ยกที่ 11 : โอกาสของเรา https://www.youtube.com/watch/v/Lyshb49FHZc ผมยิ้มมุมปากทักทายให้กับร่างตรงหน้า เราเจอกันบ่อยๆในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา สาเหตุที่ทำให้เราได้มีโอกาสพบกันเพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีสถานที่ประจำในการมานั่งจับเจ่าในทุกๆเย็น ผมรู้ดีว่าถึงมานั่งจมจ่ออยู่ในโรงอาหารหอในแห่งนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น แต่ผมแค่รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มันอยู่ใกล้ๆกับคนที่ผมกำลังเฝ้ารอคอยการกลับมา
“ กินขนมด้วยกันมั้ยจ๊อบ”
ร่างบางยื่นกล่องขนมไทยโบราณอย่างกลีบลำดวนให้ ผมจึงยิ้มรับก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย ร่างนั้นจึงเคี้ยวตุ้ยๆทำหน้าชวนกิน
“ ขอบคุณนะว่าน”
ว่านอดยิ้มก่อนจะสนใจของกินตรงหน้า ผมจึงอดยิ้มตาไม่ได้ ผมมีโอกาสได้คุยกับว่านอย่างสนิทใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะว่านเป็นเด็กหอในเช่นเดียวกับคนที่ผมรอคอย ถึงจะไม่ได้อยู่ตึกเดียวกันแต่ทุกๆเย็นร่างบางซึ่งมักจะมีร่างสูงของ แท็คตามไปเงาก็จะแวะมานั่งคุยด้วย อาจจะเพราะเห็นใจ สงสารหรืออยากคุยเป็นเพื่อน จะด้วยอะไรก็แล้วแต่การที่ว่านมาคุยเป็นเพื่อนก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ปฏิกิริยาจากแท็คจะดูแตกต่างไปเพราะทุกครั้งที่เจอกันเจ้านั่นมักจะมองแปลกๆและทำหน้าไม่พอใจเขาราวกับโกรธกันมาเสียนาน
“ วันนี้แท็คไม่มาเป็นเพื่อนเหรอ”
“ เอ่อ” แก้มขาวๆนั่งแดงก่ำ มือที่กำลังจะหยิบขนมเข้าปากชะงักค้างพร้อมกับหลบตาด้วยกิริยาขวยเขิน “..คือ แท็คมีธุระหน่ะ”
“ อื้ม”
ผมหัวเราะถูกใจเด็กน้อยซึ่งกำลังปกปิดอาการของตัวเอง
“ ว่าแต่จ๊อบมานั่งเล่นที่โรงอาหารแบบนี้ทุกวันไม่เบื่อเหรอ”
“ ไม่หรอก...” ผมยิ้มเรื่อยๆ “...แค่อยากมานั่งรอเฉยๆ”
“ แต่เต้ยยังไม่กลับมาเลยนะ” เหมือนเจ้าตัวจะเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดบางอย่างที่กระทบใจผมออกไป ใบหน้าหวานเหยเกทำหน้ารู้สึกผิดทันที ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมคนตรงหน้าถึงรู้เรื่องราวระหว่างผมกับเต้ย แต่ที่ผมรู้คือเพื่อนๆกลุ่มนี้ของเต้ยมีแต่ความห่วงใยและความหวังดี
“ เอ่อ ขอโทษนะจ๊อบ”
“ ไม่เป็นไรหรอก..” ผมยิ้ม “...เรามารอเต้ยจริงๆอย่างที่ว่านั่นแหละ”
“ งั้นก็สู้ๆนะ”
“ อื้ม”
ว่านชูสองนิ้วให้ผม พวกเราจึงอดหัวเราะให้กันไม่ได้ แต่ร่างสูงเบื้องหลังผมทำเอาใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเพื่อนตัวน้อยหุบฉับทันที ว่านทำหน้าตื่นก้มลงงุดๆและผมก็ถึงบางอ้อตอนที่แท็คมายืนกอดอกพิงขอบโต๊ะอาหารมองพวกเรานิ่งๆ
“ ไหนว่านว่าจะรีบกลับมาอ่านหนังสือไง”
“ ก็ คือ..” ว่านทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนไอ้แท็คกำลังทำหน้ายุ่งมันสบตากับผมตรงๆ แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายเจิดจ้า
“ กูเป็นคนชวนว่านมานั่งคุยกันเองแหละ” ผมรีบเอ่ยขัดเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุแปลกๆ “ เค้าเห็นใจที่กูนั่งกินข้าวคนเดียว เลยมานั่งเป็นเพื่อน”
“ คงเหมือนตอนที่กูเห็นใจไอ้เต้ยตอนมันร้องไห้คนเดียว” ไอ้แท็คมันพูดนิ่งๆ ส่วนผมเพียงถอนหายใจและยอมรับในสิ่งที่มันเอ่ยถึง หึ มันเป็นเรื่องจริง ผมทำให้เต้ยต้องร้องไห้จริงๆ และเป็นการเสียน้ำตาซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวด้วย
...สมควรแล้วที่เพื่อนมันจะไม่ชอบผม... “ พูดอะไรหน่ะแท็ค” ว่านรีบลุกขึ้นฉุดมือแท็คพร้อมกับเม้มปากทำหน้างอ
“ พูดเรื่องจริงไง”
“ จะจริงยังไง...แต่มันเป็นเรื่องของเขาสองคน” ว่านพูดอธิบายอย่างใจเย็น “...มันไม่เกี่ยวกับเรา”
“ เต้ยเป็นเพื่อนแท็คนะ” อาจจะเพราะอารมณ์ที่กำลงขึ้นทำให้แท็คเผลอตวาดใส่ร่างบางเสียงดัง ว่านยืนนิ่งเม้มปากแน่นน้ำใสๆกำลังคลอหน่วยตาที่แดงก่ำ ริมฝีปากบางสั่นระริก
“ แล้วว่านไม่ใช่เพื่อนของเต้ยรึไง หรือแท็คคิดว่าแท็คเป็นคนเดียวที่เข้าอกเข้าใจเต้ย” “ ไม่ใช่นะ แท็คแค่ห่วงเต้ย”
“ งั้นเหรอ..เข้าใจแล้ว”
พูดจบว่านก็เดินปาดน้ำตาออกไปทันที ส่วนไอ้แท็คก็ยืนหัวเสียพ่นลมหายใจแรงๆตอนที่มองสบตากับผมแล้วเดินตามร่างบางไปติดๆ
“ เฮ้ย”
ผมถอนใจ และผมรู้สึกเห็นใจร่างบางที่ผละจากไปก่อนหน้านี้ไม่น้อย ผมรู้ดีว่าผมกับว่านเราไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษหรือคิดเกินเลยกัน ว่านแค่เห็นผมทุกเย็นที่โรงอาหารหอใน เพราะผมนั่งโต๊ะเดิม โต๊ะที่มองออกไปเห็นตึกหอพักของนิสิตชาย และเขาคงอดจะเห็นใจไม่ได้เลยแวะเวียนมานั่งคุยเล่นกับผม ซึ่งบางครั้งมันทำให้แท็คคงไม่พอใจ ผมไม่รู้ว่าแท็คกับว่านมีความรู้สึกแบบไหนต่อกัน แต่แววตาที่คนทั้งคู่มองกันมันเหมือนว่าคนทั้งคู่แอบมองซึ่งกันและกัน คล้ายกับมีอะไรบางอย่างที่อยู่ในสายตาของคนทั้งคู่ แต่สถานะนั้นก็ยังไม่เห็นจะเปลี่ยนไปในเมื่อคนทั้งคู่ยังเป็นแค่เพื่อนกัน มันทำให้ผมมองภาพตนเองผ่านเรื่องราวของคนทั้งคู่
...ทั้งๆที่รู้สึก แต่กลับทำเหมือนไม่รู้สึก...
...ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่อยากให้คนอื่นต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นเดียวกับผม...
...เพราะผมกลัวว่าวันที่เรารู้สึกแล้ว วันนั้นจะเป็นวันที่สายเกินไป... ......
......
เวลาเกือบสามทุ่มในทุกๆวันเป็นวันที่ผมตัดสินใจกลับหอ หลังจากมานั่งจมจ่อตั้งแต่เย็นเพื่อแค่นั่งเฉยๆ ผมรู้ดีว่าผมทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ ผมต้องหักห้ามใจไม่โทรหามัน ผมอยากให้เวลามัน ไม่อยากรบกวนมัน ระยะเวลาที่ห่างกันอาจทำให้เราเข้าใจอะไรกันมากขึ้น
หึ ผมก็ได้แต่คาดหวังให้เป็นแบบนั้น
ทั้งๆที่รู้ดีว่ามันคงยังไม่กลับมา เพราะผมสอบถามข่าวคราวจากแม่มันตลอด “แม่สา” หรือ “ คุณนายสารภี” คือคนที่ผมโทรไปปรึกษาและสอบถามข่าวคราวมันตลอด ผมรู้ว่าท่านน่าจะรู้เรื่องความบาดหมางของพวกเรา แต่ท่านก็ไม่พูดบอกแค่เพียงว่ามีอะไรพวกเราควรหันหน้าคุยกันเพื่อเคลียร์ปัญหา
...น่าสมเพชมั้ยหล่ะ ในวันที่ผมอยากคุยคือวันที่มันไม่อยากคุยกับผมแล้ว... “ ขอบคุณครับพี่ทีที่มาส่ง”
ผมหยุดชะงักปลายเท้าตรงต้นไม้ใหญ่ในเงามือซึ่งมีไม้พุ่มเล็กๆบังลำต้นส่วนล่างอีกที น้ำเสียงที่คุ้นหูนั่นดังขึ้นพอดีกับที่เจ้าของร่างปรากฏกายขึ้น พร้อมกับพี่รหัสของมัน ผมกำลังยืนมองพี่รหัสมันซึ่งลูบหัวมันอย่างแผ่วเบาและพูดอะไรไม่รู้ ไม่สามารถจับความได้ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือรอยยิ้มของมัน มันยิ้มอย่างมีความสุข
...ในขณะที่ผมทำให้มันเสียน้ำตาตลอด
...แต่ใครอีกคนกลับทำให้มันมีรอยยิ้มได้อีกครั้ง
ผมควรยินดีกับมันใช่มั้ย
“ มึง”
ผมไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินเข้าไปหามันเรื่อยๆ หลังจากที่พี่รหัสคนนั้นเดินลับไป มันตกใจมากที่เห็นผมยืนมองมันอยู่ใกล้ๆ มันยิ้มให้ผมก่อนจะเดินเข้ามาผมเช่นกัน
ระหว่างเรามีเพียงม้าหินอ่อนกั้นกลาง
“ มึงสบายดีมั้ย” คงเป็นคำทักที่ฟังแล้วเหมือนไถ่ถามทั่วไป แต่มันกลับมีความหมายลึกซึ้ง
“ ก็ดี...แล้วมึงหล่ะ” มันถามกลับและมองสำรวจผมเงียบๆเมื่อผมไม่ตอบเพียงแค่พยักหน้ารับเฉยๆ “ กูเสียใจด้วยนะเรื่องมึงกับลูกตาล”
“ อืม”
“ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“ กู...”
“ เข้มแข็งไว้นะ” มันให้กำลังใจทั้งๆที่ใบหน้ามันฝืนยิ้มเต็มที มันเบือนหน้าหนีไปอีกทางมองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ซีดขาว ผมมองเลยไปตรงนิ้วมือมันที่มีพลาสเตอร์ปิดแผลปิดทับไว้สองอัน ลักษณะเหมือนเพิ่งพันแผลได้ไม่นาน
“ เจ็บมากมั้ย” มันทำหน้างงๆ ผมจึงพยักเพยิดไปตรงนิ้วมือ
“ เดี๋ยวมันก็หาย”
ใช่สิ เดี๋ยวมันก็หาย
ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร ไม่ใช่แค่แผลที่นิ้วหรอก แผลที่ใจสักวันหนึ่งมันก็ต้องหายดี
“ มึงมานานแล้วเหรอ”
“ อืม กูมารอ” มันหันขวับมองผมอย่างแปลกใจ
“ รอ รอทำไม”
“ รอให้มึงปลอบ” ผมพูดออกไปอย่างที่คิด ซึ่งมันก็แค่พยักหน้าก่อนจะเบือนหนีไปทางอื่น พวกคุณคงไม่รู้สินะทุกครั้งที่ผมอกหักหรือถูกสาวบอกเลิกมันจะเป็นคนเดียวที่นั่งเป็นเพื่อนผมจนถึงเช้า แม้เราจะไม่ได้คุยกันแต่ผมก็รับรู้ว่า การที่มันนั่งอยู่ข้างๆคือมันกำลังให้กำลังใจผมอยู่
“ มึงโตแล้วจ๊อบ..” เสียงมันเบามากจนแทบไม่ได้ยิน
“...เวลามึงมีความสุขมึงยังเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวได้ ทำไมเวลาที่มึงทุกข์ใจ มึงถึงไม่เรียนรู้ที่จะทุกข์คนเดียวให้เป็น” “.....”
ประโยคยืดยาวจากปากมันทำเอาผมนึกสะอึก แววตามันวาววับราวกับกำลังมีน้ำมาล่อเลี้ยง
“ ถึงจะโตขนาดไหน กูก็ยังอยากให้มึงปลอบอยู่ดี”
“ ไม่มีใครอยู่กับใครได้ไปตลอดชีวิตหรอก”
“.....”
“ กูมีเรื่องจะบอกมึง”
ผมสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมกำลังใจ ผมค่อยเดินเข้าไปใกล้กับมัน ใกล้ขนาดที่เราได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย ใกล้จนผมสัมผัสได้ว่าตัวมันกำลังสั่น
“ กูมันคนเห็นแก่ตัว ทั้งที่รู้สึกกลับทำเป็นไม่รู้สึก” “....”
“ ไอ้เต็ปมันเคยพูดว่า อย่าทำแบบนี้กับคนที่ไม่รู้สึกเพราะมันไม่ยุติธรรม จะสายไปมั้ยถ้ากูจะบอกว่ากูรู้สึกแล้ว” “ มึงจะพูดอะไร” มันถามผมเสียงสั่น
“ กูชอบมึงแล้วหว่ะเต้ย” จบประโยคมันก้าวถอยหลังก่อนจะเบือนหน้าหลบไปอีกทาง มือที่กุมกระเป้ของมันกำแน่น น้ำตามันค่อยไหลเอื่อยๆริมฝีปากมันเม้มแน่นกลั้นเสียงสะอื้น
“ ไม่ใช่หรอก มึงไม่ได้ชอบกูหรอก มึงแค่รู้สึกว่าจะเสียกูไป มึงเลยเกิดหวงของขึ้นมา มันไม่ใช่ความรักหรอกจ๊อบ มันแค่ความใกล้ชิดที่ทำให้มันเผลอใจไปเท่านั้นเอง” “ มึงเป็นกูเหรอเต้ย”
“ อย่าฝืนในสิ่งที่ไม่ใช่มึงเลยนะ”
“ ให้โอกาสกูไม่ได้เหรอ” ผมกุมมือมันไว้เบาๆ คราวนี้มันสะอื้นเสียงสั่นก่อนจะค่อยๆแกะมือผมออก
“ ขอโทษนะ...กูให้โอกาสพี่ทีแล้ว” กูให้โอกาสพี่ทีแล้ว กูให้โอกาสพี่ทีแล้ว กูให้โอกาสพี่ทีแล้ว กูให้โอกาสพี่ทีแล้ว โอกาสซึ่งผมเคยมี แต่เพราะความละเลยที่ทำให้ผมเสียโอกาสนั้นไปแล้ว
มันเตรียมจะผละหนีเข้าตึกไป แต่ผมโอบรัดมันไว้จากข้างหลังแค่เพียงสัมผัสผมก็รับรู้ได้ถึงอาการสั่นเทาของมัน พร้อมกับท่าทางเตรียมผละหนีของมัน แต่ผมไม่ทางปล่อยหรอก ผมไม่มีทาง ผมจะใช้อ้อมแขนนี้กอดมันให้นานๆ
“ ปล่อยกูเถอะ”
“ เรามาให้โอกาสตัวเองกันมั้ย” เสียงผมก็สั่นไม่แพ้กัน แค่ได้รับรู้ว่ามันให้โอกาสคนอื่นแล้ว แค่นี้กำลังใจผมก็หดหายไปแล้วเช่นกัน
“....”
“ มึงมีสิทธิ์ที่เลือกรักใครก็ได้ที่มึงพอใจ และกูก็มีสิทธ์ที่จะทำยังไงก็ได้ให้คนที่กูรักได้รับรู้ว่ากูรักเข้าแล้วจริงๆ” “ กูไม่เข้าใจ”
“ ไม่ต้องเข้าใจหรอก ขอแค่มึงรู้สึกได้ก็พอ”
ไอ้เต้ยยังคงทำหน้าไม่เข้าใจ มันพยายามเงยหน้าขึ้นสูงเพื่อให้หยาดน้ำที่คลอหน่วยตาได้กรอกกลิ้งอยู่แค่ลูกนัยน์ตาทั้งสองข้าง
“ งั้นกูขึ้นหอก่อนนะ มันดึกแล้ว ส่วนมึง...”
“ กูก็จะอยู่ตรงนี้” ผมตอบมันทันทีมันชะงักเหลือบตามองอย่างไม่เข้าใจ และผมก็ยืนยันเจตนาของตนเองโดยการทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินอ่อน มันจึงเม้มปากแน่นทำหน้าเหนื่อยใจ
“ เพื่ออะไรจ๊อบ มึงทำแบบนี้เพื่ออะไร”
แววตามันเหนื่อยอ่อนแต่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ พรุ่งนี้กูจะเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำดีๆให้คนที่ตัวเองรัก...” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าใช้สายตาแบบไหนกับมัน เต้ยมันถึงหลุบสายตาไม่ยอมมองผมแม้แต่น้อย
“ อย่าทำแบบนี้เลย”
“ เต้ย”
“.....”
“ วันนี้ ขอแค่วันนี้ ขอกูใช้สิทธิ์ความเป็นเพื่อนให้มึงปลอบใจกู แค่วันนี้” ผมประคองใบหน้ามันไว้เพื่อป้องกันการหลบสายตา ผมจึงมีโอกาสได้เห็นแววตาของมันกำลังสั่นไหว
“ ได้มั้ย” มันไม่ตอบอะไร แต่กลับทิ้งกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะหินอ่อนแล้วทรุดตัวลงนั่ง ไม่มีคำสนทนาใดๆระหว่างกัน ผมกับมันเหม่อมองไปเบื้องหน้าซึ่งมีแต่ความมืดมิด ไร้เสียงพูดได้ยินแต่เสียงลมหายใจของเราสองคน
..เหมือนทุกๆครั้งที่ผมพ่ายแพ้ให้ความรัก และ มันก็จะนั่งนิ่งๆอยู่ข้างๆกันแบบนี้...
..เป็นความเหมือนที่ต่าง เหมือนคือผมพลาดท่ากับความรักครั้งที่สี่ แต่ต่างคือผมกำลังจะสู้เพื่อความรักครั้งที่ห้า... มันมองไปเบื้องหน้า
แต่ผมกำลังมองเสี้ยวหน้ามัน
ความคิดของมันกำลังล่องลอยไปไกล
ความคิดของผมกำลังมีมันอยู่ในนั้น
แววตาของมันสะท้อนเห็นแต่ความมืดมิดเบื้องหน้า
แววตาของผมกำลังสะท้อนภาพมัน
ผมไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าที่เคยมืดมิดตอนนี้กลายเป็นเงาสลัวรางๆใกล้สว่าง อาคารหอพักที่เป็นเงารางๆกลับปรากฏมาให้เห็นชัดมากขึ้นๆเรื่อย ก็พอดีกับที่ผมรู้สึกตัวแล้วเห็นมันกำลังเก็บกระเป๋าเป้ขึ้นฟาดบ่า
“ เช้าแล้ว” มันพูดเสียงเรียบ “...หมดหน้าที่ของกูแล้ว”
“ มึงจะรีบไปไหน”
“....”
“ กูมีนัดกับพี่ที” “ งั้นเหรอ”
เหอะ งั้นเหรอ จะให้พูดอะไรได้นอกจากคำๆนี้
“ ขอบคุณนะ”
“ ขอบคุณมึงเหมือนกัน”
ขอบคุณผม มันขอบคุณผมเรื่องอะไรกัน มันหันมายิ้มให้ ยิ้มที่ดูจริงใจ ยิ้มที่บริสุทธิ์ ยิ้มเหมือนเมื่อครั้งก่อนที่เราจะก้าวข้ามความรู้สึกของความเป็นเพื่อน
...ยิ้มแบบเพื่อน... ที่ผมไม่ต้องการ ก่อนที่มันไม่เดินหันหลังไป
“ กูจะไม่ยอมแพ้”
ผมรู้ตัวว่าตัวเองตะโกนเสียงดังลั่นทั่วลานซีมะโด่ง (ลานบริเวณหอพักภายในมหาวิทยาลัย) และเสียงนั่นก็ทำให้แผ่นหลังมันชะงักค้าง ไหล่ของมันตึงเครียด
“ ก่อนหน้านี้กูอาจจะโง่ โครตงี่เง่า และมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป แต่วันนี้กูรู้ว่าต้องทำยังไง ในเมื่อรู้แล้วกูก็จะพยายามให้ถึงที่สุด”
“.....”
“ นั่นมันเรื่องของมึง”
มันตอบกลับมาโดยที่ไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ ไหล่ของมันตั้งตรงดูทระนงและเข้มแข็ง ผมจึงได้แต่มอง มองแผ่นหลังของมันที่กำลังเดินหายลับไป
***** มาแล้วจริงๆว่าจะอัพให้ตั้งแต่เมื่อวานแต่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยจ๊ะ เลยไม่สามารถฝืนร่างกายตัวเองได้
มาเสริ์ฟความหน่วงเช่นเคยแบบส่งท้ายปีเก่า อิอิ มีหลายคนถามเกี่ยวกับฉากและสถานที่ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยน
ไปมากพอสมควร ฮ่าๆๆ อ่านะ แบบว่าเค้าจำลองบรรยากาศสมัยเรียน ( กรี๊ดด ใช้คำว่าสมัยเรียน จริงๆเมื่อไม่
นานนี้เอง คริคริ) บางอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่ให้มโนว่า บรรยากาศมันประมาณนี้ ฮ่าๆๆ เผด็จการสุด

ตอนหน้าไปเที่ยวกับพี่ทีและน้องเต้ยกัน ไปดูสิว่าจะหวาน ฟิน หรือ หน่วง เช่นเดิม โปรดติดตาม

สุดท้ายนี้สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านักอ่านทุกท่านค่ะ ขอให้ปีหน้าพบเจอแต่ความสุขสวัสดี เจอกันตอนใหม่ปีหน้าจ้า