วันที่เก้า
(ทิวไผ่)
สวัสดีครับ ทุกคน ทิวไผ่เองนะครับ ขอว่าที่แพทย์อย่างผมแทรกบทของว่าที่นักเทคนิคการแพทย์และว่าที่วิศวกรในอนาคตสักหน่อยคงไม่ว่ากันใช่ไหมครับ
ช่วงนี้ผมรู้สึกเย็น ๆ หลังยังไงพิกล ได้ยินแว่วเข้าหูมาว่าหลานเทคของหนาวพยายามตามหาลุงเทคของเขามาก มันก็ดีนะครับที่น้องจะตามหาสาย แต่ทำไมผมรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดน้องเขาก็ไม่รู้
'ผมต้องให้ลุงเทครับตัวผมให้ได้' ทำไมน้องไม่พูดว่า 'ผมจะต้องให้ลุงเทครับผมเข้าสายให้ได้'ล่ะ
ผมคงคิดมากไปเอง
ตอนที่ได้คุยโทรศัพท์กับคีตา เขาดูจะอ้อน ๆ จนทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะได้ยินมาว่าเขาเป็นพวกเจ้าชู้ กวนตีน ก็เถอะ
ถ้าไม่ได้รู้จักกันจริง ๆ ผมไม่ด่วนตัดสินใครหรอกครับว่าเขาดีหรือไม่ดี รอเรารู้จักเขาแล้วค่อยตัดสินก็ยังไม่สาย จริงไหม?
"พี่ทิวคะ"เสียงใสดั่งระฆังแก้วเอ่ยเรียกชื่อผม เธอคือนิตยา หรือทรายแก้ว คนที่ผู้ใหญ่วางตัวให้เป็นภรรยาของผม... แต่ผมไม่ได้รักเธอในฐานะนั้น และผมคงไม่อาจรักเธอในฐานะนั้นได้ "คืนนี้ทรายจะไปงานเลี้ยงของท่านฑูต พี่ทิวจะไปกับทรายไหมคะ"
"ถึงพี่ปฏิเสธไม่ไป คุณแม่ท่านก็ให้พี่ไปกับทรายอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ"ผมตอบกลับเธอยิ้ม ๆ เธอค้อนผมน้อย ๆ "เดี๋ยวพี่ไปรับตอนหกโมงนะครับ"
"ค่ะ ทรายจะรอนะคะ"ทรายแก้วยิ้มหวาน ก่อนจะเดินกลับไปรวมกับเพื่อน ๆ ของเธอที่ยืนรออยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่
ผมรู้ดีนะครับว่าทรายแก้วเองก็ไม่ได้คิดกับผมเกินไปกว่าพี่น้อง เห็นผมเป็นไม้กันหมาที่มาหยอดจีบเธอด้วยซ้ำไป เธอไม่ได้ปฏิเสธในการจับคู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะตอบรับเพียงเพราะเราเหมาะสมกัน
พวกเราจะดำเนินชีวิตกันไปแบบนี้ มีข่าวออกไปให้ซุบซิบในวงสังคมบ้าง จนกว่าจะเจอตัวจริงของพวกเราเอง ซึ่งผมคิดว่าคงอีกไม่นาน
"หวัดดีครับพี่"น้องปีหนึ่งที่เดินผ่านสวนกับผมกันมาไหว้ ผมยิ้มรับก่อนจะยกมือรับไหว้น้อง เด็กเฟรชชี่นี่น่ารักกันดีนะครับ
ถึงบางครั้งน้อง ๆ อาจจะดื้อ อาจจะลืมที่จะยกมือขึ้นไหว้รุ่นพี่ไปบ้าง กวนประสาทไปนิดทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่สำหรับผม น้อง ๆ น่ารักเสมอล่ะครับ
เฟรชชี่หน้าใสที่พยายามเข้าหารุ่นพี่จอมโหดที่หมายมั่นจะกลั่นแกล้งน้อง ตอนปีสองผมก็แกล้งชาวบ้านเขาเหมือนกันล่ะครับ ฮ่า ๆ แต่ตอนนี้โตมากแล้ว ได้แต่แกล้งแบบแอบ ๆ ยิ่งเป็นประธานด้วย ยิ่งต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์กันหน่อย
ผมเดินทอดน่องไปเรื่อยในบริเวณของคณะสายสุขภาพ แพทย์ พยาบาล เภสัช เทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด รวมกันอยู่โซนนี้ เป็นโซนที่เข้ามาต้องได้กลิ่นยา กลิ่นสารเคมีล่ะครับ เลยโดดดีดมาห่างจากคณะอื่นเขา (แต่ก็มีพวกศิลป์ สถาปัตถ์ที่ใช้สีเยอะ ๆ โดนดีดไปไกลกว่าพวกเรา ฮ่าๆ)
เห็นที่หางตาไว ๆ นั่นคีตาหลานเทคของลมหนาวนี่น่า มากับสาวสวยซะด้วย ดูท่าแล้วข่าวลือจะเป็นจริงล่ะมั้ง... เนอะ
ปึก ตึง
"โอ๊ย"ใครวิ่งมาชนผมเนี่ย คีตามุ่นหัวคิ้วน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงผม อย่าจำเสียงผมได้นะ มันยังไม่ถึงเวลา ผมเลยหลบโดยการหันไปหาคู่กรณีที่วิ่งมาจะทะลุแผ่นหลังผม ตอนแรกก็ว่าจะต่อว่าอยู่หรอกครับ... แต่เห็นสภาพเขาแล้วทำไม่ลง
เด็กหนุ่มตัวเล็ก ปากแดง แก้มอมชมพู ใบหน้าที่ก้มอยู่ทำให้ผมเห็นเขาไม่ชัดนัก ล้มกองอยู่กับพื้น พร้อมด้วยสีที่หกราดตัวเขาเปรอะเปื้อนไปหมด
"เป็นอะไรไหมครับ"ผมถามอย่างเป็นห่วง เมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมลุกขึ้นมาสักที "ขาพลิกหรือเปล่า หรือบาดเจ็บตรงไหนไหม"
"เสื้อของผม..."เสียงที่เอ่ยออกมานั้นสั่นเครือ เสื้อที่เปื้อนสีขนาดนี้คงไม่มีทางซักออกแน่ ทิ้งสถานเดียว "แล้วผมจะใส่อะไร..."
เอ... ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ เสียไปก็ซื้อใหม่ได้นี่น่า... เอ่อ ผมว่าผมเข้าใจแล้วล่ะ... ดูจากเสื้อสีมอ ๆ ตรงที่ไม่เปื้อนสี กับรองเท้าผ้าใบสีตุ่นที่เริ่มมีรอยขาดแล้ว คงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีฐานะแน่เลย
"ลุกขึ้นก่อนดีกว่านะครับ"ผมดึงร่างที่อ่อนปวกเปียกนั้นขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะเหลือไปเห็นภาพวาดสีน้ำที่ไม่ได้โดนสีหกใส่ไปด้วย "เดี๋ยวต้องเอางานไปส่งใช่ไหม"
"ครับ..."เสียงนั้นยังคงสั่นเครือ มือเล็กพยายามปาดสีออกจากเสื้อ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด ยิ่งทำให้เลอะเทอะว่าเดิมด้วยซ้ำ "แต่ผม..."
"เดี๋ยวพี่เอาเสื้อมาให้ใหม่นะครับ"ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหามัลติ เพื่อนสนิทในคณะให้ซื้อเสื้อจากสหการมหาลัยมาให้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เต็มใจซื้อให้สักเท่าไหร่ก็เถอะ... แต่ไม่มีใครปฏิเสธทิวไผ่ได้หรอกครับ ฮ่า ๆ "เดี๋ยวพี่พาไปอาบน้ำในตึกแพทย์นะครับ"
"แต่... แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเสื้อให้รุ่นพี่หรอกนะครับ"เสียงหวานแหบนั้นตอบกลับมาอ่อย ๆ สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก
"ช่างมันเถอะครับ เสื้อตัวละไม่กี่บาทเอง ไม่ต้องเอาเงินมาคืนพี่หรอก"ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นยิ่งก้มต่ำลงไปอีก เขาจะคิดว่าผมดูถูกเขาไหมเนี่ย "ถือว่าพี่คืนให้นะครับ ถ้าพี่ไม่มายืนขวางทาง น้องคงไม่หกล้มแบบนี้"
ดวงตาโต ๆ นั้นช้อนมองผมอย่างไม่เข้าใจ คงเข้าใจหรอกครับ เขามาชนผม แต่ผมบอกว่าตัวเองผิด ผมได้แต่ยิ้มให้แล้วก้มลงไปหยิบข้าวของที่ตกอยู่ จูงมือเขาเดินไปตึกแพทย์เงียบ ๆ ไปยังห้องของสภานักศึกษาคณะแพทย์ อืม... ตัวเล็กอย่างที่ผมคิดจริง ๆ
"ผ้าเช็คตัวนะครับ ใช้เสร็จพาดเอาไว้ตรงนี้ เดี๋ยวแม่บ้านจะมาเก็บไปเอง"ผมยื่นผ้าเช็คตัวให้น้องเขา เดี๋ยวจะลองไปค้นชิ้นส่วนอื่น ๆ ในตู้ดู น่าจะมีอะไรใช้ได้บ้างล่ะนะ
ผมเห็นน้องเขายืนนิ่งมองผมอยู่พักนึง ก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ำไปเงียบ ๆ คงสงสัยในอะไรบางอย่างในตัวผม... ล่ะมั้ง
เอาละ เจอแล้ว ผมดึงเอากางเกงในตัวใหม่แกะกล่องและเสื้อกล้ามสีขาวออกมาจากส่วนลึกในตู้ ดีที่ไม่อับนะเนี่ย
"ไอ้ทิว"คนที่รอมาถึงแล้ว มัลติถือถุงพลาสติกที่สกรีนตรามหาวิทยาลัยเข้ามาในห้อง มาตรงหน้าผม "ของที่มึงต้องการ เอาไป"
"ขอบใจ"ผมรับเอาถุงมาเปิดดู โดนไม่ลืมยื่นแบงค์สีม่วงให้เพื่อน โอเค ครบถ้วน แต่เด็กน้อยที่อาบน้ำอยู่ยังไม่ออกมาเลย...
"มึงไม่ได้ใส่ไซต์นี้นี่หว่า ให้ซื้อไซต์เล็กขนาดนี้มาทำไม"มัลติทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมโดยที่ตายังเหล่มองผมอยู่อย่างกดดันเอาคำตอบ
"มีเหตุนิดหน่อยน่ะ"ผมตอบยิ้ม ๆ แล้วเดินไปหน้าห้องอาบน้ำ เคาะประดูเรียกสักหน่อย "น้องครับ พี่เอาเสื้อผ้ามาให้แล้วนะครับ"
แกรก
ประตูห้องอาบน้ำเปิดออกเผยให้เห็นร่างขาว ๆ ที่มีผ้าเช็ดตัวพันเอวปิดช่วงล่างเอาไว้ หนาดน้ำใสยังเกาะพราวอยู่ทั่วร่างกายของเขา
"ขอบคุณครับ"น้องเขารับถุงเสื้อผ้าไปจากมือผม แล้วผลุบกลับเข้าไปในห้องอาบน้ำอย่างไว ผมเห็นหูเล็อก ๆ นั้นแดงเรื่ออย่างเขินอาย
น่ารักดี... แต่ผอมแห้งไปหน่อย ไม่สิ... มากเลยต่างหาก
ต้องขุนกันหน่อย...
"เด็กคนนี้..."มัลติมุ่นหัวคิ้วน้อย ๆ เหมือนกำลังนึกอะไรสักอย่างอยู่ ก่อนจะดีดนิ้วตัวเป๊าะ "กูเคยเห็นเขาขายอยู่ที่บาร์ooo"
"ขาย?"ผมทวนคำอย่างประหลาดใจ ผมว่าผมดูคนเก่งนะ... และจากที่มองเขาไม่น่าจะเคยผ่านเรื่องอย่างนั้นมา "ขายตัว?"
"อาฮะ แต่ไม่มีใครซื้อหรอก ไม่มีเสน่ห์อะไรมาล่อ"เพื่อนสนิทผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไร "แล้วท่าทีแหยง ๆ หวาด ๆ อีก บาร์นั้นมีแต่พวกชอบความร้อนแรง ชาติหน้าก็ขายไม่ออก"
"อืม"ทำไมถึงต้องขาย... เขาก็ไม่ได้มีท่าทีอยากจะได้อะไรแพง ๆ นี่ หรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ
"กูไปก่อนนะ ว่าจะไปงีบหน่อย เย็นนี้ต้องลงวอร์ด"พูดจบไม่รอผมตอบรับมันก็ไป... ตามเคย
"เอ่อ..."เสียงที่แผ่วเบาดังเข้ามาในหู ผมหันไปทางด้านห้องอาบน้ำ เห็นร่างเล็กในชุดนักศุกษาเรียบร้อยยืนอยู่ "ขอบคุณมากนะครับ รุ่นพี่..."
"พี่ชื่อทิวไผ่ครับ เรียกพี่ทิวก็ได้"ลืมแนะนำตัวไปสนิทเลย... ว่าแต่ผมก็ยังไม่รู้ชื่อน้องเหมือนกัน "น้องล่ะ ชื่ออะไรครับ"
"ฟางข้าวครับ"น้องฟางข้าวตอบกลับมาอ้อมแอ้ม "เรียกผมว่าฟางก็ได้ครับ"
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ น้องข้าว"ผมชอบชื่อนี้มากกว่า ฟางฟังแล้วเหมือนเชือกเส้นเล็ก ๆ สี ๆ ที่โดนฉีกขาดได้ง่าย ๆ ผมไม่ชอบ
น้องมองผมด้วยสายตางุนงง แต่ผมไม่เปลี่ยนคำเรียกหรอกนะครับ เขาจะต้องเป็นข้าว ข้าวที่มีค่ากับทุกชีวิตบนโลก ไม่ใช่แค่ฟางที่ถูกทิ้งเกลื่อน
"เดี๋ยวต้องไปส่งงานใช่ไหมครับ น้องข้าว"ผมถามยิ้ม ๆ ไม่ปล่อยให้น้องได้ถามสิ่งที่สงสัยกลับมา
"ครับ..."เขาตอบรับโดยดี แล้วเดินไปหยิบข้าวของที่วางเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปหน้าประตู "ขอบคุณนะครับ พี่ทิวไผ่ เดี๋ยวค่าเสื้อ ผมจะหามาคืน..."
น้องข้าวยังไม่ทันได้พูดจบ ผมก็เอามือปิดปากน้องไว้ก่อน แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ น้องเขา น่ะ เบิกตาโพลงอย่างตกใจ อย่างที่คิด น้องยังใสกับเรื่องพวกนี้มาก
"ไม่เอาครับ ไม่ต้องคืนพี่หรอก เก็บเงินไว้ทานข้าวนะครับ"ผมปล่อยมือออก เลื่อนไปลูบผมนุ่ม ๆ ของฟางข้าวแทน "มาครับ พี่จะพาน้องข้าวไปส่งงานเองนะครับ"
แน่นอนว่าผมไม่รอให้น้องได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร ก็จูงมือน้องเขาไปที่รถของผมทันที
"พะ. พี่ครับ ผมเดินไปเองก็ได้นะครับ"เสียงของข้าวสั่นมาก หน้าตาก็ออกแววกังวล อะไรกัน นั่งรถไปไม่เมื่อยแท้ ๆ ผมเอารถไปเจิมแล้วด้วย... ไม่เห็นต้องกลัวอะไร "ผม... ผม."
"ไม่ต้องกลัวรถพี่เลอะน่า พี่ไม่ได้ซีเรียส"ผมดันน้องขึ้นรถไป คาดเซฟตี้เบลท์ให้ แล้วพาตัวเองขึ้นฝั่งคนขับ สตาร์ทออกตัว
ฟางข้าวนั่งกอดงานตัวเองไปไม่พูดไม่จา ทั้งรถเลยมีแต่เสียงแอร์กระทบเบาะเพียงอย่างเดียว แต่ผมก็เห็นนะว่าเขาเหลือบมองผมหลายครั้ง
พอมาถึงตึกคณะนิเทศน์ น้องข้าวก็ลงตากรถวิ่งไปส่งงาน ส่วนผมนั่งอยู่บนรถ รอครับ แล้วก็ไม่ได้บอกน้องด้วยว่ารอ...
ระหว่างที่นั่งเล่นคุ้กกี้รันอยู่ในรถ เด็กคณะนิเทศน์ที่เดินผ่านไปมาเหลียมมามองรถผมกันหมด... ผมคงไม่ควรเอาจากัวร์มามหาลัยจริง ๆ ล่ะมั้งเนี่ย
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอทำไม... แต่ผมถูกชะตากับเขา อยากคุย (ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ แบบนี้ เดี๋ยวจะโดนหาว่าโรคจิตได้ สำหรับผมกรณีพิเศษเสมอ)
ผ่านไปไม่นาน ฟางข้าวก็เดินออกมาจากตึก แล้วยืนค้างอยู่อย่างนั้น ผมเลยลดกระจกลงแล้วโบกมือให้น้องเขาขึ้นรถมา ซึ่งน้องมันก็ยอมขึ้นมาโดยดี
เด็กดีจริง ๆ
"เดี๋ยวไปทานข้าวกันนะครับ"ผมบอกข้าวเขาก่อนที่จะออกรถไปห้างใกล้ ๆ เหมือนน้องจะรู้ว่าปฏิเสธไปผมก็ไม่ยอม เลยนั่งเงียบ... "ข้าวครับ"
"ครับ..."เสียงข้าวเบามาก แต่ยังได้ยินอยู่ ผมเม้มปากน้อย ๆ อย่างชั่งใจเมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อน แต่ผมอยากรู้...
"เพื่อนพี่บอกว่าเคยเจอข้าวในบาร์"น้องข้าวทำหน้าตกใจ ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำจนคางแทบจะชิดกับอก "ข้าวขาย... เหรอครับ"
"...ครับ"คู่สนทนาของผมไม่ปฏิเสธ แสดงว่าเป็นเรื่องจริง เฮ้อ แต่ดูจากสีหน้าแล้ว เขาก็ไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนั้นนี่น่า
“ทำไมล่ะครับ”ผมถามเหตุผลนุ่ม ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้กำลังใจ “พี่ไม่ได้เอาไปบอกใครหรอกนะครับ พี่แค่อยากรู้เหตุผลของข้าวน่ะครับ พี่เชื่อว่าข้าวไม่ได้อยากทำอาชีพนั้น”
“ผม... แค่อยากมีเงินมาเรียนน่ะครับ”เสียงที่ตอบผมมานั้นแม้จะแผ่วเบา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง “ผมอยากเรียนให้จบ แต่ว่าผมเรียนไม่เก่ง จะขอทุนเรียนฟรีเลยก็ไม่ได้ จะกู้เรียนก็คงไม่ผ่าน...”
“แล้วผู้ปกครองล่ะครับ”พอถามคำถามนี้ออกไป ทำให้ผมรู้สึกว่าคิดผิดอย่างแรง เมื่อสีหน้าของน้องเขาเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด “ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ”
“พ่อกับแม่ของผมแยกทางกันไปตั้งแต่ผมเดินแล้วครับ... พ่อแต่งงานใหม่ ส่วนแม่... ไปเป็นคนขายบริการเพราะล้มเหลวในความรัก ผมโตมาในสถานรับเลี้ยงน่ะครับ”ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร เด็กที่เกิดจากความผิดพลาด ไม่ว่าจะที่ไหน... ก็ต้องเป็นทุกข์จริง ๆ สินะ เมื่อไหร่เรื่องแบบนี้จะหมดไปสักที “พอโตขึ้นมาหน่อย ผมก็ออกมาอยู่ที่บ้าน โดยมีเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพ่อและย่าส่งมาให้เป็นค่าอยู่กิน ค่าเทอม แต่ตอนนี้คุณย่าท่านเสียไปแล้ว ผมเลย...”
“เท่าไหร่ครับ”ผมตัดสินใจถามออกไป ข้าวทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเห็นผีซะอีก... หรือผมตัดสินใจอะไรพลาด... ไม่น่า “ข้าวขายเท่าไหร่ครับ”
“พี่ทิวไผ่... ผม...”ฟางข้าวอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ มองหน้าผมด้วยความละอายแก่ใจ ดีไม่ดี อาจจะมีความคิดในแง่ลบกับผมไปสักหน่อยแล้วก็ได้...
ก็ผมจะซื้อตัวเขานี่ครับ... แต่ไม่ได้ซื้อไปทำเรื่องอย่างว่าหรอกน่า ถ้าเขาไม่เต็มใจ
“พี่จะซื้อเอง อย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้ไปหาใครต่อใคร...”ผมเว้นจังหวะการพูดแล้วเหล่มองเด็กหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ ก่อนระบายยิ้มบาง “พี่จะให้เราได้เรียนจนจบเอง ถ้าจบแล้วอยากจะไปเริ่มต้นชีวิตที่ไหน ก็ตามใจข้าว แต่ช่วงเวลาที่ใช่ชีวิตมหาลัย ข้าวจะต้องฟังพี่ ตกลงไหมครับ”
“...”น้องข้าวเงียบอยู่พักนึง ใช้เวลากับตัวเองตริตองในคำของผม ซึ่งตัวผมก็ไม่ได้จะเร่งรัดเอาคำตอบอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวน้องเขาเอง “ตกลงครับ”
“แน่ใจแล้วนะ”เขาพยักหน้าให้ผม แก้มขาว ๆ นั้นแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย นั่น คิดอะไรลามกแน่ ๆ เด็กคนนี้ “โอเค พี่จะให้เงินข้าวสำหรับค่าอาหารทุกวัน วันละ 1000 บาท ถ้ามีอุปกรณ์การเรียน หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับการเรียนให้มาเบิกกับพี่ได้เลย แล้วก็ 1 เดือน พี่จะให้เงินข้าวเอาไว้ซื้อของที่ตัวเองอยากได้อีก 100,000 บาท ถ้าไม่ใช้ก็เก็บเอาไว้ในบัญชีของข้าวเองนะ รู้ไหมครับ”
“พี่ทิวไผ่ครับ มันไม่เยอะเกินไปเหรอครับ”คราวนี้ไม่ใช่แค่สีหน้าแล้ว เสียงของน้องก็ดูตกใจกับจำนวนเงินที่ได้ยิน “ผมรับไว้ขนาดนั้นไม่ไหวหรอกครับ”
“ข้าวทำอาหารเป็นไหม”ผมไม่สนใจคำถามของน้อง แต่กลับยิงคำถามกลับไปแทน
“เป็นครับ...”เสียงอ่อยเลยทีนี้ เงินแค่นั้นไม่ได้กระเทือนอะไรผมสักหน่อย... น้องมันก็คงคิดมากไปแล้ว “ทำไมเหรอครับ”
“งั้นข้าวคอยทำอาหารให้พี่แล้วกัน”ผมยิ้มบางเบา อย่างน้อยถ้ามีอะไรให้เขาทำ เขาจะได้โอเคกับเงินที่ได้รับไป... ล่ะมั้ง “ยังไม่หมดแค่นั้นนะครับข้าว ถ้าข้าวได้เกรดA ในวิชาเรียนมา 1 ตัว พี่ให้พิเศษ 50,000 บาท ต่อ 1 วิชา แล้วถ้าติดท็อป 3 ของชั้น พี่ให้ 100,000 บาท นะครับ”
เงียบกริบ... เป็นอะไรไปล่ะนั่น ผมอาศัยตอนรถติดไฟแดงหันไปมองคนข้าง ๆ ฟางข้าวนั่งอ้าปากค้าง ตาค้าง ช็อคไปแล้ว...
พักใหญ่เลย กว่าที่น้องเขาจะเรียกสติกลับคืนมาได้ แล้วนั่งก้มหน้า ก้มตา ปากงี้ เม้มสนิท... เห็นแล้วนึกถึงใครอีกคนที่ชอบทำหน้าแบบนี้เวลาเครียด... แต่ไม่ได้ทำแล้วน่ารักหรอกนะครับ
“เงินที่พี่ให้ ข้าวต้องรู้จักใช้นะครับ เก็บเอาไว้ใช้ในอนาคตด้วย”ผมยื่นมือไปลูบศีรษะทุย ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว “แต่อย่าตระหนี่เสียจนทิ้งในสิ่งที่ตนเองอยากได้ไปเสียหมดนะ”
“ครับ พี่ทิวไผ่”เด็กดี ว่าง่าย น่าเลี้ยง ดีจริง ๆ เลยนะ...
ผมพาน้องไปกินข้าวในห้าง แน่นอนว่าต้องบาบีก้อนของชอบของผม ยัดเยียดให้น้องกินเยอะ ๆ เป็นผู้ชายซะเปล่า จะให้ผอมกระหร่องคงดูไม่ดีแน่
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็ขับรถต่อไปบ้านของฟางข้าว (บอกเชิงบังคับให้น้องเขาบอกทาง) ไปเอาข้าวของจำเป็นบางส่วนมา... มันทำให้ผมรู้ว่าเสื้อผ้าของน้องเขามีน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ ชุดนักเรียนสองชุด ชุดไปรเวทสี่ชุด ชุดนอนสี่ชุด หมดแล้ว...
สงสัยต้องหาเวลาไปซื้อสักหน่อย
ผมเอาน้องไปอยู่ด้วยกันที่คอนโดน่ะครับ อ้างเหตุผลว่าจะได้ประหยัดค่าไฟและค่าเดินทาง... เด็กหัวอ่อนอย่างข้าวก็ไม่เถียงอะไรอยู่แล้ว... แต่เหตุผลจริง ๆ ของผมคือ ผมไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียว ถ้าเกิดมีใครคิดไม่ซื่อเข้าไปทำร้ายเขาในบ้าน จะทำยังไงล่ะครับ
จะให้ผมส่งคนไปเฝ้าบ้านของข้าวทุกวันก็คงใช่ที พามาอยู่ด้วยกันซะเลย ง่ายกว่าเยอะ
“เดี๋ยวข้าวอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ พี่จะออกไปธุระก่อน ถ้าหิวก็ทำอะไรกินในครัวเอานะครับ”เกือบลืมนัดกับทรายแล้วไหมล่ะผม มั่วแต่เอ้อระเหยลอยชายอยู่นี่ “เดี๋ยวดึก ๆ พี่กลับมา ถ้าง่วงนอนไปก่อนเลยนะครับ”
“ครับ”ฟางข้าวยังตอบกลับไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ ให้เวลาน้องเขาปรับตัวบ้างแล้วกัน อะไร ๆ คงเปลี่ยนไปไวเกินกว่าที่น้องเขารับได้
ผมขับรถไปรับทรายแก้วที่บ้านทันเฉียดฉิว อีก 1 นาทีหกโมงเย็น ตามนัด ตอนแรกว่าจะโทรมายกเลิกนัด ไม่อยากให้เด็กน้อยที่มาร่วมชายคาต้องอยู่คนเดียวน่ะครับ... แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ ละเลยไปก็เรียกไม่รับผิดชอบ
แน่นอน ผมเป็นประธานนักศึกษา ความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมไม่ว่าจะในหรือนอกมหาวิทยาลัย... เพราะงั้นผมจะต้องทำ
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะคะพี่ทิว”เสียงใส ๆ เอ่ยขึ้นหลังจากที่เราเดินทางมาได้ครึ่งทาง “ทรายดูตั้งแต่หน้าบ้านแล้ว พี่ทิวมีอะไรในใจเหรอคะ”
“พี่ห่วงลูกหมาที่เก็บมาน่ะ”ลูกหมาจริง ๆ ครับ ยิ่งเวลาทำหน้าซึม ๆ หางลู่ หูตก ยิ่งลูกหมา... น่ารักน่าเอ็นดู ควรค่าแก่การเก็บไว้ข้างกาย
“ทำอะไรก็ระวังคุณป้าท่านโวยวายแล้วกันนะคะ พี่ทิว”เธอยังคงฉลาดเหมือนเดิม รู้ด้วยว่าผมหมายถึงคน ไม่ใช่สัตว์อย่างชื่อเรียก
“พี่จัดการได้น่า”
เมื่อมาถึงงาน ทรายแก้วก็เข้าไปทักทายเพื่อนฝูง และเจ้าของงาน ส่วนผม พอทักทายท่านทูตเสร็จ ก็ไปยืนจิบไวน์อยู่ข้างระเบียงแล้ว
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กที่คอนโดจะเป็นไงบ้าง กินข้าวหรือยังก็ไม่รู้ ว่าจะกดโทรศัพท์ไปถาม.. ก็นะ ผมลืมขอเบอร์น้องเอาไว้
เซ็งเลย
“พี่ทิวจะกลับไปก่อนก็ได้นะคะ”ทรายแก้วเดินเข้ามาหาผมตอนสองทุ่มครึ่ง ปกติถึงผมจะเบื่อแค่ไหนเธอก็ไม่เคยเอ่ยปากให้ผมไปก่อนนี่น่า... “ถ้าพี่ห่วงเจ้าหนูที่เก็บมาก็รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวทรายกลับกับฟานี่ได้”
“งั้น... พี่ไปก่อนนะ”ไม่ปฏิเสธครับ ขอเผ่นก่อนแล้วกัน “กลับถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกพี่นะครับ”
ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงฝ่าดงรถติดมาถึงคอนโด ไม่รู้ว่าทำไปได้ยังไงเหมือนกัน บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถราแบบนี้ ปาดได้ปาดเอา ไม่รู้จะโดนด่าไปถึงโคตรไหนแล้ว
พอมาถึงคอนโด แทนที่ผมจะรีบเข้าไปในห้อง แต่เปล่า... ผมยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู ทั้งที่สมองสั่งให้บิดลูกบิดเข้าไป แต่งร่างกายกลับไม่คิดจะขยับ ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
ผมกลัวที่จะเปิดไปเจออะไรเหรอ? ไม่มีทางที่ใครจะขึ้นมาชั้นนี้ได้ถ้าไม่ผ่านระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด หรือผมกลัวว่าจะไม่เจอในสิ่งที่หวัง?
ให้ตายเถอะ ถ้าจะรับเลี้ยงใครสักคนแล้วคาดหวังว่าเขาจะรอเรากลับ ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะอาหาร พร้อมกับข้าวที่เต็มโต๊ะ โดยที่เขายังไม่ได้ทานอะไรแบบนี้
มันบ้าสิ้นดี ทิวไผ่ นายมันเริ่มจะโรคจิตแล้ว... แค่รู้จักกันยังไม่ถึงวันก็ทำเป็นพ่อบุญทุ่ม ให้เงินเขาเรียน ให้เงินเขากิน ก็ว่าบ้าแล้ว
ท่าทางจะต้องไปพบจิตแพทย์หน่อยแล้วมั้งเรา
ผมถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ห้องยังคงเรียบร้อย ทุกอย่างวางอยู่ที่เดิมก่อนที่ผมจะไป บนโต๊ะอาหารไม่ได้มีอะไรวางไว้ เช่นเดียวกับที่อ่างล้างจานนั้นว่างเปล่า
ผมเดินไปหน้าทีวี กะว่าจะเปิดทีวีดูแก้เบื่อสักหน่อย แต่สายตาก็เหลือไปเห็นก้อนกลม ๆ ที่ขดอยู่บนโซฟาเสียก่อน
“ข้าว ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะหืม”ผมปลุกให้ร่างที่นอนขดตัวอยู่ตรงหน้าให้ตื่นขึ้นมา “ลุกขึ้นไปนอนในห้องเร็ว เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก”
“อื้อ...”แพขนตาหนาขยับน้อย ๆ ก่อนที่จะลือขึ้นมา ฟางข้างลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย แล้วหันมามองหน้าผมงง ๆ “พี่ทิว... กลับมาแล้วเหรอฮะ”
“พี่กลับมาแล้ว เราเถอะ มานอนอะไรตรงนี้”ผมยิ้มบาง ๆ ให้เขาแล้วขยี้ผมนุ่ม ๆ นั้นอย่างหมั่นเขี้ยว “ไปนอนในห้องดี ๆ ไป”
“งื้อออ ผมหิว...”เสียงงึมงำในลำคอดังลอดออกมา หิว... แสดงว่าข้าวยังไม่ได้ทานข้าว แล้วทำไมถึงยังไม่ได้ทานกันล่ะ “ผมไม่รู้ว่าจะไรที่พี่ทิวให้ใช้ได้ อะไรให้ใช้ไม่ได้”
“ของทุกอย่างในห้องนี้พี่ให้ใช้ได้หมดนั่นและ”ผมอดที่จะขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าบอกว่าซื้อ หรือจะบอกว่าบื้อดีเหมือนกัน แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้ว่า ยังไงของในห้องไม่มีทางหายไปเพราะฟางข้าวแน่ “ไปทำกับข้าวกินกันเถอะ เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหาพี่ไม่รักษาให้นะเออ”
เด็กน้อย (ในสายตาผม) ผุดลุกขึ้นจาโซฟา วิ่งปรู๊ดเข้าครัวไปเลย
ให้ตายเถอะ ทำไมน่ารักงี้ว้า
ระหว่างที่ฟางข้าวทำอาหารอยู่ในครัว ผมก็สั่งคน (ของพ่อ) ให้ไปสืบประวัติเต็ม ๆ ของน้องมา ก็นะครับ ถึงแม้ว่าจะให้มาอยู่ด้วยแล้ว แต่ก็ต้องรู้ให้จริงด้วยว่าเขาลำบากจริง ไม่ใช่แต่งเรื่องขึ้นมา... ไม่อย่างนั้นคงโดนแม่ด่าหูชาไปสามบ้าน หนาวบ่นไปสิบปี
“พี่ทิวฮะ พี่กินเผ็ดได้ไหมฮะ”เด็กนิเทศคนนี้ไม่รู้ไปขุดผ้ากันเปื้อนจากส่วนไหนของห้องมาใส่ จำได้นะครับว่าเคยซื้อไว้ แต่จำไม่ได้ว่ามันยังอยู่
“กินได้ครับ พี่ไม่เลือกกินเท่าไหร่”แมงดา ปลาร้า ทุกเรียน สามอย่างที่ไม่กิน อย่างอื่นผมกินได้หมดแหละ ถ้าเป็นของกินนะ (ไม่ต้องเลย ผมไม่กินอึหมา มุกนี้ไม่ผ่าน ห้ามเล่น)
ครืด ครืด
ว่าจะเดินเข้าไปในครัว แต่เสียงโทรศัพท์ที่สั่นเป็นดิสโก้เรียกให้ผมไปรับก่อน เซ็งเลย ใครโทรมาตอนนี้กันนะ จะเป็นทรายก็คงไม่ใช่ กว่าจะกลับก็น่าจะสี่ห้าทุ่มโน่น
ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ดูเบอร์ที่โทรแล้วมาแล้วอดที่จะมุ่นหัวคิ้วไม่ได้... ‘คีตา’ ตั้งแต่วันที่เขาโทรมาหาผมครั้งแรก (ห้าวันที่แล้ว) เขาก็โทรมาทุกคืน ๆ ตอนแรกก็ว่าคงอยากหาลุงเทคเจอไว ๆ แต่มันชักจะยังไง ๆ แล้วมั้ง...
ผมคงคิดมากไปเอง
“ครับ”กดรับโทรศัพท์ก่อนที่สายจะหลุด ไม่งั้นเจอโทรรัว ๆ ผมลองไม่รับสายตอนวันที่สาม โน้น โทรรัวตั้งแต่สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน... ถ้าเป็นหนาวรับเอง มีหวังน้องได้หนาวแน่
“พี่ครับ วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”เสียงอ้อน ๆ ดังลอดออกมาจากสายโทรศัพท์ (เดี๋ยวนะมือถือมีสายโทรศัพท์ด้วย?) เอ่อ... ลำโพงก็ได้
“ก็เหมือนเดิมล่ะครับ แล้วน้องคีเป็นยังไงบ้างครับ จะต้องประกวดดาวเดือนรอบชิงแล้ว”ผมตอบกลับไป แต่สายตายังคงมองเข้าไปในครัว ไม่รู้ว่าผู้ร่วมห้องของผมจะเป็นยังไงบ้าง
“ก็ดีครับ สนุกดี พี่ต้องมาดูการแสดงของผมนะครับ”เสียงอ้อนหนักกว่าเดิมอีก... ให้ตาย แน่ใจนะว่าเป็นผู้ชาย อีกทั้งตัวยังสูงไล่ ๆ กับผมอีก “นะครับ นะ”
“พี่ต้องไปอยู่แล้วล่ะครับ”ประธานทุกคณะต้องไปนั่งเท้งเต้งดูการประกวดทุกปีล่ะครับ มีส่วนให้คะแนนนิดหน่อย (แต่ถ้าเข้าข้างคณะตัวเอง จะถูกตัด 0 ทันที)
“หวังว่าจะได้เจอกันนะครับ”ผมอมยิ้มนิด ๆ ตัวจริงกับในโทรศัพท์ไม่เหมือนกันเลยนะ เด็กคนนี้ “อยากเจอพี่ไว ๆ จัง”
“หาให้เจอสิครับ เราจะได้เจอกัน”อยากหัวเราะยังไงก็ไม่รู้สิ ถ้าคีตารู้ว่าลุงเทคเขาเป็นลมหนาวจะทำหน้ายังไงกันนะ “น้องอาจจะไม่ดีใจก็ได้นา..”
“ไม่หรอกครับ ผมอยากเจอจริง ๆ นะเนี่ย”
เพล้ง!
เฮ้ย เกินอะไรขึ้น ผมรีบวิ่งเข้าไปในครัว เห็นจานแก้วแตกกระจายอยู่บนพื้น โดยมีข้าวที่ปีนเก้าอี้หยิบของในตู้ติดผนังทำหน้าจะร้องไห้อยู่
“ข้าว เจ็บตรงไหนไหม”ถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเศษแก้วบาดไหม “คีครับ เดี๋ยวพี่ทำธุระก่อนนะครับ ไว้ค่อยคุยกันนะ”
ผมกดตัดสายน้องมันไปทนที แล้วหันมาจัดการเศษแก้วตรงหน้า
“ผมขอโทษฮะ ผม ผม”ฟางข้าวเสียงสั่น ทำตัวไม่ถูก น้ำตายังไม่ไหล แต่ถ้าผมดุเขา มีหวังเขื่อนแตก... ผู้ชายแน่ไหมไม่รู้...
“ช่างเถอะ จานแตกไปหาใหม่ก็ได้ ข้าวล่ะ โดนบาดตรงไหนหรือเปล่า”ผมพูดพลางกวาดเอาเศษแก้วไปทิ้ง สงสัยต้องไปซื้อจานเมลามีนมาใช้แทน... แต่น้องจะคิดมากไหมถ้าผมไปซื้อมา
“ไม่ฮะ อ๊ะ กระทะ”ข้าวกระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งไปปิดกระทะไฟฟ้าอย่างเร็ว ทั้งที่ผมยังเก็บเศษแก้วไม่หมด!!
“ข้าว!!!”น้องสะดุ้งกับเสียงตะโกนของผม บ้าชิบ วิ่งลงมาทั้งที่รองเท้าก็ไม่ใส่ เหยียบเศษแก้วไปอีกต่างหาก “วิ่งเหยียบเศษแก้วแบบนี้ บาดเท้าหมดแล้ว”
“อ๊ะ”ข้าวก้มลงไปมองพื้นแล้วหน้าซีด ไม่ซีดให้รู้ไป ก็เลือดซึมออกมาแล้วนี่
ครืด ครืด
มือถือผมสั่นอีกแล้ว พอหยิบมาดูก็ยังเป็นน้องคีตาที่โทรมา เอาไว้ก่อนแล้วกัน ยังไงวันนี้ก็คุยแล้วนี่ เดี๋ยวก็คงวางไปเอง
“ไปนั่งครับ เดี๋ยวพี่ทำแผลให้”สั่งฟางข้าวก่อน แล้วหันไปจัดการเศษแก้วต่อ ก่อนที่จะมีใครทำตัวซื่อวิ่งมาเหยียบอีก
ครืด ครืด
นี่ก็ยังไม่วางไปสักที นั่นก็รอทำแผล นี่ก็ตื้อจะคุย
มันอะไรกันเนี่ย!!
ทิว ปวด หัว!!!!!!
*******************************
ตอนของพี่ทิว แบบ พี่ทิวจริง ๆ ค้า 555 ไม่รู้จะชอบกันไหม สามารถติชมกันได้เต็มที่เลยนะคะ ^^
// ส่วนตัวชอบพี่ทิว เลยมาซะยาวเลย... (เอ๊ะ ใครตะโกนมาว่าลำเอียงน่ะ)

ช่วงธันวาอาจจะไม่ค่อยมาอัพนะคะ มิดไนท์สอบค้า TT