ตอนที่ 13 โรงละครร้าง
สายลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกปีบฟุ้งกระจายท่ามกลางละอองฝนที่เริ่มซาเม็ดลง ถึงกระนั้นเช้านี้การจราจรในกรุงเทพฯ ก็ยังคงกลายเป็นอัมพาตอย่างไม่ต้องสงสัย
ตาคมทอดมองออกไปนอกประตูระเบียงที่เปิดแง้มอย่างไร้จุดหมาย แม้จมูกจะสัมผัสกับกลิ่นที่โปรดปราน แต่แทนที่คันธชาติจะสดชื่นเหมือนเคยกลับดูเห่อเหี่ยวเสียยิ่งกว่าดอกไม้ที่โรยราร่วงลงสู่ผืนดินเพราะแรงลมเสียอีก เสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะดังเว้นจังหวะสม่ำเสมอสอดรับกับเสียงเดินของเข็มวินาทีนาฬิกาติดฝาผนัง
หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันทุกครั้งเมื่อคำถามใหม่เกิดขึ้นในใจและวนมาให้คิดหาคำตอบไม่จบไม่สิ้น ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระดาษที่วางแผ่อยู่บนระนาบไม้ตรงหน้าขยับไหว ทั้งภาพข่าวเก่า ทั้งภาพถ่ายรวมถึงข้อมูลใหม่ที่ได้มาสด ๆ ร้อน ๆ วางกระจัดกระจายไร้ระเบียบพอ ๆ เรื่องในหัวตอนนี้ ทั้งที่พยายามจะคลายปมจากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีแต่เวลานี้กลับรู้สึกว่ายิ่งพยายามปมนั้นก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่า
เสียงเรียกเข้าที่แผดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันช่วยเรียกความคิดที่กำลังใกล้คำว่าฟุ้งซ่านเข้าไปทุกขณะให้กลับมารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนอีกครั้ง ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์กดรับสายจากนั้นก็กรอกคำถามยาวยืดไม่เปิดช่องให้คนโทรมาได้พูด
"แกว่าดรามาติก ทเวลฟ์ กับข้อความเลขสิบสองของกิ่งจะเกี่ยวข้องอะไรกันไหมวะ แล้วก็อัญชลิสา...กับ...นายอัศนัยน่ะ น่าจะรู้สิว่ากิ่งเป็นใครเพราะพวกเขาเคยทำงานด้วยกันมาก่อน แต่ทำไม..."
"พอ ๆ ไอ้บุ้ง แกใจเย็น ๆ” ปลายสายเอ่ยขึ้น
“แกว่ามันแปลกไหม”
“ก็แปลกอยู่” เก่งกาจกล่าวก่อนจะเงียบไป ต่างฝ่ายต่างได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน แล้วก็เป็นคันธชาติที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“ฉันจะเข้าไปที่ดรามาติก ทเวลฟ์”
“แกจะเข้าไปทำไม อีกไม่กี่วันเขาก็จะทุบทิ้งแล้ว”
“แกจำไม่ได้เหรอว่าเรายังเหลือไดอารีของกิ่งที่ยังหาไม่เจอ บางทีมันอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้”
คนฟังถอนใจเฮือก “เปล่าประโยชน์ว่ะไอ้บุ้ง”
“แกหมายความว่ายังไง”
“ก็เพราะว่าหลังจากขายโรงละครที่ซอยสิบสองนั่นแล้ว อัศนัยก็ย้ายของทุกอย่างมาไว้ที่นาฏยกาลน่ะสิ บางทีของบางอย่างอาจจะถูกขายให้ร้านรับซื้อของเก่าไม่ก็ถูกจับเผาทำลายไปแล้วก็ได้ มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้วนี่”
“โธ่โว้ย! แล้วทีนี้จะทำยังไง จะให้กิ่งตายฟรีอย่างนั้นเหรอ” กล่าวพลางขยี้หัวตัวเอง
‘ตายฟรี’ คำพูดนั้นสะกิดใจจนเก่งกาจต้องถามซ้ำให้แน่ใจ “ไอ้บุ้ง ฉันถามอะไรแกหน่อยสิ”
“ถามอะไรวะ”
“ตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมแกถึงปักใจเชื่อนักว่าการตายของกิ่งมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แค่เพราะข้อความเลขสิบสองนั่น หรือภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์กับใครคนหนึ่งที่กิ่งพูดถึงบ่อย ๆ แค่นั้นน่ะเหรอ ไม่น่าใช่หรือเปล่าวะ แกมีอะไรที่ยังบอกฉันไม่หมดหรือเปล่า”
“ฉันก็บอกแกไปหมดแล้วไง แกจะยังสงสัยอะไรอีกวะ”
“เปล่า...แต่แกทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าบางทีมันอาจจะเกี่ยวพันกับหลายคนและเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่ฉันคิดเอาไว้ก็เท่านั้น”
“คิดมากน่า”
“เออ ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แต่ถ้ามีละก็ แกห้ามปิดบังเด็ดขาดนะรู้ไหม มันอันตราย”
“ทำไม? เป็นห่วงเหรอ เป็นห่วงก็บอกมาตรง ๆ สิวะ ไม่ต้องอ้อมค้อม เขินหรือไง”
“เออ ฉันมันคนพูดอ้อมค้อม ทีคนพูดตรง ๆ แกกลับไม่ฟังเขา”
"พูดอะไรวะ ไม่เห็นจะเข้าใจ"
“เฮ้อ...นี่แกไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่วะ”
“ก็ไม่เข้าใจจริง ๆ น่ะสิ แกพูดเรื่องอะไรของแก”
“เออ ๆ ช่างมันเถอะ” คนปลายสายถอนใจเฮือก ไม่เข้าก็ไม่เข้าใจ “ว่าแต่นี่แกเจอ ดร.ธันวาบ้างหรือเปล่า”
“ม...ไม่ ไม่เจอ ถามทำไม”
“เปล๊า! แค่พักนี้เขาหายหน้าหายตาไปก็เลยถามดู เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกันเผื่อแกจะเจอบ้าง”
“ไม่เจอมาหลายวันแล้ว”
“เอ๊!!! ไปไหนของเขานะ”
“จะไปไหนก็ช่างเขาเถอะน่า แกจะสนใจทำไมวะ”
“หรือแกไม่สนใจ เพื่อนบ้านกันนะโว้ย ป่วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออาจจะมีปัญหาทางบ้าน งานหนัก หรือ...”
“พอ ๆ มันเรื่องของเขา แล้วทำไมฉันต้องสนใจด้วยวะ” คันธชาติเริ่มจะหงุดหงิด
“เออ ๆ ไม่สนใจก็ไม่สนใจ” เก่งกาจพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะวางสาย ‘อย่าให้รู้ว่าสนใจก็แล้วกัน ล้อยันแก่แน่ ๆ’
…
หลังจากหายหน้าไปกว่าหนึ่งเดือนด้วยต้องพักรักษาตัวเพราะประสบอุบัติเหตุ ในที่สุดผู้ช่วยช่างเสื้อก็ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง สาวสวยร่างสูงยืนย้มหวานเมื่อรถนั่งแบบครอบครัวแล่นเข้ามาจอดเทียบ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่งเจ้าของรถก็เอ่ยขึ้น
“น้องบุ้งเจอน้องธันบ้างหรือเปล่าคะ พักนี้เจ๊แวะมาหาแก้วแต่ไม่เห็นน้องธันเลย”
คำถามนั้นทำเอาคันธชาติแทบอยากจะเปิดประตูลงจากรถ ไม่เข้าใจว่าทำไมพักนี้จึงมีแต่คนถามคำถามนี้อยู่เรื่อย “ผมไม่ได้รับตามหาคนหายนะเจ๊”
“แหม...ว่าไปนั่น เจ๊ก็ถามดูเฉย ๆ ค่ะ เห็นว่าห้องใกล้กัน เผื่อจะเจอกันบ้าง”
คนฟังกอดออกมองไปนอกหน้าต่าง
“นี่...แล้วไม่เจอเนี่ย ไม่คิดจะอยากเจอบ้างเหรอคะ”
“ไม่เห็นจะอยากเจอเลย”
คำตอบที่ได้เรียกรอยยิ้มจากพุฒิพงศ์ได้ไม่น้อย “อืม...แปลกจังเลยน้า” ลากเสียงพร้อมกับเหลือบมองคนที่ยังคงเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทาง “ไม่รู้ว่าหายไปไหนสิเนี่ย ถามกับแก้ว แก้วก็บอกไม่รู้ จะไม่สบายหรือเปล่า หรือว่างานหนัก หรือว่า...”
ประโยคพวกนี้มันฟังแล้วคุ้น ๆ “พอ ๆ เจ๊ จะแจ้งความคนหายไหม เดี๋ยวผมโทรบอกไอ้กาจให้” พูดจบก็ควักโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะทำอย่างที่พูดแต่ก็ถูกห้ามเสียก่อน คันธชาติโคลงศีรษะอย่างหงุดหงิด ตามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ใจนี่สิ...
ไม่รู้ว่าไปไหน...
พุฒิพงศ์เลี้ยวรถเข้ามาจอดยังบริเวณลานจอดรถใกล้โรงละครเก่าที่ถูกปิดตายซึ่งอยู่ใกล้กับทางไปห้องประชุมมากที่สุด กะเทยร่างตุ้ยนุ้ยก้าวลงจากรถพร้อมกับผู้ช่วยสาวสวยก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดท้ายดึงเอาถุงใบใหญ่ที่อัดแน่นด้วยตัวอย่างชุดละครออกมา วันนี้เป็นวันนัดตรวจงานหลังจากมีการปรับแก้ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกเชิญให้มาพร้อมกันในบ่ายวันนี้
“ไอ้กาจโทรมา” คันธชาติในคราบของบุ๊งกล่าวพลางมองโทรศัพท์ในมือ “บุ๊งขอรับโทรศัพท์แป๊บนะเจ๊ เดี๋ยวตามเข้าไป”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจ๊เข้าไปก่อนนะ บุ่งบุ๊งรีบตามมาล่ะ นี่ก็จวนจะได้เวลาประชุมแล้ว”
คนฟังพยักหน้ารัวพร้อมกับกดรับก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง
“เออ ว่าไงวะ”
“ฉันจะโทรมาบอกแกว่า ตำรวจใกล้จะได้ตัวไอ้คนที่มันขับรถชนแกแล้วนะ”
“ใครวะ” ยังคงสาวเท้าเดินไปเรื่อย หูก็ฟังเสียงของคนที่ปลายสายไปด้วย
“ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่วันที่แกถูกชน มีพลเมืองดีจำทะเบียนไอ้รถคันนั้นได้ แล้วกล้องวงจรปิดของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ในซอยก็จับภาพรถคันที่เลี้ยวตัดหน้าแกได้ด้วย อีกไม่นานคงจะได้รู้ว่าทั้งหมดมันเป็นแค่อุบัติเหตุหรือมีใครตั้งใจให้มันเกิดกันแน่”
คันธชาติพยักหน้าเบา ๆ จู่ ๆ เท้าก็หยุดกึก มองเงาสะท้อนของตัวเองในผนังกระจกของตึกร้างที่อยู่เบื้องหน้า
“เอาไว้ได้ตัวมาสอบสวนแล้วได้ความว่ายังไงฉันจะบอกแกอีกทีก็แล้วกัน”
“เออ ๆ” ชายหนุ่มตอบอย่างแผ่วเบาก่อนจะกดวางสาย ดวงตาจ้องมองไปที่ประตูกระจกบานผลักที่มีฝุ่นจับหนาเตอะแสดงว่าไม่ได้รับการเหลียวแลมานาน แต่ที่น่าแปลกก็คือที่จับซึ่งคล้องด้วยโซ่แน่นหนากลับดูสะอาดเอี่ยมเหมือนมีการเปิดเข้าเปิดออกอยู่บ่อย ๆ พยายามมองผ่านละอองฝุ่นที่เคลือบทับแผ่นระนาบเกือบจะใสเข้าไปก็เห็นเพียงราง ๆ เท่านั้นเพราะด้านในค่อนข้างมืด
“มายืนทำอะไรตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งเฮือก
คันธชาติสบตาเจ้าของเสียงผ่านเงาสะท้อนบนกระจก ดวงตาคู่นั้นยังคงสวยงามและแฝงด้วยความน่ากลัวทุกครั้งที่เห็น ชายหนุ่มก้มลงมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะหันกลับมาประสานสายตากันตรง ๆ
“บุ๊งมาคุยโทรศัพท์ค่ะ เดินไปคุยไปเพลินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ตรงนี้เสียแล้ว หาทางไปห้องประชุมไม่เจอ นี่ก็กำลังจะโทรถามเจ๊พุดดิ้งอยู่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันสิ ฉันก็จะไปที่นั่นอยู่พอดี นี่หายดีแล้วเหรอ เห็นเจ๊พุดดิ้งบอกว่าเธอถูกรถชน”
“ก็...ห...หายแล้วค่ะ”
คนถามเพียงแต่พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหมุนตัวกลับ
“เอ้อ...ค...คุณอันคะ”
“ว่ายังไง” หน้าสวยได้ปรายตามอง
“คือ...ตึกนี้น่ะมีผีจริง ๆ เหรอคะ”
“ไปเอามาจากไหน”
“นิกกี้บอกค่ะ นิกกี้บอกว่าตอนกลางคืนมีคนได้ยินเสียงร้องโหยหวน”
“อย่าไปฟังนิกกี้มาก รายนั้นน่ะเห็นอะไรแปลก ๆ หน่อยก็กลัวไปหมด” อัญชลิสากลั้นหัวเราะ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คันธชาติได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงสร้างช่องว่างขั้นกลางด้วยการวางท่าดุจดังพญาหงส์เหินอยู่ดี
“แต่เขาบอกว่าที่นี่เคยมีคนตกลงมาจากดาดฟ้านี่คะ พูดแล้วขนลุก” บุ๊งหันซ้ายหันขวาอย่างหวาด ๆ ก่อนจะขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่า สังเกตว่าพอพูดมาถึงตรงนี้หน้าสวยนั้นดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็สามารถปรับสีหน้าเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“อย่ากลัวเลยผีน่ะ กลัวคนดีกว่า คนน่ากลัวยิ่งกว่าผีอีกนะ คนบางคนก็ไม่ควรจะเฉียดเข้าไปใกล้หรือทำความรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ ยิ่งหนีให้ไกลได้ก็ยิ่งดี” อัญชลิสายกมุมปากเป็นรอยยิ้มปริศนาก่อนจะกล่าว “ รีบไปที่ห้องประชุมเถอะ ใกล้เวลาแล้ว” พูดจบเจ้าของร่างระหงงามสง่าก็เดินนำไปก่อน
ตาคมกริบมองตามผิวขาวตัดสีแดงสดของเสื้อเว้าหลังพลางสาวเท้าตามกระทั่งเข้าไปในอาคารซึ่งเป็นโรงละครหลักของนาฏยกาลในปัจจุบัน กำลังจะเดินเลี้ยวตามอัญชลิสาไปยังห้องโถงใหญ่ แต่มือของใครคนหนึ่งกลับรั้งไว้ก่อนจะดึงร่างผลุบหายเข้าไปในซอกทางเดิน เป็นอัศนัยนั่นเอง คันธชาติเบิกตากว้างมองคนตรงหน้าพร้อมกับใช้มือดันอกของเขาเอาไว้ รู้สึกหงุดหงิดกับสองมือของอีกฝ่ายที่ยึดอยู่กับสะโพกแต่จะทำอย่างไรได้นอกจากปล่อยไปตามน้ำ
“ค...คุณอัศนัย”
“คุณเป็นยังไงบ้าง ผมตกใจแทบแย่ตอนที่คุณพุฒิพงศ์บอกว่าคุณถูกรถชน ผมอยากไปหาคุณ แต่พอถามคุณพุฒิพงศ์เขาก็ตอบว่าไม่รู้ว่าคุณไปอยู่ที่ไหน”
“มันเกิดขึ้นกะทันหันนะค่ะ พอคุณหมออนุญาตให้กลับได้ พ่อกับแม่บุ๊งก็มารับกลับบ้าน เลยไม่ทันได้บอกใคร แต่ตอนนี้บุ๊งหายดีแล้วค่ะ” พูดพลางพยายามขยับตัวออกแต่อัศนัยก็ยังเกาะเอาไว้เหนียวแน่น
“ถ้าอย่างนั้น...” ชายหนุ่มส่งตาหวาน “เราน่าจะหาเวลาทบทวนความทรงจำเรื่องคืนนั้นของเรากันหน่อยดีไหมครับ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย รู้แต่ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก” ท้ายประโยคฟังกระเส่าพิลึก
‘แหงละ แกจะจำได้ยังไงวะ ก็แกโดนวางยานอนหลับนี่’
“ก...ก็ ก็แล้วแต่คุณอัศนัยสิคะ บุ๊งตามใจคุณค่ะ” คันธชาติแสร้งทำขวยเขินทั้งที่อยากจะเอากำบั้นเสยปลายคางสักที แต่คำพูดเมื่อครู่กลับทำให้คนฟังได้ใจเลื่อนมือขึ้นโอบรัดรอบเอวแน่นเข้าไปใหญ่
หน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้หวังจะชิมรสหวานจากริมฝีปากระเรื่อเพื่อเรียกน้ำย่อย แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันมาดังขัดจังหวะเสียก่อน แขนแกร่งจำต้องคลายออกหลวม ๆ ปล่อยให้คนในอ้อมแขนหยิบโทรศัพท์
“เจ๊พุดดิ้งโทรตามแล้วค่ะ” คันธชาติกล่าวทั้งที่ยังไม่ได้กดรับ “สงสัยได้เวลาประชุมแล้ว”
“จะประชุมได้ยังไงครับ ในเมื่อผมก็ยังอยู่กับคุณที่นี่” ทำท่าจะสานต่อแต่ก็เป็นโทรศัพท์ในกระเป๋าของตัวเองที่ดังขึ้นบ้าง ชายหนุ่มผละออกจากร่างที่อวลไปด้วยกลิ่นหอมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายและเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทำเอาคันธชาติที่กำลังมองตามถอนหายใจอย่างโล่งอก ปลายนิ้วเรียวกดตัดสายก่อนจะรีบเดินต่อเพื่อไปยังห้องประชุม
เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็พบว่าทุกคนมากับเกือบครบแล้ว ตัวอย่างชุดละครก็ถูกสวมกับหุ่นตั้งแสดงไว้กลางห้องเรียบร้อยแล้วจะขาดก็แต่นายใหญ่หน้าหล่อที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน คันธชาติในคราบของบุ๊งเดินมานั่งลงข้างพุฒิพงศ์ที่เพิ่งจะเข้ามานั่งก่อนเขาได้เพียงไม่นาน
“เกือบโดนงาบแล้วนะคะบุ่งบุ๊ง” กะเทยตุ้ยนุ้ยยิ้มหวาน
ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับพยักหน้าแต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณคนที่ช่วยให้รอดพ้นจากการถูก ‘งาบ’ มาได้ “ขอบคุณนะเจ๊ที่ช่วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เยอะกว่านี้ยังช่วยมาแล้วเลย”
คันธชาติพยักหน้ายิ้ม น้ำเสียงและสายตากรุ่มกริ่มนั้นทำให้เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“เอาอีกไหมล่ะ”
“บุ๊งงงงง!!!” จู่ ๆ ก็เสียงดังจนคนทั้งห้องหันมามองเป็นตาเดียว พุฒิพงศ์รีบเอามือปิดปากก่อนจะค้อมศีรษะเพื่อเป็นการขอโทษที่เสียมารยาทจากนั้นจึงหันกลับมากระซิบถามเจ้าของหน้าสวยที่กำลังนั่งหัวเราะคิก “ได้อีก...จริง? อย่ามาทำถามเล่น ๆ นะ เรื่องนี้เจ๊จริงจัง”
คนถูกถามยักคิ้วกวน ๆ ยังไม่ทันจะตอบประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง พลันร่างสูงสง่าใบหน้าชวนมองก็ปรากฏกายขึ้น แน่นอนว่าอัศนัยยังคงเรียกความสนใจจากทุกคนได้เช่นเคยเพราะทั้งห้องประชุมต่างมองมาที่เขาตาเป็นมัน โดยเฉพาะพุฒิพงศ์ที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนออกนอกหน้า
“เก็บอาการหน่อยค่ะเจ๊” คันธชาติกระซิบ
“แหม ก็เห็นแล้วมันเปรี้ยวปากนี่” พูดจบก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ
คนมาใหม่นั่งลงที่หัวโต๊ะพร้อมกับทักทายทุกคนรวมถึงสาวสายที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก จากคำพูดสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคแสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่ต่างจากอัญชลิสาและคนอื่น ๆ ในห้องที่ไม่ได้สร้างความสนใจให้เขาสักเท่าไร แต่ดวงตาทอประกายวิบวับนั่นกลับบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่
ระหว่างการประชุมพุฒิพงศ์ลอบมองชายหนุ่มหัวโต๊ะที่เอาแต่จ้องผู้ช่วยของตนเองราวกับจะกลืนกินเป็นระยะ ๆ ในที่สุดก็แสร้งกระแอมเบา ๆ เรียกสติ เล่นเอาอีกฝ่ายจำต้องเบนสายตาไปยังตัวอย่างชุดละครเวทีเรื่องใหม่ที่หลายคนพากันไปยืนห้อมล้อมตรวจสอบคุณภาพงานกันอยู่ที่กลางห้อง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ดีนั้นทำเจ้าของโรงละครหน้าหล่อพยักหน้ายิ้ม ท่าทางของเขาดูจะพอใจกับผลงานการตัดเย็บของห้องเสื้อโนเนมอย่างห้องเสื้อพุทธรักษาไม่น้อย
“คุณชอบหรือเปล่าอัญชลิสา” อัศนัยหันไปถามกับนางเอกของเรื่องที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย
“ค่ะ สวยแล้วก็ตัดเย็บเนี้ยบกว่าที่อันคิดไว้เยอะเลย” พูดพลางยกกระโปรงสุ่มปักเลื่อมขึ้นดู
“อืม ถ้าอย่างนั้นคุณพุฒิพงศ์ดำเนินการต่อได้เลยนะ ประมาณเอาไว้ว่าจะเรียบร้อยเมื่อไรครับ”
“ถ้าไม่มีปรับแก้อะไรแล้ว คิดว่าสองเดือนน่าจะเรียบร้อยค่ะ โชคดีที่ผู้ช่วยคนเก่งกลับมาแล้ว” พูดจบก็หันไปส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ดีครับ เอาเป็นว่าอีกสองเดือนมาดูกันอีกที ระหว่างนี้ก็ช่วยรายงานความคืบหน้าให้ผมทราบเป็นระยะด้วย” อัศนัยกล่าวก่อนจะหันไปทางทีมเบื้องหลัง “ถ้าบทเรียบร้อยแล้วผมอยากให้กำหนดตัวแสดงแล้วก็ลงมือซ้อมกันได้เลย งานนี้อยากจะให้ออกมาดีที่สุดเพื่อเป็นการทิ้งทวน”
“ท...ทิ้งทวน? ทิ้งทวนอะไรเหรอคุณอัศนัย” คนหนึ่งถามขึ้น
“หลังจากละครเรื่องนี้จบ ผมตั้งใจว่าจะปิดนาฏยกาล” อัศนัยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมันเป็นเรื่องเล็กน้อย ในขณะที่ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ร้อง ‘ฮ้า!!’ นั่นคงเป็นเพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าโรงละครที่มีชื่อเสียงยาวนานและมีแนวโน้มว่าจะทำรายได้อีกมหาศาลจะมีปลายทางเป็นเช่นนี้
“ท...ทำไมล่ะคะ กิจการของเราก็ไปได้ดีนี่นา”
“หน้าที่ของคุณคือดูเแลรื่องฉากไม่ใช่เหรอ คุณไม่ได้มีหน้าที่มาถามผม และผมเองก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องตอบคำถามของคุณ” เพียงคำสั้น ๆ ของเจ้านายก็ทำให้อีกนับร้อยนับพันคำถามถูกกลืนลงคอไปโดยปริยาย ในขณะที่ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาเหมือนคนน้ำท่วมปากแต่อัญชลิสากลับจ้องคนพูดตาเขม็ง
“เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอปิดประชุมนะ ส่วนเรื่องที่ผมแจ้งไปเมื่อสักครู่ขอให้พวกคุณช่วยเก็บเป็นความลับด้วย ไม่อยากให้พวกนักแสดงขวัญเสีย แล้วผมจะเป็นคนแจ้งให้พวกเขาทราบด้วยตัวเองในเร็ว ๆ นี้ หวังว่าทุกคนคงจะให้ความร่วมมือนะครับ”
เงียบเหมือนเป่าสาก ทั้งห้องประชุมไม่มีใครพูดอะไรกัน กระทั่งร่างสูงของผู้เป็นนายจ้างเดินพ้นประตูออกไปโดยมีอัญชลิสาก้าวฉับ ๆ ตามไปติด ๆ คันธชาติมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้แต่ละคนทำคอตก หน้าตาเหมือนไม่ได้กินข้าวเช้า ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้พุดดิ้งที่ยังคงอ้าปากค้างก่อนจะกระซิบ “หุบปากได้แล้วเจ๊ เดี๋ยวลมเข้าท้อง”
“ม...เมื่อกี้บุ่งบุ๊งได้ยินเหมือนที่เจ๊ได้ยินไหม”
“ได้ยินสิ คุณอัศนัยบอกว่าจะเลิกกิจการหลังจากละครเรื่องสุดท้าย”
“เป็นไปได้ยังไง เจ๊ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ใจเย็นเจ๊ คุณอัศนัยอาจจะล้อเล่นก็ได้” คันธชาติพูดไปอย่างนั้น สังเกตจากน้ำเสียงและแววตาของคนพูดแล้ว เมื่อสักครู่มันไม่ใช่การล้อเล่นแน่
อัญชลิสาเปิดประตูพรวดตามอัศนัยเข้าไปในห้อง มองร่างสูงที่กำลังเดินไปนั่งลงยังโต๊ะทำงาน สีหน้าและแววตาของเขาดูจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่ เจ้าของหน้าสวยกอดอกจ้องหน้าอีกฝ่ายก่อนที่ริมฝีปากบางจะถามคำถามที่หลายคนในห้องประชุมอยากจะได้คำตอบ
“คุณมีเหตุผลลอะไรถึงจะปิดนาฏยกาล”
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นสบตาพลางยกมุมปากขึ้น “ผมคิดว่าผมน่าจะสะสางเรื่องยืดเยื้อให้จบ ๆ ไปสักที”
“คุณรู้ไหมว่ามีคนมากมายที่ต้องเดือดร้อน บางคนเป็นนักแสดงละครเวทีมาเกือบค่อนชีวิต ไม่มีนาฏยกาลแล้วคุณจะให้พวกเขาไปทำอะไร คุณไม่มีสิทธิ์จะปิดนาฏยกาล มันไม่ใช่ของคุณ”
อัศนัยหัวเราะหึแสดงแววตาเยาะเย้ยในที “คุณอย่าลืมสิ ผมคืออัศนัย นาฏยะ แล้วมันจะไม่ใช่ของผมได้ยังไง”
“ค...คุณ คุณกำลังผิดสัญญา” อัญชลิสาเสียงอ่อยมองอีกฝ่ายอย่างไร้ความหวัง ในขณะที่คนตัวสูงเองก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาโอบเอวสอบจากด้านหลัง ริมฝีปากหยักเลื่อนเข้ากระทั่งแนบชิดติดริมหูพร้อมกับเปล่งเสียงกระซิบแผ่วเบา
“ลืมสัญญานั่น แล้วก็ทำตัวให้น่ารักในฐานะที่คุณเป็นคนของผม จากนั้นเราก็มารอชื่นชมคอมเพล็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดทันสมัยที่สุดที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นกัน คุณก็รู้นี่ว่าถ้าคุณขัดใจผมมันจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าหากมันเกิดขึ้นคุณจะต้องเสียใจ”
เสียงหัวเราะในลำคอนั้นฟังแล้วช่างชวนคลื่นไส้แต่คงไม่เท่าสัมผัสที่ตามมา อัญชลิสาหลับตานิ่งเมื่อริมฝีปากเย็นเฉียบแตะลงที่ใต้ติ่งหู เริ่มขบเม้มเบา ๆ ก่อนจะลุกลามไปตามลำคอและเพิ่มความรุนแรงขึ้น ปลายจมูกโด่งรั้นสูดลมหายใจลึกก่อนจะรวบรวมกำลังหมุนตัวกลับพร้อมกับจับแขนแกร่งเอาไว้แน่น
“อันบอกแล้วไง ถ้าคุณทำให้อันต้องเสียใจ ความลับของคุณมันก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ถึงวันนั้นเราก็จะไม่ได้พบกันอีกเลย”
อัศนัยส่ายหน้าดิก สีหน้าแววตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “อย่าคิดทำอย่างนั้นเด็ดขาดอัญชลิสา” จากความเกี้ยวกราดหยาบคายกลับกลายเป็นความอ่อนโยนอีกครั้ง “ได้โปรดอย่าทำแบบนั้น ผมรักคุณนะอัญชลิสา ผมรักคุณ ในโลกนี้ไม่มีใครดีกับผมเท่าคุณอีกแล้ว”
ในความรู้สึกของอัญชลิสา อัศนัยคนนี้ไม่ต่างกับสายน้ำที่บางครั้งก็สงบราบเรียบจนอยากจะปล่อยตัวปล่อยใจทิ้งเรื่องราวต่าง ๆ แล้วลงแช่ให้ความเย็นสบายโอบล้อมร่าง บางครั้งสายน้ำนี้ก็เชี่ยวกรากจนยากจะหาสิ่งใดขวางได้หรือถ้าพลัดพลั้งพลัดตกลงไปก็มีแต่จะถูกดูดให้จมหายไปในพริบตา หากเลือกได้เธอคงจะไปเสียให้พ้น ๆ ไม่ข้องเกี่ยว ไม่รู้จัก แต่ที่ต้องทนอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงเพราะเหตุผลเดียว...
(มีต่อค่ะ)