หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178445 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อัศนัยรุกหนักเลย หวังว่าบุ่งบุ๊งจะเอาตัวรอดได้นะ
ดร.ธันวาน่าจะสั่งสอนคนขี้แกล้งให้เข็ดหลาบนะคะ จูบซักทีคงหายซ่า

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
อัยยะ แอบใจเต้นรัวตามเบาๆเลยอ่ะ ตอนที่บุ้งโดนอาจารย์แกล้ง
ยังไงเนี่ยคุณอัศนัย สนใจบุ้งแล้วใช่มั้ยคะ น้องบุ้งจะโดนไรมั้ยเนี่ย
แล้วจะโดนจับได้มั้ย ต้องรอตอนต่อไปสินะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ่านแล้วลุ้นระทึกเลยค่ะ  :katai4:
รอตอนต่อไปป

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
อ่านไปเหมือนได้ดูละครดีๆๆสักเรื่องหนึ่งเลย
ชอบบุคคลิกของตัวละคร และการดำเนินเรื่อง o13

ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 10 พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2))




คันธชาติเปิดประตูเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่สุดทางเดิน ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออกคนที่กำลังนั่งหันหลังให้ก็หมุนเก้าอี้กลับมาก่อนจะลุกขึ้นทักทายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงผายมือเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลง   


“คุณอัศนัยมีธุระอะไรกับบุ๊งเหรอคะ”


คนฟังเลิกคิ้วหัวเราะในลำคอ “ถ้าผมจะคุยกับคุณบุ๊งนี่ต้องมีธุระด้วยเหรอครับ” ส่งสายตาหยาดเยิ้มจนคนถูกมองต้องเบือนหน้าหนี แสร้งทำเขินอายพอเป็นพิธี


“ก็คุณอัศนัยเป็นเจ้านายนี่คะ”


“แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนี่ครับ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ผมเชิญคุณมาพบ” ชายหนุ่มยกมุมปากเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “เจอกันคราวก่อนเราก็มีเวลาคุยกันแค่ไม่กี่นาที ผมอยากทำความรู้จักคุณบุ๊งให้มากกว่านี้เพราะเราคงจะต้องร่วมงานกันไปอีกนาน...”


อัศนัยยังพูดไม่ทันจบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ร่างอ้อนแอ้นของเลขาสาวแทรกตัวผ่านเข้ามาพร้อมกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ เธอส่งต่อมันให้กับชายหนุ่มที่ลุกขึ้นรอรับ และเมื่อเจ้านายพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าหมดธุระแล้วให้ออกไปได้ เธอจึงพาร่างบอบบางพ้นประตูไป


ร่างสูงที่ในมือถือดอกไม้เดินอ้อมมายืนตรงหน้าคันธชาติที่พรวดพราดลุกขึ้นแล้วจึงยื่นช่อดอกม้ให้ “ดอกไม้สำหรับสาวสวยครับ”

 
“ขอบคุณค่ะ คงสวยสู้บรรดาลูกสาวนักธุรกิจที่มีข่าวกับคุณอัศนัยไม่ได้หรอกค่ะ”


คำพูดเชิงตัดพ้อนั้นทำให้ริมฝีปากหยักเผยอยิ้มอีกครั้ง “พวกอ่อนแอ บอบบางอย่างนั้นน่ะไม่ใช่สเป็กผมหรอกครับ มันก็แค่การจับคู่เพื่อให้ข่าวมีสีสันเท่านั้นเอง  ผมกำลังคิดว่าเราควรจะหาเวลานั่งคุยกันสักวัน”


“แต่บุ๊งคุยไม่เก่งนะคะ ให้คุยทั้งวันคงแย่” พูดพลางทอดสายตามองดอกไม้ในมือ


“ถ้าอย่างนั้นเราก็เอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่นก็ได้นี่ครับ” คนพูดมองคู่สนทนาราวกลับจะกลืนกิน ความอยากรู้อยากลองในแววตาลามเลียไปจนทั่วร่าง ยิ่งเห็นแววตาไหวระริกของอีกฝ่ายก็ยิ่งชอบใจ


“ผมหมายถึง ทานข้าว ดูหนัง ฟังเพลงหรือว่าเต้นรำน่ะครับ ถ้าคุณบุ๊งไม่รังเกียจ วันเสาร์นี้ผมอยากจะเชิญคุณไปทานข้าวด้วยกัน”


คันธชาติแสร้งช้อนตามองอีกฝ่ายพร้อมกับอมยิ้ม ยอมรับอีกหนึ่งคำรบว่านอกจากนายอัศนัยคนนี้นอกจากจะมีหน้าตาผิวพรรณที่บ่งบอกว่าทั้งนี้ชีวิตนี้คงไม่เคยพบกับความลำบากชนิดพิมพ์นิยมแบบที่สาวน้อยสาวใหญ่เห็นแล้วต้องเหลียวมองแล้ว คารมก็ดีไม่แพ้กัน


...



“แล้วแกตอบเขาไปว่ายังไง”



คำถามของเก่งกาจดึงสายตาของคนที่กำลังจ้องมองกุหลาบสีแดงสดที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือให้กลับมาหยุดอยู่ที่คนตรงหน้าอีกครั้ง


“เอาของกินมาล่อก็ต้องตกลงสิวะ” คันธชาติตอบอย่างไม่ยี่หระ


“ไอ้บุ้ง เอาดี ๆ แกตอบไปว่ายังไง”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเสียงเข้ม แววขี้เล่นในดวงตาก็จางหาย ชายหนุ่มขยับตัวนั่งหลังตรงก่อนจะตอบคำถาม “ฉันรับคำเชิญของเขา”


เก่งกาจถอนใจ “ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องนัดไปกินไกลขนาดนั้น”


“ไม่แปลกหรอกค่ะผู้กอง เจ๊ได้ยินว่าตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้บริหารของนาฏยกาล คุณอัศนัยเธอก็ไม่ค่อยค้าสมาคมกับใคร เพื่อนสนิทก็ห่าง ๆ กันไป ส่วนสาวแท้สาวเทียมน่ะอย่าหวังเลยว่าจะควงกันเปิดเผยให้ตกเป็นข่าว”


“นั่นแหละที่ผมหนักใจ” พูดจบกับขยี้หัวตัวเองอย่างขัดใจ “แผนจะแตกไหมวะเนี่ย” 


“เอาน่า แค่ไปกินข้าวเอง” ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งไม่แพ้กัน เผลอสบตาคนนั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง


“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับแกด้วย”


“ผมด้วย” คนปกติสงวนคำพูดราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงโพล่งขึ้นจนทุกคนหันมองเข้าเป็นตาเดียว ธันวาเลิกคิ้วก่อนจะกล่าวต่อ “ไปกันหลาย ๆ คนถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันไง”


“ไปให้ยุ่งเปล่า ๆ” คันธชาติทำปากมุบมิบ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของนายตำรวจหนุ่มไปได้ เก่งกาจยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อนรักเอาไว้ก่อนจะออกแรงดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ พูดให้ได้ยินกันทั้งหมด


“ระหว่างแกกับเขาเนี่ย ฉันไว้ใจเขามากกว่าแกอีกว่ะไอ้หนอน”


“โห! อะ...ไอ้...ไอ้เกลื่อนกลาด ปากเหรอที่พูดน่ะ” คนถูกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ่งเห็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วยิ่งหงุดหงิดขึ้นเป็นทวีคูณ


...

 
ร้านอาหารเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่กลางซอยที่ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ภายในร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์นโดยใช้สีดำเมทัลลิกเป็นหลักแซมด้วยสีน้ำตาลไม้โอ๊คและสีทอง ประดับด้วยโคมไฟกระจกสีให้บรรยากาศขรึม ๆ เหมาะสำหรับการพูดคุยที่เป็นส่วนตัวหรือเจรจาธุรกิจ ด้วยความที่มีโต๊ะอยู่จำนวนไม่มากทำให้ภายในร้านไร้ซึ่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ หากมองจากนอกร้านจะเห็นว่าลูกค้าจะนั่งเต็มทุกโต๊ะ แท้จริงแล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าที่มุมด้านในสุดยังคงมีโต๊ะว่าง เก่งกาจเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์กีฬาที่หยิบติดมาจากโต๊ะทำงานจ้องมองป้าย ‘จอง’ ที่วางอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามซึ่งถูกกั้นด้วยฉากกระจกขุ่น เกือบสิบห้านาทีแล้วยังไร้วี่แววของเจ้าของโต๊ะ ในที่สุดตาคมกริบก็ละจากภาพตรงหน้าเมื่อร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


“ไอ้บุ้งล่ะครับ”


“ผมส่งเขาที่หน้าร้านแล้วก็ขับรถอ้อมไปจอดด้านหลัง เห็นคุณอัศนัยกำลังเปิดประตูลงจากรถพอดี คิดว่าอีกสักพักน่าจะเข้ามาด้วยกัน นั่นไง มากันแล้วละ”


นายตำรวจหนุ่มวางช้อนก่อนจะเอี้ยวตัวมองตามสายตาของธันวา ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังเดินตามพนักงานต้อนรับเข้ามาในร้าน เมื่อถึงโต๊ะอัศนัยก็เลื่อนเก้าอี้ให้คนที่มาด้วยกันก่อนจะเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองในฝั่งตรงกันข้าม ป้ายจองที่เคยวางเอาไว้บนโต๊ะเมื่อหลายนาทีก่อนถูกพนักงานเก็บออกไปแล้ว เก่งกาจหันกลับมามองคนที่กำลังเอาแต่จ้องคู่หนุ่มสาวนั่นตาเขม็ง พลันรอยยิ้มก็จุดขึ้นบนใบหน้า ใช้ส้อมจิ้มอาหารใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างสบายใจ ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไรเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด


 “คุณ ไปจ้องเขาอย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็รู้ตัวกันพอดีหรอก”


เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาก็จำต้องลากสายตากลับมายังคนที่นั่งยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม เกือบลืมจุดประสงค์ของการมานั่งทำลับล่ออยู่ตรงนี้เสียสนิท แต่ถึงจะเตือนอีกฝ่ายเช่นนั้นเก่งกาจก็ยังคงลอบมองเป้าหมายเป็นระยะกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ พนักงานเดินยกถาดอาหารผ่านไป เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีเขาก็พบว่าที่โต๊ะเยื้องกันมีเพียงคันธชาติเท่านั้นที่นั่งอยู่


“เดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบนายตำรวจหุ่นล่ำก็คว้าหมวกแก๊ปก่อนจะลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะไป



ใบหน้าคมที่ถูกปิดบังบางส่วนด้วยหมวกแก๊ปค่อย ๆ เงยขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจก นัยน์ตาสีดำสนิทยากจะคาดเดา ลอบสำรวจชายหนุ่มผิวขาวเขากำลังยืนอ่านข้อความในโทรศัพท์ เขาสวมกางเกงสีเข้มคาดด้วยเข็มขัดเส้นเล็กสีเดียวกันกับรองเท้า เสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวยิ่งช่วยเน้นสัดส่วนชวนมอง เก่งกาจเอื้อมเปิดก๊อกน้ำช้า ๆ ราวกับจะถ่วงเวลาในขณะที่ดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่เดิม อัศนัยไม่ได้มาทำธุระส่วนตัวแต่กลับมายืนพิมพ์ข้อความโต้ตอบกับใครอีกคนหนึ่ง แม้แฟ้มประวัติจะระบุข้อมูลอายุที่มากกว่ากันอยู่หลายปี แต่นายตำรวจหนุ่มก็ยอมรับว่าอัศนัยคนนี้เป็นชายหนุ่มวัยทำงานที่ดูอ่อนกว่าวัยและแต่งตัวค่อนข้างจัด ทั้งผมเผ้าและเสื้อผ้าดูแล้วเหมือนกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชันเกาหลีไม่มีผิด


เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เก่งกาจต้องรีบกดตาลงต่ำ จ้องมองสายน้ำที่กำลังไหลผ่านมือซึ่งเต็มไปด้วยฟองสบู่ อัศนัยกดรับก่อนจะสนทนากับคนที่โทรมาด้วยเสียงเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าคนที่ปลายสายจะถามถึงตำแหน่งที่อยู่ของเขาในเวลานี้ นั่นเพราะประโยคที่เขาตอบกลับที่ว่า ‘ผมอยู่บ้านแล้วกำลังจะพาคุณพ่อขึ้นนอน’ นั่นเอง ครู่หนึ่งเจ้าของร่างสูงโปร่งก็เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าแล้วเดินมายืนเคียงข้าง ตาคมกริบเหลือบมองคนที่กำลังบรรจงถูสบู่จนมือแทบเปื่อยก่อนที่จะหันไปสนใจเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก หลังจากจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าจนเข้าที่แล้วเขาก็เดินออกจากห้องน้ำไปทันที


คันธชาติสบตาร่างบึกบึนสวมหมวกแก๊ปที่เดินตามหลังชายหนุ่มที่มากับเธอขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไป เพียงเสี้ยววินาทีก็เบนความสนใจมาที่อีกคนที่กำลังนั่งลงตรงหน้าแทน


“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ ไปเข้าห้องน้ำแล้วพอดีคนที่ออฟฟิศโทรมา เลยคุยนานไปหน่อย”


“ไม่เป็นไรค่ะ” ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มน้อย ๆ “จริง ๆ คุณไม่น่าลำบากเลยค่ะ”


“ได้ยังไงล่ะครับ ก็ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมอยากคุยกับคุณ”


นัยน์ตาคมจ้องมองดวงตาคู่งามจนอีกฝ่ายต้องหลุบตาลงต่ำ


“ถ้าอย่างนั้นเราลงมือทานกันเลยก็แล้วกันนะครับ หรือถ้าคุณบุ๊งอยากได้อะไรเพิ่มก็สั่งได้ตามสบายนะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง ถือว่าต้อนรับผู้ร่วมงานคนใหม่ ทานเยอะ ๆ นะครับ เพราะคุณคงต้องเหนื่อยกับงานของผมอีกเยอะเลย” ริมฝีปากได้รูปเผยอยิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบที่ใคร ๆ ในนาฏยการต่างก็พากันคลั่งไคล้


ที่อีกฟากหนึ่ง...


“เป็นยังไงบ้างครับผู้กอง” ธันวาเอ่ยปากถามให้คนที่เพิ่งเดินกลับมานั่ง จ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังถอดหมวกวางมันลงบนโต๊ะ


“ล้างมือจนมือจะเปื่อยแล้วยังไม่ได้อะไรเลย นอกจาก...” นายตำรวจหนุ่มบ่นพลางบ่นชะเง้อมองสองหนุ่มสาวที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส


“นอกจากอะไรครับ”


“นอกจากรู้ว่าเขาโกหกใครสักคนเรื่องสถานที่อยู่ในวันนี้”


คิ้วของธันวาขมวดเข้าทันทีเมื่อได้ฟัง “เขาจะโกหกทำไมกัน”


“ก็นั่นน่ะสิ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กับแค่มาทานข้าวกับสาว” เก่งกาจว่าพลางถูคางตัวเองอย่างใช้ความคิด “อืม...”


“มีอะไรเหรอครับ”


“ผมกำลังคิดว่าถ้าผมมาทานข้าวกับสาว ผมจะโกหกใครบ้าง”


“คนคนนั้นก็คงเป็นคนที่มีความสำคัญ มีอิทธิพลต่อตัวผู้กองหรืออาจจะเป็นคนที่ผู้กองต้องเกรงใจ”


คนฟังพนักหน้าสนับสนุนคำพูดนั้น “ถ้าไม่ใช่แฟนก็...เมีย” พูดจบก็หัวเราะออกมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“นั่นบุ้งลุกออกไปแล้ว” ธันวากล่าวพลางมองตามร่างหญิงสาวที่กำลังเดินห่างออกไป


“สงสัยไปเข้าห้องน้ำน่ะ” เก่งกาจขณะตักอาหารเข้าปาก กำลังเคี้ยวอยู่ดี ๆ ก็หยุดลงเสียดื้อ ๆ รีบคว้าแก้วน้ำขึ้นกระดกก่อนจะจ้องเขม็งไปยังร่างของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มหรี่ตาลงมองภาพในหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งถูกปรับเป็นโหมดกล้องที่อีกฝ่ายกำลังยกขึ้น 


...เขากำลังถ่ายภาพของอัศนัย ต้องใช่แน่ ๆ



“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กอง”


เก่งกาจดึงสายตากลับมาที่เพื่อนร่วมโต๊ะก่อนจะกล่าว “ผมว่าวันนี้คงไม่ได้มีแค่เราที่ตามดูสองคนนั่น”


“หมายความว่ายังไงครับ” ธันวากล่าวด้วยน้ำเสียงติดกังวลแต่ก็ยังคงรักษาความนิ่งขรึมเป็นปกติ


“ผู้ชายโต๊ะถัดไปนั่นไง ทั้ง ๆ ที่มาร้านอาหารแต่ตั้งแต่มาถึงผมยังไม่เห็นเขาแตะเมนูเลยสักนิด เอาแต่มองหน้าจอโทรศัพท์แล้วเมื่อกี้ก็ถ่ายรูปคุณอัศนัยกับไอ้บุ้ง”


“แล้วเราจะเอายังไงต่อกันดีครับ จะให้ผมไปเตือนบุ้งไหม”


“ไม่ต้องหรอกครับ รอดูกันอีกสักพักดีกว่า”


“แต่ว่า...”


เก่งกาจจ้องคนตรงหน้าก่อนที่ริมฝีปากได้รูปเหยียดจะเหยียดออกเป็นรอยยิ้มชวนสงสัย


“ผู้กองยิ้มอะไรครับ” ธันวากล่าวพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแก้เก้อ


“ผมกำลังคิดว่าอาจารย์ดูจะเป็นห่วงเป็นไยไอ้บุ้งเกินเพื่อนอย่างผมเสียอีก นี่ถ้ามันเป็นผู้หญิงจริง ๆ ผมคงคิดว่าอาจารย์ธันวากำลังสนใจเพื่อนผมอยู่”


“แค่ก! แค่ก ๆๆ” ถึงกับสำลักน้ำ ชายหนุ่มเงยหน้ามองอีกฝ่าย ใช้หลังมือซับน้ำที่ปลายจมูก “ผมก็แค่...”


“เอาละครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก” พูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงเพราะข้อความเข้าขึ้นมาดู พลันรอยยิ้มปริศนาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ผมคิดว่าไอ้หนอนมันเอาตัวรอดได้ เดี๋ยวผมขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยดีกว่า อยู่ในนี้มันอึดอัด”


ธันวามองเจ้าของร่างบึกที่กำลังลุกขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเขาคิดอะไรจะทำอะไรกันแน่จนกระทั่ง...


เพล้ง!!!


“เฮ้ย!!!”


“ว้าย!!!”


“ขอโทษครับ ๆ” เก่งกาจยันตัวลุกขึ้นจากพื้น พนักงานสาวที่เขาเพิ่งเดินชนจนถาดใส่แก้วน้ำที่ถือเธอมาเทกระกระจาดวางถาดลงก่อนจะกุลีกุจอเข้าไปช่วยประคองให้เขาลุกขึ้น


“ขอโทษจริง ๆ ครับ พอดีผมหน้ามืด นี่ว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย” ชายหนุ่มละล่ำละลักก่อนจะหันไปขอโทษคนท่าทางแปลก ๆ ที่ตอนนี้เหนียวเหนอะหนะเพราะน้ำหวานที่หกรดกำลังไหลจากไหล่กว้างลงไปถึงแผ่นหลัง


“ขอโทษด้วยครับพี่”


“ไม่เป็นไรครับ” ชายแปลกหน้าตอบห้วน ๆ แต่ดวงตาขุ่น ๆ กลับบอกว่าในใจของเขาคงไม่ได้คิดอย่างที่ปากพูดออกมาแน่


“ลูกค้าไปล้างเนื้อล้างตัวหลังร้านก่อนดีไหมคะ” พนักงานสาวสวยยังคงทำหน้าที่ของเธอด้วยจิตบริการ


“ครับ” เขากล่าวก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินอาด ๆ หายเข้าไปที่หลังร้าน


“ส่วนคุณพี่ท่านนี้ จะออกไปสูดอากาศข้างนอกไหมคะ ดิฉันจะช่วยประคองออกไป”


เก่งกาจมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปหลังร้านอย่างรวดเร็วก่อนจะหันมายิ้มให้พนักงานสาว “ผมเดินไปเองได้ครับ ดีขึ้นแล้ว ยังไงช่วยเช็กบิลเลยก็แล้วกันเพื่อนผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ”


“อะ...ค่ะ” เธอตอบก่อนจะปล่อยมือจากลำแขนกล้ามเป็นมัด จัดการเก็บกวาดแก้วน้ำที่แตกกระจายกลิ้งอยู่กับพื้นเท่าที่จะเก็บได้ก่อนจะเดินไปแจ้งที่เคาน์เตอร์


จังหวะนั้นนายตำรวจหนุ่มก็หมุนตัวกลับเตรียมจะเดินออกไปทำตามอย่างที่ว่า ไม่ลืมหันไปส่งสายตาให้เจ้าของหน้าสวยที่นั่งอยู่ไกลออกไป ไม่รู้ว่าเธอกลับมานั่งตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร แต่มั่นใจว่าชายแปลกหน้าคนนั้นก็ไม่ทันได้สังเกตเหมือนกัน


“ขอบคุณมากนะคะสำหรับอาหารวันนี้” คันธชาติเอ่ยขึ้นหลังจากพนักงานนำบัตรเครดิตมาคืนให้กับชายหนุ่มที่วันนี้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ


“ไม่เป็นไรครับ” อัศนัยตอบด้วยรอยยิ้ม “ผมหวังว่าจะมีครั้งหน้า”


“อุ้ย...บุ๊งเกรงใจค่ะ”


“อย่าเกรงใจไปเลยครับ”


“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าให้บุ๊งเลี้ยงคุณอัศนัยบ้างนะคะ”


“ได้สิครับ ถ้าคุณบุ๊งต้องการแบบนั้น”


“ค่ะ เดี๋ยวบุ๊งจะพาไปทานตำปูปลาร้ารสแซบจี๊ดจ๊าดถึงใจค่ะ”


คนฟังชะงักเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะขื่น ๆ “ฟังดูไม่เลวนะครับ ผมเองก็ไม่ชอบอะไรจืดชืด”


คันชาติช้อนตามองหน้าคมที่กำลังส่งสายตาวิบวับมาให้ แสร้งทำเขินอายราวกับเด็กรุ่น ๆ 


“ห่านเอ๊ย!” ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง


“คุณบุ๊งว่าอะไรนะครับ”


“อ...อ้อ...บุ๊งบอกว่า...”


‘ว่าอะไรวะ คิดอะไรไม่ออก’


ยังไม่ทันได้คิดต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังช่วยชีวิต “อุ๊ย! เพื่อนโทรมา ขอรับโทรศัพท์ก่อนะคะ”  พูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “หั่นโหลลลลลลลล”


“จะหั่นทำไมวะโหลน่ะ แกจะคุยกันอีกนานไหม จะรอให้ไอ้นักสืบนั่นมันออกมาหรือไง”


“รู้แล้ว ๆ ฉันก็กำลังจะออกจากร้านแล้วแก” มองไปที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเห็นว่ายังเหลือคนนั่งอยู่อีกคน “แกมารับได้เลย” เน้นเสียงตรงประโยคสุดท้ายพลางลอบมองชายหนุ่มมาดนิ่งที่ลุกจากโต๊ะเดินออกไปนอกร้านจากนั้นจึงกดวางสาย


“คิดว่าวันนี้จะได้ไปส่งคุณบุ๊งเสียอีก” อัศนัยกล่าวขณะที่ทั้งคู่พากันเดินออกมาจากร้าน


“แค่นี้บุ๊ก็เกรงใจคุณจะแย่แล้วค่ะ อีกอย่างบุ๊งนัดกับเพื่อนเอาไว้แล้วด้วย”


“เพื่อนหรือว่าคนพิเศษครับ”


“แหม...เพื่อนสิคะ” คันธชาติหัวเราะคิก “อย่างบุ๊งจะมีใครมาจริงใจด้วย”


“ก็ไม่แน่นะครับ อาจจะอยู่แถวนี้...ก็ได้” อัศนัยเน้นคำว่า ‘แถวนี้’ พลางส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ เล่นเอาคนฟังต้องเบนหน้าไปทางอื่นด้วยความขวยเขิน


“คุณอัศนัยนี่มีอารมณ์ขันนะคะ”


“อารมณ์อย่างอื่นก็มีนะครับ”


“คะ?” คันธชาติหันขวับ


“ผมหมายถึงอารมณ์รักน่ะครับ” พูดจบก็หัวเราะในลำคอ


บุ๊งบุ่งที่วันนี้โดนตอดตัวพรุนก็พลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย


...หัวเราะขื่น ๆ...




อัศนัยจ้องมองแลนด์โรเวอร์สีขาวที่กำลังเคลื่อนหายไปในความมืดปะปนไปกับยวดยานจำนวนมากบนท้องถนน พยายามจะมองหน้าคนขับให้ชัด ๆ แต่ฟิล์มติดรถยนต์นั้นก็ทึบเกินกว่าจะมองเห็น ร่างสูงวางความสงสัยเอาไว้ตรงนั้นก่อนเดินไปที่รถ ทันทีที่สอดตัวเข้าไปนั่งเรียบร้อย เขาก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากคนคนเดียวนับสิบสาย และในตอนนี้มันก็สั่นขึ้นอีก ชายหนุ่มถอนใจเฮือกพร้อมกับทิ้งมันลงบนเบาะข้าง ๆ อย่างไม่แยแสแม้ที่หน้าจอดิจิทัลจะปรากฏชื่อ ‘อัญชลิสา’ ก็ตาม



...



หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านมาได้ไม่นานผู้ร่วมขบวนการก็จำต้องนัดรวมตัวกันอีกครั้ง เนื่องจากพุฒพงศ์บอกคันธชาติว่าเธอถูกเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบแต่งงานเสี่ยอนันต์กับคุณนายใหญ่แห่งบ้านนาฏยกาลรวมถึงวันคล้ายวันก่อตั้งโรงละครที่จะจัดขึ้นในปลายสัปดาห์หน้า มันจะดูเป็นเรื่องธรรมดาหากเจ้านายของเธอไม่กำชับว่าให้พาผู้ช่วยของเธอไปด้วยให้ได้ และที่สำคัญมันเป็นงานเลี้ยงเต้นรำ


“เต้นรำ! จะบ้าเหรอเจ๊ ไอ้บุ้งมันเต้นรำเป็นที่ไหน รำวงหรือเซิ้งกระติบละว่าไปอย่าง” เก่งกาจกล่าวอย่างหงุดหงิด “นี่เต้นรำ พอดีแผนแตก”


“วันนี้เขาก็กำชับมาอีกรอบว่าให้พาบุ่งบุ๊งไปด้วยให้ได้นะคะ เจ๊ก็ไม่รู้จะเลี่ยงยังไงเลยรับปากไป”


“จะบ้าตาย ทำไมต้องเต้นรำด้วย” นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับทึ้งหัวตัวเองพลางมองเพื่อนรักที่ยังคงสงบปากสงบคำพอ ๆ กับธันวาที่นั่งห่างออกไปแต่นัยน์ตานั้นกลับแสดงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด


“เจ๊ก็ไม่รู้ค่ะ แต่ได้ยินมาว่างานเลี้ยงเต้นรำนี้จัดทุกปี จะเชิญแต่เฉพาะญาติ ๆ หรือเพื่อนฝูงคนสนิทในวงธุรกิจเท่านั้น” พุฒิพงศ์กล่าว


“เพราะคุณพ่อกับคุณนายใหญ่พบรักกันในงานเต้นรำค่ะ” อารตีเอ่ยขึ้น


“ชื่องานก็ล้อไปตามจังหวะเพลงที่ถูกกำหนดขึ้นซึ่งก็จะวนไปเรื่อย ๆ อย่างปีนี้เพลงที่เป็นธีมของงานก็จะเป็นจังหวะวอลซ์” พุฒิพงศ์เสริม


“ยิ่งไม่น่าห่วงเลยค่ะผู้กอง ฝึกเอาแป๊บเดียวก็น่าจะได้ พี่บุ้งหัวไวจะตายไป คู่ฝึกก็มี” พูดจบอารตีก็สบตาหนุ่ม ๆ ทีละคน


“ไม่ใช่ผมแน่” เก่งกาจชิงปฏิเสธก่อน


คำพูดของทั้งอารตีและเก่งกาจทำให้ธันวารู้สึกว่าตนเองเหมือนอาสาสมัครที่ถูกถีบออกจากแถว ยังไม่ได้เอ่ยปากเสนอตัวเลยนักนิด แต่กลับเป็นเขาโดยปริยาย


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นอาจารย์แล้วละค่ะ”


“แต่ว่า...”


“อย่าบอกว่าอาจารย์เต้นรำไม่เป็นนะคะ รตีไม่เชื่อเด็ดขาด รตีเห็นนะเมื่อวันปัจฉิมนิเทศนักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์เมื่อปีที่แล้วน่ะ ท่านรองคณบดียังให้เกียรติเต้นรำเปิดฟลอร์อยู่เลย”


ยากจะปฏิเสธ...ธันวาได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ ให้คนรู้ทัน


“คุยกันอยู่ 2-3 คนเนี่ย หันมาถามกันสักคำไหม” คันธชาติที่ยังอยู่ในคราบของบุ๊งเอ่ยขึ้น


“แต่นี่จะเป็นโอกาสที่จะได้เข้าใกล้คนบ้านใหญ่นะคะพี่บุ้ง”


คนหน้ามุ่ยถอนใจพลางเท้าคางใช้ความคิด ปลายนิ้วเคาะลงกับโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะยืดตัวขึ้นอีกครั้ง “ก็ได้ ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มกันเลยดีกว่านะคะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา” อารตียิ้มก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับรั้งมือเขาขึ้นมา  “เดี๋ยวครูรตีจะสอนน้องบุ้งเองนะคะ”


“พูดยังกับพี่เป็นเด็ก ๆ ที่โรงเรียนของรตีอย่างนั้นแหละ” คันธชาติบ่นอุบแต่ก็ยอมเดินตามเธอมาที่กลางห้องแต่โดยดี


“วันนี้เริ่มจากพื้นฐานก่อนก็แล้วกัน” พูดจบเจ้าของรางเพรียวที่ผันตัวมาเป็นครูสอนการแสดงก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยมีชายหนุ่มร่างสูงก้าวผิด ๆ ถูก ๆ เลียนแบบ ...


“หนึ่ง”


“สอง”


“สาม ลากเท้ามาชิดค่ะพี่บุ้ง”


“สี่”


“ห้า”


“หก ลากเท้าชิดค่ะ”


“หนึ่ง”


“สอง”


“สาม”


“หนึ่ง”


“สอง”


“สาม”


“สี่”


“ห้า”


“หก”

   
“สี่”


“ห้า”


“หก”


ได้ยินแบบนี้อยู่ตลอดบ่าย...


“เอาละค่ะ ทีนี้ลองเข้าคู่ดูบ้าง คุณผู้ชายเชิญทางนี้ค่ะ”


ได้ยินดังนั้นธันวาก็เดินเนิบ ๆ มาหยุดตรงหน้าคนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน ก่อนจะตั้งท่ามาตรฐาน

 
“ทีนี้พี่บุ้งก็ต้องวางมือขวาบนมือของอาจารย์ค่ะ ส่วนมือซ้ายวางตรงต้นแขนแบบนี้” พูดจบหญิงสาวก็จัดตำแหน่งท่าทางให้เสร็จสรรพ


“เฮ้ย!” คันชาติโวยวายเมื่อมือของอีกฝ่ายสัมผัสเข้าที่แผ่นหลัง “ต้องใกล้ขนาดนี้เลยเหรอ”


“ก็ใช่น่ะสิคะน้องบุ้ง น้องบุ้งไม่เคยดูในละครเหรอคะ” พุฒิพงศ์กล่าว


คนฟังมุ่นคิ้วก่อนจะเบนสายตามายังคนที่อยู่ห่างกันไม่ถึงช่วงแขน ‘นี่ก็ไม่เอะอะอะไรเลยสักนิด’ ชายหนุ่มถอนใจก่อนที่ต่างคนจะต่างเบือนหน้าไปคนละทาง จากนั้นเสียงนับจังหวะก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง


...สลับกับเสียงขอโทษขอโพยของคนที่ซุ่มซ่ามหยียบเท้าคนอื่น...


“ผมขอโทษ คุณเจ็บหรือเปล่า”


“ไม่เป็นไร เต้นต่อเถอะ” ธันวากล่าวหน้านิ่ง


“เจ็บก็บอกว่าเจ็บ”


“ก็มันไม่เจ็บจริง ๆ ถ้าเจ็บแล้วผมจะบอก”


คันธชาติจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างขัดใจก่อนจะเบนสายตาหนีในที่สุด


ราวกับเวลาผ่านไปนานแสนนาน...


และเมื่อเสียงเพลงที่ขับร้องโดยวงสุนทราภรณ์ดังขึ้น ร่างของคันธชาติก็เหมือนถูกพาให้หมุนล่องลอยไปในอากาศ...



ฉันชื่นใจเมื่อได้เห็น

หัวใจเต้น

เพราะได้เห็นดวงหน้า

เฝ้าแต่มอง

มิคลายสายตา

ชื่นหนักหนา ชักพาสุขฤทัย...




หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก...ริมฝีปากบางยังคงนับช้า ๆ ไม่รู้เลยว่าจังหวะหัวใจของใครบางคนเต้นนำไปไกลแล้ว...


“น่ารักเนอะ” กะเทยร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังเอามือประสานกันที่หน้าอกเอ่ยขึ้น


ทั้งอารตีและเก่งกาจต่างก็เดินเข้าไปยืนขนาบข้างจ้องมองภาพนั้นด้วยกัน อารตีเกาะเอวอวบหลวม ๆ จ้องมองร่างของสองหนุ่มสาวที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามทำนองเพลง พริ้วไหวต่อเนื่องท่ามกลางลำแสงอุ่น ๆ ของดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้ดูคล้ายผลส้มผลใหญ่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า


...ราวกับภาพในความฝัน...


หลังจากส่งทุกคนกลับหมดแล้วก็เป็นคราวที่เพื่อนบ้านจะต้องกลับห้องของตนเองบ้าง


“ผมกลับก่อนนะ”


“ขอบคุณมากที่ช่วย” คันธชาติพูดกับคนที่กำลังจะเปิดประตูออกจากห้อง


“ไม่เป็นไร ก็หลวมตัวมาขนาดนี้แล้วนี่”


“เพิ่งรู้ว่าพูดประชดเป็นด้วย ทีอยู่ต่อหน้าคนอื่นเห็นปิดปากเงียบยังกับกลัวดอกพอกุลจะร่วง”


คนถูกเหน็บไม่คิดจะต่อปากต่อคำ เขายิ้มบางเบาอย่างเคยก่อนจะเอ่ยคำลาอีกครั้ง และเมื่อประตูปิดลง เจ้าของห้องก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา จัดการถอดวิกผมออกวางบนโต๊ะ เช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองด้วยแผ่นทำความสะอาดพร้อมกับคิดถึงคำพูดของเก่งกาจที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวกลับ


‘ฉันว่าเขาต้องชอบแกแน่ ๆ เลยว่ะไอ้หนอน’


“บ้าเอ๊ย ชอบบ้าอะไรกันวะ” คันธชาติบ่นงึมงำพร้อมกับออกแรงกดแผ่นทำความสะอาดเครื่องสำอางบนใบหน้า แรง...เสียจนหน้าแดงไปหมด



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2015 00:50:58 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


ในที่สุดวันงานก็มาถึง งานเต้นรำฉลองครบรอบแต่งงานของเสี่ยอนันต์และวันคล้ายวันก่อตั้งโรงละครนาฏยกาลในปีนี้ถูกจัดขึ้นที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระ ทั้งที่บอกว่าคนที่มาร่วมงานเป็นเพียงญาติ ๆ และเพื่อนสนิทในวงธุรกิจของเจ้าของงาน แต่กลับไร้เงาของอัญชลิสาที่ใครก็ต่างบอกว่าเธอเป็นคนสนิทของอัศนัย งานนี้ใหญ่โตและมีผู้คนได้รับบัตรเชิญมากกว่าที่คิด แต่ก็ไร้เงาของนักข่าว


แต่ที่ทำให้ต้องประหลาดใจก็คือเขาได้พบกับเก่งกาจที่นี่ วันนี้นายตำรวจหนุ่มหล่อต้องมาปฏิบัติหน้าที่อารักขาท่านรัฐมนตรีและผู้ติดตามอีกเป็นโขยง เมื่อมีโอกาสจึงปลีกตัวออกมาคุยกันทำให้รู้ว่ารัฐมนตรีท่านนี้เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเสี่ยอนันต์นั่นเอง จากนั้นสองคนก็ต้องทำเป็นไม่รู้จักกันเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของคนอื่น ๆ เมื่อแดดร่มลมตก เสียงทำนองเพลงเต้นรำจังหวะวอลซ์ก็ถูกบรรเลงขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเสี่ยอนันต์และลูกชายคนเล็ก


“วันนี้บุ่งบุ๊งของเจ๊สวยขโมยซีนมากลูก” พุฒิพงศ์กระซิบขณะที่อัศนัยกำลังกล่าวเปิดงาน “ดูสิคุณอัศนัยมองมาทางนี้หลายรอบแล้วนะ บุ่งบุ๊งฟังเจ๊อยู่หรือเปล่า”


คันธชาติที่กำลังเลื่อนตาตามบริกรหนุ่มที่กำลังเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มอยู่ในงานจำต้องดึงสายตากลับเมื่อมืออวบของคนข้าง ๆ สัมผัสลงที่ท่อนแขน


“เจ๊ว่าไงนะ บุ๊งไม่ทันฟัง”


“เจ๊บอกว่าคุณอัศนัยน่ะเขามองบุ่งบุ๊งของเจ๊ตาเป็นมันเลยนะ ดูสิวันนี้แต่งตัวสวยมาก ๆ ต้องของคุณน้องรตีนะเนี่ย” พูดจบก็จับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะถอยห่างออกมา มองหญิงสาวในชุดเดรสแขนกุดสีขาวดอกปีบปล่อยชายกระโปรงยาวกรอมพื้น ผมเผ้าถูกเกล้าเป็นมวยต่ำเผยให้เห็นลำคอระหง ประดับด้วยดอกปีบดอกเล็ก ๆ ดูน่ารัก

 
“แน่ะ! มัวมองอะไรอยู่ คุณอัศนัยเดินมาทางนี้แล้ว” พุฒิพงศ์ยิ้มกริ่มมองชายหนุ่มในชุดทักษิโด้สีเข้มที่กำลังเดินตรงเข้ามา รอยยิ้มของเขาทำเอากะเทยร่างอวบถึงกับต้องยกมือขึ้นทาบอก ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไม่ว่าการยิ้มเรี่ยราดของเขามันทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่สาวแท้สาวเทียมแทบละลายไปตาม ๆ กัน


“ให้เกียรติเต้นรำกำผมสักเพลงนะครับ คุณบุ๊ง” พูดจบก็ผายมือออกส่งสายตาลามเลียคนที่ยังคงยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก


“บ...บุ๊ง บุ๊งเต้นไม่เก่งนะคะ กลัวว่าจะเหยียบเท้าคุณอัศนัย...”


“ถึงจะรู้แบบนี้ ผมก็ยังอยากลองอยู่ดี”


คนฟังแสดงท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะวางมือลงบนมือของอีกฝ่าย ‘เตือนแล้วนะโว้ย’

   
บริกรหนุ่มจ้องมองสองหนุ่มสาวที่กำลังจูงกันออกไปสมทบกับคนอื่น ๆ ที่กลางฟลอร์ เมื่อเพลงเริ่มขึ้นแต่ละคู่ก็ประคองกันเคลื่อนไหวร่างกายไปตามเพลง น่าแปลกที่งานใหญ่เช่นนี้แต่ปราศจากเงาของนักข่าว ไร้ซึ่งแสงแฟล็ชและเสียงชัตเตอร์ ทั้งที่ควรจะเป็นงานที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน


“ขอเครื่องดื่มสักแก้วสิครับ” เสียงของใครคนหนึ่งช่วยดึงสติที่เคลื่อนไหวไปตามลีลาพริ้วไหวของคู่เต้นรำกลับมาอีกครั้ง


“ครับ”


“ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้ดื่มน้ำจากบริกรดีกรีพีเอชดี” เก่งกาจกล่าวกลั้วหัวเราะขณะยกน้ำขึ้นดื่ม “นี่ผมชักจะเชื่อแล้วสิว่าคุณสนใจเพื่อนผมจริง ๆ”


“ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ให้ผมมา”


“แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ขัดนี่ครับ”


“อย่ามัวแต่แซวผมอยู่เลยน่า คุณรู้ไหมว่าทำไมงานใหญ่ขนาดนี้ถึงไม่มีนักข่าวสักคน” ธันวาชวนเปลี่ยนเรื่อง


“เห็นว่าต้องการความเป็นส่วนตัวนะ” พูดจบก็วางแก้วลงบนถาดตามเดิมก่อนจะเอื้อมมือขึ้นตบบ่าอีกฝ่าย “ผมไปทำงานก่อนนะ แล้วก็ระวังหนวดหลุดล่ะ”


เล่นเอาคนฟังต้องรีบจับที่เหนือริมฝีปากของตัวเอง เมื่อพบว่าหนวดปลอมที่ติดมายังอยู่ก็ค่อยรู้สึกสบายใจ ธันวาหันกลับไปที่กลางฟลอร์เต้นรำอีกครั้งแต่ไม่พบคันธชาติและอัศนัยแล้ว ชายหนุ่มจริงเดินตรงเข้าไปหาพุฒิพงศ์ซึ่งกำลังสนุกสนานกับการตักอาหารอยู่ที่มุมหนึ่ง
   

“รับน้ำไหมครับคุณผู้หญิง”


“ไม่ค่ะ เจ๊จะทานนี่ก่อน”


“สักแก้วเถอะครับ เดี๋ยวติดคอ” อีกฝ่ายยังรบเร้าไม่เลิก


“เอ๊ะ! เจ๊บอกแล้วไง...อ้าว! น้องธัน?!” ท้ายประโยคค่อย ๆ เบาลงเมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากัน “มาได้ยังไงคะ”


“อย่าเพิ่งถามเลยครับ นี่บุ้งไปไหนแล้ว”


“ก็เต้นร...รำ...” เมื่อหันกลับไปยังตำแหน่งที่เธอเพิ่งเดินหันหลังจากมาสักครู่ก็พบว่าคนที่มาด้วยกันหายไปแล้ว “ไปไหนกันแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่เลย” กะเทยร่างอวบเกาหัวแกรก


...



“คุณอัศนัยจะไปไหนคะ”


คันธชาติเอ่ยปากถามร่างสูงที่กำลังเดินนำไปตามทางเดินแคบ ๆ กระทั่งมาถึงที่สุดทางเดินชายหนุ่มก็เปิดประตูเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง แสงไฟสีนวลค่อย ๆ ติดขึ้นจึงพบว่ามันคือห้องสวีทสุดหรูที่อยู่ชั้นสูงสุดของโรงแรม ม่านสีขาวค่อย ๆ เปิดออกเห็นทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟ


“คุณอัศนัยพาบุ๊งมาที่นี่ทำไมคะ”


“ผมมีอะไรอยากจะให้นะครับ” พูดจบก็เดินไปหยิบลิลลี่ช่อใหญ่มาส่งให้


“สำหรับคนสวยครับ”


“ข...ขอบคุณค่ะ แต่บุ๊ง...”


“รับไว้เถอะครับ”


บุ๊งพยักหน้าเนิบ ๆ ก่อนจะรับดอกไม้มาถือเอาไว้ ในใจครุ่นคิดว่าจะจะหาทางหลุดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไรกัน พลันเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดังขึ้น อัศนัยเดินไปเปิดประตูก่อนที่บริกรหนุ่มมาดเข้มจะเข็นรถที่มีแชมเปญขวดโตแช่ในถังโลหะโปะทับด้วยน้ำแข้งเข้ามา


คันธชาติมุ่นคิ้วจ้องมองคนมาใหม่อย่างจับผิด รู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อน แต่เพราะเขาทำก้มหน้าก้มตาจึงทำให้เห็นไม่ชัด บริกรหนวดงามจัดการเปิดฝาแชมเปญก่อนจะรินใส่แก้วก้านส่งให้ทั้งสองคน


“ดื่มให้สำหรับคืนที่สวยงาม”


สิ้นเสียงหนุ่มหล่อ เสียงแก้วกระทบกันก็ดังกังวานครั้งแล้วครั้งเล่า...ครั้งแล้วครั้งเล่า


“คุณออกไปได้แล้ว” อัศนัยหันมากล่าวกับบริกรหนุ่มที่กำลังยืนสงบนิ่งรอให้บริการ เขาโค้งคำนับก่อนจะเดินออกจากห้องไป และเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง เจ้าของร่างสูงก็หันมาหาคนที่กำลังทอดสายตามองแสงไฟพร่างพราวตรงหน้า


“ให้เกียรติเต้นรำกับผมอีกสักเพลงเถอะนะครับ” พูดจบก็ผายมือออกรอกระทั่งมือนุ่มแตะลงมาก็ออกรั้งรั้งอีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัว “คุณรู้ไหมว่าคืนนี้คุณสวยมากนะ” ดวงตาคมกริบไล่สำรวจใบหน้าของหญิงสาวตั้งแต่หน้าผากไล่มาจนถึงริมฝีปาก “สวยกว่าทุกคนที่ผมเคยพบมา”


เล่นเอาคนฟังที่อยู่ในอาการมึนหัวเราะชอบใจ “สวยที่ไหนกานนนน แบบบุ๊งเนี่ย เรียกว่าหล่อต่างหากเพราะบุ๊งเป็น...เป็นผู้ชายยยยย”


“คุณบุ๊งนี่ตลกดีนะครับ” อัศนัยยิ้มกริ่มพลางกระชับวงแขนที่โอบรัดรอบเอวคอดให้แน่นขึ้น “ผมชอบจัง”


คนในอ้อมแขนมุ่นคิ้ว ก่อนจะใช้มือตีอกแกร่งฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้แรงที่ถูกส่งออกไปมีเพียงน้อยนิดจนอีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกอะไรแถมยังยิ้มยังยินดีเสียด้วยซ้ำ “บอกแล้วงายยยย บุ๊งเป็นผู้ชายยยยยย”


หนุ่มหล่อเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู “แล้วผมเคยบอกเหรอครับว่าผมชอบผู้หญิง” พูดจบก็หัวเราะร่วนก่อนจะประคองคนเมาไปที่เตียง ออกแรงดันร่างในชุดสวยเพียงนิดเดียว อีกฝ่ายก็ลงไปนอนแผ่


อัศนัยจัดการถอดเสื้อนอกออก มือปลดหูกระต่ายคลายประดุมเสื้อแต่สายตากลับไล่มองตั้งแต่ปลายเท้าของคนที่กำลังพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง คันธชาติกำผ้าปูที่นอนแน่นพยายามจะดันตัวขึ้นแต่ร่างของอีกฝ่ายก็โถมลงมาเสียก่อน มือหนาแตะลงบนไหล่กลมกลึงก่อนจะไล้ไปตามแขนเนียนกระทั่งมาหยุดที่สะโพก


“น่ารำคาญจริง คนจะนอน” พูดจบก็คำรามในลำคอ ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวขู่จนมุม และไม่สามารถหยุดความต้องการของเสือที่กำลังกระหายหิวได้ เนื้อตัวกรุ่นหอมเคล้ากลิ่นแอลกอฮอล์นั้นราวกับเกสรดอกไม้ที่กำลังดึงดูดแมลงให้หลงเข้าใกล้ ปลายจมูกโด่งสูดกลิ่นหอมที่ซอกคอเนียนของคนเมาก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้...ใกล้...


ทั้งห้องมีแต่ความเงียบ ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอที่ดังชิดริมหู คันธชาติตะเกียกตะกายลุกขึ้นพร้อมกับดันตัวคนบนร่างออก พยุงตัวยืนโงนเงนมองหน้าหล่อที่กำลังหลับตาพริ้ม


“หนักเป็นบ้าเลย นอนทับลงมาได้” ได้ยินเสียงงึมงำไม่เป็นภาษาของตัวเองพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออก


“บุ้ง! คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ธันวาปรี่เข้ามาจับต้นแขน แรงเขย่าทำให้อีกฝ่ายหน้ายู่


“สบายดี ม่ายยยยเจ็บ...ม่ายยยยไข้” คันธชาติกล่าวพลางขยับตัวให้หลุดจากการสัมผัสของอีกฝ่าย ยกมือขึ้นจิ้มเหนือริมฝีปากได้รูปอย่างเบามือ “มีหนวดดดดตั้งแต่เมื่อหร่ายยยย”


“ยังจะมีหน้ามาพูดดี ถูกเขามอมเหล้าน่ะรู้ตัวบ้างหรือเปล่า ดื่มเข้าไปไม่กี่แก้วก็คอพับคออ่อนแล้ว เด็กจริงว่ะ” เก่งกาจบ่นก่อนจะเดินอ้อมไปยืนมองชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง “ขอโทษที่มาขัดความสุขนะครับคุณอัศนัย” พูดจบก็ส่งสัญญาณเรียกคนที่รออยุ่ข้างนอกเข้ามา เป็นพุฒิพงศ์นั่นเอง กะเทยร่างท้วมตรงเข้ามาหาคันธชาติ หมุนตัวสำรวจความเสียหายก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอก


“เจ๊ละลุ้นจะแย่ นี่ดีนะคะว่าในกระเป๋ามียานอนหลับติดมาด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้จะแก้สถานการณ์นี้ยังไง”


“เจ๊พกยานอนหลับทามมายยยยยย อย่าบอกนะว่าเอาหลอกหม่ำผู้ชายยยยย” พูดแล้วก็หัวเราะเอิ้กอ้าก “กิ๊ว ๆ หม่ำ ๆ” หน้าสวยยื่นเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้ปลายนิ้วเขี่ยคางคนตัวเตี้ยกว่าส่งสายตาล้อ ๆ


“ไม่เอาแล้วค่ะบุ่งบุ๊ง ไม่พูด ๆ จุ๊ ๆ”


ฟังเพื่อนพูดแล้วผู้กองร่างบึกก็ได้แต่สายหัวก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับตัวปัญหาบนเตียง “เจ๊ช่วยจัดการนายอัศนัยให้ผมหน่อยได้ไหม”


“ผู้กองจะให้เจ๊ทำยังไงคะ”


“ทำยังไงก็ได้ให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วเข้าใจว่าเขาได้กินไอ้หนอนแล้ว”


คนฟังอ้าปากค้างไม่เชื่อหู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากทำ “เต็มใจช่วยค่ะผู้กอง” ว่าแล้วก็จัดการไปตามระเบียบ เริ่มจากถอดเสื้อ บรรจงกดริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงลงบนหน้าอกและซอกคอ กำลังเปลี่ยนเปล้าหมายไปที่กางเกงคันธชาติก็ขัดขึ้นเสียก่อน


“ขอขาดดดดจังหวะแป๊บบบบบ” เล่นเอาพุฒิพงศ์ดึงมือกลับแทบไม่ทัน “ขอดูหน่อยยยว่ามีรอยสากกกม้ายยยย”


“ไอ้บ้านี่ขนาดเมาแอ๋แบบนี้ยังหนักแน่นในหน้าที่” เก่งกาจพึมพำก่อนจะช่วยรั่งร่างไร้สติขึ้นมาพลิกดูที่ด้านหลัง


...เกลี้ยงเกลา...


“เฮ้ย! ทำไมไม่มีวะ” ส่างเมาขึ้นในบัดดล


...



ธันวาประคองคันธชาติเข้ามาในห้องก่อนจะพาไปยังโซฟา ในจังหวะที่กำลังจะจับอีกฝ่ายนั่งนั้นราวกับฉากในละครโทรทัศน์ กระโปรงยาวกรอมพื้นทำให้ร่างสูงเสียหลักก่อนจะพอกันล้มลงไป


“เจ็บนะโว้ย” คนเมาแหกปากเมื่อศีรษะกระแทกลงกับที่วางแขน


“ข...ขอโทษ ผมขอโทษ” ธันวาละล่ำละลักพลางช้อนศีรษะคนใต้ร่างขึ้น “เจ็บมากไหม”


“เจ็บม่ายยยมากกก เจ็บบบบใจมากกว่า ทำมายยยไม่มีรอยสากกก”


“กิ่ง...กิ่งอยู่ไหน” พูดไปมือก็ปาดป่ายเหมือนจะเอื้อมคว้าหาอะไรบางอย่าง ในที่สุดทั้งห้องก็กลับเงียบลงเมื่อแขนทั้งสองข้างคล้องเข้ากับคอหนา “อย่าไปไหนนะ”


“บุ้ง...”


“...”


“บุ้ง”


“...”


“คุณรักเธอมากเลยเหรอ”


“ร้ากกกสิ รักทุ้กกกกวัน” สิ้นเสียงนั้นความเงียบก็แทรกซึมไปทุกอณูของความว่างเปล่าอีกครั้ง


“เงียบทำมายยย” คันธชาติกล่าวพลางแตะมือที่แก้มสากก่อนจะตบเบา ๆ อย่างหยอกเย้า “ผิดหวังเหรอ”


“ชอบกิ่งเหรอ”


“หรือว่าชอบผมมมม”


ธันวาไม่ตอบอะไรแต่หากแต่คว้าข้อมือเล็กมาแนบอกก่อนจะจ้องมองหน้าสวยที่ฉาบด้วยแสงนวลของแสงจันทร์ที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา หน้าคมเลื่อนใกล้เข้ามาจนได้กลิ่นแอลกอฮอล์เคล้าน้ำหอมจาง ๆ จากลมหายใจของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเม้มปากแน่นเมื่อคำถามสุดท้ายยังคงถูกส่งผ่านจากริมฝีปากบางทะลุทะลวงโสตประสาทแล่นปราดเข้าสู่หัวใจและพร้อมจะดึงความรู้สึกที่เขาพยายามจะเก็บซ่อนไว้ออกมา


“คุณชอบผมเหรอ”


“ใช่! ผมชอบคุณ” ในเมื่ออยากได้คำตอบก็จะตอบให้

 
เจ้าของคำถามนิ่งงัน แต่ใต้อกเสื้อกลับขยับเป็นจังหวะยากจะควบคุม แขนที่เคยคล้องร่วงตกลงมาราวกับแรงหมด ดวงตาสะท้อนแสงจันทร์สั่นไหว นึกถึงคำพูดหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้



‘มาพิสูจน์กันไหมล่ะ พิสูจน์ด้วยวิธีของฉัน’




สองคนยังคงสบตากันท่ามกลางแสงนวลสลัว มือที่กำแน่นภายใต้การเกาะกุมของธันวารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้เนื้อผ้านุ่ม   ถึงนาทีนี้ไม่อาจสรุปได้ว่าหัวใจใครเต้นแรงกว่ากัน และเมื่อลมหายใจอุ่นใกล้เข้ามาทุกขณะ คันธชาติก็เอ่ยขึ้น  “อย่านะ...อย่าทำแบบที่ใจคุณกำลังคิด”




“ห้ามจูบผมเด็ดขาด”



หวังว่ามันจะหนักแน่นพอที่จะหยุดหัวใจของอีกฝ่ายได้


คันธชาติได้ยินประโยคนั้นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง ไม่รู้ว่ามันแผ่วเบาหรือเพราะหัวใจตัวเองที่เต้นแรงกันแน่



...


แฮ่...เกือบไปแล้วเชียว

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2015 00:54:11 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อ้างถึง
ถ้าคุณบุ๊งไม่รักเกียจ
  - บุ๊งรังเกียจค่ะ คุณอัศนัย

เนียนมากเลยนะคะ อิคุณเล็ก
เราสงสัยว่าคุณนางเอกละครหรือเปล่าที่เป็นผู้ต้องสงสัย  มโนอีกแล้ว
มีให้ยิ้มตลอดเลย

อยากอ่านถึงลำแขนล่ำๆของคุณกาจบ่อยๆ  เราจิ้นคุณตำรวจกดคุณอัศนัยไปแล้วเรียบร้อยค่ะ จากฉากในห้องน้ำ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
เกือบเสียตัวแล้วไหมละบุ่งบุ๊ง

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
กรี๊ดดดด รอตอนต่อไป เราคิดเหมือนเม้นบนเลยว่า คุณตำรวจจะกดอัศนัย 55555

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
โถ่ว!!! อาจารย์ขาาาาา :ling1:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
กำลังคิดว่าคนรักกิ่งเป็นคุณนางเอกจอมหยิ่ง  :ruready

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
หว๋ายยยยยๆๆๆๆ นี่ใกล้เคียงกับคำว่า NC มากที่สุดเท่าที่เคยอ่านผลงานของคุณ ถธปทฟ มาเลยนะเนี่ย

ตอนนี้บุ้งก็ใจร้ายอีกแล้ว หลอกให้อยากแล้วจากไป
สงสาร ดร.ปลายปีนะ ทำไมหล่อเลือกได้แบบอาจารย์ชีวิตรักรันทดเยี่ยงนี้

เมื่อไหร่จะเจอรอยสัก?อยู่ที่ยายอัน?ซ่อนไว้?ยังไม่เห็น?หรือยังไง?

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
ลุ้นกับภารกิจของบุ่งบุ๊งมากเลย
เกือบไปแล้วจริงๆ
แบบว่า พี่ธันคะ ดูเป็นห่วงเป็นใยน้องบุ้งม๊ากมาก
ถ้าจะขนาดนี้ เจ้รบกวนให้สารภาพเลยจะดีกว่าค่ะ
แต่ พอมีเวลาให้สารภาพแล้ว เจ้าตัวดันไม่ได้สตินี่สิ เฮ้อ เจ้ล่ะเซ็ง
คงต้องลุ้นกันต่อไปสิเนอะ
หวังว่าก่อนที่น้องบุ้งจะหลับไป น้องบุ้งคงจะรับรู้ถึงรสสัมผัสนั้นนะคะ
อ๊ายยย ฟิน
แล้วมาต่ออีกนะคะ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ตกลงใครคือเจ้าของรอยสัก ลุ้นมากค่ะ  :katai1:

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
งานนี้เจ๊พุดดิ้งได้กำไร :laugh:

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
เกือบไปแล้วนะบุ้ง
ดีนะเจ๊มียานอนหลับ ~.~

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 11 ความลับ



คันธชาติยันร่างลุกขึ้นนั่งบนที่นอน สลัดศีรษะไล่ความหนักอึ้งในหัว เมื่อคืนกว่าจะจัดการกับสารรูปที่ดูย่ำแย่ของตัวเองหลังจากสะดุ้งตื่นเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ที่เหลือก่อนหน้านั้นแทบจำไม่ได้ ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงเดินโงนเงนหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่แล้วจึงกลับออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูสดชื่นขึ้น โทรศัพท์ที่แผดเสียงแว่วมาทำให้ต้องรีบเปิดประตูออกจากห้อง


คันธชาติคว้าเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นดูคนที่ปลายสายก็กดวางไปเสียแล้ว


"ไอ้กาจ" ริมฝีปากบางกล่าวกับตัวเอง กำลังจะกดโทรออกแต่คนที่กำลังพูดถึงก็โทรสวนเข้ามาอีกครั้ง


"เออ ว่าไง"


"เป็นไงบ้างวะ"


"ก็มึน ๆ รู้สึกพะอืดพะอมยังไงไม่รู้"


"แหงละ ดื่มเข้าไปไม่รู้กี่แก้ว"


"แก้วเดียว"


"แกเดียวบ้านบ้าแกสิ ฉันเห็นแชมเปญในห้องเกือบหมดขวด"


"แก้วเดียวแต่เติมหลายครั้งไง" พูดแล้วก็หัวเราะราวกับเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานเมื่อคืนเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก


"ไอ้บ้า ยังจะมาทำตลก นี่ถ้า ดร.ธันวาเขาหาแกไม่เจอ มีหวังพ่อกับแม่แกได้ลูกเขยเป็นนักธุรกิจแน่"


ฟังเพื่อนพูดแล้วก็ให้นึกถึงอีกคนที่เมื่อคืนอยู่กับเขาเป็นคนสุดท้ายขึ้นมา


"เป็นไงบ้างวะ แกได้พิสูจน์ไปแล้วหรือยัง"


"พ...พิสูจน์อะไร"


"เอ้า! ก็พิสูจน์ว่า ดร.ธันวา เขาชอบแกจริงอย่างฉันว่าหรือเปล่าไง"


"ไร้สาระน่า" ปากพูดไปแต่ในหัวกลับมีเรื่องไร้สาระที่ว่าผุดขึ้นมาให้ต้องคิด "เออ ๆ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ" พูดจบก็กดวางสายโดยไม่คิดจะรอฟังคำของอีกฝ่ายเลยสักนิด


เหตุการณ์เมื่อคำคืนที่ผ่านมามันเลือนรางเสียจนจับต้นชนปลายไม่ถูก คันธชาติเป็นประเภทไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ได้จึงตัดสินใจเปิดประตู ตั้งใจจะถามอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง ร่างสูงเดินไปหยุดยังประตูห้องฝั่งตรงข้าม เอื้อมมือกดกริ่ง ไม่นานประตูก็เปิดออก


"เอ่อ...ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม" พูดกับเจ้าของห้องที่วันนี้หน้าตาดูไม่ค่อยสดชื่น


ธันวาพยักหน้าขรึมก่อนจะหลีกทางให้ มองหนุ่มห้องตรงข้ามที่เดินไปนั่งลงที่โซฟาอย่างเคยราวกับเป็นที่ประจำ


"มีอะไรหรือเปล่า" เจ้าของห้องถามเสียงเนือย ๆ ในขณะที่ผู้มาเยือนยังคงนั่งมองสองมือของตัวเองที่เกี่ยวประสานกันอยู่ตรงหน้า


"คือ...เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า"


"ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีนี่ พวกเราเข้าไปทันก่อนที่..." ธันวาหยุดไว้เพียงเท่านั้น เห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้น


"ไม่ใช่สิ ผมหมายถึง..." คันธชาติหันมาสบตา "ผมหมายถึงหลังจากนั้น...ต...ตอนที่กลับมาที่คอนโด"


คนถูกถามเบนสายตาหนีก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดตำราที่อ่านค้างไว้ไปเรื่อย ๆ หน้าแล้วหน้าเล่า "คุณจำไม่ได้เลยเหรอ"


"ถ้าจำได้ผมจะมาถามคุณไหมเนี่ย" คันธชาติกล่าวอย่างขัดใจก่อนจะลุกขึ้นไปเดินตรงหน้าคู่สนทนา


"ว่ายังไงล่ะ"


"เมื่อคืนคุณร้องหากิ่งดาว คุณบอกว่าคุณรักเธอมาก"


"แค่นั้นเหรอ"


ฟังแล้วธันวาก็ทอดตานิ่งมองตัวหนังสือในหน้ากระดาษ จนกระทั่ง


"ว่ายังไงล่ะ"


"แค่นั้น" พูดจบก็หยิบปากกาจดโน้ตสั้น ๆ ลงในกระดาษ


"อืม" คนช่างสงสัยพยักหน้า ได้ฟังแบบนี้แล้วค่อยสบายใจ "ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนคุณแล้วนะ" พูดจบก็เดินห่างออกมา


ธันวายังคงมุ่งความสนใจไปที่ตำราตรงหน้า กระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังบานไม้สีโอ๊คด้วยแววตาที่ปราศจากความรู้สึกใด ๆ


...



อัศนัยจ้องมองหนังสือพิมพ์บันเทิงที่ถูกโยนโครมลงข้างตัว ข่าวพาดหัวกินพื้นที่เกือบครึ่งพูดถึงลูกชายนักธุรกิจบันเทิงชื่อดังควงสาวปริศนา ชายหนุ่มกางหนังสือพิมพ์ออกอ่านรายละเอียดและพบว่าหนึ่งในภาพข่าวเป็นภาพของเขากับผู้ช่วยช่างเสื้อที่กำลังโอบกอดเต้นรำกลางฟลอร์กับอีกภาพเป็นภาพเขากับหญิงสาวที่เห็นหน้าไม่ชัดกำลังรับประทานอาหารด้วยกันภาพในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งในข่าวนำสองภาพมาเปรียบเทียบกันและตั้งคำถามว่าหญิงสาวในภาพเป็นคนเดียวกันหรือไม่ 


เมื่อพิจารณาความละเอียดและมุมมองของการถ่ายภาพก็เดาได้ทันทีว่าคงจะมีใครสักคนในงานหยิบกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพไว้ก่อนจะส่งต่อให้กันดู กระทั่งไปตกอยู่ในมือนักข่าวที่มีปากกาดุจดังคฑาเนรมิต่ ชายหนุ่มถอนใจก่อนจะปิดหนังสือพิมพ์และวางมันลงอย่างไม่แยแส


"นั่งเทียนเขียนทั้งนั้น" อัศนัยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พลางปลดกระดุมเสื้อออก มองสาวสวยในชุดคลุมอาบน้ำที่กำลังนั่งไขว้ห้างละเลียดจิบไวน์อยูที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง


"แต่ภาพนั่นก็เป็นภาพคุณจริง ๆ นี่คะ ส่วนผู้หญิงในภาพก็เป็นคนเดียวกัน" อัญชลิสาเว้นจังหวะสบตาอีกฝ่ายจากเงาสะท้อนของกระจก "ผู้ช่วยช่างเสื้อคนนั้น" พูดจบก็กระดกไวน์ในแก้วจนเกลี้ยง


"งานเต้นรำนั่นเป็นงานที่เชิญแต่ญาติ ๆ หรือเพื่อนสนิทของคุณพ่อคุณ แต่คุณก็เชิญเจ๊พุดดิ้งกับเด็กนั่น"


"ไม่เอาน่า คุณพุฒิพงศ์เขามาขอร้องผมต่างหาก เขาเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบลูกค้า เขาก็เลยขอให้ผมอนุญาตให้ร่วมงานเต้นรำนั่น" พูดจบอัศนัยก็ถอดเสื้อโยนลงพื้นก่อนจะเดินมาหยุดข้างหลัง รั้งอีกฝ่ายขึ้นมาพลางสบตาสวยในกระจก เพียงเขาไล่ขึ้นมาตามลำแขนไฟปรารถนาก็จุดขึ้นในดวงตาของเธอจนสังเกตได้


"ส่วนเด็กนั่น เขามายุ่งกับผมเอง" ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปากก่อนจะกระซิบ "คุณก็น่าจะรู้ว่าทุกวันนี้ผมหลงคุณจะแย่แล้ว อย่าหึงผมเลยนะ"


เสียงกระซิบแหบพร่าทำเอาอัญชลิสาสะเทิ้นอาย ตาคู่งามทอดมองเงาสะท้อนในปืนระนาบ เห็นตัวเองสั่นสะส้านอย่างควบคุมไม่อยู่เมื่อริมฝีปากได้รูปแตะลงบนลำคอ


มือเรียวกระตุกรั้งสายรัดเอวเพียงเบา ๆ เสื้อคลุมอาบน้ำก็ลงไปกองอยู่กับพื้น อัศนัยโน้มหน้ากดจูบลงบนบ่าเปลือยก่อนจะไล่ชิมความหวานของเรือนร่างที่เขาถือสิทธิ์อย่างย่ามใจ ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ที่กำลังหลงใหลในความงามของผีเสื้อ ในขณะที่ลำแขนแกร่งสอดเข้าข้างลำตัวเกี่ยวลัดคลึงเคล้าส่วนนูนแน่น กลีบปากก็ดูดดึงเนื้อนุ่มใต้ช่วงบ่าจนคนในอ้อมแขนสั่นสะท้าน


ริมฝีปากร้อนชื้นเลื่อนต่ำก่อนจะกดคมฟันบนผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังสยายปีกทำเาอัญชลิสาผวาหมุนตัวกลับเกี่ยวคอหนาเอาไว้ไม่ให้ตัวเองลงไปกองกับพื้น หลับตาพริ้มซบหน้าลงกับอกกว้างที่กำลับขยับรัวตามจังหวะการหายใจ หน้าสวยกัดกรามแน่นเมื่อมือคู่นั้นเลื่อนต่ำขย่ำเนื้อสะโพก พลันเสียงคำสั่งของคนที่เธอพร้อมจะมอบกายถวายชีวิตก็ดังขึ้น


"ไปที่เตียงกันเถอะ"


อัญชลิสาเหยียดยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคู่ที่ฉาบเคลือบด้วยความกระหาย เล็บยาวลากไปตามแผ่นอกพลางส่งสายตายั่วยวน ริมฝีปากสีแดงสดเผยอขึ้นก่อนจะกระซิบ "ถ้าอันไม่ไปล่ะคะ"


"จะแกล้งให้ผมตายอยู่ตรงนี้หรือไง" ปากพูดไปมือก็ยังคลึงเค้นเนื้อตัวของอีกฝ่าย


"ขาดอันไม่ได้ใช่ไหม" ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนกลีบปากคนตัวสูงกว่า "ถ้าขาดไม่ได้ก็ห้ามทำให้อันเสียใจ ไม่อย่างนั้นความลับของคุณก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป"


"ขู่ผมเหรอ" อัศนัยเหยียดยิ้มไม่ยี่หระ "ผมจะทำให้คุณรู้ว่าคนที่กล้าขู่ผมต้องพบกับอะไรบ้าง" พูดจบก็ช้อนร่างเปลือยลอยขึ้นในอากาศก่อนเดินไปที่เตียง


อัศนัยวางร่างบางลงบนที่นอนนุ่มก่อนจะแนบกายคลอเคลียผีเสื้อปีกสวยที่ทำให้ไฟปรารถนาลุกโชนขึ้่นอย่างยากที่จะหาวิธีดับ จากอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรง คงต้องปล่อยให้มันแผดเผาสองร่างไปปบบนี้จนกว่าจะเช้า



...



คันธชาติปิดประตูรถอย่างหงุดหงิดหลังจากพยายามติดเครื่องอยู่นาน แสงแดดยามบ่ายนอกจากจะทำให้ร้อนกายยังส่งผลให้ในใจร้อนตาม เมื่อมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลานัดจึงเดินดุ่มตั้งใจจะไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าคอนโด เป็นจังหวังเดียวกับที่แลนด์โรรเวอร์สีขาวเคลื่อนเข้ามาขวางไว้เสียก่อน หัวคิ้วขมวดมุ่นคลายออกเมื่อเจ้าของรถลดกระจกลง ธันวานั่นเอง ทำไมวันนี้ถึงกลับเร็วกว่าปกติ? แต่ก็ช่างเถอะ ชายหนุ่มทำท่าจะเลี่ยงไปอีกทางแต่อีกฝ่ายก็รั้งเอาไว้ด้วยคำถาม


“คุณจะไปไหนน่ะ”


“ผมนัดกับเจ๊พุดดิ้ง จะเข้าไปที่นาฏยกาล วันนี้เจ๊มีนัดคุยงานที่นั่น”


“แล้วทำไมไม่เอารถไป”


“รถเสียน่ะ ผมก็เลยจะออกไปเรียกแท็กซี่ ไปก่อนนะคุณ พอดีผมรีบ” เบนปลายเท้าไปอีกทางแต่ยังไม่ทันเริ่มเดินก็ต้องหยุด


“เอารถผมไปสิ”


“ว่าไงนะ”


“ผมบอกว่าให้เอารถผมไป”


“ไม่เป็นไร เผื่อคุณจะไปไหน”


“เอาไปเถอะ พอดีผมจะไม่อยู่หลายวัน” พูดจบก็หันไปคว้าเอกสารก่อนจะเกิดประตูลงมายืนเผชิญหน้ากัน


“จะไปไหน”


“ไปที่สัมมนาที่ต่างจังหวัดน่ะ กว่าจะกลับก็อีก 2-3 วัน”


“ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจนะ” คันธชาติยิ้มอย่างกับหมาได้กระดูก จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ


“ฝากดูแลด้วยล่ะ”


“จะระวังแบบมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยคอยดู” ชายหนุ่มยักคิ้วก่อนจะปรับกระจกขึ้น ในที่สุดแลนด์โรเวลอร์คันงามก็ถูกขับออกไป


คันธชาติขับรถมาจอดที่ห้องเสื้อพุทธรักษา ผลุบหายเข้าไปหลังร้านอยู่นานจนกระทั่งกลับออกมาในคราบของบุ๊ง เมื่อถามไถ่ถึงสาเหตุที่ต้องเข้าไปที่นาฏยกาลวันนี้ พุฒิพงศ์ก็เล่าให้ฟังว่าเลขาของอัศนัยโทรมาแจ้งว่าทีมเขียนบทขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของชุดก่อนจะดูความก้าวหน้าตามกำหนดประชุมเดิม


“เจ๊ขอโทษนะที่ไปกับน้องบุ้งไม่ได้น่ะ พอดีเขาบอกกระทันหัน แล้วเจ๊ก็นัดกับสวีทฮาร์ตไว้แล้วว่าวันนี้จะไปดินเนอร์กัน”


“ไม่เป็นไรน่าเจ๊ ผมไปคนเดียวได้ คงไม่มีอะไรเหมือนวันนั้นหรอก ทีมงานก็อยู่กันตั้งเยอะ พวกแก๊งนางฟ้าอีก” พูดจบคันธชาติก็ตบบ่ากะเทยร่างอวบเบา ๆ “ผู้ชายสำคัญกว่า งานเอาไว้ทีหลังก็ได้”


“หือ!!! น้องบุ้ง เจ๊กำลังจะซึ้ง” แกล้งตีแขนคนตัวสูงเบา ๆ “แต่ก็ขออบใจมากนะ”


“คร้าบบบบ ว่าแต่ยานอนหลับน่ะเตรียมไปหรือยัง”


คนฟังค้อนขวับก่อนจฉีกยิ้มกว้างในที่สุด “พร้อมย่ะ”


สองคนพากันหัวเราะคิก ไม่รู้ตัวเลยว่ามิตรภาพมันก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไร...


...


แลนด์โรเวอร์คันงามเข้ามาจอดที่บริเวณลานจอดรถใกล้ตึกร้างภายในอาณาบริเวณของโรงละครนาฏยกาล คันธชาติที่แปลงโฉมเป็นบุ๊งเปิดประตูลงจากรถ ทอดสายตาไปยังตึกหกชั้นที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ ท่ามกลางบรรยากาศหม่น ๆ ขายาวกาวเดินไปเรื่อย ๆ กระทั่งตึกนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นแก่สายตาจึงได้หยุด เงยหน้าขึ้นมองไปบนดาดฟ้าก่อนจะเลื่อนสายตาลงมายังจุดที่ตนเองยืนอยู่ คงเป็นตรงนี้กระมังที่กิ่งดาวตกลงมา ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งปล่อยใจคิดถึงเพื่อนรักที่ไม่อาจจะลืมเธอลงได้เลยสักวัน


“บุ่งบุ๊ง มายืนทำอะไรตรงนี้”


เสียงนั้นช่วยเรื่องความคิดของคันธชาติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มยิ้มบางก่อนจะกล่าว “บุ๊งหาทางไปห้องประชุมไม่เจอน่ะ”


“ว่าแล้วเชียว นี่ดีนะที่เจ๊พุดดิ้งโทรมาบอกเจ๊แคทไว้ นิกกี้เลยอาสาออกมาดูบุ่งบุ๊ง”


“ขอบใจนะนิกกี้”


“ไม่เป็นไร แต่คราวหลังน่ะอย่ามาทำอะไรแถวนี้นะ” กะเทยร่างเล็กล่าวพลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาด ๆ


“ทำไมล่ะ”


“ก็ตึกนี้น่ะ มีคนเคยตกลงมา วันดีคืนดีก็มีคนได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยนะ พูดแล้วขนลุก”


“ใครเหรอที่ตกลงมา”


“อืม...ก็เป็นนักแสดงใหม่นะ ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าเธอเป็นสาวประเภทสองอย่างเรานี่แหละ เพราะกฎของนาฏยกาลเข้มงวดมาก ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าปลอมเอกสารมาสมัครงาน มารู้อีกทีว่าเธอเป็นผู้หญิงก็ตอนที่เธอเสียชีวิตแล้ว คุณอัศนัยสั่งสอบสวนให้วุ่นว่าใครเป็นคนช่วยให้เธอได้เข้าทำงานแต่ก็ไม่มีใครยอมรับ”


คันธชาติพยักเนือย ๆ หลังจากได้ฟัง นั่นเป็นข้อมูลที่เขาเองก็พอจะรู้มาอยู่บ้างจากปากของพุฒิพงศ์ แต่ที่เขาอยากจะรู้ก็คือใครที่เป็นคนช่วยให้กิ่งดาวฝ่ากฎเหล็กเข้ามาทำงานมนนาฏยกาลได้สำเร็จต่างหาก


“ไปกันเถอะบุ่งบุ๊ง นิกกี้ไม่อยากอยู่แถวนี้นาน มันน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้”


นิกกี้ไปส่งคันธชาติที่ห้องประชุม เมื่อไปถึงชายหนุ่มก็พบว่าเขามาถึงเป็นคนแรกทั้งที่ใกล้เวลาแล้ว ร่างสูงเดินไปนั่งลงที่เก้าก่อนจะคิดทบทวนข้อมูลที่มีอยู่ในหัว เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้กระทั่งเสียงหนึ่งกระซิบที่ข้างหู


“คิดถึงคุณจัง”


คันธชาติลุกพรวดขึ้นก่อนจะหันกลับไปมองคนที่กำลังส่งยิ้มมาให้ ยิ้มของอัศนัยมันช่างเป็นยิ้มน่าขยะแขยงเสียเหลือเกินในความรู้สึกของเขา


“คุณอัศนัย”


“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะครับ หืม?” เจ้าของหน้าหล่อเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะสอดมือรั้งเอวสอบของสาวให้เข้ามายืนใกล้ ๆ


“ปล่อยบุ๊งเถอะค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”


“ไม่ปล่อย คราวที่แล้วคุณไม่อยู่รอผมผมยังไม่ได้ทำโทษเลยนะครับ” พูดจบก็เตรียมจะฉกจูบแต่อีกฝ่ายหลบทัน ทำเอาคนหื่นกระหายหัวเราะชอบใจ


“ปล่อยนะคะ” คันธชาติพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบและบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ แต่มือกลับกำหมัดแน่น โชคดีที่เสียงคุยเอะอะที่ด้านนอกทำให้รู้ว่ามีคนกำลังมาทางนี้ อัศนัยจึงรีบปล่ออยมือและเดินไปนั่งประจำที่ของเขา


สองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วในห้องมองกลุ่มคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามา หนึ่งในนั้นมีอัญชลิสาในชุดเดรสสั้นสายเดี่ยวสีดำเผยเนินอกดูยั่วยวน เธอเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ว่างข้างอัศนัย ก่อนจะส่งสบตาผู้ช่วยช่างเสื้อแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวก็เย็นวาบไปทั้งตัว คันธชาติยอมรับว่าอัญชลิสาผู้นี้มีดวงตาที่งดงาม แต่ในตัวตาคู่นั้นกลับมีบางอย่างแอบแฝง ซึ่งตัวเขาเองก็อธิบายไม่ถูก รู้สึกว่ามันมีสเน่ห์เย้ายวนลึกลับน่าค้นหาและน่าวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน


การประชุมเป็นไปอย่างกระชับเนื่องจากอัศนัยยังมีภารกิจต่อ ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดการประชุมคันธชาติจึงเอาตัวรอดได้อย่างสบาย ๆ ถือโอกาสแวะเข้าไปพบสามสาวแก๊งนางฟ้าที่ห้องซ้อมก่อนจะกลับ เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปก็พบว่าแทนที่จะซ้อมละคร บรรดากะเทยน้อยใหญ่ต่างก็กำลังสุมหัวกันทำอะไรสักอย่างจนไม่ได้สนใจคนที่เดินเข้ามา


“ดูอะไรกันน่ะเจ๊” พยามยามจะโผล่หน้าเข้าไปว่าเขาดูอะไรกันแต่ก็โดนดีดออกมา


“ดูชุดที่นังอันมันใส่วันนี้อยู่น่ะสิ นั่นน่ะแฟชันใหม่ล่ะสุดเลยนะ เมื่อวันก่อนยังเห็นอยู่ในนิตยสารแฟชัน วันนี้มันไปสอยมาใส่เฉย” แคทเบ้ปากหลังจากเดินห่างออกมาจากกลุ่ม


“ก็เขาสวย รวย แถมยังเป็นคนโปรดนี่เจ๊ก็...” จีจี้กล่าวก่อนจะเดินไปนั่งลงที่มุมห้อง หลังจากนั้นสาว ๆ ก็พากันแยกย้ายไปซ้อมเหมือนเดิม


“ดูหน่อยสินิกกี้ เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องประชุมเห็นไม่ชัด” คันธชาติที่นั่งเท้าคางรอกวักมือเรียกเจ้าของโทรศัพท์ จากนั้นกะเทยร่างเล็กก็เดินรี่เข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ดู


“ดูสิหลังเว้าลงไปเกือบถึงเอวโน่นแน่ เซ็กซี่จังเลย”


“จริงด้วย” คันธชาติกล่าวก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “นิกกี้ส่งให้บุ๊งบ้างสิ บุ๊งจะไปหาชุดแบบนี้ใส่บ้าง”


“ได้สิ” นิกกี้รับคำก่อนจะจัดการส่งภาพของอัญชลิสาในอิริยาบถต่าง ๆ ที่แอบถ่ายไว้ให้คันธชาติ


“ขอบใจนะ” นิ้วเรียวแตะลงบนหน้าจอโทรศัพท์พลางดูภาพที่ถูกส่งมาทีละภาพ 


คันธชาติออกมาจากนาฏยกาลเมื่อตอนหัวค่ำ ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจขับรถตัดเข้าซอยเปลี่ยวหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด มุ่งหน้าไปตามถนนที่ความกว้างแค่รถสวน เส้นทางนี้เป็นทางลัดออกสู่ถนนใหญ่ ซึ่งพุฒิพงศ์เคยพาเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ตาจะมองทางแต่ในใจกลับครุ่นคิดเรื่องที่สงสัย


คันธชาติมองกระจกหลังเห็นรถเก๋งติดฟิล์มทึบแล่นตามมา จึงชะความเร็วปล่อยให้แซงขึ้นไปก่อน แต่รถคันดังกล่าวกลับยังคงขับตีคู่ไปเรื่อย ชายหนุ่มตัดสินใจเหยียบคันเร่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจก่อกวน แต่แล้วรถคันดังเดิมก็เร่งเครื่องแซงขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหักพวงมาลัยกะทันหันปาดหน้าเลี้ยวเข้าซอยข้างไป คันธชาติไม่ทันได้เหยียบเบรกเพราะอยู่ในระยะประชิดตัดสินใจหักพวงมาลัยเบี่ยงออกขวาก่อนจะรีบหักกลับอย่างรวดเร็วเพื่อหลบรถที่ตามหลังมาจนเบียดเข้ากับเสาไฟริมทาง  ชายหนุ่มเหยียบเบรกตัวโก่งก่อนจะปลดเกียร์ว่างก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถ เดินสำรวจความเสียหายรอบคันท่ามกลางสายฝนกระทั่งมาหยุดที่ฝั่งซ้าย ถัดจากไฟหน้าปรากฏเป็นรอยถลอกยาวเกือบศอก


“โธ่โว้ย! อุตส่าห์บอกเจ้าของว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ดันเป็นรอยเสียเนี่ย” คันธชาติเกาหัวแกรก ป่านนี้อู่ซ่อมรถคงปิดกันหมดแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงเดินอ้อมกลับมา ตั้งใจจะกลับคอนโดแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เมื่อเดินพ้นหน้ารถมาไหน่อยแสงไฟจากรถที่ขับมาด้วยความเร็วก็สาดกระทบใบหน้าจนต้องหยีตา


ตุ้บ!!!



เสียงนั้นดังขึ้นเมื่อแสงไฟดับวูบลง ฟังคล้ายกับเสียงแตงโมที่คนงานในฟาร์มทำหลุดมือจนหล่นลงพื้นแตกกระจาย  พลันความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นจากศีรษะไปจนถึงปลายนิ้วเท้า ความเหน็บหนาวโอบล้อมร่างกายที่นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นหยาบกระด้างของถนนที่นองไปด้วยเลือด



อดคิดไม่ได้ว่าวินาทีสุดท้ายของกิ่งดาวจะเป็นเช่นเดียวกันนี้ไหม...



ได้ยินเสียงไซเรน...

ได้ยินเสียงผู้ชายผู้หญิง ฟังดูรีบร้อน...

ได้ยินเสียงโละกระทบกัน...



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2015 09:33:28 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)



และก็ยังโชคดีที่ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง กับเสียง...ของแม่...


“บุ้ง ลูกฟื้นแล้ว”


เสียงของแม่ดังก้องอยู่อยู่ในโสตประสาทเหมือนแสงสว่างที่จุดขึ้นที่ปลายทางและเปลือกตาหนักเปิดขึ้นอีกครั้ง ภาพแรกที่เห็นก็คือรอยยิ้มบนใบหน้าติดจะกังวลของผู้เป็นแม่ คันธชาติมองสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีสะอาดตา คันธชาติยกแขนข้างที่มีสายยางเส้นเล็กเชื่อมกับถุงน้ำเกลือที่แขวนอยู่ข้างเตียงขึ้นดู มันระโยงระยางจนน่ารำคาญ ชายหนุ่มพยายามจะขยับตัวลุกขึ้น แต่ความปวดหนึบที่ศีรษะและแขนข้างที่เหลือก็แล่นเตือนให้รู้ว่าควรจะอยู่นิ่ง ๆ   


“อย่าเพิ่งลุกขึ้นมาลูก” นายหญิงบุปผากล่าวพลางใช้มืออันอ่อนโยนยึดร่างลูกชายเอาไว้


“แม่ มันเกิดอะไรขึ้น”


“ลูกถูกรถชน สลบไปหลายวัน ตอนกาจโทรไปบอกแม่กับพ่อใจคอไม่ดีเลย” ผู้เป็นแม่กล่าวเสียงเครือ “แล้วนี่ลูกเจ็บตรงไหนบ้าง”


“บุ้งไปเป็นไรแม่ แค่เจ็บตรงหัวแล้วก็ระบมตามตัวแค่นั้นเอง” คันธชาติกล่าวพลางกุมมือสั่นเท่าแน่นเพื่อบอกให้คนฟังมั่นใจว่าเขาไม่เป็นอะไรจริง ๆ


“แล้วพ่อล่ะครับ”


“เพื่อนลูก...ธันวาน่ะ เขาพาพ่อ ลุงพิพัฒน์แล้วก็ป้ากิ่งกาญจน์ไปทานข้าว”


คนฟังพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “แล้วแม่ล่ะทานอะไรหรือยัง”


ผู้เป็นแม่เลี่ยงที่จะตอบโดยการถามกลับ “ลูกหิวไหม แม่จะหาอะไรให้ทาน”


คันธชาติส่ายหน้า “ขอน้ำสักครับก็แล้วกันครับแม่” พูดจบก็หลับตาลงอีกครั้ง


หลังจากแพทย์เจ้าของไข้เข้ามาตรวจดูอาการแล้ว คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็พากันเข้ามาในห้อง ทั้งนายทินกฤต พิพัฒน์และกิ่งกาญจน์ดูมีสีหน้าเป็นกังวลไม่แพ้กัน ไม่มีเสียงหัวเราะหรือรอยยิ้มเหมือนก่อนจนคนป่วยต้องเอ่ยปากเตือน


“พ่อ ลุงแล้วก็ป้าเลิกทำหน้ายุ่งได้แล้ว บุ้งไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อยยังแข็งแรงดี” พูดจบก็เผลอตัวยกแขนที่ใส่เผือกอ่อนขึ้นจนเจ้าตัวเองต้องร้องโอดโอย


“เจ็บขนาดนี้แกยังว่าไม่เป็นอะไรมากอีกเหรอ นี่ดีนะที่แค่แขนเดาะ” ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าเพลียกลับความขี้เล่นของลูกชาย


“นี่ดีนะคะที่ได้อาจารย์ธันวาเป็นธุระให้ แถมยังรับอาสาเฝ้าบุ้งแทนคุณทินกฤตกับคุณบุปผาอีก” กิ่งกาญจน์กล่าวด้วยความชื่นชม จนคันธชาติต้องเบนสายตาไปยังหนุ่มมาดนิ่งที่ยังคงยืนสงบนิ่งเหมือนหน้าตาอยู่ที่หลังห้อง ยังไม่ทันจะกล่าวขอบคุณกันเหล่าผู้ร่วมขบวนการก็เปิดประตูพรวดเข้ามาเสียก่อน


ทั้งเก่งกาจ พุฒพงศ์และอารตีต่างก็มากันพร้อมหน้า ทั้งหมดกล่าวทักทายบรรดาผู้ใหญ่ที่อยู่ในห้องก่อนที่พุฒิพงศ์จะโผเข้าหาคันธชาติทั้งน้ำตา


“ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะคะน้องบุ้ง เจ็บตรงไหนบ้างลูก ตอนเจ๊รู้ข่าวน่ะตกใจแทบแย่” พูดไปก็ปาดน้ำตาไป 


“ผมหนังเหนียวน่าเจ๊” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ


“ฟาดเคราะห์ไปนะคะพี่บุ้ง” อารตีกล่าวก่อนจะเอื้อมมือจับแขนเย็นเฉียบของอีกฝ่าย


คนฟังพยักหน้าก่อนจะหันไปมองเพื่อนรักที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียง รู้ว่าเขาคงมีคำถามมากมายอยากจะถาม


“จำได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ร.ต.อ. เก่งกาจถามเสียงขรึม


“จำได้แค่ขับรถเบียดเสาไฟฟ้าก็เลยลงไปดู รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”


หลังจากคุยกับคนป่วยเกี่ยวกับแหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่พักใหญ่ พิพัฒน์ก็ขอตัวพาภรรยากลับปากช่อง ส่วนธันวาก็รับอาสาไปส่งพ่อกับแม่ของคันธชาติที่คอนโดเพื่อให้ทั้งสองได้พักผ่อนหลังจากต้องเครียดมาหลายวัน ชายหนุ่มกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งและพบว่าทุกคนยังคงอยู่กันครบ


“เอาละ อยู่กันครบแล้ว แกเล่ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เก่งกาจถามคำถามที่เพิ่งถามไปเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนอีกครั้ง


“แต่น้องบุ้งก็บอกแล้วนี่คะว่าจำอะไรไม่ได้” พุฒิพงศ์เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะเดินมาเกาะเตียง


คันธชาติสบตาเพื่อนรักก่อนจะเริ่มเล่า “มีรถขับตามฉันมา มันเร่งเครื่องตีคู่ขึ้นมาแต่ก็ไม่แซงสักทีทั้งที่ฉันชะลอให้ พอฉันเร่งเครื่องบ้างมันก็ปาดหน้าหายเข้าไปในซอย ฉันหักหลบมันแล้วก็หักหลบรถคันหลังจนรถเบียดเสาไฟ พอลงไปดู กำลังจะกลับมาขึ้นรถ ไอ้รถคันนั้นไม่รู้มาจากไหน พุ่งเข้ามา พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แหละ”


“แกจำทะเบียนได้ไหม”


คันธชาติส่ายหัว “มันเปิดไฟสูง แล้วฝนก็ตกหนักมาก”


“เอาละ แกจำไม่ได้ไม่เป็นไร โชคดีที่มีพลเมืองดีเห็นเหตุการณ์ แล้วเขาก็จำเลขทะเบียนมันได้ คิดว่าไม่นานคงจับตัวได้”


“ไอ้กาจ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างแผ่วเบา “ฉันคิดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุว่ะ”


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้าไม่พูดอะไร กระทั่งกะเทยร่างอวบที่ยืนอยู่ข้างกับอารตีที่ปลายเตียงเอ่ยขึ้น


“น้องบุ้งก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหน หรือจะเป็นเพราะข่าวในหนังสือพิมพ์บันเทิงนั่นคะ”


สองสาวมองหน้ากันก่อนจะเปลี่ยนมากุมมือกันอย่างหวาดหวั่นแทน


“อืม...ก็ไม่แน่นะ แต่ว่าใครกันที่จะทำแบบนั้น” เก่งกาจกล่าวพลางถูคางตัวเอง


“เจ๊ก็ไม่รู้ค่ะ แต่ช่วงนี้เจ๊ว่าเราควรจะทำให้บุ่งบุ๊งหายตัวไปสักพัก อีกอย่างน้องบุ้งจะได้เอาเวลาช่วงนี้รักษาตัวด้วย”


“ผมเห็นด้วยกับพี่พุดดิ้งนะ” ธันวาที่ยืนเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น


“รตีก็เห็นด้วยนะคะ พี่บุ้งน่าจะกลับไปอยู่บ้านสักพัก”


“เอาเป็นว่าถ้าหมออนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อไรแกก็กลับไปปากช่องก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องคนที่ชนแกน่ะ ฉันจะสืบหาตัวมันเอง” เก่งกาจสรุป


เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับ คันธชาติก็หลับตาลงช้า ๆ ห้องทั้งห้องกลับเงียบลงอีกครั้ง ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกกับเสียงฝีเท้าของคนที่เดินไปเดินมาอยู่ข้างเตียง


“ไหนบอกว่าจะไปสัมมนาไง”


“พอรู้เรื่องคุณก็เลยให้คนอื่นไปแทน”


“ชอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลพ่อกับแม่ผม”


“ไม่เป็นไร” คนพูดน้อยตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะนั่งลงอ่านหนังสือที่โซฟา


ผ่านไปพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงถอนใจพรืด ธันวาจึงเงยหน้าขึ้นชะเง้อมองคนป่วยที่ลืมตาโพลงมองเพดานว่างเปล่า


“ผมทำให้คุณตื่นหรือเปล่า”


“เปล่าหรอก ผมยังไม่หลับ”


“ปวดหัวหรือเปล่า” ธันวากล่าวเมื่อย้ายมานั่งลงข้างเตียง ในขณะที่คันธชาติได้แต่โคลงศีรษะก่อนจะเอียงคอสบตาอีกฝ่าย


“นึกไม่ออกจริง ๆ”


“เรื่องอะไร”


“เรื่องสุดท้ายที่คิดก่อนจะถูกรถชน”


“เรื่องงานของพี่พุดดิ้งละมั้ง ก่อนหน้านั้นคุณไปคุยงานแทนเขามานี่”


“ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องนั้น มันสำคัญกว่านั้น แต่นึกไม่ออก”


“ค่อย ๆ คิดก็ได้ วันนี้คิดไม่ออกก็นอนก่อน ตื่นมาค่อยคิดต่อ ถ้าคิดไม่ออกก็ช่างมันเถอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นดึงผ้าห่มให้คนที่พยายามต่อสู้กับความอ่อนเพลีย ตาคมทอดมองใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นกำลังจะปิดลง มันกำลังจะปิดลง หากเป็นเมื่อ 2-3 วันก่อนเขาคงกลัวที่ต้องเห็นเปลือกตาปิดสนิทของอีกฝ่าย กลัวว่าจะไม่ได้เห็นแววขี้เล่นภายใต้เกราะกำบังนั่นอีก แต่ข่าวน่ายินดีที่ได้รับในวันนี้กลับทำให้เขาเชื่อเหลือเกินว่าเมื่อพรุ่งนี้มาถึงดวงตาคู่นี้จะเปิดขึ้นมาสบกันอีกครั้ง


เมื่อได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล คันธชาติก็กลับไปพักฟื้นที่บ้าน ธันวาเองก็ยังใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ตามปกติ ในขณะที่พุดดิ้งบอกกับทุกคนว่าบุ่งบุ๊งประสบอุบัติเหตุจนต้องกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน ส่วเก่งกาจก็ยังคงสืบหาคนร้ายที่ขับรถชนเพื่อนของเขามาลงโทษ


เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ชีวิตของ ดร.ธันวา เหมือนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ชายหนุ่มจ้องมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังคงปิดสนิท ในคอนโดไม่มีกลิ่นสปาเก็ตตี้ปลาเค็ม ไม่มีเสียงกริ่งกวนใจ เพราะเด็ก ๆ ต้องเตรียมอ่านหนังสือสอบ ส่วนผู้ใหญ่...ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ทุกสิ่งรอบตัวดูเงียบสงบอย่างที่เขาชอบ แต่มันกลับสงบ...เสียจนเหมือนขาดอะไรไปนี่สิ
   

....



แลนด์โรเวอร์เคลื่อนฝ่าสายหมอกไปตามถนนสายแคบกระทั่งมาหยุดที่ทางแยก ก่อนจะเลี้ยวไปตามป้ายบอกทางมุ่งหน้าสู่ ‘ฟาร์มแสงฉาน’ แต่เมื่อถึงที่นั่นนายหญิงของบ้านกลับตอบไม่ได้ว่าลูกชายของเธอไปไหนตั้งแต่เช้า ดังนั้นธันวาจึงขับรถตระเวนถามไปเรื่อย กระทั่งได้ความว่านายน้อยจอมซนน่าจะไปขลุกอยู่ที่คอกม้าท้ายไร่ แต่เมื่อไปถึงก็ไร้เงาคนที่อยากจะพบ


ธันวาจอดรถใต้ต้นปีบต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ดอกสีขาวก้านยาวแม้จะเป็นดอกไม้เล็ก ๆ แต่กลับส่งกลิ่นหอมหวานเกินตัว ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในคอกม้าถามหาคันธชาติเอากับเจ้าหนูที่กำลังเอาหญ้าให้ลูกม้ารุ่นที่ยืนทำส่งเสียงฟืดฟาดอยู่ในคอก


“น้องครับ”


เมื่อคนถูกเรียกหันกลับมาธันวาก็ต้องประหลาดใจ เพราะหน้าที่ฉาบทับด้วยดินโคลนหนาเตอะ “พี่มาหาใครครับ” หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาว “จำได้แล้ว พี่รูปหล่อนี่เอง”


“เราเคยเจอกันเหรอ” ธันวาถามด้วยความสงสัย


“จำได้สิครับ ก็พี่ที่มาถามหาคนชื่อคันธชาติ” เด็กชายกล่าวพลางส่งหญ้าเข้าปากม้า “แหม...ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ ที่แท้ก็ชื่อนายน้อย นายน้อยก็นั่งเอาโคลนป้ายหน้าอยู่ด้วยกันนั่นละ”


คำบอกเล่าของอีกฝ่ายเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของธันวาได้ไม่น้อย


“นายน้อยยังบอกเลยว่าถ้าอยากหล่อเหมือนพี่รูปหล่อคนนั้นให้เอาโคลนทาหน้า คนกรุงเขาทำกัน”


เจ้าของร่างสูงยิ้มกว้าง นึกถึงเมื่อครั้งนั้น ที่แท้ก็อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมแต่กลับจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน นายน้อยคนนี้ช่างแสบจริง ๆ


“แล้วนายน้อยไปไหนเสียล่ะ ถึงไม่มาช่วยเลี้ยงม้า”


“ไปงานประจำปีที่ตัวอำเภอโน่นแน่ะครับ”


“มันอยู่ตรงไหนเหรอที่จัดงานที่ว่าน่ะ”


“พี่จะไปด้วยกันไหมล่ะ เดี๋ยวเอาหญ้าให้ม้าเสร็จผมกับตาก็จะไปที่นั่นอยู่พอดี”


“เอาสิ” ธันวาพยักหน้า


หลังจากรอหนุ่มน้อยทำงานจนเสร็จเรียบร้อย รถกระบะคันเก่าก็พาทั้งตาและหลานรวมถึงหนุ่มกรุงเทพฯ มาถึงสถานที่จัดงานประจำปี โดยปีนี้ฟาร์มแสงฉานได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงผลิตผลทางการเกษตรด้วย ธันวากระโดดลงจากท้ายรถกล่าวขอบคุณคนมาส่ง มองดูร้านรวงต่าง ๆ ในพื้นที่เกือบยี่สิบไร่ พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้แล้วจะหาเจอได้อย่างไรกัน


ชายหนุ่มเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ ตามคำแนะนำของสองตาหลาน ภายในงานมีทั้งร้านค้าการเกษตร พื้นที่แสดงสัตว์พันธุ์ดีจากฟาร์มต่าง ๆ การแสดงการรีดนมวัว สอนขี่ม้าและอีกมากมาย เดินไปทางไหนก็เห็นแต่รอยยิ้มที่เป็นมิตร นึกอิจฉาคันธชาติอยู่เหมือนกันที่เติบโตมากับบรรยากาศแสนสงบเช่นนี้


เดินอยู่นานจนในที่สุดก็มาถึงซุ้มนิทรรศการและร้านค้าผลผลิตทางการเกษตรของฟาร์มแสงฉาน แต่ก็ไร้เงาของนายน้อยคันธชาติอยู่ดี


“ไปอยู่ไหนของเขานะ” ธันวาบ่นกับตัวเองพลางเงี่ยหูฟังเสียงโห่ฮาที่ดังแว่วมาไกล ๆ ที่สุดทางเดินนั่นเต็มไปด้วยหนุ่มสาวชาวไร่ ไม่รู้ว่ากำลังมุงดูอะไรกันอยู่ หรือว่าจะเป็นผักผลไม้ยักษ์ สัตว์แปลก ๆ คงไม่เสียเวลาสักเท่าไรที่จะเดินตามไปดู คิดได้ดังนั้นขายาวก็ก้าวไปตามทางเดินที่ขนาบด้วยร้านค้ากระทั่งมาหยุดที่ซุ้มชื่อแปลก ๆ

 
‘นายน้อยตกน้ำ’


พลันเสียงโฆษกประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงก็ดังขึ้น “เอ้า...เร่เข้ามา ๆ สองมือล้วงกระป๋อง”


“เฮ้ย! กระแป๋ง!”


“เฮ้ย! กระเป๋า!”


“เฮ้ย! ถูกแล้ว! แหม...ไอ้พวกนี้ช่วยกันรับมุกดีจริง ๆ” จบประโยค บรรดาหนุ่ม ๆ ที่เป็นลูกคู่ต่างก็พากันเป่าปากโห่ฮาไปตามประสา


“สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้แก้แค้น”


“เฮ้ย! ทำบุญ!” คนหนึ่งร้องแก้


“อ่ะใช่ ทำบุญ ๆ ซุ้มนี้มีทีเด็ด เพราะเราจับลูก ๆ ของบรรดาเจ้านายมาเป็นสาวน้อยตกน้ำ เร่กันเข้ามา บอลสำหรับปากระป่องละร้อย เงินที่ได้สมทบทุนโครงการโคคืนนาของจังหวัด ใครปาถูกนอกจากจะได้ทำบุญแล้วยังได้บรรดาคุณหนูไปเป็นเพื่อนเดินเที่ยวงานด้วย เอ้า! พ่อแม่พี่น้องเร่กันเข้ามา มาร่วมด้วยช่วยกันทำบุญเยอะ ๆ นะครับ”


เมื่อโฆษกกล่าวจบ สาวน้อยในชุดคาวเกิร์ลก็ขึ้นนั่งประจำที่เหนือถังน้ำขนาดใหญ่ บรรดาหนุ่ม ๆ ต่างกรูกันจ่ายเงินก่อนจะรับกระป๋องใส่ลูกเทนนิสกระป๋องละ 3 ลูกมาเตรียมพร้อม แต่ก็มีเพียงคนเดียวที่ได้สิทธิ์ปาก่อน


“คนนี้คือคุณหนูส้มจี๊ดแห่งฟาร์มศุภโชค ใครปาโดนระวังคุณพ่อจะเอาปืนมายิง”


คนฟังต่างพากันหัวเราะ แต่มีหรือจะกลัว หนุ่มที่ได้สิทธิ์ปาก่อนยืนประจำที่ก่อนจะเล็งไปที่เป้า และเมื่อเขาปล่อยลูกบอลออกจากมือ ลูกกลมก็ลอยกระทบเป้าเต็มแรง ทำให้สาวน้อยที่นั่งลุ้นอยู่บนแผ่นไม้ตกลงมาเปียกปอน เรียกเสียงโห่ร้องชอบอกชอบใจได้ล้นหลาม

ธันวายิ้มกับตัวเอง เพิ่งเคยเห็น เกมแบบนี้ก็มีด้วย กำลังจะเดินจากออกมา เสียงประกาศระลอกใหม่ก็ทำให้ต้องหยุดอยู่กับที่


“คนต่อไป นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉาน ลูกชายนายทินกฤต” สิ้นเสียงโฆษก บรรดาคนงานก็พร้อมใจกันเรียก ‘นายน้อย...นายน้อย’ ยังกับเรียกศิลปินคนโปรด


ธันวาหันกลับไปมองชายหนุ่มในชุดคาวบอยที่กำลังขึ้นนั่งประจำที่ ดูหน้าตาไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไรนัก เจ้าของหน้าบูดบึ้งชี้หน้าคนเชียร์เรียงตัวก่อนจะเอ่ยขึ้น “ใครปาโดนจะตัดเงินเดือนให้หมด” เท่านั้นบรรดาลูกคู่และต้นเสียงก็พากันเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าแหลมหน้าเข้าไปจ่ายเงินเลยสักคนเดียว ไม่ว่าจะสาวหรือหนุ่ม 


คันธชาติยิ้มกริ่มอยู่ในใจ กะว่ารอดแน่งานนี้กระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นดับฝัน


“ผมเหมาหมดครับ”


หนุ่มแปลกหน้าเอ่ยขึ้นก่อนจะวางเงินลงบนโต๊ะ รับกระป๋องใส่ลูกบอลจากมือโฆษกมาถือไว้ จากนั้นก็หันไปสบตาคนที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน พลันรอยยิ้มก็ฉาบแต้มไปบนใบหน้า


‘ซวยแล้ว’


และด้วยบอลเพียงลูกเดียวซึ่งธันวาปาออกไปเต็มแรงที่ทำให้นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานตกลงไปในน้ำ


คันธชาติตะเกียกตะกายขึ้นจากถังก่อนจะเดินหายไปที่หลังซุ้มโดยมีธันวาเดินตามไปติด ๆ คนตัวเปียกบ่นอุบทันทีที่ได้พบหน้ากัน แต่นั่นกลับทำให้ธันวารู้สึกว่าชีวิตของเขากลับเข้าสู่สภาวะไม่ปกติอย่างเป็นปกติอีกครั้ง


....



รถกระบะคันเดิมพาคันธชาติและธันวากลับมาส่งที่คอกม้าท้ายไร่เมื่อตอนบ่ายคล้อย เมื่อกระโดดลงจากรถได้ คันธชาติก็จัดการถอดรองเท้าบูทเทน้ำออกแล้ววางผึ่งไว้ที่โคนต้นปีบ 


“จะกลับบ้านเลยไหมผมจะไปส่ง” ชายหนุ่มมาดนิ่งถามคนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ถลกขากางเกงชุ่มน้ำขึ้น


“ยังหรอก รอให้ตัวแห้งก่อน เดี๋ยวรถคุณเปียก”


“ถ้าอย่างนั้นไปนั่งก่อน” พูดจบเจ้าของแลนด์โรเวออร์ก็เปิดท้ายรถออกก่อนจะขึ้นไปนั่งห้อยขามองดูคนที่กำลังเดินตามมานั่งข้างกัน


“คิดยังไงถึงมาปากช่อง”


“คิด...ว่าคุณหายดีหรือยังก็เลยมาดูน่ะ แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง”


“แผลที่หัวหายแล้ว ส่วนแขนยังเจ็บแปลบ ๆ อยู่น่ะ แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากหรอก หมอบอกว่าอีกไม่นานก็หาย ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง”


“ทุกคนสบายดี อารตีฝากความคิดถึงถึงคุณด้วยนะ”


คันธชาติพยักหน้ายิ้ม ๆ พูดถึงอารตีแล้วทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อีกไม่นานก็คงได้กลับไป” ริมฝีปากบางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มีอีกหลายเรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้เพราะฉะนั้นเขาต้องกลับไปแน่ ๆ


“ต้องกลับสิ เพราะคุณยังติดเลี้ยงข้าวผมหนึ่งมื้อ” ธันวาพูดติดตลกพลางหัวเราะในลำคอ


“จำได้หรอกน่า” พูดจบก็ลงจากท้ายรถเดินอ้อมไปดูรอยแผลจากเหตุการณ์คราวนั้น เห็นว่าเจ้าของรถยังไม่ได้ทำอะไรกับมันจึงเดินมาบอก “ส่วนเรื่องรถคุณน่ะ เดี๋ยวผมจะให้ไอ้กาจมันจัดการให้”


“ไม่ต้องก็ได้ รอยนิดหน่อยเอง ที่ยังไม่ได้ทำสีก็เพราะผมไม่มีเวลาน่ะ”


“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะจัดการให้ ผมรับผิดชอบพอหรอก”


ธันวาสบตาคนพูดอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่เก็บอยู่ในใจ “แล้วที่มาทำดีกับผม ทำให้ผมรู้สึกดีล่ะ คุณจะรับผิดชอบยังไง”


คันธชาติจ้องคนตรงหน้าตาเขม็ง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นี่เขาเรียก ‘สารภาพ’ กลาย ๆ หรือเปล่า


“ค...คุณว่าอะไรนะ”


“ผมรู้ว่าคุณได้ยินมันชัดเจน”


“ด...ได้ยิน แต่คิดว่าฟังผิด”


“ผมหมายความตามที่พูด”


“เฮ้ย! ล้อเล่นแบบนี้ไม่แรงไปหน่อยเหรอคุณ ได้ปาผมตกน้ำแล้วยังจะแค้นอะไรอีก” คันธชาติทำใจดีสู้เสือ ยังพยายามคิดว่าที่ได้ฟังเมื่อครู่เป็นเรื่องล้อกันเล่น


“ผมไม่เคยล้อเล่น คนที่ล้อเล่นคือคุณต่างหาก ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่น ชอบทำอะไรเล่น ๆ ให้คนอื่นเขาเป็นห่วง”


“น...นี่คุณ ไม่จริงใช่ไหม ค...คุณไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น แบบที่ไอ้กาจมันว่า”


ธันวาถอนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนตรงหน้า ชายหนุ่มตัดสินใจคว้าข้อมือของอีกฝ่ายมาวางแนบอกข้างซ้ายหวังจะถ่ายทอดทุกสิ่งที่เก็บไว้ผ่านแรงสั่นสะเทือนที่แม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถจะควบคุมมันได้


เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ดังนั้นจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปเฉย ๆ ไม่เก็บไว้เป็นความลับในหัวใจอีกแล้ว



“ถ้าผมไม่คิดอะไร เวลาอยู่ใกล้คุณหัวใจจะเต้นแรงแบบนี้ไหม”






มุดก้นม้าให้ขาดอากาศหายใจตายไปเลยบุ้ง...




....


ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ตอนนี้เป็นตอนที่ 11 คิดว่าน่าจะใกล้จบแล้วค่ะ

ตั้งเป้าไว้ประมาณ 15 ตอนหรืออาจะมากกว่านี้นิดหน่อยค่ะ

พยายามจะขยันเขียนให้จบโดยไว เพราะว่ามีภารกิจอีกแล้ว

ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตาม ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2015 09:28:14 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
สนุกมากจริงๆ ค่ะ
ชอบๆๆๆ

จริงๆ ถูกใจ ตายไปเลยบุ้ง
แต่ มุดก้นม้า ก็ฮานะคะ
 :katai2-1:

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
อัศนัยค่ะอย่าไปเป็นสามีนุ๋งบุ๊งเลยค่ะ เจ็ว่าไปเป็นคุณนายผู้กองดีกว่าค่ะ  :z1:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ค.ห ข้างบนคิดเหมือนเราเลย
แต่อัศนัยชอบสาวประเภท 2 ใช่ม๊า ไม่ได้ชอบผู้ชาย และคิดว่าไม่ชอบผู้หญิง
คิดว่าเป็นคุณนางเอกโรงละครนะที่น่าสงสัย
อ.ธันวาเริ่มออกตัวแล้วสิ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอเดาว่าอัศนัยหลงรักกิ่งดาวแล้วอัญหึงเลยฆ่ากิ่งด้วยการผลักตกตึกค่ะ
มั่วล้วนๆ 55555555555

รอตอนต่อไปนะคะ  :katai4:
เชียร์อัศนัยกับผู้กองรัวๆเหมือนคห.บน  :hao7:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
แอบคิดเหมือรีบนๆ ทั้งเรื่องกิ่งโดนฆ่า
แล้วก็เรื่องอัสนัยกับผู้กองค่าาาาา หุหุ

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
อ้าว! ลืมเรื่องชุดเปิดหลังไปเฉย
นั่นน่ะต้องเป็นเงื่อนงำต่อไปแน่ๆ
เปิดดูรูปในมือถือสิบุ่งบุ๊ง

นึกว่า ดร.ปลายปีจะตัดใจแล้ว
นี่ยังตามมากระตุ้นเตือนกันถึงปากช่อง
เข้าไปสู่ขอกับพ่อแม่ต่อได้เลยนะเนี่ย

ปล. เห็นคำผิดนิดหน่อย แต่ไม่บอกละ เพราะเดี๋ยวคุณ ถธปทฟ คงมาแก้เอง
แต่! สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม จะกลายเป็น คะน้าปลาเค็มไม่ได้นะ ถึงจะเป็นเมนูที่อร่อยทั้งสองเมนูก็เถอะ ฮ่าาาาา

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
 น้องอันหึงโหดแท้ อันที่จริงควรไปจัดการตัวต้นเหตุ เจ้าชู้เกิน
คุณดร.ตามมาสารภาพถึงบ้าน บุ้งจะว่ายังไง

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
บุ้งน่ารักจริงๆ จะมุดก้นม้าตายเลยเหรอ 555+

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
“ถ้าผมไม่คิดอะไร เวลาอยู่ใกล้คุณหัวใจจะเต้นแรงแบบนี้ไหม”

 :katai1: :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด