ฤๅรักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้น วันที่ใจเต็มดวง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ฤๅรักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้น วันที่ใจเต็มดวง  (อ่าน 27881 ครั้ง)

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับ ผมเป็นน้องใหม่ในเล้านี้นะครับ อ่านเรื่องของคนโน้นที คนนี้ที ก็อยากเขียนเรื่องของตัวเองบ้าง ตอนนี้ผมก็ใกล้สอบแล้ว แต่ก็อยากแต่งอยู่ดี ไม่รู้จะวางพล็อตยังไงก็เลยเอาเรื่องตัวเองนี่แหละครับ เรื่องนี้ ผมรับรองว่าไม่ได้หวาน ไม่ได้ซึ้ง แต่ผมอยากทำมันเป็นบันทึกถึงใครคนหนึ่ง ซึ่งเขาคงไม่ได้เข้ามาที่นี่หรอกครับ แต่ว่าผมก็อยากเก็บมันไว้ในความทรงจำ คอมเม้นท์ได้ตามสะดวกเลยนะครับ

ผมเองเป็นคนธรรมดา หน้าตาก็ธรรมดา เรียนก็ธรรมดา อะไรก็ธรรมดาไปหมด แบบนี้ล่ะมั้ง ที่ทำให้ผมไม่มีวันสมหวังได้



บทที่ 1 Introduction

เรื่องมันเกิดระหว่างทางกลับบ้านจากมหาวิทยาลัย ผมกำลังกลับบ้านหลังจากที่ไปทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยมา เป็นช่วงสั้นๆ ที่เหนื่อย แต่ก็สนุกดี อันที่จริงแล้ว มันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นหรอกครับ แต่บังเอิญที่บ้านไม่ค่อยเข้าใจ มันก็เลยต้องเหนื่อยเพิ่มเข้าไปอีก เขาก็สงสัยนะว่าทำไมไม่เปิดเทอม แต่กิจกรรมเยอะจัง ตอนแรกผมก็ไปเป็นลีด(อย่าคิดว่าผมหน้าตาดีครับ ผมกล้าพูดว่าไม่น่าเกลียด แต่ก็ไม่ได้หล่อขนาดนั้นหรอกครับ) ก็เลยซ้อมเยอะ ได้เพื่อนด้วย และพี่ๆ ก็ใจดีทุกคน พอมีกิจกรรมอีก ผมก็เลยอยากทำกิจกรรมกับเพื่อนอีก นี่ก็เย็นแล้วก็เลยกลับบ้าน ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆ โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมา

“เอก มาตีเทนนิสกันป่าว” เสียงพี่รันกรอกมาตามสาย
“ไม่เอาดีกว่าครับพี่ ผมตีไม่เป็นอ่ะครับ”
“เอาน่ะ ไม่ลองหน่อยเหรอ แถวบ้านนายด้วย” พี่รันถามความแน่ใจ
“เหรอครับ งั้นผมแวะเข้าไปแล้วกัน แต่ไม่ตีนะครับ” แล้วผมก็วางสายไป ไม่รู้ทำไมมาชวนผมไปตีเทนนิส บอกแล้วว่าตีไม่เป็นยังจะชวนไปอีก สงสัยจะคุยเรื่องอะไรแน่เลย เฮ้อ ไม่รู้ผมทำอะไรผิดให้พี่เขาบ่นอีกป่าวเนี่ย

พี่รันเป็นพี่ที่รู้จักกันมาสักพักใหญ่แล้วครับ จากทางอินเตอร์เน็ตเนี่ยแหละ คุยโน่น คุยนี่จนสนิทกัน เวลาผมทำอะไรไม่ดี หรือว่าไม่เป็นผู้ใหญ่แกจะคอยดุ คอยเตือนครับ ผมเองได้ข้อคิดดีๆ จากพี่เขาหลายครั้ง แต่แกก็ปากจัดครับ :angry2: คือ ไม่หยาบคายเลยแม้แต่คำเดียว แต่ว่าฟังแล้วแทบจะร้องไห้ :o12: เลย นี่ถ้าไม่รู้ผมทำอะไรผิด กลัวโดนดุเหมือนกันนะเนี่ย

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่รันนั่งอยู่ข้างๆ สนาม พี่รันนั่งดูผู้ชายสองคนตีกัน คนหนึ่งก็คือ พี่จอม แฟนพี่รันน่ะเอง ส่วนอีกคนผมเห็นไม่ค่อยชัด แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นใคร
"เป็นไงบ้างครับ พี่รัน"
"ก็เรื่อยๆ อ่ะ ไม่ค่อยมีอะไร ลีดเป็นไงบ้างอ่ะ"
"ก็โอเคอ่ะครับ แต่เหนื่อย นี่ถ้าเป็นลีดคณะคงโดนแม่โวยวายแย่เลย" คือแค่นี้แม่ก็บ่นจะแย่แล้วอ่ะครับ หิหิ
“ นี่ นายมาก็ดีแล้ว พี่จะให้คุยกับพี่คนนี้หน่อย พี่ที่เคยเล่าให้ฟังน่ะ”
“ใครอ่ะครับ จำไม่ได้ ให้เอกคุยกะใครอ่ะ”
“ก็พี่คนนี้ ชื่อพี่เต้ เป็นนักบินด้วยนะ”
“จริงเหรอพี่ เอาดิ” ลองดูหน่อยไม่เสียหายใช่ไหมครับ จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิดมา ผมก็ไม่เคยคุยกับใครอย่างเป็นจริง เป็นจังสักครั้ง เคยแต่มีเล่นๆ แล้วก็จากไป คือ ผมไม่กล้าที่จะเริ่มต้นกับใครน่ะครับ ไม่ว่าเขาจะดีแค่ไหนก็ตาม
จริงๆ แล้ว ผมจบความรักกับคนเก่าไม่ค่อยดีเท่าไรน่ะครับ ตอนนั้นผมรู้สึกเลยว่า ผมเอาความรักมาทำให้การเรียนเสียด้วย ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย  จำได้เลยว่าเคยมีควิซครั้งนึง ผมอ่านไม่รู้เรื่องจนต้องโทรไปร้องไห้กับเพื่อน หลังจากที่ผมเคลียร์กับเขาแล้ว ผมก็ไม่หันหลังกลับไปอีกเลย ครั้งสุดท้ายที่เจอเขา ผมเจอที่ห้องน้ำที่สยามเซ็นเตอร์ เราก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นกันซะงั้น เป็นอันว่าเราสองคนเหมือนไม่รู้จักกันอีกต่อไป ผมหวังว่า ผมคงไม่ต้องเจอเขาอีก
แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นมันทำให้ผมฝังใจกับความรัก ว่ามันอาจจะมีผลกับการเรียนของผมอีก ซึ่งผมตั้งใจไว้แล้วว่า อย่างไรซะ ผมจะต้องเรียนให้ดีให้ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่เสียใจ เพราะลูกเรียนไม่ดี อย่างน้อยถึงผมจะเป็นเกย์ก็ต้องทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่อายใคร
 
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่เต้
“หวัดดีครับ” พี่เต้รับไหว้

ในที่สุด ผมก็เห็นผู้ชายคนนี้ชัดๆ ซักที พี่เต้เป็นผู้ชายผิวเข้ม ดวงตากลมโต มองดูเป็นคนเปิดเผย และดูจริงใจ จมูกโด่งได้รูป ทำให้พี่เต้จัดเป็นผู้ชายที่ดูดีทีเดียว และจากที่พี่รันเล่ามา ก็ไม่น่ามีอะไรเสียหายถ้าจะลองคุยดู แต่ผมจะยังคงกลัวความรักเหมือนเดิมรึเปล่านะ น่าสงสัยทีเดียว


ตอนแรกสั้นหน่อยนะครับ เดี๋ยวมันจะยาวขึ้นเรื่อยๆครับ แหะ แหะ
คืนนี้ไปนอนก่อนนะครับ
 :bye2:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2010 20:19:57 โดย THIP »

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
 :L2: :L2:มาให้กำลังใจค่ะ สู้ๆนะ
จะติดตามผลงานต่อไปค่ะ :m4:

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
จิ้มๆเรื่องใหม่ :mc4:
ขอให้เจอคนที่ใช่นะ :a2: สู้ๆ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ หน้าตาธรรมดา แต่เป็นหลีดได้ ก็เอาล่ะ   :mc4: :mc4: :mc4:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
ตอนแรก นึกว่าเรื่องแบบนี้จะไม่มีใครมาอ่านซะแล้ว แต่ก็มีคนหลงมาอ่านจนได้  :oni1: อิอิ
ยังไงช่วยให้กำลังใจคนเขียนหน่อยนะครับ เขียนตุนไว้ซักพักแล้ว แต่ว่าต้องสอบ เดี๋ยวเขียนไม่ทันอ่ะครับ
วันนี้ก็ยาวขึ้นมาแล้ว มีอะไรก็คอมเมนท์ได้นะครับ :a11:


ตอนที่ 2 ไม่ใช่กระทั่ง...จุดเริ่มต้น


“เอก มาทำอะไรอ่ะ” เสียงใครไม่รู้ ดังมาจากข้างหลัง ขณะที่เราทั้งสี่คนกำลังเดินออกไปทานข้าว
“มาเล่นเทนนิสเหรอ” ที่แท้ก็บ๊อบนี่เอง บ๊อบเป็นเพื่อนบ้าน และเพื่อนที่มหาวิทยาลัย แต่ผมก็ไม่ค่อยสนิทกับบ๊อบ เพราะความชอบไม่ตรงกันเอาซะเลย เขาชอบกีฬา แต่ผมชอบดนตรี เขาชอบเที่ยว แต่ผมชอบอยู่บ้าน ก็เลยไม่สนิทกันเท่าไร แต่ผมก็ยังอาศัยรถเขาติดกลับบ้านเสมอๆ เพราะผมยังขับรถไม่เป็น
“ใครอ่ะ น่ารักดี” พี่เต้ถามผมหลังจากที่เราห่างออกมาซักพักใหญ่แล้ว
“บ๊อบครับ บ้านใกล้กัน แล้วก็เรียนที่เดียวกัน” ผมตอบ แล้วก้มหน้าเดินมุดๆ ไป ไม่รู้ทำไมรู้สึกแปลบๆ นี่ผมรู้สึกอะไรกับคนที่เพิ่งรู้จักได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“เดี๋ยวไปกินอะไรกันดี” พี่รันถามขึ้น หลังจากเห็นผมก้มหน้างุดๆ อยู่พักใหญ่
“แล้วแต่สิครับ” พี่เต้ตอบขึ้นมา
“เจ้าบ้านมีอะไรแนะนำไหม” พี่รันหันมาถามความเห็นผม
“ตรงนี้ก็มีร้านบาเล่ย์ แต่ว่ามันแพงไปหน่อย แล้วก็มีข้าวต้มเป็ดตรงหน้าปากซอยก็อร่อยดีนะครับ”
“งั้นไปกินข้าวต้มเป็ด” ก็แล้วกัน
ผมจำไม่ได้แล้วว่าตลอดการกินข้าว คุยอะไรกันไปบ้าง เพราะผมได้แต่อายสายตาที่จ้องมองมา ไมรู้ทำไม อาจะเป็นเพราะกลัวเขารู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร หรืออาจเป็นเพราะสายตานั้นแสดงอะไรบางอย่าง แต่ที่จำได้ คือ พี่เต้ทำให้ผมกลับบ้านไปด้วยความว้าวุ่นใจเป็นที่สุด
พี่เต้ขับรถมาส่งที่บ้าน หลังจากผมลงจากรถ ผมก็รู้สึกกระวนกระวาย จนในที่สุด
“ฮัลโหล พี่รัน”
“ผิดคาดแฮะ นายโทรมาหลังนายเต้แน่ะ” นี่ขนาดไม่ได้พูดอะไรยังอ่านใจออกหมดขนาดนี้ เฮ้อ ปิดอะไรพี่แกได้บ้างเนี่ย
“มีอะไรก็บอกมาเถอะครับ ถ้าไม่มีอะไร ผมจะได้ไม่หวังต่อ”
“เขาว่านายก็น่ารักดี แต่อยากเป็นพี่ชายนายมากกว่า” อ้าว ซะงั้น พี่ชายคนที่ร้อยแปดเหรอครับ เฮ้อ
คือ เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ ตั้งแต่มัธยมแล้ว ถึงผมจะดูกล้าๆ แต่จริงขี้อายมาก และด้วยความที่ผมขี้อายมาก และกลัวความสัมพันธ์กับคนที่ชอบจะเปลี่ยนไป ผมจึงไม่เคยบอกความในใจกับใครที่ผมเคยแอบชอบเลยแม้แต่คนเดียว ผมได้แต่ดูห่างๆ เอาใจช่วยให้พี่แต่ละคนมีความสุข และปล่อยให้เวลาพัดพาความรู้สึกเหล่านั้นจางไป
ผมจำได้ว่าคนที่แอบชอบคนแรก เป็นพี่ที่สอนร้องเพลง จนบุญพาวาสนาส่งได้ไปออกเทปกับค่ายยักษ์ใหญ่ค่ายหนึ่ง ผลงานก็พอใช้ได้ครับ มีคนชื่นชอบ และยอดขายก็มากพอที่จะทำให้ได้ออกอัลบั้มสอง แต่ก็จอดแค่นั้น มีอัลบั้มพิเศษอีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ออกอะไรมาอีก คนนี้เป็นคนแรกที่กล้ากับผมมากๆ คือไม่ได้จีบ แต่.... (ละไว้)....ทำเอาผมเสียความรู้สึกกับเขาไปนานทีเดียว ตอนนี้ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่เขาอีกแล้ว เพราะวันนั้นเขาก็ไม่ได้ฝืนใจอะไรเอก แล้วพี่เขาก็ขอโทษซะมากมาย ก็เลยไม่ว่าอะไร ตอนนี้ผมก็คิดกับพี่เขาแค่พี่ชายคนหนึ่ง
ส่วนอีกคน คนนี้ก็สอนร้องเพลงที่เดียวกันกับคนแรก แต่หล่อมากๆ ตอนแรกเอกแอบชอบเขา เพราะหน้าตาจริงๆ แต่หลังจากได้พูดคุยแล้ว พี่เขานิสัยดีมากครับ เหมาะกับการเป็นพี่ชาย จนเราก็ได้ทำใจว่าอย่าคิดเกินเลยเลยดีกว่า เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ด้วยแหละ เอกก็เลยไม่ได้คิดอะไร ผ่านไปหลายปีจนเข้ามหาวิทยาลัย ก็เพิ่งมีคนบอกว่าเขาเป็นแฟนกับผู้ชายไปเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนั้นผมก็เลิกคิดกับพี่เขาแบบนั้นไปซะแล้วล่ะครับ แต่ก็นะ แอบเสียดายอ่ะ(แต่แฟนพี่เขาคนนั้นน่ารักเหมือนกันนะ เอกก็รู้จัก สรุปพี่เขาก็เป็นพี่ชายที่น่ารักทั้งสองคนเลย)
ว่าแต่ นี่ผมจะต้องเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันเป็นครั้งที่เท่าไรกันล่ะครับ เหนื่อยเหมือนกันนะ
“ลองเอาเบอร์ไปคุยแล้วกัน” พี่รันเองก็แอบลุ้นอ่ะดิ
“ครับ” หลังจากนั้น ไม่นานพี่รันก็ส่งเบอร์เข้ามาให้ ผมนั่งคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจโทรไป
“สวัสดีครับ พี่เต้”
“หวัดดี เอกเหรอ”
“ใช่ครับ คือ จะชวนพี่เต้ไปดูหนังอ่ะครับ”
“ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยว่างอ่ะ ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ” เสียงพี่เต้กรอกมาตามสาย
“ครับ แล้วเจอกันใหม่นะครับ” เจอแบบนี้เข้า ผมเองก็หมดแรงเหมือนกันนะครับ แต่ก็เอาน่ะ ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไร ถ้าจะลองคุยกับพี่เขาดูเรื่อยๆ ก็คงไม่เสียหายอะไร
หลังจากนั้น ผมก็โทรไปหาพี่เขาเรื่อยๆ ครับ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าอะไร ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วเวลาก็พัดให้เราห่างกันไปในที่สุด ผมได้เจอคนใหม่ และก็เลิกรากันไปอย่างไม่ดีนัก(ก็คนแรกที่เล่าให้ฟังน่ะแหละครับ) เจอคนที่ผ่านมาผ่านไปจนผมเหนื่อยซะเหลือเกิน ขี้เกียจคิดเรื่องรักแล้ว ตั้งใจเรียนดีกว่า
และเหมือนเรื่องราวจะจบลงตรงนั้น แต่เปล่าครับ มันยังไม่มีอะไรเริ่มต้นเลย

ครูคนเมือง

  • บุคคลทั่วไป
น่าสนใจ หุึหุ

รออ่านต่อนะครับ
 :oni3:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ ตามหาตัวจริงกันต่อปายยยยยย    :m32: :m32: :m32:

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
นี่ไปอ่านหนังสือกลับมา กำลังนึกว่ามีคนมาอ่านบ้างรึเปล่า พอมีบ้างก็ดีใจแล้วครับ เพราะเรื่องผมคงไม่ได้สนุกสุดแสบเหมือนเรื่องคนอื่น(แต่ของคนอื่นเขาสนุกจริงๆ นะ ผมอ่านแล้วยังชอบเลย)
คงไม่สั้นไปนะครับ เดี๋ยวต้องไปอ่านหนังสือแล้ว เดี๋ยวอ่านไม่ทัน
 


ตอนที่ 3 มันกำลังเริ่มต้นขึ้นแ้ล้ว

จากปี 1 ผ่านมาจนปี 3 ผมแทบไม่ได้โทรไปหาพี่เขาเลย เพราะรู้ว่าคงไม่มีประโยชน์อะไร เปลืองค่าโทรศัพท์เปล่าๆ และอีกอย่าง แค่เวลาให้ครอบครัวยังไม่ค่อยมี ผมจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม จริงไหมครับ
จนกระทั่งช่วงปีที่แล้วมีภาพยนตร์ เรื่อง รักแห่งสยาม เข้าฉาย ทำให้ผมหวนนึกถึงตัวเอง (แต่ตอนนั้น ยังไม่ได้ไปดูนะครับ หนังยังไม่เข้า)
“นี่ผ่านมายี่สิบปี เรายังไม่มีใครขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ผมคิดกับตัวเองขณะอยู่บนรถไฟฟ้า หลังจากดูหนังจบ คนที่ไปดูด้วยน่ะเหรอครับ ลืมไปเถอะครับ ขำๆ แค่คนผ่านมา แล้วก็ผ่านไป เป็นเพื่อนร่วมงานกันนี่แหละครับ คงเห็นว่าผมเล่นๆ ได้ด้วยมั้ง ไม่รู้เหรอว่า ถึงจะเอ๋อ แต่ก็เขี้ยวนะ จะไปเล่นก็เล่นกับคนอื่น อย่ามาเล่นแถวนี้ เอกไปชอบ เจ้าชู้ไม่ว่า แต่ถ้าไม่จริงใจ อย่ามายุ่งกัน แล้วใจผมก็ตวัดไปนึกถึงใครบางคนที่ไม่ได้คุยด้วยนานแล้ว พี่เต้นั่นเอง จริงๆ ยังมีอีกหลายคนครับที่ผมนึกถึง แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงเลือกพี่เต้ อาจเป็นเพราะพี่เขาใจดีกับผมด้วยมั้ง
ที่น่าแปลกกว่านั้น คือ พี่เต้เป็นคนเดียวที่ผมสามารถจำเบอร์โทรศัพท์ได้ ซึ่งแปลกมาก ขนาดเบอร์แฟนเก่าผม ยังจำไม่ได้เลย แต่กลับจำเบอร์พี่เต้ได้อย่างขึ้นใจ
ผมไม่ได้โทรในคืนนั้นเลยหรอกครับ อีกหลายวันถัดมากว่าผมจะโทร มันเป็นวันเหนื่อยๆ หลังจากที่ผมเรียน และทำงานพิเศษเสร็จ เป็นเหมือนการใช้วันทั้งวันที่คุ้มค่า เพราะได้ทั้งเรียน แล้วก็ทำงานไปด้วย แต่มันก็เหนื่อยมากนะครับ ทั้งเหนื่อยกาย แล้วก็เหนื่อยใจ และมันทำให้ผมเหงาทุกครั้งที่นั่งรถไฟกลับบ้านคนเดียว ด้วยความล้า หรืออะไรก็ตาม มันทำให้ผมเหมือนอยู่คนเดียในโลก ส่วนใหญ่ผมจะฟังเพลง เหม่ออกไปหน้าต่าง แต่ก็มีหลายครั้งที่ต้องคุยโทรศัพท์ไปด้วย เพื่อทำให้ตัวเองไม่เหงาจนเกินไป และวันนี้ก็เช่นกัน ผมก็ขอโทรหาพี่เต้ซักหน่อย
“ตื๊ด” เสียงรอสายดัง แสดงว่าพี่เต้ไม่ได้บิน ผมอาจจะได้คุยกับพี่เขา
“สวัสดีครับ พี่เต้” ผมกรอกเสียงลงไป
“ดีๆ เป็นไงบ้างเอก สบายดีป่าว ไม่ได้คุยกันตั้งนาน”
“ก็เรื่อยๆ อ่ะครับ พี่เต้ล่ะครับ”
“ก็เรื่อยๆ อ่ะ นี่เป็นไงบ้างเหรอ ปีไหนแล้วเนี่ย”
“ก็ปี 3 แล้วอ่ะครับ”
“แล้วนี่ ทำอะไรอยูน่ะ”
“กำลังกลับบ้านอ่ะครับ พอดีเพิ่งทำงานเสร็จ”
“อ้าว ทำอะไรอ่ะ” พี่เขาถามกลับมา
“ก็สอนภาษาอังกฤษน่ะครับ” และเราก็คุยกันไปสัพเพเหระ จนผมรู้สึกตัวอีกที ผมก็ถึงบ้านซะแล้ว แต่ผมก็ยังอ้อยอิ่งนั่งหน้าบ้าน แปลกจังครับ ทำไมผมยังไม่ยอมให้ตัวเองวางสาย ถ้าเป็นคนอื่น ป่านนี้ กองอยู่หน้าประตูแล้วครับ เพราะพอผมถึงบ้านก็จะเข้าบ้าน แล้วก็ขอวางสายแทบจะทันที เพราะกลัวแม่ว่า แหะ แหะ
“ถึงบ้านแล้วนี่นา” พี่เขาทักขึ้น
“ครับ แต่มันยังอยากคุยอยู่นี่ครับ” ผมไม่รู้ว่าตรงไปไหม แต่ผมไม่สามารถวางลงได้จริงๆ ครับ
“น่ะ ไว้คุยกันวันหลังแล้วกัน”
“ก็ได้ครับ สวัสดีครับ”
คืนนั้นผมจำไม่ได้หรอกว่าฝันดีรึเปล่า แต่จำได้ว่าผมมีความสุขมากทีเดียว




คอมเมนท์ได้นะครับ เขียนน่าเบื่อไปไหม สั้นไปรึเปล่า บอกได้น้า  :m23:

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ลุ้นกันต่อปาาาย :a2:
ไว้สอบเสร็จแล้วมาต่อยาวๆก็ได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
แหะ แหะ เอามาแปะให้ก่อนออกจากบ้าน
ไม่มีคนช่วยดัน ก็ต้องดันตัวเอง หิหิ
จริงๆ ผมเขียนเสร็จไปประมาณ 12 ตอนแล้ว เหลืออีกแค่สามตอนน่าจะจบ (แล้วจจะได้ไม่พะวงเรื่องเขียนอีก แปะ โลด)
ยิ่งเขียนก็ยิ่งเศร้า แต่ว่ามันก็โอเคนะครับ ไม่ได้แย่จนเกินไป เพราะมันจางๆ ไปเยอะแล้วด้วยแหละ
ตอนเช้าแปะให้สองตอนนะครับ


ตอนที่ 4 อ่านหนังสือ

วันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาค่อนข้างสดชื่น ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เขาจะคิดเหมือนผมรึเปล่า ผมอาบน้ำแต่งตัว

“มีอะไรให้กินไหมครับ หม่าม้า”

“มีจ้ะ คุณลูก” คุณแม่ผมชอบเรียกผมว่า “คุณลูก” ครับ สนุกดีเหมือนกันครับ คุณแม่ผมเป็นคนใจดี แต่ว่าก็ใจร้อนครับ

“นี่เลย บริการทุกระดับประทับใจ” คุณแม่ผมมักจะตื่นก่อนใครในบ้าน ทำความสะอาด ต้มน้ำ แล้วก็อุ่นกับข้าวด้วย เรียกว่าพอผมทำธุระเสร็จ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย รออยู่บนโต๊ะเลยทีเดียว บางทีผมก็เกรงใจคุณแม่ แต่คุณแม่ก็ยังทำอยู่ดี แถมยังบังคับให้ผมทานข้าวเช้าด้วยอีกต่างหากครับ ก็เข้าใจครับว่าคุณแม่ค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ แต่ผมตื่นสายน่ะครับ สายเป็นประจำจนขี้เกียจทานข้าวซะเลย แต่ปกติคุณแม่ก็อยู่บ้านคอยบังคับผมกินข้าวนี่แหละครับ

“ไปแล้วนะครับ”

“”ป๊า ไปส่งลูกร็ว” ปกติ คุณพ่อจะไปส่งผมที่รถไฟใต้ดินครับ แล้วผมก็จะนั่งรถไปต่อแท็กซี่อีกที เพราะมหาวิยาลัยผม มันค่อนข้างไกลจากที่บ้าน ถ้าผมไม่ขี้เกียจก็จะโทรไปถามบ๊อบ แต่ก็ไม่ค่อยหรอกครับ เพราะไม่อยากรบกวนบ๊อบเท่าไร อีกอย่างก็ไม่ค่อยสนิทกันด้วย เคยมีคนว่าผมด้วยซ้ำว่าติดรถคนอื่นแบบไม่เกรงใจใคร นับแต่นั้นมา ผมก็นั่งแท็กซี่จนเป็นกิจลักษณะเลยครับ นั่งจนติดแท็กซี่ไปซะแล้ว อีกอย่างก็ดีด้วย เพราะจะได้ไม่มีใครมาว่าได้

บางครั้งผมก็อึดอัดนะครับ เพราะสังคมของผม ถูกบีบให้อยู่กับคนที่ค่อนข้างมีฐานะ ซึ่งแปลว่าผมเองก็ควรจะทำตัวมีฐานะตามไปด้วย ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมอยากทำอะไรง่ายๆ อยู่กับคนที่ไม่คิดเล็ก คิดน้อย และก็ไม่ต้องทำตัวเด็กๆ ตลอดเวลา จนเดี๋ยวนี้ ผมก็ติดการทำตัวแบบนั้นไปซะแล้ว จนบางครั้งยังอดรำคาญตัวเองไม่ได้เลยครับ

วันนี้ก็เช่นกัน ผมก็ไปเกือบๆ ไม่ทันเซ็นต์ชื่ออีกเช่นเคย (แต่ก็แปลว่าไปทัน หึหึ)

“Today, we have a lot of things to cover so…..” นี่ไม่ใช่คาบภาษาอังกฤษครับ แน่นอว่าผมเรียนภาคภาษาอังกฤษ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “อินเตอร์”

“โอ๊ย เหนื่อยจังเลย ทำไมยากจังก็ไม่รู้” ป้องบอกขึ้นมา ป้องเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทครับ คือ เอกไม่ได้มีเพื่อนสนิทในมหาวิทยาลัยเลย เคยอยู่กลุ่มเดียวกะป้องนี่แหละครับ แต่ก็มีเรื่องทะเลาะกัน ตอนหลังก็เลยแยกกันอยู่ จะได้ไม่ผิดใจกันอีก แต่เราก็ยังสนิทกันในระดับนึงเสมอนะครับ

“เอาน่ะ ก็วิชานี้มันไม่ยากเท่าไรนะ เราว่า มันแค่เยอะมากแค่นั้นแหละ” มันคือวิชาอะไรรู้ไหมครับ มันชื่อว่าออดิตติ้ง หรือการตรวจสอบบัญชีอ่ะครับ อ่านเยอะมากๆ ปกติ ผมอ่านหนังสือช้าอยู่แล้ว(และก็ขี้เกียจอ่านด้วย) มาเจอเยอะๆ แบบนี้แทบสลบเหมือด ไม่อยากมีชีวิตเลยทีเดียว
แล้วก็แยกย้ายกันไป ผมก็ไปอ่านหนังสือ วันนี้ก็เช่นกัน ผมไปอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟร้านเดิม ส่วนป้องก็ไปอ่านกับที่บ้านเพื่อนอีกคน
ผมลืมบอกไปอย่างว่ามีช่วงก่อนหน้านี้สักสามสี่เดือน ผมพยายามโทรกลับไปหาพี่เต้ ผลก็คือได้คุยบ้าง ไม่ได้คุยบ้าง แต่ทุกครั้งจะจบสั้นๆ ไม่เกินห้านาที ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร มีคนให้คิดถึง ก็ดีกว่าปล่อยให้ใจเหงาจนเกินไป จริงไหมครับ
วันนี้ก็เหมือนเดิมที่ผมโทรไปหาอีก อยากรู้จังวันนี้จะคุยได้นานเท่าไร

 “ตื๊ด ............ ตื๊ด ................... ตื๊ด” โทรติด แต่ไม่มีคนรับครับ ผมก็เลยปลง สงสัยคงไม่อยากรับ ก็เลยวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แล้วอ่านหนังสือดีกว่า

ปกติเวลาผมไปอ่านหนังสือนอกบ้าน ผมจะอ่านตั้งแต่บ่ายจนดึก เพราะว่าค่าน้ำชาที่ร้านสตาร์บั๊กมันแพง(ผมไม่ดื่มกาแฟน่ะครับ) รวมกะค่ารถ และค่าจิปาถะแล้ว เราะก็ควรจะอ่านให้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

ผมก็นั่งอ่านไปได้สักครึ่งชั่วโมง ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาไปด้วยในตัว แต่ปรากฎว่ามี missed call จากพี่เต้มา จริงๆ ก็ไม่ได้แปลใจเท่าไร เพราะพี่เต้มักจะโทรกลับมา แล้วผมก็ชอบไม่ได้รับทุกที เพราะว่าปิดสั่นไว้
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมปิดสั่นไว้ แล้วก็คงไม่รู้สึกตัวอีกเช่นเคย ผมโทรกลับไปครับ

“มีอะไรเหรอ” พี่เต้ทักมา

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ต้องมีเหรอ ถึงจะโทรได้อ่ะ”

“เปล่า ไม่มีอะไร อยู่ไหนเนี่ย”

“อ่านหนังสือครับอยู่สตาร์บั๊กซอยข้างๆ ....(ห้างหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง)...”

”อ้าว เหรอ งั้นไม่มีอะไรแล้วดีกว่า ไม่กวนแล้ว” อ่ะนะ

“ครับๆ” แล้วเราก็อ่านหนังสือต่อไป

แล้วผมก็ได้เวลากลับบ้าน เพราะมันค่อนข้างดึกแล้ว พอกลับมาถึงบ้านแม่กะพ่อก็บอกว่าจะไปเมืองนอก

“ครับ” นั่นคือคำตอบรับ ไม่มีการเสียดายใดๆ ทั้งสิ้น คุณพ่อ คุณแม่ผมเดินทางเรื่อยๆ ปกติจะไปทีละคน แต่รอบนี้ไปสองคน หมายความว่าผมต้องอยู่บ้านคนเดียว เพราะพี่ชายกับพี่สาวยังอยู่เมืองนอกอยู่เลย แง่ว

“อย่าลืมดูแลบ้านดีๆ ด้วยนะ เอก”

“ครับ” ครั้งที่แล้วที่ผมอยู่บ้านคนเดียว เป็นครั้งแรกที่ผมออกตระเวรราตรีครับ คือ ที่บ้านไม่ชอบ แต่ว่าผมอยากลองก็เลยลองดู และผลก็คือ ... ผมก็ไม่ชอบกินเหล้า และกลิ่นบุหรี่ เพราะฉะนั้น ผมเองก็ไม่ได้ชอบไปเที่ยว เพราะฉะนั้นอยู่คนเดียวครั้งคง... เตรียมอ่านหนังสือสอบ

“แล้วไปเมื่อไรล่ะครับ” เขาบอกมา ผมก็จำไม่ค่อยได้หรอกครับ

“ก็ประมาณช่วง ...... ตุลา อ่ะ เอก”

“ครับ” ผมพูดคำนี้ไปกี่รอบแล้วเนี่ย

สรุปคือ ผมต้องรับผิดชอบตัวเองคนเดียวอีกแล้ว เฮ้อ ขี้เกียจ แต่ทำไงได้ล่ะ

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 6 First date

ตอนนี้คุณพ่อ และคุณแม่ ไปเมืองนอกแล้วครับ ทิ้งไว้อยู่บ้านคนเดียว

“ตื๊ด.............ตี๊ด....................ตี๊ด” ผมโทรหาพี่เขา และไม่มีคนรับ อีกเช่นเคย เฮ้อ

“ตืด ตืด” เสียงสั่นเรียกเข้าโทรกลับมา ให้ทายว่าเบอร์ใคร เบอร์พี่เต้นั่นเอง

“สวัสดีครับ”

“ดี เอก วันนี้ไปกินข้าวกันรึเปล่า” พี่เต้ชวนผมกินข้าว โอ้โห อย่างกะฝันไป

“ไปครับๆ ” ผมแทบจะตอบรับทันที

“งั้นเดี๋ยวพี่โทรไปเย็นๆ อีกทีนะ”

“ได้ครับ”

หลังจากวางหูจากพี่เต้ ผมใช้เวลานานมาก ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรดี แต่งตัวอย่างไร เพราะผมอยู่ในชุดที่ธรรมดามากๆ ไม่รู้จะเปลียนให้ดูดีขึ้นรึเปล่าดี พ่อแม่จะกลับเร็วด้วย ผมควรจะทำไงดีครับเนี่ย และสุดท้ายรู้ไหมครับว่าผมตัดสินใจอย่างไร

ผมเลือกที่จะไม่เปลียนอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้คือตัวผม เสื้อยืด กางเกงขายาว ไม่ได้ทำผมตั้งๆ แต่นี่แหละครับ ผมตั้งใจไว้ว่า ถ้าเขาไม่ชอบก็เป็นเรื่องของพี่เขา ผมไม่อยากเปลี่ยนตัวเอง โดยไม่จำเป็น เพื่อใคร ผมเปลี่ยนอย่างเดียวคือถอดแว่น และใส่ตอนคอนแทกเลนส์ ตั้งใจไว้ว่าถึงพี่เต้จะเบี้ยว อย่างน้อยผมก็จะออกไปเหล่หนุ่มแถวๆ บ้านบ้าง ปล่อยตัวเองกระเซิงมานาน ต้องทำให้ตัวเองดูดีนิดนึง

แต่เวลาผ่านไปจนทุ่มนิดๆ แล้วก็ยังไม่โทรมา ผมเดาว่าพี่แกคงเบี้ยวแล้ว ก็เลยจัดการปิดบ้าน เดินออกไปหาข้าวเย็นกินเอง
ระหว่างนั้นเอง โทรศัพท์พี่เต้ก็เข้าอีก

“พี่ถึงตรงนี้แล้ว เตรียมตัวนะ”

“ครับ” ไหนๆ ผมก็ออกมาแล้ว ก็เดินไปหน้าปากซอยตรงที่พี่เต้ให้คอย ซักพักก็มีรถคันหนึ่งจอด รถพี่เต้นั่นเอง

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้

“คราวหลังอย่ายกมือไหว้นะ ไม่เอา โกรธเลย”

“ครับๆ” แต่หลังจากนั้น ผมก็ยังไหว้พี่แกเรื่อยมา หึหึ

นี่เป็นครั้งแรก ตั้งแต่รู้จักพี่เต้มาหลายปี ที่ผมได้ออกไปกินข้าวกับพี่เต้

“ไปไหนดีอ่ะ”

“ไม่รู้สิ แล้วแต่พี่เต้ดีกว่า”

แล้วพี่เต้ก็ตัดสินใจไปร้านเล็กๆ ร้านหนึ่ง ผมเองก็จำชื่อไม่ได้แล้วเหมือนกัน แต่ว่าร้านเล็กๆ ที่น่ารักมากเลยครับ พอไปถึงเราก็สั่งนิดหน่อย ไม่เยอะหรอก จำได้ว่าอร่อยด้วยเหมือนกัน แล้วข้างหลังก็มีชายหนุ่มนั่งกะหญิงสาว เราก็ได้แต่มองกันไป เพราะเขาก็แอบเท่นะ ชอบเหมือนกัน อิอิ  :oni2:

นี่แหล่คนโน้นคนนี้จนเหมือนไม่มาด้วยกันเลย  :oni1:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
อืม ได้ไปเดทสมใจแล้ว แต่ดูยังไงเหมือนจะไม่สมหวังเลยเนอะ  :a11: :a11: :a11:

pop_pukluk

  • บุคคลทั่วไป
อิอิ ดีคับ มาต่อท้ายด้วยคนเนอะ
เอาใจช่วยๆๆ
ยังไงก็ลองดูเนอะ ความรักมันไม่ได้น่ากลัวหรอกคับ อิอิ
จะติดตามต่อนะคับ อิอิ

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
เเอามาแปะให้สองตอนเหมือนเดิมนะครับ ถ้าชอบก็เม้นท์ไว้ด้วยนะครับ อิอิ


ตอนที่ 6 First date (ต่อ๗

“แล้วนี่พ่อกับแม่ไปไหนซะล่ะ”

“ไปเซี่ยงไฮ้ครับ เห็นว่าจะกลับคืนนี้ แต่เอกไม่รู้กี่โมงเหมือนกัน”

“เครื่องลงประมาณสี่ทุ่มมั้ง รวมเวลาแล้วเราน่าจะกลับบ้านทันนะ” พี่เต้ตอบให้เสร็จสรรพ แถมคำนวณเวลาให้อีก มากินข้าวกับนักบิน ก็ดีแบบนี้นี่เอง เอกเองก็จำไฟลท์ไม่ได้หรอกครับ ส่วนใหญ่จะจำได้แค่วันไหน ตอนไหนมากกว่า

“แล้วเอกไม่มีพี่น้องเลยเหรอ” เห็นไหมครับ รู้จักกันมาตั้งนาน กลับมาคุยโทรศัพท์ตั้งหลายเดือน เรายังไม่รู้จักอะไรกันเลย

“เอกมีพี่สาวคนโต แล้วก็พี่ชายอีกคนครับ ตอนนี้อยู่อมเริกาหมดเลย”

“ไปเรียนต่อหมดเลยเหรอ”

“ครับ พี่ชายไปเรียนกลอง พี่สาวไปเรียนโท”

“งั้นวันนี้ก็อยู่บ้านคนเดียวสิ”

“ครับ” คือคุณแม่ไม่ค่อยอยากจ้างคนทำงานบ้าน แต่ผมก็เข้าใจนะครับ เพราะคุณแม่รักความสะอาดมาก ในบรรดาคนที่เคยมาทำงานบ้าน มีไม่เกินห้าคนที่ถูบ้านได้สะอาดเป็นที่พอใจของคุณแม่ คุณแจ๋วคนล่าสุดแสบมาก ขโมยเงินจนแม่จับได้ หลังจากนั้นคุณแม่ก็เลยไม่เอาคุณแจ๋วอีกเลย ดังนั้นก็มีแค่ผมซึ่งก็ไม่ค่อยมีเวลา และคุณแม่เองก็เลยเหมาทำงานบ้าน เองเกือบทั้งหมดเลย

“ชักอยากเห็นพี่ชายของเอกแล้วสิ” แปลกนะครับ อาการน้อยใจของผมพุ่งขึ้นมาอีกแล้ว แปลกจัง ทำไมผมต้องน้อยใจด้วย คนที่เราก็ไม่ได้ผูกพันอะไรมากมาย ชอบรึเปล่าก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ทำไมนะ

“ก็ไปสิครับ พี่บินไปเมื่อไรก็ไปหา” ผมก็ตอบไปอย่างนั้น อาการน้อยใจยังมีอยู่ แต่ผมก็ยิ้มแย้มปกปิดความน้อยใจไว้ ผมไม่อยากกินข้าวต่อไปเลย แม้มันจะอร่อยมากก็ตาม

หลังจากเราทานข้าวเสร็จ ก็นั่งคุยไปเรื่อยๆ จนสมควรแก่เวลา

“กลับกันเถอะ” พี่เต้พูดขึ้น หลังจากมองดูนาฬิกาว่ามันใกล้เวลาที่พ่อแม่น่าจะกลับบ้านแล้ว

“ไปหาอะไรกินต่ออีกหน่อยไหม”

“เอาสิครับ” แต่เราก็ไม่ได้ไปทานกันหรอกครับ ไปจนถึงหน้าร้านแล้วก็ต้องรีบกลับ เพราะว่ามันใกล้ถึงเวลาที่พ่อกับแม่จะกลับมาแล้ว ผมก็ไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน เดี๋ยวพ่อกับแม่รู้ ผมคงโดนดุขนาดหนักเลย และพี่เต้ก็ขับรถมาส่งที่หน้าบ้านของผม คุยโน่นคุยนี่ไป อยู่ๆ พี่เต้ก็พูดขึ้นมาว่า
“เรื่องพี่ชาย พี่ล้อเล่นนะ” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่ว่ามันคงเป็นความรู้สึกดีๆ เหมือนกัน ไม่รู้จะตอบรับ หรือปฏิเสธยังไงดี จนในที่สุดก็มาถึงบ้าน

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พี่เต้อีกครั้ง

“เอาอีกละ” ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แต่ก็ตั้งใจอยากแกล้งไปด้วยในตัว ก็เลยไหว้ หิหิ

แล้วคืนนั้นก็เป็นไปตามที่พี่เต้คาดการณ์ไว้ พอผมถอดคอนแทกเลยส์ ใส่แว่น แท็กซี่ของคุณพ่อคุณแม่ก็มาจอดหน้าบ้านพอดีเลย เอ้อ รอดตัวไป
ตอนนี้ผมเริ่มหวาดๆ แล้วนะครับ คือมันก็ดีใจส่วนหนึ่ง แต่อย่างที่บอกว่าผมกลัวความรักซะแล้ว

ตลอดสองสามปีก็ไม่ใช่ไม่มีใครจีบ แต่ผมไม่พร้อมมากกว่า

เคยคิดว่าจะชอบคนที่เขามาเฝ้าเราอ่านหนังสือ (ก็มันเหงาอ่ะ) แต่พอมีมาเฝ้าจริงๆ ก็อ่านไม่ได้ ไล่ให้กลับบ้านไป

หรือเคยคิดว่าแค่มีคนโทรมาทุกวัน ก็พอแล้ว พอมีมาจริงๆ ก็ไม่เอา หรือมีคนอยากไปกินข้าวดูหนังด้วยบ่อย บางคนก็ชอบมาหยอดว่าว่าง วันนั้นวันนี้ ให้เราชวนไปเที่ยวอ่ะดิ ไม่เอาหรอก เราก็ไม่เอาใครเลย สรุปคือไม่มีใครซักกะที มาจอดที่พี่เต้นี่แหละ ซ่าไม่ออกเลย

นอกจากกลัวความรัก ผมยังกลัวคำทำนายของหมอดูด้วยครับ

คือ ช่วงก่อนหน้า ผมก็ไปดูดวงกับเพื่อนเล่นๆ ที่คณะ เป็นรุ่นพี่ดูไพ่ยิปซี พี่เขาให้ถามคำถามได้ ผมก็ถามเรื่องพี่เต้นี่แหละ ว่าเราความสัมพันธ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

คุณพี่หมอดูก็บอกว่า ความสัมพันธ์จะพัฒนาให้กล้ชิดมากกว่านั้น จะขนาดไหน ก็ตอบไม่ได้

ตอนแรกเอกไม่เชื่ออย่างแรงเลยครับ เพราะไม่มีวี่แววอะไรเลย โทรไปก็ได้คุยกันสั้นมากๆ

แต่พอเริ่มมีแบบนี้ เอกไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันจะเป็นจริงรึเปล่า อยากมีความรัก แต่กลัวความรัก มันจะรอดไหมครับเนี่ย




พี่รันก็เคยว่าไว้ครับ ว่าอยากได้ แต่ไม่ทำ อย่ามาบ่นทีแหลังนะ
เอกก็ได้แต่แหะแหะ เพราะเป็นตามที่พี่รันว่าทุกคำเลย เถียงไม่ได้เลย หึหึ

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป

ตอนที่ 7 ใกล้กันยิ่งหวั่นไหว

พอถึงเดือนพฤศจิกายน ก็ได้เวลาที่เด็กอินเตอร์ทั้งหลายต้องเตรียมตัวสอบไฟนอลในเดือนธันวา วันนี้ผมก็อ่านหนังสือที่มหาวิทยาลัยเหมือนเดิม วิชานี้ยากมาก เพราะเป็นเรื่องของการรวมงบ ใครเรียนบัญชีจะรู้ว่ามันยากมากๆ ต้องอ่านกับคนที่เรียนเก่ง เพราะไม่งั้นถ้าไม่รู้เรื่องมันดูเท่าไรก็จะไม่ค่อยเข้าใจ ผมเลือกอ่านกับพี่บาส พี่บาสเป็นคนที่ผมแอบปลื้มครับ เพราะนิสัยดี แล้วก็เป็นกันเองกับน้องๆ เรียนเก่งด้วย

จริงๆ พี่บาสก็ไม่ได้หล่อมากหรอก แต่ผมก็ชอบครับ แต่ก็รู้ว่าพี่เขาไม่ได้เป็นเกย์ เพราะฉะนั้นผมก็ได้แต่แอบมอง พอได้โอกาส ผมก็ชอบไปอ่านหนังสือกับพี่เขาตลอด ผมไม่รู้ว่าพี่เขารู้รึเปล่า แต่ผมก็พยายามทำให้พี่เขาไม่ลำบากใจ เราอยู่ได้แค่ตรงไหน ผมก็จะอยู่แค่ตรงนั้น ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าพี่เขาเป็นพี่ชายที่น่ารักอีกคนหนึ่งของผมจริงๆ

วันนี้ก็เช่นกัน ผมก็กำลังจะกลับบ้าน จริงๆ ก็ไม่เหนื่อยเท่าไร วันนี้ผมอ่านหนังสือเสร็จตอนค่ำๆ ก็ขึ้นไปที่แบนด์ คือมหาวิทยาลัยผมมีวงดนตรีประจำมหาวิทยาลัยน่ะครับ ผมเองก็บังเอิญได้เป็นสมาชิก(ถ้าอยากรู้ว่าทำไมมันบังเอิญ ผมจะเล่าให้ฟังทีหลังนะครับ) ถ้ามีเวลาผมก็จะพยายามขึ้นไปช่วยงานบ้าง ถ้ามีโอกาส และเวลาตามสมควร วันนี้ก็ช่วยนิดหน่อยแล้วก็กลับบ้าน พอผมขึ้นรถเมล์ โทรศัพท์ก็สั่น

“ตืด ........ ตืด ....... ตืด” พอผมเห็นเบอร์ ผมก็แทบหยุดหายใจเลยครับ เบอร์พี่เต้นั่นเอง

“เอก อยู่ไหนเหรอ” พี่เต้กรอกสียงมาตามสาย

“กำลังขึ้นรถเมล์กลับบ้านครับ เพิ่งอ่านหนังสือเสร็จ”

“ไปกินข้าวกันไหม”

“ไปสิครับ ยังไม่ได้ทานอะไรเลย” จริงๆ ผมตั้งใจจะไม่ทานข้าวครับ จะได้ควบคุมน้ำหนักไปในตัวครับ แต่พี่เต้ชวน ผมปฏิเสธไม่ออกจริงๆ ครับ

“งั้นเดี๋ยวไปรับแล้วกัน รออยู่ตรงไหนน่ะ”

“เดี๋ยวผมรออยู่แถวๆ ป้อมพระสุเมรุแล้วกันครับ”

“ได้ๆ” แล้วพี่เต้ก็วางหูไป ส่วนผมน่ะเหรอครับ พอถึงป้อมพระสุเมรุ ผมก็ลงจากรถเมล์ ไปตรงปั๊ม ปตท. แถวๆ นั้น แล้วก็เข้าห้องน้ำ จัดการล้างหน้าล้างตาตัวเองให้ดูสดชื่นขึ้น เพราะหน้าผมมันมันเอาซะเหลือกัน คือช่วงนั้นสิวมันเห่อขึ้นมามากมายด้วยแหละครับ ผมก็ขี้เกียจจะไปคิดอะไรมากก็เลยปล่อยมันไป จริงๆ แล้ว ผมทาวิตามินเอด้วยแหละครับ มันก็เลยเห่อขึ้นมา แต่พอเลิกใช้มันก็ดีขึ้นนะครับ ผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะบำรุงจากภายในแล้วล่ะครับ ช่วงนี้ก็ดีขึ้นมาก แต่ว่าช่วงนั้นเนี่ย สิวเห่อมากจริงๆ

“ตืด ................ ตืด ...................... ตืด” โทรศัพท์สั่นอีกแล้ว พี่เต้นั่นเอง

“อยู่ไหนแล้วน่ะ” พี่เต้ถาม

“อยู่ตรงป้อมแล้วอ่ะครับ”

“ฝั่งไหนอ่ะ พี่ไม่เห็นเลย” อ้าว ถึงแล้วเหรอ ไม่ยักกะรู้แฮะ

“อยู่ฝั่งที่ไปทางบางลำภูอ่ะครับ”

“อ๋อๆ พี่เห็นแล้ว หันหลังมานะ” แล้วผมก็หันหลัง ไม่เห็นพี่เขาอยู่ดี

“หันไปอีกหน่อย พี่โบกมืออยู่” ผมก็หันซ้ายหันขวาอยู่สักพัก จนในที่สุด ผมก็เจอพี่เต้โบกมืออยู่ในรถ ผมเอ๋อแบบนี้เป็นประจำ เป๋อมากๆ
จนไม่น่าทำอาชีพสอนพิเศษได้เลย เพราะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าที่ควร แต่ว่าก็ไม่ยักกะมีใครว่าอะไรเท่าไรนะครับ

แล้วผมก็เดินไปขึ้นรถพี่เขาซึ่งจอดอยู่

“วันนี้กินอะไรดีอ่ะ” พี่เต้ถามอีกแล้ว

“ไม่รู้สิครับ อะไรก็ได้ ตรงนี้ก็ได้นะครับ”

“ไม่เอา ไม่เอา ไปกินผัดไทประตูผีไหม”

“ก็ได้ครับ”

“บอกทางพี่หน่อยแล้วกัน”

“เอกไม่รู้จักประตูผีสักกะหน่อย” ผมไม่รู้จริงๆ ครับ มีคนเคยบอกแล้วผมก็ลืมๆ ผมนั่งแท็กซี่จนเคยด้วยแหลครับ รู้ว่าทางที่คุ้นเคยเป็นยังไง แต่ถนนสายที่ผ่านเนี่ย ผมจำชื่อแทบไม่ได้เลยครับ

“อยู่ใกล้ๆ วัดราชนัดดาอ่ะ”

“อ๋อ ถ้าแบบนั้นก็ต้องตรงไปตามราชดำเนิน” แล้วเราก็ได้ไปกินผัดไท ประตูผีจริงๆ ด้วยแหละครับ ผมว่ามันไม่ได้อร่อยขนาดนั้น แต่ว่ามันก็พอทานได้นะครับ แล้วเราก็กินไอศกรีมกัน แล้วพี่เต้ก็มาส่งผมที่บ้าน เราคุยกันเรื่อยเปื่อยมากเลยครับ แต่เรื่องราวหลักๆ ก็ไม่พ้นเรื่องของนักแสดงคนหนึ่งซึ่งเรียนที่เดียวกับผม แต่ผมเองไม่รู้จัก เพราะเรียนคนละที่กัน แล้วรู้ไหมครับว่าทุกครั้งที่พี่พูดถึงน้องนักแสดงคนนี้ ผมรู้สึกแปลบทุกครั้ง แต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้สึกรู้สา ผมได้แต่หวังว่า วันนึงมันคงชาจนไม่ต้องรู้สึกอะไรอีกต่อไป

รู้ไหมว่ายิ่งได้อยู่ใกล้กัน เอกก็หวั่นใจตัวเองทุกครั้ง กลัวตัวเองเจ็บ กลัวเสียใจ ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย

เอกสงสัยจริงๆ ว่า ถ้าพี่เต้ไม่ได้คิดอะไร เขาจะมาเป็นห่วงกัน มาแคร์กัน มาทำแบบนี้ทำไมกัน เพื่ออะไร

เอกไม่มีคำตอบให้กับตัวเองเลยจริงๆ




ถ้าชอบก็ช่วยกันดันหน่อยนะคร้าบบบบบบบบบบบบบ
พี่ THIP บอกว่าดูจะยังไม่สมหวัง
เดี๋ยวก็รู้ครับ หิหิ
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยอ่ะครับ อยากดัดแปลงให้มันสนุกๆ เหมือนกัน
ใครอยากให้แปลงก็บอกนะครับ หรืออยากได้เรื่องจริงๆ ก็บอกด้วยนะครับ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ทำไมพูดถึงน้องนักแสดงแล้วต้องแปลบทุกครั้งล่ะ มีอะไรกันรึเปล่า  :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

อยากให้เขียนเรื่องจริงนะ ถึงจะไม่สนุก แต่พี่ชอบอ่าน มันได้อะไรเยอะดี   o13

เป็นกำลังใจให้น้องจ้า   :L2:  :L2:  :L2:

ifwedo

  • บุคคลทั่วไป
มาติดตามนะครับ อ้อคุณคนเขียนอยู่แถวลาดพร้าว33 รึเปล่าค๊าบ  ถ้าใช่นี่เราอยู่ใกล้ๆกันกันเลยอิๆ

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้อยู่ซอยนั้นหรอกครับ แต่ว่าก็ใกล้ๆ ละแวกนั้นล่ะครับ
ว่าแต่อยากได้เรื่องจริงเหรอครับ มันแอบเศร้านะ แต่ไม่มากเท่าเรื่องของพี่ THIP อันนั้น อ่านไปเศร้าไป

เมื่อตอนกลางวันฟังเพลง ticket แล้วเหนื่อยใจมากเลยครับ

ฟังวงออกัสทีไร เศร้าทุกทีจนจะเลิกฟังแล้ว เสียดแทงหัวใจเหลือเกิน   :o12:

"... เขาไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ ก็ได้แต่ถอนหายใจมองเหม่อ ..."

เจอคนที่เคยเกือบ"ใช่" สุดท้ายก็ไม่ใช่อยู่ดี มีตาพี่เต้นี่แหละครับ หึหึ

ส่วนน้องคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกันครับ เขาเพื่อนของเพื่อนอีกที แล้วพี่เต้เขาชอบอ่ะครับ ก็เลยชอบมาถามกะเอก
โทรมาวันละห้ารอบถามว่าอยู่ไหน ทำอะไร คำถามถัดไปต้องถามถึงแต่น้องคนนี้ ก็เลยคง"น้อยใจ"อ่ะครับ ไม่รู้เรียกอะไรเหมือนกัน

ว่าแต่มีกระทู้ไหนสอนแปะเพลงไหมครับ อยากแปะเพลงอ่ะครับ อิอิ

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
เดี๋ยวไปตอนเดียวกันนะครับ เดี๋ยวคืนนี้มาแปะให้อีกตอน
อ่านหนังสือเยอะมากๆ นี่มีคนโทรมาตามแล้ว เดี๋ยวโดนงอน หึหึ



ตอนที่ 8 ทำไม...ไม่เข้าใจ

ปกติเวลาผมจะสอนวันพุธกับพฤหัส ช่วงหกโมงถึงสามทุ่มสิบห้า พอสอนเสร็จก็จะขึ้นมานั่งคุยกับเพื่อนๆ ที่นั่งสูบบุหรี่พักผ่อน จริงๆ แล้วตัวผมไม่ได้สูบหรอกครับ แต่ว่าการคุยกับเพื่อน มันเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง แล้วเพื่อนก็พยายามพ่นควันไปทางอื่นอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าผมไม่ชอบ ก็เลยอยู่ได้เรื่อยๆ

“ตืด ........ ตืด ..........ตืด” ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับ ว่าโทรศัพท์สั่นอีกแล้ว พี่เต้นั่นเอง ผมก็ดีใจตามระเบียบ

“ไปกินข้าวกันไหม” ชอบจริงๆ กินข้าวดึกๆ เนี่ย จะให้อ้วนให้ได้ใช่ไหม รู้ไหมว่ากว่าจะเอาน้ำหนักให้ได้เท่านี้ต้องอดมาตั้งเยอะนะ แถมให้กินตอนดึกๆ อีก แต่คำตอบของผมก็คือ....

“ไปดิครับ พี่อยู่ไหนเหรอครับ”

“พี่เพิ่งเล่นฟิตเนสเสร็จน่ะ เดี๋ยวไปรอที่อารีย์ได้ไหม”

“ได้ครับ” แล้วผมก็อ่อยอิ่งอีกแป๊บนึง อยู่กับเพื่อนเวลานี้ เป็นเวลาที่ผมสบายใจมากเลยครับ

ที่สอนอยู่ด้วยกันก็มีแก้ม มาร์ท และซี เราอยู่คณะเดียวกันหมดเลยครับ แต่ว่าคนละเมเจอร์ แก้ม กับมาร์ทอยู่การตลาด ซีอยู่การเงิน ส่วนผมเองอยู่บัญชี
แก้มเป็นสาวสวยอินเตอร์ สองสัญชาติ แต่หน้าไทยแท้ แก้มเป็นเพื่อนที่ผมรักมากๆ อีกคนหนึ่ง เพราะแก้มไม่เคยทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย

มีครั้งหนึ่งตอนที่ผมบอกว่าผมชอบหนังเรื่องรักแห่งสยาม เพราะว่า ผมรู้สึกเหมือน”มิว” ผมเหงาเหมือนมิว และผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเพื่อนเหมือนมิว แก้มตอบว่าไงรู้ไหมครับ

“งั้นก็เราก็ต้องเป็นคนคิ้วเข้มๆ ดิ เราจะถามว่า ทำไมแกต้องคิดตัวเองไม่มีใครด้วย” ผมกอดแก้มทันทีเลยครับ ผมอาจจะไม่ได้สนิทกับแก้ม แต่เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับผมมากๆ ทีเดียว

มาร์ท เป็นเกย์อีกคนที่เรียนคณะเดียวกัน(และมีแค่เราสองคนเท่านั้นที่กล้าเปิดตัว แต่เราก็แอบสงสัยอีกหลายคนทีเดียวว่าอาจจะเป็น แต่ไม่เปิดตัว ฮ่า ฮ่า ฮ่า) แต่ผมค่อนข้างเรียบร้อยกว่า แต่เวลาอยู่ด้วยกันแค่เพื่อนๆ กลุ่มเล็กๆ เราจะแรงเท่ากัน หึหึ มาร์ทเป็นคนคุยสนุก และสร้างความสุขให้กับคนอื่นตลอดเวลา ตั้งแต่ผมรู้จักมาร์ทมา ผมยังไม่เคยเห็นใครไม่ชอบมาร์ทเลยครับ สอนก็เก่ง หน้าก็หล่อ(ถึงขนาดเคยได้เดือนกลุ่มด้วยนะครับ) ถ้านักเรียนสาวๆ รู้ล่ะก็ อกสลายเป็นทิวแถวแน่

สุดท้ายคือ ซี เป็นสาวแกร่งครับ เสน่ห์แรงมากๆ หนุ่มๆ นี่ไม่ได้ขาดมือ แต่ก็แบ่งเวลาได้เสมอ เธอไม่เคยเรียนได้เกรดไม่ดีเลยครับ ได้เกรดโอเคตลอด ประมาณว่า work hard, play hard อ่ะครับ เที่ยวแค่ไหนก็ไม่เคยทำให้การเรียนเสียเลย เป็นคนที่ผมนับถือมากๆ ทีเดียว นอกจากจะเป็นคนเก่ง แล้วก็ยังเป็นคนตรงด้วย เรียกว่าพวกผู้ชายบุคคลิกคุณหนูทั้งหลายที่ทำเป็นแต่จีบสาวเนี่ย แมนไม่ได้ครึ่งของซีแน่ๆ และซียังรักแม่มากด้วยนะครับ เรียกว่าผมชื่นชมในทุกๆ อย่างที่เป็นซีเลย

“นั่นแน่” มาร์ทตั้งท่าจะล้อ

“เราบอกแกแล้วว่า พี่เขาไม่ชอบเรา เราก็แค่มีความสุขไปวันๆ อ่ะ อย่าล้อเลย” ผมทำหน้าเศร้า

“เอก ยังไง แกก็ต้องป้องกันนะ” แก้มพูดขึ้น

“ป้องกันอะไรอ่ะ” งงครับ เอ๋อ ครับ ตามไม่ทัน

“ก็ป้องกันอ่ะ ไว้ใจไม่ได้หรอก ผู้ชายกับผู้ชายมีโอกาสติดเชื้อง่ายกว่านะ” แก้มต่ออีก

“จะบ้าเหรอ นี่ไปกินข้าวนะ ไม่ได้ไปทำอะไร เขาก็ไม่ได้ชอบฉันด้วย เฮ้อ” ดูมันแซวสิครับ ทำอย่างกะว่าเราจะไปทำอะไรกันอิดีมิร้ายซะงั้น พ่อแม่รออยู่บ้านครับ ยังไงผมก็ต้องกลับเร็วๆ หน่อย

หลังจากที่คุยกันพักใหญ่ พี่นัทแฟนแก้มก็มารับแก้ม อันเป็นเวลาที่เราต้องกลับจริงๆ ซักที ผมก็ไปที่สถานีรถไฟอารีย์ครับ แล้วก็ไปเจอพี่เต้ วันนี้เราไปทานข้าวมันไก่ครับ พี่เขาเคยบอกว่าจะพามากิน ตอนแรกผมว่าคงไม่มีวันได้มา เพราะว่ามันดูไกลความเป็นจริงมากที่จะได้มีครั้งที่สองหรือสาม แต่บังเอิญได้มากิน ผมก็มีความสุขดีเหมือนกัน และก็เหมือนทุกครั้ง พี่เขาก็พูดถึงเรื่องน้องนักแสดงคนนั้นอีกเหมือนเคย

“วันพรุ่งนี้น้องเขาจะไปร้องเพลงที่สยามด้วย บลา บลา บลา” ถึงผมจะพยายามตั้งใจแค่ไหน ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ เพราะมันร้าวไปหมดแล้ว ได้แต่เออออไปตามเรื่องตามราว ทำไมนะผมถึงได้รู้สึกแบบนี้ ผูกพันก็ไม่ใช่ แต่คงชอบแน่ๆ แล้วล่ะ ผมยอมรับกับตัวเองจริงๆ จังๆ ซักที

ปกติ ถึงผมจะชอบใคร ผมก็จะยินดีไปด้วยทุกครั้งที่เขามีความรัก เพราะมันเป็นการแสดงให้ผมรู้สึกตัวว่า ผมยังเป็นตัวของตัวเองอยู่ ไม่เอาตัวเองไปผูกติดกับใครจนเกินไป แต่กับพี่เต้ คงมากจนผมรู้สึกไปได้ขนาดนั้น ผมรู้ และยอมรับกับตัวเองทุกครั้งว่าไม่มีสิทธิ์

จนวันนี้หลังจากพี่เต้มาส่งที่บ้าน ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าผมคงต้องโทรหาพี่รันซะหน่อย

จริงๆ ผมก็พอรู้เรื่องพี่เขาจากพี่รันมาบ้าง แต่ตอนนี้มันเปลียนไปแล้ว ผมคิดมากไปแล้ว ในฐานะที่พี่เขาแนะนำให้เรารู้จักกัน พี่รันคงต้องตอบคำถามของเอกซักหน่อยแล้วล่ะ

เย็นวันถัดมา ผมก็โทรไปหาพี่รัน....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
จะแปะเพลง ดูที่กระทู้นี้จ้า
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63.0

เดี๋ยวมาเม้นต์นะ กินข้าวก่อน

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป


ตอนที่ 9

เย็นวันนั้น ผมไปเรียนตามปกติ แล้วก็ติดรถเพื่อนมาลงตรงเมเจอร์ รัชโยธิน ซึ่งผมจะหารถกลับได้สะดวกมากกว่าที่จะต้องหาจากมหาวิทยาลัย เพราะมันไกล ผมก็เลยแวะเดินตลาดนัดที่เมเจอร์ด้วยซะเลย และก็ถึงเวลาที่ผมจะโทรหาพี่รัน

“ฮัลโหล มีอะไรให้รับใช้” พี่รันรับสาย เสียงใสทีเดียว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็เรื่องพี่เต้แหละครับ”

“อ๋อ งั้นพี่วางก่อนนะ” แป่ว คือผมเคยคุยพี่เขาหลายทีแล้ว และพี่รันเองก็พูดให้ผมเลิกคิดเรื่องพี่เต้หลายทีแล้ว แต่ผมทำไม่ได้เอง คงเป็นเพราะไม่มีใคร แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนกับการแอบชอบเขาแบบนี้เท่าไรด้วย ก็เลยดื้อ ชอบพี่เต้มาเรื่อยๆ จนวันนี้มันเหนื่อยเกินไปซะแล้ว ผมคงได้หยุดซักที พี่รันก็คงเบื่อเหมือนกัน พูดแล้วไม่ฟังซะที ก็เลยไม่พูดอีก

“น่ะ พี่ก็” อ้อนนิดนึง เดี๋ยวแกก็ใจอ่อน เตือนสติผมอีกที คราวนี้คงรู้สึกตัวสักที

“เต้น่ะ มันมีปัญหาเรื่องตัดคนเก่าไม่ได้ มันเป็นปัญหาโลกแตก เพราะฉะนั้นยังไง นายก็ไม่มีสิทธิ์ มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายจะยอมรับมันรึเปล่าเท่านั้นแหละ เพราะนายรู้อยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่รู้” ก็ใช่สิ เพราะรู้ถึงได้โทรหาไง

“แล้วอีกอย่างเขาอยู่ด้วยกันมาขนาดนั้น ความผูกพันมันเทียบกันไม่ได้เลย” พูดอีกก็ถูกอีก

“ครับ ผมยอมรับแล้วครับ” มันแปลบอีกแล้วครับ อาการแบบนี้ ผมทำร้ายตัวเองไปครั้งที่เท่าไรแล้วนะ นึกถึงเรื่องนี้ทีไร แปลบในอกขึ้นมาทุกครั้ง ยังจะนึกถึงมันอีก

ถึงดูไปแล้ว ทั้งผมและพี่เต้มีความสัมพันธ์ที่น่าจะก้าวหน้าไปได้ แต่ผมรู้อยู่ลึกๆ ครับ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะพี่เขาไม่ได้ชอบผมเลย

“เขาอยากให้นายเป็นน้องตั้งแต่แรกแล้ว จำไม่ได้เหรอ เป็นได้แค่นั้น จำไว้ !!!” ผมบอกตัวเองอีกครั้งหลังจากที่พี่รันพูดประโยคนี้ไปก่อนวางสาย แต่ผมเพิ่มคำว่า”จำไว้” จะได้ย้ำเตือนให้ชัดเจนขึ้นอีก

ลมเย็นตอนค่ำๆ พัดมา ผมได้แต่หวังว่าลมจะพาความเจ็บปวดจากหัวใจผมไปบ้าง แล้วผมก็ตัดสินใจว่าหลังจากสอบเสร็จ ผมจะไปนั่งสมาธิครับ ผมจะลบเขาไปจากใจให้ได้ มันไม่ใช่ทางที่ถูกนักที่จะเข้าวัดไปทั้งที่ใจยังว้าวุ่น  แต่ผมเลือกแล้วว่าจะไม่ยอมให้เขาเข้ามายุ่มย่ามกับหัวใจไปเรื่อยๆ แบบนี้แน่นอน

ไม่กี่วันถัดมาผมก็เลยไปคุยกับคุณครูที่สอนโยคะ เพราะคุณครูก็ปฏิบัติธรรมเข้มข้นเหมือนกัน คุณครูก็เลยแนะนำที่นครนายก ซึ่งก็มีการฝากฝังให้เรียบร้อยผ่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งกรุณาไปส่งผมถึงนครนายกด้วย ตอนนี้ผมก็เลยรู้สึกนับถือผู้ใหญ่ท่านนี้มากๆ เลยทีเดียว
หลังจากนั้น ผมก็ยังคงคุยกับพี่เต้บ้างเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้ไปไหน เพราะผมใกล้สอบ ถึงจะจิตใจว้าวุ่นแค่ไหน ผมก็จะอ่านหนังสือ เพราะยังไง หน้าที่ก็สำคัญกว่า บางวิชาผมก็จะอ่านกับกับพี่บาสที่ผมเคยเล่าไป บางทีผมก็จะอ่านกับพี่ท้อปซึ่งเป็นคนเก่งมาก แถมยังน่ารักมากอีกด้วย ช่วงนี้เองที่ผมรู้สึกว่า ผมอาจจะเปลี่ยนใจไปจากพี่เต้ได้

พี่ท้อปเป็นผู้ชายร่างเล็ก หน้าตาน่ารักเหมือนตัวการ์ตูน และก็ใจดีกับผมมากอีกด้วย ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน อาจจะเป็นเพราะผมอ่านหนังสือกับพี่ท้อปบ่อยๆ กลับบ้านกับพี่ท้อปบ่อยๆ ก็เป็นได้

“พี่ท้อป ติวให้เอกหน่อยนะครับ” ผมอ้อนพี่ท้อป

“ได้ๆ แต่ต้องให้พี่อ่านอันนี้ให้จบก่อนนะ”

“คร้าบ”

“ตืด ............ ตืด ........... ตืด .........” โทรศัพท์สั่นอีกแล้ว พี่เต้อีกแน่เลย

“อยู่ไหนเนี่ย”

“ก็อ่านหนังสืออยู่ที่เดิมอ่ะครับ” เป็นร้านกาแฟที่ผมไปอ่านจนพนักงานจำได้แล้วอ่ะ

“เหรอๆ เดี๋ยววันนี้ไปกินข้าวกันไหม”

“ก็จะแวะมาก็ได้อ่ะครับ”

“แล้วเดี๋ยวพี่โทรไปนะ” พี่เต้ตอบมา

“ครับ”

ผมไม่มีใครให้พูดด้วยก็เลยต้องระบายพี่ท้อป “คนนี้ก็คุยๆ กันอ่ะพี่ ผมก็ชอบเข้านะ แต่เขาไม่ได้ชอบผม ไม่รู้ทำแบบนี้ทำไม .......บลา บลา บลา ..... รับรองได้ว่าไม่แวะมาหรอก” ผมทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น พี่ท้อปไม่ได้พูดอะไรออกมา และผมก็ได้แต่นั่งเหม่อออกไป





[wma=300,50]http://www.mbaprogramsthailand.com/wp-content/uploads/Nice2meetukondudung.wma[/wma]

วันนี้ไปอ่านหนังสือกะพี่ท้อป(อีกแล้ว) แต่วันนี้อ้อนให้ติดให้ ก็ไม่ติวให้อ่ะ  :o
แต่สุดท้ายก็อ้อนสำเร็จ   :a2:
ไปอ่านหนังสือแระ เดี๋ยวอ่านไม่ทัน อิอิ

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ 10 กลัวใจตัวเอง

หลังจากที่ผมสอบเสร็จ ก็ได้เวลาเตรียมตัว ซึ่งผมต้องซื้อชุดขาวที่จะไปนั่งสมาธิ ทำธุระอีกหลายอย่าง และยังต้องไปตัดผมด้วย เพราะว่าผมมันยาวไปหน่อย ผมกลัวจะไปเป็นอุปสรรคตอนปฏิบัติธรรมน่ะครับ ผมนัดช่างได้วันนี้พอดี แต่ว่าต้องไปทำธุระอีกที่ก่อนหน่อยนึง แล้วถึงจะไปได้

“ตืด.... ตืด ... ตืด” ระหว่าผมจะไปรอเวลาเพื่อจะตัดผม โทรศัพท์ก็สั่นขึ้น พี่เต้นั่นเอง ถึงแม้ว่าพี่เต้จะโทรมาบ่อย แต่ผมก็ยังคงดีใจทุกครั้งที่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของพี่เขาอยู่ดี


“ไง วันนี้ว่างป่าว”

“เดี๋ยวจะไปตัดผมอ่ะครับ”

“ไปกินข้าวกลางวันกันไหม พี่ชดเชยเรื่องเมื่อวาน” คือ เมื่อวานนี้ พี่เขาจะชวนผมไปดู”รักแห่งสยาม”ที่จะจัดเป็นรอบพิเศษที่สกาลาอ่ะครับ แต่ว่าบัตรที่พี่เขานึกว่าจะได้ พี่เขาให้อีกคนไปแล้ว ผมก็เลยอด พี่เขาก็เลยบอกว่าจะมาชดเชยให้วันนี้ จริงๆ ผมก็งงๆ เหมือนกัน เพราะเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่รู้ว่าทำไมพี่เขาจะต้องมาชดเชยให้ด้วย แต่มันก็รู้สึกดีใจนะครับ เพราะดูพี่เขาให้ความสำคัญกับเราขึ้นมาบ้าง

“แต่เอกต้องออกเร็วนะครับ ไม่อยากให้ช่างรอ” เป็นช่างประจำน่ะครับ บางวันก็คนเยอะ บางวันก็คนน้อย แต่ก็ควรไปตรงเวลา เพราะถ้าเป็นวันคนเยอะ พอเลทแล้ว มันจะหาเวลาลงยาก แล้วผมค่อนข้างไว้ใจช่างคนนี้ เพราะเป็นคนแรกที่ตัดได้ถูกใจทุกครั้ง แต่แพงหูฉี่มากเลยครับ ปกติผมจะรอ 2-3 เดือน ถึงจะไปตัดสักครั้งหนึ่ง

“ได้ๆ งั้นไปกินอะไรดีล่ะ”

“กินอะไรก็ได้อ่ะครับ”

“งั้นฟูจิ ตรงอารีย์แล้วกัน”

“ได้ครับ”

“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” ผมตั้งใจไว้ว่า ผมจะไปกับพี่เขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ หลังจากนั้น ผมจะหายไปจากชีวิตของพี่เขา และถ้าผมไม่สามารถลืมพี่เขาได้ ผมจะไม่ติดต่อกลับไป เพราะอีกสามวัน ผมก็จะไปปฏิบัติธรรมแล้ว และช่วงสามวันนี้ก็มีอะไรที่ต้องทำเยอะแยะเลย แล้วอีกอย่าง ผมคิดว่าพี่เขาก็คงเห็นผมเป็นแค่น้องชายคนหนึ่งจริงๆ ถ้าผมยังรั้นทำตามใจตัวเอง ก็คงจะมีแต่เสียใจเพิ่ม เพราะฉะนั้น อย่าไปทำให้ตัวเองเสียใจเลย

“อยู่ไหนแล้วอ่ะครับ” ผมโทรไป หลังจากที่ไปถึงแล้ว

“เดี๋ยวอีกสักยี่ยิบนาทีอ่ะ เอกไปถึงแล้วเหรอ”

“ครับ งั้นเดี๋ยวผมรอก่อนก็ได้ครับ ไม่เป็นไร”

“อืม เดี๋ยวเจอกัน” ผมก็เข้าไปนั่งรอในร้านสตาร์บั๊ก ช่วงนี้ยังมีงานที่ต้องเคลียร์อีกนิดหน่อย เพราะว่ามีพี่อีกคนให้ช่วยทำงาน ผมก็พยายามสะสางก่อนไป ก็เลยได้โอกาสนั่งดูสักกะหน่อย จะได้ไม่เสียเวลาด้วย สักพักพี่เต้ก็โทรเข้ามา แล้วก็เดินมาหาที่ร้าน เรานั่งกันที่สตาร์บั๊กแป๊บนึง แล้วก็ไปทานข้าวที่ฟูจิ

“แล้วนี่เดี๋ยวเอกจะไปตัดผมเหรอ”

“ครับ นี่ตั้งแต่ก่อนสอบแล้ว มันยาวมากเลย ก็เลยไปตัดสักหน่อย” พี่เขาไม่รู้ครับว่าผมจะไปนั่งปฏิบัติธรรม เพราะผมไม่ได้บอก แล้วก็ตั้งใจจะไม่บอกด้วย ก็พี่เขาไม่ได้ถามนี่ครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นด้วย

“....... ตืด ........ ตืด ........ ตืด .......” โทรศัพท์เข้าครับ เบอร์ของคุณน้าที่ฝากผมไปปฏิบัติธรรมนี่นา

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ้ะ เอก เป็นไงเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว”

“ก็เรียบร้อยไปเยอะแล้วครับ นี่เดี๋ยวจะไปหาชุดขาวอ่ะครับ” แน่ะ พี่เต้จ้องมาตาแป๋วเชียว แอบฟังทำไมก็ไม่รู้

“เดี๋ยวเรื่องห้องนอน นี่น่าจะได้นอนเดี่ยวนะ”

“ไม่เป็นไรครับ เอกนอนไหนก็ได้อยู่แล้วครับ”

“เอาเตียงคู่หนุ่มๆ ไปเลย” เสียงพี่เต้ครับ มากวนอะไรเวลานี้เนี่ย คุณน้าเขาไม่ใช่คนที่น่าเล่นด้วยซักกะหน่อย

“ถ้าไม่มีธุระอะไร เดี๋ยวน้าจะไปส่งที่นครนายกนะจ้ะ” คุณน้าใจดีมากไปไหมอ่ะครับ

“ไม่ต้องก็ได้มั้งครับ”

“ขอน้าร่วมบุญด้วย รู้ป่าว ว่าแค่คิดว่าจะไปนี่ก็เป็นบุญมากแล้วนะ”

“ครับ ครับ ครับ” ปัจจุบันผมเปลี่ยนสรรพนามที่ผมใช้กับคุณน้า เป็นคุณแม่ไปเรียบร้อยแล้วครับ คุณน้าน่ารักมากครับ เรียกว่า ใครได้อยู่ใกล้ต้องได้สัมผัสความใจดีของคุณน้า ผมก็เหมือนกัน ก็เลยสมัครเป็นลูกโดยไม่ต้องขอเลย หิหิ

“พี่เต้เป็นอะไรเนี่ย” พอวางสาย ผมก็เม้งเลยครับ คุณน้าเป็นผู้ใหญ่มากนะครับ เกิดได้ยินที่พูดขึ้นมา คุณน้าจะว่าไงล่ะเนี่ย

“ก็บอกให้นอนห้องเดียวกับหนุ่มๆ ไง” คุยไป คุยมาถึงได้รู้ว่า พี่เต้นึกว่าคุณน้าที่คุยด้วยเป็นผู้ชาย ก็เลยแซว แต่ว่าก็แบบนี้แหละครับ ผมก็เลยปิดเรื่องไปปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ แล้วอีกอย่าง พี่เขาก็ไม่ได้ทำหน้าเดือดเนื้อร้อนใจอะไรด้วย ผมก็เลยสรุปเลยว่าพี่เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไร

“จะบ้าเหรอ คุณน้าเขาเป็นผู้หญิง”

“อ้าว.... เหรอ” ทีแบบนี้มาทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เดี๋ยวเถอะ หมู่นี้พี่เต้ชอบเป็นแบบนี้อ่ะครับ เวลาเล่าเรื่องคนโน้นคนนี้ แบบเหมือนแซวๆ ออกแนวทำท่าห่วงๆ เอก ไม่รู้ห่วงหรือหวง ไม่ชอบกันก็อย่าทำท่าแบบนั้นได้ไหม มันทำให้ผมคิดมาก พาลจะเข้าใจผิดอีกต่างหาก เฮ้อ

“อาหารอร่อยไหม”

“ก็อร่อยดีอ่ะ เสียดายกินไม่หมด” จริงๆ ก็เป็นแบบนี้เกือบทุกครั้งแหละครับ ผมก็แอบเสียดายนะ แต่ว่าพี่เต้แกเงินเดือนเยอะไงครับ ผมก็เลยได้รับอานิสงส์ไปด้วยในตัว เพราะพี่เต้เลี้ยงผมตลอดเลย จำได้ว่าครั้งแรกๆ พยายามยื่นเงินให้แกแล้ว แกก็ไม่รับสักกะที หลังๆ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย กินทีไรพี่เต้ก็เลี้ยงอยู่ดี ขี้เกียจพูดแล้ว

“ไปเหอะ” พี่เต้ชวน หลังจากที่ถึงควรแก่เวลา พี่เต้ก็มาส่งผมที่รถไฟฟ้า เพราะว่าผมจะไปตึกไทม์สแควร์ ส่วนพี่เขาจะไปหาเพื่อนที่สยาม ผมทำเป็นไม่สนใจ เดินขึ้นมาสักสามก้าว ผมก็หันกลับไปมองพี่เต้ พี่เต้จะรู้ไหมนะว่าน้องชายคนนี้ตั้งใจว่าจะเจอพี่เต้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะน้องคนนี้ทำตามที่พี่เต้ต้องการไม่ได้ น้องคนนี้คิดมากเกินกว่าจะเป็นพี่น้อง น้องคนนี้พยายามแล้ว แต่เมื่อมันไม่ไหว น้องคนนี้ก็คงต้องจากไป

ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยนะครับ ผมไม่เคยทำแบบนี้กับใครก็ตามที่ผมรัก อย่างที่บอก ผมเลือกที่จะปล่อยให้สายลม และกาลเวลามันพัดพอความรู้สึก”อยากให้เขารักเรา”ไป เหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ต่อกัน แต่เมื่อมันไม่เหมือนกับครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมาในชีวิตครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน ผมมองพี่เต้ไปจนลับสายตา แล้วก็เดินขึ้นรถไฟฟ้าไป

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 o7  o7  o7  o7  o7
ความต้องการไม่ตรงกัน ต้องแยกจากกันไป
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
เศร้าทั้งเรื่องอะป่าวเนี้ยะ

มีแต่เรื่องเศร้าๆ

 :เฮ้อ:


เป็นกำลังใจให้นะครับ

 o13

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
เศร้า....แต่อ่านแล้วได้อารมณ์แบบชีวิตจริงมากมาย เราชอบเรื่องแบบนี้นะ เรื่องที่มาจากความรู้สึกจริงๆ ชีวิตจริงน่ะไม่ได้สวยหรูเหมือนในนิยายหรอก
เปนกำลังใจให้นะคะ สู้ๆจ้า

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป
 :m15: :m15:

เศร้านะ แต่เห็นด้วยนะที่คิดแบบนี้ รู้สึกว่าเราได้ทำสิ่งที่ดี ๆ
เพราะ ถ้าเข้าไม่ใช่ของเรา มันก็คือไม่ใช่ ถ้าไม่ได้เป็นที่ 1 ฉันก็จะไม่เป็นที่ใด ๆ เลย

dark789

  • บุคคลทั่วไป

iamhappywood

  • บุคคลทั่วไป
12.
ผมกลับมาแล้วครับ หลังจากที่ตลอดช่วงปีใหม่ผมไปปฏิบัติธรรมมา มันดีมากๆ เลยครับ

วันที่ไป คุณน้ามารับผมถึงที่บ้าน แล้วก็พาไปถึงที่นครนายกเลย ก่อนเข้าไปที่สถานที่ปฏิบัติ ก็พาไปทานราดหน้า อร่อยมากๆ เลยครับ นี่ตั้งใจว่าสิ้นเดือนนี้จะไปอีก ก็จะไม่พลาดราดหน้าเจ้านี้แน่นอน หึหึ

พอไปถึงคุณน้าก็ยังดูแลความเรียบร้อยของห้องให้ด้วยอีกต่างหาก ซึ่งสำหรับผมไม่มีอะไรอยู่แล้ว ผมง่ายๆ เท่าที่มีอยู่ก็นับว่าดีมากๆ เลยทีเดียว ผมไปถึงล่วงหน้าหนึ่ง ผมต้องรอจนถึงบ่ายของอีกวันหนึ่ง เพื่อที่จะได้เข้าคอร์ส ทำให้มีเวลาตลอดบ่ายวันนั้น แล้วก็ยังมีเวลาตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นด้วย คุณน้าก็เลยให้หนังสือธรรมมะมาอ่าน มันเป็นหนังสือที่อ่านง่ายมากๆ ครับ สนุกมากด้วย เพราะเป็นเรื่องราวในพระไตรปิฎก เหมือนกับเราอ่านนิทานน่ะแหละครับ ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าหนังสือแบบนี้ ถ้ารู้ว่ามันอ่านแล้วสนุกแบบนี้คงไปหาอ่านมาตั้งนานแล้ว สรุปวันนั้น หลังจากคุณน้ากลับไปแล้ว ผมทำความสะอาดห้องนอน ห้องน้ำให้เรียบร้อย(เพราะว่าต้องนอนเดี่ยว) แล้วก็จัดของให้เรียบร้อย พอค่ำก็ไปฟังเทศน์ แล้วก็เข้านอน (พอเจอของจริงก็เอาไม่อยู่ หลับซะงั้น หิหิ)

วันรุ่งขึ้นผมก็ตื่นมา ทำโน่น ทำนี่ แล้วก็รอเวลา จนได้เวลาเปิดคอร์ส

วันแรก อาจารย์ก็เล่ากฎระเบียบ ซึ่งผมว่าที่นี่ค่อนข้างเคร่ง เพราะว่าให้ถือศีลแปด แล้วเรายังต้องตื่นตอนตีสามครึ่ง เพื่ออกมาตอนตีสี่ แม่เจ้า หนาวขนาดนี้ ลูกจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย เสร็จแล้วก็สอนนั่งสมาธิ สอนเดินจงกรม ทำให้จิตใจสงบไปได้เยอะเลยครับ

เราปฏิบัติกันค่อนข้างเคร่งครัด จนถึงวันที่ 31 ธันวาคมวัดข้างๆ มีงานเสียงดังมาก แต่เราก็ไม่ท้อนะครับ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ หนาวขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเหลือสามคน ผมก็ขอบาย ไม่ไหวแล้ว ไม่สามารถโต้รุ่งได้

หลังจากคืนนั้นผมว่า เพลงขอนไม้ดังในหัวผมไปอีกนานเลยครับ เพราะพี่แกเล่นเปิดเกือบๆ สิบรอบได้ แล้วงานมันไม่ใช่แค่คืนนั้นไงครับ มันมาตั้งแต่ วันที่ 29 -30 แล้ว พอสามสิบเอ็ดก็ยิงยาวเลย คือ จริงๆ มันก็มีเพลงอื่นๆ นะครับ แต่หลักๆ แล้วเป็นเพลงขอนไม้ ไม่ว่าจะชายหญิง เวอร์ชั่นละเจ็ดแปดรอบได้มั้งครับ ไม่ได้นับเหมือนกัน แล้วก็ถึงวันที่ 1 มกราคม

พอขึ้นปีใหม่ ทุกคนก็กลับ เหลือผมกับพี่ๆ อีกสามสี่คนที่อยู่ปฏิบัติต่อ ผมเองยังไม่เปิดเทอม เหลืออีกสี่ห้าวัน ก็เลยถือโอกาสทำบุญให้แก่ตัวเองไปในตัว ผมกำหนดกลับวันที่สี่ ก็ได้ปฏิบัติต่ออีกหน่อย

พอถึงเย็นวันที่ 3 ผมก็ลาพระอาจารย์ แล้วก็กลับบ้านเลยครับจริงๆ ผมออกจากสมาธิตั้งแต่วันที่ 3 เย็นแล้ว แต่กะไว้ว่าจะทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อย แล้วกลับวันที่ 4 ปรากฎว่าก็เรียบร้อยไปตั้งแต่หนึ่งทุ่ม ก็เลยไม่ได้ทำอะไร งานการก็ยังค้างคาอยู่ ก็เลยกลับซะเลย

พี่ที่ศูนย์ก็ขับรถมาส่งที่ท่ารถ พอเอกรอรถสักพัก พถก็มา(เสียวแทบแย่ นึกว่ารถจะหมดซะแล้ว) เอกก็ขึ้นรถ เป็นครั้งแรกจริงๆ ครับที่ขึ้นรถทัวร์แบบนานๆ ขนาดนี้ ปกติไปพัทยา หรือชลบุรี รถมันดีกว่านี้อ่ะครับ อันนี้เลยให้ความรู้สึกชาวบ้านกว่าหน่อย ก็แฮปปี้ดี ตลอดทางที่มาถึงกรุงเทพ พี่เต้ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด เพียงแต่ว่าความรู้สึกไม่ดี มันหายไปมากทีเดียว ผมไม่รู้สึกเจ็บขนาดนั้นอีกต่อไป ผมสบายใจขึ้น และยอมรับกับตัวเองมากขึ้น ผมอธิษฐานให้พี่เต้ได้สมหวังกับความรักของเขาสักที ส่วนผมขอดูอยู่ห่างๆ เป็นน้องที่ดีให้ได้ซักที

ตั้งใจไว้ว่ากลับไปคราวนี้ ผมจะไม่ติดต่อพี่เต้ หากพี่เขาไม่ติดต่อมาก่อน

แต่ก็ไม่ได้นำพา... เพราะว่าเปิดมือถือขึ้นมา เบอร์ที่โทรเข้ามา(ในช่วงที่ปิดมือถือไปหนึ่งสัปดาห์) มีเบอร์พี่เต้อยู่ด้วย แล้วแบบนี้ผมจะทำยังไงดีล่ะครับ เฮ้อ

ผมตั้งใจแล้วว่า คราวนี้ผมจะพูดกับเขาจริงๆ ซักที เรื่องของผมกับเขา เอาให้เคลียร์กันไป จะได้ไม่ต้องสงสัยอะไรกันอีก

แล้วพอผมกลับมาจริงๆ ผมก็เฮฮากับเพื่อนๆ เพราะว่าพวกนี้เพิ่งกลับมาจาก exchange กัน

จริงๆ แล้ว ผมต้องไปอเมริกาเทอมสองนี่แหละครับ ที่ UCSB แต่ว่าขอยกเลิกไป เพราะกลัวไม่จบ

คือถ้าเอกไปที่โน่น เอกก็ต้องเรียนวิชาตามเท่าที่เขาให้เทียบโอนกลับมาได้ไงครับ คราวนี้ ก็มีแต่วิชาการเงิน แล้วก็พวกวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเอกว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน สุดท้ายก็เลยไม่ไปดีกว่า แล้วไปที่โน่นก็กลัวเรียนตามเพื่อนไม่ทันด้วย แถมตอนนั้นเหลืออีกเดือนเดียว ยังหาที่อยู่ไม่ได้เลยครับ รวมทุกเรื่องกัน เอกก็เลยตัดใจไม่ไปดีกว่า รู้สึกเปลืองเงินน่ะครับ ถ้าไปแล้วได้ไม่คุ้ม

แล้วอีกอย่าง เอกก็ขี้เกียจเรียนแล้ว อยากจบสามปีครึ่ง (จะได้ไปทำอย่างอื่นซักที ถ้าไป exchange เอกต้องจบสี่ปีน่ะครับ)

กลับมาคราวนี้ ผมเปลี่ยนไปแล้ว แต่ว่ามันจะอยู่ได้นานแค่ไหนนะ ผมสงสัยตัวเองจริงๆ

และ... ถ้ารู้ว่าเรื่องหัวใจมันจะยังไม่เรียบร้อยแบบนี้ เอกน่าจะตัดใจไปซะตั้งแต่ต้น ไม่น่าเลย...






ขอโทษด้วยนะครับ เพิ่งสอบเสร็จจริงๆ ถ้าเผื่อมีคนรอ(แต่ไม่น่ามีเท่าไร เพราะนี่ตอนสิบสองแล้ว ยังอยู่หน้าแรกอยู่เลย อิอิ) ก็ขอโทษอีกครั้งหนึ่งนะครับ
ใกล้จบแล้วครับ น่าจะจบในอีกวันสองวันนี้แหละครับ
เรื่องต่อไปจะเขียนเรื่องมีความสุขแล้วครับ
เรื่องเศร้าๆ แบบนี้ ผมขอเก็บไว้ในความทรงจำที่ดีเฉยๆ ดีกว่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด