าตารูปร่างก็ดี พูดง่ายๆ ก็คือ วิณณ์มีต้นทุนทางสังคมติดตัวมาในระดับที่เรียกได้ว่าเยอะ ก็ควรจะหยิบฉวยโอกาสจากสังคม สร้างความอยู่รอดให้ตัวเอง ด้วยมือตัวเอง ไม่ใช่มักง่ายใช้ทางลัดแบบนี้
บอกตรงๆ ว่าผมเสียดาย
ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งเสียดายอนาคตของเด็กนี่
ยิ่งอยู่ใกล้ ก็ยิ่งอยากดันให้เขาไปในทางที่ถูกต้องกว่านี้
ผมมีโอกาสได้ไปบ้านวิณณ์หลายต่อหลายครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงติดใจการอยู่ใกล้ๆ วินนัก ทั้งที่ก็ไม่ได้ชอบใจกับการยอมขายตัวให้ผู้หญิงแก่ แต่บรรยากาศระหว่างผมกับเด็กนี่มันดีขึ้นเรื่อยๆ
ผมไม่อึดอัดเวลากินข้าวกับวิณณ์
เราแลกเปลี่ยนเรื่องในใจระหว่างกัน แม้ว่าเด็กนี่จะคายความลับเพราะการบังคับของผม แต่ก็ถือว่าเจ๊ากันเพราะผมก็เล่าเรื่องรักฝังใจของผมให้เด็กนี่ฟัง แม้ว่าไอ้ยุ่งนี่จะดูไม่สนใจฟังนักก็เถอะ
เราซึ้กันแล้ว ผมคิดแบบนั้นนะ
จนมาวันหนึ่ง
ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง
มันเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังใจเต้นโครมครามระหว่างรอพบผู้ใหญ่ที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนที่กำลังจะจัดตั้ง
ผู้มีอำนาจที่เดินเข้ามานั้นผมรู้จัก แต่คนที่เธอแนะนำว่าเป็นหลานชายนั้น ทำให้ผมเปิดกะลาตัวเองและตระหนักถึงความจริงว่า ที่ผ่านมา กูไม่เคยรู้เรื่องเหี้ยอะไรเลย!
มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมโกรธ อับอาย ขายขี้หน้า เจ็บใจ อยากตบหัวไอ้เด็กนี่ให้กะโหลกเคลื่อนผิดองศา แต่ผมก็ทำได้แค่ยิ้ม และรับสภาพการเป็นผู้ถูกหลอกอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โปรเจคงานลุล่วงไปด้วยดี
วันถัดมาก็ต้องมาเจอกันตามตารางงาน ผมแกล้งนัดให้คุณชายวิณณ์มาที่ออฟฟิศบริษัทแม่แต่เช้า เพื่อลากกันไปที่ไซต์ก่อสร้างสตูดิโอแถวบางพลีที่ไกลโคตร
เห็นหน้าแล้วหมั่นเขี้ยวพิลึก อยากตีสักทีสองทีแล้วทวงถามคำขอโทษ แต่ก็อย่างว่า....ผมจะมีสิทธิ์อะไรล่ะ?
วิณณ์ไม่เคยบอกว่าขายตัว ผมไม่เคยเค้นคำตอบต่อคำถามที่ว่าขายตัวหรอ? และทำไปเพื่ออะไร
กลายเป็นว่าความหมางใจที่เกิดขึ้นกับผม สาเหตุมันมาจากการคิดเองเออเองของผม อีกเสี้ยวหนึ่งเป็นความผิดไอ้โอมน้องรัก(ประชด) ที่พูดแต่เรื่องที่ทำให้ผมเข้าคลาดเคลื่อน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนผิด และไม่ได้หมายความว่าผมต้องเป็นคนพูดคำว่าขอโทษเสียหน่อย
“อ่า มาแล้วหรอครับคุณวิน”
“ครับ คุณมือโปร” เด็กนี่คงอยากโดนฟาดสักโหลแน่ๆ ถึงได้ยียวนผมกลับ ทั้งที่ตัวเองทำผิดเอาไว้ สีหน้ารู้สึกผิดยังไม่มีให้เห็น จองหองพองขนเพราะคนหนุนหลังคือคนมีอำนาจสินะ ก็เออดิวะ! ผมมันหืออืออะไรไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผมกำลังง้อให้แบงก์นี้มาร่วมทุน โถ่เว้ย!
หรือจะล้มโปรเจคแม่งเลย
ผมครุ่นคิดระหว่างทางขับรถพาเด็กนี่ไปดูสตูดิโอที่กำลังสร้าง ก่อนหน้านี้ผมเคยจำลองภาพไว้ในหัวว่า วันที่พาไอ้โอมกับเพื่อนรักของมัน(ซึ่งก็คือคุณชายวิณณ์นี่แหล่ะไ มาดูสตูดิโอในฝันของผม เด็ก 2 คนคงตื่นเต้นน่าดู คงจะมองเห็นภาพฝันเดียวกันกับผม คงจะช่วยเป็นแรงเล็กๆ น้อยๆ ให้ผม คงอยู่ข้างๆ ผมจนวันที่สำเร็จเป็นสตูอิโอที่สมบูรณ์
แต่ฝันของผมสลายแล้ว ข้อแรก เดี๋ยวไอ้โอมมันก็โบยบินไปเรียนต่อตามทางที่มันปูกระเบื้องเอาไว้
ข้อสอง คุณชายแห่งตระกูลแบงก์ใหญ่คงไม่สนใจความฝันเล็กๆ ของผมหรอก
ให้ตายเถอะ! ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
และก็เพราะความพาลของผม ความไร้เหตุผลของผม ทำให้ผมไม่ฟังวิณณ์ที่ดูพูดคำขอโทษออกมา แม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนประชด แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเด็กนี่รู้สึกผิด และกำลังพยายามอธิบาย เพื่อให้บรรยากาศระหว่างเรา กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน....ก่อนที่เราจะรู้จักฐานะทางสังคมของเราอย่างถูกต้อง
ผมอารมณ์เสีย
ยิ่งฟังเด็กนี่พูดหรืออธิบายก็ยิ่งอารมณ์เสีย
ปากอยากจะถามนักว่า หลอกพี่ทำไม แต่ผมก็พอจะมียางอายพอจะรู้ว่า เด็กนี่ไม่ได้อยากหลอกลวงผม บางที เหตุผลของเด็กคนนี้อาจจะมีแค่ว่า ไม่รู้จะบอกให้ได้อะไรขึ้นมา ก็ได้
สุดท้ายผมก็ทำเรื่องให้มันใหญ่โต สมกับพี่ไอ้หมอนำมันเคยชื่นชมเอาไว้ว่า ผมถนัดเหลือเกินเรื่องทำให้เรื่องควายๆ กลายเป็นปัญหาโลกแตก
ผมทำหลานนายแบงก์เป็นลม ให้ตายเถอะ! ใครจะไปรู้ว่าบอบบางขนาดนี้
แต่เมื่อทำแล้วก็ต้องรับผิดชอบ ผมพาวิณณ์มาส่งที่โรงพยาบาล เลือกเอาโรงพยาบาลเอกชน เพราะวิณณ์ไม่ได้เจ็บป่วยเร่งด่วน บวกกับคิดเอาเองว่า เขาเป็นถึงหลานนายแบงก์ พาเข้าคลินิกโรคผิวหนังแถวๆ ตลาดบางพลีคงไม่เหมาะเท่าไหร่
คุณสุชาดารักหลานชายคนนี้มาก ไม่ต้องใช้เวลาสังเกตนานผมก็ดูออก เธอรักของเธอเหมือนคลอดมาเองนั่นแหล่ะ
ผมขอโทษผู้ใหญ่ตามมารยาท แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า คนที่ผมต้องขอโทษเพราะทำเรื่องเสียมารยาทไว้มากมายคือวิณณ์ต่างหาก
เด็กนี่ตื่นแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่พอผมกลับเข้ามาส่วนของเตียงคนไข้ ก็เห็นนอนลืมตาทำหน้าใส
มันคงถึงเวลาที่ผมงี่เง่าไม่ได้ และต้องใช้เหตุผลคุยกัน
"วินหลอกพี่ทำไม"และแล้วผมก็ได้พูดออกไปสักที คำที่ค้างใจผมมาตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าวิณณ์คือหลานชายนายแบงก์
เด็กนี่เป็นคนอธิบายอะไรไม่เก่งเอาเสียเลย ไม่อ้อนวอน ไม่ร้องขอ แข็งทื่อ เถรตรงอยู่กับความรู้สึกตัวเอง ไอ้ดื้อนี่มัน....เฮ้อออ
“ก็อยากจะเกลียดหน้าหรอกนะ แต่....”นั่นสิ แต่อะไรวะ? ผมก็งงตัวเองอยู่เหมือนกัน
สถานะของผมกับเด็กนี่เปลี่ยนไปหลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
เราเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกัน ครั้งนี้ผมไม่ได้คิดเองเออเองแล้ว พิสูจน์ทราบด้วยการพาวิณณ์กับคุณสุชาดามาดูสตูอิโออีกครั้ง
คุณสุชาดาฝากวิณณ์ไว้ให้ผมดูแลชนิดที่ป้อนกันถึงปากล่ะครับ
ผมก็รับปาก และไม่ได้รับปากตามมารยาทแล้วด้วย
แต่พอสอนงานให้วิณณ์เข้าจริงๆ ก็ดูเหมือนเราจไม่ใช่คนที่พูดกันครั้งเดียวก็รู้เรื่องนักหรอก ต้องเขวี้ยงอารมณ์ใส่กันก่อน และฝ่ายที่เริ่มฟาดอารมณ์ใส่ ก็ผมนี่แหล่ะ ช่วยไม่ได้ ผมมันผู้ชายงี่เง่านี่หว่า
ดูเหมือนจะงอนผม? ผมก็ไม่ได้มีเซ้นส์เรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ บอกตรงๆ ว่าดูไม่ออกหรอกครับ มาเจอกันอีกครั้งก็ที่ผับของผมนั่นแหล่ะ เห็นสภาพแล้วก็อยากจะขำ เพราะเด็กนี่เมาแอ๋อยู่กับเพื่อนซี้เขา ก็ไอ้โอมนั่นแหล่ะ
ผมสะกิดนิดหน่อย ตั้งใจจะปลุกให้ตื่นแล้วแซะไปวางบนเตียง แต่ไอ้ยุ่งมันก็ยุ่งขอแท้ไม่มีอะไรปนเลนจริงๆ ลงท้าย ผมก็นอนบนโซฟาตัวโปรดเพราะมันเป็นพี่โปรดของผม โดยที่นอนเบียดอยู่กับคุณชายวิณณ์ตัวยุ่งนี่แหล่ะ
“เออ เออ เอาที่สบายใจเลยไอ้ยุ่ง”ผมบอกข้างหู ไม่รู้กระดูก 3 ชิ้นยังทำงานตามกลไกอยู่มั้ย? ไม่รู้วิณณ์จะได้ยินรึเปล่า ว่า เอาที่สบายใจ
มันคงเป็นเช้าที่วิบัติของวิณณ์ แต่เป็นเช้าที่สนุกสำหรับผม ผมได้แกล้งเด็กนี่อีกหลายเรื่อง ยิ่งเห็นทำหน้ายุ่ง ขมุบขมิบปากใส่ หรือกระทั่งอ้าปากด่าผมว่าเหี้ยครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข...มันคงเป็นความสุขที่เกิดจากการแก้แค้น แม้ว่าผมจะยังนึกไม่ออกว่าผมแค้นอะไรน้องมันนักหนาก็เถอะ
ตกสาย วิณณ์ได้เจอกับโจ้ที่มาหาผมที่ออฟฟิศทาวน์อินทาวน์
วิณณ์กับโจ้รู้จักกันแล้ว ผมเลยไม่คิดว่ามีอะไรต้องแนะนำกันเป็นพิเศษ หรือต้องดูแลกันเป็นพิเศษ ก็ปล่อยตามเรื่องตามราว จนโจ้พูดอะไรเยอะแยะที่ผมรู้สึกรำคาญ เมื่อไหร่จะลดความเป็นผู้หญิงช่างจะห่วงลงบ้างก็ไม่รู้
เรื่องมันกลับกลายเป็นว่าผมปากไวไปพูดกระทบวิณณ์เข้า ประเด็นก็เรื่องที่ผมรู้สึกถูกหลอกนั่นแหล่ะ ผมรู้ว่าน้องไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยังหลุดปากหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเหน็บแนมกัน ที่สำคัญคือเหน็บแนมต่อหน้าคนอื่นอย่างโจ้
“วินขอโทษแล้วนะ”
“วินขอโทษพี่โป๊ะทุกอย่างแล้วนะครับ”
“แล้ววินก็รู้สึกว่า ความรู้สึกแย่ๆ ที่พี่โป๊ะสร้างขึ้นมาคลอบตัววินไว้มันทำหน้าที่ของมันแล้ว”
“วินรู้สึกแย่ และน่าจะรู้สึกพอแล้ว”
“ถ้าพี่จงใจสั่งสอนวินเพื่อให้วินไม่ริโกหกหรือปิดบังความจริงอีก พี่ประสบความสำเร็จแล้ว วินหลาบจำแล้ว”
“และถ้าพี่โป๊ะยังไม่หยุดเป็นแบบนี้ ไม่หยุดหาเรื่องวินทุกเรื่อง ทำตัวห่างเหินเหมือนเราไม่เคยมีน้ำใจต่อกัน ไม่เคยนั่งกินข้าวด้วยกันดีๆ ไม่เคยแลกเปลี่ยนเรื่องที่ได้แต่เก็บไว้ในใจคนเดียว วินก็ว่าวินไม่ควรเสียเวลาทนอีก”
“มันเกินบทเรียนที่วินควรได้รับมากเกินไปแล้ว”
“แล้วยังไง”
“พูดมาตั้งเยอะ คุณจะทำอะไรล่ะ”
“ถ้าผมทำให้คุณอึดอัดจนทนไม่ได้แบบนี้ คุณจะทำยังไง”
“วินไปเอง”
“คุณอยากกดดัน อยากทำโทษอะไร กับใคร ก็เรื่องของคุณ”
“แต่ผมจะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”
บอกว่าจะไป แล้วก็ไปจริงๆ
วิณณ์ไม่มาทำงานร่วมอาทิตย์
วันแรก ผมคิดเสียว่าให้เวลาเด็กนี่ปรับอารมณ์
วันที่สอง ผมคิดเสียว่าให้เวลาตัวเองดับอารมณ์
วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า ผมแทบบ้าเพราะทำงานไม่ได้เลย หงุดหงิดกับทุกอย่างแม้กระทั่งกาแฟที่แนนชงมาให้ ทั้งที่มันก็รสชาติเดิมแต่ผมก็พาลอารมณ์เสียใส่เลขาแสนอึดได้อย่างหน้าด้านๆ
และวันที่ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ก็มาถึง ผมบากหน้าไปหาวินที่บ้านไม้ริมน้ำหลังนั้น หลังจากแอบเลียบๆ เคียงๆ ถามคุณสุชาดา ซึ่งเธอดูเหมือนจะตีประเด็นไปว่าหลานเธองงแงเอง
ไปถึงก็เจอไทยมุง เสียงเอะอะโวยวาย เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงกรีดร้องของป้าๆ ทั้งหลาย หลายคนชี้มือไปที่บ้านวินแล้วก็บอกช่วยด้วย ช่วยไอ้หนุ่มนั่นด้วย ผมก็จ้ำไม่คิดชีวิตเลย
วิณณ์ที่ผมเจออีกครั้งคือลูกหมาที่ได้รับบาดเจ็บ ตัวก็นิดเดียว น่าสงสารชิบหาย เด็กนี่นอนหน้าซีด คงกำลังตกใจกับเหตุการณ์ พอช่วยกันกับลุงสมานประคองวินขึ้นรถเพื่อพาไปทำแผลที่โรงพบายาลได้แล้ว ผมก็พูดคำที่ไม่ได้พูดกับใครมานาน
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่มาแล้ว”มันเป็นคำพูดของฮีโร่ผมเป็นฮีโร่ของลูกแพร์ ทั้งชีวิตนี้ผมไม่คิดจะปกป้องใครอีก เพราะมือผมไม่ได้แข็งแกร่งกว่าใคร หลังผมไม่ได้มีปีกงอกให้แปลกแยกจากคนอื่น ผมก็แค่คนธรรมดา ที่เมื่อคิดจะเป็นฮีโร่ให้ใครสักคนแล้ว ผมก็จะใช้ทั้งชีวิต
ผมเป็นฮีโร่ของลูกแพร์ ผมจะทุ่มเทให้เธอตลอดชีวิต
แต่ชีวิตเราไม่ได้เดินคู่กัน ไม่มีกระทั่งโอกาสเดินเคียงกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยสถานะใดก็ตาม
แพร์จากแล้ว ชีวิตผมไม่มีใครให้ใช้มือธรรมดาคู่นี้ปกป้องแล้ว แผ่นหลังไร้ปีกนี้ไม่มีใครมาคอยหลบคอยซุกขอแรงขอกำลังใจอีกต่อไป
จนกระทั่งเจอเด็กคนนี้
วิณณ์ปลุกให้ก้อนดำๆ ในหัวใจผมตื่นขึ้น
ไอ้ตะกอนที่เกาะกันเป็นก้อนดำนี้เริ่มลอกคราบตัวเอง เปลือกสีดำกำลังหลุดร่อนทีละนิด ทีละนิด
สิ่งแรกที่ผมทำเพื่อวิณณ์ และวิณณ์ก็เต็มใจรับความช่วยเหลือจากผม ก็คือการช่วยพูดให้คุณสุชาดา เชื่อใจหลานชายตัวเองและอนุญาตให้วิณณ์กลับมาอยู่บ้านไม้ได้อีกครั้ง ภายใต้ข้อแม้ว่า ห้ามอยู่คนเดียว และผมก็คือคนที่จะมาอยู่บ้านไม้กับวิน ในฐานะ ผู้เช่า
แต่เอาเถอะ จากเด็กที่เป็นเพื่อนกับน้องที่ผมรักมันเหมือนน้องจริงๆ มาเป็นลูกจ้างชั่วคราว แล้วก็กระโดดมาเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เป็นคนที่ผมต้องสอนงานด้วย ทำงานร่วมด้วย และมาเป็นเจ้าของบ้านที่ผมมาเช่าอยู่ ทั้งที่มีบ้านพ่อ บ้านตัวเอง คอนโดตัวเอง บ้านต่างจังหวัด รีสอร์ท บ้านในสวนองุ่นอยู่แล้ว
ตอนนี้ ผมคิดว่าผมกำลังมีความสุข กับการได้ปกป้องวิณณ์ -จบ-สวัสดีค่ะ แฮ่ๆ ช่วงนี้มาถี่ เพราะว่าเราคิดถึงงงงงงงงการเขียนฟิค และเราปรับอารมณ์ให้ไม่หนืด ไม่อืด ไม่หม่นได้แล้วเลยมาเขียนต่อ
ตอนนี้เป็นส่วนของความรู้สึกพี่โป๊ะนะคะ
พี่โป๊ะอาจจะไม่ใช่คนเท่ที่สร้างความประทับใจให้คนที่ได้พบได้เจอแบบ 100 คะแนนเต็ม แต่พี่โป๊ะเป็นคนจริงค่ะ
ใช่ค่ะ พี่โป๊ะเป็นคน ไม่ได้เป็นตัวเหี้ยเหมือนที่น้องวินแอบด่าและด่าตรงๆ แต่อย่างใดๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ล้อเล่นค่า แซวพระเอกขำๆ เพราะรู้สึกว่ากระแสความเกลียดชังถูกฝังอยู่ในตัวพี่โป๊ะเยอะเลย
โถๆๆ พี่แกล้งใครไม่แกล้ง ดันไปแกล้งน้องเจมเด็กดีนี่เนอะ
มาเรื่องของตัวเองบ้าง ก็เจอเด็กปราบเหี้ยหน่อยเถอะค่ะ
อัพเดทกันนิดนึงนะคะ
ตอนนี้มีงานมหกรรมหนังสือนานาชาติ ฮูเล่! อยากไปเดินชมงานเหมือนกันแต่เจียดเวลาไม่ได้เลยจริงๆ ค่ะ
แต่!! แม้ตัวเราไม่ได้ไป ก็ส่งหนังสือเล่ม เรื่อง Hear,Me (ที่หนึ่ง-เจม) ไปอวดโแมอยู่ที่บูธสะพาน N03 โซนซี 1 และจะไปวางเพิ่มเสาร์หน้า โซน wonderland เบเกอรี่บุ๊ค บูธ Y01 ห้องบอลรูม ด้วยนะคะ
แฟนฟิค (มีหรอ? มีแหล่ะน่า) ที่อ่านที่หนึ่ง-เจม แต่ไม่ได้เก็บแบบเล่ม จัดหามาสะสมกันได้นะคะ ไว้สำหรับอ่านยามไฟฟ้าดับ ฮ่าๆๆ (มันใช่มั้ย มันใช่เวลามั้ย?) ตอนพิเศษในเล่มน่ารักด้วยค่ะ สนนราคาพิเศษ 630 บาท
ฝากไว้เท่านี้ค่ะ
สำหรับตอนต่อไปของแอทดอน ความหน่วงจะเริ่มมา แต่ใครเป็นฝ่ายหน่วงนั้น ฝากติดตามด้วยค่ะ
ส่วนผู้ติดตามคู่รักแอดไทเป รออีกประเดี๋ยวนะคะ