วันที่สิบสี่(คีตา)
หลังจากวันที่โดนตัดสาย พี่ปีสอง ปีสาม ปีสี่ ก็แทบจะหายไปจากชีวิตของปีหนึ่งอย่างพวกผมจริง ๆ ทักไลน์ไปไม่ตอบ โทรไปไม่รับ เจอกันไม่ทักทาย ไหว้ไปก็เฉยเมย ไม่รับไหว้เหมือนเคย ไม่ใช่แค่เทคนิคการแพทย์ แต่รวมไปถึงพวกวิศวะหมาหงอยด้วย
โคตรอึดอัดเลยโว้ย
แต่จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมรู้ได้โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกว่าลุงเทคของผมคือพี่ลมหนาว ผมนี่เย็นยะเยือกเลย และผมก็มั่นใจโคตร ๆ ด้วยว่าคนที่ผมโทรหาทุกวัน ไม่ใช่พี่ลมหนาวแน่ ๆ (ก็เบอร์พี่แกทนโท่อยู่หลังป้าย แม่ง คนละเบอร์ชัด ๆ) จะใครผมไม่สนแล้วตอนนี้
เพื่อนในชั้นปีทำหน้าเป็นหมาหงอยกันหมด ยิ่งเจอพี่เทคตัวเองเมินยิ่งห่อเหี่ยวกัน โทษกันเองอีกว่าเป็นเพราะใคร ผมนี่อย่างเซ็ง
"เฮ้ย ๆ คี พี่มึง"ไอ้วัฒน์เพื่อนซี้ผม พยักเพยิดให้ผมที่กุมขมับด้วยความปวดกบาลกับโคตรปัญหาที่เห็นตรงหน้ามองไปยังพี่เทคตัวกลมหน่อย ๆ ของผมเอง
ใบหน้าของพี่เกดเรียบเฉย ทั้งที่หันหน้าตรงมาหาพวกผมอยู่ทำเอาผมใจแกว่ง รู้สึกเข้าใจเพื่อนที่หงอยเพราะพี่เทคเมินสนิทขึ้นมาตงิด ๆ
“พี่เกด สวัสดีครับ”ผมทักทายพี่เขาด้วยเสียงที่ร่าเริง แต่พี่แกไม่แม้แต่จะหยุดชะงักเลย เดินตรงไปที่ตึกห้องสมุดที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากเรื่อย ๆ “พี่เกด เดี๋ยวดิ”
ผมยิ่งไปดักหน้าพี่เขา แทนที่พี่เทคผมจะหยุด เปล่าเลย เบี่ยงหลบแล้วเดินต่อไป หน้ายังไม่มองด้วยซ้ำ เรื่องอะไรจะยอมกัน ไม่อาแบบนี้ดิ
“พี่เกด อย่าเพิ่งไปสิครับ คุยกับคีก่อน”ผมเดินถอยหลัง ในขณะที่พี่เกดเดินจ้ำ ๆ เข้ามาอย่างไม่คิดจะหยุด พอผมหลุดเดิน พี่เขาก็เดินเบี่ยงไป จนเป็นผมเองที่ต้องวิ่งตาม “พี่เกดดด คุยกับคีก่อนนะครับ พี่เกด”
ไม่ได้รับสัญญาณจากหมายเลขที่ท่านเรียกอยู่ดี พี่เทคคนดีของผมเดินเข้าไปในอาคารห้องสมุดอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะปรายตามองผมเลย รู้สึกช้ำใจอย่างแรง
ผมเดินกลับไปนั่งกับเพื่อนในกลุ่มอย่างหงอย ๆ ไอ้เล (ชื่อเต็ม ทะเล) ประธานชั้นปีที่หนึ่งบีบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจ โอเค มันเฟลหน่อย ๆ เหมือนกัน
ก็ปกติเวลาเจอพี่เกดทุกครั้ง พี่เขาจะยิ้มให้ เข้ามาคุยเล่น เล่นหัวนิดหน่อย ไล่เตะบ้างบางครั้ง มันทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีตัวตน แต่เจอแบบนี้มัน... รู้สึกไม่ดีเลยแหะ
“ไม่อยากจะเชื่อนะว่าพี่เกดเขาจะเฉยได้ขนาดนั้น”ยิปโซเปรยขึ้นมาท่านกลางความเงียบ “ปกติเห็นออกจะขี้เล่น คุยก็เก่ง ไม่เคยไม่ยิ้มให้คีเลยด้วย”
“อืม”ขอเวลาทำใจแปป ยังพูดไม่ออก พี่เกดปกติเขาไม่เคยเมินผมเลยสักนิดนะ เจอกันออกจะบ่อยด้วย อย่างน้อยก็น่าจะมองกันสักหน่อยก็ยังดี
“แต่คิดอีกแง่ พี่เขาทำได้แบบนั้นก็ไม่แปลกนะ”เลพูดตอบกลับยิปโซไป แปลกไม่แปลกไม่รู้ ที่รู้คือผมอยากคุยกับพี่เทคเหมือนเดิม... ไม่ชอบการไม่มีตัวตนแบบนี้เลยโว้ย “ถึงจะเป็นพี่กล้อง แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นน้องเทคของพี่ลมหนาว น้องเทคของประธานวินัยเลยนะ”
“อีกอย่าง...”คราวนี้เป็นวัฒน์เอ่ยขึ้นบ้าง จะย้ำกันให้ผมช้ำใจเล่นทำไมเนี่ย “ถ้าพี่เกดเขาม่ได้เป็นพี่กล้อง ผ่านนี้เขาเป็นพี่วินัยไปแล้วด้วย”
“พอเหอะ”ผมถอยหายใจอย่างอดไม่ได้ อายุลดลงไปอีกแล้วสิ บ้าจริง เมื่อวานไลน์ไปหาพี่กิต พี่เขาก็ไม่แม้แต่จะอ่าน เซ็งงงง “เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะทำยังไงให้มันหลุดจากความกดดันพวกนี้ เพื่อนคนอื่น ๆ ก็แน่ละ รพล่ำกันไปหมด ถ้าเป็นอย่างนี้เราไม่มีทางได้ธงมาแน่ ๆ”
“นั่นสินะ... ว่าแต่...”ทะเลเหล่มองผมแล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “นายก็พูดอะไรที่มีสาระเป็นเหมือนกันนี่หว่า คุณเดือนมหาลัยคีตา”
“ใช่เวลาเล่นไหม เค็ม”ผมแยกเขี้ยวใส่เพื่อนข้างห้อง ใช่ เชี่ยนี่อยู่ข้างห้องผมเอง วันดีคืนดีเคาะกำแพงกวนตอนผมงีบอีกต่างหาก (ผมเลยไปเคาะแกล้วมันคืนตอนดึก ๆ 5555) เชี่ยทะเล เชี่ยเค็ม
“ยังไงก็ต้องนัดดันมาซ้อมร้องเพลงก่อนว่ะ ไม่อย่างนั้นก็ร้องกันไม่ได้แน่”วัฒน์เข้าสู่โหมดจริงจังแล้ว ทำเอาคนที่เหลือบนโต๊ะต้องเข้าโหมดไปด้วย
“แล้วเพื่อนจะมากันไหมอ่ะ”ผู้หญิงคนเดียวนโต๊ะพูดสิ่งที่อยู่ในใจผมออกมา นั่นสิ นัดอ่ะ ไม่ยากหรอก แต่จะมากันไหมนี่เรื่องใหญ่ “ถ้านัดแล้วไม่มาก็เท่านั้น... อีกอย่างพวกเราจะไปซื้อกันที่ไหน”
“ก็หน้าแลปนี่แหละ”เลชี้ไปด้านหน้า หน้าแลปของคณะเทคนิคการแพทย์ ใหญ่พอจะจุคนได้เกือบทั้งคณะ แน่นอนว่ามันพอสำหรับพวกเรา... “ยังไงพวกวิศวะก็ต้องไปหาทางของพวกมัน เราก็ต้องทำให้พวกเราพร้อมที่สุด ก่อนจะถึงวันจริงให้ได้ ไม่อย่างนั้น...”
“เฮ้อ...”ทุกคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพวกเราทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยอีกมันจะเป็นยังไง จะได้พี่คืนไหม
โดนตัดมาหลายวัน ไม่มีใครให้ผมไปกวน ไปอ้อนก่อนนอนเลย เหงา ๆ พิกลเหมือนกัน (โทรกลับบ้านไป ก็ไม่มีใครรับ สงสัยออกนอกประเทศกันไปอีกแล้วล่ะมั้ง)
“เอาน่า พวกเราต้องสู้สิ ถ้าเราไม่พยายาม เราจะได้สิ่งที่เราต้องการได้ยังไง จริงไหม”เลมันชูกำปั้นขึ้นอย่าฮึกเหิม เอ้า ลุยกันสักตั้งจะเป็นอะไร
สู้ตาย!!
หลังจากตกลงกันได้แล้ว ทะเลกับยิปโซเลยไปคุยกับเพื่อน ๆ ในชั้นปี ตกลงกันว่าทุกเย็นเราจะมาซ้อมร้องเพลงชิงธงกันที่หน้าแลป เพื่อนส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้อยากจะได้พี่ไม่สนใจ ไม่คิดจะทำ ซึ่งนั่นทำให้เพื่อนในกลุ่มของพวกเขาต้องรับผิดชอบเอาเพื่อนตัวเองมาให้ครบกันเอง
ตัวผมก็ต้องฝึกร้องเพลงให้คล่อง ๆ ไว ๆ จะได้เอาไปสอนเพื่อน แล้วก็คอยจับพวกที่ร้องไม่ได้ด้วย ในช่วงนี้เลยไม่ค่อยได้คุยเล่นอะไรกับเพื่อนในคณะ เพื่อนเก่า เพื่อนนอกคณะสักเท่าไหร่ (ไม่ใช่แค่ผม เพื่อนที่อยากได้พี่ทุกคนก็เป็น บางคนถึงขั้นมีเวลาว่างไม่ได้ ต้องนั่งฮัมเพลงที่ใช้ชิงธงทั้งหมดวนลูปไปเรื่อย ๆ ด้วยซ้ำ)
ผมมองโทรศัพท์อย่างเหงา ๆ ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วพี่กิตกับพี่เกดก็ไม่ได้ตอบไลน์อะไรกลับมา เฟสก็ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว บางทีมันก็เป็นแรงฮึดให้ช่วยผลักดันเพื่อน แต่บางทีมันก็ท้อ...
ผมอยากได้กำลังใจสักนิดก็ยังดี
เวลาแบบนี้ พอได้นึกถึงตอนประกวดดาวเดือนแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้เหมือนกัน พี่เกดเขาให้กำลังใจอยู่ตลอด เอาผลไม้ เอาข้าวมาให้บ้าง ส่วนพี่กิตก็เทรนผมให้พร้อมขึ้นเวทีอย่างหนัก ยิ่งการแสดงตอนนั้นที่ให้เป็นคนคิดมาให้ก็ไม่รู้ ทั้งที่พี่กิตเองก็ไม่ได้เก่งการแสดง แต่ก็พยายามทำให้ผมดูเป็นตัวอย่าง
ถึงจะเหนื่อยกาย แต่ก็มีความสุขเล็ก ๆ ล่ะนะ
ต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง...
อาจจะยังพอมีโชคบ้างที่นอกจากวันนั้นแล้วผมก็ไม่ได้เจอพี่เกดอีกเลย พี่กิตเคยเห็นหลังไว ๆ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยเรียกเขาก็ไปแล้ว
เหงาจริงว๊อยยย
พวกเราใช้หน้าแลปเป็นที่ฝึกซ้อมทุกเย็น แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าเป็นหน้าแลปของคณะเทคนิคการแพทย์ ยังไงก็ต้องเจอรุ่นพี่ปีสามปีสี่ที่เรียนข้างในแลปเกือบทุกวัน
แต่ไหว้พี่ ๆ ไปก็ไม่มีพี่คนไหนสนใจ และหันมารับไหว้เลย โดยเฉพาะถ้าในเวลานั้นมีประธานวินัยอย่างพี่ลมหนาวอยู่ด้วย ยิ่งแล้วใหญ่
ห่างเหินแท้
แต่ไม่ว่ายังไง ผมกับเพื่อน ๆ ต้องเอาพี่คืนมาให้ได้ล่ะ อยู่กันเองชั้นปีเดียวมันว้าเหว่เกินไป ทำอะไรก็ไม่รู้ว่าถูกไหม ที่สำคัญเรื่องการประสานงานกับทางสโมสรนักศึกษา ยังดีที่มีพี่คณะแพทย์เข้ามาช่วย ไม่อย่างนั้นคงเน่าไม่มีชิ้นดีแน่ ๆ
“คี นายกว่ามันจะไปรอดเหรอวะ”นนท์ เพื่อนคนนึงในคณะผม มันค่อนข้างจะแอนตี้ระบบโซตัสขั้นหนักพูดขึ้นอย่างเซ็ง ๆ “เขาม่ได้บอกว่าถ้าได้ธงมาแล้วจะคืนพี่ปีสองให้นี่หว่า”
“เออ ใช่ คี เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าถ้าได้ธงมาแล้วเราจะได้พี่ปีสองคืนอ่ะ”ดรีม คนนี้เป็นเด็กที่ซิ่ววิศวะมาเลยไม่ค่อยสนพี่เท่าไหร่สวนขึ้นถามเสริมจากนนท์
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะได้พี่คืนไหม”พอผมพูดประโยคนี้จบ เสียงเซ็งแซ่ของเพื่อน ๆ ทั้งหมดในชั้นปีก็ดังขึ้น ทำนองว่าแล้วจะตั้งใจทำไปเพื่ออะไร ทำทำไม “แต่ก็ยังดีกว่าเราไม่ทำอะไรกันเลยไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยเราก็มีสิ่งที่จะนำมาต่อรองเอาพี่ของเราคืนมาได้นี่”
“ทั้งที่อาจจะทำไปเสียเปล่าเนี่ยนะ”ดรีมชักสีหน้าไม่พอใจใส่ผม ดวงตาของเธอฉายแววหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง “เสียเวลาเปล่า ๆ”
“ดรีมครับ ถ้าเรายังไม่ลองพยายาม แล้วเราจะได้สิ่งที่เราต้องการไหมครับ”ผมทำใจเย็นแล้วเอาน้ำเข้าลูบ ถ้าไม่ติดว่ามีคำว่าสภาค้ำหัวอยู่ คงมีขึ้นเสียงกันบ้างล่ะ ยิ่งเซ็ง ๆ อยู่ด้วย “ดรีมครับ ตอนนี้พวกเราทุกคนต้องช่วยกันแล้วนะครับ เราต้องร่วมมือกัน จะขาดใครคนใดคนนึงไม่ได้นะครับ”
“หึ”แม่ง ถ้าไม่คิดว่าแสตนด์ชิงธงต้องขึ้นให้ครบนี้ ผมจะเหวี่ยงให้พวกไม่เต็มใจขึ้นออกไปให้หมด ไม่ต้องมาง้องอนอยู่แบบนี้แน่
“นะครับดรีม ถือว่าช่วยเพื่อนนะ”หมดคำจะพูดแล้ว ถ้าเขาไม่ยอม คงต้องให้คนอื่นมากล่อมแทน
มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องมาง้อเพื่อนทุกคนให้ขึ้นชิงธงนี่น่า แค่ความร่วมมือเล็ก ๆ ยังให้กันไม่ได้เลยแบบนี้ ต่อไปจะทำงานที่ใหญ่กว่านี้ได้ยังไง
“ก็ได้”ดรีมย่นจมูกใส่ผม เอ่อ ทั้งที่ไม่ได้สวยอะไรอยู่แล้ว อ้วนกลมเป็นเลขศูนย์ ทำหน้าแบบนี้เหมือนแม่หมูอารมณ์เสียเลยนะนั่น... “แล้วคีจะรู้ว่าเสียเวลาเปล่า”
แม่นางสะบัดผมเสีย ๆ ของคุณเธอ แล้วกลับไปนั่งประจำที่ ผมล่ะอยากถอนหายในสักสามร้อยที จะบ้าตาย ผู้หญิงอะไรวะเนี่ย
หลังจากที่ซ้อมร้องเพลงไปอีกหลายรอบ ทะเลมันเห็นว่าเพื่อน ๆ จำเนื้อได้บ้างแล้ว เลยซ้อมการลุก นั่ง ยืน ตามจังหวะนับอย่างที่พี่ ๆ เคยสอนมา
ทุกอย่างมันก็เป็นไปได้ด้วยดีนั่นล่ะฮะ จนกระทั่งคนที่คุ้นเคยสองคนของผมเดินออกมาจากห้องแลป
“พวกคุณมาทำอะไรกันหน้าตึกของคณะเทคนิคการแพทย์ครับ”เสียงที่ส่งมานั้นเฉยชายิ่งกว่าตอนที่ลงวินัยก่อนจะตัดพวกเราออกจากการเป็นน้องซะอีก
กับพี่ลมหนาว ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่พี่เขามายืนกอดอกอยู่ตรงนี้... แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ นี่สิ นอกจากจะทำให้ผมแปลกใจแล้ว ยังทำให้ผมใจเสียด้วย... ครับ พี่เทคของผมเอง พี่เกด
“พวกคุณขออนุญาตใครใช้พื้นที่ตรงนี้มารวมตัวกันหรือคะ”เสียงของพี่เกดฟังดูเย็นชาอย่างไม่น่าเชื่อ ผมใจว่าพี่เขาเป็นน้องเทคพี่หนาว แต่ก็แค่น้องเทคไม่ใช่น้องแท้ ๆ เขาทำได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
แต่ยังไม่ทันที่จะมีใครได้ตอบ ได้พูดอะไรต่อ ก็มีคนอีกคนหนึ่งเปิดประตูออกมาจากห้องแลป
พี่เดือนปีสองเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนเหมือนเดิม รอยยิ้มจาง ๆ ฉาบทับบนใบหน้า ก่อนจะเลือนหายไปเมื่อเห็นพวกผม ตอนแรกผมนึกว่าพี่กิตจะเดินกลับเข้าไปในห้องแลป แต่เปล่า พี่เขาเดินเข้ามารวมกับพี่หนาวและพี่เกด มองพวกผมด้วยใบหน้าเรียบ ๆ แทน
“พวกคุณมารวมตัวกันที่นี่ ต้องการอะไรเหรอครับ”เสียงนั้นฟังดูอ่อนโยนเหมือนเคย แต่แฝงความห่างเหินเอาไว้อย่างชัดเจน “ที่นี่เป็นพื้นที่ของคณะเทคนิคการแพทย์ พวกคุณมาใช้โดยพละการได้ยังไงเหรอครับ”
“ขออนุญาตครับ”ประธานชั้นปียกมือขึ้นแนบหูตามหลักการพูด ผมหันไปมองเพื่อนอย่างให้กำลังใจ “ผมและเพื่อน ๆ เป็นนักศึกษาคณะเทคนิคการแพทย์ชั้นปีที่ 1 จึงขอใช้พื้นที่ส่วนนี้ในการฝึกซ้อมร้องเพลงชิงธงครับ”
“พวกคุณบอกพวกคุณเป็นนักศึกษาเทคนิคการแพทย์ มีอะไรมายืนยันเหรอครับ”คราวนี้เป็นพี่ลมหนาวพูดบ้าง ดวงตาคมกริบอย่างกับมีดนั้นกวาดมองไปรอบ ๆ “หรือมีใครยืนยันตัวตนของพวกคุณได้บ้างครับ”
“พวกเรามีสายรัดข้อมือ และป้ายห้อยคอ ซึ่งเป็นของคณะเทคนิคการแพทย์ค่ะ”จีจี้ เพื่อนหญิงในคณะพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด เรียกสายตาของพี่ ๆ ทั้งสามคนให้หันไปหาเธอได้เป็นอย่างดี
“ป้ายห้อยคอและสายรัดข้อมือ...”พี่เกดเปรยขึ้นเสียงไม่เบานัก พร้อมกับมองของสองสิ่งที่อยู่บนตัวพวกผม “เป็นสิ่งของที่มีคนทำให้ ไม่ใช่ของที่เป็นของทางคณะเทคนิคการแพทย์ จะยืนยันได้อย่างไรคะว่าพวกคุณเป็นนักศึกษาคณะเทคนิคการแพทย์จริง”
“และไม่ได้ทำของเหล่านั้นขึ้นมาเอง”พี่กิตเสริมท้ายได้เจ็บจี๊ดเลย สำหรับผม ผมเชื่อว่าเพื่อนทุกคนในชั้นปีไม่มีใครกล้าจะทำของที่พี่เป็นผู้มอบให้ขึ้นมาเองหรอก แต่การจะเสริมบทพี่เกด ประโยคนี้จะทำให้สมบูรณ์ที่สุดจริง ๆ
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอพี่กิตออกมาสายตาของผมก็มองแต่พี่เขา ยิ่งพี่เขาพูดออกมาได้อย่างเย็นชาอย่างนั้น ผมยิ่งเสียใจ และอดที่จะน้อยใจไม่ได้
ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้พี่กิตเบือนหน้ามาสบตากับผมพอดี แต่สบได้พักหนึ่ง พี่เขาก็หันหน้าหนีไป... ไม่ดิ หลบสายตาจากผมไปซะอย่างนั้น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อย ๆ เป็นนิสัยของพี่เขาเวลาคิดอะไรในใจหนัก ๆ
แต่เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าพี่เกดเขาสูงพอ ๆ กับพี่กิตเลย เตี้ยกว่าไม่มากเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าพี่กิตเตี้ย หรือพี่เกดสูงกันแน่ แต่มันใช่เรื่องที่จะมายืนดูตอนนี้เหรอวะ ไอ้คีตา
“เมื่อพวกคุณยืนยันว่าพวกคุณเป็นนักศึกษาเทคนิคการแพทย์ พวกคุณก็มีสิทธิ์ที่จะใช้บริเวณที่เป็นของทางคณะได้”ผมเหลือบมองหน้าเพื่อน ๆ ที่อยู่ด้านข้างและด้านหลัง เห็นหลายคนยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง รวมทั้งตัวผมเองที่เริ่มมีความหวังในหัวใจ “ตัวผมเองก็ไม่ทราบว่าพวกคุณต้องการอะไรจากคณะวิชาของพวกผม แต่รู้ไว้ว่าพวกคุณไม่มีสิทธิ์ทำอะไรก็ตามที่ทำให้ทางคณะต้องเดือนร้อนแม้แต่นิดเดียว และหากเกิดอะไรขึ้นในที่นี้ พวกคุณจะต้องรับผิดชอบทั้งหมดทุกคน โดยไม่มีสิทธิ์ในการโต้แย้งใด ๆ”
“สิ่งที่พวกคุณจะทำ ต้องไม่เป็นการรบกวนผู้ที่ใช้บริการในส่วนสถานที่แห่งนี้ ทั้งอาจารย์ เจ้าหน้าที่แลป นักศึกษาเทคนิคการแพทย์ทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นที่ 1 จนถึงรุ่นที่ 39 ซึ่งเป็นรุ่นปัจจุบัน รวมทั้งแม่บ้านผู้อำนวยความสะดวกด้านความสะอาด”คำของพี่เทคตัวกลมของผมนี่ทำเจ็บยิ่งกว่าคำพูดอื่น ๆ ที่พี่อีกสองคนพูดมาอีก พวกผมเข้ามาเป็นรุ่นที่ 40 ซึ่งพี่เขาไม่นับในนั้น “และกรุณาอ่านกฎการใช้สถานที่ให้แตกฉานด้วยค่ะ”
พี่กิตเคาะเบา ๆ ที่ประตู 1 ของห้องแลป ซึ่งมีกระดาษเคลือบด้วยพลาสติกติดเอาไว้อยู่ นั่นเป็นกฎหการใช้ห้องแลป และการใช้สถานที่ของคณะเทคนิคการแพทย์ ที่ผมและเพื่อนได้อ่านมาแล้ว
“หวังว่าจะไม่มีพวกคุณคนใดก่อความเดือดร้อนให้กับพวกผมนะครับ”รอยยิ้มบาง ๆ คลี่ส่งให้ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งนั้นจะเดินออกไปจากหน้าคณะ
พี่ลมหนาวกับพี่เกดยืนมองพวกผมอยู่อีกแปปนึง แล้วจึงหันหลังเดินออกไปอีกทาง ซึ่งเป็นทางที่มุ่งหน้าไปยังโรงอาหารของคณะ
คำพูดของพี่ ๆ ที่ได้รับฟังกันนั้น ทำให้กำลังใจถดถอยกันไปไม่ได้ บรรยากาศที่น่าอึดอัดกลับเข้ามาสู่พวกเรา นักศึกษาคณะเทคนิคการแพทย์รุ่นที่สี่สิบอีกครั้ง
ผมมองสำรวจเพื่อน ๆ โดยรอบ เกือบทุกคนที่ทำหน้าเศร้า บางคนถึงกับน้ำตาซึม แต่ก็มีบางคนที่ทำหน้าไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี แต่นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งแรกผลักดันให้พวกเราก้าวต่อไปได้
“เราจะต้องพิสูจน์ให้พวกพี่เขาเห็นนะทุกคน”วัฒน์ที่นิ่งไปนานพูดขึ้นเรียนดัง ให้เพื่อนที่ก้มหน้ากันอยู่ขึ้นมามองที่มัน “พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าพวกเรานั้นคู่ควรที่จะเป็นนักศึกษาเทคนิคการแพทย์รุ่นที่สี่สิบ ให้เขาเห็นถึงศักยภาพของพวกเราทุกคนยังไงล่ะ”
“เราจะมาท้อกันแค่นี้ไม่ได้นะครับ”ผมสูดลมหายใจลึกแล้วยิ้มออกมา ไม่ใช่ไม่เสียใจ ไม่ใช่ว่าไม่ท้อ แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาล้มอยู่แบบนี้แล้ว “พวกเราจะต้องทำให้พี่ ๆ ยอมรับในตัวพวกเรา ให้พวกเขากลับมาอยู่กับเราเหมือนเดิมให้ได้นะครับ”
“ใช่แล้วนะทุกคน เราจะมาท้อเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้”ทะเลหันหน้ากลับมาหาทุกคน ทั้งที่ตามันยังแดงจาง ๆ อยู่ มันเองก็คงเสียใจ และอยากร้องไห้ แต่มันเป็นเสาของปีหนึ่งอย่างพวกเรา มีตำแหน่งผู้นำค้ำคออยู่ จะล้มให้ทุกคนเห็นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก “มาเถอะ เรามาซ้อมกัน เวลาเหลือไม่เยอะแล้ว มาพยายามกันเถอะ”
เพื่อนผู้หญิงบางคำยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก หลายคนสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะกลับเข้ามาตั้งแถวกันเหมือนเดิม แล้วซ้อมยืน ซ้อมร้องเพลงที่จะต้องนำไปชิงธงอีกครั้ง
วันนี้พวกเราซ้อมกันหนักมาก ไม่มีการหยุดพักนาน ๆ เหมือนทุกที มีแต่ให้ไปดื่มน้ำ ปัสสาวะ ทำธุระส่วนตัวเป็นระยะแค่นั้น จนกระทั้งฟ้ามืดสนิทถึงจะแยกย้ายกันกลับที่ทางของตัวเอง
ผมกลับเข้ามานอนบนเตียงในหออย่างด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง และร่างกายที่เหนื่อยล้า แม้จะอาบน้ำให้สดชื่นแล้ว แต่ก็ไม่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลยสักนิด
หยิบมือถือขึ้นมาดูไลน์ที่เคยส่งหาพี่กิตอย่าห่อเหี่ยว วันนี้พี่เขาก็ยังไม่อ่าน เฮ้อ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่ได้เจอทั้งพี่เกดและพี่กิตในวันเดียวกัน โชคสองชั้น ซวยสองเด้งของแท้
Key tA ♫ : พี่กิตครับ
Key tA ♫ : ผมดีใจที่ได้เจอพี่นะครับ
Key tA ♫ : ผมคิดถึงพี่นะ
Key tA ♫ : เมื่อไหร่จะกลับมาสักที
ข้อความที่พิมพ์ส่งไป โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พี่กิตจะเปิดเข้ามาอ่าน
เฮ้อ... เหงาจังเลยโว้ยยยยย
นอน!!
+++++++++++++++++++++++
บทที่ 14 มาแล้วค่ะ // ช่วงนี้ขยัน อัพไว๊ไว 555
เรื่องตัวละครในเรื่องนี่ ส่วนใหญ่ดึงมาจากคนรอบตัวนี่ล่ะค่ะ (อ้าววว) //มองซ้ายมองขวาก่อนว่ามีเพื่อนหลุดมาอ่านเรื่องของเราไหม
ไว้เจอกันตอนหน้า ตอนที่ 15 ชิงธงแล้ววว
เย้
