ตอนที่ 10 พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2))
คันธชาติเปิดประตูเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่สุดทางเดิน ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออกคนที่กำลังนั่งหันหลังให้ก็หมุนเก้าอี้กลับมาก่อนจะลุกขึ้นทักทายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงผายมือเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลง
“คุณอัศนัยมีธุระอะไรกับบุ๊งเหรอคะ”
คนฟังเลิกคิ้วหัวเราะในลำคอ “ถ้าผมจะคุยกับคุณบุ๊งนี่ต้องมีธุระด้วยเหรอครับ” ส่งสายตาหยาดเยิ้มจนคนถูกมองต้องเบือนหน้าหนี แสร้งทำเขินอายพอเป็นพิธี
“ก็คุณอัศนัยเป็นเจ้านายนี่คะ”
“แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนี่ครับ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ผมเชิญคุณมาพบ” ชายหนุ่มยกมุมปากเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “เจอกันคราวก่อนเราก็มีเวลาคุยกันแค่ไม่กี่นาที ผมอยากทำความรู้จักคุณบุ๊งให้มากกว่านี้เพราะเราคงจะต้องร่วมงานกันไปอีกนาน...”
อัศนัยยังพูดไม่ทันจบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ร่างอ้อนแอ้นของเลขาสาวแทรกตัวผ่านเข้ามาพร้อมกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ เธอส่งต่อมันให้กับชายหนุ่มที่ลุกขึ้นรอรับ และเมื่อเจ้านายพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าหมดธุระแล้วให้ออกไปได้ เธอจึงพาร่างบอบบางพ้นประตูไป
ร่างสูงที่ในมือถือดอกไม้เดินอ้อมมายืนตรงหน้าคันธชาติที่พรวดพราดลุกขึ้นแล้วจึงยื่นช่อดอกม้ให้ “ดอกไม้สำหรับสาวสวยครับ”
“ขอบคุณค่ะ คงสวยสู้บรรดาลูกสาวนักธุรกิจที่มีข่าวกับคุณอัศนัยไม่ได้หรอกค่ะ”
คำพูดเชิงตัดพ้อนั้นทำให้ริมฝีปากหยักเผยอยิ้มอีกครั้ง “พวกอ่อนแอ บอบบางอย่างนั้นน่ะไม่ใช่สเป็กผมหรอกครับ มันก็แค่การจับคู่เพื่อให้ข่าวมีสีสันเท่านั้นเอง ผมกำลังคิดว่าเราควรจะหาเวลานั่งคุยกันสักวัน”
“แต่บุ๊งคุยไม่เก่งนะคะ ให้คุยทั้งวันคงแย่” พูดพลางทอดสายตามองดอกไม้ในมือ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็เอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่นก็ได้นี่ครับ” คนพูดมองคู่สนทนาราวกลับจะกลืนกิน ความอยากรู้อยากลองในแววตาลามเลียไปจนทั่วร่าง ยิ่งเห็นแววตาไหวระริกของอีกฝ่ายก็ยิ่งชอบใจ
“ผมหมายถึง ทานข้าว ดูหนัง ฟังเพลงหรือว่าเต้นรำน่ะครับ ถ้าคุณบุ๊งไม่รังเกียจ วันเสาร์นี้ผมอยากจะเชิญคุณไปทานข้าวด้วยกัน”
คันธชาติแสร้งช้อนตามองอีกฝ่ายพร้อมกับอมยิ้ม ยอมรับอีกหนึ่งคำรบว่านอกจากนายอัศนัยคนนี้นอกจากจะมีหน้าตาผิวพรรณที่บ่งบอกว่าทั้งนี้ชีวิตนี้คงไม่เคยพบกับความลำบากชนิดพิมพ์นิยมแบบที่สาวน้อยสาวใหญ่เห็นแล้วต้องเหลียวมองแล้ว คารมก็ดีไม่แพ้กัน
...
“แล้วแกตอบเขาไปว่ายังไง”คำถามของเก่งกาจดึงสายตาของคนที่กำลังจ้องมองกุหลาบสีแดงสดที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือให้กลับมาหยุดอยู่ที่คนตรงหน้าอีกครั้ง
“เอาของกินมาล่อก็ต้องตกลงสิวะ” คันธชาติตอบอย่างไม่ยี่หระ
“ไอ้บุ้ง เอาดี ๆ แกตอบไปว่ายังไง”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเสียงเข้ม แววขี้เล่นในดวงตาก็จางหาย ชายหนุ่มขยับตัวนั่งหลังตรงก่อนจะตอบคำถาม “ฉันรับคำเชิญของเขา”
เก่งกาจถอนใจ “ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องนัดไปกินไกลขนาดนั้น”
“ไม่แปลกหรอกค่ะผู้กอง เจ๊ได้ยินว่าตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้บริหารของนาฏยกาล คุณอัศนัยเธอก็ไม่ค่อยค้าสมาคมกับใคร เพื่อนสนิทก็ห่าง ๆ กันไป ส่วนสาวแท้สาวเทียมน่ะอย่าหวังเลยว่าจะควงกันเปิดเผยให้ตกเป็นข่าว”
“นั่นแหละที่ผมหนักใจ” พูดจบกับขยี้หัวตัวเองอย่างขัดใจ “แผนจะแตกไหมวะเนี่ย”
“เอาน่า แค่ไปกินข้าวเอง” ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งไม่แพ้กัน เผลอสบตาคนนั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับแกด้วย”
“ผมด้วย” คนปกติสงวนคำพูดราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงโพล่งขึ้นจนทุกคนหันมองเข้าเป็นตาเดียว ธันวาเลิกคิ้วก่อนจะกล่าวต่อ “ไปกันหลาย ๆ คนถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันไง”
“ไปให้ยุ่งเปล่า ๆ” คันธชาติทำปากมุบมิบ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของนายตำรวจหนุ่มไปได้ เก่งกาจยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อนรักเอาไว้ก่อนจะออกแรงดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ พูดให้ได้ยินกันทั้งหมด
“ระหว่างแกกับเขาเนี่ย ฉันไว้ใจเขามากกว่าแกอีกว่ะไอ้หนอน”
“โห! อะ...ไอ้...ไอ้เกลื่อนกลาด ปากเหรอที่พูดน่ะ” คนถูกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ่งเห็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วยิ่งหงุดหงิดขึ้นเป็นทวีคูณ
...
ร้านอาหารเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่กลางซอยที่ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ภายในร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์นโดยใช้สีดำเมทัลลิกเป็นหลักแซมด้วยสีน้ำตาลไม้โอ๊คและสีทอง ประดับด้วยโคมไฟกระจกสีให้บรรยากาศขรึม ๆ เหมาะสำหรับการพูดคุยที่เป็นส่วนตัวหรือเจรจาธุรกิจ ด้วยความที่มีโต๊ะอยู่จำนวนไม่มากทำให้ภายในร้านไร้ซึ่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ หากมองจากนอกร้านจะเห็นว่าลูกค้าจะนั่งเต็มทุกโต๊ะ แท้จริงแล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าที่มุมด้านในสุดยังคงมีโต๊ะว่าง เก่งกาจเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์กีฬาที่หยิบติดมาจากโต๊ะทำงานจ้องมองป้าย ‘จอง’ ที่วางอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามซึ่งถูกกั้นด้วยฉากกระจกขุ่น เกือบสิบห้านาทีแล้วยังไร้วี่แววของเจ้าของโต๊ะ ในที่สุดตาคมกริบก็ละจากภาพตรงหน้าเมื่อร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ไอ้บุ้งล่ะครับ”
“ผมส่งเขาที่หน้าร้านแล้วก็ขับรถอ้อมไปจอดด้านหลัง เห็นคุณอัศนัยกำลังเปิดประตูลงจากรถพอดี คิดว่าอีกสักพักน่าจะเข้ามาด้วยกัน นั่นไง มากันแล้วละ”
นายตำรวจหนุ่มวางช้อนก่อนจะเอี้ยวตัวมองตามสายตาของธันวา ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังเดินตามพนักงานต้อนรับเข้ามาในร้าน เมื่อถึงโต๊ะอัศนัยก็เลื่อนเก้าอี้ให้คนที่มาด้วยกันก่อนจะเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองในฝั่งตรงกันข้าม ป้ายจองที่เคยวางเอาไว้บนโต๊ะเมื่อหลายนาทีก่อนถูกพนักงานเก็บออกไปแล้ว เก่งกาจหันกลับมามองคนที่กำลังเอาแต่จ้องคู่หนุ่มสาวนั่นตาเขม็ง พลันรอยยิ้มก็จุดขึ้นบนใบหน้า ใช้ส้อมจิ้มอาหารใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างสบายใจ ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไรเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด
“คุณ ไปจ้องเขาอย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็รู้ตัวกันพอดีหรอก”
เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาก็จำต้องลากสายตากลับมายังคนที่นั่งยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม เกือบลืมจุดประสงค์ของการมานั่งทำลับล่ออยู่ตรงนี้เสียสนิท แต่ถึงจะเตือนอีกฝ่ายเช่นนั้นเก่งกาจก็ยังคงลอบมองเป้าหมายเป็นระยะกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ พนักงานเดินยกถาดอาหารผ่านไป เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีเขาก็พบว่าที่โต๊ะเยื้องกันมีเพียงคันธชาติเท่านั้นที่นั่งอยู่
“เดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบนายตำรวจหุ่นล่ำก็คว้าหมวกแก๊ปก่อนจะลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะไป
ใบหน้าคมที่ถูกปิดบังบางส่วนด้วยหมวกแก๊ปค่อย ๆ เงยขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจก นัยน์ตาสีดำสนิทยากจะคาดเดา ลอบสำรวจชายหนุ่มผิวขาวเขากำลังยืนอ่านข้อความในโทรศัพท์ เขาสวมกางเกงสีเข้มคาดด้วยเข็มขัดเส้นเล็กสีเดียวกันกับรองเท้า เสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวยิ่งช่วยเน้นสัดส่วนชวนมอง เก่งกาจเอื้อมเปิดก๊อกน้ำช้า ๆ ราวกับจะถ่วงเวลาในขณะที่ดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่เดิม อัศนัยไม่ได้มาทำธุระส่วนตัวแต่กลับมายืนพิมพ์ข้อความโต้ตอบกับใครอีกคนหนึ่ง แม้แฟ้มประวัติจะระบุข้อมูลอายุที่มากกว่ากันอยู่หลายปี แต่นายตำรวจหนุ่มก็ยอมรับว่าอัศนัยคนนี้เป็นชายหนุ่มวัยทำงานที่ดูอ่อนกว่าวัยและแต่งตัวค่อนข้างจัด ทั้งผมเผ้าและเสื้อผ้าดูแล้วเหมือนกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชันเกาหลีไม่มีผิด
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เก่งกาจต้องรีบกดตาลงต่ำ จ้องมองสายน้ำที่กำลังไหลผ่านมือซึ่งเต็มไปด้วยฟองสบู่ อัศนัยกดรับก่อนจะสนทนากับคนที่โทรมาด้วยเสียงเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าคนที่ปลายสายจะถามถึงตำแหน่งที่อยู่ของเขาในเวลานี้ นั่นเพราะประโยคที่เขาตอบกลับที่ว่า ‘ผมอยู่บ้านแล้วกำลังจะพาคุณพ่อขึ้นนอน’ นั่นเอง ครู่หนึ่งเจ้าของร่างสูงโปร่งก็เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าแล้วเดินมายืนเคียงข้าง ตาคมกริบเหลือบมองคนที่กำลังบรรจงถูสบู่จนมือแทบเปื่อยก่อนที่จะหันไปสนใจเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก หลังจากจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าจนเข้าที่แล้วเขาก็เดินออกจากห้องน้ำไปทันที
คันธชาติสบตาร่างบึกบึนสวมหมวกแก๊ปที่เดินตามหลังชายหนุ่มที่มากับเธอขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไป เพียงเสี้ยววินาทีก็เบนความสนใจมาที่อีกคนที่กำลังนั่งลงตรงหน้าแทน
“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ ไปเข้าห้องน้ำแล้วพอดีคนที่ออฟฟิศโทรมา เลยคุยนานไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มน้อย ๆ “จริง ๆ คุณไม่น่าลำบากเลยค่ะ”
“ได้ยังไงล่ะครับ ก็ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมอยากคุยกับคุณ”
นัยน์ตาคมจ้องมองดวงตาคู่งามจนอีกฝ่ายต้องหลุบตาลงต่ำ
“ถ้าอย่างนั้นเราลงมือทานกันเลยก็แล้วกันนะครับ หรือถ้าคุณบุ๊งอยากได้อะไรเพิ่มก็สั่งได้ตามสบายนะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง ถือว่าต้อนรับผู้ร่วมงานคนใหม่ ทานเยอะ ๆ นะครับ เพราะคุณคงต้องเหนื่อยกับงานของผมอีกเยอะเลย” ริมฝีปากได้รูปเผยอยิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบที่ใคร ๆ ในนาฏยการต่างก็พากันคลั่งไคล้
ที่อีกฟากหนึ่ง...
“เป็นยังไงบ้างครับผู้กอง” ธันวาเอ่ยปากถามให้คนที่เพิ่งเดินกลับมานั่ง จ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังถอดหมวกวางมันลงบนโต๊ะ
“ล้างมือจนมือจะเปื่อยแล้วยังไม่ได้อะไรเลย นอกจาก...” นายตำรวจหนุ่มบ่นพลางบ่นชะเง้อมองสองหนุ่มสาวที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส
“นอกจากอะไรครับ”
“นอกจากรู้ว่าเขาโกหกใครสักคนเรื่องสถานที่อยู่ในวันนี้”
คิ้วของธันวาขมวดเข้าทันทีเมื่อได้ฟัง “เขาจะโกหกทำไมกัน”
“ก็นั่นน่ะสิ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กับแค่มาทานข้าวกับสาว” เก่งกาจว่าพลางถูคางตัวเองอย่างใช้ความคิด “อืม...”
“มีอะไรเหรอครับ”
“ผมกำลังคิดว่าถ้าผมมาทานข้าวกับสาว ผมจะโกหกใครบ้าง”
“คนคนนั้นก็คงเป็นคนที่มีความสำคัญ มีอิทธิพลต่อตัวผู้กองหรืออาจจะเป็นคนที่ผู้กองต้องเกรงใจ”
คนฟังพนักหน้าสนับสนุนคำพูดนั้น “ถ้าไม่ใช่แฟนก็...เมีย” พูดจบก็หัวเราะออกมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“นั่นบุ้งลุกออกไปแล้ว” ธันวากล่าวพลางมองตามร่างหญิงสาวที่กำลังเดินห่างออกไป
“สงสัยไปเข้าห้องน้ำน่ะ” เก่งกาจขณะตักอาหารเข้าปาก กำลังเคี้ยวอยู่ดี ๆ ก็หยุดลงเสียดื้อ ๆ รีบคว้าแก้วน้ำขึ้นกระดกก่อนจะจ้องเขม็งไปยังร่างของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มหรี่ตาลงมองภาพในหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งถูกปรับเป็นโหมดกล้องที่อีกฝ่ายกำลังยกขึ้น
...เขากำลังถ่ายภาพของอัศนัย ต้องใช่แน่ ๆ
“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กอง”
เก่งกาจดึงสายตากลับมาที่เพื่อนร่วมโต๊ะก่อนจะกล่าว “ผมว่าวันนี้คงไม่ได้มีแค่เราที่ตามดูสองคนนั่น”
“หมายความว่ายังไงครับ” ธันวากล่าวด้วยน้ำเสียงติดกังวลแต่ก็ยังคงรักษาความนิ่งขรึมเป็นปกติ
“ผู้ชายโต๊ะถัดไปนั่นไง ทั้ง ๆ ที่มาร้านอาหารแต่ตั้งแต่มาถึงผมยังไม่เห็นเขาแตะเมนูเลยสักนิด เอาแต่มองหน้าจอโทรศัพท์แล้วเมื่อกี้ก็ถ่ายรูปคุณอัศนัยกับไอ้บุ้ง”
“แล้วเราจะเอายังไงต่อกันดีครับ จะให้ผมไปเตือนบุ้งไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ รอดูกันอีกสักพักดีกว่า”
“แต่ว่า...”
เก่งกาจจ้องคนตรงหน้าก่อนที่ริมฝีปากได้รูปเหยียดจะเหยียดออกเป็นรอยยิ้มชวนสงสัย
“ผู้กองยิ้มอะไรครับ” ธันวากล่าวพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแก้เก้อ
“ผมกำลังคิดว่าอาจารย์ดูจะเป็นห่วงเป็นไยไอ้บุ้งเกินเพื่อนอย่างผมเสียอีก นี่ถ้ามันเป็นผู้หญิงจริง ๆ ผมคงคิดว่าอาจารย์ธันวากำลังสนใจเพื่อนผมอยู่”
“แค่ก! แค่ก ๆๆ” ถึงกับสำลักน้ำ ชายหนุ่มเงยหน้ามองอีกฝ่าย ใช้หลังมือซับน้ำที่ปลายจมูก “ผมก็แค่...”
“เอาละครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก” พูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงเพราะข้อความเข้าขึ้นมาดู พลันรอยยิ้มปริศนาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ผมคิดว่าไอ้หนอนมันเอาตัวรอดได้ เดี๋ยวผมขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยดีกว่า อยู่ในนี้มันอึดอัด”
ธันวามองเจ้าของร่างบึกที่กำลังลุกขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเขาคิดอะไรจะทำอะไรกันแน่จนกระทั่ง...
เพล้ง!!!
“เฮ้ย!!!”
“ว้าย!!!”
“ขอโทษครับ ๆ” เก่งกาจยันตัวลุกขึ้นจากพื้น พนักงานสาวที่เขาเพิ่งเดินชนจนถาดใส่แก้วน้ำที่ถือเธอมาเทกระกระจาดวางถาดลงก่อนจะกุลีกุจอเข้าไปช่วยประคองให้เขาลุกขึ้น
“ขอโทษจริง ๆ ครับ พอดีผมหน้ามืด นี่ว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย” ชายหนุ่มละล่ำละลักก่อนจะหันไปขอโทษคนท่าทางแปลก ๆ ที่ตอนนี้เหนียวเหนอะหนะเพราะน้ำหวานที่หกรดกำลังไหลจากไหล่กว้างลงไปถึงแผ่นหลัง
“ขอโทษด้วยครับพี่”
“ไม่เป็นไรครับ” ชายแปลกหน้าตอบห้วน ๆ แต่ดวงตาขุ่น ๆ กลับบอกว่าในใจของเขาคงไม่ได้คิดอย่างที่ปากพูดออกมาแน่
“ลูกค้าไปล้างเนื้อล้างตัวหลังร้านก่อนดีไหมคะ” พนักงานสาวสวยยังคงทำหน้าที่ของเธอด้วยจิตบริการ
“ครับ” เขากล่าวก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินอาด ๆ หายเข้าไปที่หลังร้าน
“ส่วนคุณพี่ท่านนี้ จะออกไปสูดอากาศข้างนอกไหมคะ ดิฉันจะช่วยประคองออกไป”
เก่งกาจมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปหลังร้านอย่างรวดเร็วก่อนจะหันมายิ้มให้พนักงานสาว “ผมเดินไปเองได้ครับ ดีขึ้นแล้ว ยังไงช่วยเช็กบิลเลยก็แล้วกันเพื่อนผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ”
“อะ...ค่ะ” เธอตอบก่อนจะปล่อยมือจากลำแขนกล้ามเป็นมัด จัดการเก็บกวาดแก้วน้ำที่แตกกระจายกลิ้งอยู่กับพื้นเท่าที่จะเก็บได้ก่อนจะเดินไปแจ้งที่เคาน์เตอร์
จังหวะนั้นนายตำรวจหนุ่มก็หมุนตัวกลับเตรียมจะเดินออกไปทำตามอย่างที่ว่า ไม่ลืมหันไปส่งสายตาให้เจ้าของหน้าสวยที่นั่งอยู่ไกลออกไป ไม่รู้ว่าเธอกลับมานั่งตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร แต่มั่นใจว่าชายแปลกหน้าคนนั้นก็ไม่ทันได้สังเกตเหมือนกัน
“ขอบคุณมากนะคะสำหรับอาหารวันนี้” คันธชาติเอ่ยขึ้นหลังจากพนักงานนำบัตรเครดิตมาคืนให้กับชายหนุ่มที่วันนี้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ
“ไม่เป็นไรครับ” อัศนัยตอบด้วยรอยยิ้ม “ผมหวังว่าจะมีครั้งหน้า”
“อุ้ย...บุ๊งเกรงใจค่ะ”
“อย่าเกรงใจไปเลยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าให้บุ๊งเลี้ยงคุณอัศนัยบ้างนะคะ”
“ได้สิครับ ถ้าคุณบุ๊งต้องการแบบนั้น”
“ค่ะ เดี๋ยวบุ๊งจะพาไปทานตำปูปลาร้ารสแซบจี๊ดจ๊าดถึงใจค่ะ”
คนฟังชะงักเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะขื่น ๆ “ฟังดูไม่เลวนะครับ ผมเองก็ไม่ชอบอะไรจืดชืด”
คันชาติช้อนตามองหน้าคมที่กำลังส่งสายตาวิบวับมาให้ แสร้งทำเขินอายราวกับเด็กรุ่น ๆ
“ห่านเอ๊ย!” ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง
“คุณบุ๊งว่าอะไรนะครับ”
“อ...อ้อ...บุ๊งบอกว่า...”
‘ว่าอะไรวะ คิดอะไรไม่ออก’
ยังไม่ทันได้คิดต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังช่วยชีวิต “อุ๊ย! เพื่อนโทรมา ขอรับโทรศัพท์ก่อนะคะ” พูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “หั่นโหลลลลลลลล”
“จะหั่นทำไมวะโหลน่ะ แกจะคุยกันอีกนานไหม จะรอให้ไอ้นักสืบนั่นมันออกมาหรือไง”
“รู้แล้ว ๆ ฉันก็กำลังจะออกจากร้านแล้วแก” มองไปที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเห็นว่ายังเหลือคนนั่งอยู่อีกคน “แกมารับได้เลย” เน้นเสียงตรงประโยคสุดท้ายพลางลอบมองชายหนุ่มมาดนิ่งที่ลุกจากโต๊ะเดินออกไปนอกร้านจากนั้นจึงกดวางสาย
“คิดว่าวันนี้จะได้ไปส่งคุณบุ๊งเสียอีก” อัศนัยกล่าวขณะที่ทั้งคู่พากันเดินออกมาจากร้าน
“แค่นี้บุ๊ก็เกรงใจคุณจะแย่แล้วค่ะ อีกอย่างบุ๊งนัดกับเพื่อนเอาไว้แล้วด้วย”
“เพื่อนหรือว่าคนพิเศษครับ”
“แหม...เพื่อนสิคะ” คันธชาติหัวเราะคิก “อย่างบุ๊งจะมีใครมาจริงใจด้วย”
“ก็ไม่แน่นะครับ อาจจะอยู่แถวนี้...ก็ได้” อัศนัยเน้นคำว่า ‘แถวนี้’ พลางส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ เล่นเอาคนฟังต้องเบนหน้าไปทางอื่นด้วยความขวยเขิน
“คุณอัศนัยนี่มีอารมณ์ขันนะคะ”
“อารมณ์อย่างอื่นก็มีนะครับ”
“คะ?” คันธชาติหันขวับ
“ผมหมายถึงอารมณ์รักน่ะครับ” พูดจบก็หัวเราะในลำคอ
บุ๊งบุ่งที่วันนี้โดนตอดตัวพรุนก็พลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย
...หัวเราะขื่น ๆ...
อัศนัยจ้องมองแลนด์โรเวอร์สีขาวที่กำลังเคลื่อนหายไปในความมืดปะปนไปกับยวดยานจำนวนมากบนท้องถนน พยายามจะมองหน้าคนขับให้ชัด ๆ แต่ฟิล์มติดรถยนต์นั้นก็ทึบเกินกว่าจะมองเห็น ร่างสูงวางความสงสัยเอาไว้ตรงนั้นก่อนเดินไปที่รถ ทันทีที่สอดตัวเข้าไปนั่งเรียบร้อย เขาก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากคนคนเดียวนับสิบสาย และในตอนนี้มันก็สั่นขึ้นอีก ชายหนุ่มถอนใจเฮือกพร้อมกับทิ้งมันลงบนเบาะข้าง ๆ อย่างไม่แยแสแม้ที่หน้าจอดิจิทัลจะปรากฏชื่อ ‘อัญชลิสา’ ก็ตาม
...
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านมาได้ไม่นานผู้ร่วมขบวนการก็จำต้องนัดรวมตัวกันอีกครั้ง เนื่องจากพุฒพงศ์บอกคันธชาติว่าเธอถูกเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบแต่งงานเสี่ยอนันต์กับคุณนายใหญ่แห่งบ้านนาฏยกาลรวมถึงวันคล้ายวันก่อตั้งโรงละครที่จะจัดขึ้นในปลายสัปดาห์หน้า มันจะดูเป็นเรื่องธรรมดาหากเจ้านายของเธอไม่กำชับว่าให้พาผู้ช่วยของเธอไปด้วยให้ได้ และที่สำคัญมันเป็นงานเลี้ยงเต้นรำ
“เต้นรำ! จะบ้าเหรอเจ๊ ไอ้บุ้งมันเต้นรำเป็นที่ไหน รำวงหรือเซิ้งกระติบละว่าไปอย่าง” เก่งกาจกล่าวอย่างหงุดหงิด “นี่เต้นรำ พอดีแผนแตก”
“วันนี้เขาก็กำชับมาอีกรอบว่าให้พาบุ่งบุ๊งไปด้วยให้ได้นะคะ เจ๊ก็ไม่รู้จะเลี่ยงยังไงเลยรับปากไป”
“จะบ้าตาย ทำไมต้องเต้นรำด้วย” นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับทึ้งหัวตัวเองพลางมองเพื่อนรักที่ยังคงสงบปากสงบคำพอ ๆ กับธันวาที่นั่งห่างออกไปแต่นัยน์ตานั้นกลับแสดงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เจ๊ก็ไม่รู้ค่ะ แต่ได้ยินมาว่างานเลี้ยงเต้นรำนี้จัดทุกปี จะเชิญแต่เฉพาะญาติ ๆ หรือเพื่อนฝูงคนสนิทในวงธุรกิจเท่านั้น” พุฒิพงศ์กล่าว
“เพราะคุณพ่อกับคุณนายใหญ่พบรักกันในงานเต้นรำค่ะ” อารตีเอ่ยขึ้น
“ชื่องานก็ล้อไปตามจังหวะเพลงที่ถูกกำหนดขึ้นซึ่งก็จะวนไปเรื่อย ๆ อย่างปีนี้เพลงที่เป็นธีมของงานก็จะเป็นจังหวะวอลซ์” พุฒิพงศ์เสริม
“ยิ่งไม่น่าห่วงเลยค่ะผู้กอง ฝึกเอาแป๊บเดียวก็น่าจะได้ พี่บุ้งหัวไวจะตายไป คู่ฝึกก็มี” พูดจบอารตีก็สบตาหนุ่ม ๆ ทีละคน
“ไม่ใช่ผมแน่” เก่งกาจชิงปฏิเสธก่อน
คำพูดของทั้งอารตีและเก่งกาจทำให้ธันวารู้สึกว่าตนเองเหมือนอาสาสมัครที่ถูกถีบออกจากแถว ยังไม่ได้เอ่ยปากเสนอตัวเลยนักนิด แต่กลับเป็นเขาโดยปริยาย
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นอาจารย์แล้วละค่ะ”
“แต่ว่า...”
“อย่าบอกว่าอาจารย์เต้นรำไม่เป็นนะคะ รตีไม่เชื่อเด็ดขาด รตีเห็นนะเมื่อวันปัจฉิมนิเทศนักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์เมื่อปีที่แล้วน่ะ ท่านรองคณบดียังให้เกียรติเต้นรำเปิดฟลอร์อยู่เลย”
ยากจะปฏิเสธ...ธันวาได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ ให้คนรู้ทัน
“คุยกันอยู่ 2-3 คนเนี่ย หันมาถามกันสักคำไหม” คันธชาติที่ยังอยู่ในคราบของบุ๊งเอ่ยขึ้น
“แต่นี่จะเป็นโอกาสที่จะได้เข้าใกล้คนบ้านใหญ่นะคะพี่บุ้ง”
คนหน้ามุ่ยถอนใจพลางเท้าคางใช้ความคิด ปลายนิ้วเคาะลงกับโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะยืดตัวขึ้นอีกครั้ง “ก็ได้ ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มกันเลยดีกว่านะคะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา” อารตียิ้มก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับรั้งมือเขาขึ้นมา “เดี๋ยวครูรตีจะสอนน้องบุ้งเองนะคะ”
“พูดยังกับพี่เป็นเด็ก ๆ ที่โรงเรียนของรตีอย่างนั้นแหละ” คันธชาติบ่นอุบแต่ก็ยอมเดินตามเธอมาที่กลางห้องแต่โดยดี
“วันนี้เริ่มจากพื้นฐานก่อนก็แล้วกัน” พูดจบเจ้าของรางเพรียวที่ผันตัวมาเป็นครูสอนการแสดงก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยมีชายหนุ่มร่างสูงก้าวผิด ๆ ถูก ๆ เลียนแบบ ...
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม ลากเท้ามาชิดค่ะพี่บุ้ง”
“สี่”
“ห้า”
“หก ลากเท้าชิดค่ะ”
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
“สี่”
“ห้า”
“หก”
“สี่”
“ห้า”
“หก”
ได้ยินแบบนี้อยู่ตลอดบ่าย...
“เอาละค่ะ ทีนี้ลองเข้าคู่ดูบ้าง คุณผู้ชายเชิญทางนี้ค่ะ”
ได้ยินดังนั้นธันวาก็เดินเนิบ ๆ มาหยุดตรงหน้าคนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน ก่อนจะตั้งท่ามาตรฐาน
“ทีนี้พี่บุ้งก็ต้องวางมือขวาบนมือของอาจารย์ค่ะ ส่วนมือซ้ายวางตรงต้นแขนแบบนี้” พูดจบหญิงสาวก็จัดตำแหน่งท่าทางให้เสร็จสรรพ
“เฮ้ย!” คันชาติโวยวายเมื่อมือของอีกฝ่ายสัมผัสเข้าที่แผ่นหลัง “ต้องใกล้ขนาดนี้เลยเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิคะน้องบุ้ง น้องบุ้งไม่เคยดูในละครเหรอคะ” พุฒิพงศ์กล่าว
คนฟังมุ่นคิ้วก่อนจะเบนสายตามายังคนที่อยู่ห่างกันไม่ถึงช่วงแขน ‘นี่ก็ไม่เอะอะอะไรเลยสักนิด’ ชายหนุ่มถอนใจก่อนที่ต่างคนจะต่างเบือนหน้าไปคนละทาง จากนั้นเสียงนับจังหวะก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
...สลับกับเสียงขอโทษขอโพยของคนที่ซุ่มซ่ามหยียบเท้าคนอื่น...
“ผมขอโทษ คุณเจ็บหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร เต้นต่อเถอะ” ธันวากล่าวหน้านิ่ง
“เจ็บก็บอกว่าเจ็บ”
“ก็มันไม่เจ็บจริง ๆ ถ้าเจ็บแล้วผมจะบอก”
คันธชาติจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างขัดใจก่อนจะเบนสายตาหนีในที่สุด
ราวกับเวลาผ่านไปนานแสนนาน...
และเมื่อเสียงเพลงที่ขับร้องโดยวงสุนทราภรณ์ดังขึ้น ร่างของคันธชาติก็เหมือนถูกพาให้หมุนล่องลอยไปในอากาศ...
ฉันชื่นใจเมื่อได้เห็น
หัวใจเต้น
เพราะได้เห็นดวงหน้า
เฝ้าแต่มอง
มิคลายสายตา
ชื่นหนักหนา ชักพาสุขฤทัย...หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก...ริมฝีปากบางยังคงนับช้า ๆ ไม่รู้เลยว่าจังหวะหัวใจของใครบางคนเต้นนำไปไกลแล้ว...
“น่ารักเนอะ” กะเทยร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังเอามือประสานกันที่หน้าอกเอ่ยขึ้น
ทั้งอารตีและเก่งกาจต่างก็เดินเข้าไปยืนขนาบข้างจ้องมองภาพนั้นด้วยกัน อารตีเกาะเอวอวบหลวม ๆ จ้องมองร่างของสองหนุ่มสาวที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามทำนองเพลง พริ้วไหวต่อเนื่องท่ามกลางลำแสงอุ่น ๆ ของดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้ดูคล้ายผลส้มผลใหญ่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า
...ราวกับภาพในความฝัน...
หลังจากส่งทุกคนกลับหมดแล้วก็เป็นคราวที่เพื่อนบ้านจะต้องกลับห้องของตนเองบ้าง
“ผมกลับก่อนนะ”
“ขอบคุณมากที่ช่วย” คันธชาติพูดกับคนที่กำลังจะเปิดประตูออกจากห้อง
“ไม่เป็นไร ก็หลวมตัวมาขนาดนี้แล้วนี่”
“เพิ่งรู้ว่าพูดประชดเป็นด้วย ทีอยู่ต่อหน้าคนอื่นเห็นปิดปากเงียบยังกับกลัวดอกพอกุลจะร่วง”
คนถูกเหน็บไม่คิดจะต่อปากต่อคำ เขายิ้มบางเบาอย่างเคยก่อนจะเอ่ยคำลาอีกครั้ง และเมื่อประตูปิดลง เจ้าของห้องก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา จัดการถอดวิกผมออกวางบนโต๊ะ เช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองด้วยแผ่นทำความสะอาดพร้อมกับคิดถึงคำพูดของเก่งกาจที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวกลับ
‘ฉันว่าเขาต้องชอบแกแน่ ๆ เลยว่ะไอ้หนอน’
“บ้าเอ๊ย ชอบบ้าอะไรกันวะ” คันธชาติบ่นงึมงำพร้อมกับออกแรงกดแผ่นทำความสะอาดเครื่องสำอางบนใบหน้า แรง...เสียจนหน้าแดงไปหมด
(มีต่อค่ะ)