ยกที่ 26 : ตื่นจากฝัน (ครึ่งแรก)
ผมกำลังเดินอย่างเดียวดายอยู่ในความมืด ผมเร่งฝีเท้าตามแสงสว่างที่เห็นอยู่รำไรแต่ยิ่งก้าวเข้าไปหา จุดเล็กๆนั่นก็ยิ่งห่างหายไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยและกำลังหมดแรง เท้าเปล่าเปลือยของผมเจ็บระบมไปหมดทั้งที่วิ่งอยู่บนสนามหญ้าแต่เพราะวิ่งมานาน นานเหลือเกินจนสุดท้ายผมทรุดลงนอนแผ่อยู่กับพื้น
“เต้ย “
“ หืม”
เสียงเรียกชื่อผมดังมาจากที่ไกลแสนไกล น้ำเสียงคุ้นเคยนั่นติดตรึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
ผมผุดลุกนั่งกวาดสายตามองไปรอบๆ ผมมองเห็นแผ่นหลังของมัน และแผ่นหลังนั้นก็กำลังจะเลือนรางห่างออกไป ผมรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายวิ่งตามมันไป
“ เดี๋ยว”
ผมคว้าไหล่มันเอาไว้สุดแรงก่อนที่เจ้าของร่างนั่นจะหมุนตัวกลับมา
...เฮือก... ผมแทบผงะเนื้อตัวสั่นเทาตอนที่ร่างคุ้นตานั้นหันกลับมา ใบหน้ามันซีดเผือด เนื้อตัวเปื้อนเลือดสีแดงฉาน แววตามันเศร้าหมอง มันขยับปากจะพูดอะไรบางอย่างก่อนที่จะมีแสงอะไรสักอย่างผลักร่างมันให้หายไป
“ ไม่”
ผมกรีดร้องเหมือนคนบ้าตอนที่พยายามจะคว้าร่างมันเอาไว้ แววตามันเจ็บปวดดิ้นทุรนทุรายและสุดท้ายร่างเปื้อนเลือดของมันก็หายวับไปกับตา
“ จ๊อบ ฮือ กลับมา”
“ กลับมา ฮือ”
“ จ๊อบ”
ผมร้องไห้เหมือนกับจะขาดใจก่อนที่สติจะดับวูบ
.
.
“ เต้ย เต้ยลูก”
“ จ๊อบ”
ผมผวาลืมตาขึ้นโดยมีอ้อมกอดที่คุ้นเคยกอดเอาไว้
“ เต้ย ไม่เป็นอะไรนะลูก”
“ เต้ย ตอบแม่สิ”
เจ้าของอ้อมกอดค่อยๆผละผมออก ผมจึงมีโอกาสได้สบตากับแววตาเอื้ออาทรที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ แม่”
แค่เห็นมารดาอยู่ตรงหน้าผมก็ระเบิดความอัดอั้นตันใจทั้งหมด “ ฮือแม่ แม่ ฮือ จ๊อบ ฮือ เต้ยฝันเห็นจ๊อบเลือดท่วมตัวเลย ฮือ แม่”
ผมพูดไม่รู้เรื่องจนมารดาต้องลูบหลังปากก็พร่ำปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ ไม่เป็นไรเต้ย ไม่เป็นไร มันเป็นแค่ฝัน”
ผมส่ายหน้าก่อนจะมองไปรอบๆเมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องๆหนึ่งในโรงพยาบาล
“ แม่ แล้วจ๊อบหล่ะ จ๊อบหล่ะแม่”
“ เต้ยลูก”
“ แม่ตอบเต้ยสิ จ๊อบอยู่ไหน จ๊อบไม่เป็นไรใช่มั้ย”
คุณนายสารภีถอนหายใจเบาๆมือนุ่มลูบไปตามเส้นผมของลูกอย่างเห็นใจ “ จ๊อบต้องผ่าตัดสมองตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ยังไม่ฟื้นนี่วัชกับนีเค้าไปคุยกับหมอเจ้าของไข้อยู่”
ผมหลับตานิ่งฟังถ้อยคำเหล่านั้นให้ผ่านหูไป จริงๆแล้วไม่อยากรับรู้อะไรด้วยซ้ำ
ผมกลัว
“ เต้ยอยากไปหาจ๊อบ”
ผมเว้าวอนมารดาทั้งน้ำตาจนฝ่ายนั้นพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้แล้วพยุงผมลุกขึ้น ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหนักหน่วง มันปวดแปลบไปทั่วทั้งหัวใจ
ผมกำลังยืนเกาะกระจกมองเข้าไปในห้องปลอดเชื้อซึ่งมีร่างๆหนึ่งนอนแน่นิ่งแต่รอบกายรายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิต กราฟหัวใจที่เต้นอ่อนๆบ่งบอกถึงชีวิตๆหนึ่งกำลังต่อสู้เพื่อให้ตัวเองมีลมหายใจ
ทุกลมหายใจเข้าออกของมันคือความเป็นความตาย
ผมน้ำตาร่วงวาดฝ่ามือไปที่กระจกแล้วลูบไล้เหมือนว่าได้สัมผัสกับใบหน้าคมคายที่สงบนิ่ง
“ จ๊อบจะปลอดภัยใช่มั้ยแม่”
มันเป็นคำถามที่บาดลึกเข้าไปในความรู้สึก ผมเหมือนคนจะหมดแรงทันที่ที่ถามออกไป
“ ปลอดภัยสิ”
“ แม่ ฮึก ฮือ”
คุณนายสารภีลูบไล้แผ่นหลังผมด้วยกระแสแห่งความอ่อนนุ่ม อ้อมกอดของผู้หญิงคนนี้ไม่มีครั้งไหนไม่อบอุ่นเลย มันเหมือนมีพลังบางอย่างรายล้อม เป็นกำลังใจเล็กๆที่ทำให้ผมมีแรงสู้
“ เต้ย”
“ แม่นี”
แพทย์หญิงนลินีแม่ของมันยิ้มเนือยๆให้ รอบดวงตายังแดงก่ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แม่นีกำลังอ้าแขนรอท่าผมอยู่ผมจึงผละจากคุณนายสารภีตรงหน้าอ้อมแขนนั้น ผู้หญิงแข็งแกร่งคนนี้กำลังร้องไห้แม้ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาแต่ความทุกข์ใจจากแววตาคู่นั้นก็ยังปรากฏให้เห็นชัด
“ แม่ภาวนาให้เค้าฟื้นขึ้นมา”
“........”
“ ผ่าตัดสมองต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน หมอพฤษกแพทย์เจ้าของไข้เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับแม่ เขาเป็นหมอที่เก่ง..” แม่นีเสียงขาดหายไปในลำคอ
“...แต่เขาก็ไม่รับปากว่าจ๊อบฟื้นขึ้นมามั้ย และกลับเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า และถ้าหากว่าไม่ฟื้น...” พูดถึงตรงนี้ผมเองก็รู้สึกจุกในลำคอ
“ อาจจะต้องมีการผ่าตัดอีกครั้ง”
“ แม่ แม่ไม่รู้ว่าจ๊อบจะทนไหวมั้ย”
“......”
“ ถ้าไม่ไหว แม่กับพ่อคิดว่า ฮึก เราอาจจะต้องปล่อยเขาไป ฮือ” ปล่อยเขาไปหมายความว่ายังไง
ปล่อยเขาไปหมายถึงเราต้องห่างกันใช่มั้ย
ปล่อยเขาไปคือการที่เราต้องพรากจากกันตลอดกาลใช่รึเปล่า
ปล่อยเขาไปงั้นเหรอ
ปล่อยงั้นเหรอ หัวสมองผมเต็มไปด้วยคำถาม ผมเจ็บไปหมดรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะตาย ภาพที่แม่นีร้องไห้อย่างหนักโดยมีแม่ผมโอบกอด ส่วนพ่อวัชซึ่งเพิ่งเดินมาจากห้องหมอได้แต่ลูบบ่าแม่นีด้วยใบหน้าเคร่งขรึมนัยน์ตาสีแดงก่ำ
ถ้าปล่อยมันไป...ผมคงขาดใจตาย ผมหลับตานิ่งก่อนจะพิงพนังปิดการรับรู้ใดๆ
“ เต้ย”
“ เต้ยลูก”
ผมได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่ดังขึ้นก่อนที่มันจะห่างออกไปเรื่อยๆ
......
......
ผมถอนหายใจมองภาพตรงหน้าด้วยความสงสารจับใจ น่าเวทนาเหลือเกินผมเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้คนที่นอนหลับตานิ่ง แม้ในยามหลับใหลน้ำตายังไหลเอื่อยๆบ่งบอกถึงความทุกข์ระทมของอีกฝ่ายขนาดไหน วันนี้น้องของผมกลายเป็นเด็กน้อยนอนขดตัวนิ่งจนอดไม่ได้ที่จะลูบไล้เส้นผมบาง
ผมกำลังเจ็บกับภาพที่เห็น
น้องผมคนหนึ่งกำลังอยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย ส่วนอีกคนก็อยู่ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย
ความรักกำลังก่อพิษร้ายแรง
โดยเฉพาะรักอาจต้องพลัดพราก
“ อืม”
เปลือกตาคู่งามที่ถูกบังคับด้วยยานอนหลับกำลังขยับยุกยิกราวกับจะรู้สึกตัว ผมจึงขยับตัวเข้าไปจนชิดเตียงแล้วกุมมือบางคู่นั้นไว้
ในตอนที่เปลือกตาเปิดขึ้นผมอมยิ้มรับใบหน้างุนงง เต้ยมันทำหน้ามึนงงสักพักก่อนจะขมวดคิ้ว
“ พี่เบียร์”
“ ว่าไงเรา..” ผมลูบหัวน้องเบาๆ “...อย่าเพิ่งลุกเรานอนไปตั้งนาน รีบลุกขึ้นจะเวียนหัว”
“.....”
น้องพยักหน้าก่อนจะหลับตานิ่งตอนที่ผมปรับหัวเตียงให้สูงขึ้น เต้ยเหม่อมองไปไกลนี่ตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้อีกแล้ว
“ ตาบวมหมดแล้ว”
เต้ยจับมือผมแน่นก่อนจะปล่อยก้อนสะอื้นอีกครั้ง
“ หิวข้าวมั้ย” ผมถามแต่น้องส่ายหน้าปฎิเสธ
“ เต้ยต้องดูแลตัวเองรู้มั้ย ถ้าเราล้มป่วยขึ้นมาแม่เราจะเป็นห่วงมากนะ”
“ ผม..”
“ จ๊อบมันคงเสียใจที่ทำให้คนที่มันรักต้องทรมานแบบนี้”
“ ผมอยากจะเข้มแข็ง แต่...” คำพูดค้างอยู่ในลำคอแต่น้ำตากลับไหลริน
“ พี่เข้าใจ”
ผมถอนหายใจแล้วตรงเข้าโอบกอดน้องไว้ “ แต่เต้ยต้องทำให้ได้ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ทุกคนเสียใจ ทั้งพ่อแม่มันและแม่เราก็ไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อวาน ทุกคนต้องการกำลังใจ”
“ และพี่ก็เชื่อว่าจ๊อบมันรักเต้ยและรักครอบครัวมาก มันไม่มีทางที่จะทิ้งพวกเราไปเด็ดขาด”
ผมบีบมือน้องแน่น
“ จ๊อบมันอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง พวกผู้ใหญ่เขากำลังคุยกับหมอเจ้าของไข้อยู่”
“ เต้ยรู้มั้ยตอนที่เราสลบไป จ๊อบมันหัวใจหยุดเต้นไปพักนึง..” ผมรับรู้ได้ถึงอาการสั่นของน้อง เสียงสะอื้นที่ดังแผ่วๆบ่งบอกถึงหัวใจที่เจ็บช้ำ “...แต่คุณหมอปั้มขึ้นมาทัน พวกหมอและพยาบาลต่างประหลาดใจที่มันใจสู้ขนาดนี้ พี่รู้ว่ามันยังไม่อยากไปไหน มันอยากกลับมาหาเต้ย”
“ ในเมื่อมันสู้ขนาดนี้ ทำไมเราถึงไม่สู้ไปด้วยกัน” “ สู้ไปด้วยกันสิเต้ย” น้องพยักหน้ารับรัวๆใบหน้านองไปด้วยน้ำตา ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ “ ผมอยากไปหามัน”
“......” น้องเขย่ามือผมอ้อนวอน
“ ผมอยากเห็นหน้ามัน พี่เบียร์ ฮึก พาผมไปหามันที”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆพยุงน้องลุกขึ้น ตั้งแต่มันผ่าตัดเมื่อคืนหมอเจ้าของไข้ก็ย้ายไปอยู่ห้องพิเศษซึ่งอนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้แต่ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องความสะอาดเพราะต้องเปลี่ยนชุดและทำความสะอาดมือและเท้า
ตอนนี้พวกเราอยู่หน้าห้องฟักฟื้นของมัน บริเวณหน้าห้องเต็มไปด้วยบรรดาเพื่อนๆของน้องซึ่งประกอบไปด้วย แท็ค ว่าน เต็ปและแฮม ทุกคนมีสีหน้าไม่ดีนักแต่ก็พยายามฝืนยิ้มให้กันตอนที่เต้ยมาถึง ผมปล่อยให้เพื่อนน้องมาช่วยพยุงเต้ยต่อ ทุกคนโอบกอดและให้กำลังเต้ย มันเป็นภาพน่าประทับในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้
เต้ยพยักหน้าน้อยๆก่อนจะผละออกมาแล้วเดินไปเปลี่ยนชุดก่อนจะผลักเข้าไปในห้องพิเศษ
ผมยืนเกาะกระจกไม่ต่างจากบรรดาเพื่อนๆของน้อง ภาพที่เห็นคือไอ้น้องชายที่แข็งแรงของผมมันนอนหลับตานิ่ง บริเวณศีรษะมผ้าก๊อชพันรอบและมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ลมหายใจมันสม่ำเสมอเพราะใช้เครื่องช่วยหายใจที่ครอบรอบจมูก มันดูทรมานด้วยสายระโยงระยาง ถึงใบหน้าซีดเผือดจะไร้สีสันแต่ก็บังบ่งบอกสัญญาณชีพ
น้องผมกำลังเจ็บปวด
มันกำลังต่อสู้เพื่อกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ผมกระซิบเสียงแผ่วหวังว่ามันจะลอยไปกับสายลมให้มันได้ยิน
“ อย่ายอมแพ้นะน้องพี่”
ผมเห็นเต้ยมันกุมมือคนรักแล้วน้ำตาไหล
...กลับมาเถอะ คนที่รักรออยู่... สุดท้ายผมไม่อาจทนมองภาพนั้นต่อไปได้จึงผละออกมาข้างนอก ผมเดินมาเรื่อยๆจนมาหยุดทรุดตัวลงนั่งที่เบาะโซนนอกติดกับบานประตูกระจก ผมคลึงขมับรู้สึกถึงกระบอกตาร้อนผ่าว
‘ จากเป็นทั้งที่ยังรักว่าเจ็บแล้ว ถ้าจากกันตลอดกาลทั้งที่ยังรักจะเจ็บขนาดไหน’ ....Rrrrrrr....
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นในความเงียบ รายชื่อที่ปรากฏเป็นชื่อที่คุ้นเคยแต่เราห่างหายกันไปนานมากแล้ว ผมไม่รอช้าที่จะกดรับ ผมรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหน ทั้งๆที่พยายามทำตัวให้เข้มแข็ง แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันกะทันหันและเกิดกับคนใกล้ตัวที่ผมรักเหมือนน้องชายแท้ ผมทำใจยากลำบากจริงๆ
“ ไหวมั้ย”
ปลายสายเอ่ยถามเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงความห่วงใย หลังจากที่ผมกดรับแต่ไม่พูดอะไรเพราะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นอยู่
มันรู้ได้ยังว่า...ผมกำลังต้องการใครสักคน
“ อยากร้องไห้มั้ย”
ผมผุดลุกขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆทั้งที่หูแนบโทรศัพท์อยู่ ตอนที่เอี้ยวตัวกลับไปผมเห็นมัน ผมเห็นทียืนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่อีกฝั่งของประตู
ผมยืนนิ่งก่อนจะปล่อยน้ำตาให้รินไหล
“ กู” ผมพูดไม่เป็นคำ
“ กูอยู่นี่”
ระหว่างเรามีแค่ประตูกระจกกั้น
ถ้าเพียงแต่เราผลักบานประตูออกไป ระยะห่างระหว่างเราจะสิ้นสุด
แต่เราเพียงแค่ขยับมาจนชิดกระจกของฝั่งตัวเอง เรามองหน้ากันผ่านกระจกใส
“ กูไม่นึกว่าเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวกู”
“.....”
“ กูไม่นึกว่ามันจะเกิดกับน้องกู ทำไมวะ”
“ มันทำให้กูได้เรียนรู้ว่าความตายมันอยู่ใกล้เราแค่นี้”
มันยิ้มน้อยๆก่อนจะยกมือขึ้นวางทาบกับกระจกซึ่งตรงกับใบหน้าของผมพอดี “ กูก็กลัว” มันพูด
“ กูไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับกูเมื่อไหร่..” มันพูดต่อ “...กูไม่ได้กลัวตาย แต่กูกลัวว่าก่อนตายจะไม่ได้ทำสิ่งดีๆให้คนที่ตัวเองรัก และกูอยากให้เขารู้ว่ากูรักเขามาก”
ผมน้ำตาร่วง
ผมเอื้อมมือไปทาบกระจกตรงกับมือของมัน
“ เบียร์”
“ อืม”
“ กูรู้ว่าเรื่องของเรามันยากที่จะลงเอยด้วยดี แต่ก็อยากให้มึงรู้ไม่ว่ามึงจะไปไกลแค่ไหน มึงต้องพบเจอกับเรื่องราวมากมายในอนาคตเพียงใด กูยังอยู่ตรงนี้” “ แม้ไม่ใช่ในฐานะคนรัก แต่ก็ยังหวังดีกับมึง วันไหนที่มึงเหนื่อย วันไหนมึงไม่มีใคร”
“ กูยังอยู่ตรงนี้ อยู่ที่เดิม” ผมพยักหน้ารับ
เราสองคนร้องไห้
“ ที ฮึก ที” ผมสะอื้น “ ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ”
“ มึงไม่กลัวหรอกว่าวันข้างหน้ากูจะเจอใครมากมาย ขอให้รู้ไว้ว่าหัวใจกูก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
“ อย่ารอกู” มันพูดพร้อมกับยิ้มให้ “...อย่าผูกติดกับเรื่องในอดีต ถ้าใครคนนั้นเขาดีจริงมันอย่าตัดโอกาสตัวเอง”
“........”
“ ขอให้มึงโชคดีกับเส้นทางที่มึงเลือก”
มันยิ้มก่อนจะล้วงเข้าไปเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แหวนวงหนึ่งซึ่งเคยอยู่ติดกับนิ้วมือผมมานาน แต่เหตุการณ์วันนั้นที่บ้านสวนผมจึงถอดคืนมัน ไม่คิดว่ามันจะยังเก็บไว้
ผมจำได้ดีว่ามันเป็นเครื่องประดับชิ้นเดียวที่มันมอบตอนที่เราเป็นแฟนกัน
มันชูแหวนวงนั้นขึ้นก่อนจะกรอกเสียงมาตามสายโทรศัพท์
“...กูมีของบางอย่างอยากจะฝากให้มึงเก็บรักษา กูขอฝากมึงไว้ก่อน ถ้าวันใดวันนึงโชคชะตาหมุนวนให้เรามาเจอกันอีกครั้ง และถ้าหากวันนั้นมึงยังไม่มีใคร กูจะกลับมาถามมึงอีกครั้งว่ามึงอยากจะใส่มันอยู่รึเปล่า” ผมขยับปลายเท้าไปจนชิดกับประตูกระจก แล้วหลับตารับริมฝีปากหนาที่กดจูบกระจกตรงกับหน้าผากผมพอดี ผมแนบใบหน้ากับกระจกแม้ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากตัวมัน มีแค่กระจกใสที่เย็นและแข็ง เรามองหน้ากันผ่านกระจกใส แค่นี้ผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแววตาของมัน
ความอบอุ่นนี้ผมขอเก็บรักษาเพื่อใช้เป็นแรงใจที่จะใช้ชีวิตต่อไป
........
........
“ คุณพ่อ คุณแม่เห็นรึยังไงครับ”
“......”
“ ลูกชายที่คุณพ่อคุณแม่รักนักรักหนา กำลังเจ็บปวด ผมรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่รักพี่ทีมาก แต่รักมากมักทำลาย”
“ คุณพ่อคุณแม่กำลังจะได้ลูกชายที่แสนดี ได้อย่างใจทุกอย่าง แต่เหมือนหุ่นยนต์ที่รอรับคำสั่งในแต่ละวัน พี่ทีทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ แต่ไม่ได้ใช้หัวใจทำ”
“ อยู่โดยไม่มีหัวใจมันไม่ต่างจากตายทั้งเป็น” “ หยุดพร่ำเพ้อสักทีเจ้าทรอย” คุณพ่อตวาดลูกชายคนเล็กต่างจากคุณแม่ที่น้ำตาคลอเบ้าเพราะเห็นลูกชายคนโตทุกข์ทรมานใจแบบนี้
“..แต่คุณพ่อ”
“ เรื่องนี้ทีได้ตกลงกับพ่อแล้ว”
“ ยังไงทีก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อ ถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยกัน”
“ ผมจะรอวันนั้น ถ้าวันนั้นมาถึงข้อตกลงต้องยุติ ผมจะช่วยพี่ทีทุกวิถีทาง”
“ หึ”
คุณพ่อทำหน้าไม่พอใจก่อนจะเดินหนี ส่วนคุณแม่ปิดหน้าร้องไห้เงียบๆ
***** เศร้าเนอะ

บอกตรงๆค่ะว่าเขียนตอนที่จ๊อบอยู่รพ.ไม่ค่อยดีเลย
มันเหมือนมีภาพสะท้อน นึกย้อนไปถึงตอนที่คุณหมอปั้มหัวใจคุณพ่อของกานแล้ว บอกตรงๆว่าเข้าใจ
ความรู้สึกเต้ยอย่างแท้จริงว่า "คนข้างหลังมันเจ็บแค่ไหน" มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมากที่ได้แต่มอง
คนที่รักต่อสู้กับความยากลำบาก
เป็นกำลังใจให้พี่ทีพี่เบียร์ด้วยค่ะ และพาร์ทหลังเอาใจช่วยจ๊อบกับเต้ย บอกตรงๆว่าตอนเขียนมันสองจิตสองใจ
แต่ลืมบอกว่ากานเป็นคนซาดิสม์ ชอบความเจ็บปวด ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เดาใจกันต่อไป
แล้วเจอกันครึ่งหลังจ๊ะ