หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178042 ครั้ง)

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ปมเยอะจริงๆเรื่องนี้
รู้สึกโล่งที่ ดร ธันวาไม่มีรอยสัก
หวังว่านะ ว่า ดร จะพ้นข้อกล่าวหา
ส่วนคนที่มีรอยสักเราว่าน่าจะเป็นผู้หญิงนะ
เพราะมีซีนนึงที่เหมือนเป็นเพื่อนของกิ่งรึเปล่าจะคุยกัน  พูดถึงกิ่งดาวอ่ะ มันเหมือนเป็นบทสนทนาระหว่างผู้หญิง
ที่สำคัญ ที่คนเขียนได้บรรยายไว้ เกี่ยวกับแผ่นหลังเปลือยของใครคนหนึ่ง ช่วงบ่ากว้างรับกับหัวไหล่กลมกลึงซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง แต่เราเดาว่าเป็นผู้หญิง แหะๆ :mew3:
หนุกดีอ่ะได้ช่วยกันวิเคราะห์หาตัวฆ่าตกร แล้วก็ค้นหาความจริง
แล้วมาต่ออีกนะคะ :katai3:

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
รอติดตามตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
โล่งใจที่ดอกเตอร์ไม่มีรอยสัก  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เอ่อ จนถึงตอนนี้ก็ยังเดาไม่ออกว่าใครควรจะเป็นพระเอกระหว่างนายบุ้ง และคุณดร.
ผู้ต้องสงสัยมีรอยสักรูปดอกไม้ รูปร่างคล้ายผู้หญิงหรืออาจจะเป็นชายคล้ายหญิงก็เป็นได้นะ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ขำบุ้ง เหมือนเป็นเด็กคนนึงเลย แบบหาวิธีสืบเสาะสิ่งที่ตัวเองอยากรู้เอง
ดร.ธันวาก็นิ่งๆดี พูดน้อย แต่พูดน้อยแบบนี้ก็กลัวคนจะเข้าใจผิดนะเนี่ย

บุ้งชอบกิ่ง แต่กาจชอบบุ้งรึเปล่า
พอดีสะดุดคำบรรยายก่อนวางสายโทรศัพท์

แอบสงสารบุ้งนะ คือรักแหละ และผูกพัน
เจอปฏิเสธ(จริงจังหรือกลายๆ?) คงชา หนึบในอกแน่

ป.ล.ขอโทษนะคะที่เมนท์วกไปวนมา555

รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
ลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนน เฮือกกกกกก

 :ling1:

ปรากฏว่าตัวบุ้งต้องคิดอะไรกับกิ่งดาวมากกว่าเพื่อนแน่ๆ
แต่คนที่กิ่งดาวกำลังแอบชอบนี่สิ เป็นใครกัน?
สาวปริศนาในห้องสมุดที่โผล่มากระจึ๋งนึงนั้น? หรือดร.ธันวา?
แต่ที่แน่ๆ แผ่นหลังนั้นไม่ใช่ของด๊อกเตอร์เพราะด๊อกเตอร์มีแผลเป็นไม่ใช่ดอกไม้
ฮู้ยย อ่านไปลุ้นไปเดาไปค่ะ นี่ก็เผลอคิดเล่นๆ ว่านั้นอาจจะไม่ใช่รอยสักแต่เป็นการเพ้นท์ที่สามารถลบออกได้รึเปล่านะ?

บรรยากาศตอนนี้หลากอารมณ์มากเลยค่ะ 5555555555555
ความหวานมุ้งมิ้งของตัวบุ้งกับกิ่งดาวที่เหมือนคนเป็นแฟนกัน
ความสัมพันธ์แบบเพื่อนรักของตัวบุ้งกับคุณตำรวจ (แอบชูป้ายไฟผู้กองนะคะ >_<)
แล้วก็ฟีลลิ่งเวลาอยู่กับด๊อกเตอร์ ตัวบุ้งจะให้อารมณ์หนุ่มน้อยแก่นเซี้ยวมากเลยค่ะ
ต่างกับตอนอยู่กับเพื่อนอีกสองคนที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนนึงโดยสิ้นเชิง 555555
แต่เราชอบน้าาา  :-[

รอลุ้นอีกทีตอนหน้านะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 3 สงสัย



“โธ่โว้ย! ไม่ได้อะไร แถมยังต้องมาล้างห้องตอนดึกอีก ลงทุนมากไปหรือเปล่าวะเนี่ย” ปากบ่นพลางมือก็บิดผ้าขี้ริ้วเช็ดน้ำหวานที่หกอยู่กลางห้องไปพลาง แต่กระนั้นในหัวก็ยังคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันจะเรียกว่าคว้าน้ำเหลวได้ไหมเมื่อ ‘ธันวา ธิตินาวา’ คือคนเดียวที่พอจะมีข้อมูลอยู่ในมือ แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่เจ้าของรอยสักนั่น ความหวังก็ดูจะเลือนรางเต็มที


“หรือว่าลบออก?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งถอนหายใจเซ็ง ๆ คงจะไม่มีใครลงทุนเท่าตัวเขาเองอีกแล้ว คิดได้ดังนั้นก็โยนผ้าขี้ริ้วลงในถังน้ำก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะโทร.หาเก่งกาจตามที่รับปากเอาไว้


“ถึงแล้วเหรอวะ” เสียงงัวเงียของคนที่ปลายสายกับตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาติดฝาผนังที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มทำให้รู้ทันทีว่านี่คงจะเป็นการโทร.รายงานตัวที่ผิดจังหวะไปหน่อย


“เออ สักพักหนึ่งแล้วละ พอดีแวะเอาของไปส่งที่ร้านมา นี่แกนอนแล้วเหรอ”


“เผลองีบไปน่ะ ถึงแล้วก็ดี คราวหลังจะไปไหนมาไหนหัดบอกให้คนอื่นเขารู้บ้าง”


“หึ! พ่อแม่ฉันเขายังไม่ยุ่งฉันเหมือนแกเลย ทำไม เป็นห่วงหรือไง” เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย คนถามก็เลยได้ใจกระเซ้าต่อ “จี้ใจดำเข้าหน่อยถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอวะ” คันธชาติกล่าวพลางเดินมาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา กดยิ้มที่มุมปากในขณะที่ดวงตาจดจ้องไปยังกรอบรูปในมือ


“แกก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอกไอ้กาจ ตอนนี้แกรู้สึกกลัวใช่ไหม กลัวการจากไปโดยไม่ทันร่ำลากันเหมือนที่เกิดกับกิ่ง”


“ทำไมพูดแบบนี้วะ”


“หรือไม่จริง”


เก่งกาจจำนนต่อคำถาม ยอมรับข้างในใจก็ได้ว่าตั้งแต่เสียกิ่งดาว ความกังวลและความกลัวที่จะต้องสูญเสียก็มีอำนาจเข้าแทรกซึมในห้วงของความคิดทุกครั้งที่มีโอกาส จนบางครั้งก็นึกอยากจะให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหก เขากำลังโดนกิ่งดาวล้อเล้นเหมือนทุกครั้งเวลาที่ได้พบหน้ากัน แต่มันก็เป็นแค่ภาพที่สร้างขึ้นได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ทำได้ดีที่สุดก็คือยอมรับความจริงอย่างที่ปากเคยพร่ำพูดกับคันธชาติเอาไว้


“แกไม่ต้องห่วง ฉันไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า”


“เออ เป็นแบบนั้นก็ดี พ่อแม่แกเขามีลูกชายคนเดียวนะโว้ยจำใส่กะลาหัวเอาไว้บ้าง”


“รู้แล้วน่า แต่ถึงฉันจะตายพ่อกับแม่ก็ต้องภูมิใจแน่ ๆ ที่ฉันตายในหน้าที่”


“หน้าที่บ้าบออะไรของแกวะ”


“ช่างเถอะ” คนอารมณ์ดียิ้มกับตัวเองก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้รายงานผลการปฏิบัติงานให้ผู้กองทราบ “อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่า ดร.ธันวา อะไรนั่นไม่มีรอยสักรูปดอกไม้”


“แกรู้ได้ยังไง” แม้จะฟังแล้วไร้สาระ แต่ก็อดถามไม่ได้


“ก็พิสูจน์มาแล้ว เมื่อกี้เอง”


“หมะ หมายความว่ายังไง แล้วแกไปเจอเขาที่ไหน”


คันธชาติวางกรอบรูปลงข้างตัวก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาผ่อนลมหายใจยาวอย่างสบายใจ แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงตื่นเต็มตาแล้ว     


“ที่คอนโดนี่แหละ บังเอิญอยู่ห้องตรงข้ามกัน”


“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนนะ นะ...นี่ นี่แกอย่าบอกนะว่าคอนโดที่แกซื้อเป็นคอนโดเดียวกับกับที่ ดร.ธันวาอยู่”


“ใช่”


“แกจะบอกว่านี่ก็เรื่องบังเอิญด้วยใช่ไหมไอ้บุ้ง” เก่งกาจกล่าวประชดอยู่ในที

 
“มันบังเอิญจริง ๆ พอดีขับผ่านมาแล้วเห็นว่าเขาปลูกต้นปีบก็เลยแวะมาดูเฉย ๆ แต่ดันมีห้องที่เจ้าของประกาศขายฉันก็เลยซื้อ ยังแปลกใจไม่หายตอนที่รู้ว่าคนห้องตรงข้ามเป็นใคร แต่ตอนนี้คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยตามหาให้ยุ่งยาก”


“แล้วยังไง ตอนนี้รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่เจ้าของรอยสักแล้วแกจะเอายังไงต่อ จะเลิกสงสัยได้หรือยัง”


“ฉันไม่สงสัยในตัวเขาแล้วก็ได้ แต่ยังไงฉันก็จะสืบต่อ ฉันว่าเขานี่แหละที่อาจจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ช่วยไขข้อข้องใจทั้งหมดของเราก็ได้”


“แค่แก ไม่ใช่เรา”


“เออ ๆ ฉันคนเดียวก็ได้ แต่ถ้าเรื่องนี้มันเป็นจริงตามที่ฉันคิดละก็ เวลานักข่าวมาถามฉันจะยกความดีความชอบให้แกในฐานะผู้ช่วยก็แล้วกัน”


น้ำเสียงที่ฟังดูไม่สะทกสะท้านเล่นเอาคนฟังต้องกุมขมับ “โอ๊ย! ไอ้บุ้งเอ๊ย! ฉันจะทำยังไงกับแกดีวะ”


“แกก็ไม่ต้องทำยังไง เลิกโวยวายแล้วก็ไปนอนซะ”


“พูดง่ายเนอะไอ้บุ้ง ฉันคงหลับลงหรอก”


คันธชาติไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับคำพูดของเพื่อนเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงนั่งกระดิกขาสบายอารมณ์ฟังเสียงบ่นชุดใหญ่ของนายตำรวจหนุ่มราวกับมันเป็นเรื่องสนุกที่เคยทำด้วยกันเมื่อสมัยเด็ก


....



เสียงนาฬิกาปลุกทำให้ธันวาที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงต้องสะดุ้งตื่น มือควานหาต้นเสียงเพื่อจะกดปิดให้วุ่น ในใจนึกตำหนิตัวเองที่ตั้งปลุกเสียเช้าตรู่ แต่แล้วตัวเลขที่หน้าปัดก็บอกให้รู้ว่าขณะนี้ล่วงเลยอาหารเช้ามานานมาก ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าทำธุระส่วนตัวก่อนจะออกไปยืนรับลมที่ระเบียงรอน้ำในกาเดือด ตั้งใจจะชงกาแฟดื่มกับขนมปังแผ่นที่เพิ่งเด้งออกจากเครื่องปิ้ง ในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้เขาก็มักจะขลุกอยู่ที่ห้อง ถ้าไม่ทำความสะอาดห้องก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือกองโตหรืองานของนักศึกษาที่เอากลับมาตรวจกว่าจะเสร็จก็หมดวันพอดี ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีเวลาเหลือให้ออกไปไหน


ในที่สุดอาหารเช้าแบบง่าย ๆ ก็เสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินถือถ้วยกาแฟดำหอมกรุ่นกับจานขนมปังปิ้งมาวางบนโต๊ะทำงานก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่คืนวันก่อนมาเปิดอ่าน ลากสายตาไล่ไปตามตัวอักษรได้ไม่กี่บรรทัด จู่ ๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ผ่านเข้ามาในหัว เผลอส่ายหน้าน้อย ๆ ยกมือขึ้นจับต้นคอตัวเองโดยอัตโนมัติ ท่าทางตลก ๆ ของชายหนุ่มห้องตรงกันข้ามที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นานจุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่ปกติเรียบเฉยจนใครที่ได้เห็นตีความไปก่อนว่าเขาน่าจะเป็นคนดุและติดจะหยิ่งเสียด้วยซ้ำ แต่หากเป็นเพื่อนหรือคนที่คบหาจนสนิทสนมจะรู้ว่าแท้จริงแล้วธันวาก็เป็นแค่คนขี้อายที่ยิ้มยากไปหน่อยเท่านั้นเอง


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสืออีกครั้งเมื่อเสียงกริ่งที่หน้าประตูดังขึ้น ทันทีที่ประตูเปิดออกก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าคนที่มากดกริ่งก็คือ ‘เก็จแก้ว’ หรือ ‘พี่แก้ว’ คุณแม่ลูกสองที่อยู่ห้องถัดไปไม่ไกลนัก แม้การเป็นซิงเกิ้ลมัมจะทำให้เธอต้องเลี้ยงดูลูกชายสองคนโดยลำพัง แถมเจ้าลูกลิงสองตัวก็ซนเหลือร้าย สร้างวีรกรรมทำให้ผู้เป็นแม่ต้องคอยบ่นปากเปียกปากแฉะอยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทุกคนในคอนโดรับรู้ได้ก็คือความสุขของการเป็นแม่ที่ส่งผ่านรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้


“วันนี้พี่ทำแซนด์วิชก็เลยแบ่งมาให้ธันทานจ้ะ”


“ขอบคุณครับ” เจ้าของห้องกล่าวพลางรับถุงพลาสติกที่มีกล่องใส่แซนด์วิชชิ้นโต 2-3 ชิ้นมาถือไว้


“พอดีเมื่อเช้าน้องบุ้งเอาน้ำสลัดไปให้ พี่เห็นว่ารสชาติดีเลยเอามาทาขนมปังทำเป็นแซนด์วิชให้เด็ก ๆ ทาน ก็เลยนึกถึงธัน วันหยุดแบบนี้เดาว่าธันไม่น่าจะออกไหนเลยแบ่งมาให้”


ธันวากล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะมองหาเจ้าเด็กน้อยสองคนที่ปกติจะเห็นติดแม่แจ “แล้วนี่เจ้าสองลิงไปไหนเสียละครับ”


“อยู่ในห้องโน่นนะจ้ะ ดูแต่การ์ตูน ชวนให้มาดูแปลงผักของน้าบุ้งด้วยกันก็ไม่มา” เก็จแก้วกล่าวพลางเอี้ยวตัวกลับไปมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังคงปิดสนิท “เห็นว่าน้องบุ้งเขาปลูกผักที่ระเบียง พี่ก็เลยแวะมาดูสักหน่อยว่าจะปลูกยังไง พื้นที่ระเบียงก็แค่นั้นเอง แต่พอไปเห็นแล้วชักอยากจะลองปลูกบ้าง”





ตายยาก...


พูดยังไม่ทันขาดคำประตูห้องก็ถูกเปิดออกก่อนที่เจ้าของห้องจะโผล่หน้าออกมาอย่างรีบร้อนจนอีกสองคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่ต้องหันกลับไปมองเป็นตาเดียว


“คิดว่าจะออกมาไม่ทันพี่แก้วเสียแล้ว” คันธชาติเอ่ยขึ้น เผลอสบตาชายหนุ่มห้องตรงข้ามแวบหนึ่งก่อนจะต่างคนต่างมองไปทางอื่น


“มีอะไรเหรอจ๊ะน้องบุ้ง”


“ผมเก็บผักสลัดไว้ให้น่ะครับ พี่แก้วจะได้เอาไปทำเป็นอาหารเย็นวันนี้”


“ตายจริง แค่น้ำสลัดที่เอาไปให้พี่เมื่อเช้าก็เกรงใจจะแย่แล้วนี่ยังแบ่งผักให้อีก”


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ แต่พี่แก้วคงต้องช่วยเปิดประตูห้องให้ผมแล้วละ เพราะผมจะให้ไปทั้งกระถางเลย”


“จะดีเหรอจ๊ะน้องบุ้ง พี่เกรงใจจัง เดี๋ยวพี่ไปหาซื้อกระถางกับดินมาปลูกเองก็ได้ ที่น้องบุ้งทำให้ดูเป็นตัวอย่างก็พอจะเข้าใจอยู่ หรือถ้ามีปัญหาก็ค่อยมาถามก็ได้”


“แบบนี้แหละครับดีแล้วพี่แก้วจะได้ไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์ให้ยุ่งยาก รอเปิดประตูให้ผมนะครับ”


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีให้ถึงเพียงนี้เก็จแก้วก็เต็มใจที่จะรับมันไว้ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะไปเปิดประตูห้องไว้รอก็แล้วกันนะจ๊ะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินตรงไปยังห้องของเธอ


อาจารย์หนุ่มมาดนิ่งที่ยืนฟังอยู่นานแล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงพอ ๆ กันกำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง “หะ...ให้ผมช่วยอะไรไหม”


เป็นอีกครั้งที่บังเอิญได้สบตากัน...


คันธชาติหันกลับมามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แทบไม่เชื่อหู อาการลังเลแสดงชัดอยู่บนใบหน้าจนคนยื่นข้อเสนอต้องกล่าวซ้ำ


“ให้ผมช่วยไหม ตอบแทนเรื่องขนมเมื่อวานไง”


เจ้าของดวงตาสีเข้มจ้องหน้าคนพูดอย่างตัดสินใจก่อนจะยอมตกลงในที่สุด “ถ้าอย่างนั้นคุณรอตรงนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไปยกออกมาให้” พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในห้อง ในขณะที่ธันวาเองก็หันกลับไปแขวนถุงใส่แซนด์วิชไว้ที่ลูกบิดประตู ยืนรอกระทั่งอีกคนเดินกลับออกมาอีกครั้ง


ไม่นานคันธชาติก็อุ้มกระเช้าใบใหญ่ที่สานจากหวายซึ่งตอนนี้ถูกแปรสภาพเป็นกระถางปลูกผักเรดโอ๊คออกมาจากห้องก่อนจะส่งให้


“รอเดี๋ยวนะ ยังเหลืออีกอัน” พูดจบก็ผลุบหายเข้าไปในห้องก่อนจะอุ้มกระเช้ากรีนโอ๊คกลับออกมา จากนั้นก็พากันเดินไปยังห้องฝั่งที่ใกล้กับบันไดหนีไฟ


เมื่อไปถึงก็พบว่าเจ้าของห้องเปิดประตูไว้รอแล้ว เธอดูตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อเห็นกระเช้าผักสลัดปลูกเองที่หนุ่ม ๆ ช่วยกันยกมาให้ นั่นเพราะวิถีคนเมืองทำให้เธอห่างไกลจากเรื่องพวกนี้เหลือเกิน


เสียงหัวเราะคิกคักของพวกเด็ก ๆ เงียบลงทันทีที่ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาในห้อง สองหนุ่มน้อยที่หน้าตาเหมือนกันราวกับทำสำเนาพากันมายืนเกาะประตูระเบียงมองดูผู้มาใหม่โดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ทักทายตามที่แม่เคยสอนเอาไว้


“ขอบใจมากนะจ๊ะน้องบุ้ง น้องธัน” เก็จแก้วกล่าวขอบคุณอีกครั้งหลังจากที่สองหนุ่มล้างไม้ล้างมือเรียบร้อยแล้ว


“ไม่เป็นไรครับพี่แก้ว แต่ถ้าพี่แก้วอยากจะเพิ่มกระถางก็บอกนะครับ ผมจะช่วยเตรียมดินให้”


ธันวาละสายตาจากผู้ใหญ่สองคน หันมาทักทายเด็กชายฝาแฝดที่กำลังยืนเกาะขอบโต๊ะมองดูผักสีสวยในกระเช้าอย่างสนอกสนใจ


“ไง สองลิง ได้ข่าวว่าดูแต่การ์ตูนเหรอ ช่วยคุณแม่ทำงานบ้านบ้างหรือเปล่า”


สิ้นเสียงคุณน้ามาดนิ่ง สองพี่น้องก็พร้อมใจกันตอบเป็นเสียงเดียว “ช่วยครับ!!”


“อืม ถ้าอย่างนั้นบอกน้าธันซิว่าปิงกับน่านช่วยคุณแม่ทำอะไรบ้าง”


“ปิงช่วยล้างจาน ส่วนพี่น่านช่วยถูพื้นครับ” คนน้องตอบ


“คนไหนปิงคนไหนน่าน” ทั้ง ๆ ที่เมื่อตอนเช้าเก็จแก้วก็แนะนำลูกชายของเธอให้ได้รู้จักไปแล้ว แต่คันธชาติก็ยังแยกไม่ออกอยู่ดี


ได้ฟังดังนั้นธันวาก็อาศัยความคุ้นเคยพูดกับเด็ก ๆ “บอกน้าบุ้งซิครับว่าคนไหนน่านคนไหนปิง”


เด็กชายมองหน้ากันยิ้ม ๆ ก่อนที่คนหนึ่งจะเอ่ยขึ้น “ให้น้าบุ้งทายดีกว่า”


คันธชาติชี้มือไปที่สองคนพี่น้องอย่างลังเล ในที่สุดก็หยุดที่คนใกล้ตัว “อืม คนนี้น่าน ส่วนอีกคนปิง ใช่ไหม?” อาศัยความมั่วล้วน ๆ ในการตอบ แต่เมื่อได้ยินคนยืนข้างกันหัวเราะหึก็รู้ได้ทันทีว่าคงเป็นคำตอบที่ผิด


“คนนี้ปิงต่างหาก ส่วนนั่นน่ะน่าน”


“น้าธันตอบถูกครับ” เด็ก ๆ พากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ


“ฮื้อ...ลูกสองคนนี่แกล้งน้าบุ้งได้ยังไงกัน” ผู้เป็นแม่ปราม


“ไม่ได้แกล้งครับ น่านแค่ให้น้าบุ้งทายเฉย ๆ” คนพี่ตอบฉะฉานในขณะที่คนน้องก็พยักหน้าสนับสนุน 


“คุณแยกออกได้ยังไง หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้”


“เจอกันบ่อย ๆ เดี๋ยวก็แยกออกเองแหละ ถึงเขาสองคนจะดูเหมือนกัน แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ว่า จริง ๆ แล้วสองคนนี้น่ะมีบางอย่างที่ต่างกัน”


“อือ ๆ” คนฟังพยักหน้าเนือย ๆ พลางมองเจ้าสองคนที่ยังคงยืนยิ้มแป้น ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่ามีอะไรที่ทำให้แฝดคู่นี้แตกต่างกัน

คันธชาติเดินตามหลังร่างหนาไปตามทางเดิน ในใจยังคงคิดทบทวนเรื่องรอยสักรูปดอกไม้ แต่ก็ได้เห็นเต็มตาแล้วว่าคนตรงหน้าไม่มีรอยสักที่ว่าอยู่จริง ๆ


‘หรือว่าไปลบที่ประตูน้ำโพลีคลีนิคมาวะ’ ความคิดหยุดอยู่เท่านั้นเมื่อร่างของตนเองปะทะเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างจัง


“เอ้า! จะหยุดก็ไม่บอก”


เสียงโวยวายนั่นทำให้ธันวาต้องหันกลับมามองคนเดินตามหลังอย่างแปลกใจ “คุณนั่นแหละใจลอย ก็นี่น่ะถึงหน้าห้องผมแล้ว”



‘เออว่ะ จริงด้วย’



เลิกคิดที่จะเถียงเมื่อเห็นว่าถึงหน้าห้องตัวเองแล้วเช่นกัน คันธชาติก้มหน้ายกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ พลันสะตาก็สะดุดเข้ากับรอยแผลเป็นทางยาวที่ท่อนแขนของอีกฝ่าย คงจะโดนซี่ไม้ของกระเช้าหวายบาดไม่ผิดแน่


“แขนคุณเป็นแผลนี่ เลือดซิบเลย”


คนถูกทักก้มลงมองที่แขนของตนเองก็เห็นเป็นจริงตามที่ว่า “อ๋อ ไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวก็หาย”


“ไปใส่ยาเสียหน่อยดีกว่าคุณ เดี๋ยวผมทำแผลให้”


“แผลแค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง”


“ผมไม่ได้ห่วงคุณ แต่ห่วงนักเรียนคุณมากกว่า เดี๋ยวเกิดเป็นบาดทะยักต้องตัดแขนทิ้งก็ถือไม้เรียวตีนักเรียนไม่ได้กันพอดี”


ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มเดินตามคันธชาติที่เปิดประตูเดินนำเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้าม เป็นอีกครั้งที่ธันวาจำใจยอมเพียงเพราะคำพูดเหน็บแนมของคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน 


“นั่งรอที่โซฟาก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอากล่องปฐมพยาบาลก่อน” เจ้าของห้องกล่าวก่อนจะหายเข้าไปในห้อง


ตอนแรกก็คิดจะทำตามแต่เมื่อสายลมเย็นพัดแผ่วกระทบผิวเนื้อ กับกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่คุ้นจมูกก็ชวนให้ต้องกวาดสายตาหาที่มาของกลิ่น ขายาวก้าวผ่านประตูกระจกบานเลื่อนที่ถูกเปิดอ้าเอาไว้ออกสู่ระเบียงที่ขนาดกว้างยาวเพียงไม่กี่เมตรแต่น่าจะรับแสงแดดได้เกือบตลอดทั้งวัน เพิ่งสังเกตว่าห้องนี้เป็นห้องที่อยู่ทางฝั่งของลานจอดรถด้านหลังคอนโดจึงได้กลิ่นหอมของดอกปีบที่ถูกปลูกเอาไว้รอบ ๆ อยู่ตลอดเวลา บนพื้นเต็มไปด้วยกระถางเซรามิกขนาดต่างกันที่ใช้ปลูกดอกไม้แปลก ๆ หลายชนิดรวมถึงผักสวนครัวขึ้นง่าย ฉากไม้ระแนงที่วางขนานกับด้านกว้างของระเบียงก็ถูกใช้แขวนกระบะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับปลูกผักกินใบ สะดุดตาที่สุดคงเป็นเสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่แขวนตากอยู่กับราวผ้า อกเสื้อด้านซ้ายยังคงปรากฏคราบจางของน้ำหวานสีแดง ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา พลันรอยยิ้มแรกของวันก็ปรากฏขึ้นราวกับกลีบของดอกไม้ที่ผลิบานรับแสงตะวัน เชื่องช้าและบางเบาเสียจนไม่มีใครสังเกตเห็น


ธันวาเดินกลับเข้ามาด้านในอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าของห้องซึ่งกำลังยืนล้างมืออยู่ในห้องน้ำ ชายหนุ่มจึงเดินไปนั่งลงที่โซฟาพลางมองกล่องปฐมพยาบาลที่วางอยู่บนโต๊ะ อดทึ่งไม่ได้ว่าคนที่ดูไม่มีแก่นสารก็รู้จักเตรียมพร้อมเหมือนกัน มือเอื้อมหยิบหนังสือเล่มหนาพอ ๆ กับพจนานุกรมที่หน้าปกเป็นรูปแมลงขึ้นซึ่งวางอยู่ถัดไปไม่ไกลมาดูอย่างสนใจปากก็อ่านชื่อหนังสือไปด้วย “โรคและแมลงศัตรูพืช"


"นี่คุณอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ”


“อือ ก็อย่างที่ผมเคยบอกว่าผมเป็นเกษตรกร ศัตรูของเกษตรกรก็คือโรคพืชกับแมลง เพราะฉะนั้นก็เลยต้องทำความรู้จักกับศัตรูให้มากเข้าไว้ก่อนที่จะหาวิธีป้องกันหรือกำจัดพวกมันไง” คนถูกถามกล่าวขณะเดินมานั่งลงใกล้ ๆ จัดการเปิดกล่องปฐมพยาบาลหยิบสำลีพันก้านจุ่มแอลกอฮอล์ “ยื่นแขนมาสิ”


ธันวาละสายตาจากหนังสือในมือก่อนจะทำตามโดยดี ทันทีที่อีกฝ่ายแตะสำลีลงบนผิวรอบแผลความแสบก็พุ่งทะยานขึ้นสมองจนเผลอสะดุ้งโหยง แทนที่จะปลดปล่อยด้วยการโวยวายกลับกัดกรามแน่นวางมาดนิ่ง แต่ถึงกระนั้นคนทำแผลก็ยังรับรู้ได้อยู่ดี


“แสบเหรอ” ไม่รอให้ตอบ คนถามก็โน้มหน้าลงพร้อมกับค่อย ๆ เปล่าลมออกจากปากเหมือนที่แม่เคยทำทุกครั้งที่เขาออกไปเล่นซนจนได้แผล


ธันวาเลื่อนสายจากแผลที่แขนขึ้นมาที่ปลายคางประดับด้วยริมฝีปากสีระเรื่อของคนตรงหน้า ยากจะปักใจเมื่อคันธชาติบอกว่าตัวเขาเองเป็นเกษตรกร เพราะหากพิจารณาจากหน้าตาผิวพรรณยิ่งไม่ชวนให้เชื่อว่าเขาจะสนใจในเรื่องพวกนี้ ธันวากลับคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นเสียด้วยซ้ำกระทั่งได้มาเห็นสิ่งที่เขาทำ  ดวงตาสีดำสนิทไล่มาตามสันจมูกกระทั่งมาหยุดยังแพขนตาที่บดบังหน้าต่างของหัวใจคู่นั้นที่มักจะเคลือบแฝงด้วยแววแห่งความสงสัยเสมอ แม้การได้พบกันในครั้งแรกจะทำให้คาดเดาเอาว่าคงจะหาสาระอะไรจากคนคนนี้ไม่ได้ ซ้ำยังดูเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองชนิดหาใครสู้ยาก หากแต่การได้พบกันในแต่ครั้งกลับมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ต่างจากคนอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้ธันวาเองก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามันคืออะไรกันแน่


“เสร็จแล้ว”


“ขอบคุณนะ”


“ไม่เป็นไร” เจ้าของห้องตอบเพียงสั้น ๆ พลางมองคนนั่งขยุกขยิกที่กำลังสอดมือลงใต้หมอนอิงก่อนจะดึงอะไรบางอย่างออกมา


“นั่งทับกรอบรูปนี่เอง” 



‘กรอบรูป’



‘เฮ้ย!’



“เอามานี่” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เห็นว่าเป็นรูปอะไร คันธชาติก็รีบคว้าหมับพลางยิ้มแห้ง ๆ หาข้อแก้ตัว “รูปสมัยเด็กน่ะ อย่าดูเลย น่าเกลียด”


คนฟังพยักหน้างง ๆ “แต่จริง ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”


“คุณติดตาภาพผมตอนหล่อ ๆ แบบนี้แหละดีแล้ว” พูดจบก็ลุกพรวดเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือยัดกรอบรูปลงในลิ้นชักเหมือนเดิม


“ถ้าอย่างนั้นผมกลับห้องก่อนนะ ขอบคุณมากที่ช่วยทำแผลให้” ธันวากล่าวขณะลุกขึ้น มองคนที่ยืนเกาะโต๊ะเขียนหนังสือไม่ห่าง ไม่รู้ว่าจะหวงหรืออายอะไรนักหนากับแค่รูปถ่ายสมัยเด็ก จะน่าเกลียดแค่ไหนกันในเมื่อตอนนี้ก็....


เรียกว่าอะไรดี?


....ในเมื่อตอนนี้ก็ก้าวข้ามความน่าเกลียดมาไกลเสียจนไม่หลงเหลือแล้วนี่....



แบบนี้ก็แล้วกัน



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2014 17:18:08 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)



พนักงานหน้าแฉล้มจับผ้าเช็ดทำความสะอาดหน้าเคาท์เตอร์พลางชะเง้อมองโฟลค์ตู้หน้าวีแบบกระบะสองตอนที่จอดนิ่งอยู่หน้าร้านตั้งแต่เช้าแรกของวันทำงาน หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาสิบหกนาฬิกาเศษแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของรถ ในใจอดคิดไม่ได้ว่าสีเขียวพาสเทลตัดกับสีขาวของกันชนและแร็คบนหลังคาคงทำให้มันเป็นรถส่งของที่ดูเด่นสะดุดตายามเมื่ออยู่บนท้องถนนแน่ ๆ ขณะกำลังคิดอะไรเพลินจู่ ๆ คนที่กำลังนึกถึงก็ผลักประตูมาในร้าน ตรงมาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างหมดแรง


“นายน้อย” หญิงสาวร้องทักด้วยความยินดีระคนประหลาดใจเมื่อเห็นสภาพเหนื่อยอ่อนของคนตรงหน้า “ทะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ”


คันธชาติยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อย่าเพิ่งถาม บุ้งขอน้ำเปล่าสักแก้วเถอะพี่นิ่ม”


“ได้ค่ะ ๆ หายใจลึก ๆ ก่อนนะคะนายน้อย” เธอละล่ำละลักก่อนจะหันไปรินน้ำส่งให้ มองดูนายน้อยกระดกแก้วขึ้นดื่มอัก ๆ อย่างกระหาย ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นน้ำในแก้วก็หมดเกลี้ยง


“ฮ่า!!! แทบแย่แน่ะ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกหลังมือซับน้ำที่ริมฝีปาก   

 
“นายน้อยไปทำอะไรมาคะถึงได้หมดสภาพแบบนี้”


“ไปเดินรอบเกาะรัตนโกสินทร์มา”


“หือ? นึกยังไงคะ”


“ก็ไม่นึกยังไง” ชายหนุ่มยักไหล่ จะว่าไม่นึกยังไงก็ไม่ถูก จริง ๆ ต้องเรียกว่านึกไม่ถึงมากกว่า ใครจะรู้ว่าวันนี้ ดร.ธันวาจะพานักศึกษาไปทัวร์รอบเกาะแบบนั้น ผู้คนบนทางเท้าก็เยอะแยะพอ ๆ กับรถราบนถนน ลำพังเดินธรรมดาก็แทบแย่แล้ว นี่ยังต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้คนถูกตามรู้อีก กว่าจะพาร่างกลับมาถึงร้านได้เล่นเอาเหนื่อยจะแย่


แต่อย่างน้อยที่ทำวันนี้ก็ไม่เสียเปล่า เพราะเขาได้รู้จักกับคนที่น่าจะใกล้ชิดกับกิ่งดาวเพิ่มอีกคน


ผู้หญิงที่พบกันที่หอสมุดคนนั้น... 


“อารตี...”


“นายน้อยว่าอะไรนะคะ”


“ปละ เปล่า พอดีกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ”


“ก็นิ่มได้ยินอยู่นี่นา นายน้อยจะตีอะไร”


“โอ๊ย! พี่นิ่มถามมากจริง บุ้งไม่ตีอะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าขืนถามต่อก็ไม่แน่”


เมื่อเห็นนายน้อยเริ่มอารมณ์ไม่ดี นิ่มก็รูดซิปปากเลิกเซ้าซี้ทันที หญิงสาวแก้เก้อด้วยการจัดของที่อยู่ใกล้มือซึ่งมันก็เป็นระเบียบเรียบร้อยของมันอยู่แล้วจนคนนั่งเท้าคางมองจับสังเกตได้ ชายหนุ่มขยับตัวนั่งหลังตรงก้มมองมือตัวเองที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าอย่างตัดสินใจ


“บุ้งขอโทษ”


“คะ?”


“ก็ขอโทษไง เมื่อกี้อารมณ์เสียใส่”


เพียงเท่านั้นรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง “โธ่ นายน้อยไม่เห็นต้องขอโทษเลย นิ่มไม่โกรธนายน้อยหรอกค่ะ”


เป็นความสัตย์จริง แต่ถึงจะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจก็ไม่คิดถือสาหาความใด ๆ อยู่แล้ว แต่เพราะพื้นฐานของชายหนุ่มเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจกับทุกคน เธอจึงมองเขาเป็นน้องชายที่น่าเอ็นดูคนหนึ่ง เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก นับตั้งแต่เมื่อตอนที่ติดตามผู้เป็นแม่ไปช่วยดูแลนายหญิงบุปผาเมื่อครั้งคลอดลูกชายคนแรก ที่สำคัญการที่ได้ทำงานที่ร้านทานตะวันแห่งนี้ก็เพราะได้นายน้อยช่วยเหลือ เพราะหลังจากสามีเสียชีวิตลงซ้ำถูกบริษัทเลิกจ้างเธอก็ไม่รู้จะไปทำงานที่ไหน จะกลับไปปากช่องก็มีลูกสาวที่ต้องเรียนหนังสืออยู่ทางนี้ โชคดีที่คันธชาติรับเธอเข้าทำงานโดยให้ช่วยดูแลร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในเครือฟาร์มแสงฉานสาขาในกรุงเทพฯ เธอจึงไม่ต้องย้ายที่อยู่ไปไหนแถมยังพอมีพอกินจนทุกวันนี้ แล้วเธอจะโกรธผู้มีพระคุณลงได้อย่างไรกัน


“นั่นแหละ ถึงไม่โกรธก็ขอโทษ บุ้งรู้ตัวว่าพูดจาไม่ดี” นายน้อยคันธชาติกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อได้คลายตัวบ้าง


“นายน้อยจะกลับแล้วเหรอคะ”


ชายหนุ่มพยักหน้าเนือย ๆ ก่อนจะหันหลังเดินผลักประตูออกไปโดยมีสายตาของหญิงสาวติดตามไปไม่ห่าง เธอมองตามร่างสูงที่เปิดประตูเข้าไปนั่งรถ เสียงติดเครื่องที่ฟังดูแปลก ๆ ทำให้ต้องเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น


“ชาเขียวเป็นอะไรเนี่ย”


“ไม่ติดเหรอคะนายน้อย”


“อืม น้ำมันก็เต็มถัง สงสัยแบตเตอรีจะหมด ก่อนจะมาก็ลืมเปลี่ยน ไม่ได้เอาสายต่อพ่วงมาด้วย”


“เอายังไงดีคะ โทร.เรียกร้านที่ท้ายซอยมาลากไปดีไหม”


“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละพี่นิ่ม” คันธชาติกล่าวเมื่อเปิดประตูลงมายืนมองโฟล์คตู้สีเขียวพาสเทลที่ตั้งชื่อเสียดิบดีว่า ‘ชาเขียว’


“พี่นิ่มมีเบอร์เขาใช่ไหม”


“ค่ะ เดี๋ยวนิ่มโทร.เรียกให้ นายน้อยจะให้เรียกแท็กซี่ด้วยไหมคะ”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวบุ้งเรียกเอง ว่าจะแวะไปหาเพื่อนก่อน ยังไงบุ้งฝากพี่นิ่มโทร.เรียกช่างด้วยนะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายบอกเขาว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้บุ้งมาจัดการ” พูดจบชายหนุ่มก็มองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินข้ามถนนไปยืนรอแท็กซี่ที่ฝั่งตรงข้าม ไม่นานแท็กซี่เขียวเหลืองก็แล่นมาจอดเทียบ ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ แน่นอนว่าที่ที่เขาจะไปก็คือสถานีตำรวจ


...



เก่งกาจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ฟังเรื่องที่เพื่อนเล่า มันน่าจะเรียกว่าวีรกรรมบ้า ๆ ของไอ้ผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตมากกว่า มีอย่างที่ไหนไปตามสะกดรอยตามชาวบ้าน คิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นยอดนักสืบโคนันแบบในหนังสือการ์ตูนที่เกือบจะล้นห้องอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มถอนใจพลางคลึงเบา ๆ ที่หัวคิ้ว รู้สึกปวดหัวตุบ ๆ อย่างบอกไม่ถูก


“ฉันแอบฟังตอนที่เขาคุยกับนักศึกษาคนนั้น เธอพูดถึงกิ่งกับอีกคน” คันธชาติหยุดนึก “อืม รู้สึกจะชื่ออารตี ผู้หญิงคนนั้นน่ะชอบขึ้นไปนั่งที่หอสมุด นั่งอยู่ที่หน้าต่างบานนั้นอยู่เป็นชั่วโมง ๆ”


“เออ แล้วทำไมวะ ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปอ่านหนังสือที่หอสมุด แปลกตรงไหน ทำไมฉันหรือแกต้องให้ความสำคัญ”


“เธอจะไม่สำคัญเลย ถ้าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเสี่ยอนันต์กับภรรยายที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน”


“อะ ไอ้บุ้ง นี่แกไปตามสืบเรื่องเขาขนาดนี้เลยเหรอวะ” เก่งกาจตาโต ไม่คิดว่าเพื่อนจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ เสี่ยอนันต์ที่ว่าก็คือนักธุรกิจสายบันเทิงเจ้าของโรงละครนาฏยกาลอันโด่งดัง น้อยคนนักที่จะรู้ว่าหนุ่มใหญ่ผู้นี้มีภรรยาอีกคนซึ่งไม่ได้จดทะเบียนกัน แต่ถึงขนาดรู้ว่ามีลูกสาวชื่ออะไรอยู่ที่ไหนนี่ถือว่ารู้ลึกรู้จริง


“เก่งใช่ไหมล่ะ” คันธชาตินั่งกระดิกขากอดอกยิ้มอย่างภูมิใจ


“ไม่บ้าจริงทำไม่ได้มากกว่าว่ะ” นายตำรวจหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดขีด


“แกจะด่าอะไรก็ด่ามาเถอะถ้ามันจะทำให้แกสบายใจ”


“แล้วยังไง อย่าบอกนะว่าคิดจะเปลี่ยนเป้าหมาย”


“ฉลาดนี่ ฉันว่าเราต้องได้เบาะแสอะไรจากยัยอารตีนั่นบ้างแหละ”


“แก ไอ้บุ้ง ไม่ใช่เรา แกคนเดียว”


“โธ่! อะไรวะ ร้อยตำรวจเอกเก่งกาจแกเป็นตำรวจประสาอะไรกัน คดีอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ แต่แกกลับทำเป็นไม่เห็น”


“ฉันบอกแกจนปากจะฉีกถึงหางคิ้วแล้วว่าคดีของกิ่งมันจบไปแล้ว มีแต่แกนั่นแหละที่ไม่ยอมรับความจริง สงสัยอะไรไม่เข้าเรื่อง”


“เออ ๆ จะพูดยังไงก็แล้วแต่แก คอยดูเถอะ ฉันจะทำคดีฉีกหน้าแก ไม่แน่นะถ้าความจริงเปิดเผย ฉันอาจจะถูกเชิญตัวมาทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ เผลอ ๆ จะตำแหน่งสูงกว่าแกอีก”


“K9?”


“เออ เลี้ยงไว้ในปากแกเถอะ อย่างฉันมันต้องที่ปรึกษากิตติมศักดิ์กรมสอบสวนคดีพิเศษโว้ย”


“ถุย! คนธรรมดาคิดไม่ได้ว่ะ”



...



ธันวาอุ้มตะกร้าผ้าออกจากร้านซักรีดใต้คอนโด พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับแสงไฟรถยนต์ที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด ครู่หนึ่งประตูทั้งฝั่งคนนั่งและคนขับก็ถูกเปิดออก จำได้แม่นว่าหนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มห้องตรงข้าม ส่วนอีกคน...ที่สวมเสื้อยืดแขนสั้นโชว์กล้ามเป็นมัดนั่นก็รู้สึกคุ้นหน้าเหลือเกินแต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบกันที่ไหน  อาจารย์หนุ่มส่ายหน้าเมื่อรู้สึกว่าตนเองอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นมากเกินพอดี คิดได้ดังนั้นจึงทิ้งความสงสัยทั้งหมดเปิดประตูเดินเข้าไปในคอนโดโดยไม่ได้หันกลับมามองที่ด้านหลังอีก


“ขอบใจมากนะที่มาส่ง” คันธชาติกล่าวขณะรับถุงใส่ของสดที่แวะซื้อจากห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ จากมือของเพื่อนรัก


“เออ ไม่เป็นไร แล้วนี่แกได้คุยกับช่างหรือเปล่าว่าเขาให้ไปรับรถเมื่อไร”


“ถามพี่นิ่มแล้ว เขาบอกให้ไปรับพรุ่งนี้สาย ๆ น่ะ”


“ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทร.มาแล้วกัน ฉันไปละ แล้วก็อย่าบ้าให้มันมากนะแกน่ะ”


“เออ ๆ รู้แล้ว ๆ แกรีบไปเถอะ” คนฟังโบกมือไล่ รอจนอีกฝ่ายขับรถออกไปแล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน


สังเกตว่าวันนี้คอนโดดูเงียบเชียบทั้งที่เวลานี้ควรจะเป็นเวลาที่เพิ่งกลับถึงบ้านของคนกรุง ขณะคิดอะไรเพลินก็สะดุ้งโหยงเมื่อมีมือเย็น ๆ แตะเข้าที่แขน ทันทีที่ก้มลงมองก็พบว่าเป็นเด็กชายในชุดนักเรียนที่ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง หนึ่งในพี่น้องฝาแฝดที่อยู่ชั้นเดียวกันนั่นเอง


“สวัสดีครับน้าบุ้ง”   

 
“โธ่...ปิงวังยมน่านนี่เอง มาเงียบ ๆ ไม่ให้สุ้มให้เสียงน้าตกใจหมด”


“นี่น่านครับน้าบุ้ง”


คันธชาติพยักหน้าส่ง ๆ เจอแบบมาเป็นคู่ก็แยกไม่ออกแล้ว ยิ่งมาเดี่ยว ๆ ก็ยิ่งไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เรียกมันปิงวังยมน่านนี่แหละต้องถูกสักชื่อละน่า


“น่านเรียกน้าบุ้งตั้งนานแล้วแต่น้าบุ้งไม่ได้ยิน”


“อ๋อ สงสัยน้ามัวคิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ แล้วนี่น่านไปไหนมา”


“น่านไปซื้อไอศกรีมมาครับ กำลังจะกลับขึ้นไปบนห้อง” หนูน้อยกล่าวพลางอวดถุงขนมในมือที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกัน” คุณน้าตัวสูงกล่าวก่อนจะเดินนำเข้าไปในลิฟท์ที่เพิ่งเปิดออก ในขณะที่เด็กชายน่านก็เดินตามเข้ามายืนพิงผนังลิฟท์ฝั่งตรงข้าม


คันธชาติเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกเพียงไม่กี่ชั้นก็จะถึงที่หมาย ทันใดนั้นไฟในพื้นที่ทรงสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ก็เริ่มติด ๆ ดับ ๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างมองหน้ากันอย่างสงวนท่าที ไฟในลิฟท์ดับลงอีกครั้งคราวนี้ดูท่าจะดับนานคงเป็นเพราะหลอดไฟเสื่อมสภาพ นึกชมเจ้าหนูน้อยที่มาด้วยกันที่ดูไม่มีทีท่าจะตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อย เขายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นิ่งเสียจนผู้ใหญ่อย่างคันธชาติอยากจะถามเหลือเกินว่าไม่กลัวบ้างหรืออย่างไร


กระทั่งไฟเริ่มติด ๆ ดับ ๆ อีกครั้ง ชายหนุ่มค่อย ๆ หันกลับไปมองยังจุดที่เด็กชายเคยยืนแต่กลับไม่พบร่างของเขาแล้ว เล่นเอาขนลุกซู่ โชคดีที่ลิฟท์มาหยุดยังที่หมายพอดี เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกไฟก็ติด นั่นยิ่งตอกย้ำกับคันธชาติว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในลิฟท์ เจ้าของร่างสูงรีบกระแทกปลายนิ้วลงบนปุ่มเพื่อเร่งให้ประตูลิฟท์เปิดแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเปิดช้าเหลือเกิน


เมื่อลิฟท์ค่อย ๆ ประแง้มออกภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำเอาคันธชาติถึงกับผงะ เด็กชายที่มาด้วยกันในลิฟท์กำลังยืนประจันหน้ากับเขาอยู่โดยมีระยะห่างเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น


'นี่มันอะไรกันวะ? แล้วจะทำยังไง ขามันก้าวไม่ออก’


ความคิดหยุดอยู่เพียงแค่นั้นเมื่อเด็กชายค่อย ๆ แสยะยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่น่าน แอบไปซื้อขนมไม่ชวนปิงเลย”



‘น่าน?’



สิ้นเสียงของคนตรงหน้าก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็น ๆ ที่แตะลงบนแผ่นหลัง “น้าบุ้ง ถึงแล้วครับ ออกกันเถอะ” พูดจบเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เดินผ่านเขาไปยืนกอดคอน้องชายที่ด้านนอกก่อนจะโบกมือให้คุณน้าตัวสูงจากนั้นจึงพากันเดินกลับห้อง ระหว่างทางก็ยังคงเถียงกันเรื่องซื้อขนมไม่หยุดไม่ได้ห่วงผู้ใหญ่ที่ยังคงยืนนิ่งเพราะก้าวขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย


'ไอ้แฝดนรก'



ชายหนุ่มผลักประตูเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน เปิดไฟทุกดวงเสียสว่างโร่ จัดการเก็บของสดใส่ตู้เย็นก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือโดนเจ้าสองพี่น้องรวมหัวแกล้งกันแน่ แต่ความเหนื่อยอ่อนก็ทำให้ต้องหาทางสลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง ขณะกำลังจะเอนหลังสายตาเหลือบเห็นเสื้อเชิ้ตที่วางอยู่บนโต๊ะ ตั้งใจจะเอาไปคืนให้เจ้าของตั้งแต่เมื่อตอนเช้า และก็เพราะมันนี่แหละแผนการสะกดรอยตามคนห้องตรงข้ามถึงได้เริ่มขึ้น ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น เล่นเอาเหนื่อยจนร่างแทบแหลก พอได้หย่อนตัวลงนั่งก็แทบไม่อยากจะกระดิกตัวไปไหน แต่แล้วคันธชาติก็ตัดสินใจคว้าเสื้อก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องตรงไปเคาะประตูห้องตรงข้าม รอไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา



“ผมเอาเสื้อมาคืน แต่มันซักไม่ออกน่ะ ยังมีคราบอยู่เลย”


“ไม่เป็นไร” ธันวากล่าวก่อนจะรับเสื้อมาถือเอาไว้


“เอาไว้ผมจะซื้อมาคืนนะ ผมจำยี่ห้อกับขนาดได้”


“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้เอง วันก่อนคุณก็ช่วยทำแผลให้ผม”


“แต่ว่า...”


“ถ้าอยากชดใช้นักละก็ เปลี่ยนเป็นสอนผมปลูกผักทานเองดีไหม”


“เอาอย่างนั้นเหรอ” คันธชาติถามอย่างไม่แน่ใจ


“อือ เอาแบบนี้แหละ”


“ก็ดีเหมือนกัน ทั้งวันทานแต่อาหารฟาสต์ฟู้ดมันจะไปได้ประโยชน์อะไร กินผักเสียบ้าง”


“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมทานแต่ฟาสต์ฟู้ด” คนถามขมวดคิ้วสงสัย


“เอ้อ! ดะ...เดา ผมเดาเอา ถูกใช่ไหมล่ะ” ได้ยินเสียงหัวเราะเผื่อน ๆ ของตัวเองแล้วอยากจะยกมือขึ้นตบปากที่พูดอะไรไม่คิด


“เดาเก่งเนอะ ถ้าอย่างนั้นผมเดาบ้าง”


“เดาอะไร”


“คนที่มาส่งคุณวันนี้น่ะ เขาเป็นตำรวจใช่ไหม ผมรู้สึกคุ้นหน้าแต่จำชื่อเขาไม่ได้...” คนพูดยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็ยกมือปิดปากหาวหวอด ๆ เสียก่อน


“นั่นไง ง่วงขึ้นมาเลย ผมเพลีย ๆ น่ะคุณวันนี้เดินตาม... เอ๊ย! เดินทางทั้งวันเลย เอาไว้คุยต่อวันหลังนะ ไปนอนละ ฝันดี ๆ” พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าห้องไปดื้อ ๆ ทำเอาคนพูดยืนอ้าปากค้างได้แต่มองตาม



ทันทีที่ประตูห้องตรงข้ามปิดลง ธันวาก็โคลงศีรษะพลางก้มลงมองเสื้อเชิ้ตที่พับมาเสียเรียบร้อยในมือ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่พบคนคนนี้ถึงมีเรื่องให้ต้องยิ้มหรือหัวเราะออกมาทุกที
       


“ฝันดี”



คงเป็นคำพูดสุดท้ายของวันนี้ที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ยิน




....


สวัสดีค่ะ ตอนที่ 3 มาแล้วนะคะหลังจากหายไปนานเลย

ต้องขอโทษด้วยค่ะ เพิ่งจะมีเวลาเขียนต่อ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ

ขอบคุณที่ช่วยทักเรื่องคำผิดกับข้อมูลบางอย่างที่อาจจะคลาดเคลื่อนค่ะ

ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ แล้วพบกันตอนหน้านะคะ แอบบอกหน่อยว่า ตอนหน้าบุ้งจะได้รู้ว่าบุ้งไม่ได้สืบแต่เรื่องของคนอื่นเป็นอยู่คนเดียวนะ

บางคนก็อยากสืบเรื่องของบุ้งเหมือนกัน ^^
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2015 00:50:19 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เจ้าของโรงละครนาฏยกาลอันโงดัง>>>>>>>>>>โด่งดัง
เมื่อประตูลิฟท์ปิดออกไฟก็ติด>>>>>>>>>>>>เปิดออก

บุ้งสนใจธันวาเพราะเรื่องคดี
ส่วนธันวาสนใจบุ้งเพราะอะไรน้า...อิอิ

ผู้ร้ายน่าจะจำกัดวงแคบแล้วล่ะทีนี้

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ยังระบุสถานะที่ชัดเจนไม่ได้สักที
รู้สึกว่าตัวเองจะคิดมากเกินไปหน่อย
ใครเป็นพระ? ใครเป็นนาย?

ไอ้เรื่องบังเอิญมาอยู่ห้องตรงข้ามนี่ ไม่อยากจะเชื่อเลย
บุ้งอำใช่มั้ย

แล้วเด็กแฝดนี่ยังไง
นิยายเรื่องนี้นนอกจากจะเป็นแนวสืบสวนสอบสวนแล้ว
ยัง thriller ด้วยเหรอคะ

เห็นคำนี้ "ล้อเล้น" กับ "ละตา" แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหนแล้วอ่ะค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
บุ้งโดนเด็กแฝดเล่นเข้าแล้วไง
อย่าหลุดดร.เขาสงสัยบ่อยนะจ๊ะว่าเราสงสัยเขาอยู่

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
แอบสงสัยเหมือนคุณ sillyfoolstupid ใครตัวพระ ตัวนายกันแน่
เอาใช่ช่วยโคนันบุ้งน้อย สืบคดีต่อ

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
พอเรียกนายน้อยแล้ว
ให้ความรู้สึกว่าตัวบุ้งมุ้งมิ้งขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็น 55555

แอบขำพ่อโคนันเหมือนกันนะคะเนี้ย
ลงทุนตามเค้าทั้งวันเชียว แต่ก็ดีที่ไม่เหนื่อยเปล่า
อย่างน้อยก็ได้เรื่องมาแล้วนิดนึง (หรือเปล่า?) อ่านแล้วรู้สึกเหมือนไปช่วยตัวบุ้งสืบเลยค่ะ

อารตีจะเป็นใครกันนะ?
ลุ้นไปด้วยเลยว่าเธอจะโผล่ออกมาในบทบาทไหน
ตื่นเต้นตามตัวบุ้งไปด้วยเลยค่ะ นี่ถ้าผู้กองเก่งกาจไม่ช่วย เดี๋ยวเราช่วยตัวบุ้งสืบเองนะ
ช่วยสืบอยู่หน้าจอเนี้ยแหละ 555555555555

นี่ดีใจด้วยที่เห็นดร.ธันวากับตัวบุ้งได้ใกล้ชิดกันอีกนิด >_<
อยู่ห้องตรงข้ามกันมันดีอย่างนี้นี่เอง แอร๊ยยยยย สอนปลูกผักอย่างนี้ก็ต้องเข้านอกออกใน
ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แล้วสิน้าาาา ฮริ้งงงงงงงงง  :hao3:

ตอนนี้แอบหลอนเด็กแฝดในลิฟต์ด้วยค่ะ 5555555
นี่หลอนจริงนะ นึกว่าผีหลอกแล้ว ถถถถ ที่ไหนได้เด็กหลอก

แต่เอ๊ะ? หรือผีหลอกจริง?

ขนลุกตามไปด้วยเลย เราเป็นตัวบุ้งเรานั่งตัวสั่นอยู่ในห้องแล้วค่ะ
กลัวจริงจังนะ โอ้ยยย นี่กลัวผีมากกว่ากลัวคนอีก 55555555
แอบนึกว่าเรื่องนี้นอกจากจะเป็นนิยายสืบสวนแล้วจะมีผีออกมาช่วยไขคดีด้วยมั้ย ฮาาา

จะรอตอนหน้านะค่า ^^

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
คือแฝดแกล้นงน่ากลัวไปนะ บรื้อออออ

อารมณ์อ่านละค้างมากมายมีแต่ปม 555555

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
เอาใจช่วยน้องบุ้งนะ
ตกใจตรงแฝดนรกนั่นเหมือนกัน
นึกว่าบุ้งจะเจอดีเข้าซะแล้ว
ตอนต่อไปบุ้งคงจะเริ่มลำบากเค้าแล้วล่ะ เพราะดร. เริ่มสงสัยแล้ว
ตกลงใครจะสืบใครกันแน่เนี่ย
แล้วมาต่ออีกนะคะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
น้องแฝดปิงวังยมน่านแกล้งแรงจังค่ะ กลัวตามเลย :o12:

รอดูต่อไป

ออฟไลน์ eye-lifestyle

  • พรุ่งนี้ไม่เคยมีจริง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
 :katai2-1: น่าติดตามสุดๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย


“อืม ผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วนะ คุณปรับแก้ตามที่บอกแล้วก็เตรียมทำเรื่องสอบได้เลย” อาจารย์หนุ่มกล่าวพลางกวาดตาอ่านเอกสารในขณะที่มือก็จับปากกาแก้ไขข้อความที่เรียงกันแน่นในแต่ละหน้า


“ขอบคุณนะคะอาจารย์”


ชายหนุ่มพยักหน้าละสายตาจากเอกสารเล่มหนาที่นั่งอ่านมาร่วมครึ่งชั่วโมงเงยหน้าขึ้นมองแจกันใส่ดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ ที่แม้จะเหี่ยวเฉาแต่ก็ยังส่งกลิ่นหอมเย็นไปทั่วทั้งห้อง นึกถึงคนที่เอามันมาให้จึงถามกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า


“แล้ววันนี้อารตีไปไหนล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ พักนี้ผมไม่ค่อยเห็นเขาเลย”


“วันนี้เห็นบอกว่ามีธุระค่ะ แต่ถ้าวันไหนอาจารย์อยากเจอ อาจารย์ไปหาได้ที่หอสมุดเลยค่ะ โต๊ะเดิมที่อาจารย์เคยไปเจอพวกเรานั่งติวหนังสือกันั่นแหละค่ะ” พูดจบก็ดึงเอกสารเย็บเล่มมาวางบนตักก่อนจะควานหาบางสิ่งในกระเป๋าสะพาย กระทั่งซีดีแผ่นหนึ่งถูกหยิบติดมือออกมา “นี่รูปวันเผากิ่งค่ะอาจารย์ หนูเพิ่งจะรวบรวมได้จากเพื่อน ๆ คิดว่าอาจารย์น่าจะอยากเก็บเอาไว้”


“ขอบคุณมากนะ ยังเสียดายอยู่เลยที่ไปทันแค่วันเผา แล้วนี่พวกคุณได้ข่าวคุณพ่อคุณแม่ของกิ่งดาวบ้างหรือเปล่า”


“เมื่อสัปดาห์ก่อนหนูเพิ่งโทร.ไปคุยมาค่ะ ดูทั้งคุณพ่อคุณแม่ท่านก็พอจะเข็มแข็งขึ้นบ้างแล้วละค่ะ”


“อืม ยังไงก็หมั่นติดต่อท่านบ้างนะ”


“ค่ะอาจารย์”


ธันวามองตามหญิงสาวที่เปิดประตูเดินออกจากห้องพลางจดปลายนิ้วลงบนแผ่นซีดีตรงหน้า ที่ปกซีดีเขียนด้วยลายมืออ่านแล้วให้รู้สึกใจหาย


‘ภาพงานศพกิ่ง’


จนวันนี้ก็ยังไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้ว่าตนเองจะสูญเสียลูกศิษย์คนสนิทไปเร็วถึงเพียงนี้ มือหนาค่อย ๆ เปิดกล่องหยิบแผ่นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตรูปวงกลมออกมาก่อนจะใส่ลงในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กคลิกเลือกโฟลเดอร์ชื่อเดียวกับที่เขียนบนปก ไม่นานภาพนับร้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เป็นภาพที่ถูกถ่ายเอาไว้ตั้งแต่วันที่ร่างไร้ลมหายใจของกิ่งดาวถูกนำกลับไปยังบ้านที่อำเภอปากช่อง หลายคนที่ปรากฏในภาพล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะคนเหล่านั้นต่างก็เป็นเพื่อนนักศึกษาของกิ่งดาวทั้งสิ้น มีแต่ตัวเขาเองที่เป็นถึงอาจารย์ที่ปรึกษาแต่กลับมีโอกาสไปร่วมงานแค่เฉพาะในวันฌาปนกิจเท่านั้น นั่นเป็นเพราะภาระหน้าที่ในฐานะรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาที่ทำให้แทบจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้ กว่าจะได้ไปร่วมงานพิธีการต่าง ๆ ก็เกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว


ธันวาเลื่อนดูภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่ภาพภาพหนึ่ง สิ่งที่สะดุดตาไม่ใช่กลุ่มคนที่เป็นองค์ประกอบหลักของภาพ หากแต่เป็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง หัวคิ้วหนาเคลื่อนเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวจนแทบจะผูกกันเป็นปม ถ้าใครบังเอิญเปิดประตูเข้ามาในห้องตอนนี้คงคิดว่าอาจารย์ ดร.ธันวา จะต้องเร่งทำงานด่วนอะไรสักอย่างอยู่เป็นแน่เพราะทั้งสีหน้าและแววตาต่างแสดงออกซึ่งความเคร่งเครียด


เสียงคลิกเมาส์ดังถี่ขึ้นจนธันวานึกตั้งคำถามกับตนเองในใจว่านี่เขากำลังสงสัยอะไรหรือกำลังหาอะไรอยู่กันแน่ กระทั่งในที่สุดคำตอบก็ปรากฏขึ้นในภาพตรงหน้า แม้จะนึกชื่อไม่ออกแต่ก็จำได้ว่านายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนที่ทำหน้าที่ถือรูปหน้าศพนั้นเป็นคนที่พบกันในห้องสอบสวน ส่วนชายหนุ่มผิวพรรณดีที่เดินถือกระถางธูปนั่นแม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าแต่ก็ชัดเจนเสียจนยากจะบอกตัวเองว่าจำคนผิด


“ไม่ผิดแน่ ต้องใช่เขาแน่ ๆ”

 
ไม่รู้ว่าทำไมสองคนนี้จึงมาอยู่ด้วยกันในงานฌาปนกิจของกิ่งดาวได้ แต่มันต้องไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ ๆ


....


“ฮัดชิ่ว! ใครนินทาวะ”


คันธชาติบ่นพลางใช้นิ้วถูปลายจมูกตัวเองขณะเดินมานั่งในมุมหนึ่ง มองยาที่เภสัชกรเพิ่งจ่ายให้แล้วรู้สึกท้อแท้ตามประสาคนกินยายาก ยังงงตัวเองไม่หายที่มาหาหมอด้วยอาการเป็นหวัดคัดจมูกทั้งที่ก่อนนี้ก็ปล่อยให้หายเองไปตามธรรมชาติ แต่จะว่าไปครั้งนี้ก็อาการหนักจริง ๆ เพราะเล่นเอาหูอื้อตาลายไปหมด หลังจากเก็บยาลงกระเป๋าแล้วก็หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเพรียวลมของอารตีที่เก้าอี้แถวหน้าสุด ความคิดที่ว่าจะกลับไปนอนพักผ่อนที่คอนโดก็เลยเป็นอันต้องพับเก็บ


ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้มาเกือบ 1 ชั่วโมง เสียงประกาศเรียกชื่อรับยาที่ดังมาจากเคาท์เตอร์ทำให้ต้องรีบร้อนเงยหน้าขึ้นเมื่อนึกได้ว่าตนเองกำลังละสายตาจากเป้าหมายมานานแล้ว แต่เมื่อมองไปยังเก้าอี้แถวหน้าสุดก็ยังพบว่าหญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ตอนแรกเข้าใจว่าเธอคงมาเยี่ยมใครไม่ก็ป่วยเสียเอง แต่นับตั้งแต่มาถึงอารตีกลับนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหนเหมือนกำลังรอคอยใครสักคน


“รอใครอยู่วะ นี่ตาลายไปหมดแล้วนะ” พึมพำกับตัวเองพลางเกาหัวขณะมองตามผู้คนรวมถึงบุรุษพยาบาลที่เข็นรถเข็นผู้ป่วยผ่านไปผ่านมา


ผ่านไปพักใหญ่ ๆ คันธชาติก็รีบขยับตัวเตรียมจะลุกเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าผลุนผลันลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเธอย้ายมานั่งเก้าอี้แถวเดียวกับที่เขานั่ง หยิบแว่นตากันแดดในกระเป๋าสะพายขึ้นมาสวม ถึงกระนั้นก็ยังเห็นว่าดวงตาคู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่ไหน พลันชายร่างสูงใหญ่ในชุดซาฟารีสีกรมท่าก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นที่มีชายวัยกลางคนนั่งมาด้วย


‘เสี่ยอนันต์’ ที่จำได้ก็เพราะเคยเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตสารบ่อย ๆ   


เจ้าของหน้าคมขมวดคิ้วนิ่งเมื่อรู้ว่าที่แท้อารตีก็มารอผู้เป็นพ่อ แต่น่าแปลกที่เธอเลือกจะนั่งมองจากมุมนี้แทนที่จะเดินเข้าไปพูดคุยทักทายกันเหมือนพ่อลูกทั่วไป หรือเพราะเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาซึ่งไม่ได้จดทะเบียนของนักธุรกิจบันเทิงชื่อดัง หรือเพราะเธออายที่สภาพของพ่อตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนพิการ นั่นคือสิ่งที่นักสืบจำเป็นดูจะไม่เข้าใจสักเท่าไรนัก


ชายในชุดซาฟารีที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกน้องของเสี่ยอนันต์ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างรถเข็นของเจ้านาย เวลาผ่านไปครู่ถึงเขาก็เดินไปชำระเงินและรับยาที่เคาท์เตอร์เมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียก หลังจากรับยาเรียบร้อยแล้วเสี่ยอนันต์ก็ถูกเข็นไปรอที่ประตูทางออกโดยมีอารตีตามไปห่าง ๆ ไม่นานชายในชุดซาฟารีก็ขับรถเบ็นซ์มาจอดเทียบ บรรดาบุรุษพยาบาลต่างกรูกันเข้าไปช่วยประคองคนป่วยขึ้นนั่งบนรถก่อนที่รถคันหรูจะเคลื่อนออกจากบริเวณของโรงพยาบาลไปในที่สุด

...


แลนด์โรเวอร์สีขาวแล่นมาจอดที่ที่จอดรถชั่วคราวหน้าคอนโด เจ้าของรถเปิดประตูลงมาก่อนจะเดินอ้อมเปิดท้ายหยิบถุงใส่อุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้ออกมาวาง เป็นจังหวะเดียวกับที่แท็กซี่สีเขียวเหลืองคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบ ครู่หนึ่งประตูฝั่งคนโดยสารก็เปิดออกก่อนที่ร่างสูงของใครคนหนึ่งจะก้าวลงมา ธันวาหรี่ตามองจนแน่ใจว่าเขาเป็นใครจากนั้นจึงปิดท้ายรถเตรียมจะหอบข้าวของที่ซื้อมาขึ้นคอนโด


“อ้าว เพิ่งกลับเหรอ” คันธชาติกล่าวทักท้ายตามประสาเมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นหน้ากัน


“เพิ่งกลับน่ะ แล้วนี่รถเสียเหรอถึงนั่งแท็กซี่”


“อือ แบ็ตหมดน่ะ ไหน ๆ ก็เข้าอู่แล้วผมก็เลยให้เขาเช็กสภาพทั้งคันไปเลย อีกหลายวันกว่าจะได้รถคืน” คนถูกถามอธิบายพลางก้มลองมองถุงพลาสติกขนาดใหญ่ 3-4 ถุงตรงหน้า “แล้วนี่คุณซื้ออะไรมาเยอะแยะ”


“ผมแวะไปซื้ออุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้มา”


“นี่เอาจริงเหรอเนี่ย” คันธชาติกอดอกขมวดคิ้วมองทั้งซองเมล็ดผักกับดอกไม้ กระถางต้นไม้ บัวรดน้ำไหนจะส้อมกับเสียมพรวนในถุงอีก


“ก็คิดว่ามันน่าจะสนุกดี”


“ซื้อของเยอะขนาดนี้กะจะปลูกขายเลยหรือไง”


“ก็ดีนะ จะได้ขายแข่งกับคุณไง”


“หืม? คุณว่าอะไรนะ”


“คุณบอกว่าคุณเป็นเกษตรกรไม่ใช่เหรอ ผมก็จะปลูกผักขายแข่งกับคุณไง”


ธันวายิ้มน้อย ๆ มันเป็นยิ้มที่น่ารักทีเดียว แต่ในสายตาของคันธชาติแล้วรอยยิ้มแบบนั้นกลับดูน่าสงสัยพิกล ชายหนุ่มพยักหน้าเออออก่อนจะอาสาช่วยถือของ จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินเข้าไปในคอนโด 




เจ้าของร่างหนาเหลือบมองคนยืนข้าง ๆ กันอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าประตูลิฟต์เปิดแล้วแต่เขากลับยังลังเลที่จะเข้าไป ดังนั้นธันวาจึงเดินนำเข้าไปก่อน


“มีอะไรหรือเปล่า” ธันวากล่าวกับชายหนุ่มที่เอาแต่เงยหน้าไม่ก็หันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ

 
“ปละ เปล่า ไม่มีอะไร”


คนถามพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเลื่อนสายตามองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในที่สุดลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้ง


“ถึงแล้วคุณ”


คันชาติรู้สึกได้ถึงความอุ่นของมือหนาที่แตะลงบนบ่า จากนั้นร่างหนาของคนที่เคยยืนเคียงข้างกันก็ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไป ชายหนุ่มก้าวตามช้า ๆ บอกไม่ถูกว่าตอนนี้ในหัวกำลังคิดเรื่องอะไร รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่หน้าห้องแล้ว 


“ขอบคุณนะที่ช่วย” เจ้าของห้องกล่าวก่อนจะรับถุงใส่กระถางต้นไม้มาถือเอาไว้ พร้อมกับแตะคีย์การ์ดเปิดประตูในขณะที่คนอาสาเองนั้นได้แต่เพียงพยักหน้าเบา ๆ ตั้งใจจะหันหลังกลับไปเปิดประตูห้องของตนเองบ้างแต่ก็ต้องชะงักกึกเพียงเพราะคำพูดสั้น ๆ 


“ดื่มอะไรอุ่น ๆ หน่อยไหม”


เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องด้วยสายตาที่เจือด้วยแววแห่งความสงสัย อาจารย์หนุ่มจึงกล่าวต่อ “ไม่สบายไม่ใช่เหรอ ผมว่าทานอะไรอุ่น ๆ สักหน่อยอาจจะดีขึ้น”


“ไม่เป็นไร นอนพักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย ไปก่อนนะ” คันธชาติตอบด้วยน้ำเสียงเนื่อย ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับเดินไปแตะคีย์การ์ดเข้าไปในห้อง




คันธชาติขลุกอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนจนกระทั่งค่ำ เสียงกริ่งที่หน้าประตูทำให้คนกำลังหลับต้องปรือตาขึ้น หน้าปัดนาฬิกาติดฝาผนังบอกให้รู้ว่าเขาหลับไปเกือบ  2 ชั่วโมงเลยทีเดียว รู้สึกหนักอึ้งในหัวแต่ก็ยังฝืนพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดประตู


ทันทีที่เห็นหน้าของคนที่แง้มประตูออกมา ธันวาก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองคงมารบกวนเวลาพักผ่อนของคนป่วยแน่ “หลับอยู่เหรอ”

 
เห็นสภาพแบบนี้ไม่น่าจะต้องถาม คันธชาติจึงเลือกที่จะเข้าประเด็น “มีอะไรหรือเปล่า”


“ขอโทษที่รบกวนนะ พอดีผมลงไปหาอะไรทานข้างล่างมาคิดว่าคุณน่าจะยังไม่ได้ทานอะไรเลยซื้อมาฝาก” พูดจบก็ชูถุงใส่ข้าวต้มให้ดู


“ขอบคุณมากนะ” คันธชาติกล่าวพลางเอื้อมเพื่อจะรับของที่อีกผ่ายให้ แต่ธันวากลับเลื่อนมือหนีเหมือนผู้ใหญ่หยอกเด็ก


“เดี๋ยวผมใส่ชามให้ดีกว่า หน้าคุณซีด ๆ นะ”


เจ้าของห้องมองคนตรงหน้าอย่างลังเลก่อนจะตัดสินใจเอี้ยวตัวหลีกทางให้ มองตามหลังกว้างที่เดินผลุบเข้าไปในโซนทำครัวก่อนจะพาร่างไร้เรี่ยวแรงกลับมานั่งลงที่โซฟา ได้ยินเสียงเปิดเตาตามด้วยกลิ่นหอม ๆ  ที่ทำเอาในท้องปั่นป่วนไปหมด จากนั้นเพียงไม่นานข้าวต้มร้อน ๆ ก็ถูกยกมาวางตรงหน้า


“ขอบคุณนะ”


“ไม่เป็นไร ก็เราเป็นเพื่อนบ้านกันนี่ รีบทานเถอะเดี๋ยวจะเย็น” พูดจบก็รินน้ำใส่แก้วให้ ในขณะที่คันธชาติยังคงมองข้าวต้มในชามตรงหน้าอย่างชั่งใจ


“ผมไม่ได้ใส่ยาพิษลงไปหรอกน่า”


“ประโยคคุ้น ๆ นะ”


แทนที่จะตอบโต้คนถูกเหน็บกลับปิดปากเงียบนั่งมองเจ้าของห้องที่กำลังใช้ช้อนเขี่ยข้าวต้มในชามไม่ต่างกับเด็กเบื่ออาหาร


“ผมไปรดน้ำต้นไม้ให้ก็แล้วกัน คุณจะได้ทานถนัด ๆ” พูดจบธันวาก็ลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงโดยไม่หยุดฟังคำทักท้วงใด ๆ


คันธชาติถอนใจพลางตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเสียมิได้ นัยน์ตาอิดโรยมองคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการรดน้ำต้นไม้ราวกับเป็นเจ้าของมันเสียเอง ชายหนุ่มตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากก่อนจะเดินเอาชามไปล้าง จากนั้นก็กลับมานั่งที่โซฟากินยาที่หมอให้ เปลือกตาหนักกับอาการปวดตุบในหัวทำให้ต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก่อนจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งแว่ว ๆ


“คุณ เข้าไปนอนในห้องไหม”


“ไม่เป็นไร...ปล่อยผมนอนตรงนี้แหละ คุณกลับไปเถอะ...ขอบคุณมาก...” พยายามจะตอบให้ครบถ้อยกระทงความที่สุด แต่ปากแห้งผากก็แทบจะปิดสนิทไม่ต่างอะไรกับเปลือกตาที่ลืมไม่ขึ้น กระนั้นก็ยังรู้สึกถึงสายลมเย็น ๆ ที่หอบเอากลิ่นหอมอ่อนของดอกปีบกระทบกับปลายจมูก


เสียงวัตถุที่ล้มคว่ำหน้าลงกับโต๊ะเพราะแรงลมทำให้ทำให้ธันวานึกได้ว่าลืมเปิดประตูระเบียงทิ้งเอาไว้ เจ้าของร่างสูงจึงเดินไปเลื่อนประตูกระจกเข้าหากันจัดการใส่กลอนดึงผ้าม่านปิดเสียเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ในมุมหนึ่งเพื่อจับของที่ล้มให้ตั้งขึ้นดังเดิม เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงเมื่อครู่ก็คือกรอบรูปจึงเอื้อมหยิบขึ้นมา คิดว่าคงจะเป็นภาพถ่ายสมัยเด็กที่เจ้าของดูจะหวงนักหวงหนา อยากรู้เหลือเกินว่าที่อีกฝ่ายบอกว่าน่าเกลียดนั้นจะน่าเกลียดสักแค่ไหนกันเชียว ทันทีที่พลิกมือธันวาก็พบว่าภาพในกรอบนั้นไม่ใช่ภาพเด็กหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ หากแต่เป็นภาพของหนุ่มหล่อสวมชุดครุยที่ถ่ายคู่กับหญิงสาวในชุดกระโปรงน่ารัก หญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มแสนสดใสผู้มีดวงตาทอประกายดั่งดวงดาวไม่ผิดไปจากชื่อของเธอ


“กิ่งดาว”


ชื่อนั้นลอดผ่านริมฝีปากออกมาอย่างแผ่วเบา มีหรือที่ ดร.ธันวา ธิตินาวา จะจำนักศึกษาในความดูแลของตนไม่ได้ ชายหนุ่มวางกรอบรูปกระแทกลงกับโต๊ะอย่างแรง หันขวับเดินกลับไปที่โซฟาตั้งใจจะเค้นเอาความจริงจากคนที่เก็บซ่อนความลับเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ยืนกอดอกมองคนที่กำลังดำดิ่งสู่ห้วงนิทราเท่านั้น


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2014 18:22:28 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


คันธชาติปรือตาตื่นขึ้นเพราะโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงดังอยู่ไม่ไกลจากหูนัก ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าโทรศัพท์มากดรับสายทั้งที่ยังไม่ได้ดูว่าใครโทร.เข้ามาเสียด้วยซ้ำ


“ครับ”


“บุ้ง เจ้าปุยเมฆมันใกล้จะตกลูกแล้วนะลูก เห็นลุงครรชิตเขาบอกว่าน่าจะอีกไม่เกินสามวัน แม่ก็เลยโทร.มาบอกเผื่อว่าลูกจะอยากกลับมาดูมัน”


“ครับแม่ เดี๋ยวบุ้งขอทำธุระทางนี้ให้เรียบร้อยก่อนนะครับ แล้วบุ้งจะรีบกลับ” ชายหนุ่มกล่าวพลางพยุงตัวลุกขึ้นเดินไปเปิดผ้าม่าน ทันทีที่ม่านสีขาวถูกรวบเก็บแสงแดดอ่อน ๆ ก็สาดกระทบกับผิวหน้าชวนให้คิดถึงอากาศยามเช้าของฟาร์มแสงฉานจนอยากจะมีประตูวิเศษที่ร่นระยะทางให้เหลือเพียงแค่ขยับเท้าก้าวข้ามเท่านั้น


“นี่ลูกไม่สบายเหรอ”


“เป็นหวัดนิดหน่อยน่ะครับ แต่บุ้งไปหาหมอมาแล้ว”


“ถึงขนาดไปหาหมอก็แสดงว่าไม่นิดหน่อยละสิ”


คนฟังกดยิ้มที่มุมปาก นี่เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถหลอกนายหญิงแห่งฟาร์มแสงฉานได้ “แม่บอกบุ้งเองไม่ใช่เหรอว่าไม่สบายก็ต้องไปหาหมอ นี่บุ้งก็ทำตามที่แม่บอกแล้วไงครับ”


คันธชาติพยายามจะหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อให้คนที่ปลายสายสบายใจขึ้น แต่ดูท่าว่าผู้เป็นแม่จะไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาเลย นายหญิงบุปผาเงียบเสียงไปนานทีเดียวก่อนที่ประโยคแฝงความห่วงใยจะทำเอาลูกชายแทบน้ำตาซึม


“บุ้ง พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกนะ”


“ครับแม่ บุ้งทราบครับ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะเรียบร้อย บุ้งจะกลับไปอยู่ที่บ้านของเรานะครับแม่ พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะ” 


คันธชาติเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือหลังจากที่ผู้เป็นแม่เพิ่งจะวางสายไป ไม่มีวันไหนที่แม่จะทำหน้าที่ของแม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่วันเดียว ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ตั้งใจจะไปอาบน้ำอาบท่าหลังจากนอนซมพิษไข้มาทั้งคืนแต่ความผิดปกติบางอย่างก็ทำให้ยังต้องนั่งอยู่อย่างนั้น


“จำได้ว่าเก็บไว้ในลิ้นชักนี่หว่า แล้วขึ้นมาตั้งอยู่บนนี้ได้ยังไงวะ” บ่นกับตัวเองพลางใช้มือถูที่ปลายคางอย่างใช้ความคิด “หรือว่าเราจะเอาออกมาตั้งเองวะ” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วส่ายหัวดิกพยายามนึกก็นึกไม่ออก แต่เรื่องที่ว่ากรอบรูปนี้ขึ้นมาตั้งอยู่บนโต๊ะได้อย่างไรยังไม่น่าหนักใจเท่ากับเรื่องที่ว่าเมื่อคืนนี้ ดร.ธันวาจะได้เห็นมันแล้วหรือไม่


ตาย ๆ หนอนบุ้งเอ๊ย!


...



แลนด์โรเวอร์สีขาวที่จอดอยู่ข้างคอนโดค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้า ๆ ทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงเข้าไปนั่งในแท็กซี่ที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเรียกไว้ให้ ธันวากวาดตามองสำรวจรถยนต์คันหน้าราวกับจะบันทึกทุกรายละเอียดเอาไว้ในสมองกล แม้จะพยายามจับจ้องไม่ให้คลาดสายตาแต่รถที่ขับปาดไปปาดมาก็ทำให้เกือบพลาดอยู่เหมือนกัน เจ้าของแลนด์โรเวอร์ยืดตัวมองแท็กซี่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ในเลนข้าง ๆ ซึ่งห่างออกไปไกลพอสมควร โชคดีที่เมื่อรถเคลื่อนตามกันมาได้สักระยะหนึ่งก็ติดไฟแดงอีกครั้งจึงมีเวลาพอที่จะจดจำเลขทะเบียนได้


“พี่ครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยวขวาตรงแยกข้างหน้านะครับ” คนที่นั่งอยู่ด้านหลังคนขับแทรกขึ้นท่ามกลางเสียงรายงานสภาพการจราจรของ จส.100 คนขับพยักหน้าก่อนจะเอื้อมมือหมุนหรี่เสียงวิทยุติดรถยนต์ลงพลางมองกระจกมองหลัง


“แหม ไอ้รถสีขาวคันข้างหลังนี่มันสวยจริง ๆ นะคุณ ผมเห็นตามเรามาตั้งแต่คอนโดแล้ว สวยจริง ๆ ไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไร” สิ้นเสียงของชายคนขับแท็กซี่หัวคิ้วของคันธชาติก็เคลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ค่อย ๆ เหลียวไปมองหารถสีขาวที่ว่า ในที่สุดสายตาก็มาหยุดอยู่ที่แลนด์โรเวอร์คันโตที่แล่นตามหลังมาโดยมีรถคันหนึ่งขั้น พลันความสงสัยที่ว่าธันวาจะเห็นภาพนั้นแล้วหรือไม่ก็คลี่คลายลงทันที


“เอ้อ พี่ ๆๆ เดี๋ยวส่งผมลงหน้าห้างข้างหน้าก็แล้วกันนะครับ”


“ยังไม่ถึงเลยนะคุณ” คนขับแท็กซี่กล่าวเมื่อชะลอความเร็วลงจนกระทั่งรถมาจอดนิ่งที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง


“พอดีผมนึกได้ว่าต้องแวะที่นี่ก่อนน่ะพี่ ขอบคุณมากนะครับ” พูดจบก็ควักเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้คนขับก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยไม่รอเงินทอน


ธันวารีบหักพวกมาลัยตามแท็กซี่คันหน้าก่อนจะค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นคนที่เขากำลังเฝ้าสังเกตการณ์เปิดประตูลงมาจากรถ แต่แทนที่จะเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า อีกฝ่ายกลับเดินเลี้ยวไปตามแนวตึกที่อยู่หัวมุมถนน ดังนั้นเจ้าของแลนโรเวอร์คันสวยจึงตัดสินใจจอดรถที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าก่อนจะรีบตามเป้าหมายที่คิดว่าน่าจะยังไปได้ไม่ไกลไปทันที   


เป็นจริงตามคาด เมื่อธันวาวิ่งหลุดจากแนวตึกก็เห็นหลังไว ๆ เดินข้ามถนนแล้วเปิดประตูหายเข้าไปในร้านอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าจนแทบจะวิ่งก่อนจะมาหยุดที่หน้าร้านขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรขนาดสองคูหา ซึ่งที่ด้านหน้ามีโต๊ะสำหรับให้นั่งดื่มกาแฟ ดังนั้นธันวาจึงตัดสินใจนั่งลงเพื่อรอให้อีกฝ่ายออกมา


“รับอะไรดีคะ” หญิงสาวในชุดพนักงานที่เพิ่งเปิดประตูเดินออกมาจากร้านกล่าวพร้อมกับส่งรายการเครื่องดื่มให้


“ขอกาแฟดำก็แล้วกันครับ” ชายหนุ่มตอบส่ง ๆ พลางชะเง้อคอมองหาคนที่หายเข้าไปข้างใน


กระทั่งกาแฟถูกยกมาเสิร์ฟ....


ดื่มหมดไปครึ่งแก้ว...


ชะเง้อมองตามลูกค้าที่มาใหม่...


ดื่มกาแฟที่เหลืออีกครึ่งแก้ว...


ก้มมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีพอดีแต่ก็ยังไม่เห็นคนที่กำลังตามจะโผล่หน้าออกมา ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงินด้านในพร้อมกับกวาดตามองหาแต่ก็ไม่พบ


“หายไปไหนเนี่ย” ริมฝีปากหยักพึมพำกับตัวเอง เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีคนอื่นนอกจากลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่


“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณ” พนักงานสาวที่หลังเคาท์เตอร์ถามขึ้น


“อืม...เมื่อกี้ผมว่าผมเห็นคนรู้จักเดินเข้ามาในร้านน่ะครับ เป็นผุ้ชายตัวสูง ๆ ขาว ๆ ไว้ผมรองทรงประมาณนี้” ธันวากล่าวพลางทำท่าประกอบ


“ไม่มีนะคะ ฉันเปิดร้านมาตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นมีลูกค้าผู้ชายสักคนเลยค่ะ”


“เหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมคงตาฝาด” อาจารย์หนุ่มกล่าวเสียงอ่อยก่อนจะเดินคอตกออกจากร้านไปในที่สุด


พนักงานงานสาวเปิดประตูออกไปชะเง้อคอมองชายหนุ่มที่กำลังข้ามไปอีกฝั่งของถนน รอจนกระทั่งเขาเลี้ยวหายไปตรงมุมตึกจึงหันกลับเข้ามาในร้าน


“ออกมาได้แล้วค่ะนายน้อย เขาไปแล้ว” สิ้นเสียงของหญิงสาว คันธชาติก่อนค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง เป่าปากอย่างโล่งอก


“บอกพี่นิ่มมาซิคะว่าทำไมต้องหนีเขาด้วย” นิ่มถามพลางกอดอกจ้องหน้าอีกฝ่ายราวกับพี่สาวกำลังสอบสวนน้องชาย แต่มีหรือที่คนเจ้าแผนการจะยอมปลิปากบอกให้รู้ง่าย ๆ ชายหนุ่มทำเพียงกดยิ้มที่มุมปากตอบเลี่ยง ๆ


“เรื่องมันยาวน่ะ ไว้ว่าง ๆ บุ้งจะเล่าให้ฟังนะ เดี๋ยวบุ้งไปเอารถก่อนนะ” พูดจบก็เดินผิวปากอารมณ์ดีเสียเต็มประดาออกไปจากร้าน




‘คิดจะจับนายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉาน สิบปียังเร็วไปนะครับอาจารย์’


 
...
   

“คุณเป็นใครกันแน่นะ แล้วคุณเกี่ยวข้องกับกิ่งดาวได้ยังไงกัน”


ดร.ธันวากำพวงมาลัยแน่น ดวงตาคมกริบยังคงมองไปยังบ้านไม้สองชั้นที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ในใจนึกทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่ห้องตรงข้ามกันมีคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ กระทั่งเรื่องภาพถ่ายที่บังเอิญพบในห้องของเขา คันธชาติจะต้องมีอะไรที่ปิดบังเอาไว้แน่ ๆ เพราะหลังจากที่สะกดรอยตามและคลาดกันในวันนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ได้กลับมาที่คอนโดอีกเลย และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ธันวาต้องมาปากช่องในวันนี้


ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถดูเลขที่บ้านเทียบกับรายละเอียดในกระดาษที่ได้มาจากงานทะเบียนนักศึกษาแล้วเห็นว่าตรงกันจึงกดกริ่ง รอกระทั่งเจ้าของบ้านเดินออกมาเปิดประตู ธันวายกมือไหว้สองสามีภรรยาที่เดินประคองกันออกมาต้อนรับ ซึ่งทั้งพิพัฒน์และกิ่งกาญจน์ต่างก็จำเขาได้ หลังจากพูดคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านครู่หนึ่งเจ้าของบ้านก็เชื้อเชิญให้แขกเข้าไปดื่มน้ำดื่มท่าที่ด้านใน


ธันวาทอดสายตามองทุ่งดอกทานตะวันสีเหลืองอร่ามที่เห็นอยู่ไกล ๆ จากริมหน้าต่าง ลมพัดเย็น ๆ เตือนให้รู้ว่าขณะนี้ได้ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ผิดกับในกรุงเทพฯ ที่ตอนนี้ยังคงร้อนระอุไม่ต่างอะไรกับเตาไฟร้านปิ้งย่าง ชายหนุ่มหันกลับมามองสำรวจไปรอบ ๆ ในที่สุดสายตาก็มาหยุดอยู่ที่กรอบรูปขนาดใหญ่ติดอยู่บนฝาผนังซึ่งเป็นภาพถ่ายครอบครัว ข้าง ๆ กันเป็นกรอบที่ขนาดย่อมลงมาหน่อยเป็นภาพในพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรของลูกสาวคนเดียวของบ้าน ในภาพนอกจากจะมีพ่อและแม่มาร่วมแสดงความยินดีแล้วยังมีอีกสองคนที่ธันวารู้สึกคุ้นหน้าเหลือเกิน คิดไม่ผิดที่การค้นหาคำตอบในเรื่องตนเองกำลังสงสัยเริ่มต้นจากที่นี่


“นี่น่ะรูปกิ่งเมื่อสมัยรับปริญญาครับ เราไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน งานวันนั้นก็เลยมีแค่คนในครอบครัวกับเพื่อน ๆ ของกิ่งไม่กี่คน”  ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ในแววตาบอกถึงความเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด “ทั้งที่กิ่งบอกแล้วว่าไม่ต้องเสียเงินไปซื้อช่อดอกไม้ แต่ลุงกับป้าก็แอบเตรียมเอาไว้เพราะกลัวว่าเดี๋ยวลูกจะไม่มีช่อดอกไม้ถือเหมือนคนอื่น ๆ”


กิ่งกาญจน์แตะที่แขนแกร่งอย่างเบามือ ก่อนจะประคองสามีและเชิญแขกให้นั่งที่เก้าอี้รับแขก เป็นเวลาเดียวกับที่แม่บ้านยกถาดเครื่องดื่มและของว่างออกมาตั้งที่โต๊ะ   


“ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่ยังนึกถึงคนแก่”   


“พอดีผมมาธุระแถวนี้น่ะครับก็เลยแวะเข้ามาเยี่ยม คุณลุงคุณป้าสบายดีนะครับ”


“ก็ไม่เจ็บไม่ไข้น่ะครับอาจารย์” พิพัฒน์กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูเหือดแห้งเหลือเกิน


“อยู่กันสองคนตายายมันก็มีเหงาบ้างนั่นแหละค่ะ ปกติกิ่งจะโทร.มาคุยเกือบทุกวัน พอไม่มีลูกเสียคนมันก็เลยเหงา นี่ก็ได้เพื่อน ๆ ของกิ่งที่แวะมาเยี่ยม พอช่วยให้หายเหงาได้ประเดี๋ยวประด๋าวนะค่ะ”


“แล้วลูกชายอีกสองคนล่ะครับ ไปไหนเสีย” เห็นว่าสบโอกาสจึงแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ากิ่งดาวเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว จึงไม่วายรู้สึกผิดนึกขอโทษผู้อาวุโสที่ต้องพูดโป้ปด


กิ่งกาญจน์สบตาสามีแล้วอมยิ้มก่อนจะตอบคำถาม “ใคร ๆ ที่มาบ้านเราครั้งแรกก็จะถามแบบนี้ เพราะเห็นรูปบุ้งกับกาจก็เลยเข้าใจว่าเป็นพี่ชายของกิ่ง”


“ไม่ใช่หรอกเหรอครับ”


“ลุงกับป้ามีกิ่งเป็นลูกสาวคนเดียวจ้ะ ส่วนอีกสองคนนั่นน่ะเขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม” คุณนายปลัดอำเภอบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางของเธอดูเข้มแข็งกว่าผู้เป็นสามีเสียอีก ธันวานั่งฟังสองสามีภรรยาถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตอยู่พักใหญ่ ๆ จึงขอตัวกลับ รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างที่เห็นว่าทั้งสองคนเข้มแข็งขึ้นมากกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันเมื่อกว่าสองเดือนก่อน

...


แลนด์โรเวอร์สีขาวค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามทางดินเรียบแปลงปลูกทานตะวันที่มีรั้วไม้สีขาวเตี้ย ๆ กั้นบอกอาณาเขต เมื่อสุดทางแทนที่จะเลี้ยวไปตามป้ายที่ชี้ไปไปถนนใหญ่กลับหักพวงมาลัยไปอีกทาง ลัดเลาะมาตามเส้นทางคดเคี้ยวกระทั่งเข้าสู่อาณาบริเวณอันแสนกว้างใหญ่ของฟาร์มแห่งหนึ่ง


ภาพรุ้งกินน้ำที่เกิดจากการหักเหของแสงยามเมื่อละอองน้ำจากหัวสปริงเกอร์ต้องแสงอาทิตย์ ภาพคนงานกำลังแบกจอบเสียมเดินไปตามแนวคันดิน และภาพทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่วัวนมตัวโตนับสิบกำลังยืนเล็มหญ้าอย่างสบายท่ามกลางไอแดดอุ่น ๆ เป็นภาพทำให้ธันวาต้องหยุดทอดสายตามอง ชีวิตคนเมืองทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เห็นภาพเช่นนี้บ่อยนัก ชายหนุ่มตัดสินใจจอดรถใต้ร่มไม้ข้างทางเปิดกระจกสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด นึกอิจฉาคนที่นี่อยู่เหมือนกันที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาผจญกับรถติดและสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษอย่างผู้คนในเมืองหลวง แต่กระนั้นก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ขวนขวายหาทางเข้าไปทำงานในเมืองหลวงเพียงเพราะต้องการจะมีชีวิตที่ดีขึ้น จนทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นมหานครที่แออัด คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตึกรามบ้านเรือนรวมถึงยวดยานพาหนะ



“เอ้า ๆๆ ระวังหน่อยไอ้กล้า เอ็งเดินดูทางบ้าง นั่น ๆ จะชนนายน้อยอยู่แล้ว” เสียงเอะอะโวยวายของผู้เป็นตาทำให้หลานชายวัยสิบเอ็ดปีที่กำลังเดินถือบัวรดน้ำมาแต่ตากลับมองไปทางอื่นต้องหันมายิ้มแหย ๆ เด็กชายเอ่ยปากขอโทษคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเอาต้นไม้ลงดินก่อนจะรดน้ำต้นอยู่ถัดไปไม่ไกลเสียจนชุ่ม


“มัวมองอะไรอยู่” คันธชาติเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มน้อยที่ติตามผู้เป็นตามาช่วยงานในฟาร์มตั้งแต่เช้าตรู่อย่างเอ็นดู 


“มองรถครับนายน้อย รถใครก็ไม่รู้สวยจัง” ต้นกล้ากล่าวพลางวางบัวรดน้ำลง จากนั้นจึงหันไปมองรถสีขาวคันใหญ่ที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้บนเนินให้เต็มตา ฝันว่าอยากจะมีรถสวย ๆ แบบนี้ขับบ้างจะได้พาตากับแม่ไปซื้อกับข้าวในตลาดทุกเช้า


“สงสัยจะรถนักท่องเที่ยวละครับนายน้อย ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” ชายวัยกลางคนที่โพกผ้าขาวม้าบนศีรษะกล่าวขณะเดินหาที่เหมาะ ๆ กระชับด้ามจอบในมือเริ่มขุดหลุมใหม่


“สวยขนาดไหนกันเชียว สวยกว่าชาเขียวของฉันอีกเหรอ หืม? ต้นกล้า” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะหันมองไปยังทิศเดียวกัน แลนโรเวอร์สีขาวนั่นน่ะไม่เท่าไร แต่คนขับที่เพิ่งเปิดประตูลงมานี่สิ


“ซวยแล้วววววววว” ริมฝีปากอิ่มบ่นงึมงำกับตัวเอง ไม่คิดว่า ดร.ธันวาจะตามมาจนถึงที่นี่


“อะไรซวยครับนายน้อย” เด็กชายหันมาถาม


“ซวยอะไร สวยต่างหาก” พูดจบก็หัวเราะราวกับคนบ้า แต่เจ้าของคำถามหาไม่ได้ใส่ใจเสียงหัวเราะขื่น ๆ นั่น ยังคงมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่รถคันงามจนไม่ทันได้เห็นว่าเจ้านายกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่


“นั่น ๆ เจ้าของเขาเดินมาทางนี้แล้วตา สงสัยจะมาถามทางมั้ง”


เมื่อได้ฟังที่หลานชายพูดนายกรก็หยุดขุดพลางเท้าเอวมอง จริงอย่างว่า เจ้าของรถกำลังเดินมาทางนี้ ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัว หน้าตาผิวพรรณ ก็เดาเอาตามประสาคนบ้านนอกว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับพวกที่เคยมาติดต่อขอซื้อที่ดินเมื่อไม่กี่วันก่อนแน่ ๆ


“สวัสดีครับคุณลุง” ผู้มาใหม่ทักทายอย่างเป็นมิตร


“ไหว้พระเถอะพ่อหนุ่ม ไปยังไงมายังไงล่ะ”


“ผมมาจากกรุงเทพฯ ครับ ตั้งใจจะมาหาเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ก็เลยจะแวะมาถามคุณลุงว่าพอจะรู้จักไหม”


“ชื่ออะไร ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ”


ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ห่างออกไปถอนใจพลางดึงปีกหมวกสานลงปิดหน้า เงี่ยหูฟังการสนทนาของคุณลุงผู้มีน้ำใจล้นเหลือกับหนุ่มกรุงเทพฯ ผู้ผ่านทางมาอย่างตั้งอกตั้งใจ


“หล่อระเบิดเลยละนายน้อย” เด็กชายนั่งลงกระซิบกระซาบ แต่นายน้อยของเขากลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้น สิ่งที่คันธชาติสนใจก็คือคำตอบต่อจากนี้ต่างหาก


“ชื่อคันธชาติครับ แต่ผมจำนามสกุลไม่ได้”


“แค่ก ๆ” คำตอบนั้นทำเอาสำลักอากาศ อยากจะยกมือขึ้นปิดปากแต่มันก็เลอะเทอะเละเทะเสียเหลือเกิน นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานจ้องมองสองมือที่เต็มไปด้วยดินโคลนอย่างชั่งใจ ก่อนจะทำในสิ่งที่เล่นเอาเด็กชายต้นกล้าอ้าปากค้าง


ช่วยไม่ได้ ก็มันไม่มีทางเลือกแล้วนี่...


“แหยะ!!! อี๋!!! นายน้อยเอาโคลนป้ายหน้าตัวเองทำไมครับ”


“พอกหน้าไง จะได้หล่อ ๆ เหมือนพี่ชายคนนั้น คนกรุงเทพฯ เขาทำกันแบบนี้แหละถึงได้หน้าตาดี” คนที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยโคลนกระซิบบอกเคล็ดลับ


“คันธชาติ... คันธชาติ... อืม...” นายกรทวนชื่อนั่นซ้ำ ๆ รู้สึกคุ้นแต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน คิดได้ดังนั้นจึงหันมาร้องถามหลานชายเผื่อจะรู้บ้าง “ไอ้กล้า เอ็งรู้จักคนชื่อคันธชาติไหม”


หนุ่มน้อยทำหน้ายุ่งก่อนจะหันมาสบตาคนที่กำลังหย่อนปุ๋ยลงก้นหลุม ไม่รู้เสียเลยว่าริมฝีปากเล็ก ๆ ที่ยกขึ้นเป็นรูปแตงโมผ่าครึ่งนั่นทำเอาคนมองหายใจแวบ ลุ้นเสียจนหัวใจพาลจะหยุดเต้นเสียให้ได้


‘อย่านะ’ ชายหนุ่มร้องห้ามในใจ   





“นายน้อยรู้จักคนที่ตาพูดถึงเมื่อกี้ไหมครับ”


อย่างกับยกเขาใหญ่ออกจากปากช่อง มันโล่งเสียยิ่งกว่ายกภูเขาออกจากอกเสียอีก คนถูกถามส่ายหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบก่อนจะหันกลับไปหาสองคนที่ด้านหลังซึ่งก็คาดว่าคงกำลังรอคำตอบจากปากของเขาอยู่เช่นกัน ไม่ผิดไปจากที่คาดเมื่อเห็นว่าทั้งลุงกรและชายหนุ่มแปลกหน้าต่างก็พากันจับจ้องมายังตนเอง โดยเฉพาะลุงกรที่อ้าปากหวอทำหน้าประหลาดใจชวนให้คิดว่าสภาพของเขาในตอนนี้น่าจะไม่ต่างอะไรกับลูกหมูในเล้าแน่ ๆ 


“วะ...ว่าไงครับนายน้อย นายน้อยรู้จักคนชื่อคันธชาติไหม ผมคุ้น ๆ นึกไม่ออกจริง ๆ” นายกรถามให้แน่ใจ ในขณะที่คนเป็นนายเองก็ส่ายหน้าซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ   


ชายหนุ่มยิ้มกริ่มในใจ แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบเลยที่ใคร ๆ พากันเรียกเขาว่า ‘นายน้อย’ ดูเป็นคุณหนูนุ่มนิ่มฟังแล้วจั๊กจี้หูพิลึก  เพิ่งจะเห็นประโยชน์ของมันก็วันนี้แหละ เพราะว่าคนงานพากันเรียกเช่นนี้ จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาก็คือ 'คันธชาติ ณ แสงฉาน' คนที่หนุ่มกรุงเทพฯ กำลังตามหานั่นเอง


เมื่อเห็นชายวัยกลางคนถึงกับถอดผ้าขาวม้าพาดบ่าปาดเหงื่อบนหัวล้านเพราะหมดปัญญาจะช่วย ธันวาก็ได้แต่เพียงกล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจของเขา  กำลังจะหันไปขอบใจหนุ่มน้อยหน้ามอม อีกฝ่ายก็รีบเบนสายตาหนีพร้อมกับผุดลุกขึ้นเสียก่อนเมื่อเสียงโคร้งเคร้งของถังอะลูมิเนียมสำหรับใส่น้ำนมดิบเคล้ากับเสียงเครื่องยนต์ดังแว่วมาแต่ไกล ครู่หนึ่งรถกระบะสนิมเขรอะซึ่งเป็นต้นกำเนิดเสียงก็แล่นมาจอดใกล้กับแลนด์โรเวอร์ที่ดูเทียบกันไม่ได้เลย คนขับโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างก่อนจะตะโกนสุดเสียงแข่งกับเครื่องยนต์ที่ฟังแล้วจะพังแหล่มิพังแหล่


“นายน้อย ไปรีดนมวัวกันไหม”


คนถูกชวนยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้รอ ก่อนจะหันมาบอกลาลุงกรและหลานชายเป็นภาษาถิ่น จากนั้นก็รีบโกยแนบขึ้นไปบนเนิน กระโดดขึ้นนั่งห้อยขาท้อยรถกระบะฉีกยิ้มเสียจนเห็นฟันขาว


ธันวาเดินตามขึ้นมาบนเนินพลางมองตามรถกระบะผุ ๆ ที่กำลังเคลื่อนออกไป คิ้วหนาขมวดมุ่นคิดไม่ตกว่าน้ำเสียง ท่าทางและรอยยิ้มแบบนั้น เหมือนเคยเห็นที่ไหน...


...



ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2014 18:24:51 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
นายน้อยจอมแสบ
เสร็จแน่ๆ 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
นายน้อยน่ารักเนอะ
อ.ธัน สุ้ๆนะ 55

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ดร.ธันวาเอาจริงเว้ย น่าสนุก

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
แฮ่.....ได้เบาะแสมาอีกหน่อย// ร่างหนาๆ //พระเอกต้องหนากว่า  :hao3:
เค้าอ่านที่คดี แต่เราสนใจแต่ระบุสถานะตัวเอกนี่แหละ ฮ่าๆๆๆ


[ปล.บรรทัดข้างล่างนี้ บางคำบางประโยคแปลกๆค่ะ แถมคำผิดอีกนิดหน่อย พิมพ์รัวสินะๆ ^^]

- ธันวาเลื่อนดูภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่ภาพภาพหนึ่ง สิ่งที่สะดุดตาไม่ใช่กลุ่มคนที่เป็นองค์ประกอบหลักของภาพ หากแต่เป็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง หัวคิ้วหนาเคลื่อนเข้าหากันอย่างโดยรู้ตัวจนแทบจะผูกกันเป็นปม ถ้าใครบังเอิญเปิดประตูเข้ามาในห้องตอนนี้คงคิดว่าอาจารย์ ดร.ธันวา จะต้องเร่งทำงานด่วนอะไรสักอย่างอยู่เป็นแน่เพราะทั้งสีหน้าและแววตาต่างแสดงออกซึ่งความเคร่งเครียด

- เสียงคลิกเมาส์ดังถี่ขึ้นจนธันวานึกตั้งคำถามกับตนเองในใจว่านี่เขากำลังสงสัยอะไรหรือกำลังหาอะไรอยู่กันแน่ กระทั่งในที่สุดคำตอบก็ปรากฏขึ้นในภาพตรงหน้า แม้จะนึกชื่อไม่ออกแต่ก็จำได้ว่านายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนที่ทำหน้าที่ถือรูปหน้าศพนั้นเป็นคนกับที่พบกันในห้องสอบสวน ...

- เจ้าของหน้าคมมวดคิ้วนิ่งเมื่อรู้ว่าที่แท้อารตีก็มารอผู้เป็นพ่อ ...

- คันชาติรู้สึกได้ถึงความอุ่นของมือหนาที่แตะลงบนบ่า จากนั้นร่างหนาของคนที่เคยยืนเคียงข้างกันก็ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไป ชายหนุ่มก้าวตามช้า ๆ บอกไม่ถูกว่าตอนนี้ในหัวกำลังคิดเรื่องอะไร รู้ตัวอีกทีก็เมาอยู่ที่หน้าห้องแล้ว 

- แทนที่จะตอบโต้คนถูกเหน็บกลับปิดปากเงียบนั่งมองเจ้าของห้องที่กำลังใช้ช้อนเขี่ยข้าวในต้มในชามไม่ต่างกับเด็กเบื่ออาหาร

- “คุณ เข้าไปในนอนในห้องไหม”

- เสียงวัตถุที่ล้มคว่ำหน้าลงกับโต๊ะเพราะแรงลมทำให้ทำให้ธันวานึกได้ว่าลืมเปิดประตูระเบียงทิ้งเอาไว้ ...

- คันธชาติเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือหลังจากที่ผู้เป็นแม่เพิ่งจะวางสายไป ไม่มีวันไหนที่แม่จะทำหน้าที่ของแม่ขาดตกปกพร่องเลยแม้แต่วันเดียว ...

- “จำได้ว่าเก็บไว้ในลิ้นชักนี่หว่า แล้วขึ้นมาตั้งอยู่บนนี้ได้ยังไงวะ” บ่นกับตัวเองพลางใช้มือถูกที่ปลายคางอย่างใช้ความคิด “หรือว่าเราจะเอาออกมาตั้งเองวะ” ...

- ธันวารีบหักพวกมาลัยตามแท็กซี่คันหน้าก่อนจะค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นคนที่เขากำลังเฝ้าสังเกตการณ์เปิดประตูลงมาจากรถ ...

- “ลุงกับป้ามีกิ่งเป็นลูกสาวคนเดียวจ้ะ ส่วนอีกสองคนนั่นน่ะเขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม” คุณนายปลัดอำเภอบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางของเธอดูเข้มแข็งอีกกว่าผู้เป็นสามีเสียอีก ...

- แลนด์โรเวอร์สีขาวค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามทางดินเรียบแปลงปลูกทานตะวันที่มีรั้วไม้สีเขาเตี้ย ๆ กั้นบอกอาณาเขต ...

- ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ห่างออกไปถอยใจพลางดึงปีกหมวกสานลงปิดหน้า เงี่ยหูฟังการสนทนาของคุณลุงผู้มีน้ำใจล้นเหลือกับหนุ่มกรุงเทพฯ ผู้ผ่านทางมาอย่างตั้งอกตั้งใจ

- หนุ่มน้อยทำหน้ายุ่งก่อนจะหันมาสบตาคนที่กำลังหย่อนปุ๋ยลงก้นหลุม ไม่รู้เสียเลยว่าริมฝีปากเล็ก ๆ ที่ยกขึ้นเป็นรูปแตงโมผ่าครึ่งนั่นทำเอาคนมองหายใจแวบลุ้นเสียจนหัวใจพาลจะหยุดเต้นเสียให้ได้

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
เอาละทีนี้เริ่มสงสัยกันเองแล้ว
นายน้อยต้องโดน ดร.ธันวาจับตีก้นซะให้เข็ด

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ตายล่ะวานายน้อย จะโดนจับได้มั้ยเนี่ย
ถึงขนาดลงทุนพอกหน้าเลย
สุดยอดจริงๆ
ลุ้นๆตลอด อยากรู้ความจริงแล้ว
แล้วมาต่ออีกนะ

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
นายน้อยนี่แสบจริงๆ  :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
สนุกค่ะ ชอบมากเลย
คุณธันวาเค้าก็ตามสืบบ้างล่ะนะ อิอิ ~.~

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
นายน้อยบุ้ง แสบใช่ย่อย  ยอมพรางตัวด้วยโคลนเชียว

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
อ่านไปลุ้นไป ขำไป
ยิ่งช่วงท้ายๆ นี่ยิ่งขำก๊ากก ถถถถถถถถถ

 :laugh:


ตลกตอนตัวบุ้งขึ้นลิฟต์
เดาว่ายังหลอนเด็กแฝดไม่หายอยู่แน่ๆ เป็นเราก็หลอนค่ะ 5555
จะหลอนไปอีกหลายวันเลยด้วย กลัวผีเป็นการส่วนตัว ฮาาาาาา

ในที่สุดดร.ธันวาก็รู้แล้วว่าตัวบุ้งเป็นเพื่อนของกิ่งดาว
คราวนี้พ่อโคนันน้อยถูกตามสืบเองบ้างแล้ว เป็นไงคะ? ตื่นเต้นดีมั้ย? 555
ตอนท้ายๆ นี่อ่านไปก็รู้สึกได้ว่า นายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ
แก่นเซี้ยวขนาดนี้ เหมือนเด็กซนเตะบอลใส่กระจกคนข้างบ้านแตก
พอเค้ามาตามเอาเรื่องก็หนีไปซ่อน โถๆๆๆๆ  :เฮ้อ:
นี่อยากให้ดร.ธันวาจับได้คาหนังคาเขาจริงๆ ดูซิว่าถ้าหนีไม่รอดแล้ว
นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานจะแก้ตัวว่ายังไง น่าสนุกดีนะคะ 555555


ส่วนอารตีนี่เป็นปริศนามากเลยค่ะ
เป็นตัวละครที่ให้อารมณ์หลอนๆ ลึกลับยังไงไม่รู้ ฮาาา
รอตอนหน้าาาา  :katai5:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 5 ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด




ท่ามกลางความมืดมิดปรากฏจุดแสงเล็ก ๆ ขึ้นตรงหน้า มันใกล้เข้ามาทีละน้อยกระทั่งรอบตัวกลับสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง เมื่อดวงตาสามารถปรับให้เข้ากับสภาพแสงที่เปลี่ยนไปได้ ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เสียงลมหวีดหวิวพัดพริ้วหยอกเย้าพาเอาดอกหญ้าเล็ก ๆ ฟุ้งกระจายไปในอากาศราวกับละอองหิมะ เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาไกล ๆ พลันร่างเล็กของเด็กชายหญิงที่กำลังไล่จับกันอยู่พรมหญ้าผืนมหึมาก็แจ่มชัดขึ้น


“หยุดเดี๋ยวนี้นะหนอนบุ้ง”


“จ้างให้ก็ไม่หยุด” เด็กชายเจ้าของชื่อหันมาทำหน้าทะเล้น


“คอยดูนะ ถ้าจับได้ละก็กิ่งจะให้บุ้งวิ่งไล่ตามกิ่งให้เหนื่อยเลยละ จะไปซ่อนไกล ๆ ให้หาไม่เจอ หาไม่เจอไปตลอดเลย”


ได้ผล...


เพียงแค่คำขู่ที่ฟังดูไม่จริงจังอะไรแต่กลับทำให้คนช่างแกล้งชะงักกึก


“นี่แน่ จับได้แล้ว”


เด็กหญิงร้องอย่างดีใจพลางยึดข้อมือเล็กของคนตรงหน้าเอาไว้ให้มั่น สบตากันแล้วให้ประหลาดใจนักเมื่อพบว่าความขี้เล่นในแววตาเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยแววแห่งความเป็นกังวล นัยน์ตาสั่นไหว เนื้อตาตัวแข็งทื่อราวกับจะกลายเป็นหินเสียต่อหน้าต่อตาก็ไม่ปาน ในที่สุดริมฝีปากเล็กก็ค่อย ๆ เผยอขึ้นก่อนจะกล่าวคำแผ่วเบาอย่างผู้ยอมแพ้


“ยอมให้จับแล้ว อย่าหนีไปไหนนะ อย่าหนีไปจนหาไม่เจอ”


“บุ้ง เป็นอะไรหรือเปล่า” คนถามขมวดคิ้วสงสัยขณะค่อย ๆ คลายมือออก 


“สัญญามาก่อน” เด็กชายกล่าวพลางคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้ “สัญญาว่าจะไม่หายไปไหน”


“โธ่ นึกว่าอะไร ได้สิ กิ่งสัญญา สัญญาว่าจะอยู่ข้าง ๆ หนอนบุ้ง จะไม่หายไปไหนแน่นอน จะจับมือให้แน่น ๆ แบบนี้เลย” พูดจบเธอก็เกี่ยวมือเพื่อนรักเอาไว้ กระชับแน่นเพื่อย้ำคำสัญญา


เมื่อได้ฟังดังนั้นหนุ่มน้อยก็ค่อยยิ้มออก หนอนบุ้งพยักหน้าก่อนจะจูงมือคนตัวเล็กไปยังต้นมะขามต้นยักษ์ที่ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านอยู่ที่ปลายเนินหญ้าเขียวชอุ่ม


“บนนั้นน่ะสวยมากเลยนะ กิ่งอยากขึ้นไปไหม”


กิ่งดาวมองตามปลายนิ้วที่กำลังชี้ขึ้นไปยังกิ่งของต้นไม้ที่แค่ลำต้นก็สูงใหญ่กว่าตัวเธอหลายเท่านัก ดวงหน้าฉายแววสวยตั้งแต่เด็กส่ายน้อย ๆ ก่อนจะหันมาตอบคำถามเมื่อครู่ “ไม่เอาหรอก สูงจะตาย กิ่งกลัว”


“ไม่น่ากลัวหรอกเชื่อเราสิ” ไม่พูดเปล่ายังรั้งข้อมืออีกฝ่ายหวังจะให้ขึ้นไปเห็นทิวทัศน์ที่มองเห็นได้จากข้างบนด้วยกัน “มันสวยจริง ๆ นะ เราอยากให้กิ่งเห็น”


เด็กหญิงแสดงอาการลังเลเล็กน้อย จ้องมองมืออุ่นที่เกาะกุมกันไว้แน่นก่อนจะตัดสินใจเดินตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี เมื่อถึงยังดคนต้นบุ้งก็คลายมือออกก่อนจะหลีกทางให้สาวน้อยในชุดเอื้อมขึ้นไปก่อน มือเล็ก ๆ ยึดเชือกเส้นใหญ่เอาไว้แน่นก่อนจะดึงตัวเองขึ้นปืนไปตามบันไดเชือกที่ห้อยลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่ซึ่งคนงานทำเอาไว้ในขณะที่เท้าก็วางมั่นอยู่บนขั้นบันไดที่ทำจากไม้เนื้อแข็งดูแข็งแรง


“เห็นไหม ไม่น่ากลัวเลย” คนที่ปืนตามขึ้นมาติด ๆ ร้องขึ้น


เสียงนั้นทำให้เด็กหญิงอดไม่ได้ที่เหลียวกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าตนเองอยู่สูงจากพื้นพอสมควรอาการกลัวก็ผุดขึ้นในหัว มือไม้เริ่มไม่มีแรงเอาเสียดื้อ ๆ “สูงจังเลย กิ่งกลัว”


“อย่ามองลงไปนะกิ่ง หันกลับไปแล้วปืนต่อ”


กิ่งทำตามอย่างว่าง่าย มือและเท้ายังคงทำงานประสานกันไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ก้าวต่อก้าวอย่างระมัดระวัง แต่ความสูงระดับนี้ก็ทำให้กล้ามเนื้อเล็ก ๆ เกิดอาการล้าอยู่เหมือนกันจึงต้องหยุดพักเป็นระยะ มือเล็กยกขึ้นซับเหงื่อที่ไรผมก่อนจะเปลี่ยนมาเกี่ยวกำเชือกออกแรงป่ายปืนอีกครั้ง กระทั่งในที่สุดก็ใกล้ถึงจุดหมาย เพียงแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น...



“อีกนิดเดียวจะถึงแล้วนะกิ่ง”



ริมฝีปากบางแม้มแน่นในขณะที่ดวงตาจ้องเขม็งไปที่สุดปลายบันไดเชือก ใช่...มันห่างออกไปแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น แต่กำลังที่เหลือกลับทำให้ไม่สามารถคว้าเชือกเอาไว้ได้ทำให้เสียจังหวะ



เสียงกรีดร้องของกิ่งทำให้บุ้งรีบเงยหน้าขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้สาดกระทบดวงตาก็ทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวเหลือเกิน ในวินาทีนั้นแม้สมองจะสั่งให้ยึดเชือกให้มั่น แต่ในใจกลับสั่งให้เอื้อมมือคว้าร่างของอีกฝ่ายเอาไว้แม้จะต้องหล่นกระแทกพื้นหญ้าไปด้วยกันก็ตาม




มือไม้ปัดป่ายไปหาหาที่ยืด ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกหายใจหอบในขณะที่มือสองข้างยังเกาะขอบอ่างอาบน้ำแน่น เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็รู้ว่าภาพเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน


“ฝันหรอกเหรอ” ริมฝีปากแห้งฝากพึมพำกับตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าลูตา เสยผมชุ่มน้ำที่ตกลงมาปรกหน้าผาก ร่างเปลือยลุกขึ้นก่อนจะคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวม โปะผ้าขนหนูไว้บนหัวจากนั้นจึงเดินออกไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งมองหน้าตัวเองในกระจก แม้จะเป็นเพียงความฝันแต่คันธชาติก็รู้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก และมันก็ทำให้กิ่งดาวฝังใจจนเธอกลายเป็นคนกลัวความสูงนับตั้งแต่นั้น



....



กลิ่นสปาเก็ตตี้ปลาเค็มที่ลอยเตะจมูกตั้งแต่ประตูลิฟต์เปิดทำให้ธันวารู้ได้ทันทีว่าเพื่อนบ้านของตนเองได้กลับมาแล้วหลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวัน


“สงสัยวันนี้จะได้ทานสปาเก็ตตี้ปลาเค็มแสนอร่อยกันอีกแน่ ๆ เลย” หญิงสาวร่างเล็กหัวเราะพลางก้มลงคว้าถุงพลาสติกใบใหญ่ 2-3  ที่วางอยู่ใกล้ตัว


คนฟังยิ้มน้อย ๆ กดปุ่มให้ประตูลิฟต์เปิดค้างรอกระทั่งเธอลากสัมภาระออกไปเรียบร้อย จึงเดินตามออกไป


“เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่ห้องนะครับพี่แก้ว”


“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะน้องธัน ไม่ได้หนักอะไร เสื้อผ้าทั้งนั้น”


“ส่งมาเถอะครับ ผมช่วย” พูดจบชายหนุ่มก็รั้งของพะรุงพะรังในมือหญิงสาวมาถือไว้เสียเองก่อนจะเดินไปส่งเธอที่ห้องซึ่งอยู่ใกล้กับบันไดหนีไฟ


“เสื้อผ้าอะไรเหรอครับเนี่ย”


“ก็พวกชุดใส่ไปงาน กระโปรงบ้าง เสื้อใส่ทำงานน่ะจ้ะ ช่วงนี้ลูกจ้างที่ร้านทำกันไม่ทัน พี่ก็เลยเอามาช่วยเย็บ”


“นี่พี่แก้วมีร้านตัดเสื้อผ้าด้วยเหรอครับ ตอนแรกผมคิดว่าแค่ขายทางอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวเสียอีก”


“ร้านนี้พี่ทำกับเพื่อนน่ะจ้ะ ที่ขายในอินเทอร์เน็ตส่วนหนึ่งก็เอามาจากร้านด้วย แต่เพราะมีเจ้าลูกลิงสองตัวก็เลยไม่ค่อยได้แวะไปดูร้านสักเท่าไร เกรงใจเขาก็เลยขอแบ่งส่วนที่พอจะช่วยทำได้กลับมาทำที่บ้าน” เก็จแก้วกล่าวพลางแตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู
หลังจากส่งคุณแม่ลูกสองเรียบร้อยแล้วธันวาก็เดินกลับมายังห้องของตัวเอง


ดวงตาเจือแววแห่งความสงสัยจ้องมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังคงปิดสนิทก่อนจะหันกลับมาแตะคีย์การ์ดเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง ร่างสูงวางถุงใส่อาหารกล่องที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานพลางพับแขนเสื้อลวก ๆ ทอดตามองข้อสอบกองใหญ่ที่ตั้งใจจะตรวจให้เสร็จตั้งแต่หลายวันแล้วแต่ก็ไม่เสร็จเสียทีเพราะมัวแต่คิดเรื่องของใครบางคนจนไม่เป็นอันทำอะไร ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนผ่านปลายจมูก พยายามสลัดเรื่องที่ค้างคาใจจากนั้นจึงลงมือตรวจข้อสอบต่อจนลืมอาหารที่ซื้อมา



ลืมว่าเวลาผ่านไปนานเพียงไหน...



ไม่ได้สนใจเสียงกริ่งที่ดังอยู่หน้าประตู...       



คันธชาติจ้องมองประตูที่ยังคงปิดสนิท เลื่อนสายตากลับมามองจานสปาเก็ตตี้ในมือก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวกลับ แต่แล้วเสียงเปิดประตูก็ทำให้ต้องหยุด เมื่อเหลียวกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของห้อง



“มีอะไรหรือเปล่า”


“ผมเอาสปาเก็ตตี้มาให้”


“ขอบคุณนะ” ธันวากล่าวก่อนจะรับจานสปาเก็ตตี้มาถือไว้ “เข้ามาก่อนไหม”


“ว...ว่าอะไรนะ” คันธชาติถามอย่างไม่เชื่อหู


“คือ...ผมอยากให้ช่วยดูหน่อยว่าจะวางกระถางสำหรับปลูกผักยังไงดี”


“อืม ได้สิ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจนะ”


เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าของร่างสูงจึงเบี่ยงตัวหลีกทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาข้างใน ก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินตรงไปยังระเบียง


คันธชาติไม่ได้ใส่ใจจะหยุดมองสิ่งต่าง ๆ ภายในห้องเลยสักนิด ดวงตาจ้องมองไปยังระเบียงในขณะที่เท้าก็ก้าวฉับ ๆ เหมือนจะรีบ ๆ ทำภารกิจให้เสร็จ ๆ ไป ชายหนุ่มกวาดตามองพื้นที่ขนาดไม่มากก่อนจะหันกลับมามองเจ้าของห้องที่กำลังวางจานสปาเก็ตตี้ลงบนโต๊ะ


“ห้องฝั่งคุณ แดดมันแฉลบตัวตึกน่าจะบังแดดได้พอดี หรือถ้าต้นไม้โดนแดดก็คงไม่มากไม่ถึงกับต้องทำที่บังแดด แค่ทำราวสำหรับแขนไม้กระถางเล็ก ๆ ไว้บังแดดก็พอ” พูดจบก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ถือโอกาสมองสำรวจไปรอบ ๆ “อีกหน่อยปลูกผักทานเองก็คงไม่ต้องทานอาหารกล่องแล้วละมั้ง ไม่เห็นจะมีประโยชน์เลย”


“ก็มันสะดวกดีนี่นา”


“สบายคุณแต่โลกไม่สบายด้วยนะ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทำงานอย่างถือวิสาสะ เห็นกองกระดาษตรงหน้าแล้วก็อดแสดงความเห็นไม่ได้ “นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ออกข้อสอบแบบนี้ก็จะช่วยลดกระดาษ ลดการตัดต้นไม้ สมัยเรียนน่ะผมไม่ชอบเลยจริง ๆ ข้อสอบแบบนี้ ไม่รู้ทำไมอาจารย์ชอบออกกันนัก กว่าจะได้แต่ละคะแนนเล่นเอาเจ็บข้อไปหมด”


“ไม่ชอบแต่ก็จบมาด้วยปริญญาเกียรตินิยมอันดับสองไม่ใช่เหรอ แถมยังได้ทุนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดิมด้วย”


คนฟังขมวดคิ้วหันขวับจ้องหน้าเจ้าของห้องที่กำลังเดินใกล้เข้ามาก่อนจะตัดสินใจหัวเราะแก้เก้อทำกลบเกลื่อน “เหอะ เหอะ ๆ เหอะ คุณพูดอะไรของคุณน่ะ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย ไปดีกว่าคุณจะได้ทานข้าว สงสัยจะหิวจนสมองเสื่อม” พูดจบก็ลุกขึ้นแต่กลับถูกขวางเอาไว้ 


ธันวาโครงศีรษะเบา ๆ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมรับง่าย ๆ “จะรีบไปไหนล่ะครับ นายน้อยคันธชาติ ณ แสงฉาน ถ้าจะมีคนสมองเสื่อมก็คงเป็นคุณนั่นแหละที่จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร”


คนกำลังจะจนมุมเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขม็ง ไม่คิดว่าจะถูกอาจารย์มาดนิ่งตามสืบเรื่องของตัวเองเข้าบ้าง ในหัวคิดหาทางออกแต่สถานการณ์แบบนี้จะทำอย่างไรได้นอกจาก...


ยอม...




สมองเสื่อม...




“อืม ผมจะสมองเสื่อมจริง ๆ พักนี้มันงง ๆ เบลอ ๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ ส่วนคุณ คงดูละครมากไป” ชายหนุ่มข่มใจฉีกยิ้มกว้างทั้งที่รู้สึกแสบสีข้างตงิด ๆ มองนาฬิกาข้อมือแล้วพูดหน้าตาเฉย “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับห้องก่อนนะ นี่ละครหลังข่าวก็ใกล้จะมาแล้ว เดี๋ยวจะรบกวนเวลาดูละครของคุณ”



ทันทีที่ประตูปิดลงธันวาก็เดินกลับไปนั่งกุมขมับที่โซฟา คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอาตัวรอดโดยการสีข้างเข้าถูเช่นนี้ ถ้าไม่จับให้มั่นคั้นให้ตายคงไม่ยอมรับง่าย ๆ แน่ ๆ 



คันธชาติเปิดประตูพรวดกลับเข้ามาในห้องก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ในหัวเต็มไปด้วยคำถามว่าธันวารู้เรื่องของตนเองได้อย่างไร ปลายนิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะในขณะที่คิ้วก็ขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด   

....



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2014 17:39:41 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด