ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง
ธันวาวางร่างของคนเอาแต่ใจลงบนเตียงก่อนจะไล่ตามองผิวเนียนละเอียดภายใต้เสื้อเชิ้ตเนื้อดีที่ถูกปลดกระดุมออกจนหมด แผงอกที่ต้องมือเพียงนิดก็ทิ้งรอยแดงนั้นขยับขึ้นลงถี่ ๆ ตามจังหวะการหายใจในขณะที่เรียวนิ้วจิกแน่นลงกับที่นอนนุ่ม แต่แทนที่จะสบตากันดวงหน้าสีระเรื่อกลับหันไปทางอื่นจนคนมองต้องส่ายหัว
เจ้าของห้องถอดเสื้อสูทโยนไปอีกทางจัดการคลายกระดุมคอออก บรรจงพับแขนเสื้ออย่างเชื่องช้าราวกับจะถ่วงเวลาแล้วจึงเอนตัวลงนอนเท้าแขนจ้องปรางแก้มขึ้นสีก่อนจะรั้งปลายคางมนให้กลับมาสนใจที่ตนเอง จากนั้นมืออุ่นก็เปลี่ยนเป็นประคองแก้มนุ่มเอาไว้พร้อมกับเลื่อนปากเข้ากระซิบจนติดริมหู
"คุณกลัวหรือเปล่า"
"คำถามของคุณนี่แหละที่กำลังทำให้ผมกลัว" คันธชาติกล่าวพลางยกมือขึ้นทาบบนหลังมือที่แนบอยู่กับแก้มของตนเองราวกับจะให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่จากไหน ฟังเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ กระทั่งปลายจมูกโด่งลากลงมาหยุดที่แนวสันกรามก็ให้รู้สึกจั๊กจี้เมื่อปากอิ่มเริ่มเอื้อนเอ่ยถ้อยคำอีกครั้ง
"อย่ากลัวเลยนะ เพราะทุกการกระทำมันมาจากความรู้สึกของผม ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้รู้สึกกับคุณแบบนี้ แต่ผม..."
"ไม่ต้องพูดแล้ว" นิ้วเรียวแตะที่กลีบปากอุ่น "มันไม่สำคัญหรอก คุณไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าเพราะอะไร แค่สัญญาว่าคุณจะรู้สึกแบบนั้น...ก...กับผม...คนเดียวก็พอ" พูดจบก็หลบตานึกเขินตัวเองอยู่เหมือนกันที่กล่าวเช่นนี้ออกมา หารู้ไม่ว่านั่นกลับให้หัวใจคนฟังดั่งลิงโลด ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะขยี้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ที่ปลายจมูกโด่งรั้นอย่างมันเขี้ยว
"คุณนี่เอาแต่ใจตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้เลยนะ" กล่าวพลางนึกถึงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้รู้จักกัน ทั้งที่พยายามจะหลีกไกลจากความรู้สึกแปลก ๆ นั้น แต่รู้ตัวอีกทีเชือกเส้นบาง ๆ ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าก็รัดแน่นจนกลายเป็นความผูกพันไปเสียแล้ว
"ถ้าไม่ชอบก็อยู่ให้ห่างผมไว้สิ" ริมฝีปากบางพึมพำขณะพยายามกระถดร่างหนีแต่มันก็ช่างเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกินในสถานการณ์เช่นนี้
"ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่ชอบ"
"คุณนี่มัน..." คันธชาติมุ่นคิ้วในขณะที่มือก็ดันอกของคนที่พยายามจะมอบจูบให้ แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็รั้งออก ฝ่ามือใหญ่รวบข้อมือเล็กเข้าด้วยกันก่อนจะผลักขึ้นไปกดตรึงไว้ที่เหนือศีรษะ พลันปากอุ่นของแมลงภู่หนุ่มก็ประกบลงขบเม้มดูดดึงให้กลีบบางของดอกไม้แย้มออกเพื่อลองลิ้มชิมความหวานหอมของเกสรข้างใน แต่กลีบดอกสีระเรื่อก็ปิดสนิทแน่นจนธันวาจำต้องถอนริมฝีปากออก
คิ้วหนาที่มุ่นเข้าหากันอย่างขัดใจทำอีกคนกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ปากบางที่เคยเม้มแน่นคลายออกพร้อมกับถอนใจ "เฮ้อ! ใครกันนะที่บอกว่าคุณเป็นคนเงียบขรึม ไม่มีพิษมีภัย ไม่ใช่เลยสักนิด จริง ๆ คุณมันร้ายกาจต่างหาก"
คนถูกกล่าวหาหัวเราะหึ "ผมจะร้ายกับคนที่เอาแต่ใจแล้วก็ดื้อดึงอย่างคุณเท่านั้นแหละ"
รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นชัดเจนอยู่ในสายตาคนฟังได้ไม่ถึงอึดใจก็เลือนหายเมื่อหน้าคมอาศัยจังหวะเผลอโน้มเข้ามาประกบปากอีกครั้ง ไม่รอให้เสียเวลาปลายลิ้นอุ่นก็แทรกเข้าสำรวจโพรงปากกระทั่งได้ยินเสียงขู่คำรามในลำคอของคนที่กำลังถูกขัดใจ มิหนำซ้ำยังดิ้นขลุกขลักคิดจะหนี ธันวาจึงใช้มือข้างหนึ่งสอดเข้าที่ใต้ท้ายทอยดันอีกฝ่ายขึ้นรับรสจูบที่กำลังแปรเปลี่ยนจากนุ่มนวลเป็นร้อนแรงตามอารมณ์ปรารถนาที่กำลังแล่นพล่านอยู่ภายในใจ
คันธชาติที่เผลอไผลไปกับสัมผัสแสนวาบหวามหลับตาลงอย่างไม่คิดหนี แขนขาวเกี่ยวคล้องเหนี่ยวคอแกร่งเอาไว้พร้อมกับตอบรับรสจูบอย่างเติมใจ กลีบปากประกบกันแน่นไม่เหลือช่องให้อากาศผ่าน ลมหายใจเข้าออกสอดประสานราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ร่างผอมไหวสะท้านยามเมื่อฝ่ามือใหญ่เริ่มอยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปตามเอวคอดก่อนจะสอดลงใต้แผ่นหลังเนียนละเอียดยกตัวของเขาขึ้นเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์แสนเกะกะที่อำพรางเรือนกายท่อนบน
ธันวาวางคนในอ้อมแขนลงเลื่อนมือปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงก่อนจะรั้งออกอย่างง่ายดายกระทั่งเนื้อตัวที่ถูกเก็บซ่อนไว้ก็ปรากฏแก่สายตาคนมอง ร่างสูงลุกขึ้นยืนที่ข้างเตียงจัดการปลดกระดุมเสื้อของตนเองในขณะที่ตาคมยังคงทอดมองร่างเปลือยเปล่าที่นอนบิดตัวงอหนีบขาขาวเพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่บนเตียง
บรรยากาศเงียบงันทำให้คันธชาติต้องปรือตาขึ้นมองสำรวจในที่สุดก็พบร่างสูงกำลังส่งยิ้มมาให้ เมื่อเสื้อเชิ้ตตัวบางที่ปิดร่างกายถูกรั้งออกเผยให้เห็นมัดกล้ามไม่ใหญ่ไม่เล็ก จู่ ๆ สองแก้มก็ร้อนวาบขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นไปได้ รู้เพียงแต่ว่าอาการเช่นนี้เกิดเฉพาะกับชายตรงหน้าคนเดียวเท่านั้น
พลันความคิดก็หยุดชะงักเมื่อเจ้าของรอยยิ้มละมุนโถมตัวลงจูบบนหัวไหล่กลมกลึงก่อนจะไล่ขึ้นไปถึงซอกคอ ริมฝีปากร้อนบดเบียดลงบนเนื้อขาวขบเม้มจนขึ้นรอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่กลีบปากสวยเผลอครางกระเส่าขยับกายหงายรับสัมผัสอย่างยินยอมพร้อมใจ คันธชาติสอดมือทั้งสองเข้าข้างลำตัวหนาก่อนจะลูบไล้ไล่ขึ้นไปบนแผ่นหลังลื่นมืออย่างหลงใหล จากนั้นแขนขาวก็เกี่ยวรั้งยึดบ่าของคนบนร่างเอาไว้แน่นก่อนที่สองร่างชื้นเหงื่อจะสนิทแนบกอดรัดพากันดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความปรารถนา
"ธ...ธัน..."
เสียงเรียกนั้นไม่อาจหยุดการกระทำของเจ้าของชื่อได้ ปากร้อนยังคงตั้งหน้าตั้งตาสำรวจทุกซอกทุกมุมตามที่ได้พูดเอาไว้แต่ต้น มือใหญ่ไต่ลงเข้าจัดการครอบครองส่วนอ่อนไหวแต่กลับแข็งขืนคิดสู้ "ดื้อจริง ๆ ด้วย" ธันวากระซิบเสียงแหบพร่าก่อนจะกดจูบลงที่กกหูทำเอาคนฟังเขินอายจนต้องรีบหันหน้าหนี เลือดลมก็ช่างพร้อมใจไหลมารวมกันส่งให้แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจนคนมองยากจะอดใจไหวต้องกดปลายจมูกลงสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ เข้าฟอดใหญ่
"ค...คุณขี้โกง"
เพียงได้ยินเสียงต่อว่าจากปากบาง คนถือไพ่เหนือกว่าก็จำต้องผละออกด้วยความสงสัย "ผมขี้โกงเรื่องอะไร" รอกระทั่งอีกฝ่ายเบนหน้ากลับมาสบตานิ่งคำถามนั้นก็ถูกเฉลยเมื่อมือเรียวเลื่อนมือลงต่ำจับหมับเข้าที่หัวเข็มขัด เท่านั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนอายุมากกว่าได้ไม่น้อย
"หัวเราะอะไรเล่า" เจ้าของเรือนกายขึ้นสีกล่าวอย่างขัดใจ
"ก็หัวเราะนายน้อยจอมเอาแต่ใจยังไง อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ทำไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะห่วงแค่ไหน"
คนฟังมองตาขุ่นก่อนจะผละมือออก "บอกแล้วไงว่าถ้าไม่ชอบก็ไปห่าง ๆ"
คำพูดผลักไสทำคนฟังตอบกลับด้วยน้ำเสียงงอน ๆ "ใช่สิ! นึกจะไล่ก็ไล่ แล้วจะให้ผมไปไหนได้ในเมื่อคุณเล่นเอาหัวใจของผมไปแล้ว" พูดจบก็พลิกตัวนอนลงข้าง ๆ กัน "อยากได้อะไรจากผมอีกก็เอาไปเลย ผมยอมหมดแล้ว"
คันธชาติส่ายหัวถอนใจพลางขยับพลิกตัวทาบบนร่างใหญ่ที่ยังคงนอนนิ่งก่อนจะยันกายขึ้นนั่งบนหน้าขาของคนช่างประชดประชัน "ทีอย่างนี้ละช่างพูดจริง" มือเรียวแตะลงบนอกแกร่งรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากหัวใจที่กำลังเต้นระส่ำของอีกฝ่าย พลันริมฝีปากเล็กก็ยกยิ้มอย่างผู้มีชัยก่อนจะแกล้งลากปลายนิ้วผ่านหน้าท้องแข็งมาหยุดที่ขอบกางเกงเล่นเอาคนใต้ร่างเสียวสะท้านหายใจไม่ทั่วท้องจนต้องกำผ้าปูที่นอนแน่น
คนได้เปรียบปลดหัวเข็มขัดออกอย่างเชื่องช้าจากนั้นก็สะกิดเบา ๆ ให้ตะขอคลายจากกัน กำลังจะรั้งออกมือก็สัมผัสกับบางสิ่งที่ธันวาใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงจนต้องหยุด
"นี่อะไรน่ะ" คันธชาติเอ่ยขึ้นเมื่อหยิบขวดพลาสติกสีสวยความยาวไม่เกินฝ่ามือขึ้นมาพร้อมกับทำหน้าฉงน
"พ...พี่พุดดิ้งให้มา" ธันวาหายใจหอบพลางมองขวดใส่ของเหลวใสในมือของคนที่กำลังนั่งอยู่บนร่างของตนเอง
แค่ได้ยินชื่อคนให้ก็ทำเอาคนถามต้องรีบอ่านฉลากข้างขวดทันที พลันตาสวยก็เบิกกว้างกว่าเก่าเมื่อรู้ว่าที่แท้มันคืออะไร จากนั้นก็มองเลยไปยังคนที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูกก่อนจะถามต่อ
"ให้มาตั้งแต่เมื่อไร"
"นานแล้ว"
"ถึงกับต้องพก?"
"ก...ก็เขากำชับให้เอาติดตัวไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้นี่นา แล้วจริง ๆ มันก็อยู่ในรถ ผมแค่...หยิบติดมือมาด้วยเท่านั้นเอง"
"นี่รวมหัวกันวางแผนอีกแล้วเหรอเนี่ย" คันธชาติกล่าวพลางมองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ
"โธ่บุ้ง...อย่ามองผมแบบนี้สิ ผมไม่ได้วางแผนสักหน่อย" พูดจบธันวาก็รวบคนช่างสงสัยมาไว้ใต้ร่างเหมือนเดิม "ต่อไปนี้จะไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น ไม่มีหน้ากากที่ต้องใส่เพื่ออำพรางความรู้สึกของทั้งผมและคุณอีกแล้ว" ตาคมทอดมองคนที่ยังคงเอาแต่จ้องของในมือราวกับมันเป็นสิ่งที่เพิ่งค้นพบใหม่จนไม่รู้ว่าได้ทันฟังสิ่งที่เขาพูดจบไปเมื่อครู่หรือไม่ ในที่สุดคนอายุมากกว่าก็ตัดสินใจดึงของสำคัญจากมือเรียวมาถือเอาไว้เสียเอง
"กับใคร" นายน้อยคันธชาติเงยหน้าขึ้นมองตาม เสียงเขียวทำคนถูกถามยิ้มกริ่มก่อนจะแทรกนิ้วลงที่เรือนผมนุ่มมือโดยไม่ใส่ใจจะตอบข้อสงสัย
"ผมถามว่าเอาไว้ใช้กับใคร"
"ก็กับคุณไง" พูดจบธันวาก็แตะปากอิ่มชิมรสหวานของกลีบปากนิ่มอย่างแผ่วเบาจนคันธชาติที่ไม่ทันตั้งตัวต้องรีบขยับให้ห่างสัมผัสชวนเคลิบเคลิ้มก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอแกร่งเจือกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นเมื่อมือหนาจับเชยคางให้หน้าเชิดขึ้นรับจูบร้อนอีกครั้ง
“อื้อ...”
ปากอิ่มบดเบียดเนื้อปากนุ่มซ้ำ ๆ ก่อนจะเลื่อนลงสำรวจไปทั่วเรือนร่างเปล่าเปลือย กดจูบซุกไซ้ซอกคอก่อนแวะดูดชิมเม็ดทับทิมสีหวานอย่างใจเย็น จากนั้นก็ลากวนต่ำลงมายังหน้าท้องเรื่อยมาจนถึงแนวขอบกางเกงพลันกำปั้นหนัก ๆ ที่ทุบลงบนบ่าทำให้จำต้องผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
"ผมว่าตอนนี้คงจำเป็นต้องใช้แล้วละ ดูสิคุณน่ะโกรธจนชี้หน้าผมแล้ว"
เสียงหัวเราะในลำคอที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาคนฟังก้มรีบหน้างุด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ธันวาขยับลุกขึ้นนั่งแทรกอยู่ระหว่างท่อนขาทั้งสองข้างเสียแล้ว
มือหนาถือขวดเจ้าปัญหาก่อนจะยกขึ้นกำลังจะหมุนเปิดฝาก็ต้องชะงักเพราะมนุษย์เจ้าปัญหาที่ยังสงสัยไม่เลิก
"ด...เดี๋ยว เดี๋ยวๆๆๆ"
"ยังสงสัยอะไรอีกครับ"
"ม...ไม่อ่านวิธีใช้ก่อนเหรอ" ปากถามในขณะที่ตาก็มองคิ้วหนาที่เลิกขึ้น พลันรอยยิ้มและคำพูดของอีกคนก็ทำให้ใจสั่นไหวอีกครั้ง
"พี่พุดดิ้งสอนวิธีใช้มาละเอียดเลยละ แล้วผมน่ะก็แม่นทฤษฎีด้วย ส่วนปฏิบัติไว้รอคุณเป็นคนให้คะแนนก็แล้วกัน"
'พูดมาได้ไม่อายบ้างหรือไง' หน้าคมเบือนหนีสายตาฉ่ำเยิ้มที่กำลังมองมาในขณะที่ปากก็บ่นมุบมิบ "คุณมันร้าย"
คันธชาติละสายตาจะคนตรงหน้าได้เพียงครู่เดียว ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงหันกลับมามองมือหนาที่กำลังจัดการหมุนเปิดขวดอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานของเหลวไร้สีก็ถูกเทลงบนฝ่ามือ และก่อนที่ขั้นตอนต่อไปจะเริ่มต้นเจ้าของหน้าร้อนผ่าวก็ตัดสินใจปิดเปลือกตาลง ร่างบางไหวสะท้านทันทีที่มือเย็นเฉียบสัมผัสลงยังจุดหนึ่งซึ่งไม่เคยให้ใครได้แตะต้อง พลันคมฟันเรียงสวยก็กดลงบนเนื้อปากล่างอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อมือใหญ่เริ่มลากวนคลึงเคล้นอยู่เนิ่นนาน
ปลายนิ้วเรียวจิกลงบนแขนแกร่งระบายความรู้สึก หายใจแรงขึ้น ๆ ทุกครั้งเมื่อปลายนิ้วร้อนแทรกเข้าสำรวจเปิดทางที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะยอมให้ใครได้ผ่านเข้ามา เท่านั้นสติที่พยายามประคับประคองไว้ก็กระเจิดกระเจิงไม่เหลือดี และเมื่อหูได้ยินเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกับผิวกายก็เดาได้ทันทีว่าขณะนี้อีกฝ่ายก็คงอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน สิ่งที่ยืนยันความคิดนั้นก็คือเสียงของหัวเข็มขัดที่ตกลงกระทบพื้น ประเดี๋ยวเดี๋ยวร่างหนาก็ถาโถมลงมาประคองสองแก้มก่อนจะกระซิบแผ่วเบา
"ลืมตามองผมสิบุ้ง"
เจ้าของชื่อทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย เปิดเปลือกตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาไม่ต่างอะไรกับแสงของดวงอาทิตย์ที่รอดผ่านช่องว่างระหว่างกลุ่มเมฆสีเทาเมื่อหลังฝนตก
มันทั้งสว่างสดใสและให้ความรู้สึกอบอุ่นกับทุกสรรพชีวิต
“ผ...ผม ผมจะเข้าไปแล้วนะ”
“ด...เดี๋ยว”
ร่างสูงถอนใจเฮือกแต่ก็ไม่วายถาม “อะไรอีก” มองตามสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมายังร่างกายที่อัดแน่นไปด้วยความปรารถนาของตนเอง
“ล...แล้ว ถ...”
เข้าใจดีว่ามันพูดยากคนอายุมากกว่าจึงชิงตอบอย่างรู้ใจ
“คุณเป็นคนแรกของผมและจะเป็นคนเดียว”“ให้ผมเข้าไปนะ”
สิ้นเสียงของธันวา คันธชาติก็พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนระอุที่กำลังถูกส่งเข้ามาในร่างกาย พลันความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นไปตามแนวสันหลังเมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับ
‘อึดอัด’
มันอึดอัดอย่างที่ธันวาเตือนแล้วไม่มีผิด แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตอนนี้ความยับยั้งชั่งใจไม่มีเหลืออยู่เสียแล้ว ส่วนสติก็แตกเตลิดไปไกลจนยากจะกู่กลับได้ทัน
คันธชาติยอมรับว่าบทรักของธันวานั้นแรก ๆ มันก็เชื่องช้าเนิบนาบอย่างคนไม่ประสา แต่เมื่อมือหนาเข้ายึดสะโพกแน่น ร่างสูงก็กลับเร่งจังหวะเร็วและแรงขึ้นอย่างเชี่ยวชาญจนต้องใช้หลังมือปิดปากของตนเองที่คอยจะส่งเสียงน่าอายออกไป กระนั้นแล้วก็ยังต้องเอียงคอหนีดวงตาคลุกน้ำเชื่อมที่กำลังมองมา เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายไม่รักดีไม่คิดจะปฏิเสธแถมยังตอบสนองการกระทำนั้นกลับอย่างถึงอกถึงใจขนาดเรียกรอยยิ้มผุดพรายไปทั่วใบหน้าชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายได้เสียอีก
ธันวาทอดตามองคนหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะโน้มตัวลงจนเนื้ออกแนบชิด พยายามรั้งมือของคนใต้ร่างออกแต่มันก็ยากแสนยากเหลือเกินโดยเฉพาะกับคนดื้อคนนี้
“บุ้ง อย่าทำแบบนี้เลยนะ คุณกำลังทำห้ผมรู้สึกผิด” สิ้นเสียงของธันวาคันธชาติจึงยอมคลายคมฟันออกจากหลังมือขาว ทันทีที่เห็นร่องรอยแห่งความฝืนทนร่างสูงก็แทบหัวใจสลาย คิดอยากกจะลบมันให้หายไปเสียเดี๋ยวนี้แต่ทำได้แต่ก็กดจูบลงบนหลังมือช้ำแดงนั้นซ้ำ ๆ อย่างปลอบประโลม
“ต...แต่ แต่มันน่าอาย” คันธชาติกล่าวอู้อี้
“เราอยู่กันสองคนจะอายใครกัน หืม?” พูดพลางไล้ฝ่ามือลงบนเส้นผมชุ่มเหงื่ออย่างแผ่วเบา “ผมอยากได้ยินเสียงคุณ ให้ผมได้ยินเสียงของคุณเถอะนะ บอกให้ผมรู้ว่าคุณมีความสุขแค่ไหนเวลาที่อยู่กับผม” มือหนาเลื่อนต่ำลงก่อนจะแทรกนิ้วมือสองข้างกับเรียวนิ้วทั้งสิบของคนอายุน้อยกว่ากดลงกับเตียงพร้อมกับยันร่างขึ้นเริ่มบทรักหอมละมุนอีกหน
นับจากนาทีนั้นก็ไม่มีเวลาไหนที่ตาสองคู่จะละจากกันและไม่มีวินาที่ไหนที่กายทั้งสองจะแยกห่างจากกันได้
“อื้อ... ธ...ธัน”
เสียงหายใจหอบปนครางกระเส่าพร่ำเรียกยิ่งเหมือนแรงกระตุ้นให้ธันวายิ่งย่ามใจขยับโยกร่างกายถี่กระชั้นจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันดังไปทั่วห้อง
ในที่สุดคันธชาติก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นซ่านที่แทรกซึมอยู่ภายในร่างกาย มือบางถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่ออีกฝ่ายถอนตัวออกจากกัน ชายหนุ่มแทรกเรียวนิ้วเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าหล่อซึ่งกำลังก้มลงมาจูบขึ้น ปล่อยความรู้สึกให้จมดิ่งไปกับจุมพิตแสนวาบหวามอีกครั้งในขณะที่มือก็เลื่อนลงกอบกุม ‘เจ้าจอมดื้อ’ ของตนเองเอาไว้ก่อนจะรูดดึงเบา ๆ เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่คับแน่น
ธันวาถอยร่างออกมาสบตาคนที่กำลังนอนบิดเร่าเพราะความปรารถนายังไม่ถูกปลดปล่อย พลันความคิดว่าตนเองนั้นช่างเห็นแก่ตัวนักก็ถาโถมเข้าใส่ จึงตัดสินใจเอ่ยปากอาสาเข้าช่วยแม้จะคิดอยู่แล้วว่าจะต้องถูกปฏิเสธก็ตาม
“ให้ผมช่วยนะ”
“ม...ไม่ ไม่เป็นไร” ปากบางตอบกระท่อนกระแท่น
“แต่ผมอยากทำให้ ให้ผมทำเถอะนะ” อาจารย์หนุ่มหล่อยังคงย้ำความตั้งใจก่อนจะขยับตัวลงต่ำ แทรกมือเข้าประคอง ‘เจ้าจอมดื้อ’ เอาไว้เสียเองราวกับเป็นของที่ทำหายไปนาน กำลังจะก้มลงแตะจูบเพื่อทักทาย เจ้าของตัวจริงก็ร้องห้ามพร้อมกับใช้มือรั้งปลายคางของเขาขึ้นเสียก่อน
“ธ...ธัน อย่านะ อย่าทำอย่างนั้น ค...แค่มือก็พอ” ที่ท้ายประโยคแผ่วเบานั่นเป็นเพราะกระดากอายที่จะพูด
“ทำไมล่ะ” คนถูกห้ามถามด้วยความสัย
“ม...มัน สกปรก”
ธันวาถอนใจทิ้งทันทีที่ได้รู้ความคิดของอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นเมื่อกี้คุณก็ยอมให้ร่างกายสกปรก ๆ ของผมเข้าไปเหมือนกัน” พูดจบก็รั้งมือที่ยึดปลายคางออกก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้งให้มั่นใจ
“อย่ากังวลไปเลยนะ รู้ไว้แค่ว่าผมเต็มใจทำให้คุณก็พอแล้ว”
เมื่อได้ฟังคันธชาติก็จำต้องนอนนิ่งปล่อยให้ปากอุ่นบรรจงจูบลงบนส่วนที่กำลังขยายออกและชูชันขึ้น กลีบปากนุ่มลากไล้ขึ้นลงจนหนำใจก่อนจะครอบลงปราบพยศ รูดรั้งขยับขึ้นลงตามความยาวของเจ้าจอมดื้อทำเอาคนใต้ร่างกระตุกเกร็ง มือเรียวขยุ้มจิกบนเนื้อไหล่ไปตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านกระทั่งผิวขาวขึ้นรอยแดง
“ธ...ธัน อ...อื้อ...” เสียงนั้นขาดหายเป็นห้วง ๆ จนในที่สุดความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น
คันธชาติก้มต่ำลงสบตาธันวาที่กำลังยกหลังมือขึ้นซับบางสิ่งที่เลอะมุมปาก พลันแขนขาวก็อ้าออกอย่างห้ามไม่ได้รอกระทั่งอีกฝ่ายคืบคลานเข้ามาใกล้จึงเหนี่ยวคอหนาลงมารับรสจูบที่ตนเองปรารถนาจะมอบให้ ปากบางดูดดึงกลีบปากล่างของคนอายุมากกว่าซ้ำไปซ้ำมาจนร่างใหญ่ไหวสะท้าน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นรางวัลสำหรับสิ่งที่เขาทำให้เมื่อสักครู่ แม้จะถอนริมฝีปากออกแล้วแต่ธันวาก็ยังคงตามมาคลอเคลียดูดชิมความหวานจากเนื้อปากบางอย่างไม่รู้จักอิ่ม จนคันธชาติต้องแตะปลายนิ้วห้ามตาสองคู่จึงได้สบตากันอีกครั้ง
“คุณมันร้ายกว่าที่ผมคิด” พูดพลางไล้ปลายนิ้วไปบนกลีบปากที่ไม่ว่าจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหรือเริ่มต้นกระทำการใด ๆ ก็ให้ความรู้สึกอ่อนโยนอยู่ร่ำไป
“แล้วทีนี้ยังจะดื้ออีกไหม” ธันวากล่าวพร้อมกับชิงรั้งมือไม่ประสามากุมไว้ก่อนที่มันจะกระพือไฟในร่างให้ชุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“ถ้ารู้ว่าดื้อแล้วมีคนตามใจอย่างนี้ ผมก็จะดื้อชนิดที่หาตัวจับยากเลยละ”
คนอายุมากกว่าหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะกล่าว “กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะเข้ามาให้จับเองน่ะสิ”
“ธัน!” คันธชาติมุ่นคิ้วเขิน ‘ทำไมชอบเอาเรื่องจริงมาพูดเล่นแบบนี้นะ’ ยังไม่ทันจะประท้วงก็ถูกรวบด้วยแขนแกร่ง ตกเป็นเป้านิ่งให้แก่ปลายจมูกซุกซนที่ฝังลงกับแก้มซ้ายขวาอย่างไม่กลัวช้ำ
(จบตอนพิเศษ)