(ต่อ) “ เอ้า”
“ เอาไป”
ผมยื่นมือไปรับถุงข้าวต้มที่กำลังร้อนๆซึ่งอีกฝ่ายยื่นส่งให้ด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ มันกรอกตาไปมาก่อนจะส่งเสียงเซ็งๆให้ผม
“ ทำแบบนี้ทำไมวะ”
“.....”
“ มึงแม่ง...” มันทำหน้าระอาผม ก่อนจะมองหน้าผมด้วยกิริยาสำรวจ “...มึงรู้ตัวมั้ยว่าแม่งโคตรเหี้ย”
“ อืม” ผมพยักหน้ารับ
“ ก็รู้แล้วทำไมยังทำ”
“ กูหะ...”
“ มึงห่วงมัน” ไอ้คนตรงหน้าผมชิงตอบก่อนผมเลยพยักหน้าส่งๆไป
“ กูถามจริงๆเถอะตอนนี้มึงรู้สึกอะไรอยู่วะ”
“ ไม่รู้สิ”
“ กูจะบอกอะไรมึงให้นะจ๊อบ...” ไอ้เต๊ปพูดนิ่งๆ “ ถ้ามึงไม่รู้สึกอะไรมึงอย่าทำแบบนี้ เพราะไม่ยุติธรรมกับคนที่เขารู้สึก”
พูดจบมันก่อนเดินส่ายหัวออกจากคอนโดผมไป ทิ้งไว้แต่ข้าวต้มกับยาแก้อการโรคกระเพาะซึ่งผมฝากซื้อ ผมมองของในมือแล้วถอนใจ ตัวผมไม่ได้เป็นอะไรหรอกแต่คนที่อยู่ในห้องนอนนั่นต่างหากที่เป็น
“ บางที...” ผมพูดเสียงแผ่วกับตัวเอง “..กูอาจจะรู้สึกแล้วก็ได้”
ผมนึกเหตุการณ์ช่วงหัวค่ำที่ไปหาไอ้เต้ยที่หอเพราะรู้มาว่ามันไม่ค่อยสบาย จนไปถึงนั้นหล่ะถึงรู้มันไม่สบายหนักจนเป็นลมไปตอนที่ผมไปถึง ตัวมันสูงโปร่งก็จริงแต่พอจับอุ้มถึงรู้ว่ามันตัวบางเหลือเกิน วันๆไม่รู้กินอะไรไปบ้างรึเปล่ายิ่งช่วงสอบที่ผ่านมา สงสัยว่าอาการโรคกระเพาะจะกำเริบอีกครั้ง ตอนที่เห็นมันล้มลงไปผมยอมรับว่าตกใจสุดๆ ทั้งๆที่ผมสามารถพามันไปยังสถานพยาบาลของมหาลัยที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ผมกลับพามันมาคอนโด จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามผมก็ไม่อาจจะอธิบายได้ว่าทำไมถึงเลือกที่จะดูแลมันเอง แทนที่โทรบอกเพื่อนคนอื่นๆให้รับรู้
ที่ไอ้เต็ปมันด่าผมก็เพราะผมไปขอร้องแกมบังคับมันให้ช่วยซื้อข้าวต้มกับยาที่จำเป็นสำหรับไอ้เต้ย โดยห้ามไม่ให้มันบอกเรื่องเต้ยไม่สบายให้คนอื่นๆรับรู้ มันคงไม่พอใจเท่าไหร่ที่ผมทำแบบนี้ ผมพาไอ้เต้ยมาอยู่ใกล้ๆแบบนี้ทั้งๆที่เป็นคนสัญญากับไอ้เต้ยเองว่าผมจะอยู่ให้ห่างๆมัน ผมรู้ว่าไอ้เต็ปมันเห็นใจและเอ็นดูไอ้เต้ยไม่น้อยมันเลยดูไม่พอใจที่ผมยังทำอะไรค้างคาแบบนี้
...แต่ยิ่งเห็นสภาพมันวันนี้แล้วผมบอกตัวเองว่า ผมปล่อยเต้ยไปไม่ได้จริงๆ...
...ทำไม่ได้จริงๆ...
ตอนที่ผมยกข้าวต้มกับยาใส่ถาดเข้าไปหามันในห้องนอนก็พอดีกับที่มันกำลังงัวเงียลืมตาขึ้น ผมเลยเพิ่งได้สังเกตเห็นเวลาที่มันตื่นจากฤทธิ์ยาซึ่งผมป้อนให้ตอนที่มันไม่ได้สติไป ใบหน้ามันขาวราวกับกระดาษริมฝีปากที่เคยแย้มยิ้มดูขาวซีดไม่มีสี ต่างจากแววตาที่ดูตื่นตระหนกตอนที่เห็นหน้าผมชัดๆ “ มึง”
“.....”
“ อย่าเพิ่งลุก”
สงสัยผมจะรีบขยับตัวเร็วไปหน่อยเลยหน้านิ่วเพราะยังเวียนหัวอยู่ มันจึงรีบวางถาดอาหารแล้วตรงมันช่วงประคองผมไว้ ผมไม่รู้ว่าปฏิกิริยาร่างกายเป็นยังไง แต่มันทำให้ไอ้จ๊อบนิ่วหน้า
“ ไม่ใช่”
...ไม่ใช่ ทำไมก่อนหมดสติไปผมถึงคิดว่าผมเห็นรอยยิ้มของพี่ที แต่ทำไมพอตื่นขึ้นมาถึงกลายเป็นเพื่อนสนิทตัวเอง ผมตาฝาดงั้นเหรอ ไม่จริงหรอกมั้ง ผมไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าได้มีโอกาสเห็นรอยยิ้มแบบนั้นที่มีให้แต่ผู้หญิงของมัน
แปลกจนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “ เต้ย..”
“ ไม่” ผมพึมพำอยู่คนเดียวจนไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าไอ้จ๊อบมันอยู่ไม่ไกลมากนัก
“ เต้ย”
“....”
“ เต้ย”
“ เห้ย”
“ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ เปล่า” ทำไมช่วงนี้ผมถึงติดคำนี้นัก ผมนึกปลงตัวเองก่อนจะเริ่มพิจารณาของรอบตัวแล้วสังเกตว่าผมไม่ได้อยู่ในห้องนอนในหอแต่กลับอยู่ที่คอนโดของมัน ซึ่งนั่นคงหมายถึงมันคงช่วยผมไว้สินะ
“ ขอบใจนะ”
“ อืม”
มันคงรู้ว่าผมขอบคุณมันเรื่องอะไรไอ้จ๊อบเลยพยักหน้ารับก่อนจะดันถาดซึ่งมีชามข้าวต้มหอมฉุยมาตรงหน้า แต่ผมก็ดันมันออกไปก่อนจะบอกมันว่า
“ กูดีขึ้นแล้ว กูขอกลับหอนะ”
“ กินข้าวก่อนเต้ย”
มันจับข้อมือผมแล้วบีบเบาๆ
“ ไม่ ไม่หิว” ผมพยายามแกะข้อมือมันออกจากข้อมือตัวเอง แต่ยิ่งแกะเหมือนมันจะยิ่งรัดแน่นขึ้น
“ กินข้าวก่อน”
“ ไม่” ยังไม่ทันจะบอกปฏิเสธอีกครั้งมันก็ทำหน้าดุใส่ก่อนจะฉุดผมให้ทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง
“ ไอ้จ๊อบ”
“ ไอ้เต้ย”
“.....”
“ ปล่อยกู”
“ กินข้าว”
“ ไม่หิว”
“ ไม่หิวอะไร แล้วใครมันเป็นลมล้มไปเมื่อตอนหัวค่ำ ไม่ใช่เพราะมึงอดข้าวจนเป็นลมเหรอ” มันสวนกลับจนผมเป็นฝ่ายที่พูดไม่ออก ผมจึงต้องหลบสายตาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ใบหน้ามันเครียดขมึงน้ำเสียงห้วนซึ่งน้อยครั้งที่มันจะทำแบบนี้กับผม นานมากแล้วที่มันไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิดโมโหผมแบบนี้ นานมากแล้วจริงๆ
ปกติมันเป็นคนใจดีมาก ไม่ค่อยโกรธหรือโมโหง่ายๆหรอก มันชอบยิ้มและนั่งนิ่งๆฟังผมพูดอย่างเดียวมากกว่า ได้แต่ยิ้มด้วยใบหน้าคมคาย ยิ้มที่ทำให้รักมันอย่างหมดหัวใจ แต่ครั้งนี้นอกจากไม่ยิ้มยังทำหน้าเคร่งเครียดอีกต่างหาก
“ กู-จะ-กลับ” ผมขึงตาใส่มันแต่ยังคงน้ำเสียงที่ราบเรียบเหมือนเดิม ซึ่งนอกจากมันจะไม่นำพาอะไรแล้วยังยกขาข้างนึงวางทับต้นขาผมไว้พร้อมกับยักคิ้วกวนตีนใส่
“ ไอ้เชี่ย”
ผมทำปากขมุบขมิบด่ามันจนมันเลิกคิ้วมองพร้อมกับคว้าขวดยาคูลย์แถวนั้นมาเจาะแล้วดูดพร้อมกับกระดิกเท้ายิกๆ ส่วนผมก็ตวัดตามองมันอย่างเคืองและพยายามปัดๆท่อนขาที่วางทับตักผมอยู่
“ กินแค่เนี้ย”
“ เออ”
“ อิ่มแล้วรึไง”
“ เออ”
“ มึงกินน้อย”
“ เออ”
“ มึงงอนกูอยู่ใช่มั้ย”
“ เออ..เฮ้ย” ผมรีบตะปบปากตัวเองที่เผลอเรอพูดคำว่า
‘เออ’ จนคล่องปาก เลยลืมพิจารณาคำถามในประโยคสุดท้ายของมัน ส่วนมันก็แค่ยกยิ้มมุมปากราวกับเจอเรื่องสนุก
“ กวนตีน” ผมด่ามันเสียงดังอย่างจงใจ
“ อืม”
นอกจากมันจะไม่ปฎิเสธแล้วยังกอดอกยอมรับเฉย
“ อิ่มแล้วกูจะกลับ” ผมเลื่อนชามข้าวต้มที่แตะไปไม่กี่คำออกไปไว้ห่างๆตัว ก่อนจะขยับท่อนขาที่วางทับอยู่ออกไปแรงๆแล้วเดินลิ่วไปตรงประตูห้อง
“ ไม่อยากอยู่ใกล้กูขนาดนั้นเลยเหรอ” “.....” เสียงตะโกนที่ดังขึ้นจากข้างหลังเรียกให้ปลายเท้าผมชะงักกึกไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายทำหน้ายังไง
“ กูสัญญาว่าจะไม่มาให้มึงเห็นหน้าอีกมึงจำได้มั้ย” ...จำได้ จำได้สิ...
...จำได้ว่าวันนั้นผมก็เสียน้ำตาไม่แพ้วันที่เป็นคนออกปากขออกจากชีวิตมัน...
“ แต่มึงต้องดูแลตัวเอง..” มันพูดทวนประโยคที่ยังก้องในหัววันนั้น “..แล้วมึงดูแลตัวเองบ้างรึเปล่า”
“ มึงทำตามที่กูขอได้มั้ย”
“.....”
“ มึงทำไม่ได้...” มันพูดเรื่อยๆ
“ มึงไม่ดูแลตัวเองแบบนี้ กูคงปล่อยมึงไปไม่ได้หรอก” “ ทำไม ทำแบบนี้ทำไม” ผมหันมาเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้หลบสายตาแต่อย่างใดตรงกันข้ามมันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“ ทำแบบนี้กับกูทำไม มึงก็รู้ว่ากูคิดยังไงกับมึง มึงก็รู้ว่ากูยังตัดใจไม่ได้ แต่มึงก็ยังทำเรื่องให้มันค้างคา มึงทำทำไม”
“.....”
“ ไอ้จ๊อบ” ผมอดโมโหไม่ได้ที่มันยืนนิ่งเฉยไม่พูดไม่จา กวนให้อารมณ์ที่ไม่ปกติคุกรุ่นจนอยากจะระบายให้หมดไป
“ มึงพูดกับกูสิ พูดออกมานิ่งทำไม พูดออกมา ฮึก มึงมันเหี้ย ไอ้จ็อบ ไอ้บ้า ไอ้คนชอบเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น” คราวนี้ไม่ใช่แค่ด่ามันแล้วแต่ผมตรงเข้าทุบบ่าทุบไหล่มันเป็นการระบายด้วย
“ ขอโทษกูปล่อยมึงไปไม่ได้จริงๆ” ...เพี๊ยะ...
หลังจากคำพูดเห็นแก่ตัวของมันฝ่ามือผมก็ตรงกระแทกหน้ามันเต็มๆ แรงที่ตวัดใส่หน้ามันบอกเลยว่าสุดแรงเพราะอารมณ์โกรธและน้อยใจตอนนี้
“ มึงมันเหี้ย” พูดจบแล้วผมก็ปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลอีกครั้งก่อนเดินหนีไปถ้าไม่ติดว่ามือมันดึงแขนผมเอาไว้ ยังไม่ทันที่ผมจะได้เปิดปากด่ามันอีกครั้ง ริมฝีปากหนาแต่กลับนุ่มก็บดคลึงริมฝีปากของผมทันที ผมไม่รู้ว่าวินาทีนั้นผมรู้สึกยังไง มันไม่ใช่ความปลาบปลื้มยินดี ไม่ใช่ความรู้สึกสุขใจที่ได้ความรู้สึกแบบนี้จากคนที่แอบรักมาตลอด ผมรู้แค่ว่าน้ำตาผมค่อยๆไหลอาบแก้มตอนที่มันพึมพำขอโทษข้างๆหู
“ กูมันเหี้ยเหมือนอย่างที่มึงว่าจริงๆนั่นแหละ” ***********************************
ผมไม่รู้ว่าใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการพาตัวเองมาเดินย่ำอยู่ตรงถนนแถวพญาไทตอนเกือบสี่ทุ่ม ผมเดินก้มหน้าเดินไปเรื่อยหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ที่ผมถูกมันจูบแบบไม่คาดฝัน บางทีมันอาจจะไม่ได้เรียกว่าการจูบเพราะมันแค่เอาปากมันมาสัมผัสปากผมเท่านั้นเอง แต่ทำไมมันถึงไม่รู้สึกว่ามันจะอบอุ่นเหมือนอย่างที่นึกฝัน ทั้งๆที่มันเป็นจูบแรกของผมด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไงกับสิ่งที่มันทำนอกจากใบหน้าที่รู้สึกผิดและคำขอโทษ ผมยอมรับว่าทั้งโกรธทั้งตกใจที่ได้ยินแบบนั้น มันขอโทษแสดงว่ามันรู้สึกผิด รู้สึกผิดที่มันไม่ได้ตั้งใจจะจูบผม
....ไม่ได้ตั้งใจจะจูบ...
...เป็นรอยจูบที่ไม่ได้ตั้งใจกลับยังวนเวียนอยู่... “ ทำไม ทั้งๆที่กูพยายามจะตัดใจจากมึง ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
ผมกระซิบบอกตัวเองเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่วันนี้มืดมิดไม่มีแม้แต่แสงดาวชวนให้ความรู้สึกหนาวเหน็บบังเกิดขึ้นในใจ
...ครืนๆๆๆ...
เสียงโทรศัพท์ที่เปิดสั่นกำลังสั่นระรัวอยู่ในกระเป๋ากางเกง สายเรียกเข้าที่ปรากฏทำให้ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตาก่อนที่ผมจะกรอกเสียงตามสายไป
“ พี่ที”
สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดทิ้งจนผมนึกแปลกใจแต่พอเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วผมเห็นพี่รหัสตัวเองยืนยิ้มโบกมือไหวๆตรงหัวมุมถนนที่มีเซเว่นตั้งอยู่
“ พี่ที”
อีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้วที่พอเห็นหน้าพี่แก ผมก็อดกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ไม่ไหว สุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายโดยมีฝ่ายมือหนาของพี่แกที่ลูบไล้แผ่นหลังผมอย่างอ่อนโยน
“ ไม่เป็นไร”
“ ฮือ พี่ ผม ฮือ เกลียดมัน..” “.....”
“ ทำไมพี่ ทำไม”
“ กูรู้”
พี่แกค่อยๆดันผมออกจากอ้อมแขนแล้วใบหน้าคมคายก็โน้มลงมาในระดับเดียวกัน
“ มึงไม่ได้เกลียดมันหรอก” พี่แกยิ้มนิดๆเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“..ไม่มีใครพูดคำว่าเกลียดด้วยใบหน้าที่ทรมานแบบนี้หรอก ถ้าเกลียดกันจริงๆ” “ กูอยากให้มึงหายเจ็บนะ”
“ ผม..”
“ กูอยากเป็นคนที่รักษามึง..” พี่ทีมองหน้าผมตรงๆ
“...หัวใจของมึงเป็นสิ่งที่มีค่า ในเมื่อคนที่มึงอยากจะให้ดูแลเขาไม่ต้อง ทำไมมึงถึงไม่เก็บรักษาหัวใจตัวเองเพื่อรอให้วันหนึ่งคนที่เขารักมึงจริงเป็นคนที่จะเข้าดูแลวะ” “ กูรู้ว่าการตัดใจมันเป็นเรื่องยาก แต่มึงทำได้ เพราะกูก็เคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว”
“ ผมคือผม..” ผมยืนอึ้งไม่นึกว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของพี่ที แววตาจริงจังของคนตรงหน้าถูกส่งมา ร่องรอยของความเด็ดเดี่ยว
“ กูรู้ว่ารสชาตินมมันอาจจะจืดไม่มีรส ไม่มีสีสัน แต่มันก็ยังมีสีที่ขาวบริสุทธิ์ไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้สักวันนึงมันจะบูดมีรสชาติที่เปลี่ยนไปแต่กว่าจะถึงวันนั้นคงเป็นวันที่เจ้าของเขาไม่ใส่ใจที่จะเอาเข้าตู้เย็นแล้ว” พูดแล้วที่แกก็ยื่นขวดนมจืดมียี่ห้อให้ผม พร้อมกับใบหน้าเชิญชวนให้ผมลิ้มรส บอกตรงๆผมไม่เข้าใจหรอกในสิ่งที่พี่แกพูดแต่จากแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของมันเลยทำให้ผมอดที่จะเอื้อมมือไปคว้ามาแล้วยกดื่มไม่ได้ ตอนที่ลิ้มรสมันกลับมีรสชาติของยาคูลย์ติดอยู่ตรงขอบปาก ยาคูลย์ที่เจ้าของริมฝีปากนั้นเพิ่งดื่มกินก่อนที่ปากนั้นจะสัมผัสผม ถึงอย่างนั้นมันก็ติดตรึงอยู่ทั้งๆที่รสชาติของนมจืดกำลังจะหลอมละลายมันให้หายไป
“ คบกับกูมั้ย” ผมยืนอึ้งเมื่อคำๆนั้นหลุดออกมาจากปากของพี่ที ผมรู้ว่าพี่แกไม่ได้แกล้งหยอกหรือพูดเล่นเพราะดูจากสายตาแล้วผมรู้ว่าพี่รหัสผมพูดคือเรื่องจริง เรื่องจริงที่ชวนอึ้ง
...ผมยอมรับว่าอึ้ง คาดไม่ถึง มันคงเป็นความรู้สึกเดียวกับมันตอนนี้ ใช่แล้ว ไอ้จ๊อบมันยืนอยู่ข้างหลังพี่ที ถึงจะไม่ใกล้กันนัก แต่ผมว่ามันคงจะได้ยิน
...เพราะแววตาของมันประสานกับผม แววตาคู่นั้นมันกำลังบอก บอกว่า มัน “กำลังเจ็บปวด”**** แหะๆๆๆ ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ละเนอะ อิอิ หนัก หน่วง
สมการรอคอยมั้ยจ๊ะ อิอิ

มีสามคำมอบให้อิจ๊อบจากคนเขียน
"มึง-มัน-เหี้ย" มีสามคำมอบให้พี่ทีจากคนเขียน
" มึง-มัน-แน่" และนักเขียนมีสามคำที่จะบอกนักอ่านจ๊ะ
" รัก-นะ-จ๊ะ" สุดท้ายสามคำที่แทนคำขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด
" จุ๊บ-จ๊วบ-จ๊าบ" เจอกันตอนหน้าจ๊ะ
