ยกที่ 4 : ก้ำกึ่ง http://www.youtube.com/v/pMe9a7xItVk “ ไอ้เต้ย”
“ พี่ที”
เสียงร้องเรียกผมจากอีกฝั่งของถนนทำให้ต้องหยุดชะงักหันมองหน้าไอ้แท็คซึ่งนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่ตรงสระน้ำใหญ่ตั้งแต่หกโมงถึงสามทุ่ม ทนนั่งบริจาคเลือดให้ยุงอยู่นอนสองนานพร้อมกับเรื่องเล่ากวนตีนตลกโปกฮาสารพัดซึ่งมันขนมาเล่าให้ฟังเล่นเอาอารมณ์หน่วงๆหายไปในทันใด พอเห็นว่ามืดจนมองทางไม่เห็นนั่นหล่ะเลยเอ่ยชวนมันกลับซึ่งมันก็ยังอุตส่าห์เดินมาส่งถึงหอใน จนได้ยินเสียงทักเขานั่นแหล่ะมันถึงโบกมือลาพร้อมกับยกมือไหว้เจ้าของเสียงซึ่งคือพี่รหัสผม ก่อนจะทำไม้ทำมือชี้ไปยังกลุ่มของว่านที่เดินมาอีกทางหนึ่งแล้วยิ้มนิดๆเมื่อเห็นคนหน้าหวานก้มหน้าอายๆตอนที่ไอ้แท็คเดินเข้าไปทัก
เหอะ...ผมว่าอีกไม่นานหรอก
ไม่นานอะไรหน่ะเหรอ ก็ว่านกับแท็คไง หึ
“ ยิ้มอะไรของมึง”
พูดไม่พอยังโบกหัวผมเบาๆจนต้องยกมือกุมไว้แล้วทำหน้าประหลับประเหลือกใส่ตัวต้นเหตุที่ยิ้มกริ่ม นี่แค่ยิ้มเฉยๆไม่ได้ทำอะไรยังหล่อฉิบหายวายป่วงขนาดนี้ เอ่อ ขออนุญาตหยาบคาบครับ คือมันไม่รู้ว่าจะใช้คำนี้บอกปริมาณความหล่อได้ในเมื่อคนตรงหน้าที่ผมเรียก
‘พี่ที’ หรือ ‘นที’ พี่รหัสปีสองสายตรงของผมเองซึ่งมีดีกรีเป็นถึงเดือนคณะและควบตำแหน่ง ‘หล่ออันตราย’ ซึ่งบรรดาแฟนคลับให้ฉายา เพราะอะไรหน่ะเหรอ ไอ้บุคลิกแบดบอยบวกอาร์ตติสหลุดโลกนี่แหละ ดูจากการแต่งกายในชุดนิสิตซึ่งชายเสื้อหลุดออกจากกางเกงยีสต์เดฟสีดำสนิท ใบหน้าคมคายขาวผ่อง นัยน์ตาคมดูดุดันแต่แฝงเสน่ห์เร้าร้อน ผมหยักโศกยาวปะบ่าแต่ชอบมัดจุดทรงน้ำพุไว้ตรงหน้าผาก คำพูดคำจากวนตีนที่หนึ่ง ดูยังไงก็ติสเกินกว่าจะเป็นหมอยา ฮา
“ เฮ้ย” มัวแต่ปลาบปลื้มกับรูปลักษณ์พี่รหัสจนไม่รู้ตัวว่าร่างสูงกว่าผมสัก 6 เซนฯ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆจนหน้าแทบชนกัน
“ เล่นไรเนี่ยพี่ ผมตกใจหมด”
“ ฮ่าๆๆๆ”
“ ก็มึงทำหน้าเป็นหมาง่วงอยู่ได้ไม่ตอบกูสักที” พูดไม่พอยังเอามือยาวๆมาพาดบ่าผมเพื่อพักแขนอีก คือนอกจากไอ้จ็อบแล้วเนี่ยก็มีแต่พี่ทีเนี่ยแหละที่ชอบสกินชิฟกับผมเหลือเกิน
“ พี่แม่ง”
“ หึ..” พี่ทียิ้มมุมปากก่อนจะโยกหัวผมเบาๆ “...ว่าแต่มึงไม่ไปฉลองกับพวกทีมบาสเหรอ เห็นนั่งกันเต็มที่สามย่าน”
“ อ้าวแล้วพี่ไปทำอะไรแถวนั้นอ่ะ”
“ หาที่นอน” พูดแล้วก็ยักคิ้วกวนๆพอกับคำตอบที่ไม่ช่วยให้ความกระจ่างใดๆ พี่ผมหล่อบรมจนผมยิ้มตาม แกหรี่ตามองผมยิ้มๆก่อนจะถามกลับ “มึงยังไม่ตอบคำถามกู”
“ อ๋อ พอดีผมไม่ค่อยสบายอ่ะพี่”
“ เป็นไรวะ”
“ เฮ้ย” ไม่ให้ตกใจยังไงไหวเล่นเอาหน้าผากตัวเองมาชนหน้าผากผมคล้ายกับจะวัดอุณหภูมิ แล้วใบหน้าเราสองคนก็ใกล้กันชนิดที่ลมหายใจเป่ารดกันเลย แม่ง ขนตาพี่ทีอย่างสวยอ่ะ ผมแอบลอบสังเกตไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่จ้องผมตรงๆ
“ เอ่อ” สุดท้ายผมทนไม่ไหวเล่นจ้องตากันไม่มีใครยอมใครเนี่ย “...ปล่อยเลยพี่ เดี๋ยวก็กลายเป็นคู่จิ้นผมเหมือนไอ้แท็ค หรอก” พูดขำๆแต่ดันขำค้างเพราะคำพูดอีกฝ่าย
“ ก็ดีสิวะ”
“ ห่ะ”
“ หึ ก็ดีสิวะสายรหัสเราจะได้แนบแน่น” แล้วลูบบ่าผมทำไม ผมแกล้งทำปากขมุบขมิบบ่นพี่รหัสตัวเองเบาๆ
“ แอบด่ากูรึไง” พี่ทีถามยิ้มๆแววตาแพรวพราวขี้เล่นตามบุคลิกส่วนผมแอบหน้าแดงเมื่อรุ่นพี่จับอาการผมได้
“ มึงนี่ก็น่ารักดีนะ” ...แทบจะสำลึกน้ำลายตัวเอง... คือวันนี้วันอะไรมีคนชมว่าผมน่ารักสองคนแล้วนะ แล้วดูแต่ละคนดิหน้าระดับเวิร์ดคลาส แต่แปลกนะคำชมนั่นไม่ทำให้ผมใจเต้นแรงเท่ากับการที่สายตาผมไปปะทะเข้ากับร่างสูงของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อซึ่งนั่งเหยียดขายาวอยู่ตรงม้านั่งหน้าหอชายตรงนั้นเลย
“ ใครวะ”
“ เพื่อนผมครับ” ผมกระซิบเสียงแผ่วบอกพี่รหัสที่ทำหน้าคิดๆก่อนจะโน้มใบหน้ามากระซิบข้างหู
“มีอะไรกันรึเปล่า”
“ ยังไม่มีครับ เห้ย” พี่ทีหลุดขำกับอาการปากไวของผม แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มแหะๆ พี่มันเลยโยกหัวผมเบาๆก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ มึงโอเคมั้ยวะ”
“ ครับพี่”
“ แน่นะ” พี่ทีลูบศีรษะผมเบาๆ
“ครับ...”
“ กูไปก่อนนะ” แล้วเดินตัวปลิ่วหายไปตรงโรงอาหารหอในด้วยท่วงท่าราวกับเหาะเหินดุจเทพบุตร
........
........
ฝ่ามือฝ่าเท้าผมเย็นเฉียบตอนนที่ตัดสินใจเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ามันซึ่งเงยหน้าขึ้นมองผมพอดี เราสองคนมองหน้ากันเงียบๆก่อนที่มันจะยื่นถุงอะไรบางอย่างให้ผม ซึ่งพอรับผมมาแล้วก็เปิดถุงสีขาวซึ่งมีสัญลักษณ์กากบาทสีแดง ข้างในเต็มไปด้วยซองยาทั้งยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ไม่พอยังมียาหลอดสำหรับบรรเทาอาการฟกช้ำด้วย
ผมมองตามสายตามันที่เหลือบมองข้อมือที่เขียวช้ำเพราะแรงกระแทกและล้มตอนแย่งลูกบาสกันเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา มันไม่พูดอะไรแต่ฉุดมือผมแล้วลากให้นั่งลงก่อนจะคว้าเอาหลอดยาในถุงมาเปิดฝาแล้วบรรจงลูบเอายานวดซึ่งมีเนื้อครีมเย็นๆลูบไล้ไปตามข้อมือที่มีรอยฟกช้ำ
ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองรู้สึกยังไง ผมรู้แต่ว่าใจมันหวิวๆ ช่องท้องรู้สึกโหว่งๆ รู้สึกหวามไหวแปลกๆ หัวใจที่เคยสงบนิ่งกำลังเต้นระรัว เลือดกำลังสูบฉีดเต็มใบหน้าผมทุกอย่างดูมีปฎิกิริยาไปหมด ยกเว้นปากที่นิ่งสนิทราวกับใครมาปิดปากผมไว้ ใบหน้ามันก้มต่ำพิจารณาข้อมือผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ กูไม่รู้ว่ามึงโกรธอะไรกู” สีหน้ามันยุ่งเหยิงลำบากใจ
“ แต่หายโกรธกูเถอะนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบาราวกับสายน้ำพาดผ่านกลางใจ ใบหน้าคมคายออดอ้อนขอร้องเป็นกิริยาที่ผมใฝ่ฝันอยากจะเห็นมานาน
...แล้วผมจะทำอะไรได้หล่ะ เฮ้ยย หัวใจผมไม่รักดีอีกแล้ว...
... พวกคุณเคยได้ยินเพลงนี้กันมั้ย ‘ยอมตั้งแต่หน้าประตู’.... ***********************************************
“ อ่ะ”
“ เอาจริงเหรอพี่”
“ จริง”
“ ให้คนอื่นไปทำแทนไม่ได้เหรอพี่”
“ ได้...” ผมหูตั้งตาเป็นประกายยิ้มกว้างราวกับได้รับพรจากสวรรค์ยังไงยังงั้น แต่ประโยคต่อมานี่สิทำเอาแทบตกเก้าอี้
“..แลกกับมึงต้องเอียงแก้มให้กูหอมทีนึง” “ พี่แม่ง” ผมทำหน้ามุ่ยยื่นมือไปรับแผ่นโบว์ชัวร์กับโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์แผ่นใหญ่จากพี่รหัสซึ่งยิ้มกริ่มกวนส่วนล่าง เท่านั้นไม่พอบรรดาแบล็คกราวซึ่งนั่งสลอนอยู่อีกสิบก็พากับหัวเราะร่วมพร้อมประกายตาวิ๊งๆใส่ผมกับพี่รหัส เอ่อ อีกแล้วครับ เหอะ กำลังจะถูกจับคู่อีกแล้ว แปลกจริงๆผู้หญิงสมัยนี้คงชอบให้ผู้ชายกินกันเองเฮ้ย
“ ทำหน้าให้มันดีๆหน่อย”
พี่รหัสผมพูดกลั้วหัวเราะ ดูเหมือนพี่แกจะอารมณ์ดีซะจริงช่วงนี้ไม่แปลกหรอกเพราะไอ้น้องรหัสอย่างผมนี่แหละที่เป็นเครื่องมือชั้นดีสร้างความบันเทิงใจให้พี่ จะแกล้งจะอำอะไรก็ทำได้เต็มที่ เกิดทีหลังนี่เหมือนเป็นธรรมเนียมเนอะที่รุ่นพี่จะเอ็นดูเป็นพิเศษ
“ ยิ้มเข้าไว้” พี่ทีใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้แกค่อยๆคลี่ยิ้มตรงมุมปากทั้งสองข้างของผมพร้อมกับยิ้มกว้างๆไปพร้อมผมด้วย ถึงแม้แกจะชอบแกล้งชอบอำ แต่ลึกๆผมรู้ว่าพี่ทีเป็นพี่ที่ดีมากเป็นห่วงเป็นใยผมเสมอ จนบางครั้งผมชักติดนิสัยที่มีพี่ทีคอยดูแลแบบนี้ เพราะสิ่งที่พี่ทีทำมันเหมือนกับสิ่งที่ไอ้จ๊อบมันทำให้ผมตลอดมาเหมือนกัน
“ มึงจำไว้นะว่าเวลามึงยิ้ม รอยยิ้มของมึงช่วยให้คนๆหนึ่งเป็นสุขได้เสมอ” “ เว่อร์ไปเปล่าพี่”
“ เหอะ ไม่ใช่แค่มึงหรอกที่ยิ้มทำให้คนอื่นรู้สึกดี ใครๆยิ้มก็ทำให้คนรอบข้างรู้สึกดีทั้งนั้น อยู่ที่ว่ารอยยิ้มนั้นมันออกมาจากใจแค่ไหน”
“ งั้นเหรอครับ” ผมนิ่งคิดตามก่อนจะค่อยๆยิ้มกว้างโดยที่ไม่ต้องฝืนให้พี่รหัสซึ่งลูบหัวผมเบาๆ
“ นั้นแหละ ยิ้มเข้าไว้”
.........
.........
สุดท้ายผมไม่สามารถทัดท้านคำสั่งจากพี่รหัสและรุ่นพี่คนอื่นได้จึงต้องก้มหน้ารับเอาแผ่นโบว์ชัวร์เต็มมือและโปสเตอร์แผ่นใหญ่เดินหงอยๆไปพร้อมกับไอ้แท็ค ว่าน และเพื่อนสาวในกลุ่มของว่านอีกสองคนคือพิมพ์กับดาว มุ่งหน้าไปสู่คณะซึ่งผมไม่อยากไปเหยียบเลยให้ตาย
...คณะวิศวะฯ... ช่วงนี้คณะผมจะมีการจัดงานสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการใช้ยาสามัญประจำบ้านให้ถูกวิธี ดังนั้นพวกปีหนึ่งจึงถูกรุ่นพี่ใช้ให้ไปประชาสัมพันธ์กิจกรรมตามคณะต่างๆในมหาวิทยาลัย แต่เป็นความบังเอิญที่ไม่อยากให้บังเอิญเลยเพราะส้มหล่นที่ผมต้องไปคณะซึ่งสาวๆทั้งมหาลัยอยากจะไปเดินทอดน่องเลยเหลือเกิน
“ เค้าบอกกันว่าสาวๆคนไหนได้ไปสะดุดลานเกียร์จะได้แฟนเป็นหนุ่มวิศวะด้วยแหละ” พิมพ์สะกิดแขนดาวแล้วพูดยิ้มๆ สาวสองคนนี้แหละครับที่ทำให้กระแสคู่จิ้นผมกับไอ้แท็คเลื่องลือไปทั้งคณะ ดาวทำตาเป็นประกายทันทีที่พวกเรากำลังจะเหยียบย่างไปในลานกิจกรรมซึ่งเป็นลานโล่งมีม้านั่งสีน้ำตาลวางไว้ตามใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเงาสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของนิสิตในคณะนี้
“ จริงอ่ะ” ว่านถามยิ้มๆเหมือนจะแซวทั้งสองสาว
“ ไม่รู้สิบ้างก็ว่าจริง บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่เขาลือกันเท่านั้นเอง”
“ ทำไมจ๊ะสาวๆ อยากจะลองสะดุดดูรึไง” ไอ้แท็คสอดปากขึ้นแซวเพื่อนสาวทั้งสองซึ่งค้อนให้มันแต่พองาม
“ กรี๊ดรู้ทัน...” พิมพ์ป้องปากทำหน้าถูกใจ
“...ผมว่าอย่างดาวกับพิมพ์แค่สะดุดไม่พอหรอกต้องเอาหน้าไถด้วยดูสิว่าจะได้ควงหนุ่มใส่เสื้อช็อป” “ ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะที่เป็นของผมเองครับ ผมยืนหัวเราะสองสาวซึ่งกำลังล้งเล้งกับไอ้แท็คโดยมีว่านทำหน้ายิ้มๆมองคนโน้นทีคนนี้ที เหอะ...ว่านทำหน้าแบบนี้น่ารักจริงๆหว่ะ ถ้าไม่ติดว่าผมหน้ามืดตามัวปักใจอยู่แต่ไอ้จ็อบนี่ไม่มีรอดถึงไอ้แท็คหรอก ฮา
“ นี่”
สองสาววิ่งไล่ไอ้แท็คซึ่งวิ่งไปหลบหลังว่าน พร้อมกับทำหน้ายียวนกวนๆหลบซ้ายหลบขวาไปมาน่าเวียนหัว สุดท้ายว่านซึ่งอยู่ใกล้ๆผมก็เบี่ยงตัวหนีทั้งสามอย่างรวดเร็วจนกระแทกกับผมที่ยืนไม่ทันระวัง
“ เฮ้ย” ผมถลาไปข้างหน้าปลายเท้าข้างหนึ่งสะดุดกับพื้นลานเกียร์ซึ่งเผยอขึ้นด้วยเพราะเป็นพื้นในส่วนที่ไม่ราบเรียบ และสุดท้ายผมก็ลงไปนั่งแปะกับพื้นทันที
“ ไอ้เต้ย”
“....”
“ ไงมึง”
ผมเงยหน้าขึ้นเห็นบรรดาเพื่อนๆยืนอยู่ข้างหลังไอ้จ็อบซึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้มาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยื่นมือให้ผมจับแล้วฉุดให้ลงขึ้น ใบหน้ามันกลั้นขำเมื่อเห็นสภาพผมต่างจากสองสาวที่ทำหน้าซีดๆตกใจ ส่วนไอ้แท็คยิ้มกวนๆตามสไตส์ไม่ได้รู้สึกผิดเลยที่สำคัญมันแอบวาดแขนคล้องบ่าของว่านแล้วแอบลูบแก้มขาวเบาๆตอนที่ร่างเล็กหันมาใส่ใจกับผมอยู่
...เนียนตลอดนะมึง...
“ เมื่อกี้เต้ยสะดุดลานเกียร์ด้วยแหละ” สองสาวกระซิบกระซาบกันแต่บังเอิญผมหูดีจึงหันไปมองทั้งคู่ที่พร้อมใจกันยิ้มให้ผม เอ่อ สงสัยผมหูฝาด ผมนั่งสะบัดศรีษะไปมา เหอะ ก็แค่ความเชื่อ
“ นึกไงไปนั่งพับเพียบเรียบแต้อยู่พื้นงั้นหล่ะ”
“ กูล้มไอ้ห่า..” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้จ็อบที่รู้ทั้งรู้ยังถามอย่างกวนตีน ก่อนจะมองไปรอบๆเมื่อเห็นสายตาของสาวๆยิ้มอายๆเมื่อสบตากับไอ้จ็อบโดยที่ไอ้หล่อดูเหมือนจะไม่ทันเห็น เห้ย มีเสน่ห์กับเพศตรงข้ามเหลือเกินนะมึง อย่าว่าแต่เพศตรงข้ามเลยเพศเดียวกันอย่างผมยังหลงมาได้ตั้งหลายปี หึ หน่วงอีกละ
“ เอ่อนี่ไอ้จ็อบ..” ผมสะกิดแขนมันแล้วชี้ไปยังเพื่อนในคณะที่ยืนกันให้สลอน “..นั่นไอ้แท็ค ว่าน พิมพ์ แล้วก็ดาว” ทั้งสองฝ่ายพยักหน้ารับรู้และยิ้มให้กันโดยเฉพาะสาวๆซึ่งเอียงอายราวกับไม่เคยต้องมือชาย
“ มึงมาทำอะไรแถวนี้อ่ะ”
“ อ๋อ ติดโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานคณะอ่ะ..” พูดแล้วยื่นของในมือให้มันดู มันพยักหน้ารับรู้ก่อนยื่นมือมารวบของในมือเอาไปถือเองแล้วยิ้มตาสไตส์ ผมเคยบอกรึเปล่าครับว่ามันเป็นผู้ชายที่ชอบยิ้มจริงๆ เอะอะก็ยิ้มไปเรื่อยเปื่อย ก็หน้าอย่างนี้แหละที่ทำเอาสาวรักสาวหลง เสียดายแต่ว่ารอยยิ้มนี้มันมีเจ้าของแล้วเท่านั้นเอง
“ จ๊อบ”
“....”
เหมือนภาพสโลว์เพราะทุกอย่างในสายตาผมหยุดหมุนไปทันทีที่เห็นการปรากฎกายของใครบางคน ไอ้จ๊อบยิ้มๆตอนที่แฟนสาวมันวิ่งตรงเข้ามาหา ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนที่ลูกตาลจะเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นมาให้ผม ผมจึงเพียงยิ้มบางๆให้
...ปากผมยิ้มนะ แต่ใจผมไม่รับรู้อะไรเลย... “ ทำอะไรกันเหรอค่ะ”
“ ไอ้เต้ยมันจะมาติดโปเตอร์ประชาสัมพันธ์งานคณะอ่ะ”
“ ให้ลูกตาลช่วยนะเต้ย”
“ ครับ”
ผมยิ้มบางๆมองตามแผ่นหลังของคนทั้งคู่ไป ...ก็เหมาะกันดีนะ... ยังไงผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง มันเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ อย่าไปฝืนธรรมชาติและทำให้คนที่เรารักต้องแปลกไปจากเดิมเลย ผมปลอบใจตัวเอง
“ โอเคนะมึง”
ไอ้แท็คเดินมาตบไหล่เบาๆ แววตามันเต็มไปด้วยความห่วงใยผมจึงยิ้มตอบมันไป “ อืม”
.......
“ โห สูงจัง” สองสาวส่ายหน้ายิกๆตอนที่เงยหน้าขึ้นมองบอร์ดขนาดใหญ่สำหรับติดประกาศ มันสูงมากทีเดียวต้องอาศัยยืนบนโต๊ะอีกทีถึงจะไปติดถึง
“ งั้นเดี๋ยวเต้ยทำเอง”
“ แน่เหรอเต้ย” ว่านถามอย่างไปห่วงเพราะตัวเองก็ไม่สูงถึงขนาดที่จะติดถึงซ้ำยังกลัวความสูงอีกต่างหาก แต่เจ้าตัวยังอุตส่าห์ห่วงเพื่อน
“ ไม่ต้องห่วงมันหรอกว่าน ไอ้เต้ยมันเก่ง” ไอ้แท็คยิ้มๆให้ก่อนจะตรงไปจับฐานของโต๊ะให้เพื่อให้ผมปีนขึ้นไปได้สะดวก
“ ลูกตาลช่วยมั้ยค่ะ”
“ เอ่อ”
“ ไหวเหรอตาล”
“ ไหวสิ” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ปีนขึ้นมาอีกฝั่งของโต๊ะซึ่งผมยืนอยู่ พร้อมกับฉวยเอาแผ่นโปสเตอร์ในมือผมไปถือไว้ด้วยเพราะบอร์ดมันกว้างและสูงหล่อนจึงต้องเขย่งตัวเอื้อมมือสุดแขน เป็นท่าทางที่ผมเห็นแล้วเสียวกลัวว่าเธอจะร่วงลงไปซะจริงๆ มือผมก็ทำงานไปคือปักหมุดไปตามมุมทั้งสี่ของโปสเตอร์ตาก็คอยมองแฟนไอ้จ๊อบซึ่งพยายามจนหน้าดำหน้าแดง ส่วนไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่นะเหรอมันไม่แถวนี้หรอก ไปหาน้ำหาท่ามาบริการ เพราะถ้ามันยังอยู่ตรงนี้คงไม่มีทางให้แฟนสาวมันต้องเสี่ยงแบบนี้
“ เต้ย” “....”
“..ระวัง” เพราะมัวแต่ห่วงลูกตาลทำให้ผมลืมระวังตัวเองว่าอยู่ริมขอบโต๊ะอย่างหมิ่นเหม่ และเสียงร้องตะโกนของไอ้แท็คคงทำให้ลูกตาลซึ่งกำลังทำสีหน้าแย่เพราะดูจะไม่สันทัดกับความสูงเท่าไหร่หันรีหันขวาง ขยับตัวไปมาจนเสียบาลานซ์ของโต๊ะสุดท้ายโต๊ะที่ผมกับลูกตาลยืนอยู่จึงพลิกคว่ำเทกระจาดทุกสิ่งที่อยู่บนโต๊ะล้มระเนระนาดไปด้วยซึ่งนั่นหมายถึงเธอกับผมต่างร่วงลงสู่พื้นในทันที ฝั่งลูกตาลดีหน่อยเพราะมันเอียงเทลงระดับความสูงจากพื้นจึงไม่สูงมากนัก แต่ผมนี่สิโต๊ะดันพลิกด้านแล้วเทซะผมหน้าหงอยดีว่าโต๊ะนั่นไม่ทับผมอีกที
“ เต้ย” “....”
เสียงไอ้จ๊อบตะโกนลั่นมันทิ้งขวดน้ำในมือแล้ววิ่งตรงดิ่งมาทางผมทันที
“ จ๊อบค่ะ” เสียงร้องโอดโอยจากผู้หญิงอีกคนที่มุมหนึ่งดึงสติของไอ้จ๊อบซึ่งอีกเพียงไม่กี่ก้าวจะถึงตัวผมต้องหยุดชะงักปลายเท้า ความสนใจและความห่วงหาของมันเบนไปทางนั้นทันทีก่อนที่มันจะเบี่ยงตัวสาวเท้าไปอีกฝั่งหนึ่ง
“ ลูกตาล” ผมก้มหน้านิ่งซ่อนใบหน้าปวดร้าวเอาใบหน้าตัวเองซบลงที่เข่า หัวใจผมชาวาบ เจ็บไปหมด มือไม้อ่อนแรงราวกับเป็นอัมพาต ความเจ็บที่ข้อมือซึ่งมีเลือดไหลซึมออกมาไม่อาจเท่ากับสิ่งที่อยู่ในหน้าอกข้างซ้ายเลย ตอนนี้ส่วนนั้นมันกำลังเต้นอย่างอ่อนแรงเหลือเกิน แผ่วเหลือเกินคล้ายจะหมดลม
“ มึงเจ็บมากมั้ยเต้ย” ไอ้แท็คและเพื่อนๆต่างมาเข้ามารุมล้อมถามอาการผม ทุกสายตามองผมอย่างห่วงใย
“ เจ็บเหี้ยๆ” ไม่ใช่ที่ขาหรอกครับแต่ที่ใจผมต่างหาก**** มาเพิ่มความหน่วงได้อีก เห้ยย

สปอยไว้เลยว่าตอนหน้าไปหัดร้องเพลง
"เจ็บแต่จบ"ได้เลย
อิอิ ขอนอกเรื่องนิดนึงมีใครเคยไปสะดุดลานเกียร์บ้าง ฮ่าๆ จำได้ว่าตอนปีหนึ่งต้องไปเรียนอิ้งค์
ที่คณะวิศวะฯทุกอาทิตย์ ได้ต้นเหตุพล็อตเรื่องนี่มันเรียนที่นี่แบบว่า ไปทีไรชะเง้อชะแง้มองหาเค้า
ตลอดๆประมาณว่าเห็นหลังคาคณะเค้าก็ยังดี ฮา // เค้าเคยสะดุดลานเกียร์ด้วยนะ แล้วเป็นไงรู้มั้ย
" โสด" จนบัดเดี๋ยวนี้ไง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
