Mon Fiancé ไอ้เฉิ่มนั่น..คู่หมั้นผม ❤ butterfly lovers... END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Mon Fiancé ไอ้เฉิ่มนั่น..คู่หมั้นผม ❤ butterfly lovers... END  (อ่าน 196672 ครั้ง)

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
 :hao4: จะลงนิยายต่อ อยากรู้ว่าจะขอย้ายไปบอร์ดปกติได้ไหม หรือให้อยู่แค่ในนี้ ใครรู้ช่วยตอบทีน้าาาา

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
บทที่ 14 ความทรงจำสีจาง
.....


ใจคนเราเหมือนดวงจันทร์ มีด้านสว่าง และอีกด้านที่ใครมองไม่เห็น



“ยินดีด้วยนะ”



จอมทัพยิ้มด้วยปาก ดวงตา และใจ แต่พระจันทร์อีกด้านของเขากำลังข่มก้อนบางอย่างที่มันตีบตันอยู่ในคอ



“พี่จอม...” นาวามองคนตรงหน้า ในดวงตาสีเฮเซิลมีเงาสะท้อนของจอมทัพอยู่ แววตานั้นกำลังสื่อสารบางอย่าง



“วาครับ ถ่ายรูปกับพี่นะ” ชายหนุ่มตัดบท แล้วเข้าไปโอบไหล่นาวา ก้มหน้าลงไปใกล้เกือบชิด ทั้งคู่ยิ้มให้กล้องโพลารอยด์ในมือของจอมทัพ



“รูปพี่ขอเก็บไว้นะ แต่พี่มีนี่ให้วาฟัง” เขาเสียบหูฟังเข้ากับโทรศัพท์แล้วยื่นเพลงเพลงนั้นให้นาวาได้ฟัง
อ้อมกอดครั้งสุดท้ายยาวนานจนเพลงจบ จอมทัพปลีกตัวออกมาจากงานหมั้นอย่างเงียบๆ ภายใต้สายตาของตรีเพชรและตามใจ


.....



ผมหยิบไดอารี่ปกหนังสีดำมาวางไว้บนโต๊ะริมหน้าต่าง กรีดเปิดไปยังหน้าล่าสุดเพื่อเติมเต็มความว่างเปล่านั้นด้วยความรู้สึกที่ผมเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มของวันนี้ วันที่นาวากับตรีเพชรหมั้นหมายกัน  ผมเขียนข้อความสั้นๆ กลั่นจากความรู้สึกที่มี



           They said “Home isn’t where you are but who you’re with.”

           If so, after all this time you were home to me…

มีคนกล่าวว่า บ้าน ไม่ใช่เคหะสถานที่เราอยู่ แต่บ้านคือคนที่เราอยู่ด้วยต่างหาก
ถ้าอย่างนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา นาวาคือบ้านของผม...



บ้านหลังน้อยเริ่มก่อร่างก่อตัวขึ้นมาตอนไหนผมจำไม่ได้ อาจจะเป็นตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่เราใช้ความไร้เดียงสาหาเรื่องเล่นซนจนเนื้อตัวมอมแมม จำได้ว่าทุกวันหยุด ผมต้องรบเร้าขอให้แม่ขับรถไปส่งที่บ้านนาวาเพื่อจะได้ใช้เวลากับเขา หรืออาจจะเป็นตอนที่เราเจอกันอีกครั้งเมื่อนาวาย้ายจากเชียงใหม่กลับมาเรียนที่กรุงเทพฯ ฟุตบาทหน้าโรงเรียนสอนพิเศษแห่งหนึ่ง ผมยังจำเด็กชายสวมแว่นคนนั้นได้ เขาทำสมุดหล่น บนปกเขียนชื่อและนามสกุลชัดเจน วินาทีนั้นหัวใจผมพองโต ปากแทบยิ้มถึงใบหู ตัวเบาหวิวราวมีปีกโบยบิน



ผมไม่รู้หรอกว่าความผูกพัน และความรู้สึก at home มันเกิดเมื่อไหร่ แต่ผมรู้แน่ชัดว่าผมตกหลุมรักเขาตอนไหน มันยังชัดเจนจนถึงทุกวันนี้...



“ทำไมรีบกลับ” เสียงหอบของใครคนหนึ่งทำให้ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ ดูท่าคงจะรีบบึ่งกลับมาตั้งแต่ที่รู้ว่าผมออกจากงานหมั้นก่อนเวลา


“อ้าว ตามถาม ทำไมไม่ตอบ” ตามใจก็ตามใจตัวเองสมชื่อ


“นายอยากอยู่ต่อก็กลับไปที่งานสิ” ผมเดินเลี่ยงเอาสมุดบันทึกเก็บเข้าชั้นวางหนังสือ สายตาจับไปยังม่านสีครามปิดผนัง



“จะลากนายกลับไปด้วย”



“ไม่ไป”



“ทำไมไม่กลับไปล่ะ งานหมั้นของพี่เพชรทั้งทีนะ ที่สำคัญเค้ามีอาฟเตอร์ปาร์ตี้นะ after party ดื่มฟรีกินฟรี ไปสนุกกันดีกว่าน่า ไม่ต้องมาเฉาอยู่แต่ในห้องแบบนี้” ตามใจเท้าสะเอว ร่ายยาว



“เหล้าน่ะซื้อดื่มเองได้ ฉันไม่สนของฟรี”



“เฮ้อ ดื้อ”



เป็นครั้งแรกที่ได้ยินตามใจบ่นว่าผมดื้อ ทั้งที่ปกติผมจะบ่นเขาด้วยคำนี้ หากแต่คำพูดของรุ่นน้องกลับไม่ดึงความสนใจของผมได้เท่ากับภาพถ่ายจากกล้องโพลารอยด์ที่ถ่ายคู่กับนาวา ในรูปจากงานหมั้น นาวายิ้มแจ่มใส ผมยืนเคียง เราต่างยิ้มให้กล้อง รอยยิ้มของผมเป็นรอยยิ้มแห่งความยินดี แม้จะเสียใจ แต่ก็ยินดีที่คนที่ผมเรียกได้สนิทปากว่ารัก มีคนอย่างตรีเพชรมาดูแล



แสงตะวันสีส้มฉายลอดหน้าต่างห้องเข้ามา แสงนวลของอาทิตย์ยามเย็นอาบไล้บรรยากาศในห้องให้ดูละมุนตา ผ้าม่านสีครามเข้มที่คอยปิดผนังไว้ก็ดูไม่ดุเหมือนอย่างเคย ผมมองรูปใบน้อยในมืออีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปยังม่านครามที่ปิดแทบจะตลอดเวลา



ตามใจยังคงตามใจตัวเองเสมอ ความเงียบของผมไม่เคยสลัดเขาหลุดออกไปได้เลย ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหน ดูเหมือนเด็กคนนี้จะเดินตามผมไปทุกฝีเก้า จนกว่าจะได้ดั่งใจนั่นแหละ ถึงจะยอมเลิกราวี ในเมื่อผมทำอะไรเขาไม่ได้ ก็ปล่อยให้เขาเดินตามอยู่อย่างนั้น... เพราะผมไม่อยากกลับไปเห็นคนที่ผมรักเดินจากผมไปอีกแล้ว อยากขอเวลาพักทำใจ



พูดถึงเวลา มือข้างที่ว่างอยู่ของผมเปิดผ้าม่านสีครามเข้ม เผยให้เห็นห้วงเวลาที่ผมเก็บซ่อนเอาไว้



ตามใจอ้าปากค้างให้กับรูปนับร้อยๆ ใบที่ติดไว้เต็มผนัง รูปเหล่านั้นเป็นรูปของนาวา มีรูปผมในนั้นบ้าง แต่ส่วนมากเป็นรูปของเขา รูปของเรา ตั้งแต่วัยเด็ก จวบจนทุกวันนี้



ผมบรรจงติดรูปของวันนี้เพิ่มลงไป แล้วถอยหลังออกมามองดู รูปถ่ายภายใต้ม่านครามหนา บางรูปสีจืดจางเพราะถ่ายไว้หลายปีแล้ว ความทรงจำสีจาง แต่รสชาติไม่จืดของผม ถูกแสงอัศดงอาบไล้ส้มดูอ่อนนวลตา และอุ่นใจ



“ที่ไม่ให้ใครยุ่งกับม่านอันนี้เพราะไม่อยากให้ใครเห็นรูปพวกนี้สินะ...” ตามใจไม่ละสายตาจากรูปถ่ายของผมและนาวาสมัยเด็ก เป็นรูปถ่ายที่เราเล่นซนกัน ก่อปราสาททรายจนเนื้อตัวมอมแมม รูปนั้นผมจำได้ว่าถ่ายตอนนาวา 7 ขวบ



“ใช่ และไม่ใช่”



“ยังไง ไม่เข้าใจ”



“ใช่ที่ไม่อยากให้คนอื่นมายุ่ง และไม่ใช่ที่ต้องคอยปกปิดรูปพวกนี้ เพียงแต่... ต้องการจะเก็บรักษามันไว้ให้ดีที่สุดต่างหาก”



“พี่วาคงเป็นคนสำคัญมากๆ” ตามใจพูดแผ่วเบาราวกระซิบ



“สำคัญสิ”



“รักไหม” ตามใจหันมาสบตาผม “...หมายถึงพี่วา นายรักเขาใช่ไหม”



ผมกวาดตามองรูปทุกใบตรงหน้า ความรู้สึกบางอย่างตื้นตันขึ้นมา รูปนาวาสมัยม.ปลาย มีกีตาร์โปร่งอยู่ในอ้อมแขน ผมนั่งข้างๆ คอยสอนเขาจับคอร์ด



‘สอนวาเล่นกีตาร์หน่อยนะครับ จะไปแข่งกับไอ้เก้า’



‘ค่าสอนล่ะ’



‘งกจัง’



‘งั้นก็หัดเอาเองนะไอ้ตัวเล็ก’ ผมขยี้หัวนาวาเบาๆ



‘ก็ได้ๆ ไปเชียงใหม่ด้วยกันตอนปิดเทอมเป็นไง’



ผมยิ้มรับ ‘จะสอนสุดฝีมือเลย’



ตอนนั้นเรายิ้มให้กันและกัน รอยยิ้มของผมสดใสกว่าวันนี้



“รักสิ รักมากด้วย” คำตอบหลุดจากปากผมโดยไม่ต้องคิด



“รักแล้วทำไมต้องเจ็บ...” คำถามของตามใจทำให้ผมคิดถึงบทเพลงที่ผมยื่นให้นาวา



“เพราะรักเป็นทั้งทุกข์และสุขน่ะสิ” ผมตอบ พร้อมกับหัวใจผมแว่วเสียงบทเพลงที่ชัดในความรู้สึก


(เพลง Photograph ของ Ed Sheeran https://www.youtube.com/watch?v=nSDgHBxUbVQ)

Loving can hurt
Loving can hurt sometimes
But it's the only thing that I know
When it gets hard
You know it can get hard sometimes
It is the only thing that makes us feel alive

รักทำเราเจ็บ
บางครั้งความรักทำให้เจ็บปวด
แต่รักก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันรู้จัก
เมื่อความรักไม่ใช่เรื่องง่าย
เธอรู้ไหมบางทีความรักก็ยากเย็น
แต่รักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าเรายังมีลมหายใจ




“รูปพวกนี้เริ่มจากความรักนี่แหละ เมื่อก่อนแม่ชอบถ่ายรูป โตมาเลยรักการถ่ายรูปเหมือนแม่ เคยถามว่าแม่ชอบถ่ายอะไรมากที่สุด แม่บอกแค่ว่า แม่ชอบถ่ายคนที่แม่รัก พอโตขึ้น ฉันก็เลยได้เข้าใจ เราอยากจะเก็บรอยยิ้ม เก็บช่วงเวลาแห่งความสุขกับคนที่เรารักเอาไว้ให้นานแสนนาน แม้รูปถ่ายจะเป็นเพียงแค่กระดาษ แต่เป็นกระดาษที่บรรจุความทรงจำ ล้านตัวอักษร อาจไม่เท่าความรู้สึกจากภาพถ่ายหนึ่งใบ”



We keep this love in a photograph
We made these memories for ourselves
Where our eyes are never closing
Hearts are never broken
Times forever frozen still

เราบันทึกรักไว้ในรูปถ่าย
สร้างความทรงจำไว้เตือนใจตัวเอง
ถึงยามที่เรายังลืมตา
ยามที่ใจเรายังไม่แหลกสลาย
เวลาหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้นตราบนิรันด์




“รูปตรงนี้...” ตามใจชี้ไปที่รูปถ่ายสามใบที่อยู่กึ่งกลางของรูปทั้งหมด



“เพราะภาพถ่ายสามใบนี้แหละที่ทำให้เกิดภาพถ่ายทั้งหมดนี่” ตอนเรียนอยู่ม. 2 การเจอภาพถ่ายสามใบนี้โดยบังเอิญในอัลบัมรูปเก่าที่แม่เก็บไว้ ทำให้ผมดีใจยิ่งกว่าการสอบได้ที่หนึ่ง รูปพวกนี้ไม่ว่าดูกี่ครั้งก็ยาใจ



Loving can heal
Loving can mend your soul
And it's the only thing that I know (know)
I swear it will get easier
Remember that with every piece of ya
And it's the only thing we take with us when we die

รักช่วยเยียวยา
รักสามารถรักษาเยียวยาจิตใจ
และรักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันรู้จัก (เข้าใจ)
ฉันสัญญาว่าอะไรๆ จะดีขึ้น
จะจดจำทุกเศษเสี้ยวของเธอ
เพราะรักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราเอาติดตัวไปได้เมื่อความตายมาเยือน




“มันเป็นช่วงก่อนที่นาวาจะย้ายไปเชียงใหม่ เราไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันหรอกแต่โรงเรียนเราอยู่ติดกัน ทุกเย็นฉันจะรอส่งนาวากลับบ้าน บางครั้งคุณย่าหรือพ่อของนาวาจะเป็นคนมารับที่โรงเรียน แต่วันนั้นพ่อนาวาไม่ได้ไปรับ เขาบอกแค่ว่าพ่อคงยุ่งเพราะเป็นวันเกิดของวรากร”



“พี่วาน่าสงสารจัง...”



“วันนั้นนาวาเลยต้องกลับตอนแม่มารับฉัน”



ภาพถ่ายใบแรกเป็นรูปที่เราสองคนนั่งอยู่ในรถสองแถว นาวานั่งด้านในสุด สวมเสื้อขาวกางเกงสีน้ำเงิน ดวงตาสีน้ำตาลทองของเขามองบรรยากาศริมทางอย่างไร้จุดหมาย ผมที่ตอนนั้นใส่ชุดลูกเสือสำรองกำลังลอบมองนาวาด้วยความเป็นห่วง



So you can keep me
Inside the pocket
Of your ripped jeans
Holdin' me closer
'Til our eyes meet
You won't ever be alone
Wait for me to come home

เพื่อเธอจะได้เก็บฉันไว้
ในกระเป๋ายีนส์ตัวเก่าของเธอ
เก็บฉันไว้แนบกาย
ตราบเท่าที่สายตาเราจะกลับมาสบกัน
เธอจะไม่มีวันเดียวดาย
รอฉันกลับกลับไปนะ




เมื่อกวาดตาไปยังรูปถ่ายใบที่สอง รอยยิ้มจางๆ ระบายแต้มหน้าผม ในรูปผมพยายามประคองหัวนาวาที่กำลังง่วงหลับไม่ให้โงนเงนไปฟาดราวเหล็กของรถสองแถว



              And if you hurt me
               That's OK, baby, only words bleed
               Inside these pages you just hold me
               And I won't ever let you go

               และหากเธอทำฉันเสียใจ
               ไม่เป็นไรหรอกที่รัก แค่คำพูดบาดลึก
               ในรูปแต่ละใบเธอสวมกอดฉันไว้
               และฉันก็จะไม่ปล่อยเธอไปจากอ้อมแขน



นาวาง่วงจนหลับไป ผมกลัวเจ้าตัวเล็กจะหัวฟาดคานเหล็กด้านใน เลยต้องจัดการแทรกตัวเองในที่นั่งของนาวา กลายเป็นว่าผมนั่งด้านในสุด รูปที่สามจึงเป็นรูปที่ผมนั่งตัวเข็ง นาวาหลับซบไหล่ผม วินาทีนั้นผมไม่กล้าขยับเพราะกลัวว่าจะปลุกให้นาวาตื่น ผมแก้มแดงเพราะเขินแม่ที่แอบอมยิ้ม แต่เหนือสิ่งอื่นใด แก้มผมแดงเพราะผมรู้สึกได้ หัวใจผมเต้นเก่งไหว เป็นจังหวะของคนตกหลุมรัก... วินาทีนั้นคือวินาทีที่ผมรู้ตัวว่าผมรักเขา



Oh you can fit me
Inside the necklace you got when you were 16
Next to your heartbeat
Where I should be
Keep it deep within your soul

เก็บฉันไว้ในสร้อยคอ
ที่เธอได้รับมาตอนสิบหกก็ได้นะ
เก็บฉันไว้ใกล้กับเสียงใจเธอ
สถานที่ซึ่งฉันควรอยู่
จงเก็บรักเราไว้ในส่วนลึกของใจเธอ




“นาย... ไม่เป็นไรใช่ไหม” ตามใจถามผม



“ไม่นิ ทำไม”



“ก็...”



ตามใจใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งปิดตาผม ธรรมชาติของคนเราเมื่อมือของเราหรือใครก็ตามยกขึ้นมาหมายจะปิดตาเรา เปลือกตาของเราจะกระพริบลง หลับตาก่อนมือนั้นจะเข้าใกล้ วินาทีที่หลับตาลง ผมรู้สึกได้ว่าน้ำตาอุ่นไหลรินแก้ม ผมไม่รู้เลยว่ากำลังร้องไห้อยู่



When I'm away
I will remember how you kissed me
Under the lamppost
Back on 6th street
Hearing you whisper through the phone...

เมื่อฉันต้องจากไป
ฉันจะจดจำรอยจูบที่เธอมอบไว้
ภายใต้แสงจากเสาไฟ
บนซิกส์สตรีท
ได้ยินเสียงเธอกระซิบผ่านโทรศัพท์ว่า...




“วันที่นายต่อยกับพี่เพชร ทุกคนตกใจมากเลยนะ” ตามใจลดมือลง



ผมยิ้มเยาะให้กับความทรงจำในวันนั้น



“ทำไมไม่ทำก่อนหน้านั้น...”



“ต่อยไอ้เพชร?”



“เปล่า... หมายถึงจูบ”



ผมเงียบ



“ถ้าก่อนหน้านั้น นายได้จูบ หรืออย่างน้อยบอกความรู้สึกที่มีให้พี่วาฟังก็อาจจะไม่ต้องมานั่งเสียดายเหมือนวันนี้ โอกาสมีมาตั้งนานทำไมถึงไม่...”



“เพราะฉันรู้น่ะสิว่าฉันเป็นคนสำคัญของเขา”



“ยิ่งเป็นคนที่สำคัญสิยิ่งต้องบอก”



“นายไม่เข้าใจนาวาเหมือนที่ฉันเข้าใจหรอก... เชื่อฉันเถอะ ถ้าบอกรักนาวาได้ ฉันคงบอกกับเขาเป็นล้านรอบแล้วละมั้ง”



ตามใจเมินหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีส้มยังคงแจ่มชัดท่ามกลางสายลมเย็นที่รวยรินผ่านหน้าต่าง ม่านขาวกรีดกรายแผ่วเบาเป็นฉากหลังให้ความเงียบโรยตัวลงมาครอบคลุมบรรยากาศระหว่างเราอย่างเชื่องช้า



“ดื่มเหล้ากันเถอะ” ตามใจคว้าข้อมือผม



“เดี๋ยว จะลากไปไหน”



“ห้องนั่งเล่น ฉันจะจิ๊กเหล้าฝรั่งของเฮีย เราดื่มกันเถอะ”



“ทำไม?” ผมงง



“แค่อยากเมา หรือนายไม่อยาก?”



เราชนแก้วกันแก้วแล้วแก้วเล่า แอลกอฮอล์ที่ตามใจขโมยจากพี่ชายตัวเองหมดไปสามขวด ความทรงจำสุดท้ายก่อนสติจะรางเลือกติดปีกโบยบินไป มีเพียงหน้าตามใจที่ลอยเข้ามา กับความรู้สึกวูบหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะยังไง ผมจะไม่เลิกรักนาวา



"Wait for me to come home."

“รอฉันกลับบ้านนะ”

 

.....



“เดินดีๆดิวะไอ้เต” นายยังคงไม่หยุดบ่นเพื่อนที่ไม่สร่างเมา “เช้าแล้วสร่างได้แล้วมึง เย็นนี้ต้องไปค่ายชมรมอาสาอีกมึงลืมแล้วหรือไง”



“ที่แน่ๆ กูว่ามึงลืมไอ้นาย เมื่อคืนมึงซดเหล้าเป็นตาย” เปรมเข้ามาช่วยประคองเต หลังจากไขเปิดประตูบ้าน



“มึงก็พอกันเหอะ” นายกล่าวความจริง



“วางมันไว้ตรงโซฟาก่อนเหอะว่ะ ขืนพาไปข้างบนหลังกูได้หักก่อนพอดี เป็นหมออะไรวะ ตัวหนักเหมือนควาย”



“หมอขี้เมาไงมึง แม่งกูต้องจัดกระเป๋าออกค่ายให้มันด้วยไหมเนี่ย เป็นหมอภาระชัดๆ” นายกับเปรมวางหมอขี้เมาลงบนโซฟา



“ดีนะ ไอ้หมวยมันขอกลับก่อน กูเลยไลน์ให้มันช่วยจัดกระเป๋า ตอนนี้ของกูกับของไอ้หมวย หายห่วง” เปรมกอดอก วางท่า



นายส่ายหัวให้กับเพื่อน ก่อนเดินเลี่ยงมาหาน้ำเย็น หมายจะดื่มให้ฉ่ำใจ



นายพ่นน้ำออกจากปาก ตาเบิกโพลงกับสิ่งที่เห็น



“มึงเป็นเมอร์ไลออนหรือไง พ่นน้ำจนพื้นเปียกหมดแล้วเนี่ย” เปรมที่เดินตามมาหาน้ำดื่มเหวให้



“กูว่ามึงต้องจัดกระเป๋าเองแล้วแหละไอ้เฮีย” นายจงใจลากเสียงคำว่าเฮียยาวจนเกือบจะเพี้ยนเป็นคำอื่น



“อะไรของมึง”



“มึงดูโน่น” นายบุ้ยปากไปทางโต๊ะทานข้าว



เปรมค่อยๆ หันไปทางที่เพื่อนบุ้ยใบ้



“เชี่ย...” คำอุทานของเปรมเราราวกระซิบ



ภาพที่ปรากฏแก่คลองสายตาของนักศึกษาวิศวะทั้งสอง คือภาพที่จอมทัพหลับลงกับโต๊ะผินหน้าไปทางตามใจที่ผลอยหลับฟุบโต๊ะเช่นเดียวกัน ใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองหันเข้าหากัน มือข้างนั้นของตามใจยังคงพาดไหล่ของจอมทัพราวต้องการปลอบใจ ทั้งสองหลับไหลท่ามกลางแสงแดดยามเช้าและขวดเปล่าของจิน วอดก้า และวิสกี้



เปรมเดินตรงไปยังร่างสองร่างที่ผล็อยหลับ แก้มแดงของคนเมาทั้งสองคนบอกชัด



“ไม่นะ...” เปรมร่ำร้อง “หมดกัน มันสองคนแอบกินเหล้ากู!”



แล้วความโกหาหลก็เข้ามาเยือนบ้านน้อยหลังนี้ เฉกเช่นทุกเช้าที่เคยเป็นมา

.....

 

 

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian


ในยามที่สายลมโบกรับประกายแดด




"ไอ้วา ส่งกระเป๋ามา"


แบงค์ยื่นมือรับเป้ใบเล็กของนาวา


"แค่เนี่๊ยะ?"


"เออ"


ทันทีที่แสงแรกของดวงตะวันฉายฉาบขอบฟ้า ฝูงนกพลันกรีดปีกโบยบินออกจากรวงรัง ส่งเสียงขับขานรับเช้าวันใหม่ หากวันนี้เสียงที่กลบเสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกกา เห็นจะเป็นเสียงสนธนาของนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่กำลังทะยอยขนของใส่รถโคชและจับจองที่นั่ง


"แล้วของพี่เพชรล่ะ"


คนเป็นน้องรหัสยังมีแก่ใจถามถึงรุ่นพี่ คู่หมั้นของเพื่อนที่เพิ่งเข้าพิธีกันไปหมาดๆ


"เหอะ"


นาวากระแทกเสียง ทำหน้าเบ้ ปลีกตัวขึ้นรถโดยพลัน


ไม่พูดถึงตรีเพชรสักคำ...



ฝูงนกบินไปไกลสุดสายตา ปีกของพวกมันโบยบินด้วยแรงแห่งความหวังของวันใหม่ แม้ไม่รู้ว่าอีกด้านของฟากฟ้าจะมีสิ่งใดรอคอยอยู่ หากดวงตะวันแรกอรุณมาพร้อมกับความหวังเสมอ ฝูงนกบินตรงไปยังอีกด้านของฟากฟ้าอย่างมุ่งมาด ไม่หวาดหวั่นซึ่งพายุฝน หรือลมแรง หวังสิ่งเดียว อาหาร เพื่อกลับมาเลี้ยงลูกน้อยของมันให้ 'เติบโต'


เมื่อฝูงนกบินจากไป รถโคชคันใหญ่ก็เริ่มเคลื่อน อาจเหมือนนกจรจากรังเหล่านั้น เพราะภายใต้แสงอาทิตย์ดวงเดียวกัน ถนนที่ทอดยาวอยู่ข้างหน้า ยังมีประสบการณ์แปลกใหม่ให้ค้นหา เรียนรู้ และจดจำ เพื่อให้นักศึกษาเหล่านี้ได้ 'เติบโต'


ตราบใดที่ตะวันยังเดินทางมาเยือนขอบฟ้าของเช้าวันใหม่ ชีวิตย่อมมีความหวัง และบททดสอบรอคอยอยู่ข้างหน้าเสมอ มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่จะประคองสติ เตือนใจตัวเอง ไม่ให้หลงไปกับแบบฝึกหัดของชีวิต เพื่อที่จะเติบโต งอกงาม เป็นต้นกล้าที่ดีต่อไป


'ถ้าหากฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน ติดปีกบินไปให้ไกล ไกลแสนไกล
จะขอเป็นนกพิราบขาว เพื่อชี้นำชาวประชาสู่เสรี...'



ในรถโคชคันใหญ่ที่กำลังมุ่งไปข้างหน้า นักศึกษาเกือบสามสิบชีวิตกำลังจับกลุ่มร้องเพลง บ้างก็กำลังแบ่งขนมกันกิน บางกลุ่มกำลังพูดคุยหัวเราะร่วน ภายใต้บรรยากาศเปี่ยมชีวิตชีวาเช่นนี้ ทุกคนกำลังเดินทางผ่านถนนที่ทอดยาวเบื่องหน้า เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ค่ายอาสาของชมรมอนุรักษ์


"รับไปสิ"


นิสายื่นขวดน้ำให้คนข้างๆ


"ยาล่ะ" เก้าถาม เริ่มรู้สึกเวียนหัวทั้ง ๆ ที่รถเพิ่งขับออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง


"อ้าว ที่ขอมาเมื่อกี้ล่ะ"


"ทำตกพื้นไปแล้ว"


"ให้มันได้อย่างนี้สิ มือไม้อ่อนจริงพ่อคุณ"


ถึงจะบ่นแต่นิสาก็อดห่วงคนขี้เมารถไม่ไหว แล้วเธอค่อยหันมาถามพวกพ้องที่ยึดตอนหลังของรถเป็นสถานที่แอบงีบ


"มีใครอยากได้ยาแก้เมารถอีกไหมคะ"


"น้องสา พี่ขอเม็ดนึง" จอมทัพพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรย


"ตามขอด้วยนะครับ" ตามใจดูเพลียไม่ต่างกัน


"ค่าๆ จะจัดให้ทุกคนได้หลับจนถึงสวนผึ้งแน่นอน ระวังอาจจะเผลอไปตื่นเอาที่เมียนม่านะคะ"


หล่อนบ่นนิดหน่อยตามนิสัยคนปากไม่นิ่ง หากดูเอาเถอะ ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวต้องดูแลพวกผู้ชายตัวโต ทั้งคนขี้เมารถและพวกที่ยังไม่สร่างฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใครว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวท่ามกลางกลุ่มเพื่อนผู้ชายจะสบาย คิดผิดถนัด 'มีแต่เราที่ต้องถึกและทนเพื่อดูแลพวกมัน' นิสาขบเขี้ยวเคี้ยวยฟันอยู่ในใจ



"สมน้ำหน้าไอ้หมวยกัยไอ้จอม อยากแอบจิ๊กเหล้ากูดีนัก" เปรมกอดอกมองน้องชายและเพื่อนที่ยังไม่สร่างเมา "น่าปล่อยให้มึนจนหัวทิ่ม"


"สมน้ำหน้ามึงเหมือนกันแหละ ต้องจัดกระเป๋าให้พวกมัน" นายชะโงกหน้ามาคุยกับเปรมที่อยู่ด้านหลัง


"อย่างกับมึงไม่ต้องช่วยกูจัดกระเป๋า"


"กูมีน้ำจาย"


"ถุย" เปรมถีบเก้าอี้ของนายไปที "น้ำใจ? ถ้าไอ้หมอเตไม่เร่ง คนอย่างเอ็งก็ไม่ยอมเปลืองแรงมาช่วยหร๊อก"



สรรพชีวิตที่นั่งกระจุกกันด้านหลังรถ เห็นจะเป็นกลุ่มที่มีปากมีเสียงกว่าใคร


"ไอ้วา นั่งให้ดีดิ๊" แบงค์บ่นเจ้าคนนั่งข้าง


"ง่วง จะนอน"


"มึงก็นอนดีๆ ดิ้นไปดิ้นมากับไหล่กูอยู่ได้ รำคาญ"


"เก๊าะไหล่มึงไม่พอดีกับคอกู ซบไม่สบาย ต้องหามุมอยู่นี่ไง"


"ยังมีหน้ามาบ่นอีก ซบกูมากนักเกิดเฮียเพชรเห็นเข้ากูจะซวย"


"ซวยทำไมมันไม่มา ถึงมาก็ช่างปะไร"


"แล้วทำไมพี่รหัสกูไม่มาด้วยวะ"


"มึงว่ากูปลุกมันตื่นไหมล่ะ!"


แค่คิดนาวาก็หน้าหงิก อุตส่าห์จัดกระเป๋าให้แล้ว ปลุกก็แล้ว เรียกก็แล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ปล่อยให้มันนอนอยู่อย่างนั้นแหละ ขืนรอไอ้ตี๋คงตกรถกันพอดี


"มึงเก๊าะทิ้งเฮียเพชรซะเลย?"


"เออ ทิ้ง!"


"แล้วกัน หมั้นไม่ทันไร"


"ไอ้นี่ กวนละ"


นาวาดึงหมอนรองคอของแบงค์มาหนุนเสียเอง


"นาวาเอาหมอนกูคืนมา"


"ยุ่งน่า"


"แล้วกูจานอนยังง๊าย"


"ซบไหล่กูนี่"


"เออ เอาแต่ใจเข้าไปอีก"


"จะไม่ซบ?"


"ซบ"



กว่าพวกทโมนด้านหลังจะหลับและเงียบเสียงลงได้ รถก็เดินทางออกจากกรุงเทพมาเกือบสองชั่วโมง ทิวทัศน์ตามรายทางที่เคยมีแต่ตึกและห้างร้าน บัดนี้เริ่มมีสีเขียวขจีของแมกไม้ เป็นนิมิตหมายว่าชาวค่ายเดินทางออกต่างจังหวัดเรียบร้อยแล้ว


ค่ายอาสาครั้งนี้ ไม่ใช่การออกค่ายอาสาครั้งแรกของกลุ่มนาวา แต่เป็นการรบเร้าจะไปรอบสองของเจ้าแว่น เพื่อนผู้ไม่ขัดศรัทธาเลยกระเตงกันมาครบทีม ทว่าครั้งนี้มีสมาชิกร่วมชมรมดนตรีติดสอยห้อยตามมาด้วย ความครึกครื้นและอลม่านจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จน เปา ตัวตั้งตัวตีในการจัดค่ายครั้งนี้แอบกุมขมัน


อย่างไรเสียตัวป่วนพวกนี้ก็มีประโยชน์บ้างละน่า โดยเฉพาะเจ้าแว่นที่ตอนนี้มันถอดแว่นเก็บไว้เพื่อจะงีบเอาแรง เจ้านี่มันถนัดใช้กำลัง เห็นตัวบางอย่างนั้น มันไม่เคยบ่นเหนื่อยสักคำ


จุดหมายปลายทางของค่ายอยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี นักศึกษาร่วมสามสิบชีวิตจึงต้องมาพร้อมกันที่มหาลัยก่อนหกโมงเช้า เพื่อจะได้รีบออกเดินทาง และถึงที่หมายในเวลาไม่สายนัก สงสัยเพราะต้องตื่นกันแต่เช้ามืด เสียงที่เคยเจื้อยแจ้วเหมือนนกแตกรังของเพื่อนร่วมค่าย วินาทีนี้กลับเงียบสนิท หลายคนหลับราวอดหลับอดนอนมาทั้งคืน จนทำให้พลาดชมบรรยากาศที่สวยงามของธรรมชาติตามสองข้างทาง


สายลมเช้าหยอกล้อกับกิ่งก้านสาขาของต้นหางนกยูงใหญ่ ที่แผ่ร่มเงาอยู่หลังสัญญานไฟจราจรด้านหน้า ใบสีเขียวราวมรกตพริ้วไหว โยกไกวไปตามกระแสลม ดูคล้ายต้นหางนกยูงกำลังเต้นระบำเริงร่าต้อนรับผู้มาเยือน


รถโคชสองชั้นจอดรอสัญญานไฟอย่างใจเย็น หากไม่กี่อึดใจต่อมา รถเก๋งสีดำมันปลายตีคู่ขึ้นมาจอดรอสัญญานไฟเคียงกัน เจ้าของรถคันนั้นเบรกแรงจนล้อที่ขับมาด้วยความเร็วเสียดสีกับพื้นถนน ส่งเสียงเรียกความสนใจของผู้คนให้หันมอง


"ออดี้ใครวะ รีบอย่างกับไปตามควายที่ไหน"


นาวาหรี่ตามองรถหรูที่จอดรอไฟแดง รู้สึกขัดใจที่เสียงล้อรถบดถนนปลุกให้ตื่น บ่นเสร็จหยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลง จะได้ไม่มีเสียงใดมารบกวนการนอนของเขาอีก แล้วตาสีเฮเซิลที่ไร้แว่นกรอบหนาก็ปิดลงอีกครั้ง


สัญญานไฟจราจรเดินถอยหลัง ในขณะที่ธรรมชาติของเข็มนาฬิกาเดินรุดไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ และไม่เคยคอยใคร เจ้าของเก๋งสีดำเคาะนิ้วเรียวกับพวงมาลัยรถอย่างเร่งร้อน ริมฝีปากพ่นลมออกมาอย่างคนอดทนรออะไรนานไม่ไหว



ในเสี้ยววินาทีที่สัญญานจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ออดี้สีดำเหยีบคันเร่งพุ่งทยานออกไปเป็นคันแรก คนขับที่มือนิ่งและคุ้นชินต่อความเร็ว คุมรถให้ออกนำ เมื่อถึงช่วงถนนที่มีเงาของต้นหางนกยูงทาบทับอยู่เบื้องหน้า รถหรูกลับจอดขวางทางเอาดื้อ ๆ เป็นเหตุให้รถโคชที่ขับตามมาช้า ๆ ต้องพลอยหยุดรถไปด้วย


หางนกยูงยังคงกรีดใบเย้าหยอกกับสายลม เสียงเสียดสีกันของใบไม้ยามต้องลมพัดไหว ฟังคล้ายเพลงอันไพเราะ ภายใต้บรรยากาศยามเช้าของวันนี้ ประกายแดดดูจะเจิดจ้า สว่างไสวกว่าปกติเมื่อประตูออดี้สีดำวาววับด้านคนขับเปิดออก แล้วร่างสูงในชุดสีเข้มตัดกับผิวขาวก็ก้าวออกมา ท่ามกลางกลีบหางนกยูงสีแดงแสดหลุดร่วงพรูพรายอยู่เบื้องปฤภางค์


คนตัวสูงเจ้าของอกผึงผายก้าวขึ้นรถโคช ตาเรียวรีกวาดมองเพียงครู่ เขาก็เห็นจุดหมายของตัวเองเด่นชัดจากผู้คนที่โดยสารมากับรถคันใหญ่ ขายาวก้าวรวดเร็วเพื่อมาหยุดที่คนตัวเล็ก


"อะแฮ่ม"


ร่างสูงกระแอมเรียกความสนใจ


นาวาขมวดคิ้วบ่งบอกความรำคาญ ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมลืมตา จนหูฟังถูกนิ้วเรียวของคนมาใหม่เกี่ยวออกไปนั่นแหละ ตาสีอำพันคู่สวยจึงลืมขึ้นมองต้นไม้ข้างทาง


"แน่ะ ยังไม่หันมามองกันอีก"


นาวาพ่นลมออกมาเหมือนหงุดหงิด ก่อนจะหันมาจ้องตา ต่อว่าไอ้คนที่กำลังยืนอยู่


"มาโคตรสาย!"


"เหยียบจมเกจแล้ว"


ตรีเพชรยิ้มจนตาหยี เป็นรอยยิ้มที่น้อยคนจะเห็น หากวันนี้รอยยิ้มของเขากลับสดใสกว่าประกายแดดจ้า คนยิ้มสวยวาดรอยละไมออกมาจากใจที่มีความสุขเป็นล้นพ้น


ไม่นานขบวนรถก็เคลื่อนต่อไปอีกครั้ง แม้จะได้ยินเปรมแอบบ่น 'เปิดตัวแรงตลอด' ตรีเพชรยักไหล่ไม่สนใจ นั่งลงเบียดนาวา แบ่งหูฟังกันคนละข้าง รอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากใบหน้าอันเปี่ยมเสน่ห์ของเขา





(เพลง Zen zen zense โดย Radwhimp https://www.youtube.com/watch?v=PDSkFeMVNFs)


ในที่สุดคุณก็ตื่นลืมตา
แล้วทำไมยังไม่หันมาสบตากัน
"นายมาสาย" คุณเง้างอน
แค่นี้ผมก็รีบสุดชีวิตแล้วนะ
ใจผมน่ะ แซงนำมาก่อนร่างกายเสียอีก





"มาแล้วนะ คิดถึงไหม"



ตรีเพชรเอียงหน้าถาม รอยแห่งความสุขประดับใบหน้า ชายหนุ่มขยี้หัวนาวาที่ทำเมิน


หากตรีเพชรรู้ ... เขาหาเป้าหมายของตัวเองเจอแล้ว



***


แค่คิดถึงเส้นผมกับสายตาคุณ  ใจผมก็ทุรนทุรายแล้ว
ขนาดหายใจเอาอากาศเดียวกันเข้าไป ก็ไม่อยากหายใจออกมา
น้ำเสียงที่ผมรู้จักมานานแสนนาน
ตอนเจอกันครั้งแรก ผมจะพูดกับเจ้าของเสียงนั้นยังไงดี


ผมออกตามหาคุณ
ตั้งแต่ชาติที่แล้ว แล้ว แล้ว ของคุณซะอีก
มายืนตรงนี้ได้
เพราะคอยเสาะหารอยยิ้มของคุณไง


ต่อให้คุณอันตรธาน กระจัดกระจายเป็นเถ้าทุลีไป
ผมก็จะไม่หวั่น เริ่มนับหนึ่งตามหาคุณอีกครั้ง
ต่อให้เริ่มจากศูนย์ ค้นหาคุณทั้งจักรวาล
ผมมั่นใจ จะไม่หลงทาง


จะเล่ายังไงดีล่ะ
เรื่องราวระหว่างที่คุณหลับไหล
ผมข้ามเวลามาหลายล้านปีแสง
เพื่อจะมาเบ่าเรื่องราวเหล่านั้นให้คุณฟัง
หากเมื่อภาพคุณสะท้อนชัดในแววตา ผมกลับ...


ผมอยากเล่นสนุกเพลิดเพลินไปกับคุณ กับตัวตนที่คุณยังไม่รู้จัก
ผมอยากรักทั้งหมดที้เป็นคุณ รักแม้กระทั่งความเจ็บปวดของคุณ
มือเราเคยแตะกันที่สุดขอบจักรวาลอันไกลโพ้น
ผมจะจับมือคุณอย่างไร ไม่ให้มันแตกสลายไป


ใครเล่าจะหยุดยั้งเรา?
นับจากคืนนี้ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไป
ผมไม่มีวันหลงทางอีก เพราะปักธงไว้ เส้นชัยอยู่ที่ใจคุณ
คุณได้ปล้นคำว่ายอมแพ้ออกไปจากใจของผมแล้ว...






ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian


พยุง




เก้าอี้สนามที่ลงทุนขนมาถูกกางออก คนขายาวนั่งไขว่ห้างเอ้เต้ หลังตรงพิงพนัก พลางขยับปีกหมวกกว้างให้บังแดด กระดาษแจ้งตารางกิจกรรมในมือถูกม้วนเป็นท่อทรงกระบอก นิ้วเรียวขยับแว่นกันแดดยี่ห้อแพงให้เข้าที่ ก่อนใช้ม้วนกระดาษต่างไมโครโฟน ออกคำสั่งกับคนที่ทำงานมือเป็นระวิงอยู่ตรงหน้า



“เตี้ย เร่งมือเข้า อย่าอู้”



นาวาได้แต่นึกด่าในใจ เถียงไอ้ตี๋ไปก็แค่นั้น รังแต่จะทำให้เสียทั้งอารมณ์ เสียทั้งเวลา คนอื่นเค้ากางเต็นท์เสร็จ ออกไปเดินเล่นถึงไหนต่อไหน ดูซิ ต้องมาพยายามกางเต็นท์บ้านี่อยู่คนเดียว เพราะไอ้คนที่ขนมาเองกะมือมันดันกางไม่เป็น



‘เห็นว่าเป็นรุ่นใหม่ ก่อนขับรถตามมาเลยสั่งให้คนไปซื้อ แต่กางไม่เป็นหรอก ไม่เคยนอนเต็นท์’



มันแจงเหตุแค่นั้น แต่ผลเละเละยิ่งกว่า ตอนแรกมันอาสาจะช่วย แต่ยิ่งช่วยยิ่งวุ่น กางเต็นท์ทีหัวไปทางหางไปทาง สับสนยุ่งเหยิงไปหมด เลยต้องสั่งให้มันระเห็จไปนั่งนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ ท่าจะมีประโยชน์กว่า คนบ้าอะไรวะ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง



“ยัง ยังอีก...”



คุณเพชรกอดอก



“ด่าในใจอยู่นั่นแหละ เร็วสิ หิวข้าวแล้ว”



ถ้าเป็นเรื่องแอบด่ามันในใจ ขอให้บอก มันรู้ทันดีนัก



“เร่งอยู่เนี่ย! เดี๋ยวต้องให้ป้อนข้าวให้ด้วยไหม”



“ใจดีจัง เอาสิ”



“กูประโช้ด”



กว่านาวาจะจัดการกับเต็นท์เจ้าปัญหาเสร็จ เวลาก็ล่วงสิบโมงมาโขแล้ว ทั้งคู่หอบสังขารไปรับข้าวกล่อง เพื่อเป็นอาหารมื้อแรกที่เพิ่งตกถึงท้องในเช้าวันนี้



“เอาละครับทุกคน กิจกรรมแรกที่เราจะทำกันนั่นก็คือ เรียนรู้วิธีการทำโป่งดิน ก่อนที่เราจะลงมือปฏิบัติจริงในช่วงบ่าย” เปา นักศึกษาชั้นไปที่สอง จากคณะเกษตรผู้เป็นรแม่งานของค่ายนี้ พูดกับทุกคนเมื่อมารวมตัวกันหลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย



“เตี้ย ไอ้โป่งที่ว่ามันคืออะไร” ตรีเพชรสะกิดถาม



“ดินที่สัตว์มากินไง” นาวาเลิกคิ้ว ประหลาดใจ



“ห๊ะ สัตว์กินดินมีซะที่ไหน มันมีแต่พวกกินหญ้า ล่าเนื้อ”



“ถามจริง เคยเข้าป่าไหมเนี่ย”



ตรีเพชรส่ายหน้าดิก



“เคยขุดดินไหม”



“ขุดทำไม” คนไม่เคย ถามใสซื่อ



“ตายแน่ตี๋เอ๊ย เชื่อหัวไอ้วาเถอะ”



***



ท่าจะตายแน่ ตามคำอวยพรของไอ้ตัวเล็กมัน



หลังจากวิทยากรซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ได้อธิบายเกี่ยวกับโป่ง แหล่งแร่ธาตุที่ขาดไม่ได้ของสัตว์ป่า ตรีเพชรได้เรียนรู้ว่า สัตว์ป่าไม่ได้ยังชีวิตอยู่ได้เพียงใบหญ้าและการไล่ล่าเท่านั้น หากแร่ธาตุก็สำคัญต่อการดำรงชีวิตไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน



โป่งดินเป็นบริเวณที่ดินอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เหล่าส่ำสัตว์มักใช้ปากขุดกิน การสร้างโป่งเทียมจึงเป็นการเพิ่มแหล่งของสารอาหารให้กับสิ่งมีชีวิตในผืนป่า



ที่ว่าแย่เห็นจะเป็นการขุดหน้าดินให้เป็นแอ่งลึกประมาณหนึ่งเมตร เกิดมาเคยจับจอบจับเสียมเสียที่ไหน



หลังจากจบชั่วโมงแห่งการเรียนรู้ ชาวค่ายพากันขึ้นรถที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้เตรียมไว้ให้ เพื่อไปยังเขตอนุรักษณ์พันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี กว่าจะถึงสถานที่ทำโป่งเทียมก็เล่นเอาคุณเพชรเกือบเหงื่อตก ขับรถในสนามแข่งยังไม่คดเคี้ยวเท่าการนั่งรถขึ้นเขาแบบนี้



“โถ่คุณชาย กรรมของเวรอันใด พาให้มึงตกระกำลำบากขนาดนี้”



หมอเต ได้ทีถากถางเจ้าคนเพอร์เฟค ที่เพื่อน ๆ เพิ่งเห็นข้อด้อยของการเติบโตแบบไข่ในหินของมัน



“กรรมที่มีเพื่อนแบบมึง”



ตรีเพชรว่าให้ แต่ไม่วายกอดบ่าไอ้เพื่อนหมอ เดินบุกป่าตามพวกหน้าหน้าไปด้วยกัน





“เราจะแบ่งกลุ่มสร้างโป่งเทียมโดยการจับฉลากนะครับ เมื่อแบ่งได้แล้วให้ตัวแทนมารับจอบและเกลือสมุทรจากเจ้าหน้าที่...”



ตรีเพชรหน้างอเมื่อไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับนาวา อันที่จริงทุกคนก็กระจัดกระจายกันไป คละกับเพื่อนร่วมค่ายคนอื่น เพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ มีแต่คนที่ไม่ยอมห่างจากคู่หมั้นที่ไม่ยอมพอใจอยู่คนเดียว



“ตี๋ สา รอเดี๋ยว”



นาวาเรียกตรีเพชรและนิสาที่กำลังจะแยกไปรวมกลุ่มกับคนอื่นให้รั้งคอย



“มีไร” นิสาถามพลางรวบผมมัดหางม้าให้ทะมัดมะแมงเหมาะกับงานที่กำลังจะทำ



“เอาไปใส่” นาวายื่นถุงมือที่เตรียมมา ส่งให้เพื่อน



“ขอบใจจ่ะ” นิสารับไว้และปลีกตัวไป



“รับไปสิ” ถุงมืออีกคู่ยื่นให้ตรีเพชร



“คนอื่นล่ะ ไม่เห็นเค้าใส่กัน”



“ก็เตรียมมาให้เฉพาะนายกับไอ้สามัน”



“เฉพาะฉันกันผู้หญิง?”



“อือ”



“ไม่บอบบางขนาดนั้นหรอกน่าเตี้ย ผมผู้ชายอกสามศอกนะครับ” แค่ขุดดิน เอาจอบสับ ๆ ลงไป คงไม่อะไรนักหนา



“โซ้ยตี๋ อดสามศอกจะเหลือคืบเดียวเก๊าะอีตอนมือแตกนี่แหละ เอาไปใส่ อย่าเรื่องมาก”



“เออ ๆ บ่นจังวะ”



“ไม่ต้องงึมงำ”



“จ้า...” คุณเพชรลากเสียง



“ถอดแหวนออกด้วย” นาวาหมายถึงแหวนทองคำขาวตรงนิ้วนางข้างซ้าย



“ถอดไม จะถอนหมั้นเรอะ ใครยอม”



“พูดเสียงดังทำไม อายเค้า!” นาวาหงุดหงิด “จะเอาแหวนไปเก็บ หรืออยากให้ผิวมันถลอก”



“แล้วไป” คนตัวโตถอดแหวนให้แต่โดยดี



นาวาสำรวจคนตรงข้าม ตบบ่าคนตัวสูงเหมือนผู้ใหญ่ทำกับเด็ก คนตัวเล็กพยักหน้าพอใจ “เอาล่ะ เรียนร้อย ไปทำงานได้”



ตรีเพชรหลุดหัวเราะออกมา



เขายิ้มให้กิ่งไม้ใบหญ้าอย่างคนมีความสุข จนนาวาฉงนอยู่ในใจ มันยิ้มอะไรของมัน หมอนี่ท่าจะฟั่นเฟือน สติไม่ดี



ไอ้เตี้ยมันน่า...



น่าอะไร ตรีเพชรก็ยังคิดไม่ออก รู้แต่อยากยีหัวมันเล่นให้ผมยุ่ง มันชอบจุ้นดีนัก ถ้าดื้อไม่ทำตามมัน ยังไงก็โดนบังคับเอาจนได้นั่นแหละ ยิ่งตอนโดนมันดุ กลับยิ่งทำให้เขายิ้มออกมาเหมือนคนบ้า ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เขากลายเป็นคนไร้เหตุผลไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ



* * *



เกลือสมุทรถูกนาวาและเพื่อนอีกคนช่วยกันแกะออกจากถุง เมื่อโรยเกลือลงไปในแอ่งที่ขุดไว้ คนที่เหลือจึงร่วมแรงร่วมใจกัน ผสมดินชื้นสีน้ำตาลแกมส้มให้เข้ากับเกล็ดเกลือสีขาวพิสุทธิ์ หลายคนช่วยกันไม่นานโป่งดินเทียมจากน้ำพักน้ำแรงก็เสร็จ



ความสามัคคีให้ผลดังนี้



แม้แดดยามบ่ายจะส่องผ่านร่มไม้ทอแสงรำไร จนมีแสงเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เล็ดลอดผ่านช่องว่างระว่างกิ่งใบ ทอประกายลงมาเบื้องล่าง ลำแสงสีทองของดวงอาทิตย์ บวกกับความอบอ้าวที่สั่งสมมาจากการกรำงานหนัก ยิ่งทวีความร้อนให้กับคนที่เงื้อมจอบขุดดินอย่างไม่ลดละ



เม็ดเหงื่อผุดพรายจนตรีเพชรรำคาญ ต้องใช้แขนเสื้อซับเหงื่อ ตอนนี้สเวตเตอร์แขนยาวสีเข้มพิมพ์ลาย เข้าชุดกับกางเกงเดนิมสีดำยาวรัดเรียวขา มีรอยเลอะของดิน คนเพิ่งเคยขุดดินออกจะเงอะงะในตอนแรก กระนั้นที่เลอะที่สุดเห็นจะเป็นรองเท้าบู๊ตหนังสีดำหุ้มข้อแบรนด์ดังจากปารีส เจ้าตัวบ่นอุบ



ดินที่ขุดเป็นดินชื้น คุณชายจึงเลอะไม่เป็นท่า



นาวาที่ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มของตัวเอง แอบยิ้มเมื่อเห็นคนใช้แขนเสื้อซับเหงื่อ ก้มหน้าก้มตาเริ่มลงมือผสมเกลือกับแอ่งดิน คนตัวเล็กเดินเข้าไป ปลดเป้จากบ่า และขอยืมจอบจากนักศึกษาสาวคนหนึ่งที่นั่งพักอยู่ในบริเวณนั้น



แรงเหวี่ยงจากท่อนแขนที่ดูไม่หนาเท่าไหร่ แต่กลับช่วยผสมดินอย่างคล่องแคล่ว ทำให้คนไม่สันทัดกับงานต้องเหลือบมอง ทั้งที่ดูตัวบางขนาดนั้น หากเรี่ยวแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่นเลย ถึงว่า... ทำไมไอ้เตี้ยมือหนักนัก



“ไม่เหนื่อยหรือไง ทำไมไม่ยอมพัก”



“นายต่างหาก กลุ่มตัวเองเสร็จไปแล้ว ยังมาทำตรงนี้อีก”



“เถอะน่า ช่วยกัน”





ไอ้เตี้ยมันน่า! ...



ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้กับผืนดิน



***



 ตรีเพชรทิ้งตัวนั่งราบไปกับพื้นหญ้า ไม่ห่วงกังวลความเลอะอีกต่อไป เขามองผลงานที่ทุกคนช่วยกันทำ ผิวเผินมันเป็นแค่หลุมดินธรรมดา หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นความตั้งใจดีของทุกคน ตั้งใจ... ที่จะคืนความบริบูรณ์ให้กับผืนป่า ตั้งใจ... หยิบยื่นความช่วยเหลือให้สิ่งมีชีวิตแห่งพงไพร เหนือสิ่งอื่นใด ตรีเพชรมองเห็นหัวใจที่เรียนรู้การแบ่งปันของตัวเอง



‘คนเราต้องรู้จักทำประโยนชน์ให้กับสังคมบ้าง’ อาม่าพร่ำสอนเสมอมา



คนเคยแต่บริจาคเงินเพื่อการกุศล เพิ่งเข้าใจ แท้จริงแล้วการทำประโยชน์ให้กับสังคมไม่ต้องใช้เม็ดเงินก็ย่อมได้ เม็ดเหงื่อจากแรงกายที่ไหลคืน ชโลมผืนแผ่นดิน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว



ขวดน้ำที่มีไอเย็นระเหยจับจนเป็นฝ้า ยื่นเข้ามาในคลองสายตา



“ดื่มซะหน่อย”



เมื่อเงยขึ้น ภาพที่เคยเห็นเป็นดวงอาทิตย์กลมโตยามบ่ายคล้อย กลับมีดวงหน้าของนาวามาทาบทับ ทำให้ภาพของเด็กตัวเล็กแก้มแดงเรื่อคนนั้น ทอประกายสดใสเหมือนตะวันไม่ผิดเพี้ยน ความอิดโรยจางหายไปทันทีที่ได้สบกับสายตาสีทองคู่นั้น



“จะไปไหนอีก” ตรีเพชรคว้าข้อมือนาวาเอาไว้



“เอาน้ำไปให้คนอื่น” คนอื่นที่ว่าหมายถึงพวกเพื่อน ๆ ที่มารวมตัวกันหลังเสร็จภารกิจสร้างโป่งเทียมของกลุ่มตัวเอง



“ใครจะกินให้มันเดินมาเอาเอง นายน่ะพักซะบ้าง” ตรีเพชรดึงนาวาให้นั่งข้าง ใกล้กันจนไหล่ชิด “ดูซิร้อนจนแก้มแดงไปหมดแล้ว”



คุณเพชรเอาขวดน้ำเย็นเฉียบแนบแก้มนาวา



“แก้มนายก็แดงเหมือนกันแหละ”



“ไหน?”



“นี่ไง” คนตัวบางจิ้มจุดแดงบนแก้มของอีกฝ่าย “ไม่ได้แดงเพราะร้อน แต่แผลยุงเต็มเลย ฮ่าๆ”



“ถึงว่าทำไมคันหน้า”



“ที่คอก็มี”



“อือ” คุณเพชรถอดถุงมือ เกาแผลยุง



“อย่าเกา”



นาวาดึงมือตรีเพชรมากุมไว้... ตาใสยังคงจ้องอยู่ที่จ้ำแดงบนแก้มคุณเพชร



“ทำไม”



“ดูท่านายจะแพ้ยุง รอยแดงขนาดนี้ขืนเกาเดี๋ยวไปกันใหญ่”



“ให้ทำไง”



“รอกลับค่าย ค่อยทายา”



 “จับมือกันกลางป่ากลางเขา ไม่อายพวกกู ก็อายนางป่านางไม้บ้างนะเว้ย”



เปรมหย่อนก้นลงนั่งในวินาทีที่ตรีเพชรปากิ่งไม้ใส่ ไอ้เตี้ยมันกำลังเผลอจับมือเขาอยู่แล้วเชียว ไอ้เปรมดันปากปีจอ ขัดคอขึ้นมากลางปล้อง จนนาวารู้ตัวชิงปล่อยมือไปเสียก่อน ตรีเพชรได้แต่ถลึงตาคาดโทษไอ้เพื่อนจอมแส่ มันแส่ไม่เข้าเรื่อง



“พี่เพชร ไมมือแดงจัง” เอ็มถามหลังดื่มน้ำอึกใหญ่



“ไอ้เพชรมันมือเปราะ เคยกรำงานหนักซ้าที่หนาย” เจ้าเต ว่าที่นายแพทย์ที่ยังเรียนไม่จบวินิจฉัย



“แต่หมัดกูหนัก หรือมึงจะลอง” ตรีเพชรทำท่าชกลม



“ดูเด่พี่เต ต่อหน้าเมียทำดุ” แบงค์แซวพี่รหัส



“โอ๊ยไอ้วา ตบหัวกูทำไม”



“กูไม่ใช่เมียมัน”



“อ้าว” ทั้งพี่และน้องรหัสอุทานพร้อมกัน



“หุบปากทั้งสอบตัว เดี๋ยวกูโบกกับขวดน้ำ” นาวาชี้สองหน่อสายรหัสด้วยขวดพลาสติกเปล่าก่อนเดินหนีไป



“บอกกูทีว่ามันเคืองหรือมันเขิน” เปรมเรียกเสียงหัวเราะของทุกคน



***



กิจกรรมสุดท้ายก่อนกลับที่พักในเย็นวันนี้คือการปลูกป่า ต้นกล้าของไม้ใหญ่หลายชนิดกำลังจะได้หยุ่งรากลงดิน เพื่อนในอนาคตกิ่งก้านของมันจะได้แผ่ปกคลุมผืนป่า เป็นแหล่งพักพิงให้กับคนและสัตว์ต่อไป



“ต้นอะไรชื่อแปลก พยุง” คนตัวโตช่วยเจ้าแว่นกลบดิน ตั้งคำถาม



“เป็นชื่อไม้มงคล”



“มงคลตรงไหน เดินให้ตรงยังไม่ได้ ต้องให้พยุง”



“ตรงที่มีอะไรพยุงไว้ ไม่ให้ล้มหน้าคว่ำไง”



ตรีเพชรพยักหน้า ยอมรับตรรกะของคู่หมั้น



"งั้นถ้าฉันล้ม นายจะช่วยพยุงไหม" ตรีเพชรถามคู่หมั้น



"จะกระทืบซ้ำ" นาวายิ้มรับ แล้วหันมาสั่ง "เร็วเหอะเก็บของกันดีกว่า ตรงนี้เสร็จแล้ว"



“ได้ยินเสียงอะไรไหม” คนที่อยู่ในโอวาสถามขึ้นขณะช่วยเจ้าแว่นเก็บของ



“เสียงอะไร”



“เสียงน้ำไหล”



“เก๊าะน้ำจากลำห้วย” นาวากระชับเป้สะพายบ่า ตั้งใจจะเดินกลับไปรวมกับเพื่อน ๆ



“ตรงไหน ไม่เห็นมี” ตรีเพชรมองรอบด้าน คิดขมวดตั้งคำถาม



“ไม่ได้ฟังที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้เค้าบอกล่ะสิ ล่างไหล่เขาตรงนั้นไปหน่อยจะมีห้วยที่เป็นห้วยสาขาของแม่น้ำภาชีอยู่”



“อยากเห็นว่ะ ไปดูกันเถอะ” มือหนาจับข้อมือของคนตัวบาง เป็นเชิงเชิญชวน



“อย่าเลย”



“ได้มาทั้งที ฉันอยากเห็นนิ ปกติเคยทำอะไรแบบนี้เสียที่ไหน”



“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ลงน้ำสร้างฝายแล้ว”



“ไม่เหมือนกันซะหน่อย”



“เค้าว่าไหล่เขามันลาด อันตราย”



นาวาหันไปมองกลุ่มเพื่อนที่อยู่ห่างออกไป ภายใต้แสงสีส้มของยามเย็น คนอื่นกำลังเริ่มทยอยเก็บของ เสียงพูดคุยของคนกลุ่มนั้นฟังไม่ได้ศัพท์เพราะอยู่ไกลออกไป



“แค่ยืนดูเอง น่านะ ไปกันเถอะ”



“เฮ้อ... ก็ได้”



“ดีมาก” คุณเพชรฉีกยิ้มเพราะโดนตามใจ



เสียงน้ำไหลเอยดังชัดขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินเข้าใกล้ไหล่เขา ในขณะที่เสียงพูดคุยของชาวค่ายก็แว่วหายไปเช่นกัน กลิ่นน้ำและกลิ่นของความชื้นเพิ่มขึ้นในบริเวณนี้ นาวาไม่แน่ใจว่าเพราะใกล้แหล่งน้ำ หรือเพราะวันนี้เป็นวันหลังฝนตก ดินเลยอุ้มน้ำเอาไว้มากกว่าปกติ



“วิวสวยดี ว่าไหม”



คนตัวสูงเอียงหน้าหันมาคุยกับคนที่ยืนข้าง คุณเพชรได้ทีโอบไหล่เจ้าแว่นอย่างแนบเนียน แต่อย่าคิดเลยว่าเจ้าแว่นมันไม่รู้ มันแค่เบื่อจะแกะออกต่างหาก ดังนั้น... ท่ามกลางบรรยากาศวิวภูเขา แมกไม้ และสายธาร ... ทั้งสองยืนชิดกัน



“ก็ดี”



ดวงตาสีทองมองทิวไม้เขียวขจีตรงหน้า ท่ามกลางความเขียวสดของต้นไม้ มีสายน้ำสีน้ำตาลอ่อนไหลผ่าน ผิวน้ำเวลานี้สะท้อนแสงส้มของดวงอาทิตย์ จนเกิดประกายระยิบเหมือนทองคำ



“แค่ดีเฉย ๆ ได้ไง สวยมากต่างหาก”



ตรีเพชรสูดลมหายใจ เอากากาศชุ่มชื้นเข้าปอด ตาเรียวรีมองไปไกลสุดขอบฟ้า พยายามจดจำบรรยากาศแบบนี้ไว้ให้นานที่สุด เขาโอบไหล่นาวาให้แนบเข้า ทั้งสองยืนแนบชิด อาบไล้ไปด้วยแสงส้มยามอัสดง



“นายคงไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้สินะ”



“ไม่เคยหรอก ... ลำบาก แต่ก็แปลกใหม่ดี”



เขาหมายถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาของวันนี้ ตลอดทั้งวันมีแต่เรื่องยุ่งยาก ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเขา กระนั้นทุกอย่างจึงดูแปลกใหม่ ภาพผืนน้ำเบื้องหน้าก็เช่นกัน



“พี่เพชร...”



คำนี้หลุดออกมาเมื่ออยู่กันสองคน



“วาพามาเหนื่อยหรือเปล่า”



คุณเพชรไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะไม่อยากพูดโกหก



“แต่ถ้าทิ้งพี่ไว้เหมือนเมื่อเช้าก็ไม่ยอมเหมือนกัน ต่อให้ลำบากกว่านี้ ก็ต้องดั้นด้นมาหาจนได้ เคยบอกวาแล้วจำได้ไหม? ไม่ว่าจะหนีพี่ไปไหน พี่จะหาวาจนเจอให้ได้ ต่อให้พลิกแผ่นดินหา หรือไกลจนเดินไม่ไหว... พี่ก็จะคลานไป”



นาวาหัวเราะให้กับกิ่งไม้ลู่ลม



รอยยิ้มที่อ่านยากนั้นมอบให้กับผืนน้ำประกายทอง



“ถ่ายรูปด้วยกันสักรูปดีกว่า”



คนคิดเองเออเองยังเป็นคุณเพชร เขาหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาถ่ายภาพ สองคนอยู่ในเฟรมเดียวกัน เบื้องหลังเป็นภาพลำห้วยยามตะวันรอน



“พี่ว่ารูปนี้ยังไม่ดี เอาใหม่นะ”



ทั้งคู่หันหลังให้ไหล่เขา คนตัวโตกว่าพยามยามหามุมสวยถ่ายรูป เป็นช่วงเย็นย่ำ ฟ้าเปลี่ยนจากสีส้มอ่อนเป็นสีแดงแสด ฝูงนกเริ่มบินกลับรวงรัง ส่งเสียงร้องกล่อมพนา หากฟังเอาเถิด... เสียงนกร้องกลับเศร้าสร้อยโหยไห้ รู้สึกใจหายวาบขึ้นมาชอบกล นาวาสังหาณ์แปลก จนได้ยินเสียงร้องของตรีเพชรนั่นแหละ



“เฮ้ย!”



ดวงตาสีเฮเวิลเบิกโพลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายหงายหลัง ทำท่าจะหล่นลงไปจากไหล่เขา วินาทีคับขันเช่นนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ยื่นมือคว้ากันและกันเอาไว้ เจ้าตัวเล็กรู้ดี ต่อให้มีเรี่ยวแรงมากแค่ไหนก็ต้านแรงโน้มถ่วงไม่อยู่ ธรรมชาติมีชัยเหนือมนุษย์เสมอ เพราะอย่างนั้น ต่อให้รู้เต็มอกว่าต้องตกลงไป



แต่



เส้นด้ายเบาบางที่เริ่มผูกและพันในความรู้สึก... กลับสั่งให้เขาต้อง...



ยื่นมือออกไป





แม้นชีวิต                 ร่วงหล่น                  จนลำบาก

เหวลึก                    ฤาพราก                 จากกันได้

ขอเหยียดมือ             ไขว่คว้า                  มาแนบกาย

ให้วอดวาย               ทุกข์ยาก                 ไม่ทิ้งกัน





เพียงมือ                  สองมือ                    จับกันไว้

เพียงใจ                   สองใจ                     อยู่เคียงข้าง

ฟ้าสว่าง                  ฤาสลัว                     รัวราง

มือเรา                     ไม่วาง                     จากกัน...







TBC ...

ออฟไลน์ somberness

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
 เย่กลับมาต่อ(หลายตอน)แล้วว o7 o7

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
เพิ่งเห็นว่ากลับมาต่อแล้วววว

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
แผ่นหลังของนาย...





กา กา กา…

กาดำบินผ่านท้องฟ้าสีแดงเรืองในยามเย็น ปีกที่กระพือแรงทำให้ขนดำมันขลับขนหนึ่งร่วงหล่น จากนั้นเสียงกาตีปีกจึงค่อย ๆ ห่างออกไป

เคยเห็นขนนกร่วงไหม

ต่างจากก้อนหินหรือของหนักตกสู่เบื้องล่าง อันนั้นรวดเร็ว รุนแรง แต่ขนนกจะไปล่ปลิวลิ้วลม ทิ้งตัวลงสู่ผืนดินอย่างเชื่องช้า เหมือนเต้นระบำลงมากระนั้น

เงี่ยหูฟังเสียงป่าสิ

สรรพสำเนียงเงียบงันราวปราศจากชีวิต แม้แต่ลมยังสงบไม่ไหวติง ภายใต้ความนิ่งงันนี้มีเพียงเสียงของลำห้วยไหลเอื่อย เป็นสัญญานบอกถึงลมหายใจของผืนป่าที่ยังมีชีวิต
ขนกาดำสะบัดพลิ้วเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนร่วงลงสู่พื้นดินที่มีสองร่างนอนมองอยู่ คนตัวโตชะโงกหน้าตรวจดูคนตัวเล็กในอ้อมแขน เลนส์แว่นข้างหนึ่งร้าว แต่นัยน์ตาสีทองทอดมองท้องฟ้ายามสายันต์ นาวาพลิกตัวให้นอนราบกับพื้นดิน ตรีเพชรทิ้งศรีษะลงบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม ทั้งคู่ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

กา กา กา…

อีกาบินกลับมาหัวเราะ เย้ยคนทั้งสอง




“ไหนเล่าทางขึ้นที่นายว่า”

หลังจากเดินกะเผลกอยู่นาน นาวาอดยอกย้อนเจ้าคนเดินนำไม่ได้ มันให้เหตุผล ‘มีทางลง ต้องมีทางขึ้น’ เรียกซะเพราะ ทำอย่างกับเดินลงมาดี ๆ แต่นี่อะไร กลิ้งกันจนข้อเท้าเคล็ด หน้ามอม เลอะดินอย่างกับลูกแมวมุดลังถ่าน ไอ้ตี๋ยังจะหวังให้มีทางขึ้น

“กลับที่เดิมเหอะ ตะโกนให้คนช่วย”

“แล้วไอ้ที่เราแหกปากจนคอแห้ง มีใครได้ยินไหม”

จริงของคุณเพชร สองคนช่วยกันร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีวี่แววว่าใครจะขานรับ ได้ยินเพียงเสียงตัวเองสะท้อนกลับมา

ครั้นจะโทรหาเพื่อน นาวาชูโทาศัพท์เดินหาสัญญาน เขย่งเท้าก็แล้ว คลื่นความเร็วสูงกลับส่งสัญญานไม่ถึงพื้นที่ต่ำใต้ไหล่เขา ดาวเทียมสื่อสารยังคงโคจรในห้วงอาวกาศ การรับส่งสัญญานไม่ไหวติง นิ่งงันจนคนบนพื้นพิภพกระวนกระวาย

เราพึ่งเทคโนโลยีมากไป ให้ความสำคัญเสียจนขาดมันไม่ได้ จริงแล้วเราลืมคิด มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเรา ไม่ใช่ควบคุมชี้ชะตาเรา มนุษย์ทำทุกอย่างได้ด้วยมันสมองและสองมือตน เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นมากลับทำให้ลืมความสามารถนั้น

“คิดออกแล้ว!”

“คิดอะไรออก” คุณเพชรยังคงเดินนำ ไม่ยอมหยุดคุยกับเจ้าแว่นหัวใส

“โทรศัพท์ให้การไม่ได้ เราเก๊าะใช้สัญญานควัน”

นาวายิ้มพอใจในไหวพริบของตัวเอง โดยไม่ทันมองว่าเจ้าของแผ่นหลังหนาผึงผายหยุดยืนนิ่งราวหลักศิลา เจ้าแว่นเลยเดินชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอบอุ่นนั้น ขนาดเลอะเทอะคลุกดินกันมาถึงเพียงนี้ คนตัวสูงยังตัวหอมอยู่เลย

อุ่นดีจัง…

นาวารีบถอยกลับ ถอนหน้าออกจากหลังได้รูป แก้มแดงเรื่อ บ้าไปแล้ว เผลอซุกหน้ากับหลังไอตี๋ได้ไง น่าอายชะมัด

คนตรงหน้ายังคงยืนนิ่งเป็นก้อนหิน ไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ นาวาเอียงคอสงสัย เจ้าตัวเล็กเลยเดินขึ้นมาเคียงกัน หากแขนของตรีเพชรกลับกางออก กั้นไม่ได้เด็กสอดรู้ก้าวล้ำออกไป นัยน์ตาสองคู่มองไปยังพุ่มไม้ที่กำลังส่ายไหว ใบเขียวจัดของพุ่มไม้เตี้ยเสียดสีกันเป็นเสียงคุกคามน่ากลัว

ไม่นานจากนั้นสัตว์สี่เท้า ขนดำหนาบริเวณหัวชี้ไปด้านหลัง ขนตามลำตัวเป็นสีดำเทา มันก้าวออกมา ฟายใจฟึดฟัด ใช้อุ้งเท้าและเขี้ยวยาวตะกุยดิน

“โถ่ แค่หมูป่า ตกอกตกใจหมด”

คุณเพชรลดมือลง ทำสีหน้าโล่งใจ ตรงข้ามกับนาวาที่เริ่มเหงื่อตก เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันควัน

“ตี๋… นับถึงสามแล้ววิ่งนะ” เจ้าแว่นละล่ำละลัก

“ห๊ะ” ตรีเพชรฉงน

“หนึ่ง…”

“เดี๋ยว สิ่งทำมะ..”

“สอง!”


สิ้นเสียงนับ นาวาคว้าข้อมือตรีเพชร ออกวิ่งโดยไม่รอนับจนครบสาม

“เตี้ย นายขี้โกง ยังไม่นับสามเลย”

แม้จะอุทร หากเจ้าทุกข์ก็ยอมใจง่ายวิ่งตามไอ้โจรหน้าเด๋อที่ขโมยข้อมือของเขามา มันจับข้อมือของเขาแน่น ราวไม่ยอมให้แยกจากกัน

“ขืนรอนับสาม มันได้ขวิดนายตายก่อน”

หมูป่าตัวนั้นวิ่งไล่ ตามันแดงจัด หายใจรุนแรง และเหนือสิ่งอื่นใด สีข้างของสัตว์ตัวนี้มีบาดแผลเลือดไหลเป็นทาง แต่กระนั้นผีเท้ามันดีไม่หยอก ตอนเด็กคุณเพชรเคยแต่วิ่งหนีหมาในซอยแถวบ้าน โตมาเพิ่งรู้รสการวิ่งหนีหมู

“โอ๊ย เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว

คุณเพชรหันมองด้านหลัง หมูป่าตัวดียังตามมาไม่ลดละ มันส่ายหัว แยกเขี้ยว สับขาเข้าไล่จนแทบจะถึงตัวเสียด้วยซ้ำ

“ตี๋ห้ามหยุด! วิ่งโว้ย วิ่ง”

วิ่งป่าราบเป็นเช่นนี้เอง

“โว้ย!!!”

เสียงร้องและมือของคนทั้งสองประสานกัน


กระรอกน้อยถึงกับรีบไต่ขึ้นต้นไม้ใหญ่เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของคนสองคนที่ร้องลั่นป่า มีเพียงฝูงลิงที่โผล่หน้าออกมาดูรายการวิ่งหนีหมูของหนุ่มทั้งสอง พวกมันขย่มกิ่งไม้ชอบใจใหญ่ ส่งเสียงเจี๊ยกจ๊าก ชี้ให้พากันออกมาดู บางตัวขำกลิ้งจนเกือบตกจากต้นไม้ ดีที่เอาหางเกี่ยวไว้ทัน หลายตัวถึงกับโหนกิ่งไม้ตามไปดู

เจี๊ยก เจี๊ยก เจี๊ยก เจี๊ยก

ลิงหัวเราะเกรียว

ท้องฟ้าสีแดงจัดเพราะใกล้เวลาชิงพลบเขาไปทุกที กระนั้นสองมือของพวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยจากกัน สอดประสานกันไว้เช่นนั้น เหนียวแน่น มั่นคง

หมูป่าบาดเจ็บมีแผลฉกรรจ์จนเสียเลือดมากและเริ่มอ่อนแรง สองคนใต้ฟ้าย่ำสนธยาก็ไม่ต่างกัน สภาพเยินยับดูไม่ได้เสียยิ่งกว่าตอนกลิ้งตกลงมาจากไหล่เขา

“วา…หนี…ขึ้นต้นไม้ไป” ตรีเพชรเหนื่อยหอบ “พี่จะล่อมันไปอีกทาง”

“ไม่เอา!”

เจ้าแว่นหอบยิ่งกว่าแต่ยังวิ่งไม่หยุด มันกระชับมือกุมเขาไว้ เป็นนัยว่าไม่ยอมทำตามคำสั่ง

“อย่าดื้อสิ”

“ไม่! …”

เด็กดื้อหันเสียวหน้ามามอง หน้างองอน

“รอดด้วยกัน… ตาย…ด้วยกัน”


ราวโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ


หากเป็นเวลาปกติคุณเพชรคงคว้านาวาเข้ามากอด กอดให้แนบแน่นจนร่างเล็ก ๆ จมไปในอกเขา ทว่าเวลานี้ดวงตาเรียวรีของคุณเพชรทำได้เพียงจดจำภาพแผ่นหลังของคู่หมั้นที่วิ่งนำ เขาฝังมันไว้ ชัดในความทรงจำ ขณะที่จิตใจบันทึกถ้อยคำของนาวา

‘รอดด้วยกัน ตายด้วยกัน’

ไอ้เตี้ยมันน่า…

“เตี้ย…”

ตรีเพชรกระชับมือสอดรัดมือนาวา แนบแน่น


“พี่โคตรรักนายเลยว่ะ”


นาวางันไปครู่

“ตี๋… มันใช่เวลาไหม!”

แม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่รอยยิ้มที่ตีรเพชรไม่เห็นกลับระบายดวงหน้าของเจ้าแว่นฟอร์มจัด สถานการณ์เฉียดตายอยู่แท้ ๆ บอกรักมาได้ ไอ้ตี๋บ้า

คุณเพชรหัวเราะ สุข อย่างที่ไม่เคยสุขมาก่อน บอกรักครั้งไหน ไม่เคยล้นออกมาจากใจเท่าครั้งนี้ รอยยิ้มประดับใบหน้าที่ฉาบไล้ด้วยแสงริบหรี่ของตะวันตกดิน หากเมื่อหางตาเหลือบเห็นหมู่ป่าขนดำไล่กวดเข้ามาแทบประชิด

“ มันใกล้เข้ามาอีกแล้ว โอ๊ย เวรเอ้ย”

กลิ่นเลือดหมูป่าเริ่มคาวคลุ้ง แสดงว่ามันเสียเลือดมากขึ้น หากคิดว่ามันจะหยุดตามมาละก็คิดผิดถนัด เจ้าหมูตัวจ้อยวิ่งไล่ขึ้นมาด้วยพละกำลังที่มากกว่าเดิม ทั้งสองจึงต้องวิ่งหนีหมูหัวซุกหัวซุน อย่าถามเลยทางกลับ หลงป่าโดยสมบูรณ์แบบ

รู้จักคำว่าสู้ยิบตาไหม

ต่อมาภายหลังตรีเพชรถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วหมูป่าเป็นสัตว์ที่กลัวคน สัตว์ประเภทนี้สายตาและหูของมันไม่ดี แต่จมูกไวนัก ดังนั้นเมื่อได้กลิ่นคนมันจะหนี ทว่ายามใดที่มันบาดเจ็บจนถึงขั้นเลือดตกยางออก สัตว์จนตรอกจะสู้ยิบตาเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่มันก็ศัตรูของมันที่จะล้มลง

สู้จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย

ฉึก!

เสียงลูกดอกเสียดแทงในอากาศ ก่อนจะปักลงซ้ำที่สีข้างหมูป่าเคราะห์ร้าย มันล้มลงร้องดิ้น เสียงกรีดแหลมของมันเรียกให้คนที่วิ่งหนีหันมอง ตรีเพชรอาจไม่เคยได้ยินเสียงหมูโดนเชือด แต่เขาคิดว่าคงไม่ต่างกับหมูป่าตัวจ้อยที่โดนลูกดอกปักสีข้าง มันหวีดร้อง ทุรนทุราย

“พี่ เป็นไรหรือเปล่า”

คนถามลดหน้าไม้ลง รีบรุดเข้าหานาวาและตรีเพชรที่ยืนหอบ

“มะ ไม่เป็นไร”

นาวาให้สองแขนเท้าเข่า หอบจนตัวโยน

“เฮ้อ ผมเกือบตามไม่ทัน”

คนมาใหม่เป็นเด็ก กะจากสายตาวัยน่าจะไม่เกินสิบห้า แต่งกายด้วยชุดชนเผ่ากะเหรี่ยง ถือหน้าไม้สะพายย่ามผ้าแถมที่บ่ายังสะพายแล่งลูกซองเก่ามาหนึ่งกระบอก คุณเพชรขมวดคิ้วสงสัยเด็กแบบไหนถือปืนเดินป่า

“เจ้าหนู ถ้ายิงพลาดจะเป็นไง” ตรีเพชรพูด

“หน้าไม้ผมไม่พลาดหรอก แต่ถ้าปืน…ไม่แแน่” เด็กชายหัวเราะแหะ ๆ

อี๊ด

เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย แม้ลมหายใจรวยริน เจ้าหมูป่าตาแดงจัดพุ่งตรงมายังกลุ่มคนที่ชะล่าใจ ต้องมีใครสักคนโดนเขี้ยวของมันแทงเป็นแผลเหวอะ ยามโกรธเลือดขึ้นหน้า ว่ากันว่าหมูป่าวิ่งได้ดีไม่แพ้กวางหรือม้า

“เฮ้ยพี่มันมาโน่นแล้ว”

“เจ้าหนู ส่งปืนมา!”

ขณะที่ทุกคนเริ่มวิ่ง ตรีเพชรกลับยืนนิ่ง ออกคำสั่งเฉียบขาด

“พี่เพชร!” นาวาเบิกตาโพลงเมื่อเห็นหมูป่ารี่เข้ามาใกล้ตรีเพชรเต็มทน

เด็กชายโยนปืนให้เพราะตัวมันหนีไปหลบหลังต้นไม้

มือหนาคว้าปืนกลางอากาศ ตรีเพชรจับปืนอย่างคนคุ้นเคย แม้ปืนรุ่นเก่าไม่มีกล้องจับโฟกัสแน่นั่นไม่ใช่ปัญหา ชายหนุ่มกระชับปืนในมือ หรี่ตา ยกขึ้นเล็ง หันปลายกระบอกปืนไปที่หมูป่า เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ใจเย็นเหมือนพยัคซุ่มตะปบเหยื่อ สัตว์ขนหนาสีดำพุ่งมาใกล้จนจวนตัว หัวใจนาวาหล่นไปกองแทบเท้า


เปรี้ยง!


เสียงปืนเก่าแผดก้อง สรรพสัตว์แตกตื่น ฝูงลิงที่เคยตามมาหัวเราะเผ่นหายไปด้วยความหวาดกลัว ผืนป่าเงียบฝันราวไร้ชีวิต ร่างตระหง่านลดปืนลง เขาก้มหน้าสลัดปลอกกระสุน เบื้องหน้ามีเจ้าหมูป่าเคราะห์ร้ายนอนแน่นิ่ง กระสุนเจาะกระโหลกของมันยามความตายมาเยือน

มันสู้จนตัวตาย

ดูเอาเถิด คนไม่ถนัดจับจอบขุดดิน กลับจับปืนคล่องมืออย่างไม่น่าเชื่อ

ภายใต้ป่าเงียบและตะวันกำลังลาลับ ทุกร่างถอนหายใจออกมา นาวาซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างอบอุ่นนั้น สูดกลิ่นหอมอ่อนจากเจ้าของแผ่นหลังอุ่นหนา ตีหลังคนตัวสูงไปที ถ้าเกิดปืนเก่าสนิมเกรอะ เหนี่ยวไกไม่ลั่นขึ้นมาล่ะ ถ้าเกิดนายโดนหมูขวิดเข้าให้ล่ะ ถ้าเกิด….


เหมือนตรีเพชรจะรับรู้ความรู้สึกในใจของนาวาได้ อย่างที่นาวาเคยค่อนขอด ‘เรื่องด่าในใจ ไอ้ตี๋มันรู้ดีนัก’

“ไม่ต้องห่วงน่า จะอยู่ให้ด่าไปอีกนาน”

คนรู้ใจ…เอ่ยปลอบด้วยคำพูดกวน ๆ ปล่อยให้คนตัวเล็กฝังใบหน้ากับแผ่นหลังของเขาอยู่อย่างนั้น หากความอบอุ่นในน้ำเสียง และมือหนาที่กุมมือนาวาไว้ แม้ตรีเพชรไม่ได้หันหน้ามา แต่นาวารู้สึกเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังลูบหัวเขาอยู่ แผ่วเบา ปลอบประโลม…


“ทีงี้ปากดีนัก” นาวากัดหลังของตรีเพชร

“หึหึ”


รอยยิ้ม สายตาซึ้งหวาน มอบให้แก่กัน พร้อมกับแสงสุดท้ายของวันลับหายไป


TBC......


ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
ชอบๆ ชอบคู่นี้
มาต่ออีกไวๆ นะคะ

ออฟไลน์ joborcusier

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นนิยายที่ครบรสมาก ชอบมากกกกกกกก  :katai4: :really2:

ออฟไลน์ ThePPJ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้ามาส่องทุกวันเลย คิดถึงนิยายเรื่องนี้
มาต่อเร็วนะ  :call: o19 :o11:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
มาต่อเถิดจ้ะ ตามส่องอยู่  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ดาวเหนือแห่งรัก






พลังรักยิ่งใหญ่มหาศาล ยอดยิ่งเหนือพลังทั้งมวล เพราะยามใดที่เส้นด้ายเบาบางแห่งรัก ‘ผูกและพัน’ หัวใจ แม้นบางเบาเท่าเส้นผม ใครเลยจะถ่ายถอนรักแท้ได้?


ความรัก      ทรงพลัง      มหาศาล
นิรันดร      ฤานาน      กว่ารัก
แรงใจ      ไฟฝัน       อันประจักษ์
จริงแน่       แท้นัก      รักฤารอญ


คนบางคนสร้างความรัก


ใครคนนั้นเป็นเหตุแห่งรัก เป็นที่มาของความสุขและเสียงเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจ ในเย็นวันนั้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมาจอมทัพรับรู้ถึงจังหวะที่แปลกไปของหัวใจตัวเอง วันที่ลูกเสือจอมทัพและเด็กชายนาวาตัวน้อยโดยสารรถสองแถวกลับบ้านด้วยกัน ภายใต้ผืนฟ้าตะวันรอน เด็กชายแว่นหนาในชุดนักเรียนงีบหลับ หัวทุยซบอยู่บนบ่าของเด็กชายตัวโตที่สวมชุดลูกเสือ แม้จะเกร็งและไม่กล้าขยับเพราะกลัวนาวาจะตื่น แต่จอมทัพก็รับรู้ได้ว่าตัวเขาเองกำลังยิ้ม เสียงหัวใจโครมครามอยู่ในอก เขากำลังตกหลุมรัก...


นานมาแล้วที่นาวาเป็นเสียงหัวเราะ เป็นความสุข และเป็นมุมเล็ก ๆ คอยรับฟังเขาระบายในยามทุกข์ ครั้งใดที่จอมทัพรู้สึกว่าท้องฟ้าของเขาเป็นสีเทามัวหม่น ตลอดเวลานาวาจะคอยเคียงข้างเขาเสมอ รอยยิ้มวาดกว้างจริงใจและสายตาสีทองประกายสดใสมองตรงมาให้กำลังใจ สิ่งนั้นเหมือนแสงตะวันในยามเช้า อบอุ่น เบิกบาน นุ่มนวล เปี่ยมล้นด้วยแรงใจ แล้วจะไม่ให้รักนาวาได้อย่างไร


บางครั้ง... ความรักสร้างคนบางคน


ความรักที่งอกงามหล่อเลี้ยงหัวใจนั้น ได้หล่อหลอมสร้างตัวตนของเจ้าของดวงใจแห่งรักนั้นขึ้นมา เมื่อเรามีรักที่ดี ก็ย่อมอยากจะทำตัวให้ดี ควรค่าแก่ความรักนั้น จึงไม่แปลกที่จะพูดได้เต็มปากว่า


จอมทัพคือผลผลิตของรักอันมั่นคง


แล้วใยคนที่มีรักอันคงมั่น ขณะนี้กลับไม่มั่นคง กระวนกระวายได้ถึงเพียงนี้


“พี่จอม หยุดเดินก่อนเถอะค่ะ สาเวียนหัว”


จอมทัพกอดอก เดินกลับไปกลับมาอยู่บริเวณกองไฟหน้าแคมป์ขณะที่เพื่อนและรุ่นน้องนั่งล้อมกองไฟกันอยู่ จนนิสาทักนั่นแหละ เขาจึงโดนมือของตามใจลากไปนั่งข้าง ไม่วายโดนเด็กเอาแต่ใจดุเข้าให้


“เดินวนอยู่อย่างนี้ก็ไม่ช่วยให้หาพี่วาเจอหรอก นั่งสงบสติอารมณ์เก็บแรงไว้ช่วยกันคิดดีกว่า”



“ก็มันคิดไม่ออก”


“แล้วที่เดินเนี่ยคิดออกไหม”


จอมทัพส่ายหน้า จนปัญญาจะต่อล้อต่อเถียงกับตามใจ เขาถอนหายใจยืดยาว หม่นทุกข์... หากวูบหนึ่ง...สัมผัสนั้นแผ่วบางเหลือเกิน ประหนึ่งสายลมพัดวูบอ่อนโยน สัมผัสจากฝ่ามือลูบประโลมแผ่นหลัง ฝ่ามือนั้นกำจายนุ่มนวลเหมือนสายลม แต่ก็พลิ้วหายจางจายเยี่ยงสายลมเช่นกัน ตามใจกำลังปลอบเขา? จอมทัพผินหน้าไปมอง ทว่าผิวหน้าของตามใจกลับเรียบเฉย คนเอาแต่ใจทอดมองเปลวไฟที่กำลังปะทุ ราวไม่รับรู้อะไร


แม้น้ำค้างยามราตรีพร่างพรม แต่กลุ่มคนที่ท่วมท้นด้วยความห่วงหา กังวลใจ ก็ยังคงปักหลักสุมไฟ ล้อมวงคอย ‘เพื่อน’ ให้กลับคืนมา เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนจะตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน พวกเขาจึงก่อไฟใต้ผืนฟ้าสกาวให้ลุกโชนเหมือนความหวังที่โชติช่วงอยู่ในใจ


“ยังดีที่มันหายไปกับพี่เพชร ถ้าไอ้แว่นหายไปคนเดียว กูคงบ้ายิ่งกว้านี้” เอ็มคนที่ใจร้อนเกินใคร กลับเป็นห่วงนาวาและตรีเพชรไม่น้อยไปกว่าใคร


“ความผิดกูเองที่ปล่อยมันคลาดสายตา” เก้าเหม่อไปยังเปลวไฟ พร่ำโทษตัวเอง


“ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก เหตุสุดวิสัยน่า”


“ไม่ใช่ได้ไง ตอนนั้นไอ้สาถามกูว่าได้ยินเสียงอะไรไหม คล้ายคนตะโกน กูยังว่ามันหูฝาดเพราะหิวข้าวเย็น”


“เอาน่าเก้า เจ้าหน้าที่ช่วยกันออกค้นหาแล้ว ไม่มีอะไรหรอกเดี๋ยวไอ้วากับพี่เพชรก็กลับมา” นิสาลูบหลังเก้าแผ่วเบา เก้าสีหน้าไม่ดีเลยหลังจากที่รับรู้ว่านาวาหายไป สิ่งที่นิสาทำได้ก็คงแค่ปลอบใจ


“จะว่าไป ห่วงไอ้วามันจังเลยเนอะ...” นิสามองออกไปยังความมืดของรัตติกาล อดีตอันยาวนานแสนไกล ตีฟุ้งขึ่นมาเหมือนตะกอนใต้ผิวน้ำเรียบใส ความทรงจำแห่งอดีตไหลหลากคืนมาเหมือนสายธารเชี่ยวกราก เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นยังฝังจำในความรู้สึก “จำที่พวกเราเข้าป่าด้วยกันตอนม.สามได้ไหม”


“ที่แกรบเร้าจะไปถ่ายรูปลงวารสารโรงเรียนแข่งกับชมรมห้องสมุด” แบงค์ทวนความจำ “แล้วพวกเราเก๊าะหลงป่า เพราะไอ้เอ็มดันทึ่มทำแผนที่หาย”


“เพราะมึงเลยไอ้แบงค์ชวนกูนั่งพัก กูจำได้ว่าปลดเป้ลง แล้ววางแผนที่ไว้ข้าง ๆ แถมเอาขวดน้ำตั้งทับไว้” เอ็มบ่น “แล้วไง พอเดินต่อก็เลยลืมทิ้งไว้ทั้งแผนที่ทั้งขวดน้ำ”


“กูจำได้” เก้าเห็นภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นชัดเจน “พวกเราไม่มีใครมีน้ำเหลือกันเลย เดินก็ไกลหาน้ำก็ไม่ได้ แต่ดีที่ไอ้วายกน้ำของมันให้พวกเราแบ่งกันกิน”


“ทั้งที่มันเองก็หิวน้ำมาก แต่ไม่ยอมบอกใคร” นิสาห่อไหล่เพราะความหนาวของน้ำค้างและความทรงจำ


“เฮ้อ... แถมกูยังมือไม่นิ่ง ปากิ่งไม้ใส่รังแตน จนไอ้วาที่อยู่ใต้กล้โดนแตนต่อย” แบงค์ส่ายหน้าให้กับความเซ่อของตัวเอง


“พวกเราวิ่งป่าราบ” เอ็มยัดฟืนใส่ไฟ สะเก็ดไฟสีส้มผลิแตกออกมาเรืองแสงระยับแล้ววับหายไป “ตอนนั้นเราหัวเราะทั้งที่สถาณการณ์มันไม่น่าขำสักขิด ไอ้แว่นหัวปูดวิ่งนำใครเพื่อน กูยังจำได้ว่าวิ่งตามมันไปหัวเราะไป”


“เรากลับทางเดิมได้เพราะไอ้วาวิ่งนำนี่แหละ สงสัยแตนต่อยหัว ความจำมันเลยดีขึ้นมากระทันหัน” แบงค์ยิ้มจาง ๆ คิดถึงเพื่อน... “วันนี้มันหลงป่า ไม่มีพวกเรา มันจะเป็นยังไงมั่งวะ”


“มันจะหิวน้ำไหม” นิสาซบหัวกับไหล่เก้า


“มันจะโดนแตนต่อยหรือเปล่า” เก้าเฝ้าถามกับฟอนไฟ


“กูน้อยใจไอ้แว่น หลงป่าทั้งทีไม่มีพวกเราได้ไง...” เอ็มว่า “มันจะคิดถึงพวกเราเหมือนที่พวกเราคิดถึงมันไหม กูคิดถึงมันจัง”


“นั่นสิ พูดกันไว้แล้วแท้ ๆ จะดูแลกันเหมือนที่หลงป่าวันนั้นตลอดไป ทำไมไม่อยู่ให้พวกเราดูแลวะ ชอบหนีไปเรื่อยไอ้เตี้ยน่ะ” แบงค์บ่นแผ่วเบากับสายลมโกรก


“กูโคตรอยากหายไปกับมัน ถ้าจะหลงไปแบบนั้น พวกเราหายไปด้วยกันทั้งหมดยังจะดีกว่า” เก้าเอียงศรีษะซบลงบนผมสลวยของนิสา


“ถึงบอกไง ถ้ามันหายไปคนเดียว กูคงบ้าตาย” เอ็มไม่คิดว่าประโยคแรกที่เขาพูดทำลายความเงียบ จะวกกลับมาเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่ความเงียบจะโรยตัวลงมาอีกครั้ง



ฟ้าราตรีสุกสกาว ลมเย็นพัดเรี่ยพลิ้วแผ่วเป็นระลอกต้องผิวกายให้หนาวเหน็บ แต่หลายชีวิตยังคงนั่งล้อมรอบกองไฟด้วยความหวังรองฟังข่าวจากทีมสำรวจของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ จิตใจห่วงหานั้นรุ่มร้อนเหมือนกองเพลิง กลัวใยกับน้ำค้างที่เพียงแค่หยาดมาแล้วจางไป


ท่ามกลางความเงียบ เสียงไฟปะทุสอดเคล้าคลอเคลียกับหริดหริ่งแห่งพงพนา ขับขานท่วงทำนองของราตรี


“ดีแล้วที่มีไอ้เพชร...”


จอมทัพพูดขึ้นหลังจากนั่งฟังอยู่นาน ทุกคนพยักหน้าเห็นพ้องกัน
หากห้วงคิดของตามใจกลับตั้งคำถาม ‘แล้วจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าตอนนี้พี่วามีนาย...’


จริงแน่...   แท้นัก... รักฤารอญ


ความรักที่ไม่อาจถ่ายถอนได้เป็นดังนี้
ไม่ว่าจะอย่างไร ก็อดห่วงใยไม่ได้อยู่ดี


คืนนี้ดาวกระจ่างฟ้า
หากไร้คนชายตามอง...



เสียงหวานกังวาลใสของเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายฮาร์ปขับกล่อมค่ำคืนในหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอที่ตั้งอยู่ในพงพนาดงไกล นันดา เด็กชายวัยสิบห้าผู้ชำนาญหน้าไม้หากไม่เชี่ยวชาญการปืนบอกว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้มีชื่อเรียกแสนเพราะว่าเตหน่า โม่ หรือแม่ของเจ้านันดา บอกกับนาวาว่า พักนี้ลูกชายจอมซนมักจะออกมานั่งดีดเตหน่าร้องเพลงบนแคร่หน้าบ้านทุกค่ำ สงสัยจะร้องเพลงให้สาวบ้านไหนฟัง


“อ้าวพี่ ยังโทรหาเพื่อนไม่ติดเหรอ” นิ้วมือของหนุ่มน้อยหยุดดีดสายลวดที่ขึงตึง หันมาสนใจคนที่กำลังชูโทรศัพท์หาคลื่นสัญญาน



“เมื่อกี้เห็นเหมือนจะมีคลื่น แต่ตอนนี้มันหายไปซะแล้ว” นาวาเกาหัวงุนงง



“เอาน่านั่งก่อน เดี๋ยวก็มี คลื่นวิทยุยังมีเลย ผมได้ฟังเพลงบ่อย ๆ”



“ก็เลยจำเพลงมาร้องจีบสาวใช่ไหม”



“เปล่า จีบใคร ไม่มี”


“คะหยิ่น สินะ” นาวาจำเด็กสาวบ้านถัดไปได้ นันดาบอกว่าเป็นเพื่อนวัยเดียวกัน


“พี่อย่าพูดเสียงดัง” นันดา เด็กชายที่เพิ่งเข้าวัยหนุ่มแรกดรุณ หน้าแดงแข่งกับกองไฟที่ก่อไว้เพื่อสุมควันไล่ยุง


“หึหึ” นาวาหัวเราะ เขาโยกหัวนันดาจนทั้งสงคนยิ้มตลกไปด้วยกัน


“รักครั้งแรกเหรอนันดา”


“ครับ ก็ประมาณนั้น” เด็กชายเกาหัวแก้เขิน หากแววตาที่สะท้อนประกายไฟกลับเป็นประกายระยิบระยับลึกซึ้ง


“สดใสจังเลยนะ”


“ครับ?”


“ความรักไง เพราะเป็นรักครั้งแรก เพราะนันดายังเด็ก โลกของนันดายังสดใส มองอะไรก็สวยงามไปหมด คนตกหลุมรักมีสายตาแบบนี้แหละ”


“พี่พูดอย่างกับพี่กำลังตกหลุมรักใคร เอ๊ะ หรือใครตกหลุมรักพี่?”


“ห๊ะ ปะ เปล่า”


“นั่นไง จริงเสียด้วย ใครอะ” เด็กชายขี้สงสัยกระเถิบเข้าใกล้ ซ้ำยังเค้นคำตอบจากเขาอีก


“อะไร ไม่มี”


“บอกมาเถอะน่า ผมไม่บอกใครหรอก” นันดาเอียงหูเข้าใกล้


“ทำอะไรกัน”



เสียงเรียบของตรีเพชรทำให้คนสองคนที่นั่งคุยกันอยู่บนแคร่หันไปมอง ขายาวของชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายสีดำแบบชาวกะเหรี่ยงไม่ต่างอันใดกับนาวา สาวเท้าเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวคนตัวเล็ก แขนแกร่งโอบเลื่อนตัวของนาวาออกจากนันดา แล้วเจ้าคนตัวโตก็นั่งแทรกลงตรงกลาง



“อาบน้ำไวจังตี๋”


“ถามว่าทำอะไรกัน” ตรีเพชรไม่ยอมให้นาวาเปลี่ยนประเด็น


“พี่วาน่ะสิ เค้ากำลังตกหลุมรัก แต่ไม่ยอมบอกสักทีว่าเป็นใคร” นันดาโพล่งขึ้นมาจนตรีเพชรเลิกคิ้ว ชายหนุ่มรูปงามผู้สวมอาภรณ์เฉกชาวบ้านหันมองนาวาที่กำลังก้มหน้าต่ำ หากใบหูกลับเป็นสีแดงสุกปลั่ง


“พอเลยนันดา อยากให้พี่ไปบอกคะหยิ่นไหมว่าเราชอบ”


“โถ่พี่ อย่าพูดเสียงดังสิ”


“ก็นายเริ่มก่อน”


“พี่เริ่มก่อน”


“เอาล่ะ ๆ หยุดเถียงกันทั้งสองคนนั่นแหละ” ตรีเพชรต้องห้ามทัพ หากไม่วายหันมาพูดแกล้งนาวา “แต่ถ้าวาบอกพี่ว่ากำลังตกหลุมรักใครก็ดี พี่จะได้ไปจัดการมัน”


“ไม่มีโว้ย” นาวาต่อยท้องของตรีเพชรเบา ๆ พลางคว้ามือถือขึ้นมาหาคลื่น


“ทำตัวน่าสงสัยนะเตี้ย มีอะไรที่ยังไม่บอกพี่หรือเปล่า”


“ยุ่งน่า คนจะโทรศัพท์”


“มีคลื่นซะที่ไหน”


“มีสิ นี่ไง เฮ้ย นี่ไงตี๋”


“เตี้ย ไม่ต้องแอคติ้งเวอร์ขนาดนั้นก็ได้”


“ไอ้บ้าตี๋โทรศัพท์มีคลื่นจริง ๆ โว้ย” นาวาต่อสายหาเพื่อนจนปลายสายรับนั่นแหละ “นี่ไงไอ้ทึ่ม”


“โทรติดจริงด้วย รอดแล้ว” ตรีเพชรร้องดีใจใหญ่ แล้วทั้งสองคนก็แทบจะกระโดดกอดกันเมื่อได้คุยกับปลายสาย



ทุกคนโล่งอกเมื่อได้รับโทรศัพท์จากนาวา เจ้าแว่นบอกว่าปลอดภัยดีและคงค้างคืนที่หมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงจะได้กลับค่ายพรุ่งนี้เช้า เพื่อนที่เฝ้าคอยกันด้วยความหวัง รู้สึกเหมือนยกผาหินออกจากอก เช่นเดียวกับตรีเพชรและนาวาที่ต่างก็รู้ดีว่ามีคนเป็นห่วงรอคอยอยู่ ภายใต้ฟ้ากระจ่างในคืนนี้ทุกคนคงจะหลับได้อย่างไร้กังวล


นันดาเปิดวิทยุทิ้งไว้ เพลงลูกกรุงเก่า ๆ คลอเบาไปกับเสียงปะทุจากกองไฟและเสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรี คนสองคนที่ผ่านเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาด้วยกัน ยังคงนั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรอบวันอย่างเงียบเชียบอยู่บนแคร่หน้าบ้าน วันนี้ช่างยาวนาน เหนื่อยยาก แต่ทั้งสองก็ผ่านมันมาได้ และผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาด้วยกัน


ทั้งคู่ต่างจมอยู่ในภวังค์


นาวาได้เห็นตรีเพชรในมุมที่ไม่เคยได้เห็น


‘วา... หนีขึ้นต้นไม้ไป พี่จะล่อมันไปทางอื่น’


คนที่โดนมองว่าเป็นคุณชายขี้โวยวายคนนั้น กลับยอมเอาตัวเสี่ยงอันตราย เพียงเพื่อให้เขารอดจากเหตุการณ์เลวร้ายนั้น ตรีเพชรคว้าปืนอย่างคุ้นเคย เขายืนใจเย็น ทั้งที่มีปืนพร้อมอยู่ในมือ ไม่ยอมลั่นไกจนกว่าหมู่ป่าจะปรี่เข้ามาจนจวนตัว เมื่อได้ทบทวนดู นาวาจึงเข้าใจว่าคุณเพชรไม่ได้อยากฆ่าหมู่ป่าบาดเจ็บตัวนั้นเลย สัตว์ป่าที่สู้จนตัวตายเพื่อปกป้องตัวเอง มีศักดิ์ศรีกว่าการสอบฆ่าในจังหวะที่สบโอกาส ตรีพชรจึงสู้กับมันอย่างยุติธรรม


ชายหนุ่มไม่พูด ไม่อธิบาย ไม่ยกเรื่องการฆ่าหมูป่าขึ้นมาเอาความดีความชอบกับใคร แม้นันดาจะนำเจ้าหมู่ป่าโชคร้ายตัวนั้นกลับมาให้มารดาทำอาหาร คุณเพชรก็ไม่แตะต้องอาหารจานนั้นเลย


นาวาเผลอยิ้มให้กับความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในหัวใจ มือข้างหนึ่งของนาวาค้างอยู่ในอากาศจังหวะเดียวกับที่ตรีเพชรหันมา


“ไม่ได้ยินที่พี่ถามเหรอ”



“ถามอะไร”



“รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ เห็นฮำเพลงตาม เพลงเก่าแบบที่อาม่าชอบฟัง”



“อ๋อ รู้สิ วาก็ชอบฟัง”


“แล้วยกมือจะแอบตีหัวพี่หรือไง”



“ห๊ะ อ๊อ ไล่ยุงต่างหาก”



นาวาทำเป็นปัดมือไล่ยุง หากแท้จริงแล้ว เพราะความเผลอไผลบางอย่าง มันทำให้เขาอยากลูบปอยผมของตรีเพชรต่างหาก อยากสัมผัสให้นุ่มนวนแผ่วเบา ให้อ่อนโยน...เหมือนหัวใจอันอ่อนโยนของตรีเพชร

(เพลง Love โดย Lana Del Ray)

Look you kids with your vintage music
Comin’ through satellite while cruisin’
You’re part of the past, but now you’re the future
Signals crossing can get confusing


เด็กวันใหม่           ฟังเพลงเก่า           ของกาลก่อน
จากดาวเทียม      โคจร              ร่อนเวหา
เด็กวานวัน           ปัจจุบัน      อนาคตา
คลื่นบนฟ้า            อาจพา      ว้าวุ่นวาย


เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ตรีเพชรได้รู้จักนาวามากขึ้น ในขณะที่นาวากำลังกระวนกระวายร้อนใจหาทางติดต่อเพื่อนอยู่นั้น เด็กแว่นแสนเฉิ่มยังมีสติพาเขาหนีออกมาจากสถาณการณ์คับขัน ตรีเพชรรู้ถึงน้ำใจและความเป็นลูกผู้ชายของคนที่ตกระกำลำบากด้วยกัน ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อน คนรัก หรือคู่หมั้น ในสถานการณ์เช่นนั้น คุณเพชรได้รู้แล้วว่านาวาจะไม่ทิ้งกัน


‘รอดด้วยกัน... ตายด้วยกัน’



“เตี้ย... พี่โคตรรักนายเลยว่ะ”



ตรีเพชรย้ำประโยคนั้นขณะทิ้งตัวลงนอน หนุนตักอุ่นของนาวา



“ได้ยินไหม”


“หูไม่หนวก”



นาวางัดหัวของคนตัวโตออกไปแต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่ก็สู้ไอ้คุณชายเอาแต่ใจไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ตรีเพชรได้ทำตามใจ ถือว่าเป็นคำขอบคุณที่ทำตัวดีก็แล้วกัน



“พี่รักวา แล้ววาตกหลุมรักใคร”



“อะไรของนายอีกละตี๋”



“ที่เจ้าหนูนันดามันฟ้องไง”



“มันต่างหากแอบชอบน้องคะหยิ่น รักแรกของมัน”



“ถึงว่า ตกเย็นเจ้าหนูมาถามว่าใส่เสื่อตัวไหนถึงจะหล่อ ทั้งที่เสื้อมันก็คล้ายกันทั้งนั้น”



“โม่บอกว่านันดาแต่งตัวหล่อออกมาเล่นเตหน่าทุกคืน”



“จีบสาว?”



“อื้ม ความรัก มันสดใสยังงี้แหละ”



“แล้วพี่ล่ะ”



“อะไร”



“ใส่ชุดนี้หล่อหรือเปล่า”



“ถามทำไม”



“ไม่ว่าใคร ก็อยากดูดีในสายตาของคนที่เรารักด้วยกันทั้งนั้น” ตรีเพชรแหนงหน้ามองเจ้าของตักอุ่น เขาสะกิดแว่นหยอกล้อคนที่สวมแหวนหมั้นของเขาอยู่ “จริงไหมเจ้าเฉิ่ม”



“หึหึ” นาวาหัวเราะ นึกถึงเหตุการณ์ในที่วันแสงแดดปะทะสายลม วันแรกที่ทั้งสองเจอกัน “ไม่ว่าพี่เพชรจะใส่ชุดไหน วาก็ไม่เห็นว่าจะดูดีเลยสักนิด ไอ้ตี๋หน้าจืด ทรงผม เสื้อผ้า รองเท้า ดูไม่ได้สักอย่าง”


You get ready, you get all dressed up
To go nowhere in particular
Back to work or the coffee shop
Doesn’t matter ’cause it’s enough

เธอแต่งตัว           ให้ดูดี       สุดที่แต่ง
ไปในแห่ง      หนที่              ไม่ดีเหมือน
ไปทำงาน      หรือร้าน      กาแฟเยือน
มันไม่เหมือน   ไม่สำคัญ      ประการใด


เสียงหัวเราะของคนสองคนสอดประสานกัน การพบเจอในครั้งนั้นชัดเจนงดงามอีกขึ้นคราวในคืนนี้ ตรีเพชรมองเห็นแววตาสีน้ำตาลทองระยิบระยับของนาวายามหัวเราะด้วยความสุข ทำให้หัวใจของเขาฟูพองขึ้นเป็นเท่าทวี


“นั่นสินะ”



“หืม?” นาวาก้มหน้ามองคนที่หนุนหัวอยู่บนตัก



“ความรักไง ความรักมันสดใสแบบนี้แหละ ความรักของพี่... กำลังยิ้ม กำลังหัวเราะ แววตาของความรักสวยกว่าแสงเดือนแสงดาว พี่ดีใจที่ความรักของพี่กำลังมีความสุข...”


Cause it’s enough
To be young and in love… to be young and in love


แค่มีรัก      เท่านั้น      เพียงพอแล้ว
แค่มีรัก      ใยแคล้ว      หาเหตุผล
แค่มีรัก      ประดับใน           หัวใจตน
แค่มีรัก      เอ่อล้น      คนเยาว์วัย


ภายใต้ฟ้าพราวพร่างไปด้วยดาวผืนเดียวกัน อีกฟากฝั่งหนึ่ง จอมทัพก็ยังคงนั่งอยู่บริเวณกองไฟ เปลวเพลิงสีส้มทองเริงระบำในยามน้ำค้างพรายพรม ความอบอุ่นของเปลวไฟพอจะช่วยให้คนที่นั่งอยู่อย่างเดียวดายอบอุ่นขึ้นบ้างไหมหนอ เพียงแค่คิดเช่นนั้น เท้าของตามใจก็ไวกว่าความคิด เด็กหนุ่มรุ่นน้องหย่อนตัวนั่งข้างจอมทัพ จนคนที่นั่งอยู่ก่อนต้องหันกลับมามอง


“ยังไม่นอนอีกหรือไง” จอมทัพเป็นฝ่ายถาม



“ไม่ง่วง”



“ไปนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงทำฝาย”



“ห่วงแต่คนอื่น”



“หืม? อะไร”



“นายน่ะ ห่วงแต่คนอื่น เคยห่วงตัวเองบ้างหรือเปล่า นั่งตากน้ำค้างแบบนี้เป็นหวัดไปจะทำไง”



“ฉันป่วยยาก”



“ป่วยสักทีจะหัวเราะให้”



“เป็นห่วงฉันเหรอ?”


จอมทัพถามออกไปอย่างคนใสซื่อ หากคำถามของเขากลับทำให้อีกฝ่ายตะกุกตะกัก ตามใจถอนหายใจออกมายืดยาว ควมคิดบางอย่างในใจมันอัดอั้นจนทนไม่ไหว เด็กรุ่นน้องเลยต้องถามโพล่งออกมา


“ถามจริง รักคนที่เขาไม่ได้รักเรา มันจะมีความสุขเหรอ”


ความเงียบกรายตัวมาอย่างเชื่องช้า ระหว่างคนทั้งสองมีเพียงแสงจากกองไฟและลมหนาวยามราตรีคั่นกลาง จอมทัพผันหน้ามาทางตามใจ นัยน์ตาของทั้งคู่สบกัน


“นายรู้ไหม  ที่สุดของความรักคืออิสรภาพในรัก เขารักใคร หรือใครรักเขาไม่ใช่ประเด็น หากรักเป็นเพียงการให้เมื่อลงว่ารักแล้ว จงมอบรักนั้นไปเถอะ... อย่าคาดหวังเลย”


นัยน์ตาที่ล้อประกายไฟของจอมทัพ ไม่มีแววเศร้าอยู่สักนิด รักแท้ที่มีเพียงการให้ มีความพอใจเพียงแค่ได้รัก และได้ทำให้คนที่รักมีความสุข โดยไม่คาดหวังอะไรตอบแทน


รักเพียงเพราะรัก...


ตามใจสูดอากาศชื้นฉ่ำเย็นยามค่ำคืนเข้าเต็มปอด


“นั่นสินะ...”


เด็กหนุ่มรุ่นน้องรูดซิปแจ๊กเก็ตที่สวมออก ตามใจวางมันคลุมไหล่จอมทัพ ดึงฮูดออกมาคลุมศรีษะคนที่เป็นรุ่นพี่ ก่อนจะลุกขึ้น ตามใจพูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า


“ฉันให้...”


อย่างน้อยเสื้อตัวนั้นคงจะทำให้คนที่นั่งอยู่อย่างเดียวดายใต้หยาดน้ำค้างอบอุ่นขึ้นมาสักนิด




“เตี้ย แหงนมองอะไรอยู่ พูดด้วยไม่ยอมพูด”


“ดูดาว” นาวาจะตอบอย่างไรว่าที่เงยหน้าเพราะไม่อยากให้คนหนุนตักเห็นว่ากำลังเขิน



“งั้นหาให้ดวงนึงสิ” ตรีเพชรลุกขึ้นนั่ง



“หาดาวอะไร”



“ดาวเหนือ”



“ไม่ยาก ทำตามนะ มองหาจากกลุ่มดาวหมีใหญ่ ตรงที่ดาวเรียงตัวกันเจ็ดดวงเป็นรูปกระบวยตักน้ำ ดาวสองดวงแรกของกระบวยตักน้ำจะชี้ไปยังดาวเหนือเสมอ”



“โคตรยาก มองยังไงให้เป็นรูปกระบวย” ตรีเพชรขยับตัวเบียดนาวา มองไปตามปลายนิ้วที่นาวาชี้ขึ้นให้ดูบนท้องฟ้า



“งั้นเอาวิธีใหม่ เขาบอกว่าถ้าเราหันหน้าสู่ทิศตะวันตก ยกแขนขวาขนานพื้น
เหยียดไปข้างลำตัว มือขวาจะชี้ไปทางทิศเหนือ แล้วค่อยเหยียดนิ้วโป้งลงตรงเส้นขอบฟ้า เหยียดนิ้วชี้ขึ้นข้างบน จะมองเห็นดาวเหนืออยู่ปลายนิ้วชี้”



“ไม่เห็นจะเข้าใจ”



“ลองทำตามสิ นี่เห็นไหม ดาวเหนืออยู่ตรงปลายนิ้วชี้”



“งั้นเหรอ อย่างนี้ใช่ไหม”



“ไม่ใช่แบบนี้ ชี้ไปที่ท้องฟ้าสิ จิ้มหน้าฝากวาทำไมเล่า”

“ก็พี่หาเจอแล้วนี่นา ดาวเหนือของพี่น่ะ”

ปลายนิ้วชี้ของตรีเพชรจรดอยู่กึ่งกลางหน้าฝากของนาวา


“ดาวเหนือก็ต้องอยู่บนท้องฟ้าสิ”


นาวารู้สึกถึงจังหวะแกว่งไหวของหัวใจ มันเต้นสั่นแบบแปลก ๆ หากเหมือนมีประจุไฟฟ้าเล่นวาบในกลางทรวง เพียงแวบเดียวเท่านั้นก็ทำให้หน้าเห่อร้อนขึ้นมาได้


“รู้หรือเปล่าว่าดาวเหนือบนท้องฟ้ามันเปลี่ยนแปลงได้” ตรีเพชรลูบหัวนาวาแผ่วเบา เขาจับให้คนตัวเล็กนั่งซุกอยู่ในตัก “ดาวเหนือปัจจุบันคือดาวโพลาริส ในกลุ่มดาวหมีเล็ก ในอดีตคือดาวทูบัน ในกลุ่มดาวมังกร ในอนาคตเมื่อแกนโลกหมุนเอียง จะเป็นดาวเวกา ในกลุ่มดาวพิณ”



“อืม...”



“ดาวเหนือของท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลง แต่พี่อยากให้ดาวเหนือของพี่เป็นแค่นาวาคนเดียว เป็นให้ได้ไหม เป็นดาวเหนือ ดาวนำทางของพี่... ฟ้าทั้งผืนพี่ยกให้ ให้ดาวเหนือของพี่ครองแค่คนเดียว”



“พี่เพชร...”



“พี่รักวานะ”



รสจูบแผ่วเบาทาบทับริมฝีปาก ความหวานปานน้ำผึ้งหยาดรินในหัวใจของคนทั้งสอง จุมพิตใต้ผืนฟ้าสกาวเชื่อมหัวใจทั้งสองดวงให้สนิทแนบแน่น ดังมีด้ายเส้นบางแห่งความรักกำลังถักทอเยื่อใย ผูกและพัน หัวใจของคนทั้งคู่ให้เคียงข้างกันไปตราบชีวิตจะพาให้ทั้งสองคนแยกจากกัน...


แสงสีทองอบอุ่นฉาบขอบฟ้า บ่งบอกว่าเช้านี้เป็นวันที่ที่ชาวค่ายทุกคนได้เวลาเดินทางกลับ หลังจากนาวาและตรีเพชรกลับไปร่วมกับชาวค่ายและเพื่อน ๆ ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะแทบไม่ยอมแยกจากกัน วันนี้ทุกคนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใส คงเพราะผ่านเรื่องทุกข์หม่นและเพราะความรู้สึกบางอย่างผลิบานในหัวใจของพวกเขาเหล่านั้น


I get ready, I get all dressed up
To go nowhere in particular
Doesn’t matter if I’m not enough
For the future or the thing to come


ฉันลุกมา      แลหน้าตา          ปรุงแต่งตัว
ไม่เคยมัว      สงสัย            ในที่หมาย
ไม่สำคัญ      ว่าฉัน            พร้อมใจกาย
อนาคต      บั้นปลาย         ไม่กังวล


เส้นทางถนนของพวกเขายังทอดยาวไปอีกไกล หากวันนี้เขาพร้อมแล้วที่จะเดินไปสู่หนทางข้างหน้า เพราะพวกเขารู้ว่าข้างกายยังมีใคร เพื่อน พี่ น้อง ทุกคนเหล่านี้ไม่ทอดทิ้งกัน ความรักที่มีให้กันเป็นเครื่องยืนยันถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นตรึงใจ พวกเขาพร้อมที่จะเติบโต และเผชิญอุปสรรค์ต่าง ๆ ไปด้วยกัน


เพราะมั่นใจว่าเพียงมีรักก็พอแล้ว


Cause I’m young and in love
I’m young and in love


เพียงรักเกิด           ในดวงใจ      ก็พอแล้ว
รักเพริดแพร้ว   เติมเต็มใจ            วัยพาฝัน
กาลเวลา      ผันผ่าน       คืนและวัน
แต่รักนั้น      มั่นเนิ่นนาน           กลางรอยใจ


 :katai2-1: :hao5: :katai2-1: :hao5: :katai2-1: :mew1: :mew2: o22 :really2:

และแล้ว Mon Fiance ก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของเรื่องแล้วนะครับ อีกประมาณสามบทก็จะถึงบทสรุปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตอนเขียนบทนี้ไม่ทราบเลยว่ามันจะลงเอยเช่นไร แต่มันคงสมควรแก่เวลา สมควรแก่ตัวละคร และใกล้ที่จะถึงจุดจบเต็มทีแล้ว ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ ทุกคนที่ติดตาม ขอบคุณทุกความรักความปรารถนาดี และขอบคุณช่วงเวลาที่เราเติบโตไปด้วยกัน

see you until the end of this story

lots of love

yours,

Killian

ปล อ่านไปฟังเพลงไปด้วย จะเพราะมากครับ


 :mew1: :mew1: :mew1: :3123: :3123: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2: :L2: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-11-2017 17:23:28 โดย Killian »

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เพิ่งเข้ามาเห็นว่าลงนิยายต่อ
ดีใจมากค่ะคิดถึงมากจริงๆ
พี่เพชรน้องวาน่ารักมาก
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

ออฟไลน์ somberness

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
เราชอบเรื่องนี้มากเลยยแต่เดี๋ยวจะย้อนกลับมาอ่านอีกรอบพลาดไปหลายตอนเลย :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian



Butterfly lovers




31 ธันวาคม

อีกไม่นานเข็มนาฬิกาก็จะข้ามกาลเวลาไปสู่ปีใหม่ สู่อนาคตที่ทอดยาวไปข้างหน้า

ธันวาคม แปลว่า การมาเยือนของราศีธนู อาวุธแห่งกามเทพ ผู้สรรค์สร้างความรักให้เกิดขึ้นบนโลก ว่ากันว่า ศรแห่งกามเทพปักลงกลางหัวใจดวงใด ผู้เป็นเจ้าของดวงใจนั้นจะตกหลุมรัก

ความรักที่แย้มกลีบบานในชีวิตของคนเรานั้น ยากที่จะถ่ายถอนใช่หรือไม่?

เช่นนั้นแล้วจะเรียกว่า ตกหลุมรัก… ก็คงไม่ผิดนัก

“แหงนมองอะไรอยู่เตี้ย มาช่วยย่างดิ จะไหม้หมดแล้ว”

นาวามองผืนฟ้าคอตั้งบ่า หันมาทางตรีเพชร ไม่วายเถียงกลับไป ด้วยเพราะนิสัยเป็นคนรั้น ก่อนจะช่วยอีกฝ่ายย่างบาร์บีคิวที่ตั้งเตาไว้บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน

“มองหาราศีธนู จะได้เอาด้ามธนูฟาดหัวแก”

เทวตำนานเล่าขานเอาไว้ ปลายศรอันแหลมคมของกามเทพผู้รังสรรค์ความรักทำมาจาก… เพชร ชาวกรีกจึงเชื่อว่าเพชรเป็นของรักและตัวแทนแห่งเทพเจ้า เพชรน้ำหนึ่งเปล่งประกายสดใส เฉกผิวน้ำกระจายระลอกกว้าง สะท้อนแสงตะวันระยิบระยับ ประกายนั้น ใส ซื่อ ร่าเริง เป็นสุข

“ฮ่าๆ อาม่า อันนั้นหมวกซานตาครอสครับ หมวกปีใหม่อันนี้”

ตรีเพชรยิ้มกว้าง ประกายตาทอแสงไฟระยิบ เขาวางจานบาร์บีคิวลงบนโต๊ะ หากไม่ทันไรจานนั้นก็พร่องลงไปทันควัน

“พวกมึงเอาแต่กิน โน่น ไปช่วยนาวาย่างเลย”

วันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า เป็นครั้งแรกที่บ้านหลังใหญ่แห่งนี้รู้สึกคึกคัก อบอุ่นไปด้วยเสียงหัวเราะ ของคนที่เป็นเพื่อน พี่ น้อง และครอบครัว ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ไม่ใช่เพื่อฉลองปีใหม่ เพราะไม่ว่าจะปีนี้หรือปีไหน เข็มนาฬิกาก็จะเดินวนรอบหน้าปัดต่อไปอย่างนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ยังคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาประดับท้องฟ้า สรรพสิ่งคงเดิมเป็นไปของมันอย่างนั้น เฉกที่เคยเป็น

หาก ณ วันนี้ ทุกคนกำลังยิ้มให้กันและกัน กำลังหัวเราะสนุกสนาน กำลังมีความสุข เพราะลึก ๆ พวกเขากำลังฉลองให้กับความสัมพันธ์ที่มันยืดยาวขึ้นอีกปีต่างหาก
คนเราไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อจะเผชิญโลกนี้อยู่คนเดียว การมีเพื่อนที่ดี ครอบครัวที่ดี เป็นความสัมพันธ์ที่เราควรให้ค่า และรักษามัน ใช่หรือไม่

เพื่อนที่ดี… หาไม่ได้โดยง่าย
มิตรภาพ… มิได้เกิดขึ้นโดยง่าย

หากยามมีมัน เราจึงควรหมั่นรักษาดูแลไว้ เพื่อวันหนึ่งต้นกล้าเหล่านี้ จักงอกงามเติบโต คอยเป็นมือที่ยื่นมาพยุงเรา เป็นมือที่ตบบ่าให้กำลังใจ… ในยามที่โลกทั้งใบหันหลังให้เรา

ผืนฟ้าของเมืองใหญ่คลี่คลุมไปด้วยหมอกควันและไอฝุ่น จนทำให้มองไม่เห็นว่าปลายศรแห่งกามเทพชี้ไปที่ใด ทว่านาวาสามารถรับรู้ได้ด้วยหัวใจ ปลายแหลมของศรแห่งความรักกำลังชี้มาที่คนกลุ่มนี้ มณีน้ำหนึ่งสุกใสเรืองรอง ณ ปลายศาสตราวุธแห่งพระกามา เทวาแห่งความรัก กำลังชี้ตรงไปที่…

“พี่เพชร…”

ตรีเพชรเงยหน้าจากแก้วไวน์ เอี้ยวคอไปทางนาวาที่เดินขมวดคิ้วออกมาจากตัวบ้าน

“วาหากล่องใส่การ์ดไม่เจอ ไม่รู้เอาไปวางไว้ที่ไหน”

“อยู่ตรงหัวเตียงไงครับ ไม่ก็ในลิ้นชัก”

“ไม่เจอเลย ไปช่วยหาหน่อย”

ในวัยเด็ก ความตื่นเต้นของนาวาและเพื่อนร่วมห้องทุกคนที่รองมาจากการแลกของขวัญก็คือการ์ดอวยพร ส.ค.ส. อักษรย่อจากคำสามคำ ส่ง ความ สุข เป็นความสุขที่ส่งให้กันผ่านปลายปากกาและตัวอักษร แต่ก่อนนาวาจำได้ว่าทุกปีใหม่จะซื้อ ส.ค.ส. สะสมไว้ การ์ดเล็ก ๆ ใบละหนึ่งบาทจะมีรูปการ์ตูนที่ชอบและกากเพชรโรย เสมือนละอองหิมะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ในเมืองที่หิมะไม่เคยตก ความไร้เดียงสาและจินตนาการใสซื่อในวัยเด็ก หิมะจึงสวยเหมือนกากเพชร

“พี่บอกแล้วว่าอยู่ตรงหัวเตียง”

“เก๊าะหมอนบัง ใครจะไปเห็น”

เสียงของสองคนที่เดินออกมาจากตัวบ้านเรียกทุกคนหันมอง ตรีเพชรกับนาวาไม่มีสักวันหรอกที่จะไม่หยุดเถียงกัน การลับฝีปากของสองคนนี้เป็นธรรมดาสามัญไปแล้วสำหรับคนใกล้ชิด ถ้าวันไหนเงียบนั่นเป็นสัญญานของความผิดปกติ ตรีเพชรเคยแจงเหตุผลในเรื่องนี้ให้เพื่อนฟังว่า

‘ลองหาคนที่เถียงกันได้ทุกวัน แทบทุกเรื่อง แต่ไม่ทะเลาะกันดูสิ แล้วจะรู้’

คนเรายามรู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่กับใครสักคน บางทีความเห็นที่ไม่ตรงกันบางอย่าง คำพูดบางคำ อาจไม่สำคัญเลยก็ได้ สิ่งเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไม่สามารถทลายความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ลงได้ ตรงกันข้าม กลับยิ่งทำให้เข้าใจกันมากขึ้น
เหมือนพี่กับน้องที่อาจจะเถียงกันบ้าง แต่สุดท้ายความรัก สายสัมพันธ์แห่งครอบครัวก็ยังคงอยู่เช่นเดิม ตัดไม่ขาด

‘ตัดไม่ขาด แต่สมัยนี้เค้ายิงกันตาย’ เปรมแย้ง

‘นั่นมึงกับไอ้หมวย นาวากับกูไม่ใช่แบบนั้น’

ลมหนาวพัดวูบมาจนไฟกระพริบที่แขวนอยู่กับต้นไม้ลู่ไกว สวยเหมือนฝนดาวตกที่ร่วงหล่นลงมาเป็นสาย ลมหนาวที่เลื่อนลอยผ่านไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยการ์ดใบเล็กที่นาวาวางไว้ตรงหน้าทุกคน

จำได้ไหม เขียนส.ค.ส.ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?

นานมากแล้วเช่นกันที่นาวาไม่ได้เขียนส่งความสุขให้ใคร

หากแต่สิ่งที่เขียนนี้ นอกจากจะเป็นความสุขที่ส่งถึงกันแล้ว ตัวอักษรจากปลายปากกาทุกตัวยังซับเอาคำขอบคุณ กระซิบให้ทุกสายตาที่เลื่อนผ่านทุกอักขระให้รู้ว่า เราทุกคนได้ร่วมเติบโตด้วยกัน ได้ส่งผ่านความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน คำทุกคำเล่าเรื่องราว มีชีวิต โลดแล่น และมีลมหายใจของตัวมันเอง อักษรเหล่านี้สร้างคุณค่า เพราะคิดเสมอว่าทุกครั้งที่ปลายปากกาตวัดบนกระดาษ จะต้องโอบอุ้มเอาสิ่งดี ๆ ส่งผ่านไป อย่างน้อยก็หวังให้มันบ่มเพาะความสุขให้บานแบ่งในหัวใจผู้คน

ตัวอักษรถ่ายทอด คำขอบคุณ ความรัก ความงดงามแห่งชีวิต คราบน้ำตา และรอยยิ้ม ลมหายใจแห่งตัวอักษรทุกตัวถักทอออกมาเป็นความรู้สึก... อบอวลอยู่ในหัวใจ…

“นาวา สารักวาที่ซู๊ด” เธอคว้าเพื่อนมากอดเต็มแรง

“กูว่าแล้ว มึงต้องบอกไอ้แบงค์ให้ตัดใจจากน้องมด”

เก้าหัวเราะ ชะโงกหน้าอ่านการ์ดของแบงค์ที่เจ้าตัวเพิ่งโดนหญิงสาวปฏิเสธรักมาหมาด ๆ

“ขอบใจนะจ๊ะหนูวา อาม่าชอบการ์ดใบนี้”

“พี่ก็ชอบค่ะ” พลอยลดายิ้มแก้มปริ

แม้คืนนี้ดาวจะไม่กระจ่างเต็มท้องฟ้า หิมะอาจไม่โปรยปรายลงมาเหมือนกากเพชร แต่เสียงหัวเราะของทุกคนเป็นคีตะสำเนียงที่มีชีวิต มันสดใส เหมือนประกายตาทุกสายตาที่มองให้กันและกัน และเพชรเม็ดนั้น… ก็ยังคงสว่างสดใส จัดจ้ากว่าดาวดวงใดบนฟ้ากว้าง

เพชรจึงเป็นตัวแทนของความรัก

มากมายแห่งผู้คนจึงมอบแหวนเพชรให้แก่กันในวันแต่งงาน

เพราะเพชรจะคงอยู่เสมอ เป็นประจักษ์พยานแห่งรัก ที่ผูกและพันแน่นหนาข้ามกาลเวลาอันยาวนาน เพื่อบอกให้โลกรับรู้ว่า ประกายแห่งรักแท้จะสดใสสุกสกาวตลอดไปตราบนิรันดร์

“นาวา มานั่งให้ดีจะเที่ยงคืนแล้ว”

ตรีเพชรเรียกเจ้าแว่นให้มานั่งใกล้ ชายหนุ่มโอบไหล่ของร่างบางไว้หลวม ๆ เขายิ้ม รอยยิ้มนั้นสวยจนไม่อาจละสายตา เพราะยามคุณเพชรยิ้มให้นาวา เขาจะยิ้มทั้งสายตาและหัวใจ ตรีเพชรเอียงหน้ามองคนที่อยู่ในอ้อมแขนสายตานั้นอบอุ่นเหมือนอ้อมกอดในฤดูหนาว

“เรามานับไปด้วยกันนะ”

“ได้สิ 9, 8, 7…”

นิ้วเรียวของตรีเพชรแตะริมฝีปากของนาวาไว้ ดวงตาสีอำพันภายใต้แว่นหนามองตรงไปยังนัยน์ตาสีรัตติกาลของอีกฝ่าย

“ไม่ใช่นับถอยหลัง… แต่… นับหนึ่งไปด้วยกันจากนี้ต่างหาก เราไปด้วยกัน… จนกว่าชีวิตจะพาให้เราพรากจากกันนะ…”

ความอ่อนโยน อ่อนหวานใด ๆ เล่นวาบเข้ามากลางทรวงอกอย่างห้ามปรามมิได้ ในวินาทีนั้น พลุในหัวใจนาวาระเบิดกึกก้องตูมตาม ประกายของมันส่องสว่าง สดใส เจิดจ้ายิ่งกว่าพลุที่จุดขึ้นบนฟ้าเสียอีก
เสียงนับถอยหลังของทุกคนดังมากหากไม่เข้าหู สิ่งที่ได้ยินมีเพียงคำพูดของตรีเพชร

“พี่เพชร…” นาวารั้งตรีเพชรเข้าใกล้ กระซิบแผ่วเบาใกล้ใบหู “…รัก”

สิ้นเสียงนับ 3 2 1 พลุชุดใหญ่ถูกจุดขึ้นเต็มท้องฟ้า นาวายิ้ม ความสุขล้นออกมาทางสายตา ทางรอยยิ้ม ปากเปล่งความปิติออกจากใจส่งผ่านไปให้ทุกคนได้รับความรู้สึกนั้น

“Happy New Year”

ขณะทุกคนต่างพูดออกมาพร้อมกันว่า

“Happy birthday!”

ไฟของบ้านทั้งหลังพลันดับสนิท หลิวเดินเข้ามา ในมือของสาวใช้ถือเค้กวันเกิด เปลวเทียนวูบไหวหยอกล้อกับสายลม

Happy birthday, happy birthday, happy birthday to you

ตรีเพชรยื่นเค้กให้ คนที่ไม่เตรียมตัวอย่างเจ้าแว่น เป่าเทียนรวดเดียวโดยไม่ขอพรอะไรทั้งนั้น

“ไม่อธิษฐานก่อนเหรอ”

“ไม่ล่ะ แค่นี้วาก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องการอะไรอีก”

ไฟทั้งลานบ้านรู้สึกจะสว่างกว่าเดิม หัวใจดวงนี้เหมือนจะเบิกบานกว่าเดิม การอยู่ท่ามกลางคนที่เรารักและรักเรา มันหาอะไรเปรียบไม่ได้จริง ๆ นะ รักษามันไว้ให้ดี เก็บเกี่ยวความสุข ความงดงามตรงนี้ไว้ให้มากที่สุดเถอะ ชีวิตของคนเราสั้นเกินกว่าจะมองข้ามคนรอบตัวเหล่านี้

“ขี้แย” จอมทัพล้อ

“เปล่าซะหน่อย” แค่น้ำตารื้น

“นี่ของขวัญของพี่กับตามใจ มีความสุขมาก ๆ นะวา”

จอมทัพลูบหัวเด็กน้อยของเขา ไม่ว่าจะอย่างไร นาวายังคงเป็นคนพิเศษสำหรับเขาเสมอ

“ตามเป็นคนเลือกเองกับมือเลยนะครับพี่วา นายขี้บ่นนี่จ่ายตังค์อย่างเดียว เค้าคิดไม่ออกหรอกจะให้อะไรเป็นของขวัญ”

“พูดมากน่า”

“ก็หรือไม่จริง”

สองคนนี้ก็เช่นกัน พักหลังเถียงกันบ่อยขึ้นจนทุกคนผิดสังเกตุ

ของขวัญมากมายหลายกล่อง นาวารับไว้ด้วยสองมือและหนึ่งใจ มีเพียงความขอบคุณจากก้นบึ้งของความรู้สึกเท่านั้นที่จะตอบแทนไปได้…

“พี่เพชรรู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดวา”

“ว่าเคยบอกนี่ว่า วันเกิดวาไม่มีใครว่างมาอยู่ด้วยหรอก วันนี้พี่เลยขอให้ทุกคนมา ให้รู้ว่าวาไม่ได้อยู่คนเดียว อีกอย่าง วันเกิดแค่นี้ถ้าพี่ไม่รู้ คงเป็นแฟนที่แย่มาก”

“วาตกลงเป็นแฟนพี่ตอนไหน”

“เมื่อกี้บอกรักพี่แล้วนี่นา จริงไหม”

ทุกสรรพสิ่ง ยามมีจดเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดสิ้นสุด

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา… งานนี้ก็เช่นกัน

หากเปรียบกันการเขียนบันทึก คงจะเป็นหมึกหยดสุดท้ายที่จะใช้ในการถ่ายทอด หากเรื่องราวในชีวิตก็ยังคงดำเนินของมันต่อไป เส้นทางในชีวิตทอดยาวไปข้างหน้า เพียงแต่ถามหัวใจของเราเถิดว่า ทางที่เดินอยู่นั้นมีหัวใจของเราอยู่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จงเดินไปเถอะ หัวใจมนุษย์นำทางตัวเองเสมอ หัวใจที่อ่อนโยนและอ่อนหวานจะขอบคุณและขอบใจทุกความรักที่ผ่านเข้ามา หัวใจนั้นจะเป็นหัวใจที่มีพลัง พาสองขาของเราก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง


1 มกราคม

เช้าวันนี้แดดจ้าและลมแรง

แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างกระจกที่มีผ้าม่านพริ้วบางกั้นไว้ ร่างบางพลิกหาความอบอุ่น มือนั้นเคลื่อนไปสัมผัสกับเตียงเย็นเฉียบ ว่างเปล่า ร่างที่ไร้อาภรณ์ปกปิดกายงัวเงียขึ้นมา สองมือขยี้ตา รำงับความง่วงงุน

“ไอ้ตี๋ไปไหนแต่เช้า… เอ๊ะ”

สัมผัสเย็นจากวัตถุที่สวมอยู่บนลำคอระหงส์ทำให้นาวาประหลาดใจ เด็กขี้เซาจึงลุกขึ้นคว้าแว่นตรงหัวเตียง ใกล้กันนั้นเป็นกระดาษโน๊ตใบเล็กเขียนด้วยลายมือของตรีเพชร

‘ห้ามถอดล่ะ สุขสันต์วันเกิดครับ
                             Yours, P’

นาวายืนตรงกระจก เห็นเงาสะท้อนของวัตถุที่อยู่ระหว่างอก สร้อยคอทองคำขาว จี้ผีเสื้อปีกสีน้ำเงินโบยบิน ไพลินน้ำงามสะท้อนประกายแดดรับอรุณ


สายลมพัดปะทะหน้ายามปั่นจักรยานผ่านต้นไม้ใหญ่ริมทาง ถนนเลนส์เดียวที่ทอดจากตัวบ้านกว่าจะถึงถนนใหญ่ยาวพอควร นาวาเลยออกมาปั่นจักรยานเล่นแก้เบื่อ เพราะคนที่บอกว่าจะพาทุกคนไปไหวะพระดันออกไปฟิตเนสแต่เช้ามืด อาม่ากับทุกคนที่บ้านเลยได้แต่คอยให้พ่อตัวดีรีบเสด็จกลับ

แสงแดดยามเช้าลอดผ่านใบเขียวชอุ่มของต้นไม้ใหญ่ พวกมันไหวลู่ลมเสียดสีกันเป็นเพลงแห่งธรรมชาติ คงแหงนมองใบไม้นานเกินไป เสียงแตรรถยนต์ถึงดังเข้า จักรยานของนาวากำลังปั่นเข้าหารถสปอร์ตสีขาว แบรกมือทำงานของมันอย่างดี ล้อจักรยานหยุดทันก่อนที่จะชนเข้ากับรถของคู่กรณี

ประตูรถสีขาวคันนั้นเปิดออก บทเพลงอันคุ้นเคยแว่วผ่านสายลมมาจากรถคันนั้น

I was a quick wet boy... ผมเคยเป็นเพียงเด็กผู้ชายตัวเปียกปอนปราดเปรียว…

…Stole me a dog-eared map, call for you everywhere… ขโมยแผนที่เก่าขาดวิ่น ออกตามหาร้องเรียกถึงคุณทุกหนแห่ง

Have I found you flightless bird? ผมเจอหรือยังนะ... นกน้อยที่ไม่ยอมบินจากไปไหน?

“เตี้ย อีกแล้วนะ ปั่นจักรยานของนายยังไงเนี่ย”

“ปั่นช้าจนจะคลานแข่งกับเต่าอยู่แล้ว นายนั่นแหละจะรีบไปตามควายที่ไหน”

“ควายตัวนี้แหละ ต่อไปนี้ห้ามปั่นจักรยานแล้วนะรู้ไหม อันตรายชะมัด เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะเป็นยังไง”

“อ้าว ไม่กลัวรถถลอกแล้วเหรอ”

“ช่างรถมันเถอะ”

“หึๆ”

“ยังจะหัวเราะอีก”

“น่ารักนะเนี่ยตี๋”

นาวายีหัวตรีเพชรจนฟู

“เดี๋ยวเถอะ เอาใหญ่ละ”

“ถามอะไรหน่อยสิ”

“เรื่องอะไร?”

ถึงจะบ่นแต่ตรีเพชรก็ยืนให้นาวาปีนเกลียวอยู่อย่างนั้น

“เคยถามครั้งนึงละ ยังไม่ได้คำตอบเลย ทำไมต้องผีเสื้อล่ะ ทั้งสร้อยข้อมือสร้อยคอ”

“โถ่ นึกว่าจะรู้ ที่แท้ก็โง่นะเนี่ย”

“อ้าว”

“เหลียงซานปั๋วกับจู้อิงไถไง”

“ใครวะ บรรพชนของนายที่เมืองจีนเหรอตี๋”

“เออ โง่แล้วไม่เจียมอีก butterfly lover ม่านประเพณีไง”
 
“หือ? นิทานเหรอ ไม่เห็นคุ้นเลย เล่าให้ฟังหน่อย”

“ไปหาอ่านเอง”

“โหย ไรวะ บอกหน่อยก็ไม่ได้”

“ไปอ่านเองเองสิ ใครจะบอกเล่า”

ตรีเพชรหน้าแดง หากสายตาคู่นั้นไม่ละไปจากใบหน้าของนาวาเลย ยามดวงตาของทั้งคู่สบกัน สายลมอ่อนพลิ้วแผ่วผ่านมา หอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ กลิ่นหอมหวานของความรักเจอมาด้วย

“เตี้ย..แดดแรงละ กลับบ้านเรากันเถอะ”

คุณเพชรจับมือของนาวาไว้ มือนั้นอุ่นนุ่ม มั่นคง

“…อื้ม”

‘บ้านของเรา’ คำนี้อบอุ่นเหลือเกิน


ในเช้าวันนั้นนาวาได้รู้ว่า ชาวจีนเชื่อว่าผีเสื้อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักบริสุทธิ์ เป็นผีเสื้อที่เกิดจากรักพิสุทธิ์ของคนสองคน ที่ยอมให้ธรณีสูบหายไป เพียงเพื่อให้ได้ครองรักกัน หลังจากแผ่นดินแยกและรับร่างของคนทั้งสองเอาไว้ ปรากฏมีผีเสื้อสองตัวโบยบินออกมา เป็นตัวแทนแห่งรักและอิสรภาพในรักที่พวกเขาไม่เคยมีในยามที่ยังหายใจ

ผีเสื้อแห่งรักของเหลียงซานปั๋วกับจู้อิงไถบินเคียงกัน ไกลสุดไกล… ความรักของนาวาและตรีเพชรก็เช่นกัน ขณะนี้ผีเสื้อปีกสีน้ำเงินสองตัวกำลังสยายปีกโบยบิน เคียงคู่กันไปอย่างอิสระบนถนนที่ทอดยาวไปข้างหน้า ปีกงามกระพือผ่านสายลม คอยเคียงข้างกัน… จนกว่าชีวิตจะแยกให้เราจากกัน…


จะสลัก       ความรักนี้    ในรอยใจ
ให้ผีเสื้อ     โบยบินไป     ดังใจฝัน
ให้สองปีก   กรีดกาง       ทุกคืนวัน
ให้รักนั้น     เหนือนาน     กาลเวลา

จบ


ขอได้รับคำขอบคุณจาก Killian








ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
ชอบๆ ละมุนมากตอนจบ
ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ชอบๆ ละมุนมากตอนจบ

Thank you  :pig4:
ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
5555555 ขำสองคนนี้มาก

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ขอบคุณมากค่ะ  :monkeysad: มีครบเลยเรื่องนี้

จำได้ว่าเคยอ่านนานแล้ว ตั้งแต่เป็นพวกนักอ่านเงา  อิอิ

จนตอนนี้สมัครเป็นสมาชิกเล้าแล้ว แต่เหนือสิ่งใด

เราก็ปวดใจ สงสารจอมทัพ :m15: อยากให้รักตามใจเร็วๆ

อยากให้จอมทัพได้มีความสุขแบบสุขจากคนที่รักอ่ะ

แบบยังไงล่ะ อธิบายไม่ถูก ฮือ แต่อ่านพาร์ทจอมทัพทีไร

ละบีบใจตลอดเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คิดว่าจะไม่มาต่อจนจบแล้ว ดีใจที่มีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้แบบครบถ้วนสมบูรณ์นะคะ :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ขอบคุณมากเลยเป็นเรื่องที่ละมุนอบอุ่นมาก ชอบสำนวนและเพลงในเรื่องทั้งไทย อังกฤษ และกลอน ประจำบางเรื่องเราจะไม่ค่อยอินกับเพลงแต่เรื่องนี้อ่านตามคิดตามทุกคำ มีให้ทั้งไทยอังกฤษซึ่งดีมากเพราะเราแปลเองมันก็ยังกระด้างๆไปหน่อย ชอบการผูกเรื่องที่เหมือนต้องคิดไว้ทุกอย่างแล้วก่อนแต่ง และเนื้อเรื่องต่อกันได้ลงตัว ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆของผีเสื้อสองตัวนี้นะคนเขียน

ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เพิ่งเห็นว่ามาต่อจนจบแล้ว มาเริ่มอ่านกันใหม่ค่ะ ขอบคุณที่ลงจนจบนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ ornonon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ imseries

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ PanGii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :m1: หนูวาทำให้เขินตาม น่ารักมากเลยค่ะ
พี่เพชรก็ช่างแกล้ง พี่จอมก็ละมุน น้องตามก็แก่นเหลือเกิน นิสานี่มีความเป็นแม่ของหนูวาด้วย สนุกค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ   :L2:

ออฟไลน์ Nobodylove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ขอบคุณสำหรับนิยายนารักๆ ค่ะ :katai2-1:

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
พี่เพชร - น้องวา น่ารักมาก ๆ ครับ



ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ช่วงนี้ฝนตก คิดถึงความอบอุ่นของตรีเพชร นาวา และผองเพื่อนเลยแวะมา อุ่นใจที่ได้กลับมาหาจุดเริ่มต้นของตัวอักษรของตัวเอง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด