หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178223 ครั้ง)

ออฟไลน์ michiko_love

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-3
สนุกมากคะ

รอตอนพิเศษหวานๆๆอีกน่ะคะ

ออฟไลน์ care_me

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ มีการผูกเรื่องให้คิด อารมณ์​อ่านโคนันจริงๆค่ะ มีการแอบบอกใบ้ถึงทริคที่คนร้ายใช้ด้วย

แถมบทพระ-นายก็ดูกุ๊กกิ๊ก น่ารัก ละมุนละไม​ :katai2-1: :-[

ยกนิ้วโป้งให้เลยค่ะ o13

ออฟไลน์ BoJuNg

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สนุกมากกกกก

สงสารอัน  ตั้งแต่ต้นยันจบ  เฮ้อๆ


ขอบคุณมากค่าาา

ออฟไลน์ Meowww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากค่ะ เป็นนิยายที่อ่านแล้วต้องคอยลุ้นไปเรื่อยๆว่าใครจะเป็นคนร้ายกันแน่
และที่ไม่คาดคิดก็คือจะได้อ่าน NC ของคนแต่ง 5555 แต่ชอบนะ อ่านไปบิดไปเขินไป แอร๊ยยยยย  :-[ :impress2:
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านค่ะ  :L1: :pig4:

ออฟไลน์ AdLy

  • ไม่ได้ Korea Fever แค่รัก ดงบังและเอสเจ เท่านั้น
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
อาจารย์ขา สอนหนูบ้างสิ
อิจฉานายน้อยอย่างแรงเลยค่า

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
สนุกมากแม้จะขัดใจบุ้งนิดๆก็เถอะ

ออฟไลน์ karashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
    • นิยาย นิยายแจ่มใส นิยายมือสอง
อ่านตอนพิเศษแล้วเขินนนนน เขาจับผู้ร้ายกันแบบนี้นี่เอง 5555

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เกือบไม่รอดกันไปหมด เพราะความใจร้อน แต่โชคดีที่ทุกอย่างคลี่คลายลงได้
 :mew5: :mew5: :mew5:

ออฟไลน์ Fish129

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 746
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-3
ดร.ธันวา ทำไมน่ารักแบบนี้
คุณ ถธปทฟ นี้แต่งย่ารัก มุ้งมิ้งตลอดเลย
ถึงปริศนาจะซับซ้อน แต่ก็ยังซ้อนคงามน่ารักของ ดร.ธันไม่มิดเลย

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
ตอนพิเศษเสียเลือดเลยจ้า :pighaun:

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-14
เรื่องสนุกมากๆ เขียนได้จริงๆ ให้สิบกะโหลกเลย

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ฟินกับตอนพิเศษค่าาาาาาาา :jul1:
 :pig4: :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ SOMCHAREE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
สนุกมากค่ะะะะะ ตอนพิเศษฟ้นมัวกๆๆๆ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย


ตาคมทอดมองชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีเข้มเข้ารูปสวมรองเท้าบูทสีน้ำตาลเข้มยาวถึงหัวเข่าที่กำลังจับเชือกบังเหียนจูงม้าเดินไปรอบ ๆ สนามทรายล้อมรั้วไม้สีขาว บนหลังของเจ้าม้ารุ่นขนสีน้ำตาลแดงคือหญิงสาวในชุดลักษณะเดียวกัน ผมยาวถูกเกล้าเก็บสวมทับด้วยหมวกสีดำกันการกระแทก ภาพของสองคนที่เดินคุยกันไปพลางส่งยิ้มให้กันพลางนั้นช่างเหมือนฉากในละครที่สาว ๆ หลายคนฝันถึงไม่มีผิด


“ผมคุ้นหน้าเธอจัง” ธันวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้ดันกรอบแว่น 


“นั่นน่ะคุณหนูส้มจี๊ดแห่งฟาร์มศุภโชคไง” ร.ต.อ.เก่งกาจกล่าวขณะโบกมือให้เพื่อนรักที่อยู่อีกฟากของสนาม


“อืม...” อาจารย์หนุ่มนิ่งคิด “จำได้แล้ว ครั้งก่อนผมเจอเธอที่งานประจำปี” และเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาต้องกลับมาที่ปากช่องอยู่หลายหน แม้คันธชาติจะยังไม่ยอมระบุสถานะที่แน่ชัดก็ตามแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งเหมือนก่อน ธันวาเผลอวางหน้าขรึมเมื่อคำพูดในวันวานหวนกลับมาให้นึกถึงอีกครั้ง...


“ผมคงรับผิดชอบอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเอาใจช่วยให้คุณหลุดออกจากความรู้สึกนั้นได้โดยเร็ว”


เขาพยายามจะพาตัวเองหลุดออกจากความรู้สึกดังกล่าวแล้วไม่ใช่ไม่พยายาม แต่ก็ไม่อาจฝืนหัวใจได้ และในที่สุดความพยายามนั้นก็ถูกใช้เพื่อทำให้เจ้าของถ้อยคำเชือดเฉือนยอมรับความรู้สึกของตนเองแทนที่จะเดินหนีหรือสร้างกำแพงกั้นระหว่างกัน ฝีเท้าม้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ธันวาต้องหยุดความคิดแล้วหันไปมองยังต้นเสียง เห็นหญิงสาวกำลังลงจากม้าโดยมีลูกชายเจ้าของฟาร์มคอยประคอง เมื่อเท้าแตะพื้นจึงเดินไปลูบที่คอเจ้าตัวโตที่ยอมให้เธอขี่โดยไม่มีพยศ


“ขอบใจนะเจ้าน้ำตาล เอาไว้พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะจ๊ะ”


“ว...ว่าไงนะ” คันธชาติเอ่ยขึ้นขณะส่งสายบังเหียนให้เจ้าของร่างกายกำยำที่ก้าวเข้ามาอย่างรู้งาน


“ส้มจี๊ดบอกเจ้าน้ำตาลว่าพรุ่งนี้เจอกันค่ะ ส้มจี๊ดจะมาให้พี่บุ้งสอนขี่ม้าอีก”


ชายหนุ่มเผลอมุ่นคิ้ว “ให้ม้าพักบ้างเถอะ ตัวเราก็ไม่ใช่เบา ๆ นะ”


“พี่บุ้งใจร้าย ว่าส้มจี๊ดอ้วนเหรอคะ” สาวสวยทำหน้างอ “ก็ลุงทินกฤตบอกนี่นาว่าส้มจี๊ดมาเรียนรู้เรื่องม้าที่นี่ได้ทุกวัน”


“ตามใจ ถ้าอย่างนั้นฝึกทำความสะอาดคอกม้ากับอาบน้ำม้าก็แล้วกัน จะได้เข้าใจลึกซึ้ง” ว่าแล้วก็หันไปบอกหัวหน้าคนงาน “พรุ่งนี้ฝากพี่ก้อนดูแลคุณหนูส้มจี๊ดด้วยนะ”


ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่เนื้อตัวคล้ามแดดพยักหน้ารับคำสั่งจากนั้นจึงจูงม้าไปอีกทาง


“แต่ลุงทินกฤตให้พี่บุ้งเป็นคนสอนส้มจี๊ดขี่ม้านะคะ”


“ถ้าคิดจะเลี้ยงม้าก็ต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่สายพันธุ์ของมัน อาหารการกินรวมถึงการจัดการภายในคอกด้วย”


“แต่ว่า...” เมื่อจนใจจะหาเหตุผลมาโต้แย้งหญิงสาวจึงได้แต่มองตาปริบ ๆ กล่าวแบบไม่เต็มเสียง “ส้มจี๊ดอยากให้พี่บุ้งสอนขี่ม้านี่นา”


ลูกชายเจ้าของฟาร์มถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อที่เป็นตัวการเชิญทายาทไร่ข้าง ๆ มาทำให้วันแสนสงบสุขของเขาต้องวุ่นวาย “พี่ก้อนก็สอนได้ พี่เองก็เรียนกับพี่ก้อนมาเหมือนกัน อีกอย่าง...พรุ่งนี้พี่ไม่ว่าง วันนี้ก็ไม่ว่างไปส่งด้วย”


“อ้าว แล้วส้มจี๊ดจะกลับยังไงล่ะคะ”


คันธชาติไม่ได้ตอบคำถาม แต่หันไปหาเพื่อนรักที่กำลังเกาะรั้วยืนฟัง “ฝากด้วยนะไอ้กาจ”


นายตำรวจหนุ่มอ้าปากหวอยกมือชี้เข้าหาตัวเองเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ผิด ในขณะที่คนพูดเดินอาด ๆ ไปปลดสายบังเหียนที่ผูกอยู่ข้างรั้วก่อนจะดึงตัวขึ้นนั่งบนหลังของเจ้าม้าหนุ่มโดยไม่ได้สนใจดวงตาอีกคู่ที่ยังคงมองตามไม่ห่าง


สองตาของธันวาจับจ้องที่ร่างผอมบนหลังม้า ท่าทางของเขาสง่างามพอ ๆ กับเจ้าวอร์มบลัดเพศผู้ขนดำขลับที่กำลังพาเจ้านายของมันวิ่งเหยาะ ๆ ออกไปจากสนามฝึก ไม่นานทั้งคนทั้งม้าก็ลับตาไป


“เอาแต่ใจตัวเองเป็นบ้าเลย” ประโยคที่เก่งกาจและคุณหนูส้มจี๊ดต่างก็พูดขึ้นพร้อมกันทำเอาหนุ่มกรุงเทพฯ ถึงกับอมยิ้ม


“เดี๋ยวส้มจี๊ดโทรให้คนรถมารับก็ได้ค่ะพี่กาจ” เธอกล่าวก่อนลอบสำรวจคนแปลกหน้า


“อย่าลำบากเลย เดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้”


“แต่ว่าพี่กาจมีเพื่อนมาด้วย...” หญิงสาวท่าทางลังเล “ส้มจี๊ดเกรงใจค่ะ”


“ไม่เป็นไร พี่มากันคนละคัน ลืมแนะนำเลย นี่...ดร.ธันวา”


“สวัสดีค่ะดร.ธันวา” หญิงสาวยกมือไหว้
   

“เรียกธันก็ได้ครับ” เจ้าของชื่อกล่าวอย่างเป็นกันเอง


“ค่ะพี่ธัน พี่ธันเป็นเพื่อนพี่กาจกับพี่บุ้งเหรอคะ”


ธันวาหันไปสบตานายตำรวจเจ้าของกล้ามเป็นมัดที่ยืนอยู่ข้างกัน นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วยังทำผิวปากไม่รู้ไม่ชี้เสียอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นในที่สุดคนถูกถามก็จำต้องตอบรับแบบไม่เต็มเสียงนัก “ครับ”


“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” คุณหนูส้มจี๊ดยิ้มหวาน ยืนบิดไปมาพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับปลายผมเปียอย่างขวยเขิน
   


“บ้านอยู่ไหนเหรอคะ ส้มจี๊ดไม่เคยเห็นเลย”
   

“ผมมาจากกรุงเทพฯ น่ะครับ”


“ถึงว่า ผิวพรรณไม่เหมือนคนบ้านเราเลย ตัวก็ซู้งสูง ล้อหล่อ แล้ว...พี่ธันมีฟะ...”


“พี่ว่าเรารีบไปกันเถอะ ป่านนี้คุณอาศุภโชครอแย่แล้ว” เก่งกาจแทรกขึ้น


“แต่ส้มจี๊ดยังคุยกับพี่ธันไม่จบเลยนะคะ” คนพูดทำหน้ามุ่ยอยู่ไม่นานก็หันไปส่งยิ้มให้หนุ่มเมืองกรุงอีกครั้ง กระทั่งเจ้าหน้าคมคายคำรามฮือในลำคอแล้วกล่าวด้วยเสียงเข้ม


“รีบไปเถอะ”


“ก็ได้ค่ะ แต่ส้มจี๊ดขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างไม้ล้างมือก่อนนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ปีนรั้วออกมาก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในอาคารชั้นเดียวซึ่งเป็นโรงเก็บอุปกรณ์ขี่ม้า


“ผมว่าคุณเองก็ควรรีบไปนะครับด็อก ไม่รู้ป่านนี้ไอ้แสบมันไปถึงไหนแล้ว”


เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาจึงเดินมุ่งไปยังแลนด์โรเวอร์ที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ช่อดอกสีขาวลักษณะคล้ายปากแตรกำลังบานสะพรั่งชูช่อเป็นกระจุกแขนง กลิ่นหอมเย็นให้นึกถึงค่ำคืนอันแสนหวานที่ผ่านมาได้เพียงไม่นาน แต่ถึงเวลาจะล่วงเลยจากร้อยวันเป็นพันปีเขาก็ยังเชื่อว่าจะจดจำทุกถ้อยคำและทุกรสสัมผัสได้ไม่ลืมเลือน คิดมาถึงตรงนี้จู่ ๆ หัวใจก็เต้นรัว รีบติดเครื่องรถขับออกไปพร้อมกับมองหาใครบางคน เมื่อขับขึ้นเนินมาได้หน่อยก็เห็นคันธชาติกำลังควบม้ามุ่งหน้าไปยังท้ายฟาร์มซึ่งใกล้กับแนวป่าทึบ ชายหนุ่มจึงขับรถไปตามทางดินที่ทอดลงตัดผ่านแปลงปลูกหญ้าเนเปียร์บนพื้นที่กว่าสามสิบไร่ ผ่านแปลงปลูกทานตะวันกระทั่งสุดทางจึงตัดสินใจจอดรถเมื่อเห็นนายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานกำลังผูกเชือกบังเหียนกับรั้วกั้นบอกอาณาเขต


“ตามมาทำไม” คันธชาติเอ่ยขณะยกมือขึ้นตบเบา ๆ ที่คอเจ้าม้าหนุ่มขนสีดำ 


“ตามมาดูคนใจร้าย อุตส่าห์มาตั้งไกลไม่ยอมทักทายกันสักคำ” เมื่อจบประโยคธันวาก็มาหยุดยืนที่ด้านหลังพอดี


“สวัสดี” ลูกชายเจ้าของฟาร์มหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ “พอใจหรือยัง”


“ไปอารมณ์เสียมาจากไหน หืม? หรือว่ามีใครทำอะไรให้ไม่พอใจ บอกผมซิ”


คันธชาติถอนใจเฮือกเมื่อถูกอ่านจนทะลุปรุโปร่ง กระนั้นก็ยังยอมให้อีกฝ่ายสวมกอดโดยไม่คิดขัดขืน นั่นเพราะคำถามเมื่อครู่ได้ดึงเอาบางเรื่องออกมาให้ต้องครุ่นคิด ดวงตาแข็งกร้าวมองผ่านแนวรั้วไปยังทุ่งหญ้ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นครึ้ม ได้ยินลิงค่างกู่ร้องประสานเสียงกับหรีดหริ่งเรไรดังระงม


“คิดอะไรอยู่” หนุ่มกรุงเทพฯ กระซิบถามพร้อมกับใช้ปลายจมูกเขี่ยที่ข้างหูเบา ๆ จนคนในอ้อมแขนต้องเอี้ยวหนี “คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า”


“ทำไมถึงมากับไอ้กาจได้” คนอายุน้อยกว่าเปลี่ยนเรื่อง


“ผู้กองชวนผมมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของกิ่งดาว เห็นว่าคุณไม่ได้ไปกรุงเทพฯ นานแล้วก็เลยมาหา”


“ไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าอยากเจอหรือเปล่า”


ธันวาตอบกลับเสียงห้วนไม่ชวนฟังนั้นโดยการคลายวงแขนถอยออกมาพอให้มีระยะห่าง ฝืนยิ้มแล้วกล่าวเพียงสั้น ๆ “นั่นสินะ”


ท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกทำเอาคนถามใจหายไม่น้อย รู้ว่าตัวเองผิดเต็มประตูแต่ก็ยังทำรักษาท่าทีหันไปลูบคอม้าวอร์มบลัดตัวโปรด “แค่นี้ก็ต้องงอนด้วยเนอะเขม่าเนอะ เราอุตส่าห์คิดถึง”
เจ้าม้าหนุ่มทำราวกับเข้าในใจสิ่งที่เจ้านายของมันพูด มันผงกหัวถี่ ๆ ก่อนจะก้มลงเล็มหญ้า


“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ” ธันวาอยากให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าใกล้รอฟังคำตอบจากคนที่ยืนหันหลังให้ “ว่าไงครับ”


“ไม่ตั้งใจฟังเอง ช่วยไม่ได้”


“บุ้ง...” คนพูดมุ่นคิ้วด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะจับอีกฝ่ายให้หันกลับมา จากนั้นจึงลดมือลงแล้วประคองเอวสอบนิด ๆ ยกตัวอีกฝ่ายขึ้นนั่งบนรั้วคอนกรีต “พูดให้ผมฟังอีกครั้งได้หรือเปล่า”


คันธชาติเบนหน้าหนีสายตาวิงวอนกับเสียงกระซิบอ้อน พองลมในกระพุ้งแก้มทำไม่ใส่ใจแล้วเปลี่ยนเป็นผิวปากสบายอารมณ์


“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร” ธันวาคลายมือออกเตรียมจะทำเดินหนีแต่แขนขาวกลับยกขึ้นคล้องคอตรึงไว้จนเขาไม่อาจไปไหนได้


“จะไปไหน”


“กลับกรุงเทพฯ”


“ไม่ให้ไป” คนอายุน้อยกว่าบอกจากนั้นจึงค่อย ๆ โน้มร่างสูงเข้ามาหาแล้วกระซิบที่ข้างหู “คิดถึง”


ลมหายใจอุ่นที่รดลงบนใบหูพาให้มือใหญ่เผลอยึดสะโพกอีกฝ่ายแน่น ธันวาคลี่ยิ้มอย่างพอใจในขณะที่คนพูดขยับออกห่างเพื่อสบตากัน แค่คำสั้น ๆ แต่กลับทำให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวราวกับต้นไม้ขาดน้ำมากว่าสองสัปดาห์ของอาจารย์หนุ่มชุ่มชื่นขึ้นอีกครั้ง


“ได้ยินชัดหรือยัง” เห็นรอยยิ้มระบายทั่วหน้าจึงกล่าวต่อ “ขี้งอนนะเราน่ะ” คันธชาติหัวเราะ ไม่ทันได้สนใจดวงตาที่กำลังมองมา รู้ตัวอีกอีกริมฝีปากนุ่มก็ประกบลงบนกลีบปากของตัวเองเสียแล้ว...


สายลมพายอดหญ้าไหวลู่เป็นระลอกคลื่นเขียวขจี ผีเสื้อตัวน้อยขยับปีกขณะดูดชิมเกสรดอกทานตะวัน ส่วนม้าวอร์มบลัดที่นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานตั้งชื่อว่า “เจ้าเขม่า” ก็ยืนเล็มหญ้าอยู่ใต้ร่มไม้ ขนหางสีดำสนิทกวัดแกว่งไล่แมลงที่บินวนเป็นระยะ มันผงกหัวขึ้นมองไปรอบ ๆ พร้อมกับขยับใบหูแล้วก้มลงกินหญ้าต่ออย่างสบายอารมณ์ ทั่วบริเวณเงียบสงบ ที่ไม่สงบเห็นทีจะเป็นหัวใจของสองคนในแลนด์โรเวอร์สีขาวที่ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม จู่ ๆ เจ้าเขม่าก็ผงกหัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับฝูงนกนับร้อยที่แตกฮือบินสะเปะสะปะอยู่เหนือยอดไม้ใหญ่ ลิงค่างร้องอื้ออึงจนเกือบจะกลบเสียงหนึ่งที่ดังแว่วมาจากป่าลึก


“คุณได้ยินไหม”


เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นข้างหูกับสัมผัสอุ่นชื้นตรงซอกคอเรียกความคิดของชายหนุ่มที่กำลังจ้องเขม็งไปยังชายป่ากลับคืนมา คันธชาติกดตามองริมฝีปากหยักที่เลื่อนลงดูดดึงจุดที่ทำให้สติแทบเตลิดอยู่ในขณะนี้


“เสียงปืนน่ะ” คนอายุน้อยกว่าตอบด้วยสุ้มเสียงไม่ต่างกัน


คำตอบนั้นทำเอาชะงักจนธันวาต้องเงยหน้าขึ้นสบตาในขณะที่คันธชาติขยับนั่งพิงกับประตูด้านหลังที่นั่งคนขับ มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของอีกฝ่าย มือขาวประคองสองแก้มสากแล้วพูดต่อ “ไม่มีอะไรหรอก”


“สัญญากับผมนะว่าจะไม่มาที่นี่คนเดียว”


ลูกชายเจ้าของฟาร์มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่กลับมอบจุมพิตแสนหวานให้แทน มือนุ่มลูบไล้ผ่านลำคอไปยังแผ่นหลังเปลือยเปล่าแล้วหยุดคลึงเคล้นบนรอยนูนที่ธันวาเคยบอกว่าเกิดจากความซุกซนในวัยเยาว์ของตนเองแต่ก็ยังไม่มีโอกาสถามว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ริมฝีปากบางเผยอออกเมื่อฟันขาวแกล้งงับเบา ๆ พลันปลายลิ้นสากก็ถูกส่งเข้ามากวาดชิมความหวานในโพรงปาก ความแน่นขึงใต้เนื้อผ้าที่บดเบียดอยู่บนหน้าขาทำให้คันธชาติต้องเลื่อนมือข้างหนึ่งลงต่ำกระทั่งถึงขอบกางเกง สอดปลายนิ้วคลายกระดุมหวังจะปลดปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ แต่ธันวากลับถอนริมฝีปากออกพร้อมกับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“บุ้ง อย่าเพิ่ง รับปากผมก่อน”


คนอายุน้อยกว่าคลี่ยิ้มก่อนจะค่อย ๆ ใช้มือดันแผงอกแกร่งให้ห่างตัว สอดซองอะลูมิเนียมเคลือบพลาสติกทึบแสงเข้าในกระเป๋ากางเกงของคนพูด จากนั้นจึงคว้าเสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ขึ้นมาสวมเพื่ออำพรางร่องรอยแห่งความคิดถึงที่ธันวามอบให้ “กลับกันเถอะ”


“บุ้ง” ธันวาถอนใจเบา ๆ มองคนที่กำลังเปิดประตูลงจากรถ คว้าเสื้อมาสวมแล้วจึงตามลงไป


“รับปากผมก่อน”


คันธชาติรั้งเชือกบังเหียนที่ผูกกับกิ่งไม้ปากก็ตอบรับแบบไม่เต็มเสียง พูดจบจึงดึงตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าแล้วควบเจ้าเขม่ามุ่งหน้ากลับทางเดิม


แลนด์โรเวอร์สีขาวเคลื่อนตามชายหนุ่มและม้ารูปร่างสง่างามของเขาผ่านแปลงปลูกทานตะวันและพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ในฟาร์มชื่อดังของอำเภอปากช่องจนกระทั่งถึงคอกม้า ธันวาเปิดประตูลงจากรถมองคันธชาติที่กำลังถอดอานและปลดสายบังเหียนส่งให้คนงาน จากนั้นจึงพาเจ้าม้าหนุ่มเข้าไปยังพื้นที่สำหรับอาบน้ำม้า เจ้าเขม่าเองก็เหมือนรู้หน้าที่ มันเดินตรงเข้าไปซองซึ่งโครงไม้ใหญ่กว่าตัวของมันเล็กน้อยโดยไม่ต้องให้ยื้อยุด ซ้ำยังยืนนิ่งให้เจ้านายดึงเชือกมาผูกเชือกกับบังเหียน


“เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็ได้นะครับ” ตาคมละจากภาพตรงหน้าหันมองเจ้าของเสียง เขาคือชายหนุ่มผิวคล้ามแดดที่เจอเมื่อครู่นั่นเอง


“เขาคงรักมากเลยสินะครับถึงประคบประหงมขนาดนี้” ธันวาเอ่ยขึ้น


“เจ้าเขม่าเป็นม้าตัวโปรดของนายน้อยครับ แต่เรื่องประคบประหงมนายน้อยทำแบบนี้กับม้าทุกตัว ถ้ามีเวลาก็จะมาช่วยอาบน้ำ ช่วยทำความสะอาดคอกม้า” ก้อนกล่าวพลางมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชื่นชม “ตอนที่เจ้าปุยเมฆตกลูกนายน้อยก็คอยอยู่ใกล้ ๆ มันไม่ห่าง ทั้งที่มันเคยพยศจนทำให้นายน้อยต้องแขนเดาะแท้ ๆ” พูดจบก็เดินตรงไปช่วยรั้งสายยางมาให้ผู้เป็นนาย


คันธชาติปลดกระดุมแขนเสื้อถลกขึ้นก่อนจะถอดรอเท้าบูทแล้วดึงชายกางเกงขึ้นจนถึงหัวเข่า จากนั้นก็หันไปรับสายยางมาฉีดเพื่อล้างตัวให้เจ้าวอร์มบลัดสีดำสนิทที่ยืนกวัดแกว่งหางสบายอารมณ์


“อาบน้ำกันนะเจ้าเขม่า คืนนี้แกจะได้หลับสบาย” ชายหนุ่มว่าก่อนจะหันไปบอกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล “พี่ก้อนมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมเอาเจ้าเขม่าเข้าคอกเอง”


“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมหญ้ากับอาหารให้ม้าก่อนนะครับนายน้อย” พูดจบเข้าก็เดินหายเข้าไปในโรงเลี้ยงม้า


ธันวาสาวเท้าเข้าไปหยุดใกล้ ๆ มองคนที่กำลังผิวปากพร้อมทั้งใช้แปรงถูไปมาบนลำตัวม้าที่เพิ่งเทน้ำยาทำความสะอาดสำหรับม้าลงไป


“คุณอยากอาบด้วยกันเหรอ”


คันธชาติมองคนที่กำลังยืนส่ายหัวดิกพลางยิ้มน้อย ๆ ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของอีกฝ่ายทำให้อดแกล้งไม่ได้ ดังนั้นนายน้อยเจ้าแผนการจึงแกล้งขยับเข้าไปใกล้ปากใหญ่ที่กำลังเคี้ยวหยับ ๆ ของเจ้าม้า เงี่ยหูฟังมันหายใจฟืด ๆ อยู่ชั่วครู่ก็เงยหน้าขึ้นพูด “อะไรนะ อ๋อ...แกก็อยากมีเพื่อนอาบด้วยเหรอเจ้าเขม่า”


“บุ้ง...ไม่เอานะ”


“ว่าไงนะ อ๋อ...รอไม่ไหวแล้ว ได้ ๆ” ว่าแล้วก็หันปลายสายยางฉีดน้ำใส่คนที่พยายามปัดป้อง


“บุ้ง! ไม่เอาน่า” คนอายุมากกว่าร้องห้ามแต่ก็ไร้ผลเพราะตอนนี้เขาเปียกพอ ๆ กับเจ้าม้าเสียแล้ว


“มานี่เร็ว” คันธชาติว่าก่อนจะรั้งแขนธันวามายืนใกล้ ๆ แล้วดึงมือของเขาขึ้นแตะที่ลำตัวของเจ้าเขม่า แต่อีกฝ่ายกลับชักมือกลับ


“ไม่เอา”


“กลัวเหรอ” ลูกชายเจ้าของฟาร์มหัวเราะ “เขม่ามันใจดี” พูดจบก็จับมือใหญ่แตะที่คอของม้าตัวโปรด


ธันวามองมือขาวที่วางทับบนมือของตนเองก่อนจะลากไปบนลำตัวของม้าวอร์มบลัดลักษณะดีพร้อม ๆ กัน “มันชอบเหรอ”


“อือ มันชอบให้ทำแบบนี้”


เมื่อเริ่มคุ้นเคยแล้ว ธันวาจึงอาสาช่วยอาบน้ำเจ้าเขม่า ชายหนุ่มเดินไปอีกทางก่อนจะมองข้ามหลังของเจ้าม้าตัวโตไปยังดวงหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เพราะความชอบแกล้งแบบเด็ก ๆ ของอีกฝ่าย จึงทำให้ตอนนี้ทั้งเขาและคันธชาติอยู่ในสภาพที่เปียกม่อล่อกไม่ต่างกัน


“มองอะไร”


“ได้แกล้งผมแล้วอารมณ์ดีขึ้นหรือยัง”


คันธชาติไม่ตอบ ก้มลงใช้แปรงปัดดินออกจากกีบม้า กระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยจึงปล่อยเจ้าเขม่ายืนผึ่งลมให้ตัวแห้งสักพักก็จูงมันกลับเข้าคอก จัดการสวมหน้ากากกันแมลงให้ก่อนจะแวะทักทายม้าทุกตัวในโรงเลี้ยงแล้วเดินออกมานั่งพักที่ใต้ร่มไม้ใหญ่


“คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” ธันวาเอ่ยขึ้นเมื่อนั่งลงข้างกัน


“เปล่านี่” คนอายุน้อยกว่าบอกพลางเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดไม้ใหญ่เห็นดอกไม้สีขาวรูปร่างคล้ายแตรซึ่งเกาะกลุ่มกันเป็นช่อแกว่งไกวส่งกลิ่นหอมฟุ้งยามสายลมพัดผ่าน


ธันวามองมือขาวที่กำลังหยิบดอกหนึ่งซึ่งเพิ่งตก ลงบนหน้าขาขึ้นมาหมุนก้านดอกยาวช้า ๆ พร้อมกับจ้องมองอย่างพิจารณา เมื่อจนใจกับคำตอบที่ได้และหมดปัญญาที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมพูดจึงเปลี่ยนเรื่อง “Millingtonia hortensis Linn.f. ดอกไม้ที่คุณชอบ”


“ทำไมรู้” คันธชาติหันมาถามด้วยความแปลกใจแต่แล้วคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ต้องนั่งนิ่งไปชั่วขณะ   


“เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณไง”


“ต้องเขินไหม”


“แล้วแต่” ธันวาตอบพร้อมกับยกมือขึ้นเกาต้นคอในขณะที่คันธชาติเองก็ยิ้มน้อย ๆ ก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกปีบในมือ และเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านมาอีกครั้ง ช่อดอกที่ห้อยย้อยลงจากกิ่งใหญ่คล้ายโคมไฟระย้าก็ไหวลู่ไปตามแรงลม  ปลิวหลุดออกจากขั้วร่วงกระจายบนยอดหญ้าราวกับเม็ดฝน


สองคนนั่งทอดตามองพระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ฝากริ้วสีส้มไว้ตรงปลายฟ้าขณะค่อย ๆ เคลื่อนต่ำลง ฝูงนกนับร้อยกำลังบินมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน จุดหมายปลายทางของพวกมันอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ได้ อาจเป็นยอดไม้ที่ยืนต้นอยู่ทั่วไปภายในฟาร์มหรือในป่าลึกห่างไกลจากการรบกวนของมนุษย์ บรรยากาศในวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ใครคนหนึ่งได้สารภาพความในใจออกไป จะต่างกันก็ตรงที่วันนี้กำแพงที่ใครอีกคนสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบตัวเองให้ปลอดภัยจากความรู้สึกสูญเสียนั้นได้ถูกพังทลายลงไปจนหมดสิ้น     


“งานในฟาร์มยุ่งเหรอ คุณถึงไม่ไปกรุงเทพฯ เลย” ธันวาเอ่ยขึ้น


“อือ พ่อเอากล้วยน้ำว้าพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาทดลองปลูกน่ะ เป็นผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ทุกคนก็เลยวุ่น ๆ เรื่องการเตรียมพื้นที่ลงหน่อกล้วยจำนวนมาก อีกอย่างฟาร์มของเราก็เพิ่งเปิดให้คนที่สนใจได้เข้ามาศึกษาวิธีการทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ พักนี้งานในไร่ก็เลยยุ่ง ๆ หน่อย ของที่ต้องไปส่งตามร้านก็ต้องเปลี่ยนเป็นให้คนงานเข้าไปส่งแทน แล้วทางโน้นล่ะเป็นยังไงบ้าง”


“มีแต่คนบ่นคิดถึงคุณ ทั้งพี่แก้วกับเด็ก ๆ ทั้งอารตี พี่พุดดิ้งแล้วก็พวกสาว ๆ ที่โรงละคร”


“พอทุกอย่างลงตัว ผมก็คงได้กลับไปส่งของเหมือนเดิมแล้ว ถ้าพ่อไม่หาอะไรยาก ๆ มาให้ทำอีกน่ะนะ” คันธชาติบ่นเสียงเนือย มองหน้าคนถามที่ตอนนี้เจือด้วยรอยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ต้องไปกรุงเทพฯ ก็ได้ ผมจะมาหาคุณบ่อย ๆ ไม่ถามด้วยว่าอยากเจอหรือเปล่า” ธันวาชิงดักคอเอาไว้ก่อน  “เพราะเห็นหน้าคุณแล้วผมหายคิดถึง คุณก็คงหายเหนื่อยเวลาเจอหน้าผมเหมือนกัน”


คันธชาติทำจมูกย่น คราวนี้คงได้เขินจริง ๆ แล้ว...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2017 11:34:42 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

ตกเย็นนายหญิงบุปผาเข้าครัวลงมือทำอาหารต้อนรับแขกคนสำคัญด้วยตัวเอง เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็สั่งให้คนงานตั้งโต๊ะ นายใหญ่ทินกฤตเชิญให้แขกนั่งก่อนที่ตนเองจะนั่งลงที่หัวโต๊ะ เก่งกาจนั่งข้างธันวา ส่วนฝั่งตรงข้ามคือคันธชาติที่วันนี้ย้ายไปนั่งข้าง ๆ ผู้เป็นแม่ เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวเมื่อตอนคันธชาติประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาลกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงละครนาฏยการถูกนายหญิงบุปผาหยิบยกขึ้นมาพูดถึง และเธอก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยเหลือลูกชายหัวดื้อของเธออีกหน มันอาจจะเป็นคำพูดที่ซ้ำซากในสายตาคนฟังแต่ก็กลั่นออกมาจากใจจริง ๆ นั่นเพราะเธอมีลูกชายอยู่เพียงคนเดียวหากเกิดเหตุร้ายขึ้นหัวใจของคนเป็นแม่คงต้องแตกสลายเป็นแน่


“วันนี้แกสอนหนูส้มจี๊ดขี่ม้าเป็นไงบ้างเจ้าบุ้ง” ทินกฤตกล่าวเสียงขรึมผิดวิสัยคุณพ่ออารมณ์ดี


“ก็ดีครับ ทั้งม้าทั้งคนเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว” ลูกชายตอบเนือย ๆ


“แล้วคนสอนกับคนเรียนล่ะเริ่มคุ้นเคยกันบ้างหรือยัง สอนกันมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว”


“น้องน่ารักไหมลูก” ผู้เป็นแม่เสริม แม้จะรู้สึกถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้น


“น่ารำคาญมากกว่า เกาะบุ้งแจยังกับปลิง จะไปไหนก็ไม่ได้” คันธชาติบอกก่อนจะตักข้าวเข้าวปาก ท่าทางของเขาเรียกรอยยิ้มจากทุกคนที่นั่งอยู่ยกเว้นธันวาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงวางหน้านิ่ง


“แกก็ให้น้องตามไปด้วยสิ น้องจะได้เห็นความเป็นไปในฟาร์มของเรา อีกหน่อยอาจจะเป็นดองกันก็ได้ใครจะไปรู้”


“ไม่มีทางหรอกพ่อ บุ้งไม่มีวันชอบน้องส้มจี๊ดของพ่อหรอก”


“ทำไม” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงแข็ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่กันแค่สามคนพ่อแม่ลูกเขาจึงลดรับดับเสียงลง “หรือว่าแกมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ไหนลองบอกพ่อมาซิว่าลูกบ้านไหน”


เก่งกาจมองนายใหญ่ทินกฤตกับลูกชายสลับกันและไม่ลืมดึงสายตากลับมายังคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้หน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มจะตึงเครียดนายตำรวจหนุ่มจึงเอื้อมมือตักอาหารที่กลางโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “ผัดผักบุ้งนี่อร่อยมากเลยนะด็อกเตอร์ คุณลองหรือยัง ของโปรดไม่ใช่เหรอ”


คันธชาติยกน้ำขึ้นดื่มเพื่อดับความร้อนรุ่มในใจ เขาจับสังเกตมาหลายวันแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าพ่อจะเอาเรื่องที่จะจับตนเองคลุมถุงชนกับคุณหนูไร่ข้าง ๆ


“ผักบุ้งนี่มันขึ้นเองตามธรรมชาติจ้ะ นายกรตาของเจ้ากล้าเก็บมาฝาก ป้าเลยเอามาผัดกับน้ำมันหอย ธันชอบเหรอจ๊ะ”


เจ้าของชื่อยังไม่ทันจะตอบ เก่งกาจก็แทรกขึ้น “ชอบมากเลยละครับป้าบุปผา อาจารย์ธันวาเขาชอบกินผักบุ้งมากจริงไหมไอ้บุ้ง”
ประโยคหลังที่ถูกเน้นทำเอาคนฝั่งตรงข้ามสำลักน้ำ คันธชาติรีบวางแก้วลงแล้วปิดปากไอ


“ถ้าชอบก็ทานเยอะ ๆ มา...ป้าตักให้” พูดจบบุปผาก็เอื้อมตักผัดผักเจ้าปัญหาให้ “ทานเยอะ ๆ นะจ๊ะ”


“ขอบคุณครับ” ธันวากล่าวเสียงแผ่ว เงยหน้าขึ้นสบตาคนอีกฝั่ง


“เอ้า รีบทานสิด็อกเตอร์ ชอบไม่ใช่เหรอ”


“แล้วกาจล่ะ คืนนี้ไม่ค้างด้วยกันจริง ๆ เหรอลูก” นายหญิงของบ้านหันมาถาม นั่นเพราะเวลาเพื่อน ๆ ของลูกมาทีไร เธอจะรู้สึกว่าบ้านครึกครื้นขึ้นมาทุกที เหมือนมีลูก ๆ อยู่เต็มบ้าน ดังนั้นจึงอดถามย้ำไม่ได้ทั้งที่เก่งกาจได้บอกไว้แต่แรกแล้วว่าต้องรีบกลับไปทำธุระสำคัญ


“วันนี้ไม่ได้จริง ๆ ป้าบุปผา เอาไว้หยุดยาวที่จะถึงนะครับ ผมจะชวนพ่อกับแม่มาด้วยกัน”


“ดีสิ นี่ลุงไม่ได้เจอพ่อเราตั้งนานแล้วนะ ชวนมาด้วยกันจะได้คุยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าให้หายคิดถึงเสียหน่อย”


“ครับคุณลุง”


“แล้วธันล่ะจ๊ะจะกลับพร้อมกาจเลยหรือเปล่า”


“ครับ” ธันวาตอบสั้น ๆ สั้นเสียจนใครคนหนึ่งทนไม่ไหวต้องพูดขึ้น


“ไม่ได้มารถคันเดียวกันสักหน่อย”


“ก็ถ้าอยากให้เขาอยู่ต่อก็ชวนเขาสิวะ”


ทินกฤตและบุปผาต่างก็มองไปยังลูกชายเป็นตาเดียว ในที่สุดชายหนุ่มก็กล่าวอ้อมแอ้ม “จะขับกลับไปยังไงมืด ๆ ค่ำ ๆ ไอ้กาจมันชำนาญทางก็ให้มันกลับไปคนเดียวสิ”


“เห็นไหมด็อกเตอร์ เจ้าของบ้านเขาอยากให้ค้างแล้วคุณจะเกรงใจทำไม ใช่ไหมครับป้าบุปผา”


“นั่นสิ ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ คนกันเองทั้งนั้น เป็นเพื่อนบุ้งก็เหมือนเป็นลูกของลุงกับป้าด้วย คราวก่อนที่แวะมาก็ไปนอนโรงแรมทีหนึ่งแล้ว”


“คราวก่อนผมมาบรรยายให้กับมหาวิทยาลัยที่นี่น่ะครับ”


“ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ป้าไม่ยอมแล้วนะ ค้างด้วยกันนะจ๊ะ ป้าจะให้คนงานจัดห้องให้”


เห็นคนข้าง ๆ ไม่ตอบ นายตำรวจหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องจัดหรอกครับป้า ก็ให้นอนห้องไอ้บุ้งนั่นแหละ ทีไอ้บุ้งยังไปอาศัยนอนห้องด็อกเตอร์บ่อย ๆ ตอนที่เข้าไปส่งของ จริงไหมบุ้ง”


“เออ” คันธชาติทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“พ่อว่าเตียงห้องนั้นมันเล็กนะ ซื้อไว้ตั้งแต่เจ้าบุ้งยังเด็ก ๆ” ทินกฤตกล่าวเสียงเรียบ


“แต่ห้องรับรองแขกเรากำลังปรับปรุงอยู่นะจ๊ะพ่อ”


“ผมนอนพื้นก็ได้ครับ”/ “นอนเบียด ๆ กันก็ได้ครับ” ธันวาและเก่งกาจพูดขึ้นพร้อมกัน


“ตายจริง ป้าจะให้แขกนอนพื้นได้ยังไงจ๊ะ”


“ผมนอนได้ครับ” ธันวายืนยัน


ทินกฤตมองภรรยาและแขกที่นั่งอยู่คนฝั่งของโต๊ะก่อนจะแทรกขึ้น “ไม่ได้สิ”


เสียงดังกังวานทำเอาทุกคนเงียบ นายใหญ่ยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ต้องให้แขกนอนสบาย ๆ ไม่อย่างนั้นเสียชื่อฟาร์มแสงฉานหมด” ว่าพลางยกมือถูปลายคาง “ถ้าอย่างนั้นจัดให้นอนที่บ้านต้นไม้ก็แล้วกัน ที่นั่นน่ะลุงกะจะใช้เป็นเรือนรับรองแต่โดนเจ้าบุ้งยึดไปทำห้องสมุดเสียแล้ว บรรยากาศดีมากนะตอนกลางคืนออกมายืนดูดาวได้ ส่วนตอนเช้าจะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากเนินเขาที่อยู่ท้ายฟาร์ม เดี๋ยวแม่บอกให้คนงานไปจัดที่หลับที่นอนให้แขกก็แล้วกันนะ”


แม้คำว่า “แขก” ที่ทินกฤตใช้นิยามเพื่อนของเขาจะดูห่างเหิน หากแต่ข้อสรุปของคนหัวโต๊ะก็ยังทำให้เก่งกาจนึกพอใจอยู่บ้าง


“บุ้งไปนอนเป็นเพื่อนธันนะลูก แม่จะได้เตรียมเครื่องนอนสองชุด”


ผู้เป็นสามีหันขวับ “ฮึ้ย! จะดีเหรอแม่”


“แล้วมันจะไม่ดียังไงล่ะพ่อ”


ทินกฤตละสายตาจากภรรยาแล้วมองคนอื่น ๆ “ก...ก็ธันวาเขาเป็นแขก ก็ควรจะได้นอนสบาย ๆ เป็นส่วนตัวสิ”


“พ่อนี่คิดมาก แขกที่ไหนกัน ธันก็เป็นเพื่อนบุ้ง” พูดจบก็หันไปหาลูกชาย “เดี๋ยวแม่จะเตรียมเครื่องนอนให้นะ”


“นั่นแหละที่สังคมต้องการ!” นายตำรวจหนุ่มเผลอตีตบหน้าขาดังฉาด เมื่อเห็นว่าทุกสายตากำลังจ้องมาที่ตนเองจึงกล่าวแก้เก้อ

“ผ...ผมหมายถึง...นั่นแหละครับคือสิ่งที่คนกรุงเทพฯ อย่างด็อกเตอร์ต้องการ การได้พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติกับเพื่อนสนิท แค่นี้ก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว เผลอ ๆ จะขอมาค้างด้วยทุกอาทิตย์”


“อยู่กรุงเทพฯ น่าจะสบายกว่ามั้ง มีทั้งรถไฟฟ้า มีทั้งโรงหนัง ผับบาร์ ที่นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรอก” ทินกฤตกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าว “ลองดูก่อนก็ได้ ถ้าชอบใจ จะมาอีกที่นี่ก็ยินดีต้อนรับ” พูดจบจึงเชิญให้ทุกคนรับประทานอาหารต่อ





เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเก่งกาจจึงอำลาผู้อาวุโสทั้งสองก่อนจะขอตัวกลับ โดยมีธันวาและคันธชาติเดินมาส่งยังที่จอดรถ


“เจ้ากี้เจ้าการนักนะแก” ลูกชายเจ้าของฟาร์มว่าเมื่อลับสายตาพ่อและแม่


“ใจแกก็อยากให้เขาอยู่ต่อไม่ใช่หรือไง”


คันธชาติมุ่นคิ้วพลางเหลือบมองคนข้าง ๆ แล้วยอมรับในที่สุด “มันก็ใช่”


“เออ แล้วทำเป็นปากแข็ง” เก่งกาจหยุดเดินแล้วหันมากอดอกสีหน้าจริงจัง “แกควรหาโอกาสคุยกับคุณลุงคุณป้าได้แล้วนะ”


“เรื่องอะไรวะ”


“ก็เรื่องแฟนแกไง”


“ใคร? ใครแฟน? มีที่ไหนเล่า”


คำพูดของคันธชาติทำคนที่ยืนฟังเงียบ ๆ หน้าเจื่อน กระนั้นธันวาก็ยังคงยืนนิ่งราวกับมันเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดมาแล้วผ่านไป


“พูดอะไรนึกถึงใจคนฟังบ้างไอ้หนอน” เก่งกาจว่าแต่สายตากลับเหล่มองอีกคน


“ก็พูดเรื่องจริง”


“เออ ก็แล้วแต่โว้ย มัวแต่อมพะนำ ระวังเถอะลุงทินจะจับแกแต่งงานกับคนที่ไม่ได้ชอบ”


“เรื่องนั้นฉันจัดการได้น่า ว่าแต่แกเถอะมีอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้ถึงไม่ค้างด้วยกัน”


“เปล่า” เก่งกาจยักไหล่ “แค่ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ” พูดจบก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถก่อนจะขับออกไป


คันธชาติรอจนซีดานสีดำลับหายไป ทันทีที่หันหลังกลับก็ปะทะเข้าร่างของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังจนเกือบเซ โชคดีที่ธันวาคว้าเอวของเขาเอาไว้ได้ทัน ปลายจมูกสัมผัสที่กันเพียงนิดกับลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่เหนือริมฝีปากทำสองแก้มร้อนผ่าวจนลูกชายเจ้าของฟาร์มต้องขยับห่างออกมาสบดวงตาเรียบเฉยที่เจือความผิดหวัง


“เป็นอะไรหรือเปล่า”


“ม...ไม่เป็นไร คุณไปเอาของที่รถก่อนเถอะ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาเครื่องนอนในบ้านมาให้” ว่าแล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน เห็นพ่อกำลังคุยกับหัวหน้าคนงานอยู่ที่ระเบียงจึงเดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้องพบว่าผู้เป็นแม่กำลังหอบหมอนและผ้าห่มชุดใหม่ออกมาจากตู้พอดี


“แม่เตรียมผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าของลูกเอาไว้ให้แล้วนะ เดี๋ยวแม่จะให้คนงานเอาไปส่งให้พร้อมเครื่องนอน”


“ผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนนี่บุ้งถือไปเองก็ได้ครับ” คันธชาติบอกพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนกับผู้ขนหนูที่ถูกพับซ้อนกันไว้บนเตียงมาถือไว้ “ขอบคุณนะครับแม่” ลูกชายกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่อย่างประจบ


“ขอบคุณอะไรกัน ก็นั่นน่ะเพื่อนลูก อีกอย่างตอนที่ลูกประสบอุบัติเหตุคราวนั้นเขาก็ช่วยไปรับไปส่งพ่อกับแม่แถมยังเป็นธุระเรื่องของลูกแทนพ่อกับแม่ด้วย ตอนที่มีเรื่องของกิ่งก็ยังเสี่ยงชีวิตช่วยลูกอีก ถ้าไม่มีเขาแม่ยังคิดไม่ออกเลยว่าลูกของแม่จะเป็นยังไง” บุปผาพูดพลางลูบแขนลูกชายเบา ๆ “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมเงียบ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า เล่าให้แม่ฟังได้นะ”


“บุ้งอยากขอโทษที่ดื้อ ไม่เชื่อฟังพ่อกับแม่ ทำตัวให้พ่อกับแม่เป็นห่วง”


“ถ้าไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วงก็อย่าไปทำอะไรเสี่ยง ๆ อีก มีอะไรต้องบอกกัน รู้ไหมจ๊ะ”


“ครับแม่”


“ธันน่ะเขาน่ารักนะ เป็นคนดีมีน้ำใจกับคนอื่น แม่พูดถูกไหม”


“ครับ” คันธชาติรับคำพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ


“ส่วนเรื่องหนูส้มจี๊ดน่ะ ลูกอย่าไปคิดมากนะ พ่อเขาก็แค่อยากให้ลูกได้รู้จักคนดี ๆ แต่ถ้าลูกไม่ได้รู้สึกรักใคร่ชอบพอกันพ่อกับแม่ก็ไม่ฝืนใจหรอก ลูกรักใครพ่อกับแม่ก็รักด้วย”


“ขอบคุณนะครับแม่”


ผู้เป็นแม่หมุนเหลียวกลับมายิ้มให้ก่อนจะชวนลูกชายลงไปข้างล่าง เห็นเด็กชายกล้าจึงเรียกให้หยุดเป็นเวลาเดียวกับที่ทินกฤตและธันวาต่างก็เดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี


“นายหญิงมีอะไรให้กล้ารับใช้ครับ”


“ฉันจะวานกล้าให้ช่วยขนเครื่องนอนไปที่บ้านต้นไม้หน่อยจ้ะ เอ๊ะ! แล้วนั่นหน้าไปทำอะไรมา”


“พอกหน้าครับ เผื่อจะหน้าใสแบบเพื่อนนายน้อยบ้าง” พูดจบกับหันไปยิ้มฟันขาวให้หนุ่มกรุงเทพฯ


“บ๊ะ สำอางตั้งแต่ตัวเท่านี้” นายใหญ่แห่งฟาร์มแสงฉานพูดกลั้วหัวเราะ “แล้วใช้อะไรพอกล่ะ” ทินกฤตชักสนใจ “ใช้โคลนในร่องน้ำข้างแปลงผักครับ”


“หืม...ใครเขาสอนให้เอาโคลนแบบนั้นมาพอก”


“นายน้อยทำให้ดูครับ นายน้อยบอกว่าคนกรุงเทพฯ เขาทำแบบนี้” สิ้นคำบอกเล่าของเด็กชายทุกคนก็มองไปยังตัวการเป็นตาเดียว


“ฮ้าววว...ง่วงพอดีเลย บุ้งรีบไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับพ่อแม่” พูดจบก็เดินหาวหวอด ๆ ออกจากบ้านทิ้งให้ธันวาเดินตามต้อย ๆ ได้ยินเสียงผู้เป็นแม่บอกให้หลานชายคนงานรีบไปล้างหน้าล้างตาแล้วขนเครื่องนอนไปส่งที่บ้านต้นไม้





คบไฟที่ปักอยู่รายทางทำลายความกลัวของเด็กชายวัยสิบเอ็ดปีที่กำลังเดินไปตามทางดินที่แวดล้อมด้วยแมกไม้ สุดทางมีสะพานแขวนทอดข้ามลำธารเชื่อมไปยังอีกฝั่งซึ่งเป็นจุดหมาย แสงไฟสีเหลืองนวลสว่างไสวขึ้นพร้อมกันทำให้บ้านไม้ที่สร้างขึ้นโดยอาศัยกิ่งก้านและลำต้นของกลุ่มไม้ใหญ่เป็นโครงสร้างรองมีเสารับน้ำหนักอยู่ด้านล่างปรากฏชัดขึ้นในความมืด เด็กชายหอบหมอนและผ้าห่มเดินขึ้นบันได แม้จะยกสูงจากพื้นขึ้นมาไม่มาก แต่เพราะอยู่บนเนินจึงทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ ฟาร์มแสงฉานซึ่งเป็นคล้ายแอ่งกระทะ เด็กชายต้นกล้าเปิดประตูเข้าไปภายในบ้านซึ่งปูด้วยไม้ขัดมัน ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น มีโต๊ะและชั้นวางหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรตามความสนใจของนายน้อย เมื่อเดินต่อขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านก็จัดการวางเครื่องนอนชุดใหม่ลงบนเตียง


“ขอบใจมากนะ อืม...ชื่อกล้าใช่ไหมเรา” ธันวาเอ่ยขึ้นขณะกำลังรั้งเสื้อผ้าออกจากเป้


“ใช่ครับ” หนุ่มน้อยยิ้มแป้น เมื่อเห็นนายน้อยเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำจึงกล่าวต่อ “วันนั้นที่พี่คนนี้มาถามหาคนชื่อคันธชาติ ตอนนี้กล้ารู้แล้วนาว่าคันธชาติก็คือนายน้อย เอ...แล้วทำไมวันนั้นายน้อยบอกว่าไม่...”


คันธชาติเบิกตากว้างก่อนจะปราดเข้าไปโอบไหล่พร้อมกับปิดปากเด็กชายแล้วหันมายิ้มให้คนที่กำลังรอฟัง “เอาของมาให้ครบแล้วใช่ไหม”


ต้นกล้าพยักหน้าหงึก ๆ พยายามดึงมือนายน้อยออก


“เสร็จธุระแล้วใช่หรือเปล่า”


เด็กชายยังคงพยักหน้าพร้อมกับดิ้นพราด ๆ เพราะเริ่มหายใจไม่ออก


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับบ้านได้แล้วเดี๋ยวตาเป็นห่วง” พูดจบชายหนุ่มก็ดึงมือออก


“นายน้อย กล้าหายใจไม่ออกนะครับ” หนุ่มน้อยโวยวาย


“ถ้าขืนยังพูดมากจะเตะซ้ำด้วยเอ้า” ลูกชายเจ้าของฟาร์มก้มลงกระซิบก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน “อะไรนะ อยากกลับบ้านแล้ว ไป เดี๋ยวฉันเดินไปส่งแกเองเจ้ากล้า” ว่าแล้วก็รั้งคนตัวเล็กออกจากห้องลงบันไดไปพร้อมกัน


คันธชาติเดินออกไปยังระเบียง มองตามเงาตะคุ่ม ๆ ของเด็กชายที่กำลังวิ่งกลับไปที่เรือนหลังใหญ่ เมื่อเห็นแสงของรถจักรยานยนต์ที่จอดรออยู่เคลื่อนห่างออกไปก็ให้แน่ใจว่าเจ้าหนูจะต้องถึงบ้านอย่างปลอดภัยในอีกไม่เกินสิบนาที ชายหนุ่มหมุนตัวกลับกอดอกทอดตามองทิวเขาที่ทอดตัวสลับซับซ้อนในความมืดมิดก่อนจะเลื่อนตาขึ้นมองท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่ประดับประดาด้วยดวงดาว สายลมต้นฤดูหนาวหอบเอากลิ่นหอมเย็นของดอกปีบซึ่งเป็นดอกไม้ที่เขาโปรดปรานลอยอวลอยู่รอบกาย ขณะกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ร่างสูงของใครบางคนก็มาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ


“อารตีบอกว่าปลายเดือนหน้าคุณอัญชลิสาจะเดินทางไปต่างประเทศ คุณจะไปส่งเธอไหม”


“ไปสิ รับปากกับอัญไว้แล้ว” พูดจบก็หมุนตัวกลับมองเงาสะท้อนบนประตูกระจกเห็นอีกคนยังคงเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า


“กับผมไม่เห็นรับปากแบบนี้บ้าง”


“น้อยใจอีกแล้ว” คนพูดกดยิ้มมุมปากก่อนจะเหลือบมองเจ้าของร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่ง


“ผมไม่ได้น้อยใจ แต่ผมเป็นห่วงคุณต่างหาก”


“รู้แล้วน่า ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” พูดจบธันวาก็เอี้ยวตัวก่อนจะเลื่อนมือผ่านเอวของคนข้าง ๆ ไปวางบนราวระเบียงอีกฝั่ง กลายเป็นว่าตอนนี้คันธชาติกำลังตกอยู่ในวงล้อมแสนอุ่นเสียแล้ว


“จะทำอะไร”


“แล้วผมควรทำยังไงกับนายน้อยตัวแสบดี” ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้พอให้ปลายจมูกได้แตะแก้มของอีกฝ่าย “ไม่อยากให้ผมรู้จักถึงขนาดต้องเอาโคลนป้ายหน้าเลยเหรอ”


“ก็ใครใช้ให้มาอยากรู้เรื่องของผมล่ะ”


“แล้วถ้าตอนนี้มีเรื่องที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับตัวคุณ คุณจะบอกไหม”


“คุณอยากรู้อะไร”


ธันวาเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นยึดสะโพกของคนตรงหน้าพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่าย “ผมอยากรู้ว่าระหว่างเรามันคืออะไรกันแน่”


คันธชาติกดตาลงนิ่งไปชั่วขณะ ในที่สุดก็กลับมาสบตาเจ้าของคำถามอีกครั้ง แม้แสงไฟจะน้อยนิดแต่พอรวมกับแสงดาวแล้วมันก็พอจะทำให้ธันวาได้เห็นสองแก้มที่เริ่มแซมด้วยสีแดงระเรื่อ “คุณไม่จำเป็นต้องบอกมันกับใคร แต่ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม” อาจารย์หนุ่มถามย้ำ


“จนป่านนี้ยังต้องให้พูดอีกเหรอ”


“ผมอยากฟัง”


คันธชาติยิ้มขัน ๆ ยกสองแขนขึ้นคล้องคอแกร่งก่อนจะขยับเข้ากระซิบ “ถ้าอย่างนั้นจะพูดให้ฟังทั้งคืนเลย” จบประโยคคนพูดก็แกล้งงับเข้าที่ใบหูแล้วเป็นฝ่ายเดินนำกลับเข้าไปในห้อง...


ธันวาดันร่างผอมลงกับเตียงก่อนจะตามทาบทับกดจูบหนัก ๆ ที่ผิวเนื้อเหนือคอเสื้อยืดสีขาวไล่ขึ้นมาจนถึงปลายคางแล้วกลืนกินริมฝีปากของคนเอาแต่ใจเพื่อชดเชยเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย มือหนาลูบไล้สะเปะสะปะผ่านผ้าเนื้อบางจนคันธชาติเผลอแอ่นกายรับสัมผัสด้วยหัวใจเต้นแรง ในที่สุดเสื้อยืดสำหรับใส่นอนก็ถึงรั้งออกแล้วโยนไปอีกทาง กระนั้นความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศก็ไม่อาจสร้างความหนาวเหน็บให้แก่ผิวเนื้อปราศจากอาภรณ์ได้เพราะสองร่างนั้นกอดรัดแนบแน่นราวกับเป็นคนคนเดียวกัน 


“บุ้ง...”


จู่ ๆ ริมฝีปากร้อนก็ผละออกจากผิวเนื้อบนแนวกระดูกไหปลาร้า มือไม้ที่ไล้ลูบตามเนื้อตัวต้องหยุดชะงัก ร่างกายที่กำลังทำงานไปตามคำสั่งของหัวใจคล้ายถูกกดปุ่มปิด


“บุ้ง...”


คนอายุน้อยกว่าคลายคมฟันจากริมฝีปากล่างปรือตาขึ้นพร้อมกับถอนใจแรง “เรียกทำไม จะทำอะไรก็ทำสิ”


“ผ...ผมไม่ได้เรียก” ธันวากล่าวเสียงแผ่วเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของพวงแก้มสีแดงระเรื่อ เหงื่อเม็ดโตที่ไหลย้อยลงตามลำคอระหงกระทั่งถึงแอ่งชีพจรของอีกฝ่ายเป็นตัวเร่งให้เขาอยากทำสิ่งที่ค้างอยู่นี่ต่อ แต่เพราะเสียงเรียกที่ดังอยู่ด้านนอกทำให้จำต้องหยุดเอาเสียดื้อ ๆ


"เจ้าบุ้ง! แกหลับหรือยัง”


“พ...พ่อ!” คันธชาติตาโต ดันร่างคนตัวโตออกแล้วยันกายลุกขึ้นนั่งหันรีหันขวางแล้วคว้าเสื้อมาสวมตามเดิมก่อนจะกระโดดแผล็วไปเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้าถาม


“พ่อมีอะไรครับ”


“พ่อมีเรื่องจะคุยกับแกหน่อย”


“เดี๋ยวบุ้งลงไป” พูดจบชายหนุ่มก็รีบเปิดประตูออกจากห้องก้าวพรวด ๆ ลงบันไดโดยไม่ได้สนใจอีกคนที่นั่งมองตามตาละห้อย


ขายาวก้าววมาถึงจุดกึ่งกลางสะพานแขวนก็หยุด จ้องผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนมือไพล่หลังทอดมองสายน้ำเอื่อย ๆ ที่สะท้อนแสงไฟจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ


“พ่อมีอะไรจะคุยกับบุ้งเหรอครับ” คันธชาติเอ่ยขึ้น


“เรื่องหนูส้มจี๊ดน่ะ” ทินกฤตบอกเหตุผลในการมา “ทำไมพรุ่งนี้แกไม่สอนหนูสมจี๊ดขี่ม้า”


“ใครบอกพ่อ พี่ก้อนเหรอ”


“อือ พรุ่งนี้พ่อจะให้เจ้าก้อนเข้าไปซื้อปุ๋ยในเมือง ก็เลยรู้ว่าแกสั่งให้ดูแลคุณส้มจี๊ด แกไม่สอนเขาไม่พอแถมยังสั่งให้เขาไปทำความสะอาดคอกม้าอีก”


“ก็เหมือนที่พ่อกับพี่ก้อนสอนบุ้งไง”


“แต่หนูส้มจี๊ดเขาเป็นผู้หญิง แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างอิดหนาระอาใจเมื่อโดนลูกชายยอกย้อน


“แต่พรุ่งนี้บุ้งไม่ว่าง พ่อก็เห็นว่าบุ้งมีแขก”


“ธันวาเขาก็ไม่ได้อยู่ทั้งวันนี่ เดี๋ยวสาย ๆ เขาก็กลับแล้ว”


“บุ้งมีนัดกับเพื่อนต่อ”


“ใคร?”


“เพื่อนเก่าสมัยเรียน”


“ใครล่ะ พ่อรู้จักหรือเปล่า”


“ไอ้เป็ดที่เป็นสัตวแพทย์ประจำอุทยาน ลูกชายลุงครรชิตไง พ่ออยากรู้เรื่องการตรวจรูปพรรณม้าไม่ใช่เหรอ มันมีเพื่อนทำฟาร์มม้าแข่งอยู่ บุ้งก็จะไปถามให้นี่ไง”


ทินกฤตพยักหน้าเมื่อคนที่ถูกกล่าวถึงคือลูกชายของสัตวแพทย์ที่สนิทสนมชอบพอกัน


“ถ้าอย่างนั้นบุ้งไปนอนแล้วนะ” คันธชาติกล่าว กำลังจะหันหลังกลับก็ต้องชะงัก


“แล้วเรื่องลงหน่อกล้วยล่ะไปถึงไหนแล้ว”


“บุ้งให้คนงานเตรียมขุดหลุมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงเสร็จ ช่วงนี้แดดแรง ก็เลยให้ทำแค่ช่วงเช้าหรือไม่ก็ตอนเย็นจะได้ไม่ร้อนกัน” ลูกชายอธิบาย


“แล้วเรื่องตรวจสอบบัญชีร้านของเราล่ะ”


“ก็พ่อให้งานบุ้งทำตั้งเยอะแยะ แถมยังให้สอนน้องส้มจี๊ดขี่ม้าอีก กระดิกตัวไปไหนไม่ได้แบบบุ้งจะเอาเวลาที่ไหนไปตรวจ นี่ก็ไม่ได้เข้าไปส่งของในกรุงเทพฯ เกือบเดือนแล้ว” คนพูดเกาหัวแล้วปิดปากหาว “บุ้งจะกลับไปนอนแล้วนะ พ่อมีอะไรอีกไหม”


“ถ...ถ้าอย่างนั้นก็ไปนอนเถอะ” ทินกฤตบอก เห็นลูกชายพยักหน้ากำลังจะหันหลังให้ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง  “เอ้อ! เจ้าบุ้ง!”


คันธชาติเลิกคิ้ว


“อย่าชวนเพื่อนนอนดึกนักล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเพลีย”


คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ ปิดปากหาวยืดยาวจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อเปิดประตูห้องนอนก็พบว่าไฟที่หัวเตียงถูกปิดไปเสียแล้ว กระนั้นแสงจากภายนอกที่สาดผ่านบานหน้าต่างซึ่งแง้มไว้ก็ทำให้เห็นร่างที่นอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนอนหงายผ่อนลมหายใจยาวยกมือก่ายหน้าฝากดวงตาจับจ้องเพดานว่างเปล่าราวกับมีเรื่องให้คิดหนัก  ในที่สุดคันธชาติส่ายหน้ารัวเพื่อไล่เรื่องราวต่าง ๆ ออกจากหัวก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวนอนตะแคงทอดมองแผ่นหลังกว้างที่เคลื่อนไหวตามจังหวะการหายใจ


“ธัน หลับแล้วเหรอ”


เมื่อไม่มีเสียงตอบจึงแตะปลายนิ้วที่กลางหลังแล้วลากต่ำลงจนถึงเอว พลันมือใหญ่ก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ก่อนจะพลิกตัวกลับมาสบตากัน


“จะทำอะไร”


“ก็จะปลุกให้ตื่น”


“ผมไม่ได้หลับ” ธันวาบอกก่อนจะแตะจูบลงบนข้อนิ้วของคนตรงหน้า 


“แล้วยังอยากฟังอยู่หรือเปล่า” คันธชาติถามพร้อมกับแกล้งเขี่ยปลายจมูกของอีกฝ่ายด้วยปลายจมูกของตนเอง แต่อีกฝ่ายกลับมอบจุมพิตลึกซึ้งแทนคำตอบ เท่านั้นไฟปรารถนาที่มอดดับไปตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายก็กลับปะทุขึ้นอีกครั้ง...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2017 22:20:56 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


แลนด์โรเวอร์สีขาวขับตามรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อไปตามทางหลวงชนบทกระทั่งถึงทางแยกก็จอดนิ่ง ธันวามองร่างผอมสูงในชุดแบบคาวบอยที่กำลังก้าวลงจากรถและกำลังเดินตรงมาทางนี้ แค่เพียงชั่วอึดใจคันธชาติก็เปิดประตูเข้ามานั่งข้าง ๆ ก่อนจะกล่าว

 
“ผมส่งแค่นี้นะ เลยแยกนี้ไปไม่ไกลก็ถึงถนนใหญ่ ใกล้กว่าทางที่ไอ้กาจพาคุณมาเมื่อวาน ผมไปก่อนนะ” กำลังจะเปิดประตูก็ถูกมือใหญ่รั้งไว้


“เดี๋ยวบุ้ง แล้วคุณจะไปไหน”


“นัดกับเพื่อนไว้ในเมืองน่ะ”


คนอายุมากกว่าพยักหน้าเลื่อนตาลงพร้อมกับสอดมือเข้าไปใต้อกเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เจ้าของเผลอปลดกระดุมลึกจนเห็นผิวขาวที่ขณะนี้ถูกแต้มด้วยร่องรอยสีหวาน ธันวาใช้หลังมือเกลี่ยเบา ๆ ทำเอาคันธชาติสะดุ้งโหยงรีบคว้าข้อมือหนาเอาไว้แน่น


“ค...คุณจะทำอะไร” ปากถามแต่ในหัวกลับนึกถึงสัมผัสหวามไหวที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กันตลอดคืนที่ผ่านมา


“จะติดกระดุมให้ไง”


“ติดเองได้” พูดจบก็ขยับห่างออกมาก้มหน้าลงมองสำรวจตัวเอง ทันทีที่เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่แผ่นอกของตนเองก็ยิ่งให้รู้สึกร้อนผ่าวที่สองแก้ม ตอนนี้มือไม้ราวกับไร้เรี่ยวแรง แค่ติดกระดุมเม็ดเดียวทำไมยากนัก


“มานี่ เดี๋ยวผมติดให้”


“ม...ไม่เป็นไร ผมทำเองได้”


“อย่าดื้อสิ คุณเป็นคนของผมนะ” ประโยคนั้นทำเอาคันธชาติไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ทั้งที่เขาเองเป็นคนนิยามมันขึ้นมา ได้แต่ทอดตามมองมือใหญ่ที่เอื้อมมาติดกระดุมให้


“อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนะ”


“รู้แล้ว” ลูกชายเจ้าของฟาร์มใหญ่อ้อมแอ้มตอบแล้วตบท้ายด้วยคำขอบคุณเบา ๆ


“แค่นั้นเหรอ”


“หมายความว่ายังไง”


“แค่ขอบคุณเหรอ”


“แล้วจะเอาอะไรอีก”


“คุณต้องคิดสิ ก็ผมเป็นคนของคุณนี่” ธันวาตอบหน้านิ่ง กระนั้นคันธชาติก็ยังเห็นความขี้เล่นผสมกับสิ่งที่เขาต้องการในแววตา


“คุณมัน…” พูดพร้อมกับเอื้อมมือดึงแก้มทั้งสองข้างของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยวก่อนจะเปลี่ยนเป็นโน้มหน้าไปจูบเบา ๆ เป็นรางวัล


“ถึงกรุงเทพฯ แล้วผมจะโทรหานะ”


“อือ” คันธชาติกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนเปิดประตูลงจากรถเดินกลับไปนั่งประจำที่ในรถของตนเอง รอกระทั่งแลนด์โรเวอร์คันงามห่างออกไปจึงติดเครื่องยนต์เพื่อไปให้ถึงที่หมายตามเวลานัด


ธันวามองกระจกมองข้างเห็นรถกระบะของคันธชาติเลี้ยวไปอีกทางจึงกลับรถมุ่งหน้าสู่ฟาร์มใหญ่เพื่อทำในสิ่งที่คิดว่าตนเองควรจะทำสักที...


...


นายหญิงบุปผาหยุดที่กรอบประตูมองผู้เป็นสามีซึ่งกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าบ้าน เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเป็นระยะ ๆ หยุดยืนเอามือไพล่หลังบ้างแต่สุดท้ายก็เริ่มเดินไปมาอย่างกับหนูติดจั่น


“นัดใครไว้หรือเปล่าน่ะพ่อ”


“ไม่ได้นัด แต่เดี๋ยวก็คงมา” พูดจบทินกฤตก็มองที่หน้าปัดนาฬิกาอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็ยิ้มอย่างพอใจที่เห็นแลนด์โรเวอร์สีขาวกำลังลัดเลาะมาตามทางที่เห็นอยู่เบื้องล่าง


“อ้าว นั่นรถธันนี่นาพ่อ เพิ่งออกไปยังไม่ถึงสิบนาทีทำไมย้อนกลับมาอีก” นายหญิงของบ้านกล่าวอย่างแปลกใจก่อนจะเดินออกมายืนเคียงคู่ผู้เป็นสามี


เพียงไม่กี่อึดใจรถคันงามก็มาจอดสนิทอยู่ตรงหน้า ธันวาก้าวลงจากรถด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ร่างสูงเดินมาหยุดต่อหน้าสองสามีภรรยาอย่างไร้ทีท่าลังเลแม้ว่าเรื่องที่ทำให้เขาต้องย้อนกลับมาจะเป็นเรื่องหนักหนาอยู่พอสมควร


“ลืมอะไรหรือเปล่าลูก” บุปผาเอ่ยขึ้นในขณะที่ทินกฤตยังคงวางขรึมเช่นเคย


“ไม่ได้ลืมอะไรครับคุณป้า แต่ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณลุงคุณป้าสักหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นเข้าบ้านก่อนเถอะจ้ะ” บุปผากล่าว ชักเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อทั้งสามีของตนเองและเพื่อนของลูกชายต่างใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยกันทั้งคู่


ทินกฤตเดินนำเข้ามาที่ห้องรับแขกก่อนจะเชิญให้ธันวานั่งลง ดวงตาคมกริบลอบมองใบหน้านิ่งนั้นรวมถึงกิริยาท่าทางของเขายามเมื่ออยู่กันตามลำพัง ยอมรับว่าในแววตาของหนุ่มกรุงเทพฯ ผู้นี้นั้นเก็บซ่อนความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเอาไว้ และนี่เองทำให้เขาคาดเดาได้ว่าธันวาจะย้อนกลับมาที่นี่


“เธออยากจะคุยอะไรกับลุงกับป้ารึ”


คนถูกถามยังคงนั่งหลังตรงดวงตามิได้แสดงถึงความหวาดหวั่น หากแต่มือที่ประสานกันตรงหน้านั้นกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะเรียนให้คุณลุงคุณป้าทราบครับ”


“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ” นายหญิงบุปผาถามพลางหันไปสบตาผู้เป็นสามี
   

“เรื่องบุ้งครับ” ธันวาตอบอย่างไม่ลังเล


“มีอะไรรึ หรือว่าเจ้าบุ้งไปก่อเรื่องอะไรอีก”


“บุ้งไม่ได้ก่อเรื่องอะไรครับ เขาเป็นคนดี มีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนอื่นถึงแม้ว่าตัวเองจะได้รับอันตราย”


ทินกฤตพยักหน้าเห็นตาม คนเป็นพ่ออย่างเขารู้คุณสมบัติข้อนี้ของลูกชายดี “แล้วมีเรื่องอะไรกันล่ะ”


“ทั้งหมดนี้ที่รวมกันเป็นบุ้ง มันเลยทำให้ผมชอบเขา” ธันวากล่าว ทั้งน้ำเสียงและแววตาต่างก็หนักแน่นพอ ๆ กัน


บุปผาหันไปยิ้มให้ทินกฤตก่อนจะกล่าวอย่างโล่งใจ “โธ่...ป้าก็นึกว่ามีเรื่องทะเลาะกันเสียอีก ไม่เกลียดกันก็ดีแล้วนี่จ๊ะ”


“ผมไม่เคยเกลียดครับแล้วผมก็คิดว่าความรู้สึกของผมมันจะพัฒนาไปเป็นความรักในวันหนึ่ง”


คำพูดของหนุ่มกรุงเทพฯ ทำเอาสองสามีภรรยาหันสบตากันทันที


“ผมต้องขอโทษคุณลุงคุณป้าด้วยครับ ผมน่าจะเรียนให้ทราบนานแล้ว วันนี้ผมจึงตัดสินใจมาพูดเรื่องนี้เพราะผมอยากทำให้มันถูกต้อง”


ธันวาลอบถอนใจเมื่อพูดจบแม้จะเตรียมใจรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาละสายตาจากสองมือที่ประสานกันแน่นเงยหน้าขึ้นสบตาผู้อาวุโสและก็ต้องแปลกใจที่เห็นทั้งสองกำลังยิ้มให้


“ขอบคุณที่ให้เกียรติลุงกับป้านะลูก แต่เรื่องนี้น่ะพวกเรารู้กันมาสักพักแล้ว ใช่ไหมจ๊ะพ่อ”


ทินกฤตพยักหน้า “รู้ตั้งแต่ตอนที่เจ้ากาจมันพาคุณอนันต์มาพบพวกเราที่นี่แล้วละ รออยู่ว่าเมื่อไรเจ้าบุ้งมันจะยอมปริปากบอก”


“ผมคิดว่าบุ้งอยู่ในสถานะที่ไม่พูดเรื่องนี้กับคุณลุงคุณป้าก็ยังไม่เป็นไร แต่สถานะของผมมันไม่ใช่ ผมจึงตัดสินใจ...”


“ในเมื่อเธอพูดแบบตรงไปตรงมา ลุงเองก็จะไม่อ้อมค้อมนะ”


“ครับ” ธันวารับคำเสียงแผ่ว


“เจ้าบุ้งน่ะมันโตแต่ตัว ทำอะไรไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง คิดแต่จะช่วยคนอื่นจนลืมว่าตัวเองก็แค่คนธรรมดามีแต่มือเปล่า เรื่องคราวก่อนยังไงก็ต้องขอบคุณเธอมาก ถ้าไม่ได้เธอป่านนี้ลุงกับป้าคงได้ทำศพลูกชายไปแล้ว


“พ่อก็...ดูพูดเข้าสิ”


“ก็จริงนี่แม่ อายุสามสิบกว่าแล้วยังไม่ทำอะไรให้พ่อแม่หายห่วงเลยสักนิด นิสัยดื้อดึงห้ามอะไรไม่เคยฟัง กลัวมันจะโดนลูกปืนเข้าสักวัน” พูดจบทินกฤตก็หันมากล่าวกับชายหนุ่มที่ยังคงนั่งแข็งเป็นหิน “ยังไงก็ฝากเธอดูแลมันด้วยนะ ลุงกับป้ามีลูกชายอยู่คนเดียว”


“ค...ครับ” ธันวาแทบไม่เชื่อหู แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของสองสามีภรรยาก็ให้รู้สึกว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นเขาไม่ได้ฟังผิด “ผ...ผมจะดูแลบุ้งให้เหมือนกับที่คุณลุงคุณป้าดูแลครับ”


“เป็นยังไง หายอึดอัดหรือยัง” ทินกฤตหัวเราะจนผู้เป็นภรรยาต้องกระแอมปราม


“ห...หายแล้วครับ”


“ดี...ดี...ตรงไปตรงมาแบบนี้ลุงชอบ แล้วใส่มาหรือเปล่า” คำถามในตอนท้ายแทบจะเป็นเสียงกระซิบ


“อ...อะไรเหรอครับ” ธันวาถามกลับซื่อ ๆ


“ก็เสื้อกันกระสุนไง เจ้ากาจมันเคยบอกว่าถ้าวันไหนเธอมาคุยเรื่องเจ้าบุ้งกับลุงมันจะให้ยืมเสื้อกันกระสุน นี่ถือว่ามาเร็วว่าที่คิดเอาไว้มากนะ” ทินกฤตหัวเราะก๊ากแล้วใช้ศอกสะกิดภรรยา “เห็นเราเป็นยักษ์เป็นมารหรือไง ลูกรักใครพ่อแม่ก็ต้องรักด้วยสิถึงจะถูก”


“ม...ไม่ได้ใส่ครับ ผมไม่ได้บอกใครว่าจะมาคุยเรื่องนี้กับคุณลุงคุณป้า”


“บ๊ะ!” ทินกฤตตบตักดังฉาดหัวเราะร่วน “แบบนี้สิถึงจะเอาไอ้ลูกชายลุงอยู่”


หลังจากส่งธันวากลับแล้ว ทินกฤตก็ชะเง้อคอยาวรอว่าเมื่อไรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะกลับบ้าน บ่ายคล้อยก็แล้ว เวลาอาหารเย็นก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคันธชาติจะกลับมา กระทั่งเมื่อแสงไฟหน้ารถปรากฏขึ้นไกล ๆ ในความมืด ไม่นานรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อก็แล่นเข้ามาจอดในโรงรถ ทันทีที่ลูกชายคนเดียวก้าวเข้ามาในบ้านผู้เป็นพ่อก็รีบกางหนังสือพิมพ์ออกอ่านพร้อมกับเงี่ยหูฟัง


“ไปไหนมาน่ะลูกกลับเสียมืดเชียว แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยัง แม่เพิ่งให้คนงานยกสำรับเข้าไปเก็บเมื่อกี้เอง เดี๋ยวแม่ให้เขาอุ่นกับข้าวแล้วยกมาให้นะ”


“ไม่ต้องหรอกครับแม่ บุ้งทานมาจากในเมืองแล้ว เดี๋ยวบุ้งขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะแม่” คันธชาติบอกพลางเหลือบมองผู้เป็นพ่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ซักไซ้ก็ยิ้มกริ่มเตรียมจะก้าวขึ้นบันไดพอดีกับที่เสียงเตือนข้อความเข้าในโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกดังขึ้น
ทินกฤตพับหนังสือพิมพ์เก็บแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วเอ่ยปากเรียกลูกชาย “แกอย่าเพิ่งไปเจ้าบุ้ง อยู่คุยกับพ่อก่อน”


เจ้าของชื่อชักเท้ากลับแล้วหันมาช้า ๆ จากนั้นจึงเดินไปนั่งลงยังโซฟาตัวเล็ก ทำใจดีสู้เสือ “พ่อมีอะไรจะคุยกับบุ้งเหรอครับ”
“วันนี้แกไปไหนมา”


“ก็แวะไปคุยกับไอ้เป็ดไง มันให้เอกสารมาด้วย” ว่าแล้วลูกชายก็วางกระดาษ 4-5 แผ่นที่เย็บรวมกันวางบนโต๊ะ


“แต่ลุงครรชิตบอกว่าแกออกมาจากบ้านของเขาตั้งแต่ตอนเที่ยง”


เมื่อได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็ถอนใจเบา ๆ แล้วกล่าว “สายของพ่อน่าจะรายงานให้รู้แล้วนี่ ภาพคมชัดระดับเอชดี”


ทินกฤตพับหนังสือพิมพ์เก็บพร้อมกับบ่นงึมงำ “ไอ้ลูกคนนี้พูดจายอกย้อน เข้าเรื่องดีกว่า สรุปว่าพอออกจากบ้านลุงครรชิตแล้วแกไปไหนมา”


ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของผู้เป็นสามี บุปฝาก็อดที่นั่งลงเพื่อคอยห้ามทัพไม่ได้ ดวงตาอ่อนโยนจับจ้องที่ลูกชายด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่กล้าพูดขัดจึงต้องนั่งงียบ ๆ


“บุ้งไปกินข้าวกับเพื่อนมา”


“หนูหลิวลูกสาวเจ้าวัชระ?”


“ครับ”


“แกชอบหนูหลิวเหรอ”


“ก็น่ารักกว่าน้องส้มจี๊ดของพ่อก็แล้วกัน”


“แกก็รู้ว่าพ่อกับเจ้าวัชระพ่อของหนูหลิว…”


“เป็นเพื่อนรักกัน” ลูกชายแทรกขึ้น


“มันจบไปแล้ว” ผู้เป็นพ่อกล่าวแบบไม่เหลือเยื่อใย “แล้วพ่อก็ขอสั่งห้ามไม่ให้แกไปยุ่งกับคนบ้านนั้นอีก”


“โธ่พ่อ ถึงพ่อกับอาวัชระจะทะเลาะกันแต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับบุ้งหรือหลิวนะ อีกอย่างอาวัชระเขาก็ไม่ใช่คนไม่ดี แค่ถูกชักจูงง่ายเท่านั้นเอง พ่อเป็นเพื่อนกันพ่อก็ต้องคอยเตือนเพื่อนสิ”


“พ่อเตือนแล้วสุดท้ายเป็นยังไงแกก็เห็นโดนตอกกลับมาหน้าหงายนี่ไง”


“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นสิพ่อว่านายทุนพวกนั้นมันไม่ได้หวังดีกับคนบ้านเรา อาวัชระจะได้เลิกไปเป็นนายหน้าหว่านล้อมชาวบ้านให้ขายที่ดินที่ติดแนวชายป่าให้พวกมันเพื่อไปทำรีสอร์ทกับเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศอะไรนั่นสักที”


“นี่แกคิดจะทำอะไรอยู่จริง ๆ ด้วยใช่ไหม”


“บุ้งก็แค่คิดว่าสิ่งที่พวกนั้นทำมันต้องมีอะไรแอบแฝง ไม่อย่างนั้นพวกชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาแสดงความไม่เห็นด้วยจะทยอยกันล้มหายตายจากกันแบบนี้เหรอ”


“แกควรจะปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเขานะ”


“แล้วพ่อเห็นไหมล่ะว่าคนที่พ่อรู้จักโดนย้ายไปกี่คนแล้ว อีกอย่างบุ้งอยากช่วยหลิว เพราะอาวัชระท่าทางจะพอใจไอ้หลานชายนายทุนคนนั้น”


“ถึงยังไงแกก็ห้ามยุ่งกับเรื่องนี้ แล้วก็อย่าออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาต”


“ทุกวันนี้ก็เหมือนโดยกักบริเวณอยู่แล้วนี่ ให้บุ้งเตรียมดินสำหรับลงหน่อกล้วย ไม่ให้บุ้งไปส่งของ แถมยังต้องคอยสอนน้องส้มจี๊ดขี่ม้าอีก บุ้งรู้นะว่าที่พ่อชวนน้องส้มจี๊ดมาเรียนขี่ม้าที่ฟาร์มเราเพราะจะให้คอยจับตาดูบุ้ง แล้วคนที่ส่งรูปนั่นมาให้พ่อ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นลูกน้องคุณลุงศุภโชคแน่ ๆ”


“เก่งมากไอ้หนู แต่มันยังไม่หมด เพราะผลพวงของเรื่องนี้ก็คือการทำให้คนปากแข็งอย่างแกยอมพูดความจริง”


“พ่อหมายความว่ายังไง” คันธชาติขมวดคิ้ว มองมือของแม่ที่แตะลงบนแขนของพ่อ


“คุณคะ” บุปผาส่ายหน้าปราม 


“เอาเถอะน่าคุณ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เราควรจะคุยเรื่องนี้ให้จริงจังสักที ขืนรอให้ไอ้ลูกชายปากแข็งมันพูดออกมาเองไม่รู้ชาตินี้ผมจะได้ฟังหรือเปล่า”


“พ่อหมายความว่ายังไง บุ้งไม่พูดความจริงเรื่องอะไร”


“ก็เรื่องแกกับธันวาไง”


คำพูดที่หลุดจากปากของผู้เป็นพ่อทำลูกชายรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ ในหัวตื้อไปหมด ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องบอกให้พ่อกับแม่รู้ แต่ไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วชนิดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้


“ไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้น เจ้ากาจมันเล่าให้พ่อฟังตั้งนานแล้ว”


อ...ไอ้กาจ ล...เล่าให้พ่อฟัง”


ทินกฤตพยักหน้า


“ม...แม่ด้วย”


“จ้ะ” นายหญิงบุปผายิ้มแฉ่ง


“ต...ตั้งแต่แต่เมื่อไรครับ”


“ก็ตั้งแต่ตอนที่พ่อส่งแกไปช่วยงานลุงทินกรที่หลวงพระบางนั่นยังไง คนอื่นเขาบอกพ่อกันหมดแล้ว ทั้งเจ้ากาจทั้งธันวา เหลือแต่แก”


“ข...เขา...ด...ด้วยเหรอ” คันธชาติมองผู้เป็นแม่ที่พยักหน้าเสริมคำพูดที่จบลงไปเมื่อครู่พลางนึกถึงคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อตอนเช้า เห็นเงียบ ๆ แบบนี้ไม่คิดว่าจะไวไม่ใช่เล่น “แล้วพ่อกับแม่...”


“จะว่ายังไงได้ แกรักใครพ่อกับแม่ก็รักด้วย จะเอาลูกเขยหรือลูกสะใภ้มาให้พ่อกับแม่ก็แล้วแต่แกเถอะ ขออย่างอย่าเอาลูกตะกั่วเข้าบ้านก็แล้วกัน” ทินกฤตหันไปยิ้มกับภรรยา


“ถ้าอย่างนั้น...ม...เมื่อคืนที่พ่อพูดอะไรแปลก ๆ ก็...”


“ก็อะไรของแก” ทินกฤตยักคิ้วรัว “พ่อแค่เป็นห่วงกลัวว่าถ้าชวนกันคุยทั้งคืนเช้ามาจะขับรถกลับไม่ไหว”


“พ่อ!!!” ลูกชายร้องเสียงหลง เขินจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี “ล...แล้วพ่อยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน พ่อ...ด...ได้ยิน อะไรหรือเปล่า”


“โอ๊ย! ถามมากจริงวุ้ย! ไม่เอาแล้ว พ่อไม่อยากคุยกับแกแล้ว อยากคุยกับแม่แกมากกว่า” ว่าแล้วก็หันไปคว้าข้อมือผู้เป็นภรรยา “เราขึ้นไปคุยกันข้างบนดีกว่านะแม่”


บุปผาลุกขึ้นตามแรงด้วยความงุนงง และก็ต้องแปลกใจหนักเมื่อทินกฤตเดินไปได้หน่อยก็หยุดแล้วพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีผิดกับหนึ่งถึงสองวันมานี้ที่เอาแต่วางหน้าขรึม


“เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อว่าจะให้คนงานเอาไม้ไปตีประกบเสาที่บ้านต้นไม้สักหน่อย เวลาลมพัดแรง ๆ หรือรับน้ำหนักมาก ๆ มันจะได้ไม่คลอน”




จบ
 

สวัสดีค่ะ ไม่พบกันนานเลย
ตอนนี้เป็นหนึ่งในตอนพิเศษที่เขียนเพิ่มเพื่อรวมเล่มค่ะ
รู้สึกว่าสนุกดีตอนที่ได้เขียน วันนี้เอามาฝากกันค่ะ น่าจะพอทำให้ยิ้มได้นะคะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2017 22:26:37 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
คิดถึงเลยค่ะ
 :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2017 20:23:46 โดย arjinn »

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เขินนนนนนนน เขินมากกกกกก
ทำไมนายน้อยปากแข็งแต่มือไวอย่างนี้ ฮือออออ
เอ็นซีแค่นี้ก็ดีแล้ว เขิ๊นเขินเด้อ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
5555555 คุณพ่อก็ขี้แกล้งเหมือนกันเนาะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
คุณพ่อก็ เรานึกว่าจะหวงลูกซะอีก  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Persoulle

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ขอบคุณค่ะ สนุกมากเลยค่ะ มาต่อตอนพิเศษอีกนะคะ ว่าแต่ที่บุ้งดูเครียดก็เพราะเรื่องพ่อหลิวใช่ไหม บอกพี่ธันเถอะค่ะ จะได้ไม่ทำให้พี่ธันเป็นห่วงหรือคิดเป็นตุเผ็นตะคนเดียว ว่าน้องบุ้งเป็นอะไร  :mew2: :mew1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
บุ้งจ๊ะ

ปากแข็งแต่ยั่วเขาก่อนนะ ร้ายจริง

ออฟไลน์ TheGraosiao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew1: :mew1:

ชอบมากๆๆๆๆ  ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ชอบมากๆเลย ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ mpalism31

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบบบบบมากเลย กลับมาอ่านหลายรอบ เป็นนิยายที่น่าติดตามและยังคงความน่ารักของพระ-นาย  :haun4: เลิ๊บมากๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้เรื่องต่่อๆไปนะคะ  o13
ปล.ติดตามผลงานอยู่ตลอดนะคะ

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สวัสดีค่ะอ่านวันเดียวจบเลยค่ะตั้งใจอ่านมากๆ  พล็อตเรื่องนี้ซับซ้อนพอควรเลยทีเดียวอ่านไปก็พยายามเดาล่วงหน้าไปด้วยแต่คุณก็ผูกปมวางเงื่อนงำได้แนบเนียนดีจริงๆค่ะ  วิธีการดำเนินยังละเอียดแล้วก็ค่อยเป็นค่อยไปตามสไตล์ของคุณแต่เราว่ามันมีเสน่ห์ดีค่ะ  อ่านไปก็ลุ้นไปทุกตอนลุ้นที่สุดก็นายน้อยบุ้งนี่แหละค่ะว่าจะยอมรับใจตัวเองตอนไหน  ตอนที่ธันวาไปหาที่งานเกษตรแล้วโดนบอกปฎิเสธมานี่ทำเอาเราน้ำตาซึมเลยค่ะบอกตรงๆอินมากกับความรู้สึกของธันวา  ไม่คิดว่าคุณจะยังยึดแนวเดิมคือนายเอกปากแข็งแถมเรื่องนี้ยังแถมนิสัยดื้อดึงไม่ค่อยฟังใครเพิ่มมาอีกด้วย  อ่านไปก็เกร็งๆกลัวจะดราม่ามากสงสารธันวาค่ะ  แต่ด้วยความที่เป็นนิยายแนวสืบสวนเลยทำให้ประเด็นเรื่องนี้ไม่หนักเท่าไหร่แต่ก็ลุ้นกับตอนจบอยู่ดีบอกได้เลยว่าเห็นชื่อตอนจบแล้วใจหายค่ะกลัวคุณคนเขียนหักมุมให้ตัวละครหลักตายเพิ่มหรือเปล่า. แต่ก็จบลงด้วยดีแถมแฮปปี้เอ็นดิ้งแบบหวานๆชุ่มชื่นหัวใจกับตอนพิเศษที่ทำเราฟินมากๆเขินมากๆแล้วก็ชอบมากๆด้วย555  สุดท้ายก็ขอบคุณคุณคนเขียนมากๆนะคะกับนิยายสนุกๆเข้มข้นชวนลุ้นได้ทุกตอนแบบนี้ แล้วจะตามไปอ่านผลงานอื่นๆต่อไปแน่นอนค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ดีใจที่ชอบค่ะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเมนท์นะคะ

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
นายน้อยซึนมากเรื่องธันวา
ชอบที่เก่งกาจชงทั้งคู่มาก
เหมือนกำลังแกล้งบุ้งเลย
ชอบตอนพิเศษล่าสุดมากๆ
บุ้งแสดงออกแบบจัดเต็มสุดๆ
ไม่เสียดายที่ธันมาหาถึงที่ปากช่อง
อยากอ่านตอนพิเศษอีกจังเลยค่ะ
แล้วก็อยากให้มีเรื่องของอาร์ม
สงสารนางมาก อยากให้มีรักจริงๆบ้าง

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ขอบคุณผลงานดีๆอีกเรื่องนะคุณคนเขียน เหมือนว่าบุ้งจะหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วแล้วก็ปากแข็งมาก ดีนะพ่อแม่ใจดีเข้าใจ พ่อมีความแซว   
ในเรื่องเราว่าคนที่เราเกลียดสุดก็อัศนัยตัวจริงนี่แหละ ถึงแม้คนอื่นจะทำผิดกว่า แต่อัศนัยเนี่ยเหมือนตัวสร้างเรื่องทั้งหมดเลย นำอันมาเป็นคนรักแล้วไม่ใส่ใจ เหมือนจะดีไม่ใช่ พอพ่อทำร้ายคนรักก็ยอม พี่ขู่ทำร้ายก็ยอมเห็นว่าถ้าได้ผลดีเลยยอม ถามอันรึยังว่ายอมไหมเขาไม่รู้เรื่องด้วยเลย แล้วก็ยังช่วยให้กิ่งมาทำงานในโรงละครนาฏยกาลอีก ส่วนอัศวินเราว่าเป็นตัวละครที่ร้ายอย่างน่าสงสารนะ ทะเลาะกับพ่อพ่อก็ตกบันได ขู่กิ่งให้ไปยืนดาดฟ้ากิ่งก็ตกลงไป แลเป็นคนมีกรรม ทั้งหมดทั้งมวลคนที่ผิดสุดก็คงพ่อของอัศวินกับอัศนัยนั่นแหละแต่เขาก็คงสำนึกแล้วจากการที่เพศที่ตัวเองเกลียดมาดูแลแทนลูกชาย พอได้ออกมาจากโรงละครเก่าอัศนัยก็เหมือนจะชีวิตดีขึ้นรู้สึกสงสารไม่ลงจริงๆเพราะดูแล้วก็ไม่ได้รักอันดังปากว่านักหรอก ฉากที่อันลูบหัวอัศวินที่มีอาการทางจิตถามว่าทำไมยังดีกับผมอีกนี่ชอบมากเลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ซึ้งนะแต่ก็ต้องเข้าใจว่าอัศวินทำผิดไปเยอะอยู่ ถ้าอัศวินจิตปกติก็คงเจ้าชู้นั่นแหละเพราะก็แลชอบกระเทยหลายคนหลงไหลในรูปร่างร่างกาย สรุปว่าอันจะคบกับใครในสองคนนี้ก็แลจะเสียใจ แต่ก็เชียร์อัศวินมากกว่าอ่ะ ไม่ชอบอัศนัยดูอ่อนแออย่างน่าสมเพชและเห็นแก่ตัวรักแต่ตัวเอง อยากให้อันลบรอยสักผีเสื้อไปเลยไม่น่าเก็บไว้ตอกย้ำความรู้สึกตัวเอง เราอินมากจริงๆกับเรื่องนี้ต้องขอโทษด้วยที่อินไปหน่อย555 ขอบคุณอีกครั้งนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด