“งั้นคอยดูนะเราจะทำให้หนึ่งรักเราให้ได้ ว่าแต่คืนนี้ขอกอดหน่อยนะ”เค้าไม่รอคำอนุญาตจากผม แต่ดึงร่างผมเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนทันที น่าแปลกที่ผมเองก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
ผมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้น นี่มันผ่านวันนั้นมากี่ปีแล้วนะ และเค้าก็ทำให้ผมรักเค้าจนได้สินะ แถมคงจะรักเค้าตลอดไป รักใครไม่ได้อีกแล้ว แต่เค้าล่ะ เค้าจะยังรักผมอยู่ไหมก็ไม่รู้ รอยยิ้มของผมค่อยๆ หุบลงก่อนจะกลายเป็นสีหน้าเศร้าสร้อยแทน
“เฮ้ยไอ้หนึ่ง ตกลงว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ เล่ามาสิ กรูเห็นมรึงจะเป็นจะตายแบบนี้ กรูแดร๊กเบียร์ไม่อร่อยว่ะ”ไอ้เฟียสต์เอาแก้วเบียร์ของมันกระทบกับแก้วผมที่ยังคงวางแน่นิ่งอยู่
“ไม่มีอะไร”ผมตอบเสียงเนือยๆ ก่อนจะยกเบียร์หมดแก้ว
“ไหนมรึงเล่ามาสิว่าวันนี้ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”ไอ้เฟียสต์ยังคงไม่เชื่อว่าไม่มีอะไร มันคงคิดว่าผมต้องทะเลาะกับเออย่างแน่นอน
“กรูจะไปทะเลาะอะไรกันตอนไหน ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำแต่งตัวแยกย้ายกันไปทำงาน เค้าก็บอกว่าวันนี้ไม่ต้องรอกินข้าว แล้วกรูก็ยังไม่ได้เจอกันอีก จะเอาเวลาตอนไหนไปทะเลาะกัน”ผมบอกออกไปตามความจริงที่เกิดขึ้น
“งั้นมรึงก็งอนที่มันไม่กลับมากินข้าวเย็นพร้อมมรึง”ไอ้เฟียสต์เริ่มตั้งสมมติฐานใหม่ แต่มันไม่ใช่ แค่เรื่องนั้นมันไม่ได้ทำให้ผมเป็นเหมือนที่เป็นตอนนี้ได้หรอก แต่เพราะอะไรล่ะ ผมก็อธิบายให้เพื่อนฟังไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ใช่หรอก ปกติก็ใช่ว่าเอจะไม่เคยให้กรูต้องกินข้าวคนเดียว กรูไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนะ ถ้าเค้ามีธุระ กรูจะไปงอนอะไรไร้สาระแบบนั้น”ใช่แล้วผมไม่ได้งอนเค้าหรอก ไม่ได้โกรธเลยด้วย แต่ผมกำลังกลัว กลัวว่าเค้าจะเบื่อผม กลัวเค้าไม่เหมือนเดิม กลัวเค้าจะไม่รักผมอีกแล้ว
“นั่นสิ แล้วมรึงเป็นเชี่ยอะไรล่ะเนี่ย”ไอ้เฟียสต์ส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ พี่ใฝเลยสะกิดให้มันเงียบไว้ดีกว่า เพราะแกคงเห็นว่าผมไม่อยากพูดเท่าไหร่
พวกเราสามคนดื่มกันจนตึงๆ ทุกคน วันนี้ผมมีโอกาสได้เห็นพี่ใฝเมา พอแกเมานี่วิญญาณคาสโนว่าเข้าสิงห์เลย เพราะแกเล่นทั้งจีบทั้งหยอด สาวเชียร์เบียร์จนเค้าอายม้วนไปเลย ส่วนไอ้เฟียสต์ก็ปากหมาเหมือนเดิม พอออกจากลานเบียร์ก็ดึกมากแล้ว และสงสัยว่าอาหารที่กินไปเมื่อตอนหัวค่ำ คงจะย่อยไปหมดแล้ว พวกผมเลยพากันท้องร้อง น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงานอีกแล้ว เราสามคนเลยพากันไปแวะร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ซึ่งจริงๆร้านข้าวต้มก็มีเยอะแยะ พวกผมก็บอกพี่แทกซี่ว่าไปร้านไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด ผมไม่คิดเลยว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับผมได้เพียงนี้ วันนี้มันช่างเป็นวันที่ยาวนานและทรมานสำหรับผมเหลือเกิน ไม่ว่าจะไปที่ไหนผมก็หนีไม่พ้นเรื่องราวระหว่างผมกับเค้าเสียเลย ถ้าเป็นวันก่อนๆ ผมอาจจะมีความสุขที่ได้มาในสถานที่ที่เราเคยมีความทรงจำร่วมกันแบบนี้ แต่วันนี้ผมไม่อยากเจอสถานที่พวกนี้เลย
ร้านข้าวต้มแห่งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อหลายปีก่อนผมพาเพื่อนๆ ไปเลี้ยงวันเกิดในผับ หลังจากผับปิดก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ แต่ไอ้เฟียสต์ดันหิวขึ้นมา เลยลากผมกับเอมาทานข้าวต้มที่ร้านนี้
“จะกินอะไรก็รีบๆสั่งเลยมรึง”ผมบอกไอ้เฟียสต์เพราะตอนนี้ง่วงเต็มทีแล้ว อีกอย่างวันนี้ไปผับก็ดื่มเหล้าเข้าไปเยอะพอสมควร ยิ่งเป็นเจ้าของงานวันเกิดอีกผมเลยดูจะได้ดื่มเยอะ อีกอย่างผมไม่ค่อยถูกโฉลกกับเหล้าเท่าไหร่ ดีที่ยังครองสติไว้ได้
“มรึงเลี้ยงนะ วันนี้วันเกิดมรึง”ไอ้เฟียสต์หาเรื่องกินฟรี ทั้งที่ตอนที่ผับผมก็เลี้ยงพวกมันทุกคนไปแล้ว
“ของขวัญก็ไม่มีให้กรู ยังจะมาขอให้เลี้ยงอีก”ผมแกล้งพูดแต่จริงๆ ให้เลี้ยงมันผมก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ อีกอย่างของขวัญมันก็เตรียมให้ผมแล้วแหละ เพื่อนทุกคนก็เตรียมแล้วแต่ว่าจะให้ผมในวันรุ่งขึ้นที่เป็นวันเกิดผม จริงๆก็วันนี้แหละเนอะก็นี่มันตีสองของวันใหม่แล้ว ตอนแรกเพื่อนๆ คิดว่าผมจะเลี้ยงตอนเย็นของวันที่ผมเกิด แต่ผมดันเลี้ยงคืนก่อนวันเกิด คือทำเหมือนจะเคาท์ดาวน์ เพื่อนๆเลยไม่ได้ตั้งตัวเอาของขวัญมาให้ผม เพราะเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน ตอนแรกเพื่อนบางคนก็ไม่ว่าง แต่สุดท้ายก็ทยอยมากันจนหมด
“อยากได้ของขวัญตอนนี้เลยไหม”ไอ้เฟียสต์หันมาพูดยิ้มๆ จนผมหวั่นๆ ว่ามันจะเอาอะไรมาให้ผม
“มรึงจะไปเอาที่ไหนมาให้กรู”ผมถามอย่างท้าทายว่ามันไม่มีอะไรให้ผมตอนนี้หรอก
“กรูคงให้มรึงไม่ได้หรอก แต่คนอื่นอาจมีอะไรให้มรึงได้นะ”มันพูดก่อนจะชายตามามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม ที่ตอนนี้เอาแต่นิ่งเงียบ เพราะเมานั่นเอง เป็นคนที่เมาแล้วเงียบมาก เงียบมากกว่าปกติแถมเดาได้ยากด้วยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เอเอาของขวัญมาให้เราด้วยเหรอ”ผมหันไปถามคนที่นั่งเงียบ เค้าไม่ตอบแต่ก้มลงไปแกะเชือกผูกรองเท้า ผมมองการกระทำของเค้าเงียบๆ กำลังงว่าเค้าทำอะไร หันไปมองไอ้เฟียสต์ มันยักไหล่ว่าไม่รู้เหมือนกัน ผมกำลังคิดว่าเค้าจะเอารองเท้าเค้าให้ผมรึไง แต่พอเค้าแกะเชือกผูกรองเท้าได้ เค้าก็เอามามัดที่แขนข้างนึง อย่างทุกลักทุเล ตกลงนี่เค้าเมาจนเพี้ยนหรือเปล่า
ผ่านไปนานพอสมควรกว่าผมจะมองออกว่าที่เค้ากำลังพยายามทำก็คือมัดเชือกผูกรองเท้านั้นให้เหมือนเป็นรูปโบว์นั่นเอง พอเค้าทำเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมามองผม ผมหันไปมองไอ้เฟียสต์ มันก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มอย่างเดียว ไม่สนใจผมแล้ว ผมจึงหันกลับมาหาคนข้างๆ เอขยับเก้าอี้เข้ามานั่งชิดผม ส่งแขนข้างที่มีโบว์เชือกผูกรองเท้านั้นมาให้ผม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“สุขสันต์วันเกิดนะ”หน้าเขาแดงระเรื่อไม่รู้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรืออย่างอื่นด้วยก็ไม่รู้ แต่เล่นเอาผมเหวอไปเลย นี่แกล้งกันใช่ไหม เล่นให้ของขวัญวันเกิดกันแบบนี้
“ทั้งตัวและหัวใจของเรา ยกให้หนึ่งหมดเลย”เอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะกำลังตกใจ บวกกับอดที่จะปลื้มกับสิ่งที่เค้าทำไม่ได้ มันไม่ได้ดูโรแมนติกเลยสักนิดนะผมว่า ถ้าจะทำนะทำให้มันดูดีกว่านี้หน่อยก็ได้ นี่อะไร ร้านข้าวต้มเอย เชือกผูกรองเท้าเอย แต่มันก็ทำให้ผมยิ้มออกกับความพยายามนั้น
“อ้าวยิ้มอยู่นั่นแหละ จะรับของขวัญชิ้นนี้ไหมไอ้หนึ่ง ไอ้เอมันรอนานแล้วนะ”ไอ้เฟียสต์พูดขึ้นอย่างรำคาญในขณะที่เอยังคงยืดแขนรอให้ผมแกะของขวัญชิ้นนี้ แต่ผมรู้ว่านี่หมายความว่ายังไง นี่เป็นการขอคำตอบจากผมว่า ผมพร้อมจะคบกับเอแล้วหรือยัง ถ้าผมแกะก็หมายความว่าผมยอมรับรักเค้าหลังจากที่เค้าพยายามมานานแล้ว เอยังคงจ้องหน้าผมนิ่งอย่างวิงวอน อดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นความคิดไอ้เฟียสต์อีกหรือเปล่าเนี่ยที่ทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้
“ขอเอากลับไปแกะที่บ้านได้ไหม”ผมตัดสินใจพูดออกไป พร้อมกับยิ้มให้ของขวัญชิ้นสำคัญของผม
“ไอ้หนึ่งสองสาม กรูถามว่าจะแดร๊กอะไร”ไอ้เฟียสต์เรียกผมตื่นจากความทรงจำในครั้งก่อน
“อะไรก็ได้”ผมตอบผ่านๆ เพราะเห็นมันสั่งไปหลายอย่างแล้วจะสั่งมาอีกก็คงกินไม่หมดหรอก ยิ่งเมาๆแบบนี้ถึงจะหิวแต่คงกินไม่หมดหรอก
“นี่อย่าบอกนะว่าคิดเรื่องของขวัญวันเกิดที่เคยได้ตอนนั้น”ไอ้เฟียสต์พูดอย่างรู้ทันในความคิดผม พี่ใฝทำหน้างงๆเพราะไม่เข้าใจในเรื่องราว
“เปล่าซะหน่อย ผมรีบปฏิเสธ”แต่คงเก็บอาการไม่ค่อยอยู่
“เปล่าแต่ทำเขินเป็นสาวน้อยไปได้ ไอ้เชี่ยเอ้ย”ไอ้เฟียสต์บ่นๆ ตามประสาครับ
“แล้วไอ้เอได้เล่าให้มรึงฟังหรือเปล่าว่า วันนั้นมันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอก”ไอ้เฟียสต์พูดต่อทำเอาผมใจแป้ว เค้าไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นเหรอ
“ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้าเลย คือจริงๆ วันนั้นไอ้เอมันเตรียมริบบิ้นอะไรเรียบร้อยแล้ว จะผูกตัวเองให้มรึงตั้งแต่ที่ผับแล้ว แต่กรูเห็นมันลีลาท่ามาก อ้อยอิ่งกรูเลยจิ๊กเอาริบบิ้นมันไปผูกตัวเอง เล่นมุกจีบสาว เลยให้ริบบิ้นสาวไปด้วย ไอ้เอมันเลยล้มเลิกความคิด แต่กรูอยากช่วยให้มรึงสองคนสมหวังเลย ช่วยกันวางแผนกันใหม่ที่ร้านข้าวต้มนี่แหละ”อ่ะนะสรุปว่าวางแผนมาด้วยกันนี่เองมิน่าวันนั้นไอ้เฟียสต์ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย
“ด้วยการเปลี่ยนจากริบบิ้นเป็นเชือกผูกรองเท้า คิดได้นะมรึงไอ้เฟียสต์”ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อารมณ์ดีขึ้น
“ไม่ใช่ความคิดกรูนะ กรูบอกมันว่าไม่มีอะไรผูกก็ไม่ต้องผูก ถอดเสื้อผ้าพลีกายให้มรึงไปเลย ใครจะไปคิดว่ามันจะทำโรแมนติกแบบเถื่อนๆนั่นกัน”เป็นยังไงว่ะโรแมนติกแบบเถื่อนๆ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะทำตามความคิดไอ้เฟียสต์ละมั้งที่จะให้ถอดเสื้อผ้าพลีกาย ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มกับเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง
“ตกลงว่ามรึงน้อยใจอะไรมันหรือเปล่าว่ะไอ้หนึ่ง กรูถามจริงๆเถอะ อย่ามาโกหกกรูเลย ดูหน้ามรึงก็รู้ว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ”ไอ้เฟียสต์จ้องหน้าผมคาดคั้น
“กรูแค่รู้สึกกลัวแค่นั้นแหละ”ผมสารภาพออกไปในที่สุด
“กลัวอะไรก็พูดมาซิว่ะ ลีลาอยู่ได้”ไอ้เฟียสต์เริ่มออกอาการหัวเสีย จนพี่ใฝต้องคอยสะกิดให้สงบๆหน่อย
“กลัวว่าเอจะเบื่อกรูแล้วก็เลิกรักกรู”ผมบอกออกไปพร้อมกับความรู้สึกบีบคั้นในใจ น้ำตาปริ่มๆแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่
“ไอ้บ้าเอบีซีนั่นนะเหรอจะเบื่อมรึง เอาสมองส่วนไหนคิดว่ะไอ้หนึ่ง”ไอ้เฟียสต์พูดอย่างขำๆ เหมือนสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องตลก แต่ผมไม่ขำกับมันด้วย เพราะเหตุการณ์วันนี้มันทำให้ผมคิดเช่นนั้น วันนี้ตั้งแต่เช้าที่ผมตื่นขึ้นมา แล้วรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม
“อะไรทำให้หนึ่งคิดแบบนั้นล่ะครับ”พี่ใฝพูดขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยจริงๆ
“นั่นสิ ไหนมรึงลองเล่ามาสิ”ไอ้เฟียสต์เองก็หันมาทำหน้าจริงจัง
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้”ผมเริ่มพูดก่อนจะเล่าในสิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าเค้าจะไม่รักผมอีกแล้ว ตั้งแต่ตอนเช้าตื่นตอน ไปทำงาน จนผมต้องมากินข้าวกับไอ้เฟียสต์นี่ โทรศัพท์จากเค้าที่ไม่มีมาถึงผมเลย ในที่สุดผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมกลัวเหลือเกินว่าเค้าจะหมดรักผมแล้ว กลัวเหลือเกินที่จะอยู่โดยไม่มีเค้า
“หนึ่งใจเย็นๆ ก่อนก็ได้ มันยังไม่น่าจะมีอะไรนี่นา เพราะทั้งหมดนี้ น้องหนึ่งก็คิดเอาเองทั้งนั้น เออาจจะไม่ได้เบื่อหนึ่งจริงๆ ก็ได้นี่นา”พี่ใฝพยายามพูดปลอบใจให้ผมรู้สึกดีขึ้น
“แต่กรูว่ามันก็สมควรให้มรึงคิดจริงๆ นะ เพราะสิ่งที่มันเคยทำทุกวันอยู่ๆ จะหยุดโดยไม่มีสาเหตุมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากจะไม่อยากทำพฤติกรรมเหล่านั้นแล้ว”คำพูดไอ้เฟียสต์ทำเอาผมแทบจะสะอื้นอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งร้องสิว่ะ ไอ้นี่นิฟังกรูให้จบก่อน”ไอ้เฟียสต์ส่ายหน้าให้ผมอีกครั้งเหมือนเหนื่อยหน่าย ในการกระทำของผม
“ที่มันเป็นแบบนี้กรูว่ามันกำลังมีปัญหาบางอย่างที่คิดไม่ตกอยู่แน่ๆ ยังไงกรูว่ามรึงกลับไปเปิดใจคุยกันให้รู้เรื่องน่าจะดีกว่า ไม่ใช่มามัวคิดเอาเองแบบนี้”ก็ถูกของไอ้เฟีสต์มันนั่นแหละว่าน่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง แต่เค้าไม่อยู่ให้ผมคุยนี่นา
“งั้นกลับกันเถอะ”ผมบอกเพราะคิดว่าดึกขนาดนี้เค้าน่าจะกลับห้องไปแล้ว แต่ว่าทำไมเค้าไม่โทรหาผมสักนิด ถ้ามือถือแบตหมดก็น่าจะชาร์จได้แล้วถ้ากลับถึงห้อง ยิ่งคิดผมก็ยิ่งกลัว หรือเค้าจะยังไม่กลับ แต่นี่มันก็ดึกมากแล้วนะ
“ถ้ามันกลับมาแล้วก็คุยกันดีๆนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนมาเอารถจะมาติดตามผล”ไอ้เฟียสต์บอกกก่อนจะให้แทกซี่ขับต่อไปส่งที่บ้านมัน โดยที่ทิ้งรถไว้ที่คอนโดของผมเพราะยังไม่มั่นใจว่าตัวเองยังเมาอยู่หรือเปล่า ผมเดินเข้าคอนโด ลืมมองว่ารถเค้ากลับมาหรือยัง แต่ผมทำใจไว้แล้วว่าถ้ายังไม่มาก็ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้ ยังไงถ้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่ดี เป็นการปลอบใจที่ช่วยยืดเวลาให้ผมได้อีกวัน ผมกดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้นสี่ ก่อนจะก้าวเดินอย่างๆ ช้าๆ เหมือนแต่ละก้าวมันช่างหนักอึ้ง
-----------------------------------
มาต่อแล้วคร๊าบบบบ
เดี๋ยวตอนหน้า เอกับหนึ่งก็เจอกันแล้วววว