หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178408 ครั้ง)

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
กลายเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำซะแล้วบุ๊ง
คุณธันรุกหนักแล้วทีนี้บุ๊งจะทำไงน้าา

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
เนิบๆมาตั้งนาน
พอจะรุกก็เล่นซะตั้งตัวไม่ทันเลยนะพี่ธันวา
เจอรุกเร็วแบบนี้หนอนบุ้งจะทำไงหว่า :-[

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
อ้าย เขิน  :-[

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
จะจบแล้วเหรอ? เร็วจัง :ling1:

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
นายน้อยโดนดี สะใจ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 12 ฝันร้าย




แม้จะอยู่ในอารามตกใจที่ได้ฟังแต่คันธชาติก็ไม่คิดหนีสายตาคนตรงหน้า ฝ่ามือยังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการบีบตัวของก้อนเนื้อเล็ก ๆ ใต้อกเสื้อด้านซ้าย เป็นจังหวะเร็วและรัวแบบที่เขาเองก็เคยเป็นยามเมื่อมีบางสิ่งมากระตุ้นหรือมีบางคนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดมายืนอยู่ต่อหน้า
 

บรรยากาศรอบตัวเงียบเชียบเสียจนได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบพื้นซีเมนต์ดังกรุบกรับแว่วมาจากภายในโรงนา ดวงอาทิตย์เคลื่อนต่ำเรี่ยยอดไม้ ในขณะที่กลิ่นหอมของดอกปีบยังคงอบอวลท่ามกลางสายลมหยอกเย้ายอดหญ้า ฟ้าทั้งผืนเกือบจะดูคล้ายกระเบื้องแผ่นเรียบหากนกฝูงใหญ่ไม่บินตามกันเป็นสาย พาดผ่านจากขอบฟ้าด้านหนึ่งและหายลับไปยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปยังแห่งหนตำบลไหน ที่รู้ก็คือชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังอาศัยช่วงเวลานี้เผยความในใจของตัวเอง


ธันวาจ้องลึกลงไปในตาคู่นั้นก่อนที่หน้าคมจะเลื่อนเข้าใกล้ ยกมือขึ้นยึดต้นคอขาว แตะนิ้วหัวแม่มือที่ข้างแก้มพลางเกลี่ยไปตามแนวสันกรามอย่างเบามือ และเมื่อสายลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้สีขาวที่กำลังปลิดปลิวลงสู่ผืนหญ้าเบื้องล่างผ่านมาอีกครั้ง


คนไม่ช่างพูดก็รวบรวมความกล้า ตัดสินใจจะบอกในสิ่งที่คิดมาตลอดว่าจะเก็บเอาไว้ ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษเหตุการณ์ที่ผ่านมาซึ่งทำให้รู้ว่าหากอีกคนไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาคงจะเสียดายที่ไม่ได้พูดคำนั้นให้รู้
 

"ผม...”
 

"อย่าพูดนะ ขอร้องละ อย่าพูดมันออกมา"แค่เพียงคำพูดแผ่วเบา แต่หนักแน่นราวประกาศิต หยุดยั้งไม่ให้ธันวากล่าวคำที่เป็นดั่งโซ่ตรวนผูกมัดหัวใจให้รู้สึกผิดไปมากกว่านี้


คันธชาติจับมือหนาที่แนบอยู่กับแก้มก่อนจะดึงออกอย่างนุ่มนวลที่สุด นุ่มนวลพอ ๆ สิ่งที่เขากำลังจะพูด "ข...ขอโทษนะที่ผมเป็นต้นเหตุทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น" ปากบางเม้มเข้าก่อนที่คมฟันจะกดลงบนเนื้อปากล่างจนความรู้สึกเจ็บแล่นเตือนตัวเองให้พูดต่อให้จบ "ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ" พูดแล้วก็ดึงมือซึ่งถูกยึดไว้กลับ  ผละจากห้วงแห่งความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้
"บุ้ง" ธันวาเรียก สบตาขี้เล่นที่ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความเครียดขรึมไปเสียแล้ว...
 

ดวงตาคมกริบทอดมองไปบนถนนสายยาวที่กำลังถูกโอบล้อมด้วยความมืด มองเห็นเพียงไฟจากท้ายรถคันหน้ากับไฟหน้าของรถที่ขับสวนมา คำพูดสุดท้ายของใครบางคนที่ปากช่องยังชัดเจนอยู่ในความรู้สึกแม้ว่าอีกไม่นานจะเข้าเขตกรุงเทพมหาครแล้วก็ตาม
 

"ผมคงรับผิดชอบอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเอาใจช่วยให้คุณหลุดออกจากความรู้สึกนั้นได้โดยเร็ว"
 

....
 

คันธชาติกลับมาที่คอนโดอีกครั้งหลังจากหายดี ครั้งนี้บอกกับตัวเองว่าจะต้องรีบไขข้อข้องใจทุกอย่างให้กระจ่างโดยไว จะได้กลับไปอยู่ที่ปากช่องตามที่ได้สัญญาไว้กับพ่อและแม่เสียที ชายหนุ่มเอาแต่นั่งจ้องภาพข่าวเก่ากับภาพรอยสักบนแผ่นหลังที่ได้จากโทรศัพท์มือถือของกิ่งดาวอยู่อย่างนั้นกระทั่งเสียงกริ่งที่หน้าประตูดังขึ้น ชายหนุ่มจึงลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือเดินไปเปิดประตู และพบว่าคนที่มากดกริ่งก็คืออารตีกับเจ้าเด็กฝาแฝดลูกชายของเก็จแก้วนั่นเอง
 

“สวัสดีค่ะพี่บุ้ง” หญิงสาวที่ไม่ได้พบกันนานกล่าวทักทาย “ดีใจจังค่ะที่เจอ พี่บุ้งเป็นยังไงบ้างคะ”


“หายดีแล้วละ นี่รตีมาได้ยังไง” คันธชาติถาม ตอนแรกคิดว่าเธอคงรู้ข่าวจากอาจารย์ของเธอ แต่ไม่น่าใช่ เพราะตั้งแต่กลับมาอยู่ที่คอนโดตัวเขาเองยังไม่พบธันวาเลยสักครั้ง


“รตีแวะเอาขนมมาให้ปิงกับน่านค่ะ แล้วก็จะมาปรึกษาพี่แก้วเรื่องตัดชุดการแสดงของเด็ก ๆ ที่โรงเรียนหน่อย เห็นพี่แก้วบอกว่าพี่บุ้งกลับมาอยู่ที่คอนโดแล้วก็เลยแวะมาหาค่ะ”


“กลับมาได้ 2-3 วันแล้วละ” คันธชาติกล่าวพลางเบนสายตาไปที่ประตูห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งยังคงปิดสนิท ทั้งที่ตั้งแต่กลับมาก็มีบรรดาเพื่อน ๆ แวะเวียนมาหา ไม่ว่าจะเก่งกาจ พุฒิพงศ์ หรือเก็จแก้ว แต่น่าแปลกที่ยังไร้เงาของคนห้องใกล้กัน


“พี่แก้วเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่กลับมาพี่บุ้งก็ขลุกอยู่แต่ในห้อง รตีกลัวจะเหงาเลยพาพวกเด็ก ๆ มาชวนน้าบุ้งไปนั่งเล่นที่ห้องพี่แก้วด้วยกันค่ะ”


“ไปนะครับน้าบุ้ง วันนี้ปิงกับน่านจะทำงานศิลปะกันด้วย” คนพี่กล่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้น้อยชายที่หน้าตาเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก


“เอาสิ น้าบุ้งก็กำลังเบื่อ ๆ อยู่พอดี” พูดจบกับเดินกลับไปคว้าโทรศัพท์มือถือกับคีย์การ์ดก่อนจะเดินตามอารตีและเด็ก ๆ ไปยังห้องที่อยู่ใกล้กับบันไดหนีไฟ


ที่ห้องเก็จแก้วกำลังง่วนอยู่กับการเย็บผ้าซึ่งเป็นงานที่เธอชอบ ที่โต๊ะในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยอุปกรณ์สำหรับทำงานศิลปะตามที่เด็ก ๆ ว่า ทั้งพู่กัน จานสี ถังน้ำและสีน้ำเป็นหลอดที่เรียงกันอยู่ในกล่อง


“ตามสบายเลยนะจ๊ะน้องบุ้ง” เจ้าของห้องเงยหน้าจากจักรเย็บผ้าขึ้นมายิ้มให้ก็จะลงมือทำงานต่อเงียบ ๆ


คันธชาติเดินไปนั่งลงที่โซฟา มองเด็ก ๆ และอารตีที่กำลังช่วยกันผสมสี จากนั้นเด็กชายหนึ่งในสองคนที่เขาเองแยกไม่ออกเสียทีว่าใครคือปิงใครคือน่านก็เดินไปยิบเศษผ้าที่แม่ไม่ใช้แล้วมาวางกองบนโต๊ะ


“ปิงวังยมน่าเอาเศษผ้ามาทำอะไรน่ะ”


“เอามาทำแม่พิมพ์ครับ คุณครูให้พิมพ์ภาพด้วยเศษผ้า” หนุ่มน้อยตอบฉะฉานพร้อมกับชี้ที่ตัวเอง “แล้วก็ นี่น่ะปิงฮะน้าบุ้ง”


“ก็หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ใครจะไปจำได้” คันธชาติบ่นพลางมองดูมือเล็กที่กำลังบรรจงพับครึ่งเศษผ้าก่อนจะม้วนเป็นขด จากนั้นก็จุ่มลงในจานสีแล้วกดลงบนกระดาษ จนได้ลวดลายก้อนหอยสีเข้มสีอ่อนกระจายเต็มแผ่น


“จริง ๆ สองคนนี้ก็ไม่ได้เหมือนกันจนแยกไม่ออกนะคะพี่บุ้ง ได้เจอกันบ่อย ๆ เดี๋ยวก็จะเริ่มแยกได้ว่าใครเป็นใคร”
คนฟังพยักหน้า แม้จะได้เคยยินคำพูดลักษณะนี้จากใครบางคนก่อนหน้านี้แล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากอยู่ดี


“รตีแยกยังไง”


“อืม...บนร่างกายก็ยังมีจุดสังเกตค่ะ” หญิงสาวยิ้มก่อนจะมองไปยังเด็ก ๆ “น่านน่ะ จะมีขี้แมลงวันที่ข้างแก้ม ส่วนปิงไม่มี แต่จะมีอยู่ที่ใต้ตาข้างขวา”


และเมื่อคันธชาติเริ่มสังเกตตามที่เธอบอกก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ “จริงด้วยนะ แต่ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็ไม่รู้จริง ๆ”


“ค่ะ แต่ถ้าเป็นพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดคงแยกได้ดีกว่าเรา อาจมีเรื่องของนิสัย การพูดการจาเข้ามาเกี่ยวด้วย”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะมองดูแผ่นกระดาษสีขาวที่ตอนนี้ปรากฏลวดลายขดหอยเล็กใหญ่เรียงกันจนเกิดเป็นรูปร่างซึ่งถูกกำหนดอาณาเขตด้วยเส้นดินสอจาง ๆ และเมื่อน่านใช้พู่กันจุ่มสีลากตามขอบและเติมเส้นโค้งสองเส้นที่ตรงปลายม้วนเข้า มันก็กลายเป็นภาพของผีเสื้อสยายปีกสวยงามอยู่กลางหน้ากระดาษ


“สวยจังค่ะ น้ารตีลองบ้างนะ” อารตีกล่าวก่อนจะร่างภาพผีเสื้อลงบนกระดาษ จากนั้นก็ใช้แม่พิมพ์จุ่มสีกดลงบนกระดาษ แต่ดูท่าแล้วผีเสื้อของน้ารตีคงจะสวยสู้ที่เด็ก ๆ ช่วยกันทำไม่ได้เพราะเธอจุ่มสีชุ่มเกินไป ทำให้เมื่อกดแม่พิมพ์บนกระดาษสีจึงกระจายผสมกันไม่เป็นลวยลาย


“น้ารตีสู้เด็ก ๆ ไม่ได้แล้ว” คันชาติหัวเราะก่อนจะคว้าพู่กันแตะลงบนน้ำสีเพื่อซับให้หมาด ไม่ให้กระจายเลอะเทอะ


“เวลาผสมสีน้ารตีต้องใส่น้ำน้อย ๆ แบบนี้ครับ” น่านกล่าวพลางยื่นจานสีของตนเองให้ดู


“อย่างนี้นี่เอง” หญิงสาวพยักหน้างึก ๆ ก่อนลองเปลี่ยนไปทำตามที่เด็ก ๆ บอกอีกครั้ง หลังจากกดแม่พิมพ์ลงบนกระดาษเป็นรูปร่างแล้วจึงจัดการตกแต่งด้วยพู่กัน ในที่สุดผีเสื้อตัวใหญ่ของอารตีก็เสร็จเรียบร้อย


“ถ้าน้ารตีอยากให้เป็นดอกไม้ เราก็แค่เติมเส้นโค้งลงไป จากเมื่อกี้เราวาดปีผีเสื้อเป็นเส้นโค้งสีอัน วาดเส้นโค้งเพิ่มก็จะได้เป็นดอกไม้ห้ากลีบ เติมเส้นโค้งอีกสองเส้นปิดหัวท้ายก็ได้เป็นดอกไม้หกกลีบ คุณครูบอกว่าเวลาเราจะวาดรูปให้เริ่มจากมองทุกอย่างเป็นรูปเลขาคณิตง่าย ๆ ก่อนครับ”


“ง่ายจังเลยเนอะ” หญิงสาวกล่าวพลางร่างภาพในกระดาษ ไม่ช้าเธอก็ได้ดอกไม้ห้ากลีบและหกกลีบตามที่เด็กชายบอก


“โอ้โห! น้ารตีวาดสวยจังเลยครับ”


“ก็แม่บอกว่าน้ารตีเคยเป็น...ปิ๊กอัพ...” คนน้องทำท่าคิดก่อนจะยิ้มกว้าง “ปิ๊กอัพอาร์ติสต์มาก่อนนี่นา”


“เมคอัพอาร์ติสต์จ้ะปิง” อารตีหัวเราะคิก


“นั่นแหละ ๆ เมคอัพอาร์ติสต์ น้ารตีเป็นเมคอัพอาร์ติสต์มาก่อน”


“ปิงน่ะมั่วตลอด” พี่ชายบ่น


“ก็มันอัพ ๆ เหมือนกันนี่นา” คนน้องเกาหัวแกรกก่อนจะลงมือทำงานต่อ


ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานแต่คันธชาติกลับขมวดคิ้วมุ่น สายตายังคงจ้องมองภาพร่างดอกไม้ในกระดาษตรงหน้า พลันในหัวก็คิดอะไรขึ้นมาได้ 


“จริงสินะ ถ้าทำอย่างนั้นมันก็เป็นภาพดอกไม้ได้จริง ๆ ด้วย” ชายหนุ่มร้องขึ้นก่อนจะลุกพรวดออกไป สร้างความสงสัยให้คนที่อยู่ในห้องไม่น้อย เขาทำราวกับว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ ทั้งที่ก็เป็นสิ่งที่น่าจะได้เรียนมาเมื่อยังอายุเท่า ๆ กับหนุ่มน้อยฝาแฝด


ชายหนุ่มกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกระดาษในมือ มันเป็นภาพรอยสักทั้งคู่ ต่างกันก็แค่ภาพหนึ่งเป็นรอยสักรูปผีเสื้อกับอีกภาพเป็นรอยสักรูปดอกไม้


“น้าบุ้งจะทำอะไรเหรอครับ” ปิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับยืนหน้าเข้ามาดูภาพขยายของรอยสักอย่างสนใจ


“น้าจะลองเสกให้ผีเสื้อกลายเป็นดอกไม้เหมืออย่างที่ปิงกับน่านทำไง” พูดจบก็จรดปลายดินสอลงบนกระดาษ ลากเส้นจากจุดกึ่งกลาง ตวัดโค้งให้เหมือนมีปีกของผีเสื้องอกขึ้นมา และเมื่ออารตีช่วยเติมสีลงไปโดยใช้สีให้คล้ายกับปีกอื่น ๆ เติมรายละเอียดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมันก็ดูคล้ายดอกไม้ที่มีห้ากลีบแล้ว



....เจ้าผีเสื้อตัวน้อยไม่รู้ว่าต้องมนต์อันใดจึงกลายเป็นดอกไม้แสนงดงาม...



อารตีขลุกอยู่กับพวกเด็ก ๆ ตลอดบ่าย เมื่อเห็นว่าจวนได้เวลาอาหารเย็นแล้วจึงชวนคันธชาติกลับเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับเก็จแก้ว ดังนั้นหลังจากอำลากันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินไปส่งเธอที่หน้าลิฟต์


“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่บุ้ง รตีเห็นพี่บุ้งเอาแต่จ้องกระดาษแผ่นนี้ตั้งแต่ที่ห้องพี่แก้วแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มเอาแต่จ้องมองภาพในมือแต่คันธชาติไม่ตอบ เขายังคงจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นพลางส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมมือกดลิฟต์ 


“ตอนนี้ยังไม่มี” ชายหนุ่มกล่าวเพียงสั้น ๆ


หญิงสาวมองเจ้าของร่างสูงที่เงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิทัลซึ่งกำลังนับถอยหลังอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่อยากจะเซ้าซี้ให้มากเกินสถานะ อารตีเบนสายตาจากเสี้ยวหน้าหล่อ เปลี่ยนเป็นก้มลงมองปลายเท้าตัวเอง  จากนั้นเพียงไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก


“ถ้าอย่านั้นรตีไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันค่ะพี่บุ้ง” สาวร่างบางกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในตู้โลหะตรงหน้า และเมื่อประตูปิดคันธชาติก็หมุนตัวกลับ แต่เสียงสัญญาณประตูเปิดก็ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง เลขดิจิทัลของลิฟต์ตัวข้าง ๆ หยุดนิ่ง มันแสดงตัวเลขของชั้นที่เขากำลังยืนอยู่ 
 

‘ทำไมต้องใจเต้น?’


เป็นคำถามแรกที่แวบเข้ามาในหัวเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังบานประตูโลหะที่กำลังเลื่อนห่างจากกันนั้นคือใคร  ดวงตาสองคู่สบกันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเป็นคันธชาติที่หันหลังกลับ ในจังหวะนั้นอีกคนก็ก้าวออกมายืนข้าง ๆ ก่อนจะเดินไปตามช่องทางเดินพร้อมกัน
 


ปราศจากรอยยิ้ม ไร้ซึ่งคำทักทายเหมือนก่อน...แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคันธชาติ มันกลับดีเสียอีกที่เป็นแบบนี้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป


‘ดีแล้ว’


...มันก็ดีแล้วนี่...



...


หลังจากขอร้องให้เก่งกาจช่วยตรวจสอบรอยสักต้องสงสัยที่ได้จากโทรศัพท์มือถือของกิ่งดาวกับรอยสักบนแผ่นหลังของอัญชลิสา คันธชาติก็ถูกนายตำรวจหนุ่มนัดให้มาพบในเย็นวันหนึ่ง ต่างคนต่างนั่งจ้องภาพดอกไม้ห้ากลีบบนกระดาษสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้า ในที่สุดคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้น


“ฉันให้ลูกน้องลองเอาลายเส้นของทั้งสองภาพมาซ้อนทับกัน” เก่งกาจเว้นจังหวะเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ “พบว่ามันซ้อนทับกันพอดี โอกาสที่มันอาจจะเป็นรอยเดียวกันก็มี แต่โอกาสที่จะไม่ใช่ก็มี”


“แกหมายความว่ายังไง” คันธชาติมุ่นคิ้ว


“ก็หมายความว่า มันอาจจะเป็นรอยสักที่อยู่บนแผ่นหลังของคนคนเดียวกันหรือคนละคนก็ได้ รอยสักแบบนี้ใคร ๆ ก็สักได้ แถมเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ก็ล้ำหน้า อาจจะลบเสียเกลี้ยงจนไม่รู้ว่าเคยสักมาก่อนก็ได้”


“สรุปว่าคว้าน้ำเหลวอีกตามเคยใช่ไหม” คนฟังถอนใจพรืดเอนหลังพิงพนักอย่างหมดแรง


“เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ” พูดจบก็หยิบซองเอกสารออกมาจากลิ้นชักก่อนจะเลื่อนไปที่กลางโต๊ะ “ลองดูข้อมูลพวกนี้ก่อน”
คันธชาติไม่ลังเลที่จะหยิบซองสีน้ำตาลมาเปิดดู ดึงกระดาษขนาดเอสี่ 2-3 แผ่นที่ถูกเย็บมุมติดกันออกมา แผ่นแรกเป็นภาพโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ละครเวทีเรื่องหนึ่งที่จัดแสดงขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ซึ่งรายละเอียดด้านล่างมีชื่อโรงละคร และที่ตั้งระบุไว้ชัดเจน


“แกคุ้น ๆ ชื่อโรงละครนั่นไหม”


ดวงตาคู่งามเพ่งพินิจรายละเอียดในภาพในขณะที่ปากก็พึมพำเบา ๆ “โรงละครเก่าที่ถนนละครซอยสิบสอง" ยกปลายนิ้วแตะที่คางก่อนจะถูไปมาอย่างใช้ความคิด "ดรามาติก ทเวลฟ์ ใช่ไหม เมื่อวันก่อนมีข่าวว่าจะทุบทิ้งแล้วนี่นา”


“อืม โรงละครนั่นน่ะปิดตัวลงไปสักพักใหญ่ ๆ แล้วละ ต่อมาที่ดินตรงนั้นก็เลยถูกขายต่อให้นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็มีโครงการจะทุบสร้างเป็นคอนโดภายในเดือนนี้แหละ ส่วนคนที่ขายก็คือนายอัศนัย”


“อัศนัย?” คนฟังมุ่นคิ้วสงสัยแต่ก็ยังไม่คิดถามอะไรต่อ


“เท่าที่ฉันรู้มาก็คือดรามาติก ทเวลฟ์ เป็นโรงละครที่แยกตัวออกจากนาฏยกาล ที่แยกตัวก็เพราะอัศนัยต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถยืนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องกินบุญเก่าของเสี่ยอนันต์ แต่พอคุณอัศวินพี่ชายคนโตหนีการแต่งงานไป เสี่ยอนันต์เองก็ล้มป่วย อัศนัยก็เลยต้องปิดดรามาติก ทเวลฟ์ แล้วกลับไปรับตำแหน่งผู้บริหารต่อจากพ่อ” นายตำรวจหนุ่มกล่าวพลางประสานมือลงบนโต๊ะ


“มันยังไงวะฉันงงไปหมดแล้ว” คันธชาติเกาหัวแกรกก่อนจะพลิกเปิดกระดาษแผ่นถัดไป “แล้วนี่ใครวะ นายชลิต วัฒนะศานติ์  หน้าตายังกับผู้หญิง” กล่าวพลางจ้องมองภาพหนุ่มน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้านในชุดนักศึกษาอย่างพิจารณา ผมยาวเรี่ยบ่านั่นทำให้คนในภาพดูคล้ายผู้หญิงมากกว่าจะเป็นผู้ชายตามคำนำหน้าชื่อเสียอีก


“อ่านไปก่อน อย่าเพิ่งถาม”


เมื่อได้ฟังดังนั้น ชายหนุ่มก็กวาดตาอ่านเอกสารต่อ “เป็นคนกรุงเทพฯ  จบคณะศิลปศาสตร์ เอกการละคร” พลันสายตาก็เลื่อนลงมายังภาพด้านล่าง “แต่งชุดนี้แล้วเท่เป็นบ้าเลยว่ะ”


เก่งกาจมองภาพชายหนุ่มในชุดนายทหารพลางพยักหน้าเห็นตาม “เขาเป็นตัวเอกในละครเรื่องสุดท้ายที่ทำการแสดงก่อนที่ดรามาติก ทเวลฟ์จะปิดตัวลงน่ะ ชื่อชลิต” พูดจบก็คว้าซองเอกสารคืนก่อนจะจัดการเทภาพถ่ายอีก 4-5 ภาพลงบนโต๊ะ “หน้าตาบวกกับฝีไม้ลายมือในการแสดงดี เวลามีละครเวทีก็เลยมักจะได้รับบทเด่น ถูกทาบทามให้เข้าสังกังดรามาติก ทเวลฟ์ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ”


“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแกจะเอาเรื่องหมอนี่กับโรงละครนั่นมาบอกฉันทำไม ไม่เห็นจะมีอะไรสลักสำคัญ”


“ตอนแรกฉันก็คิดแบบแกนั่นแหละ แต่ถ้าบอกว่าชลิตคือพี่เลี้ยงที่คอยดูแลกิ่งตอนฝึกงาน และดรามาติก ทเวลฟ์ ก็ คือที่แรกที่กิ่งเข้าทำงานหลังจากเรียนจบ แกว่ามันเริ่มสำคัญขึ้นมาบ้างหรือยัง”


คันธชาติเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด ยอมรับว่าสิ่งที่เก่งกาจพูดมาทั้งหมดมันทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็ไม่มากเท่ากับภาพถ่ายที่ถูกมือหนาเลื่อนมาวางตรงหน้า


"แล้วก็นี่ เป็นตอนหลังจากที่ชลิตยกเครื่องตัวเองใหม่จนกลายเป็นนางเอกละครผู้โด่งดัง"


“ใครวะหน้าคุ้น ๆ” คันธชาติเท้าคางมองภาพสาวสวยในชุดละครแฟนตาซี ถึงแม้ใบหน้าจะถูกฉาดทับด้วยเครื่องสำอางสีสันฉูดฉาด แต่ดวงตาคมคู่นั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง "อ...อัญชลิสา"


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า “ใช่ เธอเปลี่ยนชื่อ จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานที่นาฏยกาล”


"แกจะบอกว่าคนที่ทำให้กิ่งเข้าไปทำงานในนาฏยกาลก็คืออัญชลิสาอย่างนั้นใช่ไหม"


"ฉันยังไม่ได้ปักใจเชื่อแบบนั้น แต่มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ"


"ถ้าเป็นแบบนั้น อัศนัยก็น่าจะต้องรู้สิว่าอัญชลิสาทำผิดกฎ  เพราะกิ่งเคยทำงานกับเขามาก่อน แต่นี่ทุกคนกลับทำเหมือนไม่รู้จักกิ่ง ไม่รู้ว่าใครช่วยให้กิ่งเข้าไปทำงานในนั้นได้"


"ถ้าอย่างนั้นไม่ใครก็ใครละที่โกหก"


"หรือไม่ก็ช่วยกันโกหก"


น้ำเสียงและหน้าตาที่ขึงเครียดทำให้เก่งกาจรู้สึกไม่วางใจกับสิ่งที่เพื่อนกำลังคิดอยู่ในตอนนี้นัก ร่างกำยำลุกจากเก้าอี้มายืนข้าง ๆ วางมือบนบ่ากว้างพร้อมกับโน้มตัวลงกระซิบถาม "แกคิดอะไรอยู่"


คนถูกถามเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนรักด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาจากนั้นก็ก้มลงมองข้อมูลใหม่ที่วางกระจายอยู่บนโต๊ะ "ฉันกำลังคิดว่า ถ้าไม่มีใครยอมพูด ฉันก็จะง้างปากให้พูดออกมาให้ได้"


(มีต่อนะคะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2015 09:51:01 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)






ปลายจมูกโด่งลากไปตามเนื้อตัวปราศจากอาภรณ์ที่อบอวลด้วยกลิ่นน้ำหอม ร่างหนาแนบชิดนัวเนียป่ายปาดมือไม้คลึงเค้นทุกตารางนิ้วราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เมื่อพอใจจึงยันตัวขึ้นเชยคางมนสบตาคนที่กำลังมองมาด้วยแววตาโหยหา


"นึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิงจะสวยขนาดไหน" ไม่พูดเปล่ามือที่เหลือยังไล้ไปตามเส้นผมที่นุ่มลื่นไม่ต่างอะไรกับเส้นไหมคุณภาพดี ตาคมสำรวจทุกองค์ประกอบบนใบหน้าที่ถึงจะเป็นชายเหมือนกันแต่กลับเย้ายวนจนยากจะห้ามใจไหว


"กลัวว่าคุณเล็กจะจำอาร์มไม่ได้น่ะสิครับ" เจ้าของร่างสีเรื่อกล่าวก่อนจะเอียงหน้าหนีจมูกโด่งรั้นที่ชิดเข้ามาสูดกลิ่นหอมข้างแก้ม


"ทำไมผมจะจำผีเสื้อของผมไม่ได้ล่ะ อุตส่าห์ตีตราจองไว้แล้วจะจำไม่ได้ได้ยังไงกัน” เท้าแขนมองปลายนิ้วตนเองที่กำลังเขี่ยวนอยู่บนแก้มขึ้นสีก่อนจะกล่าวต่อ “เอ๊...หรือยังไม่พอนะ ถ้ายังไม่พอจะได้เพิ่มให้อีก" ยังไม่ทันฟังว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าอะไรริมฝีปากหยักก็กดลงกับซอกคอขาวก่อนจะดูดชิมความหอมหวานจนขึ้นรอย หนำใจแล้วจึงแกล้งถอนปากออกอย่างเชื่อช้า ทำเอาคนใต้ร่างบิดเร่าอย่างขัดใจเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ


มือบางวางทาบบนแผงอกกว้าง ไล้ไปตามผิวเนื้อชื้นเหงื่อหวังจะเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนอีกหน แขนเล็กเหนี่ยวคล้องคอหนาลงมาใกล้ ส่งสายตาเชื้อเชิญอย่างเปิดเผยพอ ๆ กับร่างกายเต็มใจยอมรับรสสัมผัสหากอีกฝ่ายจะปรนเปรอให้ เพียงเท่านั้นปากหยักก็เหยียดออกเป็นรอยยิ้มหวานเยิ้มพร้อมที่จะสานต่อในสิ่งที่ทำค้างไว้ ร่างใหญ่โถมเข้าหาอย่างละมุนละม่อม แตะปลายลิ้นอุ่นลากวนบนยอดอกสีหวานแสนอ่อนไหว ยิ่งได้ยินเสียงครางกระเส่าตอบสนองทุกส่วนในกายก็เหมือนถูกปลุกให้ฮึกเหิม



“คุณสวยไปหมดทั้งตัวเลยอัญชลิสา คุณทำให้ผมหลงจะแย่แล้วรู้ตัวไหม ผมรักคุณ...ผมรักคุณอัญชลิสา”


เสียงนั้นแหบพร่า แต่มีเสน่ห์น่าฟังทำเอาเจ้าของชื่อแทบพลีกายถวายชีวิต ปล่อยให้มือใหญ่จับร่างพลิกคว่ำหน้าลงกับหมอน ยอมให้ริมฝีปากร้อนกดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผิวเนื้อกระจ่างตาเป็นรอยห้อช้ำ 


จากความอ่อนโยนกลับกลายเป็นความหยาบคายกักขฬะอย่างยากจะหาถ้อยคำมาบรรยาย เมื่อเรือนร่างที่อัดแน่นด้วยหื่นกระหายทาบทับบดเบียดกระแทกกระทั้นตามแรงอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น กระทั่งคมฟันฝังลงบนปีกข้างหนึ่งของเจ้าผีเสื้อตัวน้อยจนเลือดซึม ร่างเปลือยถึงกับผวากระถดหนี  แต่มือหยาบยังไม่ลดละ ตามลูบไล้บีบเค้นไหล่กลมกลึงอย่างกับอยากจะเห็นมันแหลกเหลวไปต่อหน้า เสียงแห่งความปรารถนาถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องและอ้อนวอนแต่มันไร้ผล...



“ไม่”



"ม...ไม่ ไม่ใช่"



"ไม่ใช่!!!"




ร่างบางสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลงก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่งหอบตัวโยน เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผมไหลย้อยลงปลายคาง มือเรียวเสยผมยาวไปด้านหลังพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ  จึงพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน


"เป็นอะไรหรือเปล่า" แขนแกร่งโอบรัดรอบเอวก่อนจะขยับเข้าหาวางศีรษะลงบนตักของคนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย


"อันฝันไม่ค่อยดีค่ะ" เธอกล่าวพร้อมกับดึงผ้าห่มนุ่มขึ้นมาปิดบังส่วนที่ไร้อาภรณ์หุ้มห่อ


"ก็แค่ฝันน่ะ ไม่มีอะไรหรอก นอนต่อเถอะ" อัศนัยกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางขยับแขนกอดรัดเอวสอบเอาไว้แน่น


"อันต้องไปทำงานค่ะ เช้าแล้ว คุณเองก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน วันนี้มีประชุมไม่ใช่เหรอคะ" พูดจบอัญชลิสาก็พยายามผละออกจากสัมผัสของอีกฝ่าย ขยับตัวลุกจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ


ตาคู่งามมองสำรวจเรือนร่างของตัวเองในกระจก ที่บ่าและหน้าอกเต็มไปด้วยร่องรอยที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง มือบางเอื้อมเปิดฝักบัวอย่างรวดเร็วปล่อยให้สายน้ำชโลมรดร่าง  พลันความเจ็บแสบก็แล่นที่ไปทั่วแผ่นหลัง ทำให้ต้องเอี้ยวตัวมองเงาสะท้อนในกระจกเพื่อหาที่มาของอาการนั้น ที่แผ่นหลังเล็กก็มีสภาพไม่ต่างกัน ดูแย่กว่าก็คงเป็นคราบเลือดแห้งกรังที่กลบทับรอยสักรูปผีเสื้อนั่น มันกำลังถูกชะล้างละลายไหลไปกับสายน้ำ เหลือไว้เพียงรอยคมเขี้ยวที่ชวนให้ความรู้สึกรังเกียจสัมผัสวาบหวามของอัศนัยขึ้นมาเสียอย่างนั้น อัญชลิสารู้ดีว่ามันต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหาย หากแต่งตัวให้มิดชิดหรือใช้เครื่องสำอางคุณภาพดีทาทับก็คงพอจะรอดจากสายตาของพวกที่ชอบจับผิดได้บ้าง คิดแล้วนึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยแก้ปัญหานี้ให้…



ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ กวดตามองภาพในนิตยสารพลางกระดิกปลายเท้าตามเสียงฮัมเพลงที่ดังแว่วมาจากห้องน้ำ กระทั่งเสียงนั้นเงียบลงแต่ปากบางก็ยังคงฮัมเพลงนั้นต่อ รอกระทั่งประตูเปิดออกจึงปิดหนังสือบนตักเงยหน้ามองเจ้าของห้องที่กำลังเดินขยี้ผ้าขนหนูบนผมยาวเรี่ยบ่าจนมาหยุดที่หน้ากระจก 


“นั่นหลังพี่อาร์มไปโดนอะไรมาคะ รอยแดงเต็มไปหมดเลย” หญิงสาวผู้มีรอยยิ้มน่ารักเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนเรือนร่างของอีกฝ่าย


“หือ? จริงเหรอ" ชายหนุ่มร่างอ้อนแอ้นสวมเสื้อกล้ามตัวบางกับกางเกงขาวสั้นเผยต้นขาขาวเอี้ยวตัวสำรวจตัวเองในกระจก เมื่อเห็นว่าเป็นจริงตามที่ว่าก็ถึงกับถอนใจเฮือก “ทำยังไงล่ะเนี่ย คืนนี้ต้องสวมชุดนั้นด้วยสิ” พูดจบก็หันไปมองชุดราตรียาวที่แขวนอยู่ไม่ไกล


"นั่นแน่...เมื่อคืนคุณอัศนัยมาหาละสิ ใช่ไหมคะ" เจ้าของหน้าสวยถามอย่างรู้ทัน เล่นเอาอีกคนจนมุมไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร หรือหากคิดแก้ตัวก็คงไม่ทันแล้วเพราะสองแก้แดงได้สนับสนุนว่าข้อสันนิษฐานเมื่อครู่ไปเสียแล้ว


“อืม เขาแวะเอาชุดมาให้น่ะ กำชับนักกำชับหนาว่าต้องใส่ไปงานเลี้ยงคืนอำลานี้ให้ได้ พี่ถึงต้องให้กิ่งมาช่วยกันก่อนนี่ไง”


“ให้ใส่ชุดนี้แต่มาทำพี่อาร์มของกิ่งช้ำไปทั้งตัวแบบนี้เนี่ยนะ” สาวน้อยทำหน้ามุ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางมานั่งแหมะลงบนเตียง “จะว่าไปก็ใจหายเนอะ อยู่กันมาตั้งนานวันนี้จะปิดตัวเสียแล้ว”


“คุณเล็กเธอก็ไม่ได้ทิ้งนี่ เธอแค่กลับไปคุณพ่อบริหารงานนาฏยกาลเท่านั้นเอง”


“กิ่งก็ยังเสียดายอยู่ดี คุณอัศนัยอุตส่าห์สร้างดรามาติก ทเวลฟ์มากับมือ”


“ช่วยไม่ได้นี่นา” ชลิตกล่าวพลางเดินมานั่งข้าง ๆ กัน “พี่ชายเธอก็หนีการแต่งงานไปเสียอย่างนั้น แถมคุณพ่อก็มาล้มป่วยอีก”


“พูดถึงพี่ชายคุณอัศนัย...ตั้งแต่กิ่งมาฝึกงานจนได้ทำงานที่ดรามาติก ทเวลฟ์ กิ่งยังไม่เคยเจอเลยสักครั้ง อืม...ชื่ออัศวินใช่ไหม พี่อาร์มเคยเจอหรือเปล่า”


คนถูกถามส่ายหน้า “คุณเล็กเธอไม่เคยเล่าอะไรให้พี่ฟังนะ รู้แค่ว่าคุณใหญ่เธอถูกส่งไปเรียนด้านบริหารที่ต่างประเทศ เขาว่ากันว่าเธอเป็นคนเก็บตัว คนในคณะละครไม่เคยได้พบเธอจริง ๆ เลยสักครั้ง”


“คงจะหล่อน่าดูเลยนะคะ คุณอัศวินคนนี้น่ะ ขนาดน้องชายยังเป็นขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครสู้พี่อาร์มของกิ่งได้เลยสักคน” พูดจบก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องหน้าคนเขิน


“เลิกแซวแล้วมาช่วยพี่คิดดีกว่าว่าจะทำยังไงกับรอยพวกนี้” พูดจบหนุ่มหน้าสวยก็หันหลังให้ก่อนจะถอดเสื้อตัวบางออกเผยให้เห็นผิวชาวเนียนละเอียดที่ตอนนี้ถูกแต้มด้วยรอยรักสีกุหลาบเต็มไปหมด ชลิตล้มตัวลงนอนคว่ำบนเตียงปล่อยให้กิ่งดาวจัดการกับปัญหานี้ตามใจเธอ


“คุณอัศนัยจะโกรธไหมนะที่กิ่งจากเสกผีเสื้อตัวน้อยของเขาให้กลายเป็นดอกไม้” พูดจบก็เปิดกระเป๋าหยิบสีสำหรับเพ้นต์ตัวขึ้นมาเปิดออกจัดการใช้พู่กันแต้มทับร่องรอยที่แสดงว่าเรือนร่างนี้มีเจ้าของแล้ว “ผู้ชายกับดอกไม้น่ะ น่ารักจะตาย”


“ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน”


“เพื่อนกิ่งเองค่ะ เพื่อนกิ่งทำให้รู้สึกแบบนั้น”


“เพื่อนหรือว่าแฟน หืม?”


“เพื่อนสิคะ พี่อาร์มก็น่าจะรู้ว่ากิ่งเพิ่งอกหักมา ตอนนี้น่ะยังไม่กล้าคิดอะไรกับใครหรอกค่ะ” แม้จะพูดออกไปด้วยรอยยิ้มแต่ภายในใจกลับไม่ได้ยิ้มตามเลยสักนิด


“กิ่ง...พี่...” ชลิตผงกหัวขึ้นก่อนจะตัดสินใจกลืนคำพูดต่าง ๆ ลงคอไปในที่สุด


เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงดอกไม้งามก็เสร็จเรียบร้อย เจ้าของผลงานมองมันอย่างชื่นชมพลางไล้ปลายนิ้วไปตามกลีบดอกที่ปลิดปลิวเป็นสายเมื่อคราต้องลม หญิงสาวแนบแก้มลงผิวนุ่มทอดตามองดอกไม้ห้ากลีบในตำแหน่งต่ำจากบ่าข้างขวาลงมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะขออนุญาตเจ้าของเรือนกายถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก


เจ้าของร่างงามยันกายลุกขึ้นก่อนจะหันมาสบตาหญิงสาว อยากจะกล่าวขอบคุณและขอโทษไปพร้อม ๆ กัน ขอโทษที่ตนเองไม่อาจตอบแทนความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้ได้มากไปกว่าความเป็นพี่เป็นน้อง


“ขอบใจมากนะกิ่ง”


“ไม่เป็นไรค่ะพี่อาร์ม” กิ่งดาวกล่าวก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาห่มให้ “เดี๋ยวกิ่งแต่งหน้าให้นะ จะแต่งให้สวยจนคนในงานจำพี่อาร์มไม่ได้เลยคอยดูสิ”


“ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยหน่อยสิ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะหันไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียง


“สงสัยฝนจะตกแน่ ๆ พี่อาร์มสุดหล่อขอถ่ายรูปคู่กับกิ่ง ไม่กลัวเป็นข่าวเหรอคะ” 


“กลัวทำไม ใครเขาก็รู้ว่าพี่น่ะรักกิ่งเหมือนน้องสาวแท้ ๆ”


คนฟังมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย แต่ก็เพียงแวบเดียวนั้น ดวงตาคู่สวยก็กลับสดใสขึ้นอีกครั้ง “ไม่ยอมให้เป็นอย่างอื่นเลยนะคะ”


“พี่...ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ ที่คิดเป็นอย่างอื่นกับกิ่งไม่ได้”


“โธ่! พี่อาร์ม กิ่งล้อเล่นนิดเดียวเอง อย่าคิดมากสิคะ กิ่งบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ถึงพี่จะไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับกิ่ง แต่เร็ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม”


“มาเถอะ ถ่ายรูปดีกว่า เป็นที่ระลึกเผื่อว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่กิ่งจะได้เห็นพี่อาร์มคนนี้”


“พี่อาร์มหมายความว่ายังไงคะ” สาวน้อยถามอย่างไม่เข้าใจ


“พอดรามาติก ทเวลฟ์ปิดตัวเราก็ต้องแยกย้ายกันไปแล้ว กิ่งล่ะ วางแผนชีวิตไว้ยังไง”


“กิ่งกะว่าจะเรียนต่อค่ะ แล้วพี่อาร์มล่ะคะ”


“ไม่รู้สิ พี่คงไปต่างประเทศสักพักมั้ง” พูดจบก็ยกโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพประทับใจในวันนี้เอาไว้


กิ่งดาวใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการแปลงโฉมให้ชลิตกลายเป็นสาวสวย เธอถอยห่างออกมาจ้องมองผลงานอย่าพอใจ เก็บรายละเอียดอีกเล็กน้อยก่อนจะเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าเหมือนเดิม


“ไม่ไปด้วยกันจริงน่ะเหรอ” ร่างสูงในชุดราตรียาวโชว์แผ่นหลังเอ่ยขึ้นขณะนั่งสวมรองเท้า


“ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่อยากร้องไห้น่ะ งานแบบนี้ต้องพูดอะไรซึ้ง ๆ กันแน่ ๆ เลย กิ่งไม่อยากมาสคาร่าเยิ้มกลางงาน “ฝากพี่อาร์มบอกทุกคนก็แล้วกันค่ะว่ากิ่งมีธุระต้องกลับปากช่องด่วน”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ถ้าจะกลับก็ล็อคห้องให้พี่ด้วยนะ แล้วยังไงพี่จะโทรหา”


สาวน้อยพยักหน้า มองตามสาวสวยที่กำลังเปิดประตูออกจากห้อง ครู่หนึ่งเธอก็เดินไปที่หน้าต่าง มองดูเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ดำที่กำลังแล่นเข้ามาจดเทียบหน้าคอนโด ครู่หนึ่งร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็เปิดประตูลงมายืนรอสาวสวยที่ไม่นานก็ปรากฏตัวขึ้น


ที่เมื่อกี้บอกว่าไม่อยากร้องไห้ น่าจะเป็นไม่ยากร้องไห้ที่เห็นภาพนี้มากกว่า ไม่รู้ว่าสองคนคุยอะไรกัน แต่เมื่อกิ่งดาวเห็นรอยยิ้มและท่าทีเขินอายของคนที่เธอแปลงโฉมให้ก็รู้ได้ทันทีว่าพี่อาร์มของเธอต้องกำลังมีความสุขอยู่แน่ ๆ ...



ที่ลานจอดรถหน้าคอนโด



เจ้าของรถหรูมองสำรวจร่างอ้อนแอ้นอรชรในชุดที่เขาเตรียมให้พลางยิ้มอย่างพอใจก่อนเดินยิ้มเข้าไปประคองเอวสอบพร้อมกับกระซิบเบา ๆ “ใครนะที่เอาผีเสื้อของผมไปซ่อน เขาจะรู้ไหมว่าผมอยากจะค้นหาเจ้าปีกบางตัวน้อยของผม ไม่อยากไปงานเลี้ยงอำลานั่นเสียแล้วสิ”


“ไปเถอะครับ ผีเสือของคุณเล็กไม่ได้หายไปไหนหรอก อาร์มเคยบอกแล้วไงว่าจะเก็บรักษามันเอาไว้อย่างดี”



อัญชลิสาดึงความคิดกลับมาก่อนจะหลับตาลงปล่อยให้สายน้ำรินรดทั่วร่าง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ในหัวยังคงครุ่นคิดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ จนเก็บมาเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม


....


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2015 20:16:01 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
คนที่กิ่งรัก คือ อัญชลิสาเหรอเนี้ย แล้วยังงี้ คุณเล็กก็ต้องจำได้สิ ว่า อัญชลิสาคือคนเดียวกับอาร์ม เพราะรอยสักเนี้ย ลุ้นติดขอบจอ

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
โอ๊ย...ปวดใจกับการอกหักซ้ำซากของ ดร.ปลายปีมาก
หนอนบุ้งใจร้ายกว่าที่คิดจริงๆ ตั้งแต่ตอนที่เมาแล้วนะ ห้ามตลอด ห้ามไม่ให้พูดได้ แต่จะห้ามไม่ให้รู้สึกได้ยังไง ฮรืออออ
ซีนที่เจอกันหน้าลิฟท์นี่ เป็นเราคงไม่เดินด้วยอ่ะ ทำเราอกหักขนาดนี้ อาจารย์ก็ทนได้เนาะ

เฉลยความจริงเรื่องรอยสักดอกไม้ พร้อมคนที่ทำให้กิ่งอกหักจนไปหักอกหนอนบุ้งอีกทอดนึงแล้ว
ทีนี้ก็เหลือปมการเสียชีวิตล่ะนะ ว่าฆ่าตัวตายหรือโดนฆ่า ทำไมฆ่า ฆ่ายังไง เอ่อ...ดูเหมือนปมจะเหลือเยอะอยู่

ตอนนี้ชักจะไม่อยากไขปม อยากผูกเงื่อนให้อาจารย์กับหนอนบุ้งมากกว่า  :ling2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ยังไงล่ะเนี่ย
หลายตลบมากกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ซับซ้อนจริงๆ น่าสงสัยไปหมดเลย

สงสารอาจารย์ธันจัง หนอนบุ้งใจร้าย

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
เรื่องเป็นมาเป็นไปอย่างงี้นี่เอง~

ออฟไลน์ dekzappp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
โถ่ ด็อกเตอร์~

แรกๆเราก็มุ้งมิ้งฟุ้งฟิ้งกับอารมณ์คนตกหลุมรัก พอเจอบุ้งหักอกด็อกเตอร์เท่านั้นแหละ

เศร้าตามด็อกเตอร์ไปเลย โถ่ๆ พ่อคุณ ไม่เป็นไรนะๆ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อ้าว กลายเป็นว่ากิ่งรักน้องอันซะงั้น แต่ประเด็นการตายก็ยังเป็นปริศนา
สงสารดร.ธันวา บุ้งใจร้าย

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
 :really2: :really2:

ที่เดามาตั้งแต่ต้นผิดหมดเลยง่ะ TT

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
ไอ้ที่เดาๆไว้ผิดหมดเลยอ่ะ o22

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
เลือกไม่ถูกเลยค่ะว่าจะสงสารใครก่อนดี

 :hao5:


ดร.ธันวาคนอกหักก็น่าสงสาร

กิ่งดาวก็ยิ่งน่าสงสาร คนที่เธอรักก็คืออัญชลิสานี่เอง

แสดงว่ารูปถ่ายในโทรศัพท์ที่บุ้งกำลังพยายามหาตัวคนร้ายอยู่ก็คือรูปที่กิ่งดาวถ่ายไว้เองสินะคะ
รู้สึกเศร้าอ่ะ อยากรู้ว่าเรื่องของกิ่งกับพี่อาร์มเป็นมายังไง

แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังไม่อยากตัดตัวเลือกอย่างอัญชลิสาออกไปอยู่ดี
ถ้าพูดแบบนี้หมายความว่าหลังจากนี้สองคนนี้อาจจะไม่เจอกันอีก
นี่ก็เดาอีกแล้วค่ะ เดาว่ากิ่งปลอมตัวเข้าไปทำงานที่นาฏกาล โดยที่ตอนแรกอันอาจจะไม่รู้
แต่พอรู้ก็ช่วยปกปิดเรื่องที่กิ่งดาวเป็นผู้หญิงให้ (รึเปล่า?)

ลุ้นอยากจะรู้ตอนต่อไปแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้เหมือนจะคลายปมได้เยอะนะ แต่ก็เหมือนจะผูกเป็นปมแน่นขึ้นอีกยังไงไม่รู้ 5555


แต่นี่ยังสงสารด๊อกเตอร์อยู่เลยนะคะ TvT

 :o12:


ปล.อยากรู้จริงๆ ว่าความลับของคุณเล็กที่อันรู้มันคืออะไร? จะเกี่ยวกับการตายของกิ่งดาวมั้ย? แล้วไอ้ความรู้สึกรังเกียจนั่นคืออะไร? สองคนนี้มีอะไรที่น่าสงสัยมากๆ จริงๆ นี่ก็เดาอีกแล้วนะคะ เดาว่าสองคนนี้ (ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง) อาจจะมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการตายของกิ่งดาวก็ได้ โอ้ยยยย รู้สึกเป็นเชอร์ล็อค โฮล์ม 5555555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2015 23:25:35 โดย aiLime13 »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 13 โรงละครร้าง


สายลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกปีบฟุ้งกระจายท่ามกลางละอองฝนที่เริ่มซาเม็ดลง ถึงกระนั้นเช้านี้การจราจรในกรุงเทพฯ ก็ยังคงกลายเป็นอัมพาตอย่างไม่ต้องสงสัย 


ตาคมทอดมองออกไปนอกประตูระเบียงที่เปิดแง้มอย่างไร้จุดหมาย แม้จมูกจะสัมผัสกับกลิ่นที่โปรดปราน แต่แทนที่คันธชาติจะสดชื่นเหมือนเคยกลับดูเห่อเหี่ยวเสียยิ่งกว่าดอกไม้ที่โรยราร่วงลงสู่ผืนดินเพราะแรงลมเสียอีก เสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะดังเว้นจังหวะสม่ำเสมอสอดรับกับเสียงเดินของเข็มวินาทีนาฬิกาติดฝาผนัง

หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันทุกครั้งเมื่อคำถามใหม่เกิดขึ้นในใจและวนมาให้คิดหาคำตอบไม่จบไม่สิ้น ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระดาษที่วางแผ่อยู่บนระนาบไม้ตรงหน้าขยับไหว ทั้งภาพข่าวเก่า ทั้งภาพถ่ายรวมถึงข้อมูลใหม่ที่ได้มาสด ๆ ร้อน ๆ วางกระจัดกระจายไร้ระเบียบพอ ๆ เรื่องในหัวตอนนี้ ทั้งที่พยายามจะคลายปมจากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีแต่เวลานี้กลับรู้สึกว่ายิ่งพยายามปมนั้นก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่า


เสียงเรียกเข้าที่แผดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันช่วยเรียกความคิดที่กำลังใกล้คำว่าฟุ้งซ่านเข้าไปทุกขณะให้กลับมารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนอีกครั้ง ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์กดรับสายจากนั้นก็กรอกคำถามยาวยืดไม่เปิดช่องให้คนโทรมาได้พูด


"แกว่าดรามาติก ทเวลฟ์ กับข้อความเลขสิบสองของกิ่งจะเกี่ยวข้องอะไรกันไหมวะ แล้วก็อัญชลิสา...กับ...นายอัศนัยน่ะ น่าจะรู้สิว่ากิ่งเป็นใครเพราะพวกเขาเคยทำงานด้วยกันมาก่อน แต่ทำไม..."


"พอ ๆ ไอ้บุ้ง แกใจเย็น ๆ” ปลายสายเอ่ยขึ้น


“แกว่ามันแปลกไหม”


“ก็แปลกอยู่” เก่งกาจกล่าวก่อนจะเงียบไป ต่างฝ่ายต่างได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน แล้วก็เป็นคันธชาติที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ


“ฉันจะเข้าไปที่ดรามาติก ทเวลฟ์”


“แกจะเข้าไปทำไม อีกไม่กี่วันเขาก็จะทุบทิ้งแล้ว”


“แกจำไม่ได้เหรอว่าเรายังเหลือไดอารีของกิ่งที่ยังหาไม่เจอ บางทีมันอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้”


คนฟังถอนใจเฮือก “เปล่าประโยชน์ว่ะไอ้บุ้ง”


“แกหมายความว่ายังไง”


“ก็เพราะว่าหลังจากขายโรงละครที่ซอยสิบสองนั่นแล้ว อัศนัยก็ย้ายของทุกอย่างมาไว้ที่นาฏยกาลน่ะสิ บางทีของบางอย่างอาจจะถูกขายให้ร้านรับซื้อของเก่าไม่ก็ถูกจับเผาทำลายไปแล้วก็ได้ มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้วนี่”


“โธ่โว้ย! แล้วทีนี้จะทำยังไง จะให้กิ่งตายฟรีอย่างนั้นเหรอ” กล่าวพลางขยี้หัวตัวเอง


‘ตายฟรี’ คำพูดนั้นสะกิดใจจนเก่งกาจต้องถามซ้ำให้แน่ใจ “ไอ้บุ้ง ฉันถามอะไรแกหน่อยสิ”


“ถามอะไรวะ”


“ตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมแกถึงปักใจเชื่อนักว่าการตายของกิ่งมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แค่เพราะข้อความเลขสิบสองนั่น หรือภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์กับใครคนหนึ่งที่กิ่งพูดถึงบ่อย ๆ แค่นั้นน่ะเหรอ ไม่น่าใช่หรือเปล่าวะ แกมีอะไรที่ยังบอกฉันไม่หมดหรือเปล่า”


“ฉันก็บอกแกไปหมดแล้วไง แกจะยังสงสัยอะไรอีกวะ”


“เปล่า...แต่แกทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าบางทีมันอาจจะเกี่ยวพันกับหลายคนและเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่ฉันคิดเอาไว้ก็เท่านั้น”


“คิดมากน่า”


“เออ ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แต่ถ้ามีละก็ แกห้ามปิดบังเด็ดขาดนะรู้ไหม มันอันตราย”


“ทำไม? เป็นห่วงเหรอ เป็นห่วงก็บอกมาตรง ๆ สิวะ ไม่ต้องอ้อมค้อม เขินหรือไง”


“เออ ฉันมันคนพูดอ้อมค้อม ทีคนพูดตรง ๆ แกกลับไม่ฟังเขา”


"พูดอะไรวะ ไม่เห็นจะเข้าใจ"


“เฮ้อ...นี่แกไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่วะ”


“ก็ไม่เข้าใจจริง ๆ น่ะสิ แกพูดเรื่องอะไรของแก”


“เออ ๆ ช่างมันเถอะ” คนปลายสายถอนใจเฮือก ไม่เข้าก็ไม่เข้าใจ “ว่าแต่นี่แกเจอ ดร.ธันวาบ้างหรือเปล่า”


“ม...ไม่ ไม่เจอ ถามทำไม”


“เปล๊า! แค่พักนี้เขาหายหน้าหายตาไปก็เลยถามดู เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกันเผื่อแกจะเจอบ้าง”


“ไม่เจอมาหลายวันแล้ว”


“เอ๊!!! ไปไหนของเขานะ”


“จะไปไหนก็ช่างเขาเถอะน่า แกจะสนใจทำไมวะ”


“หรือแกไม่สนใจ เพื่อนบ้านกันนะโว้ย ป่วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออาจจะมีปัญหาทางบ้าน งานหนัก หรือ...”


“พอ ๆ มันเรื่องของเขา แล้วทำไมฉันต้องสนใจด้วยวะ” คันธชาติเริ่มจะหงุดหงิด


“เออ ๆ ไม่สนใจก็ไม่สนใจ” เก่งกาจพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะวางสาย ‘อย่าให้รู้ว่าสนใจก็แล้วกัน ล้อยันแก่แน่ ๆ’





หลังจากหายหน้าไปกว่าหนึ่งเดือนด้วยต้องพักรักษาตัวเพราะประสบอุบัติเหตุ ในที่สุดผู้ช่วยช่างเสื้อก็ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง สาวสวยร่างสูงยืนย้มหวานเมื่อรถนั่งแบบครอบครัวแล่นเข้ามาจอดเทียบ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่งเจ้าของรถก็เอ่ยขึ้น


“น้องบุ้งเจอน้องธันบ้างหรือเปล่าคะ พักนี้เจ๊แวะมาหาแก้วแต่ไม่เห็นน้องธันเลย”


คำถามนั้นทำเอาคันธชาติแทบอยากจะเปิดประตูลงจากรถ ไม่เข้าใจว่าทำไมพักนี้จึงมีแต่คนถามคำถามนี้อยู่เรื่อย “ผมไม่ได้รับตามหาคนหายนะเจ๊”


“แหม...ว่าไปนั่น เจ๊ก็ถามดูเฉย ๆ ค่ะ เห็นว่าห้องใกล้กัน เผื่อจะเจอกันบ้าง”


คนฟังกอดออกมองไปนอกหน้าต่าง


“นี่...แล้วไม่เจอเนี่ย ไม่คิดจะอยากเจอบ้างเหรอคะ”


“ไม่เห็นจะอยากเจอเลย”


คำตอบที่ได้เรียกรอยยิ้มจากพุฒิพงศ์ได้ไม่น้อย “อืม...แปลกจังเลยน้า” ลากเสียงพร้อมกับเหลือบมองคนที่ยังคงเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทาง “ไม่รู้ว่าหายไปไหนสิเนี่ย ถามกับแก้ว แก้วก็บอกไม่รู้ จะไม่สบายหรือเปล่า หรือว่างานหนัก หรือว่า...”


ประโยคพวกนี้มันฟังแล้วคุ้น ๆ “พอ ๆ เจ๊ จะแจ้งความคนหายไหม เดี๋ยวผมโทรบอกไอ้กาจให้” พูดจบก็ควักโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะทำอย่างที่พูดแต่ก็ถูกห้ามเสียก่อน คันธชาติโคลงศีรษะอย่างหงุดหงิด ตามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ใจนี่สิ...


ไม่รู้ว่าไปไหน...


พุฒิพงศ์เลี้ยวรถเข้ามาจอดยังบริเวณลานจอดรถใกล้โรงละครเก่าที่ถูกปิดตายซึ่งอยู่ใกล้กับทางไปห้องประชุมมากที่สุด กะเทยร่างตุ้ยนุ้ยก้าวลงจากรถพร้อมกับผู้ช่วยสาวสวยก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดท้ายดึงเอาถุงใบใหญ่ที่อัดแน่นด้วยตัวอย่างชุดละครออกมา วันนี้เป็นวันนัดตรวจงานหลังจากมีการปรับแก้ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกเชิญให้มาพร้อมกันในบ่ายวันนี้


“ไอ้กาจโทรมา”  คันธชาติในคราบของบุ๊งกล่าวพลางมองโทรศัพท์ในมือ “บุ๊งขอรับโทรศัพท์แป๊บนะเจ๊ เดี๋ยวตามเข้าไป”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจ๊เข้าไปก่อนนะ บุ่งบุ๊งรีบตามมาล่ะ นี่ก็จวนจะได้เวลาประชุมแล้ว”


คนฟังพยักหน้ารัวพร้อมกับกดรับก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง


“เออ ว่าไงวะ”


“ฉันจะโทรมาบอกแกว่า ตำรวจใกล้จะได้ตัวไอ้คนที่มันขับรถชนแกแล้วนะ”


“ใครวะ” ยังคงสาวเท้าเดินไปเรื่อย หูก็ฟังเสียงของคนที่ปลายสายไปด้วย


“ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่วันที่แกถูกชน มีพลเมืองดีจำทะเบียนไอ้รถคันนั้นได้ แล้วกล้องวงจรปิดของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ในซอยก็จับภาพรถคันที่เลี้ยวตัดหน้าแกได้ด้วย อีกไม่นานคงจะได้รู้ว่าทั้งหมดมันเป็นแค่อุบัติเหตุหรือมีใครตั้งใจให้มันเกิดกันแน่”


คันธชาติพยักหน้าเบา ๆ จู่ ๆ เท้าก็หยุดกึก มองเงาสะท้อนของตัวเองในผนังกระจกของตึกร้างที่อยู่เบื้องหน้า


“เอาไว้ได้ตัวมาสอบสวนแล้วได้ความว่ายังไงฉันจะบอกแกอีกทีก็แล้วกัน”


“เออ ๆ” ชายหนุ่มตอบอย่างแผ่วเบาก่อนจะกดวางสาย ดวงตาจ้องมองไปที่ประตูกระจกบานผลักที่มีฝุ่นจับหนาเตอะแสดงว่าไม่ได้รับการเหลียวแลมานาน  แต่ที่น่าแปลกก็คือที่จับซึ่งคล้องด้วยโซ่แน่นหนากลับดูสะอาดเอี่ยมเหมือนมีการเปิดเข้าเปิดออกอยู่บ่อย ๆ พยายามมองผ่านละอองฝุ่นที่เคลือบทับแผ่นระนาบเกือบจะใสเข้าไปก็เห็นเพียงราง ๆ เท่านั้นเพราะด้านในค่อนข้างมืด


“มายืนทำอะไรตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งเฮือก


คันธชาติสบตาเจ้าของเสียงผ่านเงาสะท้อนบนกระจก ดวงตาคู่นั้นยังคงสวยงามและแฝงด้วยความน่ากลัวทุกครั้งที่เห็น ชายหนุ่มก้มลงมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะหันกลับมาประสานสายตากันตรง ๆ


“บุ๊งมาคุยโทรศัพท์ค่ะ เดินไปคุยไปเพลินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ตรงนี้เสียแล้ว หาทางไปห้องประชุมไม่เจอ นี่ก็กำลังจะโทรถามเจ๊พุดดิ้งอยู่ค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันสิ ฉันก็จะไปที่นั่นอยู่พอดี นี่หายดีแล้วเหรอ เห็นเจ๊พุดดิ้งบอกว่าเธอถูกรถชน”


“ก็...ห...หายแล้วค่ะ”


คนถามเพียงแต่พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหมุนตัวกลับ


“เอ้อ...ค...คุณอันคะ”


“ว่ายังไง” หน้าสวยได้ปรายตามอง


“คือ...ตึกนี้น่ะมีผีจริง ๆ เหรอคะ” 


“ไปเอามาจากไหน”


“นิกกี้บอกค่ะ นิกกี้บอกว่าตอนกลางคืนมีคนได้ยินเสียงร้องโหยหวน”


“อย่าไปฟังนิกกี้มาก รายนั้นน่ะเห็นอะไรแปลก ๆ หน่อยก็กลัวไปหมด” อัญชลิสากลั้นหัวเราะ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คันธชาติได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงสร้างช่องว่างขั้นกลางด้วยการวางท่าดุจดังพญาหงส์เหินอยู่ดี


“แต่เขาบอกว่าที่นี่เคยมีคนตกลงมาจากดาดฟ้านี่คะ พูดแล้วขนลุก” บุ๊งหันซ้ายหันขวาอย่างหวาด ๆ ก่อนจะขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่า สังเกตว่าพอพูดมาถึงตรงนี้หน้าสวยนั้นดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็สามารถปรับสีหน้าเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


“อย่ากลัวเลยผีน่ะ กลัวคนดีกว่า คนน่ากลัวยิ่งกว่าผีอีกนะ คนบางคนก็ไม่ควรจะเฉียดเข้าไปใกล้หรือทำความรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ ยิ่งหนีให้ไกลได้ก็ยิ่งดี” อัญชลิสายกมุมปากเป็นรอยยิ้มปริศนาก่อนจะกล่าว “ รีบไปที่ห้องประชุมเถอะ ใกล้เวลาแล้ว” พูดจบเจ้าของร่างระหงงามสง่าก็เดินนำไปก่อน 


ตาคมกริบมองตามผิวขาวตัดสีแดงสดของเสื้อเว้าหลังพลางสาวเท้าตามกระทั่งเข้าไปในอาคารซึ่งเป็นโรงละครหลักของนาฏยกาลในปัจจุบัน กำลังจะเดินเลี้ยวตามอัญชลิสาไปยังห้องโถงใหญ่ แต่มือของใครคนหนึ่งกลับรั้งไว้ก่อนจะดึงร่างผลุบหายเข้าไปในซอกทางเดิน เป็นอัศนัยนั่นเอง คันธชาติเบิกตากว้างมองคนตรงหน้าพร้อมกับใช้มือดันอกของเขาเอาไว้ รู้สึกหงุดหงิดกับสองมือของอีกฝ่ายที่ยึดอยู่กับสะโพกแต่จะทำอย่างไรได้นอกจากปล่อยไปตามน้ำ


“ค...คุณอัศนัย”


“คุณเป็นยังไงบ้าง ผมตกใจแทบแย่ตอนที่คุณพุฒิพงศ์บอกว่าคุณถูกรถชน ผมอยากไปหาคุณ แต่พอถามคุณพุฒิพงศ์เขาก็ตอบว่าไม่รู้ว่าคุณไปอยู่ที่ไหน”


“มันเกิดขึ้นกะทันหันนะค่ะ พอคุณหมออนุญาตให้กลับได้ พ่อกับแม่บุ๊งก็มารับกลับบ้าน เลยไม่ทันได้บอกใคร แต่ตอนนี้บุ๊งหายดีแล้วค่ะ” พูดพลางพยายามขยับตัวออกแต่อัศนัยก็ยังเกาะเอาไว้เหนียวแน่น


“ถ้าอย่างนั้น...” ชายหนุ่มส่งตาหวาน “เราน่าจะหาเวลาทบทวนความทรงจำเรื่องคืนนั้นของเรากันหน่อยดีไหมครับ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย รู้แต่ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก” ท้ายประโยคฟังกระเส่าพิลึก


‘แหงละ แกจะจำได้ยังไงวะ ก็แกโดนวางยานอนหลับนี่’


“ก...ก็ ก็แล้วแต่คุณอัศนัยสิคะ บุ๊งตามใจคุณค่ะ” คันธชาติแสร้งทำขวยเขินทั้งที่อยากจะเอากำบั้นเสยปลายคางสักที แต่คำพูดเมื่อครู่กลับทำให้คนฟังได้ใจเลื่อนมือขึ้นโอบรัดรอบเอวแน่นเข้าไปใหญ่


หน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้หวังจะชิมรสหวานจากริมฝีปากระเรื่อเพื่อเรียกน้ำย่อย แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันมาดังขัดจังหวะเสียก่อน แขนแกร่งจำต้องคลายออกหลวม ๆ ปล่อยให้คนในอ้อมแขนหยิบโทรศัพท์


“เจ๊พุดดิ้งโทรตามแล้วค่ะ” คันธชาติกล่าวทั้งที่ยังไม่ได้กดรับ “สงสัยได้เวลาประชุมแล้ว”


“จะประชุมได้ยังไงครับ ในเมื่อผมก็ยังอยู่กับคุณที่นี่” ทำท่าจะสานต่อแต่ก็เป็นโทรศัพท์ในกระเป๋าของตัวเองที่ดังขึ้นบ้าง ชายหนุ่มผละออกจากร่างที่อวลไปด้วยกลิ่นหอมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายและเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทำเอาคันธชาติที่กำลังมองตามถอนหายใจอย่างโล่งอก ปลายนิ้วเรียวกดตัดสายก่อนจะรีบเดินต่อเพื่อไปยังห้องประชุม   


เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็พบว่าทุกคนมากับเกือบครบแล้ว ตัวอย่างชุดละครก็ถูกสวมกับหุ่นตั้งแสดงไว้กลางห้องเรียบร้อยแล้วจะขาดก็แต่นายใหญ่หน้าหล่อที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน คันธชาติในคราบของบุ๊งเดินมานั่งลงข้างพุฒิพงศ์ที่เพิ่งจะเข้ามานั่งก่อนเขาได้เพียงไม่นาน


“เกือบโดนงาบแล้วนะคะบุ่งบุ๊ง” กะเทยตุ้ยนุ้ยยิ้มหวาน


ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับพยักหน้าแต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณคนที่ช่วยให้รอดพ้นจากการถูก ‘งาบ’ มาได้ “ขอบคุณนะเจ๊ที่ช่วย”


“ไม่เป็นไรค่ะ เยอะกว่านี้ยังช่วยมาแล้วเลย”


คันธชาติพยักหน้ายิ้ม น้ำเสียงและสายตากรุ่มกริ่มนั้นทำให้เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร


“เอาอีกไหมล่ะ”


“บุ๊งงงงง!!!” จู่ ๆ ก็เสียงดังจนคนทั้งห้องหันมามองเป็นตาเดียว พุฒิพงศ์รีบเอามือปิดปากก่อนจะค้อมศีรษะเพื่อเป็นการขอโทษที่เสียมารยาทจากนั้นจึงหันกลับมากระซิบถามเจ้าของหน้าสวยที่กำลังนั่งหัวเราะคิก “ได้อีก...จริง? อย่ามาทำถามเล่น ๆ นะ เรื่องนี้เจ๊จริงจัง”


คนถูกถามยักคิ้วกวน ๆ ยังไม่ทันจะตอบประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง พลันร่างสูงสง่าใบหน้าชวนมองก็ปรากฏกายขึ้น แน่นอนว่าอัศนัยยังคงเรียกความสนใจจากทุกคนได้เช่นเคยเพราะทั้งห้องประชุมต่างมองมาที่เขาตาเป็นมัน โดยเฉพาะพุฒิพงศ์ที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนออกนอกหน้า


“เก็บอาการหน่อยค่ะเจ๊” คันธชาติกระซิบ


“แหม ก็เห็นแล้วมันเปรี้ยวปากนี่” พูดจบก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ


คนมาใหม่นั่งลงที่หัวโต๊ะพร้อมกับทักทายทุกคนรวมถึงสาวสายที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก จากคำพูดสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคแสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่ต่างจากอัญชลิสาและคนอื่น ๆ ในห้องที่ไม่ได้สร้างความสนใจให้เขาสักเท่าไร แต่ดวงตาทอประกายวิบวับนั่นกลับบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่ 


ระหว่างการประชุมพุฒิพงศ์ลอบมองชายหนุ่มหัวโต๊ะที่เอาแต่จ้องผู้ช่วยของตนเองราวกับจะกลืนกินเป็นระยะ ๆ ในที่สุดก็แสร้งกระแอมเบา ๆ เรียกสติ เล่นเอาอีกฝ่ายจำต้องเบนสายตาไปยังตัวอย่างชุดละครเวทีเรื่องใหม่ที่หลายคนพากันไปยืนห้อมล้อมตรวจสอบคุณภาพงานกันอยู่ที่กลางห้อง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ดีนั้นทำเจ้าของโรงละครหน้าหล่อพยักหน้ายิ้ม ท่าทางของเขาดูจะพอใจกับผลงานการตัดเย็บของห้องเสื้อโนเนมอย่างห้องเสื้อพุทธรักษาไม่น้อย


“คุณชอบหรือเปล่าอัญชลิสา” อัศนัยหันไปถามกับนางเอกของเรื่องที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย


“ค่ะ สวยแล้วก็ตัดเย็บเนี้ยบกว่าที่อันคิดไว้เยอะเลย” พูดพลางยกกระโปรงสุ่มปักเลื่อมขึ้นดู


“อืม ถ้าอย่างนั้นคุณพุฒิพงศ์ดำเนินการต่อได้เลยนะ ประมาณเอาไว้ว่าจะเรียบร้อยเมื่อไรครับ”


“ถ้าไม่มีปรับแก้อะไรแล้ว คิดว่าสองเดือนน่าจะเรียบร้อยค่ะ โชคดีที่ผู้ช่วยคนเก่งกลับมาแล้ว” พูดจบก็หันไปส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้างกัน


“ดีครับ เอาเป็นว่าอีกสองเดือนมาดูกันอีกที ระหว่างนี้ก็ช่วยรายงานความคืบหน้าให้ผมทราบเป็นระยะด้วย” อัศนัยกล่าวก่อนจะหันไปทางทีมเบื้องหลัง “ถ้าบทเรียบร้อยแล้วผมอยากให้กำหนดตัวแสดงแล้วก็ลงมือซ้อมกันได้เลย งานนี้อยากจะให้ออกมาดีที่สุดเพื่อเป็นการทิ้งทวน”


“ท...ทิ้งทวน? ทิ้งทวนอะไรเหรอคุณอัศนัย” คนหนึ่งถามขึ้น


“หลังจากละครเรื่องนี้จบ ผมตั้งใจว่าจะปิดนาฏยกาล” อัศนัยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมันเป็นเรื่องเล็กน้อย ในขณะที่ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ร้อง ‘ฮ้า!!’ นั่นคงเป็นเพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าโรงละครที่มีชื่อเสียงยาวนานและมีแนวโน้มว่าจะทำรายได้อีกมหาศาลจะมีปลายทางเป็นเช่นนี้


“ท...ทำไมล่ะคะ กิจการของเราก็ไปได้ดีนี่นา”


“หน้าที่ของคุณคือดูเแลรื่องฉากไม่ใช่เหรอ คุณไม่ได้มีหน้าที่มาถามผม และผมเองก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องตอบคำถามของคุณ” เพียงคำสั้น ๆ ของเจ้านายก็ทำให้อีกนับร้อยนับพันคำถามถูกกลืนลงคอไปโดยปริยาย ในขณะที่ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาเหมือนคนน้ำท่วมปากแต่อัญชลิสากลับจ้องคนพูดตาเขม็ง


“เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอปิดประชุมนะ ส่วนเรื่องที่ผมแจ้งไปเมื่อสักครู่ขอให้พวกคุณช่วยเก็บเป็นความลับด้วย ไม่อยากให้พวกนักแสดงขวัญเสีย  แล้วผมจะเป็นคนแจ้งให้พวกเขาทราบด้วยตัวเองในเร็ว ๆ นี้ หวังว่าทุกคนคงจะให้ความร่วมมือนะครับ”


เงียบเหมือนเป่าสาก ทั้งห้องประชุมไม่มีใครพูดอะไรกัน กระทั่งร่างสูงของผู้เป็นนายจ้างเดินพ้นประตูออกไปโดยมีอัญชลิสาก้าวฉับ ๆ ตามไปติด ๆ คันธชาติมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้แต่ละคนทำคอตก หน้าตาเหมือนไม่ได้กินข้าวเช้า ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้พุดดิ้งที่ยังคงอ้าปากค้างก่อนจะกระซิบ “หุบปากได้แล้วเจ๊ เดี๋ยวลมเข้าท้อง”


“ม...เมื่อกี้บุ่งบุ๊งได้ยินเหมือนที่เจ๊ได้ยินไหม”


“ได้ยินสิ คุณอัศนัยบอกว่าจะเลิกกิจการหลังจากละครเรื่องสุดท้าย”


“เป็นไปได้ยังไง เจ๊ไม่อยากจะเชื่อเลย”


“ใจเย็นเจ๊ คุณอัศนัยอาจจะล้อเล่นก็ได้” คันธชาติพูดไปอย่างนั้น สังเกตจากน้ำเสียงและแววตาของคนพูดแล้ว เมื่อสักครู่มันไม่ใช่การล้อเล่นแน่     


อัญชลิสาเปิดประตูพรวดตามอัศนัยเข้าไปในห้อง มองร่างสูงที่กำลังเดินไปนั่งลงยังโต๊ะทำงาน สีหน้าและแววตาของเขาดูจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่ เจ้าของหน้าสวยกอดอกจ้องหน้าอีกฝ่ายก่อนที่ริมฝีปากบางจะถามคำถามที่หลายคนในห้องประชุมอยากจะได้คำตอบ


“คุณมีเหตุผลลอะไรถึงจะปิดนาฏยกาล”


คนถูกถามเงยหน้าขึ้นสบตาพลางยกมุมปากขึ้น “ผมคิดว่าผมน่าจะสะสางเรื่องยืดเยื้อให้จบ ๆ ไปสักที”


“คุณรู้ไหมว่ามีคนมากมายที่ต้องเดือดร้อน บางคนเป็นนักแสดงละครเวทีมาเกือบค่อนชีวิต ไม่มีนาฏยกาลแล้วคุณจะให้พวกเขาไปทำอะไร คุณไม่มีสิทธิ์จะปิดนาฏยกาล มันไม่ใช่ของคุณ”


อัศนัยหัวเราะหึแสดงแววตาเยาะเย้ยในที “คุณอย่าลืมสิ ผมคืออัศนัย นาฏยะ แล้วมันจะไม่ใช่ของผมได้ยังไง”


“ค...คุณ คุณกำลังผิดสัญญา” อัญชลิสาเสียงอ่อยมองอีกฝ่ายอย่างไร้ความหวัง ในขณะที่คนตัวสูงเองก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาโอบเอวสอบจากด้านหลัง ริมฝีปากหยักเลื่อนเข้ากระทั่งแนบชิดติดริมหูพร้อมกับเปล่งเสียงกระซิบแผ่วเบา


“ลืมสัญญานั่น แล้วก็ทำตัวให้น่ารักในฐานะที่คุณเป็นคนของผม จากนั้นเราก็มารอชื่นชมคอมเพล็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดทันสมัยที่สุดที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นกัน คุณก็รู้นี่ว่าถ้าคุณขัดใจผมมันจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าหากมันเกิดขึ้นคุณจะต้องเสียใจ”


เสียงหัวเราะในลำคอนั้นฟังแล้วช่างชวนคลื่นไส้แต่คงไม่เท่าสัมผัสที่ตามมา อัญชลิสาหลับตานิ่งเมื่อริมฝีปากเย็นเฉียบแตะลงที่ใต้ติ่งหู เริ่มขบเม้มเบา ๆ ก่อนจะลุกลามไปตามลำคอและเพิ่มความรุนแรงขึ้น ปลายจมูกโด่งรั้นสูดลมหายใจลึกก่อนจะรวบรวมกำลังหมุนตัวกลับพร้อมกับจับแขนแกร่งเอาไว้แน่น


“อันบอกแล้วไง ถ้าคุณทำให้อันต้องเสียใจ ความลับของคุณมันก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ถึงวันนั้นเราก็จะไม่ได้พบกันอีกเลย”


อัศนัยส่ายหน้าดิก สีหน้าแววตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “อย่าคิดทำอย่างนั้นเด็ดขาดอัญชลิสา”  จากความเกี้ยวกราดหยาบคายกลับกลายเป็นความอ่อนโยนอีกครั้ง “ได้โปรดอย่าทำแบบนั้น ผมรักคุณนะอัญชลิสา ผมรักคุณ ในโลกนี้ไม่มีใครดีกับผมเท่าคุณอีกแล้ว”


ในความรู้สึกของอัญชลิสา อัศนัยคนนี้ไม่ต่างกับสายน้ำที่บางครั้งก็สงบราบเรียบจนอยากจะปล่อยตัวปล่อยใจทิ้งเรื่องราวต่าง ๆ แล้วลงแช่ให้ความเย็นสบายโอบล้อมร่าง บางครั้งสายน้ำนี้ก็เชี่ยวกรากจนยากจะหาสิ่งใดขวางได้หรือถ้าพลัดพลั้งพลัดตกลงไปก็มีแต่จะถูกดูดให้จมหายไปในพริบตา หากเลือกได้เธอคงจะไปเสียให้พ้น ๆ ไม่ข้องเกี่ยว ไม่รู้จัก แต่ที่ต้องทนอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงเพราะเหตุผลเดียว...



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2015 10:34:57 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เมื่อความมืดมิดโรยตัวปกคลุมเมืองทั้งเมืองอีกครา ร่างสูงที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืดก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะอาศัยช่วงเวลานี้เดินสำรวจไปรอบ ๆ โรงละครที่ถูกปิดตายมานาน พบว่ามีทางเข้าออกอยู่สามทางก็คือประตูด้านหน้า ประตูหนีไฟด้านข้าง และด้านหลังซึ่งเป็นทางเข้าออกของนักแสดงและเพื่อประโยชน์ในการขนย้ายอุปกรณ์ต่าง ๆ  ทั้งหมดถูกล่ามโซ่ใส่กุญแจอย่างหนาแน่น ขายาวเดินมาหยุดที่ทางเข้าด้านหลัง พยายามมองผ่านกระจกเข้าไปด้านในแต่ก็พบเพียงความมืด


คันธชาติถอนใจเมื่อจนหนทางที่จะพาตัวเองเข้าไปในตัวอาคาร กระทั่งเสียงของแข็งกระทบกันเพราะแรงลมดังขึ้น เมื่อมองหาก็พบต้นเสียงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มเงยหน้ามองช่องระบายอากาศของห้องน้ำที่อยู่เหนือศีรษะไม่มาก ซี่บานเกล็ดอะลูมิเนียมหักห้อยจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่แกว่งไกวกระทบผิวซีเมนต์เมื่อยามลมพัด หากมีใครเดินมาในเวลานี้ก็คงจะได้ยินเสียงเคาะจังหวะที่พาให้สติแตกกระเจิงเป็นแน่


ชายหนุ่มเริ่มมองหาตัวช่วยที่จะทำให้สามารถเอื้อมถึงบานเกล็ดอะลูมิเนียมได้ พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับลังไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกวางสุมอยู่กับแผ่นไม้อัดเก่า ๆ ที่คาดว่าคงจะเคยเป็นส่วนประกอบของฉากละคร คันธชาติจัดการรื้อกองขยะตรงหน้าอย่างเบามือก่อนจะค่อย ๆ ลากลังไม้วางชิดกับผนัง ลองเหยียบให้แน่ใจว่าจะไม่หักก่อนจะขึ้นไปยืนทั้งตัว


ออกแรงขยับแผงอะลูมิเนียมบานเกล็ดเพียงเล็กน้อยก็หลุดติดมือออกมาทั้งยวง จัดการวางพิงไว้กับผนังแล้วดึงตัวขึ้นมุดเข้าไปในช่องระบายอากาศ และเมื่อปลายเท้าสัมผัสกับพื้นอีกฝั่ง ชายหนุ่มก็หยิบไฟฉายกระบอกเล็กที่พกติดตัวมาด้วยออกจากกระเป๋ากางเกงเปิดไฟส่องดูที่ปลายเท้า ในที่สุดเขาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนระนาบของโต๊ะ ลากไฟฉายขึ้นก็แทบผงะเมื่อพบเงาสะท้อนในกระจก   


“โธ่...ไอ้บ้าเอ๊ย ตกใจตัวเอง” ปากพึมพำในขณะที่มือยกขึ้นทาบอก “ดีนะไม่แต่งหญิงมา”


ห้องนี้ไม่ใช่ห้องน้ำอย่างที่เข้าใจในตอนแรก หากแต่เป็นห้องเก็บอุปกรณ์ประกอบการแสดงต่างหาก ข้าวของมากมายวางระเกะระกะ ที่ชวนขนหัวลุกคงจะเป็นหุ่นเปลือยไม่มีหัวที่ยืนเรียงกันอยู่ที่มุมห้อง คันธชาติกระโดดจากโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ กระทั่งมาหยุดที่หน้าประตูทึบ เมื่อเอื้อมบิดลูกบิดก็พบว่ามันสามารถเปิดได้จึงเดินผ่านกรอบประตูออกไปยังโถงด้านนอก


จริงอย่างที่เก่งกาจว่า ข้าวข้องที่นี่บางส่วนถูกย้ายมาจากดรามาติก ทเวลฟ์ ทั้งป้ายชื่อโรงละคร แผ่นป้ายคัตเอาต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นฉากหลังสำหรับถ่ายภาพ รวมถึงโต๊ะเก้าอี้ ตู้เตียงติดสติกเกอร์สัญลักษณ์ดรามาติก ทเวลฟ์ ที่วางกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปท่ามกลางหยากไย่และฝุ่นหนาเตอะ


ชายหนุ่มสาดไฟที่มีลำแสงอยู่เพียงน้อยนิดไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดที่บันไดทางขึ้น ปลายเท้าขยับอย่างระมัดระวังกระทั่งมาหยุดที่จุดสิ้นสุดของแสง ตัดสินใจก้าวตามขั้นบันไดไปเรื่อย ๆ จุดหมายปลายทางก็คือชั้นดาดฟ้า ร่างสูงหยุดหายใจหอบหลังจากเดินไม่หยุด ดวงตาจ้องเขม็งไปยังบานประตูที่สุดขั้นบันได ขนแขนที่ตั้งชันนั่นคงเป็นเพราะความเย็นจากภายนอกที่รอดผ่านช่องระบายอากาศเข้ามา และที่หลังประตูนั่นคงจะเปิดออกสู่ดาดฟ้าไม่ผิดแน่ มือเอื้อมแตะลูกบิดก่อนจะหมุน ทันทีที่ประตูหนักเปิดออกกระแสลมก็ปะทะเข้ากับกับผิวเนื้อยิ่งขนลุกไปกันใหญ่ ขายาวก้าวข้ามธรณีประตูออกสู่พื้นที่เวิ้งว้าง มองเห็นแสงไฟระยิบระยับของตึกรามแวดล้อมอยู่ไกล ๆ


คันธชาติเดินไปยืนที่จุดกึงกลางพื้นที่สี่เหลี่ยมกว้างใหญ่ก่อนจะขยับปลายเท้าหมุนมองไปรอบ ๆ ในที่สุดเขาก็เดินไปที่ริมขอบด้านหนึ่งที่ถูกพ่นสัญลักษณ์กากบาทสีแดง แผงกั้นซีเมนต์นั่นสูงจากพื้นเพียงไม่มาก มันไม่แปลกหากรายงานการตรวจสอบที่เกิดเหตุในคดีของกิ่งดาวจะระบุว่าไม่พบร่องรอยการต่อสู้ เพราะต่อให้เก่งกล้าสามารถขนาดไหนแต่ใครที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้รับรองว่าต้องรู้สึกเสียวปลายเท้าและมีโอกาสที่จะตกลงไปง่าย ๆ ได้ทุกคนโดยไม่ต้องมีการต่อสู้ใด ๆ


จากจุดที่ยืนอยู่ถึงพื้นเบื้องล่างนับว่าสูงมาก มันสูงเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าคนที่ตกลงไปคงรู้สึกเจ็บแทบขาดใจ ร่างสูงยืนโงนเงน มือสั่นเทาเกาะขอบแผงกั้นซีเมนต์แน่น กระแสลมที่พัดปะทะผิวหน้าวูบหนึ่งทำให้ต้องรีบผละออกให้ไกลจากขอบของดาดฟ้า พลันสายตาก็สังเกตเห็นของรถคันหนึ่งซึ่งไม่เปิดไฟหน้าแล่นเข้ามาจอดที่มุมตึกฝั่งตรงข้าม


ชายหนุ่มปิดไฟฉายในมือรอกระทั่งใครคนหนึ่งเปิดประตูลงจากรถ เห็นว่าร่างที่เป็นเพียงเงาตะคุ่มนั้นกำลังเดินตรงมายังโรงละครร้าง จึงรีบหันกลับวิ่งลงบันไดไปในทันที คันธชาติหอบตัวโยนพลางคลานหาที่กำบังลอบมองร่างในเงามืดที่กำลังเอื้อมไขกุญแจและปลดโซ่ออก


รูปร่างท่าทางนั้นทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นผู้ชาย เขาผลักประตูกระจกเข้ามาก่อนจะใช้ไฟกำลังมากฉายสาดไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติจึงเดินหายเข้าไปในโถงใหญ่ที่เชื่อมกับส่วนของโรงละคร คันธชาติตัดสินใจไม่ตามไปเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครมากับเขาอีกหรือเปล่า ชายหนุ่มหันคลานกลับเข้าไปในห้องเมื่อตอนขามา แม้สายตาจะปรับจนชินกับความมืดได้แต่การคลานอยู่ท่ามกลางข้าวของมากมายก็ทะลักทุเลพอสมควร


ฝ่ามือที่กดลงเต็มแรงบนพื้นต่างระดับทำให้คันธชาติเสียหลักกระแทกเข้ากับขอบตู้ ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นขึ้นจากข้อมือร้าวไปจนถึงข้อแขนข้างที่เพิ่งหายหลังจากถูกรถชน ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะควานหาสิ่งที่มือสัมผัสเมื่อครู่ ในที่สุดก็คว้าได้หนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง แสงจากไฟนีออนติด ๆ ดับ ๆ จากตึกฝั่งตรงข้ามที่สาดกระทบทำให้เห็นลวดลายที่หน้าปก มันไม่ใช่หนังสือหากแต่เป็นสมุดบันทึกที่สภาพยับเยินเกินกว่าจะหยิบมาใช้งานต่างหาก


ชายหนุ่มคลำทางกลับเข้ามาในห้อง นั่งพิงประตูจ้องมองวัตถุที่วางอยู่บนตัก ตัดสินใจเปิดไฟฉายส่องดูให้แน่ ในใจภาวนาขอให้ไม่ใช่สิ่งที่กำลังตามหาแต่สายตากลับบอกว่ามันไม่ผิดแน่ มันต้องเป็นสมุดบันทึกของกิ่งดาวแน่ ๆ แม้หน้าปกจะกรังไปด้วยคราบโคลน แต่เขาก็จำลายดอกไม้นั่นได้ ก็สมุดเล่มนี้เขาเป็นคนเลือกมันกับมือ


คันธชาติกลั้นใจพลิกสมุดไปที่หน้าหนึ่งที่ถูกขั้นด้วยริบบิ้นผ้าแต่กลับพบความว่างเปล่า นิ้วเรียวเกี่ยวกระดาษอีกแผ่นที่ขยับไหวเพราะลมหายใจหนัก ๆ ของตนเอง ทันทีที่หน้ากระดาษถูกพลิกเปิดหยดน้ำตาก็รินลดลงบนดอกไม้แห้งที่ยึดติดกับกระดาษด้วยเทปกาวที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปตามกาลเวลา


‘Millingtonia hortensis Linn.f’ รอยจางของดินสอที่เขียนกำกับยิ่งช่วยย้ำให้มั่นใจ ใครกันจะจำลายมือตัวเองไม่ได้


ชายหนุ่มปาดน้ำตาก่อนจะรีบลุกขึ้นปีนกลับทางเดิม ทันทีที่ออกมาได้เขาก็จัดการให้ทุกอย่างกลับเข้าที่ในตำแหน่งเดิม กำสมุดในมือแน่นก่อนจะเดินอ้อมไปซุ่มดูที่ด้านหน้าโรงละคร เห็นว่ารถคันนั้นยังคงจอดนิ่ง


ครู่หนึ่งแสงแวบวาบของกระจกที่สะท้อนแสงไฟก็ทำให้ต้องขยับตัวแนบกับซอกกำแพง จ้องมองคนที่กำลังดันประตูออกมา นึกบ่นในใจว่าบริเวณนี้มันช่างอับแสงไฟเสียเหลือเกิน คันธชาติมุ่นคิ้วหรี่ตามองใบหน้าที่ถูกปิดบังอำพรางอีกชั้นด้วยแว่นกันแดดและหมวกแก็ป ชายคนนั้นมองซ้ายมองขวาก่อนจะจัดการคล้องโซ่ใส่กุญแจเช่นเดิม จากนั้นจึงรีบเดินไปที่รถก่อนจะขับออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาเป็นใครกันแน่? นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นในหัว ที่นึกได้อยู่ตอนนี้ก็คงเป็นคนที่ถูกพูดถึงแต่ไม่ยักเคยเห็นหน้าคร่าตากันสักครั้ง


“คุณอัศวินอย่างนั้นเหรอ?” แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเขาเข้าไปในนั้นทำไมกัน




...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2015 11:02:43 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 14 กลัว



แท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นเข้ามาจอดที่หน้าคอนโด ครู่หนึ่งชายหนุ่มหน้าตามอมแมมก็เปิดประตูลงจากรถก่อนจะพาร่างกายเหนื่อยล้าเข้าไปด้านใน ใครคนหนึ่งที่กำลังยืนรออยู่หน้าลิฟต์ทำให้ดวงตาหม่นเศร้ากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายบังเอิญหันมาสบตากันคันธชาติก็เลื่อนมือข้างที่เจ็บซึ่งยังคงถือสมุดบันทึกแต้ไปด้านหลังพลางเม้มปากแน่น พยายามข่มใจไม่ทำในสิ่งที่ธันวาเรียกมันว่า ‘ทำให้รู้สึกดี’ เขาเดินเข้าไปยืนงียบ ๆ เงยหน้าขึ้นมองตัวเลขเหนือประตูลิฟต์ รอกระทั่งประตูเปิดออกจึงเดินตามกันเข้าไปยืนด้านใน


การไม่มีคำทักทาย ไม่มีรอยยิ้ม ทำให้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในกล่องสี่เหลี่ยมดูยาวนานและทรมานในความรู้สึกของทั้งสองคน แต่คันธชาติกลับคิดว่าน่าจะเป็นเขาคนเดียวมากกว่าที่รู้สึกเช่นนั้น นับถือธันวาจริง ๆ ที่สามารถเอาชนะความรู้สึกของตัวเองได้ และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งก็เหมือนนักโทษที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ


เจ้าของใบหน้ามอมแมมรีบก้าวท้าวออกไปทั้งที่ประตูยังไม่ทันจะเปิดดี ในขณะที่ธันวาก็ได้แต่เดินตามออกไปเงียบ ๆ เมื่อถึงห้องของตนเองต่างคนก็ต่างแตะคีย์การ์ดเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้อง


แต่แล้วในที่สุดก็มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น 


“ห...หายไปไหนมา”


ได้ยินเสียงถอนใจเบา ๆ ตามด้วยเสียงที่เหมือนไม่ได้ยินมานานแสนนาน


“กลับไปบ้านมา พอดีคนที่บ้านไม่สบาย”


“บ้าน...ที่ไหนเหรอ”


ร่างสูงหัวเราะหึจนเจ้าของคำถามต้องหันกลับไปมอง เมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังหันหลังให้ พลันคิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ‘ใจคอจะหันหลังคุยกันอย่างนี้เนี่ยนะ’ คิดได้ดังนั้นลมหายใจหนัก ๆ ก็ถูกส่งผ่อนจากปลายจมูก ตามด้วยคำพูดห้วน ๆ ไม่น่าฟังเอาเสียเลย “มีอะไรน่าขำ”


“คุณน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับผมแล้วนี่ จะถามไปทำไม”


คันธชาติกำลูกบิดประตูแน่น ไม่คิดว่าคนที่ปกติเงียบขรึมจะประชดประชันได้เจ็บแสบขนาดนี้ ฟันคมกดลงบนผิวปากล่าง กระชากประตูออกแต่แล้วเสียงของอีกฝ่ายก็ทำให้ต้องชะงัก


“ยังเจ็บแขนอยู่หรือเปล่า”


คนถูกถามหันไปจ้องแผ่นหลังกว้าง ‘จะไม่มองหน้ากันจริง ๆ แล้วใช่ไหม’ อยากรู้จริงว่าตอนนี้เขากำลังทำหน้ายังไงอยู่ คงจะโกรธเคืองกันมากเหลือเกินถึงได้ทำเป็นหมางเมินเช่นนี้ แต่มันก็สมควรแล้วนี่ สมควรจะโดนโกรธ คันธชาตินึกในใจ เพราะสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้มันสร้างความเลวร้ายให้เกิดแก่ความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่น้อย โดนโกรธมันก็สมควรแล้ว


“ไม่...ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด” ชายหนุ่มยักไหล่ กัดฟันแน่นดึงประตูเปิดออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปแล้วกระชากปิดเต็มแรง คันธชาติยืนพิงประตูนิ่ง แผ่นหลังแนบสนิทสัมผัสกับความแข็งของไม้เนื้อหนา ความรู้สึกหงุดหงิดแล่นพล่านไปทั่วร่าง โดยที่ตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องหงุดหงิด


เพียงแค่เห็นท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย…



ร่างสูงเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา พยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ในที่สุดสมุดบันทึกในมือก็รั้งสติกลับคืนมาอีกครั้ง วางเรื่องของธันวาไว้ตรงนั้นก่อนจะหันมาสนใจเพื่อนเก่าที่จากกันไปนาน มือเรียวค่อย ๆ พลิกเปิดสมุดอีกครั้งพบว่าที่ด้านในของปกยังคงเหน็บการ์ดใบหนึ่งที่เขียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่สมุดเล่มนี้ผ่านไปอยู่ในมือของอีกคน


“สุขสันต์วันเกิดปีที่ 20 นะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ”


ส่วนที่หน้าแรกมีข้อความสั้น ๆ เขียนด้วยปากกา ‘ไดอารีของหนอนบุ้ง กิ่งจะเขียนอะไรดีนะ’ ลงวันที่ซึ่งเป็นวันเกิดของเจ้าของสมุดบันทึก


คันธชาติเริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก มันบรรยายถึงชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย บางหน้าก็พูดถึงความฝันรวมถึงความคาดหวังของเจ้าของสมุด บางหน้ามีกลอนสั้น ๆ ที่คงแต่งขึ้นตามอารมณ์ในขณะนั้น มีหน้าหนึ่งกล่าวถึงการเริ่มฝึกงานเมื่อเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 รวมถึงการได้พบกับ ‘พี่อาร์ม’ เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มยังคงกวาดตาช้า ๆ ไล่อ่านไปทีละตัวอักษรทีละบรรทัดกระทั่งมาถึงเกือบกลางเล่มซึ่งเล่าถึงการได้เป็นนักแสดงละครเวทีเต็มตัว


“ดีใจจัง ที่ดรามาติก ทเวลฟ์ รับกิ่งเข้าทำงานแล้ว คงต้องยกความดีความชอบให้พี่อาร์มที่ช่วยสอนกิ่ง วันแรกของการทำงานสนุกมาก ๆ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่นี่ยังคงใจดีไม่เปลี่ยน ขอบคุณนะคะ”


“ครั้งแรกที่ได้ยืนต่อหน้าคนเป็นพันมันตื่นเต้นอย่างนี้นี่เอง ทั้งมือทั้งเท้าเย็นไปหมด ขอบคุณพี่อาร์มนะคะสำหรับกำลังใจ ขอบคุณที่ช่วยจับมือกิ่ง”



เป็นอีกครั้งที่อ่านพบชื่อนี้ และจากหน้านี้ก็ไม่มีหน้าไหนที่จะปราศจากชื่อของ ‘พี่อาร์ม’ ไม่ว่าพี่อาร์มเป็นอย่างไร ทำอะไร กิ่งก็จะเขียนบันทึกเก็บเอาไว้


“พี่อาร์มบอกว่ากิ่งเหมือนดอกไม้ สวย หอม น่าทะนุถนอม แต่ในความคิดกิ่ง กิ่งว่าพี่อาร์มก็เหมือนกับผีเสื้อ รักอิสระและคอยจะบินไปในอากาศตลอดเวลา”


“อยากรู้จัง พี่อาร์มชอบใครกันนะ”


“วันนี้ถ่ายโปสเตอร์ละครเวทีเรื่องใหม่ พี่อาร์มแต่งชุดนี้แล้วเท่จัง”


“...ถ้ากิ่งบอกว่ากิ่งชอบพี่อาร์ม พี่อาร์มจะเปลี่ยนใจไหม”


“วันนี้เป็นการแสดงรอบสุดท้าย คุณอัศนัยขึ้นไปยืนบนเวทีกับพวกเราด้วย ได้ยินเสียงปรบมือดังไปทั่วทั้งโรงละครเลย เป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ และมันก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ที่ทุกครั้งได้ยืนอยู่บนนี้ข้าง ๆ พี่อาร์ม...”


“...เพิ่งจะรู้...ว่าเขาก็มีผีเสื้อตัวเล็ก ๆ เหมือนกัน มันใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ หรือว่าคนที่พี่อาร์มชอบจะเป็นเขา”


“ใครกันนะที่บอกว่าผีเสื้อต้องคู่กับดอกไม้ จริง ๆ แล้วผู้เสื้อก็ต้องคู่กับผีเสื้อต่างหาก ดอกไม้อย่างเราใครเขาจะมาสนใจ”


“ในฐานะน้องสาวกิ่งควรจะดีใจที่เห็นพี่อาร์มมีความสุข แต่ทำไมมันรู้สึกเจ็บทุกครั้งเวลาเห็นพี่อาร์มอยู่กับเขา”


“น่าใจหายจังที่ดรามาติก ทเวลฟ์ จะปิดตัวแล้ว แทนที่จบการแสดงรอบสุดท้ายของวันนี้จะมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันกลับมีแต่น้ำตากับเสียงสะอื้น ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกไหมนะ พี่อาร์ม...”


ตาคมยังคงไล่อ่านข้อความในแต่ละบรรทัดที่เขียนเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตหนึ่งของหญิงผู้เป็นที่รัก หลังจากโรงละครที่รับเธอเข้าทำงานปิดตัวลง เธอก็ยังคงไล่ตามความฝัน หน้าหนึ่งเล่าถึงตอนที่เธอสามารถสอบเข้าเรียนในระดับปริญญาโทได้ การกลับเข้าไปใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย รวมถึงการได้พบกับใครคนหนึ่งอีกครั้ง


“พี่อาร์ม” ริมฝีปากบางกล่าวอย่างแผ่วเบาเมื่อพบชื่อนี้อีกครั้ง


ปลายนิ้วไล้ไปตามรอยปากกากดหนักที่บรรจงเขียนเป็นตัวอักษรอย่างงดงาม ไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะสุขหรือจะทุกข์เพียงใด แต่กิ่งดาวก็เขียนมันด้วยความมั่นใจและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเอง


“ขอโทษนะ ทั้งที่ไดอารีเล่มนี้เป็นของที่บุ้งให้ แต่กิ่งกลับบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับบุ้งน้อยมาก แถมวันนี้กิ่งยังทำให้บุ้งต้องเสียใจ กิ่งรู้นะว่าบุ้งต้องเสียใจที่กิ่งพูดออกไปแบบนั้น ขอโทษ...ที่กิ่งไม่สามารถคิดกับบุ้งมากกว่าเพื่อนได้ กิ่งอยากเป็นเพื่อนกับบุ้งนะ เพราะสำหรับกิ่ง เพื่อนน่ะ เป็นแล้วเลิกยาก ไม่เหมือนเป็นคนรักที่พอเลิกรากันไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นเพื่อนอีกได้ไหม...”


ชายหนุ่มถอนใจเฮือก เมื่อภาพในอดีตถูกฉายซ้ำอีกครั้ง วันนั้นรู้สึกเจ็บอย่างไร ทุกครั้งที่นึกถึงก็เจ็บไม่ต่างกัน


สมุดบันทึกเล่มหนาถูกปิดลงเมื่อสิ้นสุดตัวอักษรตัวสุดท้าย นับจากนี้มีแต่กระดาษที่ว่างเปล่า คันธชาติเอนหลังพิงโซฟาก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ ด้วยความหวังที่ว่าหากตื่นลืมตามาอีกครั้งจะพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝัน


...


ความเจ็บหน่วง ๆ ที่แผ่ซ่านไปทั้งท่อนแขนปลุกคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาให้ตื่นขึ้น ทันทีที่ขยับพลิกตัวความเจ็บก็ทวีความรุนแรงขึ้น ชายหนุ่มประคองตัวลุกขึ้นพร้อมกับนึกทบทวนสาเหตุของการที่เป็นอยู่ และนั่นทำให้รู้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ฝัน สมุดบันทึกเล่มเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของ ‘พี่อาร์ม’ ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ คันธชาติลุกขึ้นก่อนจะเดินโงนเงนหายเข้าไปในห้อง พักใหญ่ ๆ ก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดใหม่และหน้าตาที่ดูจะสดชื่นขึ้นหลังจากได้อาบน้ำชำระล้างเอาความเหนื่อยล้าออกไป


ร่างสูงกอดอกเดินงุ่นง่านไปรอบห้อง ดวงตายังคงจ้องมองสมุดบันทึกรีที่วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งที่คาดหวังไว้ว่าจะพบเบาะแสอะไรบ้างจากของที่เพิ่งหาเจอ แต่มันกลับไม่มีข้อมูลอะไรเลยนอกจากเรื่องของ ‘พี่อาร์ม’


“ไม่สิ!” คันธชาติโพล่งขึ้นก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ พรวดพราดออกจากห้องไป รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ตรงหน้าสาวน้อยเจ้าของนัยน์ตาโศกเสียแล้ว...


อารตีรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้พบกับคันธชาติที่มหาวิทยาลัย เมื่อชายหนุ่มแจ้งว่ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยด้วยเธอจึงพาเขาขึ้นไปนั่งหลบมุมที่หอสมุดเช่นเคย


“พี่บุ้งมีอะไรจะคุยกับรตีเหรอคะ หรือว่าจะมาถามหาอาจารย์ธันวา”


คันธชาติขมวดคิ้ว นอกจากชื่อ ‘พี่อาร์ม’ ก็มีชื่อนี้อีกชื่อที่ตามมาหลอกหลอนตลอดเวลา “หือ? พี่จะถามหาเขาทำไมกัน”


“อ้าว ไม่รู้เหรอคะ พักนี้เห็นมีแต่คนถามหา ทั้งผู้กองเก่งกาจ พี่พุดดิ้งแล้วก็พี่แก้ว”


คนฟังเป่าปากโล่งอกคิดว่าจะมีแต่ตนเองคนเดียวที่ถูกถามคำถามนี้


“ไม่ใช่หรอก พี่ไม่ได้มาถามหาเขา แต่จะมาถามหาคนอื่น”


“ใครเหรอคะ”


คันธชาตินิ่งนึก จำได้ว่ามันเป็นคำถามที่ตั้งใจจะถามอีกฝ่ายนานแล้ว แต่เพราะอุบัติเหตุคราวนั้นกลับทำให้ลืมไปเสียสนิท


“คุณอัศวินน่ะ รตีเคยเจอไหม เขาหน้าตาเป็นยังเหรอ ใคร ๆ ก็พูดกันว่าคุณพ่อของรตีมีลูกชายสองคน คือคุณอัศวินกับคุณอัศนัย แต่ตั้งแต่ที่พี่เข้าไปทำงานในนาฏยกาลก็ยังไม่เคยพบเขาสักครั้ง”


“อืม...รตีเคยเห็นแต่ตอนเธอสองคนเด็ก ๆ นะคะ คิดว่าโตมาก็คงไม่มีอะไรต่าง”


“หมายความว่ายังไง ที่ว่าไม่มีอะไรต่าง”


“คุณอัศวินกับคุณอัศนัยไงคะ คุณอัศวินเธอก็คงหน้าตาเหมือนคุณอัศนัยตอนนี้ ก็เธอเป็นฝาแฝดกันนี่คะ”


“ฝ...ฝาแฝด”


“ใช่ค่ะ เหมือนน้องปิงกับน้องน่านไง”


คำตอบนั้นทำเอาเจ้าของคำถามนิ่งงัน รู้สึกชาไปทั้งตัว ที่แท้อัศวินกับอัศนัยก็เป็นฝาแฝดกันหรอกหรือนี่ แล้ว ‘เขา’ ที่กิ่งเขียนไว้ในไดอารีล่ะคือใครกัน ‘เขา’ ที่มีผีเสื้อตัวน้อย ๆ อีกตัว


“อุ้ย...” ชายหนุ่มอุทานเมื่อมือบางเขย่าที่แขน


“เจ็บเหรอคะพี่บุ้ง รตีขอโทษค่ะ ไหนว่าหายดีแล้วไง”


“พอดีพี่ซนไปหน่อยน่ะ” คันธชาติทำทะเล้นพลางลูบแขนตัวเองป้อย ๆ ในใจยังคงนึกจับต้นชนปลายเรื่องทั้งหมด


“ไปหาหมอไหมคะ รตีไปเป็นเพื่อน”


ชายหนุ่มส่ายหน้าเหมือนเด็ก ๆ ที่พอพูดถึงหมอก็ทำแข็งแร็งขึ้นมาในทันที “แค่นี้สบายมาก ไกลหัวใจตั้งเยอะ”


...


ไกลหัวใจตั้งเยอะ...แต่ความเจ็บก็เยอะไม่แพ้กัน สุดท้ายแล้วคันธชาติก็จำต้องพาตัวเองมาที่โรงพยาบาล หลังจากให้หมอตรวจโดยละเอียดก็ออกมานั่งรอชำระเงินและรับยาที่ด้านนอก เพียงไม่นานเสียงขานชื่อก็ดังขึ้น ร่างสูงเดินไปจ่ายเงินก่อนจะย้ายไปรับยาที่ช่องข้าง ๆ กัน เมื่อฟังเภสัชกรอธิบายเรียบร้อยเขาก็คว้าถุงยาเดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้คิดอะไรเพลิน ๆ พลันสายตาก็สังเกตเห็นคนคุ้นหน้ากำลังประคองหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินหายเข้าไปยังอีกฝั่งหนึ่ง คันธชาติจึงรีบผุดลุกขึ้นก่อนจะเดินตามไปทันที


“หายไปไหนแล้ววะ” บ่นกับตัวเองพลางเกาหัวแกรกเมื่อเดินมาถึงแผนกสูติ-นรีเวช มองผ่านประตูกระจกเข้าไปก็ไม่เห็นจะมี กำลังจะหมุนตัวกลับก็ต้องชะงักเมื่อคนที่เดินตามอยู่เมื่อครู่ จู่ ๆ ก็มายืนอยู่ตรงหน้า


“คุณมาทำอะไรที่นี่” ธันวาถามขึ้น


“ม...มา...มาหาหมอ เออ...ใช่มาหาหมอ”


“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” พูดพลางมองถุงยาในมืออีกฝ่ายกับแขนที่พันผ้ายืดทำให้เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาหลอกกันแน่ ๆ


“ไม่เป็นไร กำลังจะกลับแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นกลับด้วยกันสิ ผมก็กำลังจะกลับ...” พูดยังไม่ทันจบสาวน้อยนางหนึ่งก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาเกาะแขน


“พี่ธัน อยู่นี่เอง มีนหาตั้งนาน”


“ระวังหน่อยสิ ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ เกิดสะดุดล้มไปจะทำยังไง” เจ้าของร่างสูงปราม


“มีนขอโทษค่ะ มีนลืมตัว” พูดมือเล็กก็ลูบท้องตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่กำลังยืนทำหน้าไม่ถูก “แล้ว...นี่...ใครเหรอคะ”


“นี่...พี่บุ้ง อยู่คอนโดเดียวกันน่ะ”


‘อยู่คอนโดเดียวกัน’ เจ็บไหมล่ะบุ้ง ขนาดเป็นเพื่อนเขายังไม่นับเลย  เจ้าของชื่อยิ้มแห้ง ๆ

 
“สวัสดีค่ะพี่บุ้ง”


“ส...สวัสดีครับคุณ...”


“มีนค่ะ” ส่งยิ้มหวานก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับคนตัวสูง “เอ้อ! พี่ธันคะ มีนจะบอกว่าตั้มมาถึงแล้วค่ะ มีนกลับก่อนนะคะ”


“อืม...” ธันวาพยักหน้า “แล้วถ้าวันไหนตั้มไม่ว่างพามาก็บอกพี่นะ อย่ามาคนเดียวล่ะ เกิดเป็นลมหน้ามืดไปจะแย่”


“รับทราบและพร้อมจะปฏิบัติตามค่ะอาจารย์” สาวน้อยทำตะเบ๊ะล้อเลียน “ถ้าอย่างนั้นมีนไปก่อนนะคะ ไปก่อนนะคะพี่บุ้ง”


คันธชาติที่ยังคงงง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แต่โบกมือลาตามอีกฝ่าย มองดูร่างเล็กที่กำลังจะเดินพ้นประตูบานเลื่อนอัตโนมัติของโรงพยาบาลออกไป


“กลับเลยไหม”


“อือ...เอ้อ...จริง ๆ ผมกลับเองก็ได้นะ คุณไปส่งเธอเถอะ”


“เขามีคนมารับกลับไปแล้ว ผมเองก็จะกลับคอนโดเหมือนกัน”


“แต่ผมกลับแท็กซี่ได้”


“แขนคุณเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปรถผมนี่แหละ ยังไงเราก็อยู่คอนโดเดียวกัน”


คันธชาติสบตาคนตรงหน้า ยอมรับไมตรีจิตที่แสนแห้งแกร็นนั้นเอาไว้ก่อนจะเดินตามเจ้าใบหน้าเรียบเฉยไปที่รถ แล้วมันก็เป็นไปตามคาด ตลอดทางไร้ซึ่งเสียงพูดคุย พื้นที่ของแลนด์โรเวอร์คันใหญ่ขณะนี้ไม่ต่างอะไรกับสุ่มไก่แคบ ๆ ที่ลูกคนงานในฟาร์มเอาไปแกล้งครอบขังเจ้าลูกแพะสองตัวไว้ด้วยกัน


น่าอึดอัดจนอยากจะเปิดกระจกไปรับมลพิษข้างนอกให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้...


....


ธันวาเดินตาม ‘คนที่อยู่คอนโดเดียวกัน’ มาจนถึงหน้าห้อง รอจนอีกฝ่ายเตะคีย์การ์ดเปิดประตูก็แทรกตัวตามเข้าไปด้วย


“คุณเข้ามาทำไม” เจ้าของห้องหันมาถามอย่างแปลกใจ


“จะเข้ามาจับผู้ร้ายปากแข็ง” ร่างสูงกล่าวก่อนจะปิดประตู


“พูดอะไรของคุณ” กำลังจะเดินไปนั่งที่โซฟาแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งเอาไว้


“บอกมาสิว่าที่ผ่านมาคุณไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งเรื่องที่ผมหายหน้าไป ทั้งเรื่องที่ผมทำเย็นชาใส่ ตอบสิว่าคุณไม่รู้สึกอะไรเลย”


“ผมต้องรู้สึกอะไร? อ้อ...ถ้าจะรู้สึกก็คงรู้สึกว่ามันดีแล้ว แล้วก็สมควรแล้วที่เป็นแบบนี้ เพราะเรามันก็เป็นแค่คนที่อยู่ร่วมคอนโดเดียวกัน”


ธันวาจ้องมองใบหน้านิ่งไร้รอยยิ้ม ทั้งที่ปกติเจ้าตัวมักจะแสดงให้รู้ว่าคิดหรือรู้สึกอย่างไร แต่วันนี้กลับเดาไม่ออกจริง ๆ


ครู่หนึ่งริมฝีปากบางก็เผยอขึ้นอีกครั้ง "ลองคิดดูสิ ถ้าผมตายเพราะรถชนคราวนั้น แล้วเราเป็นเพื่อนกัน มันเท่ากับว่าคุณเสียเพื่อนไปหนึ่งคน และยิ่งถ้าผมเป็นคนรักของคุณ แล้วผมไม่สามารถลืมตาขึ้นมามองหน้าคุณได้อีก คุณคงต้องเสียใจมาก ถ้าทำใจได้เร็วก็ดีไป หรือถ้าต้องใช้เวลานานกว่าจะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็เท่ากับว่าคุณเสียเวลาจมปรักอยู่กับสิ่งที่เรียกคืนไม่ได้ ต้องเสียเวลากับการเริ่มนับหนึ่งใหม่กับใครสักคน สู้เป็นแค่คนรู้จักกันดีกว่า หรือถ้าไม่รู้กันกันเลยได้ก็ยิ่งดี คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม"


“ไม่บุ้ง ผมไม่เข้าใจ”


“ธัน...” คันธชาติเรียกอย่างแผ่วเบา “ผมรู้ว่าคุณเข้าใจทุกอย่าง คุณเป็นคนฉลาด”


เจ้าของชื่อส่ายหัวดิก นี่ใช่เวลามาชื่นชมกันที่ไหน “ผมไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น” กล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นตรึงต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้ “หรือที่จริงแล้วคุณรังเกียจผม บอกผมสิ ถ้าคุณบอกว่าคุณรังเกียจผม ผมจะไปทันที”


คนฟังเม้มปากแน่น คำถามนี้ทำให้จำต้องเบือนหน้าหนี  'รังเกียจอย่างนั้นหรือ' คันธชาตินึกแปลกใจตัวเอง แปลกใจ...ในสัมผัสของอีกคน ทั้งที่ก่อนหน้านี้กับอัศนัยมันเป็นความรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก แต่ทำไมพอเป็นธันวากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น แล้วแบบนี้จะใช้คำว่ารังเกียจได้อย่างไรกัน


‘ทำไมไม่พูดออกไปวะ แค่พูดออกไปว่ารังเกียจ ทุกอย่างก็จะจบ’


“คุณไม่ตอบ แสดงว่าคุณไม่รังเกียจ” ร่างสูงกล่าวพลางจ้องลึกลงไปในดวงตา “ถ้าคุณไม่รังเกียจก็โปรดจงรู้เอาไว้ เผื่อเวลาที่คุณตัดสินใจทำอะไร จะได้รู้ว่ามีผมที่เป็นห่วง”


คนฟังถอนใจยาวก่อนจะกล่าวเพียงสั้น ๆ “ผมถึงบอกไง ว่าผมไม่อยากเป็นสาเหตุให้คุณต้องเป็นแบบนั้น”


ธันวาฟังแล้วโคลงศีรษะ นี่มันทฤษฎีอะไรกัน ทฤษฎีที่ว่าด้วยการไม่ผูกพันจะทำให้ไม่มีวันพบกับความสูญเสียอย่างนั้นหรือ "ที่คุณพูดมาน่ะมันคือข้ออ้าง ที่แท้คุณก็แค่คนขี้ขลาดที่กลัวการจากกันโดยไม่ได้ร่ำลาเท่านั้นเอง"


"ใช่ ผมขี้ขลาด ตั้งแต่กิ่งจากไปผมก็กลายเป็นคนขี้ขลาด" คันธชาติหัวเราะขื่น ๆ ก่อนจะผละออกจากการสัมผัสของคนตรงหน้าเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง


"บอกผมมาซิว่าอะไรทำให้คุณกลัว เรื่องการเสียชีวิตของกิ่งดาวมันมีอะไรมากกว่าที่ผม ผู้กองเก่งกาจหรือใคร ๆ รู้ใช่ไหม คุณยังมีอะไรที่ปิดบังพวกเราอีก" เจ้าของร่างสูงเดินมาขวางเอาไว้ ดันอีกฝ่ายให้ติดผนังจะได้หนีไปไหนไม่ได้อีก


"ม...ไม่มี ผมไม่มีอะไรปิดบังทั้งนั้น”  ริมฝีปากบางกล่าวพลางหลบหนีสายตาที่มองมา


“ไม่จริง คุณยังมีเรื่องที่ปิดบังพวกเราอยู่”  ธันวาแตะมือเบา ๆ ที่ข้างแก้มก่อนจะรั้งปลายคางมนให้คนตรงหน้าหันมาสบตากันอีกหน "มันทำให้คุณกลัว กลัวว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ระหว่างเรา คุณกลัวว่าคุณจะเป็นแบบกิ่งดาวใช่ไหม”


“ผมไม่ได้ปิด แต่ผมไม่รู้อะไรเลยต่างหาก ไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไร ไม่รู้...ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” คันธชาติสบตานิ่งก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ เพื่อซ่อนน้ำตาที่จู่ ๆ ก็พร้อมใจกันเอ่ออยู่ที่ขอบตาร้อนผ่าว


ธันวาจ้องมองเปลือกตาใสก่อนจะโน้มหน้าเข้าหาจนหน้าผากแนบชิดก่อนจะกระซิบแผ่วเบา “ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่คุณเผชิญอยู่มันจะร้ายแรงแค่ไหน แต่ผมสัญญาว่าผมจะทำให้ทุกวันเป็นเหมือนวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน คุณอย่ากลัวอีกเลยนะ ผมแสดงความรู้สึกของผมอย่างที่คุณเคยบอกแล้ว คุณล่ะอยากจะแสดงความรู้สึกของคุณบ้างไหม เหนื่อยก็บอกว่าเหนื่อย ท้อก็บอกว่าท้อ กลัวก็บอกว่ากลัว อยากร้องไห้ก็ปล่อยมันออกมา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงผมก็จะอยู่ตรงนี้”


คนฟังยังคงยืนหลับตานิ่งก่อนจะขยับเข้าหาซบหน้าลงบนบ่าของอีกฝ่าย ความเงียบเหมือนหมอกที่ฟุ้งกระจายโอบล้อมสองร่างเอาไว้ ธันวาไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงแต่แตะมือลงที่แผ่นหลังของคนตรงหน้าก่อนจะลูบขึ้นลงเบา ๆ แทนคำพูดปลอบประโลมนับร้อยนับพันคำ หวังเพียงว่ามันจะทำให้อีกคนสบายใจขึ้น


...



ผักบุ้งสดพูนจานถูกเทลงในกระทะร้อนฉ่า เกิดเป็นไฟพวยพุ่งจนหลายคนต้องหันกลับไปมองอย่างหวาด ๆ เสียงผัดด้วยตะหลิวดังอยู่เพียงประเดี๋ยว ชายวัยกลางคนสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขาก๊วยที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟก็เทผักบุ้งสลดไฟในกระทะใส่จานก่อนจะให้เด็กในร้านเดินไปเสิร์ฟ เกือบเที่ยงคืนแล้วแต่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่ก้นซอยก็ยังคงมีคนแน่นทุกโต๊ะ สาวน้อยละสายตาจากเปลวไฟที่ลุกท่วมหันกลับมามองร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย


"รตีกลัวพี่บุ้งจะโกรธจังเลยค่ะ"


"โกรธทำไมกัน นี่น่ะถือว่าเป็นการช่วยให้อะไรมันง่ายขึ้นนะคะ" พุฒิพงศ์กล่าวก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเต้าหู้ชิ้นโตเข้าปาก


“นั่นแหละค่ะ นี่น่ะเรียกว่ารวมหัวกันหลอกเลยนะคะ” อารตีเท้าคางพลางใช้มือที่เหลือจับช้อนเขี่ยข้าวในจาน นึกถึงแผนการที่ร่วมกันก่อขึ้นในระยะกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา


“อย่าคิดมากเลยครับคุณรตี แบบนี้น่ะเขาเรียกว่าช่วยสงเคราะห์ ไม่ได้หลอกอะไรเลย ดู ดร.ธันวาซิ ไม่เห็นจะขัดสักคำ" นายตำตรวจหนุ่มกล่าวพร้อมกับตักกับข้าววางในจานให้


“ใช่ค่ะ คิดเสียว่าช่วยผู้ชายปากแข็งสองคนให้ได้กัน"


“หืม?/ฮ๊ะ!” พากันมองคนพูดเป็นตาเดียว


“อุ้ย! ขอโทษค่ะ ลิ้นรัวไปหน่อย คือเจ๊จะบอกว่า คิดเสียว่าช่วยให้ผู้ชายปากแข็งสองคนให้ได้ปรับความเข้าใจกันค่ะ”


“อ่อ...แล้วไป” เก่งกาจถอนหายใจโล่งอก


“แต่สุดท้ายถ้าเขาได้กันโดยละม่อม เราก็ฟินไปตามระเบียบเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอคะผู้กอง”


คำพูดทิ้งท้ายของกะเทยร่างอวบทำเอาผู้ร่วมขบวนการพากันส่ายหน้า...



“ระวังโดนระเบิดลงด้วยก็แล้วกันเจ๊”



...



ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2015 11:47:34 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ crystal_on

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-0
    • ไอ้หน้าหวานกับประธานสุดโหด
ชอบเรื่องนี้มากเลย หนูบุ่งบุ๊งน่ารักมากอ่ะ  :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
น่ารักกกกกกกก. บุ้งกลัยอะไรหรือเปล่า ธันเค้ารุกขนาดนี้แล้วววว ยอมๆๆเข้าไปให้พวกเราได้ฟินกันเถอะ 5555.  รอเรื่องกระจ่างต่อไป :3123:

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
มาทีเดียวสองตอนควบ ในช่วงเวลาของการหลับไหลซะด้วย
ตื่นเช้ามาเจอนี่ รู้สึกได้รับแสงสว่างอันสดใสเลยทีเดียว
 คดีที่แสนซับซ้อนนี่ กลายมาเป็นเรื่องของแฝดอีกแล้ว
ทีแรกเอนเอียงไปว่าอัศนัยเป็นคนร้ายแต่ตอนนี้เริ่มลังเลเพราะอัศวินโผล่มานี่แหละ
ทำไมข่าวว่าหายตัวไป แต่กลับมาโผล่ใกล้ๆนี่เอง
ความลับของอัศนัยนี่จะใช่เรื่องพฤติกรรมซาดิสม์รึเปล่า
หรือจะเป็นเรื่องอื่น?
สรุปแล้วอันอยู่เพราะรักหรืออยู่เพราะมีเงื่อนไขกันแน่
อยากจะแสดงความคิดเห็นตามที่ตัวเองคิดแต่กลัวจะกลายเป็นการสปอยที่ผิดๆ
รอคนเขียนมาเฉลยดีกว่า ตอนนี้ให้ความสนใจคดีเป็นลำดับรอง
สิ่งที่ให้ความสนใจเป็นอันดับแรกกลายเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเอกมากกว่า
ไอ้เราก็นึกว่าอาจารย์ปลงตกแล้วเลยทำเฉยชา
ที่ไหนได้ เจ้าเล่ห์ซะงั้น มีแผนการณ์นี่เอง
น้องมีนนี่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นอะไรกัน ชื่อเป็นเดือนมาเลย เดือนนี้ด้วยสิ
อาจารย์จะมีหลานแล้ว คงไม่ต้องผลิตลูกแล้ว
หนอนบุ้งเค้ากลัวเรื่องความผูกพัน อาจารย์ต้องจัดการให้ได้นะ
ตอนหน้าก็ 15 แล้วนะคะ อย่าเพิ่งจบเลย ขอให้ขึ้นหลัก 2 หรือ 3 ไปเลยยิ่งดีค่ะ ^^

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
ดร.ธันนี่มีฝ่ายสนับสนุนเยอะนะเนี่ย
ระวังน้าาาถ้าบุ๊งรู้เรื่องเข้าทีนี้ละงาน
เข้ากันทุกคนเลยนะเนี่ย

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ชอบเจ้พุดดิ้งจัง 555 ช่วยให้คนปากแข็งได้กัน อุ้ย ปรับความเขัาใจกัน
บอกตรงๆ ว่ายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย แต่ก็ตัดไปได้หลายคนแล้ว

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ซับซ้อนนนจังงง ตกลงใครคือคนร้าย :ling3:
อ่านไปลุ้นไป อล้วอัศวินละเกี่ยวข้องยังไง  :katai1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มาจุใจมาก 2 ตอนเลย
ช่วยกันลุ้นให้ ผช 2 คนได้กันอีกแรงค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ลุ้นแล้วลุ้นอีกเดาไม่ถูกเลยว่าใครเป็นคนร้าย

หนอนบุ้งเลิกปากแข็งได้แล้ว

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
#ทีมธันวา มายกแก๊ง อิอิ~

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด