หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178410 ครั้ง)

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1

สนุกมากๆ ชอบที่สุด

^___^

 :L2:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 15  เสียงของหัวใจ



“เคยอ่านเจอในหนังสือค่ะ เขาบอกว่า...

ถ้าเราฟังเพลงไหนซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่รู้สึกเบื่อ

นั่นแแสดงว่าเราตกหลุมรักเพลงนั้นเข้าเสียแล้ว...”





“...แล้วถ้าเราอยากฟังเสียงของใครบางคนบ่อย ๆ

อยากเห็นหน้าเขาทุกวันล่ะคะ

นั่นแปลเรากำลังตกหลุมรักเขาอยู่หรือเปล่า”



เสียงนักจัดรายการวิทยุเงียบลงก่อนที่เสียงดนตรีคลอตามจะค่อย ๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง


หากเธอรู้ใจ หากเธอรู้ตัว เธอจะเข้าใจกันรึเปล่า

ก็ไม่รู้เลย แต่ต้องพูดไป และจะมาเพื่อกวนใจคำถามเดียว

...แค่อยากรู้รังเกียจกันไหม ขอให้มันอย่าเป็นแบบนั้นเลย...

อยากได้ยินเสียงคนที่คุ้นเคย อยากจะเจอคนเดิมที่เคยที่เจอในเมื่อวาน…



“บอกมาสิว่าที่ผ่านมาคุณไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งเรื่องที่ผมหายหน้าไป ทั้งเรื่องที่ผมทำเย็นชาใส่ ตอบสิว่าคุณไม่รู้สึกอะไรเลย”

“หรือที่จริงแล้วคุณรังเกียจผม บอกผมสิ ถ้าคุณบอกว่าคุณรังเกียจผม ผมจะไปทันที”



หากพรุ่งนี้ทุกอย่างหมุนไป…

“ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่คุณเผชิญอยู่มันจะร้ายแรงแค่ไหน แต่ผมสัญญาว่าผมจะทำให้ทุกวันเป็นเหมือนวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน คุณอย่ากลัวอีกเลยนะ ผมแสดงความรู้สึกของผมอย่างที่คุณเคยบอกแล้ว คุณล่ะอยากจะแสดงความรู้สึกของคุณบ้างไหม เหนื่อยก็บอกว่าเหนื่อย ท้อก็บอกว่าท้อ กลัวก็บอกว่ากลัว อยากร้องไห้ก็ปล่อยมันออกมา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงผมก็จะอยู่ตรงนี้”


...ฉันคนหนึ่งจะยืนตรงที่เก่า

อยู่เพื่อบอกเธอ คำที่ค้างใจ ต่อให้มันจะไม่มีวันเป็นจริงเลยก็ตาม…



ร่างสูงพลิกตัวนอนหงายพลางถอนหายใจเบา ๆ เงี่ยหูฟังเสียงเพลงที่ดังมาจากวิทยุก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง


1-2 มาวันนี้คันธชาติแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง อยู่กับสมุดบันทึกเล่มเก่าและคำพูดของใครบางคน นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้มีนัดจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแต่งเนื้อแต่งตัวและไม่ลืมที่จะหยิบไดาอารีของกิ่งดาวติดมือไปด้วยก่อนจะออกจากห้อง


ตั้งใจจะเรียกแท็กซี่ที่หน้าคอนโดเพื่อไปให้ทันเวลานัด แต่ทุกครั้งที่รีบแบบนี้แท็กซี่ก็ดันไม่ผ่านมาสักคันสิน่า…


ตาคมจ้องมองแลนด์โรเวอร์คันโตที่แล่นเข้ามาจอดเทียบ และเมื่อกระจกหน้าต่างฝั่งคนนั่งถูกลดลงก็ได้พบหน้าใครคนหนึ่งอีกครั้ง


“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวผมไปส่ง”


“รู้เหรอว่าผมจะไปไหน”


“วันนี้คุณนัดผู้กองเก่งกาจไว้ไม่ใช่เหรอ”


คันธชาติถอนใจ ไอ้กาจนะไอ้กาจ อุตส่าห์สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้บอกใคร


“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวไปไม่ทันเวลานัดนะ”


คนฟังถอนใจอีกเฮือกก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ น่าแปลกที่วันนี้ที่เดิมที่เคยนั่งกลับไม่ได้ทำให้อึดอัดเหมือนเมื่อวันก่อน นั่นคงเป็นเพราะคนข้าง ๆ ที่ ‘พยายาม’ ชวนคุยตลอดทางทั้งที่ปกติก็พูดน้อยเสียเหลือเกิน


หลังจากนั้นพักใหญ่ ๆ ธันวาก็ขับรถเข้ามาจอดที่บริเวณลานจอดรถของร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านชานเมือง


“ขอบคุณมากนะที่มาส่ง” พูดจบก็ปลดเข็มขัดเปิดประตูลงจากรถ กำลังจะเดินเข้าไปในร้านก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเจ้าของรถเปิดประตูตามลงมาด้วย


“แล้วนี่คุณจะไปไหน”


“ก็จะเข้าไปด้วยไง” ธันวาตอบซื่อ ๆ


“จะเข้าไปทำไม ผมจะคุยกับไอ้กาจ คุณจะไปทำธุระที่ไหนก็ไปเถอะ”


“ผมก็มีเรื่องจะคุยกับผู้กองเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว” พูดจบก็เดินนำเข้าไปทิ้งให้คันธชาติได้แต่มองตามอย่างหงุดหงิด


สองคนเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก พากันชะเง้อคอมองหาคนที่นัดเอาไว้ ในที่สุดก็พบเก่งกาจในชุดลำลองนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง เมื่อต่างคนต่างนั่งลงตรงหน้านายตำรวจหนุ่มคันธชาติก็หันไปแขวะคนข้าง ๆ


"รีบทักทายกันเสียสิ จะได้รีบกลับ”


“อะไรกันวะ มาถึงก็ทำอารมณ์เสียเลย” พูดจบก็ยิ้มให้คนมาดนิ่งที่ไม่มีปากมีเสียงอะไรกับเขาเสียเลย


“อารมณ์เสียแกนั่นแหละ อุตส่าห์กำชับแล้วว่าไม่ให้บอกคนอื่น”


“คนอื่นที่ไหนวะ คนกันเองทั้งนั้น จริงไหมครับด็อกเตอร์”


ธันวายิ้มบาง ๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น มองคนข้าง ๆ ที่ยังคงหงุดหงิดไม่หาย


“ว่าแต่แกเถอะ มีอะไรถึงได้นัดฉันมาวันนี้”   


เมื่อเห็นว่าธันวาคงไม่กลับแน่ ๆ คันธชาติจึงตัดสินใจพูดธุระของเขา


"มีอะไรจะให้ดู" พูดจบก็หยิบสมุดบันทึกเยิน ๆ ออกมาวางบนโต๊ะ


"อะไรวะ"


"สมุดบันทึกของกิ่ง"


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้ายกสมุดบันทึกหน้าปกสีทึมขึ้นเปิดอ่านไปเรื่อย ๆ กระทั่งจบที่บรรทัดสุดท้าย


"ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่หว่านอกจากเรื่องที่กิ่งไม่รับรักแก”


‘ไม่ต้องตอกย้ำได้ไหม’ คนถูกพาดพิงมองตาขวาง


“กับเรื่องนายอาร์มอะไรนั่น แล้วนี่แกไปเอามาได้ยังไง ไหนบอกว่ามันหายไป" พูดจบเก่งกาจก็ส่งให้ธันวาอ่านบ้างแต่คันธชาติมือไวคว้ากลับมาไว้กับตัวได้ทัน


"ฉันได้มาจากโรงละครร้างในนาฏยกาล" พูดหน้าตาเฉยในขณะที่คนฟังพากันตกใจ


"คุณแอบเข้าไปที่นั่นมาเหรอ" ธันวาโพล่งขึ้น


"อือ ทำไมล่ะ ในเมื่ออยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือสิ"


"กลัวจะได้ลูกปืนแทนน่ะสิไอ้บุ้งเอ๊ย นี่มันข้อหาบุกรุกเลยนะโว้ย" นายตำรวจหนุ่มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ


"เอาเถอะน่า ไหน ๆ ก็ได้มาแล้ว แกอย่าบ่นนักเลย"


"แล้วยังไง อุตส่าห์ได้มาแต่ไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรสักอย่าง"


ธันวามองสองคนที่ยังคงเถียงกันไม่เลิกก่อนจะหยิบสมุดบันทึกที่คันธชาติวางไว้ข้างตัวมาเปิดอ่าน


"ฉันเจอใครก็ไม่รู้ด้วยว่ะ”


“ใครวะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน มันมืดมากก็เลยเห็นหน้าไม่ชัด แต่จำรถได้”


ยังไม่ทันจะเล่าต่อ เก่งกาจก็ยกมือห้ามก่อนล้วงหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู ปลายนิ้วแตะเลื่อนภาพบางอย่างที่ถูกส่งมา ในขณะที่สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ร.ต.อ.เก่งกาจปิดภาพนั้นลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นกดโทรออก และเมื่ออีกฝั่งรับสายทั้งธันวาและคันธชาติก็ได้ฟังน้ำเสียงจริงจังแบบที่ไม่ได้ฟังมาก่อนจากปากของคนตรงหน้า


“จับตาดูไว้ก่อนก็แล้วกัน อย่าเพิ่งให้เป้าหมายรู้ตัว” เงี่ยหูฟังสักพักก่อนจะกล่าวต่อ “อืม...รอฟังคำสั่งจากผมอีกที”
และเมื่อกดวางสายลมหายใจหนักก็ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกทันที


“มีอะไรหรือเปล่าวะ ถ้าแกยุ่ง เอาไว้คุยกันวันหลังก็ได้นะ”


คนฟังส่ายหน้าพลางเปิดรูปที่มีคนส่งมาให้ “ลูกน้องฉันเจอตัวไอ้คนที่มันขับรถชนแกเแล้วนะ” พูดจบก็วางโทรศัพท์ลงที่กลางโต๊ะ


เมื่อได้ฟังดังนั้นคันธชาติก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่ลมหายใจอุ่น ๆ ของคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่ลดลงบนผิวแก้มกลับทำให้ต้องละสายตาพร้อมกับเบี่ยงหน้าออกมองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ


“แกคุ้นหน้าเขาไหม”


“ใครวะ” คิ้วหนาขมวดมุ่นก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้คนข้าง ๆ อยากดูนักก็เอาไปเลย


“ไม่คุ้นเลยเหรอ”


“ไม่ว่ะ ฉันรู้จักเขาเหรอ” คันธชาติเกาหัว พยายามนึกว่าตนเองเคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อนหรือเปล่า


“ผมจำเขาได้” น้ำเสียงแผ่วเบาของธันวากลับเรียกสายตาสองคู่ให้มองมา “เขาคือคนที่ตามดูคุณกับคุณอัศนัยที่ร้านอาหารวันนั้น”


คันธชาติจ้องหน้าคนพูดก่อนจะหันไปหาเพื่อนรักเพื่อจะขอคำยืนยัน  ในขณะที่เก่งกาจเองก็พยักหน้าสนับสนุนในสิ่งที่ธันวาพูดจบไปเมื่อสักครู่


“แล้วเขาจะมาขับชนฉันทำไมกันวะ” คนเป็นเจ้าทุกข์กล่าวอย่างไม่เข้าใจ


สักพักก็มีภาพหนึ่งถูกส่งมาอีก เก่งกาจรับโทรศัพท์คืนจากธันวาก่อนจะเปิดอ่านข้อความ


“เลขทะเบียนรถที่ขับปาดหน้าแกกับคันที่ชนแกเป็นเลขทะเบียนเดียวกัน  ลูกน้องฉันไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกรอบ พบว่าซอยนั้นมันเป็นซอยตัน หลังจากที่มันปาดหน้าแกแล้วก็คงขับวนย้อนไปออกอีกทาง รอแกลงจากรถเดินตรวจดูความเสียหายจนรอบคัน มันก็อาศัยจังหวะนั้นขับชนแก”


“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะทำแบบนั้นทำไม”


“ถ้าวันนั้นแกคือคันธชาติ ณ แสงฉาน ลูกชายเจ้าของฟาร์มใหญ่ของปากช่อง ฉันคงจะเดาว่าอาจจะเป็นการขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่วันนั้นแกเป็นบุ๊ง ผู้ช่วยช่างเสื้อของห้องเสื้อพุทธรักษา คนที่น่าสงสัยว่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เห็นทีจะไม่พ้นคนที่เกี่ยวข้องกับนาฏยกาล”


“ฉันขอดูทะเบียนรถหน่อยได้ไหม”


“ได้สิ” เก่งกาจกล่าวพร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้เพื่อน "ภาพนี้ได้จากกล้องวจรปิด ทะเบียนรถตรงกันกับรถคันที่ขับชนแกตามที่พลเมืองดีแจ้ง"


คันธชาติรับมันมาก่อนจะก้มมองภาพของรถที่กล้องวงจรปิดบันทึกเอาไว้ได้ รวมถึงภาพขยายเลขทะเบียนรถ พลันหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากัน ความรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั้งแผ่นหลัง เป็นไปได้ยังไงกัน เขาเคยเห็นเลขทะเบียนนั่น


“ท...ทะเบียนรถคันนี้...” หน้าหล่อส่ายไปมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “มันเป็นทะเบียนเดียวกับรถของคนที่ฉันเจอเมื่อวันที่เข้าไปในโรงละครร้างนั่น ต้องใช่แน่” คันธชาติกล่าวถ้อยคำท้ายประโยคนั้นซ้ำ ๆ มันต้องใช่แน่ และนั่นก็ทำให้ธันวากับเก่งกาจต้องสบตากันอย่างหนักใจ


หลังจากคุยเรื่องดังกล่าวกันอีกสักพักใหญ่เก่งกาจก็ขอตัวกลับ ไม่ลืมที่จะกำชับเพื่อนรักให้ระวังตัวและอย่าคิดทำอะไรแผลง ๆ โดยฝากธันวาให้คอยช่วยสอดส่องอีกแรง แลนด์โรเวอร์สีขาวกลับมาจอดนิ่งที่ลานจอดรถด้านหลังของคอนโดอีกครั้งเมื่อตอนเกือบสามทุ่ม เพราะฝนที่ตกลงมาทำให้การจราจรเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ กว่าจะถึงที่หมายเล่นเอาเมื่อยไปหมด


ธันวาปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะยืดตัวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท ละอองน้ำเล็ก ๆ ยังคงพร่างพรมลงมาบนระนาบกระจก รวมตัวกันแล้วไหลไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ตาคมกริบเลื่อนกลับมายังดวงหน้าของคนข้าง ๆ ที่ยังคงนั่งคอพับหลับไม่รู้เรื่อง ทำกระแอมก็แล้ว เรียกชื่อก็แล้ว แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้คนที่แทบจะไม่ได้นอนเพราะช่วงที่ผ่านมามีแต่เรื่องให้ครุ่นคิดตื่นขึ้นง่าย ๆ

 
เจ้าของรถตัดสินใจเอื้อมปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะปรับเบาะเอนลงจัดท่าให้สบาย คว้าเสื้อนอกที่เบาะหลังมาคลุมให้ จากนั้นธันวาก็เอนหลังทิ้งน้ำหนักลงกับพนักพิงมองคนที่กำลังนอนหลับ คิดว่าปล่อยให้นอนอย่างนี้อีกสักพักก็แล้วกัน...


เสียงรถที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอดและเสียงเอะอะโวยวายที่ด้านนอกปลุกให้คันธชาติลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง มือเรียวเอื้อมปรับเบาะ มองซ้ายมองขวาจึงรู้ว่าขณะนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน หันไปมองร่างสูงที่นั่งกอดอกหลับตาพริ้ม อดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มีเหตุการณ์ของกิ่งดาวที่เป็นดังจุดเชื่อมโยงระหว่างกัน จะมีโอกาสได้พบกันในที่ใดสักที่บ้างหรือไม่


“ตื่นแล้วเหรอ”


ไม่ใช่เสียงหากแต่เป็นดวงตาที่เปิดขึ้นอีกครั้งต่างหากที่ทำให้ต้องเสมองไปทางอื่น


“เอ้อ...ต...ตื่นแล้ว ถึงนานแล้วเหรอเนี่ย แล้วทำไมคุณไม่ปลุกผม”


“ก็เห็นว่าคุณยังหลับแล้วฝนก็ยังตกอยู่” พูดพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม


“ฝนซาแล้วนี่ ไปกันเถอะ” พูดจบคันธชาติก็ส่งเสื้อนอกคืนให้ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ วิ่งฝ่าสายฝนอ้อมไปทางด้านหน้า


ธันวามองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังห่างออกไปก่อนเปิดประตูตามไปบ้าง เมื่อสองคนเดินเข้ามาด้านในคอนโดพร้อมกันก็พบกับสายตาวิบวับของกะเทยร่างจ้ำม้ำที่กำลังเดินถือร่มออกจากลิฟต์มาพอดี
 

“น้องธันน้องบุ้ง ไปไหนกันมาคะเนี่ย” พุฒิพงศ์เอ่ยขึ้น


“แวะไปคุยกับได้กาจมาน่ะครับ” คันธชาติกล่าวพลางปัดละอองน้ำที่เกาะอยู่กับเส้นผม


“พี่พุดดิ้งมาหาพี่แก้วเหรอครับ”


“ใช่ค่ะ เจ๊แวะเอาขนมมาให้เด็ก ๆ ตอนแรกว่าจะรอฝนหยุดแล้วค่อยกลับแต่คงจะตกยันเช้าแน่ รีบกลับไปนอนดีกว่าเดี๋ยวหน้าโทรม พรุ่งนี้นังสาว ๆ แก๊งนางฟ้าจะแวะมาหาแต่เช้าด้วย เห็นว่าจะแวะมาปรับทุกข์ ก็คงไม่พ้นเรื่องคุณอัศนัยนั่นแหละค่ะ พรุ่งนี้น้องบุ้งแวะไปที่ร้านเจ๊สิคะ จะได้ไปเม้ากัน”


คันธชาติปิดปากหาวหวอด ๆ พยักหน้ารับปาก “เดี๋ยวผมแวะไปเจ๊ แล้วต้องแต่งสวยหรือเปล่า”


“แต่งสิคะ ขืนไปหล่อ ๆ แบบนี้ พอดีไม่ได้เม้า จะโดนนังพวกนั้นขย่ำเสียก่อน” พูดจบก็ปิดปากหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนไปทำสายตากรุ้มกริ่ม “แล้วนี่น้องบุ้งกับน้องธันได้กันหรือยังคะ”


“ฮ๊ะ?/ฮ๊ะ?”


คันธชาติหันมองคนข้าง ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับมายังคนตัวเตี้ยกว่าตรงหน้า “ว...ว่าไงนะเจ๊”


“นี่แน่ะ! ตบปากตัวเอง” พูดแล้วก็ทำท่าประกอบ “เจ๊ถามว่าน้องบุ้งกับน้องธันได้...ปรับความเข้าใจกันหรือยัง เมื่อกี้ลิ้นพันกันไปหน่อย”


“นี่มันยังไงกัน เจ๊รู้ได้ยังไง”


“อุ้ย! รู้อะไร ไม่รู้” ขึ้นเสียงสูงจนน่าสงสัย “เจ๊ก็ถามไปตามเนื้อผ้า เจ๊กลับก่อนดีกว่า ไปก่อนนะคะน้องธันน้องบุ้ง”


“ด...เดี๋ยว...”


พุฒิพงศ์ไม่เปิดช่องให้พูด อาศัยจังหวะนี้ชิ่งออกมา ปล่อยให้ภาระตกอยู่กับชายหนุ่มที่ยังคงวางหน้าเฉย


“อะไรของเขาวะ” คันธชาติเกาหัวแกรกก่อนจะเดินไปเข้าไปในลิฟต์ ยืนนิ่งนึกทบทวนตั้งแต่คำพูดแปลก ๆ ของทั้งเก่งกาจและอารตี รวมถึงท่าทีประหลาด ๆ ของพุฒิพงศ์ อดคิดไม่ได้ว่าพวกนี้รวมหัวกันทำอะไรหรือเปล่า ในที่สุดความสงสัยก็ทำให้ต้องถาม


“นี่พวกคุณรวมหัวกันทำอะไรหรือเปล่าเนี่ย”


คำถามนั้นเล่นเอาคนที่กำลังเดินเงียบ ๆ ต้องชะงัก


“ไม่มีอะไรนี่” ธันวาตอบเรียบ ๆ ก่อนจะเดินต่อ


“แน่ใจนะ”


“แน่สิ”


คันธชาติพยักหน้า ในเมื่อเขายืนยันว่าไม่มีอะไรก็เปล่าประโยชน์จะคาดคั้น มือเรียวยกขึ้นคลำศีรษะตัวเองจนคนมองสงสัย


“ทำอะไรน่ะ”


“จับดูว่ามีเขางอกหรือเปล่า”


ท่าทางตลก ๆ นั่นทำเอาธันวาอดยิ้มไม่ได้ เจ้าของร่างสูงเอื้อมมือจับศีรษะของอีกฝ่ายก่อนจะกล่าว “มีที่ไหนกันเขาน่ะ ก็เห็นอยู่ว่ามีแต่ผม”


‘มันแค่บังเอิญพ้องเสียงกันหรอกน่า’ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคนพูดไม่ได้มีความหมายใด ๆ แอบแฝง 'แล้วทำไมต้องเขินด้วยวะ?' คันธชาติรีบดึงมืออีกฝ่ายออกพร้อมกับมองด้วยสายตาไม่วางใจนัก


“ไปอาบน้ำสระผมแล้วก็นอนได้แล้ว เดี๋ยวไม่สบาย”


คนอายุน้อยกว่าลอบถอนหายใจที่อีกฝ่ายพูดจาราวกับเขายังเป็นเด็ก นึกถึงตอนที่ออกไปปั่นจักรยานตากฝนจนพ่อต้องออกไปตาม พอกลับมาบ้านแม่ก็บอกให้รีบอาบน้ำสระผมแบบนี้ กำลังจะแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องแต่เสียงนุ่มก็เรียกขึ้น


“บุ้ง”


เจ้าของชื่อหันกลับไปเลิกคิ้วแทนการถามว่า ‘มีอะไรอีก’


“ฝันดีนะ”


คันธชาติเพียงแต่พยักหน้าก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง แผ่นหลังที่เป็นเพียงเนื้อนิ่มพิงแนบไปกับบานไม้เนื้อหนาที่เพิ่งถูกดึงปิด หากแรงปีบตัวของกล้ามเนื้อใต้อกเสื้อด้านซ้ายสามารถถ่ายโอนจากร่างกายแทรกซึมไปตามมวลสารเนื้อแข็งได้ อีกคน...ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูคงรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แปลกไป 


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2015 08:51:46 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


...อยากให้หันมาหน่อย อยากให้มองหน้ากัน

ถ้าเธอไม่หวั่นไหวกับสายตาคนอย่างฉัน…


ไม่บังคับใจเธอ หากเจอคนที่ฝัน หวังเพียงใครคนนั้น

จะใกล้เคียงคนอย่างฉัน...




“คลื่นนี้มันเปิดอยู่เพลงเดียวหรือไงวะ”


ฟังเผิน ๆ อาจเหมือนคนพูดกำลังไม่พอใจอยู่ในที หากแต่สังเกตให้ดีจะพบว่าในดวงตาของสาวสวยที่นั่งอยู่หน้ากระจกนั้นแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าข้างในใจกำลังยิ้ม มือเรียวยกขึ้นแต่งทรงผมให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังระเบียงสูดอากาศยามเช้าที่เจือกลิ่นหอมของดอกปีบ คว้าฝักบัวรดน้ำต้นไม้พร้อมกับฮัมเพลงตามเสียงที่ได้ยินจากวิทยุ  เมื่อจัดการภารกิจเรียบร้อยก็ได้เวลาเตรียมตัวออกไปที่ห้องเสื้อพุทธรักษาตามที่ได้นัดกับพุฒิพงศ์เอาไว้


ทันทีที่เปิดประตูคันธชาติก็ต้องแปลกใจเมื่อพบชายหนุ่มห้องตรงข้ามกำลังยืนกอดอกเต๊ะท่าขรึม ‘คงคิดว่าเท่มากสินะ’ ดึงประตูปิดก่อนจะทักทายตามประสา 'คนที่อยู่คอนโดเดียวกัน’


“ยังไม่ไปทำงานอีกเหรอ”


“ก็รอคุณไง จะได้ออกไปพร้อมกัน”


“ผมไปเองได้”


“ไม่มีรถจะไปยังไง แขนก็ยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ”


“ไปแท็กซี่ก็ได้ อีกอย่าง เจ็บแค่นี้เรื่องขี้ประติ๋ว” คนไม่เจียมตัวยักไหล่ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ...ดูให้หน่อยสิว่าวันนี้ผมแต่งตัวเป็นยังไงบ้าง” พูดจบสาวผมยาวในชุดทำงานดูทะมัดทะแมงก็ถอยห่างออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นชัด ๆ


ธันวายกมือขึ้นถูปลายคางมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะพูดประโยคเดิม “แบบนี้ก็ดี แต่ผมชอบแบบเดิมมากกว่า” ว่าแล้วก็ทำเดินไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยให้เจ้าของคำถามเกาหัวงง ๆ


คันธชาติมุ่นคิ้วเดินตามมาติด ๆ ปากก็พูดไปด้วย


“ไอ้แบบเดิมของคุณนี่มันแบบไหนกันแน่นะ”


คำถามนั้นทำร่างสูงหยุดกึกก่อนจะหันมาสบตาคนช่างสงสัย ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นนักก่อนจะกล่าว “แบบเดิม...ก็แบบเดิมไงขี้สงสัยจริง”


“แล้วมันแบบไหนล่ะ”


“ก็คุณแบบเดิม แบบที่ไม่ได้แต่งอะไร ไม่ได้เป็นบุ๊งแบบนี้ไง”


เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็ได้แต่พยักหน้าที่จู่ ๆ ก็ร้อนซ่านขึ้นมาเสียเฉย ๆ ขายาวเดินไปกดลิฟต์ รอกระทั่งประตูเปิดจึงเดินเข้าไปยืนด้านใน มองร่างสูงที่ก้าวตามมายืนข้างกัน


“ตอนเย็นผมไปรับนะ”


“รับทำไม ผมกลับเองได้”


“ไปทานข้าวกันไง คุณติดผมอยู่นะ ลืมแล้วเหรอ”


“ทวงจริง ไม่ลืมหรอกน่า” คันธชาติถอนใจพลางส่ายศีรษะน้อย ๆ ได้ยินเสียงสัญญาณประตูเปิดก็เตรียมก้าวออกจากลิฟต์ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบคู่ปรับเก่าที่คอยจ้องจับผิดเสียเหลือเกิน คุณพนักงานสาวหน้าเคาเตอร์นั่นเอง


เธอกำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยในอาณาจักรเล็ก ๆ ของเธอซึ่งก็คือพื้นที่ภายในเคาเตอร์ และพื้นที่สำหรับนั่งเล่นที่คนในคอนโดใช้ร่วมกัน  แต่ที่ทำให้ตกใจหนักเข้าไปใหญ่เห็นจะเป็นแขนแกร่งของที่โอบรัดรอบเอวแบบไม่บอกไม่กล่าวแถมยังรั้งตัวเขาเข้าไปใกล้จนแทบจะคล้ายปาท่องโก๋เข้าไปทุกที


“ทำอะไรของคุณเนี่ย” คันธชาติถามพลางแกะมืออีกฝ่ายออกแต่ก็ไร้ผล


“ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ประกาศให้เขารู้ว่าเราเป็นแฟนกันเพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้เขาสงสัยก็ต้องแสดงให้สมบทบาท"


ได้ยินเสียงดังซ่วบบบบแว่วอยู่ในหู ‘ดาบนั้นคืนสนอง’ อีกแล้ว


“แล้วนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่คุณต้องรับผิดชอบ”


“รับผิดชอบอะไรอีก”


“คุณทำให้ผมขายไม่ออกต้องรับผิดชอบสิ” ธันวาหัวเราะพลางกระชับวงแขนแน่นขึ้นมองอีกคนที่ตอนนี้เอาแต่ทำหน้ามุ่ย


“ต่อไปถ้าใครบอกว่าคุณเป็นคนหงิม ๆ ติ๋ม ๆ ผมจะไม่เชื่อเด็ดขาด”  ริมฝีปากบางบ่นขมุบขมิบแต่ก็ต้องจำใจยอมทำตาม คันธชาติยิ้มน้อย ๆ ให้กับหญิงสาวที่กำลังมองมา ไม่นานเธอก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า


“สวัสดีค่ะ แฟนอาจารย์ธันวาหายหน้าไปนานเลยนะคะ ไปทำอะไรมาหรือเปล่าคะ ดูมีน้ำมีนวลสวยขึ้นนะเนี่ย กำลังจะมีข่าวดีหรือเปล่าเอ่ย”


"หือ?" หน้าสวยมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย


"เอ่อ...ก็แบบว่า เบบี๋ ๆ อะไรอย่างนี้นะค่ะ"


เล่นเอาธันวาต้องกลั้นหัวเราะ ร่างสูงเสมองไปทางอื่นไม่สนใจอีกคนที่กำลังส่งสายตาขอความช่วยเหลือเลยสักนิด


'ไม่มีอะไรจะทักแล้วหรือไงวะ' คันธชาติคิดในใจก่อนฉีกยิ้ม


“อุ้ย! ธันเขาไม่เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ"


ประโยคนั้นทำเอาอีกคนหันขวับ


"แต่ที่ดูแปลกไปอาจจะเป็นเพราะว่าบุ๊งเพิ่งกลับจากวิปัสสนาที่เวียงพูคำ หน้าตาก็เลยอิ่มบุญ”


"เวียงพูคำ...ชื่อคุ้นจังเลยนะคะ" คนฟังทำหน้ายุ่ง รู้สึกคุ้นชื่อนี้แต่ก็นึกไม่ออก


"ก็เวียงพูคำที่มีเจ้าชายรังสิมันต์เป็นกษัตริย์ปกครองไงคะ เคยลี้ภัยมาอยู่ประเทศไทยระยะหนึ่งด้วย ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่าเพิ่งจะพบกับน้องสาวที่พรัดพรากกันตั้งแต่เด็ก”


“ตายจริง” หญิงสาวยกมือขึ้นทาบอก “น่าสงสารจังเลยนะคะ”


“ค่ะ จากกันตั้งแต่ตอนที่ท่านแม่กำลังตั้งครรภ์น้องสาว อืม...เห็นว่าชื่อเจ้าหญิงสร้อยฟ้าอะไรนี่แหละค่ะ แล้วเจ้าหญิงก็ไปพบรักกับ...คุ..ณ..." กำลังอธิบายเป็นฉาก ๆ ก็โดนขัดขึ้นเสียก่อน


"อย่ามัวแต่คุยอยู่เลยครับที่รัก เดี๋ยวจะไปทำงานสายนะ"


ปากที่อ้าค้างอยู่รีบหุบลงทันที คันธชาติยิ้มให้หญิงสาวที่ท่าทางจะสนอกสนใจเรื่องราวของเวียงพูคำอยู่ไม่น้อย อยากจะเล่าต่อให้จบเรื่องแต่ก็จำใจต้องจากมาเพราะมือหนาที่รุนหลัง


"ยังเล่าไม่ทันจะจบเลย ยังไม่ได้พูดถึงคุณชายรัชชานนท์เลยนะเนี่ย" คนสวยบ่นเมื่อเดินมาถึงรถ


"พอได้แล้ว เห็นเขาเชื่อหน่อยก็ไปแกล้งอำเขาใหญ่เลย คุณนี่แสบจริง ๆ" ธันวาส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูให้ รอจนอีกฝ่ายขึ้นนั่งจึงปิดประตู เดินอ้อมมานั่งประจำที่ของตนเองในฝั่งคนขับ เอื้อมดึงเข็มขัดนิรภัยก็นึกขึ้นได้


"เมื่อกี้ที่พูดน่ะ รู้ได้ยังไง"


"อะไร รู้อะไร เวียงพูคำน่ะเหรอ ก็ฟังคนงานสาว ๆ ในฟาร์มเล่ามาอีกทีน่ะสิ ดังจะตายไปละครเรื่องนี้น่ะ"


"ไม่ใช่ ผมหมายถึง...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่เก่ง"


คนถูกถามถึงกับหน้าเหวอก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะดังลั่น


"นี่...อะไรที่ผมพูดเล่นคุณก็คิดว่ามันเป็นเรื่องเล่น ๆ บ้างก็ได้ ไม่ต้องเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังไปเสียทั้งหมด"


คันธชาติเท้าแขนมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ คมฟันกัดนิ้วตัวเองกลั้นหัวเราะ


"ยิ้มอะไรเล่า"


"เปล่าาาา" แสร้งลากเสียงทำเป็นรำคาญกลบเกลื่อน "ออกรถได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ทันพอดี"


...


บรรดาสาว ๆ แก๊งนางฟ้าพากันมารวมตัวที่ห้องเสื้อพุทธรักษา ประเด็นใหญ่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกกันในวันนี้ก็หนีไม่พ้นข่าวลือที่ว่าอัศนัยผู้เป็นเจ้านายตัดสินใจจะปิดตัวโรงครนาฏยกาลที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ซึ่งพุฒิพงศ์และบุ๊งที่รู้ว่ามันคือเรื่องจริงก็ได้แต่ปิดปากเงียบทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี


"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วพวกเราจะไปทำมาหากินอะไรกันล่ะเจ๊ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว" คนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มโอดครวญ


"แกใจเย็นก่อนนังแคท มันอาจจะเป็นแค่ข่าวลือก็ได้" 


"เรื่องนี้น่ะ นิกกี้ก็แอบได้ยินพวกทีมเขียนบทเข้าคุยกัน"


"จริงเจ๊ จีจี้เห็นเขาลือกันให้แซด"


สามสาวพยักหน้าตาละห้อย


"ก็ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเจ๊แคท เจ๊จีจี้ แล้วก็นิกกี้ไปอยู่บ้านบุ๊งก็ได้ ไปช่วยกันรีดนมวัวหรือไม่ก็ปลูกผัก" บุ๊งเสนอ


"ตาย ๆ นังบุ๊ง แกจะให้มือนุ่ม ๆ ของนางเอกละครอย่างฉันต้องไปจับจอบจับเสียมเหรอยะ" แคทบ่นพลางกรีดนิ้วที่ทาเล็บที่แดงแปร๊ด


"เห็นบอกว่าไม่รู้จะไปทำอะไร บุ๊งก็เลยจะชวนไปอยู่ด้วยกัน"


"นี่ถ้าเสี่ยยังแข็งแรงอยู่จะต้องคัดค้านเรื่องนี้แน่ ๆ" กะเทยทรงโตกล่าวพร้อมกับทอดถอนใจ


"อันที่จริงคุณอัศนัยเธอก็ดูจะรักงานทางด้านนี้นี่นา ก่อนหน้านี้เธอก็ยังเปิดคณะละครของเธอเอง ไม่น่าเป็นแบบนี้ไปได้"


"แหม...คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้ย่ะนังนิกกี้ ตอนนี้ชอบต่อไปอาจจะไม่ชอบแล้วก็ได้ ไม่เห็นจะแปลก" พูดจบพุฒิพงศ์ก็หยิบแว่นสายตามาสวมก่อนจะลงมือปักเลื่อมบนเสื้อไปเงียบ ๆ รอฟังว่าสาว ๆ จะพูดอะไรกันต่อ


"แล้วคุณอัศวินล่ะ มีใครเคยพบคุณอัศวินบ้างไหม"


ทุกคนต่างก็พากันตอบคำถามของบุ๊งโดยการส่ายหน้า


"ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง เคยได้ยินแต่ชื่อน่ะ รู้ว่าเสี่ยมีลูกชายอีกคนก็ตอนที่คุณอัศนัยเธอให้สัมภาษณ์นักข่าวเมื่อตอนที่เสี่ยตกบันไดนั่นแหละ" แคทกล่าว


พุฒิพงศ์ละสายตาจากงานที่ทำอยู่ก่อนจะถามด้วยความสงสัย "นังแคท แกอยู่มานานแกไม่รู้เรื่องคุณอัศวินบ้างเลยเหรอ" 


"ที่รู้ก็รู้จากที่คนเก่า ๆ เขาเม้า ๆ กันนั่นแหละเจ๊ เคยได้ยินว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณนายบ้านใหญ่กับเสี่ยน่ะไม่ค่อยดีสักเท่าไร อันนี้จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้นะ เขาพูดกันว่าคุณนายแกจับได้ว่าเสี่ยมีเมียน้อยแถมมีลูกด้วยกันด้วย แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นหรอก คุณนายแกก็เลยพาลูกชายคนโตไปอยู่เมืองนอก หลังจากคุณนายเสีย คุณอัศวินเธอก็ไม่ยอมกลับเพราะเธอไม่อยากแต่งงานกับคนที่พ่อหาให้ รู้แค่นี้แหละ"


"นี่เจ๊อยู่คมชัดลึกหรือเปล่าเนี่ย" บุ๊งแทรกขึ้น


"หือ...นังบุ๊ง ฉันบอกแล้วไงว่าฟังเขามาอีกที เขาลือกันมาแบบนี้ย่ะ"


"ลือเสียละเอียดเชียว" บุ๊งพึมพำ


"จะว่าไปคุณอัศวินอะไรนี่ก็ทำตัวลึกลับเนอะ เป็นนางอายหรือไงถึงไม่ยอมเปิดเผยตัว ร...หรือว่าหน้าตาจะอัปลักษณ์ เป็นพวกมนุษย์หมาป่าแบบในนิยาย"


“วุ้ย! นังจีจี้! บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ดูข่าวบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ดูละคร บ้านเมืองเขาไปถึงไหนแล้ว มีที่ไหนมนุษย์หมาป่า” แคทค้อนขวับ “น้องชายออกจะหล่อขนาดนี้ พี่ชายก็คงไม่ต่างกันนักหรอกย่ะ”


กว่าจะหมดเรื่องเม้าของสาว ๆ ก็ค่ำพอดีถึงได้แยกย้ายกันกลับ คันธชาติยืนอยู่ใต้กันสาดมองผ่านม่านละอองน้ำเม็ดเล็ก ๆ ที่เริ่มโปรยปรายลงมาท่ามกลางความมืดซึ่งกำลังโรยตัวปกคลุมเมืองใหญ่อีกครั้ง ไม่นานแลนโรเวอร์สีขาวก็แล่นมาจอดเทียบบาทวิถีก่อนที่เจ้าของรถจะเปิดประตูลงมายืน ร่มสีหวานถูกกางออกกันละอองฝนและเขากำลังเดินตรงเข้ามาทางนี้


“ขอโทษนะที่มาช้า ไม่รู้ว่าวันนี้พี่พุดดิ้งจะปิดร้านเร็ว คุณเลยต้องมายืนเปียกฝนแบบนี้”


“ไม่เป็นไร จริง ๆ เจ๊ก็บอกว่าจะไปส่งอยู่เหมือนกัน แต่ผมเห็นว่านัดกับคุณไว้...”


ธันวาหุบร่มลงยืนพิงผนังกระจกมองคนที่ยืนเคียงข้างกัน “เป็นห่วงความรู้สึกผมด้วยเหรอ”


“เหอะ! ใครจะไปคิดแบบนั้น”


“ก็คุณไง”


พูดเองเออเองแล้วยังมีหน้ามายิ้ม...


“ไปเถอะ”


ร่มสีชมพูถูกกางออกก่อนที่มือหนาจะรั้งแขนอีกคนให้เดินตาม ไหล่ที่เกยกัน แขนที่แนบชิบ มันแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างสองคนเลย ธันวามองคนอายุน้อยกว่าที่ตอนนี้คิดแต่จะทำอย่างไรไม่ให้เปียกฝน ดวงตาคู่สวยมองไปข้างหน้า คงลืมพะวงเรื่องที่จะต้องสร้างระยะห่างระหว่างกันไปแล้วกระมัง


ต้องขอบคุณร่มคันนี้...


...



“ไหนบอกว่าจะชวนไปกินข้าวไง” คันธชาติถามขึ้นเมื่อมายืนอยู่ที่หน้าห้องตัวเอง


“ก็นี่ไง” เจ้าของร่างสูงชูถุงพะรุงพะรังในมือพร้อมกับยิ้ม “เดี๋ยวทำอะไรอร่อย ๆ ให้ทาน”


“ทำเป็นเหรอ”


“เป็นสิคุณ คุณไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ”


แล้วสองคนก็แยกเข้าห้องใครห้องมัน...


หลังจากลอกคราบเรียบร้อยคันธชาติก็ไปกดกริ่งห้องฝั่งตรงข้าม ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นสปาเก็ตตี้ปลาเค็มก็ลอยเตะจมูกเล่นเอาน้ำลายสอแทบจะลอยตามเข้าไป ชายหนุ่มเดินมานั่งลงที่โต๊ะอาหารที่พื้นที่พอดีสำหรับสองคนตามคำเชิญ ไม่นานสปาเก็ตตี้หน้าตาน่ากินก็ถูกยกมาเสิร์ฟโดยพ่อครัวกิตติมศักดิ์


ธันวานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามทอดตามองชายหนุ่มที่กำลังจ้องอาหารตรงหน้าตาวาว พลันรอยยิ้มบาง ๆ ก็แต้มไปทั่วหน้า “เอาแต่จ้องจะอิ่มได้ยังไง”


“ผมถือว่าเป็นคำเชิญนะ” พูดจบคันธชาติก็หยิบส้อมม้วนเส้นกลม ๆ ยาว ๆ ก่อนจะส่งเข้าปาก เคี้ยวพลางทำท่าคิดไปพลางจนคนทำให้รับประทานอดถามไม่ได้


“เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม”


“ก็...อร่อยดี ว่าแต่คุณทำเองหรือเปล่าเนี่ย”


“เอ๊า! ทำเองสิ ไม่เชื่อไปดูก็ได้ เครื่องครัวยังไม่ได้ล้างเลย” ธันวาหัวเราะในลำคอพลางลงมือจัดการกับสปาเก็ตตี้ในจานของตัวเอง


“คุณทำกับข้าวบ่อยเหรอ”


“เมื่อก่อนทำบ่อย ตอนที่ยังไม่ได้แยกออกมาอยู่คอนโดน่ะ ทำให้น้องสาวทาน”


“น้องสาวเหรอ”


“มีนไง คนที่เจอที่โรงพยาบาลวันนั้น”


คันธชาติพยักหน้าหงึก ๆ เพิ่งจะถึงบางอ้อ ที่แท้ก็น้องสาวนี่เอง


“แล้วทำไมถึงต้องออกมาอยู่คอนโดด้วยล่ะ”


“เรามีกันสองคนพี่น้องน่ะ พ่อกับแม่เสียหมดแล้ว พอมีนแต่งงานผมก็เลยยกบ้านหลังนั้นให้น้องแล้วออกมาอยู่คอนโดแทน อีกอย่างมันก็เดินทางสะดวกดี จากนี่ไปมหาวิทยาลัยใช้เวลาไม่มาก”


“พ่อกับแม่คุณนี่เข้าใจตั้งชื่อเนอะ เด็กหญิงต้นปีกับเด็กชายปลายปี”


“คุณนี่มันจริง ๆ เลย” คนพูดได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริง ๆ ผมไม่เห็นจะต้องมาเล่าให้คุณฟังเลยเนอะ คุณก็รู้ข้อมูลของผมอยู่แล้ว”


“ผมไม่ได้เจาะข้อมูลทะเบียนราษฎร์มานะคุณ ผมก็รู้แค่ที่พอจะหาได้เท่านั้นแหละ”


“แล้วคุณรู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้าง”


“อืม...ก็ รู้ว่าเป็นอาจารย์ ก่อนหน้านี้ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ พูดน้อย ไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะเอาแต่ทำงาน ๆๆๆ แต่จริง ๆแล้วอยู่มหาวิทยาลัยน่ะเป็นนักกิจกรรม แล้วก็ทานแต่ฟาสฟู้ดไม่ก็กาแฟดำ ชอบออกข้อสอบยาก ๆ จนนักศึกษาร้องยี้”


“รู้เรื่องของผมเยอะนะเนี่ย แล้วคุณล่ะให้ผมรู้เรื่องของคุณบ้างได้ไหม อย่างเช่น...ทำไมถึงชอบทานสปาเก็ตตี้ปลาเค็ม”


คนถูกถามวางแก้วน้ำลงก่อนจะเริ่มสาธยาย “จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบนักหรอก ผมทานเพราะมันเป็นอาหารที่มีปรัชญาซ่อนอยู่น่ะ”


“ยังไง” ธันวาหรี่ตามอง อยากรู้จริงว่าจะมาไม้ไหน


“ก็นี่ไง เส้นสปาเก็ตตี้มันก็เหมือนชีวิตคนเรา มีสั้นมียาวแตกต่างกันไป กลิ่นของมันอาจจะไม่ชวนทาน ติดจะตุ ๆ และเค็มเสียด้วยซ้ำ แต่พอได้ทานแล้วจะรู้สึกว่าอร่อยไม่รู้ลืมเลยละ มันก็เหมือนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ได้หอมหวาน บางทีก็เจ็บปวดจนต้องจดจำไปแสนนาน” ชูสองแขนขึ้นราวกับจะสูบพลังจากทั้งโลกมาเก็บไว้ที่ตัวเองพียงคนเดียว “เป็นไงมันเจ๋งใช่ไหม”


“บุ้ง เอาความจริง”


ทันทีที่ถูกปรามคันธชาติก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะตอบเพียงสั้น ๆ “แม่ชอบทำให้พ่อทานน่ะ ผมก็เลยชอบไปด้วย” สองคนสบตากันก่อนจะหัวเราะ เรื่องบางเรื่องก็ไม่เห็นจะต้องคิดหาเหตุผลใด ๆ ให้มากความเลยจริง ๆ


เวลาอาหารเย็นผ่านมานานมากแล้วในขณะที่ถ้วยชามและอุปกรณ์ทำครัวก็ถูกล้างทำความสะอาดเรียบร้อย แต่เสียงพูดคุยกันของสองคนยังคงอยู่ คันธชาติยังคงเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งเรื่องซน ๆ สมัยเด็ก เรื่องสมัยเรียน รวมถึงเรื่องที่ฟาร์มตามแต่อีกฝ่ายจะอยากรู้ ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้พูดคุยกันแบบจริง ๆ จัง ๆ สักที


“จะห้าทุ่มแล้วเหรอเนี่ย” คนเป็นแขกเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นตัวเลขบอกเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะ “ผมกลับก่อนดีกว่าคุณจะได้พักผ่อน” พูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูโดยมีเจ้าของห้องเดินตามไปส่ง


“คุณรู้เรื่องผมตั้งเยอะ แล้วรู้หรือเปล่าว่าผมชอบคุณ”


จู่ ๆ ประโยคนั้นก็ทำเอาคนฟังถึงกับชะงัก คันธชาติดึงมือกลับจากลูกบิดประตูยืนหันหลังนิ่ง  นิ่ง...และนานกระทั่งสัมผัสอุ่น ๆ ที่ต้นแขนทำให้สองคนได้สบตากันอีกครั้ง


“คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” เจ้าของร่างบางกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


“เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้มันก็แค่คำพูด หัวใจของคุณต่างห่างที่จะบอกได้ว่าเรื่องของเรามันจะเป็นยังไง” ธันวาจ้องลึกลงไปในดวงตาที่กำลังไหวระริกก่อนจะประคองแก้มนุ่มมือเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายหันหนีไปไหนได้


“ปล่อยให้หัวใจพูดออกมาเถอะนะ” เป็นเสียงกระซิบที่แสนแผ่วเบา เหมือนสายลมที่พัดพาให้หัวใจคนฟังลอยล่องไปแสนไกล ร่างกายอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก


ตาคู่สวยจ้องมองหน้าคมเลื่อนใกล้เข้ามาจนแทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน แต่ทันทีที่เนื้อปากสัมผัสเพียงนิด คันธชาติก็เป็นฝ่ายรั้งมืออุ่นออกจากแก้มสีแดงระเรื่อของตนเอง


“อย่านะ อย่าเพิ่ง ผมยังมีเรื่องสงสัย”


ธันวาถอนใจเฮือกตั้งท่ารอฟังคำถาม “คุณอยากรู้อะไร”


“ตอบมาก่อนว่าคืนนั้นน่ะมันเกิดอะไรขึ้น คุณจูบผมหรือเปล่า”


คนฟังคลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ ที่แท้ก็ยังคาใจกับเรื่องนี้อยู่นี่เอง “ทำไม? กลัวจะต้องเสียจูบแรกให้ผมอย่างนั้นเหรอ”


ไม่ใช่แค่คำพูดที่ทำให้เห่อร้อนไปทั้งหน้า รอยยิ้มกับสายตาที่ส่งมานั่นก็ด้วย


ธันวาขยับเข้าใกล้ในขณะที่มือหนึ่งยึดเอวสอบเอาไว้ มือที่เหลือเลื่อนขึ้นก่อนจะใช้นิ้วหนาขยี้ปลายจมูกของคนที่กำลังคิดหลบสายตาอย่างหยอกเย้า “คนอะไร อยากพิสูจน์แต่กลับกลัวผลที่ได้”


“นี่คุณรู้เหรอ” จากที่คิดจะหนีเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็ง


“ผู้กองเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว”


“ไอ้กาจนะไอ้กาจ” คิ้วหนาขมวดมุ่นนึกแค้นใจไอ้คนต้นคิดที่ดันเอาแผนการมาเปิดเผยเสียได้ “แล้วยังไง สรุปว่ามันยังไงกัน จูบหรือไม่จูบ”


เจ้าของร่างสูงมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดูก่อนจะเลื่อนมือจับที่ต้นคอระหง “ก็คุณห้ามไม่ให้จูบ แล้วผมจะจูบได้ยังไงกัน”   


เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการ คนช่างสงสัยก็ถอนใจโล่งอก ไม่ทันระวังตัวจึงถูกพันธนาการด้วยท่อนแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอว “ผมก็มีเรื่องสงสัยอยากให้คุณตอบเหมือนกัน”


“อะไรของคุณ” รู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อยเมื่อนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงบนเนื้อแก้ม


“ผมสงสัยว่าถ้าเป็นคืนนี้ คุณยังจะห้ามอยู่อีกไหม” พูดจบริมฝีปากได้รูปก็เคลื่อนเข้ามารอรับคำตอบถึงที่ เนื้อปากอุ่นแตะลงบนริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนเป็นบดเบียดและลึกล้ำจนร่างของคนอายุน้อยกว่าไหวสะท้าน


คันธชาตินึกตำหนิตนเองอยู่ไม่น้อยเมื่อสองแขนเผลอคล้องโอบรอบคอคนตรงหน้าพร้อมกับแนบกายเข้าหาอกอุ่น หัวใจเต้นระรัวทุกครั้งยามเมื่อริมฝีปากล่างถูกขบเม้มดูดดึงอย่างหยอกล้อตามอำเภอใจ


‘โธ่...ยังไม่ทันจะตอบเลย’


แต่ป่านนี้ธันวาคงจะได้ยินทุกอย่างแล้ว เพราะตัวเขากำลังปล่อยให้หัวใจได้พูดทุกสิ่งออกมา...


...




ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเม้นต์และการติดตามค่ะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-03-2015 01:05:24 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1

อร๊ายยยย ฟินนนนนน

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
แหม่ะ...ไม่อยากจะแซว ให้เสียบรรยากาศ
แต่เวลากินอาหารที่กลิ่นแรงๆเนี่ย
ต่อให้ไปบ้วนปาก แปรงฟัน ก็ยังไม่หายเหม็นนะคะ
นี่เค้าเปิดจูบแรกด้วยกลิ่นปลาเค็ม อ่อนๆสินะ ฮ่าาาาๆๆๆๆ

คดีอะไรนั่น ไม่สนแล้วได้มั้ย
สนแต่คู่นายน้อยกับเด็กชายปลายปีนี่แหละ  :hao7:

ออฟไลน์ Rywzaki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 น้องบุ้งฟังพี่อ้อยพี่ฉอดใช่ไหมคะ   :laugh:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ตายไปกับตอนนี้ค่ะ  :katai1: เค้าจูบกันแล้ววววว
ถึงปมจะยังไม่คลาย แต่ความสัมพันธ์เริ่มก้าวหน้าละ
หลังจากหยุดกับที่เกือบเดินถอยหลัง

ปล.นิยายเรื่องนี้สอนว่าอย่าดูคนที่ภายนอก อย่างเช่นดร.ปลายปีเป็นต้น  :hao6:

ออฟไลน์ crystal_on

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-0
    • ไอ้หน้าหวานกับประธานสุดโหด
กรี๊ดดดดดดดดดดดด เขิน  :o8: :-[

ออฟไลน์ nutty2554

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
เค้าจูบกันแล้วววววววววว :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ว้ายๆๆ เค้าจูบกันแล้ว =//////=

บุ้งชอบก็บอกว่าชอบสิจ๊ะ เลิกปากแข็งได้แล้ว

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
บุ้งไม่ต้องพูด พี่ธันใช้ภาษากายเลยแล้วกัน
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
 :-[ :-[

ออฟไลน์ mirin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
อ้างถึง
“มีที่ไหนกันเขาน่ะ ก็เห็นอยู่ว่ามีแต่ผม”
ช่างกล้าเล่นมุกนี้นะดอกเตอร์ :laugh:
แต่อ่านตอนนี้แล้วเขินนะ :-[

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
โอร่ยยยย~~~ ฟินนนนนนนนน

เขินสุดไรสุด

 :impress2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ฟินสิ่คะแบบนี้

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
แอร๊ยยยย. คุณมีแต่ผม. ฟินนนนนน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ New_Tai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
กรีสสสส ฟินนนนนนจ้าา  :ling1:

ออฟไลน์ raviiib❁

  • คนเขียนนิยาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
บุ้งน่ารักมาก ขอขโมยกลับมากอดที่บ้านที :-[

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
โอ้ยยยย ตอนนี้ดีงามมากค่ะ ฟีลลิ่งแบบว่าน่ารักวิ๊งๆ โลกกลายเป็นสีชมพูสดใส

นี่แทบจะลืมประเด็นที่เจอตัวคนขับรถชนหนอนบุ้งไปเลยนะคะเนี่ย
ฮืออออออออออออ น่ารักมาก เราอมยิ้มแก้มแตกตอนดร.ธันว่าจีบตัวบุ้ง
ไหนใครว่าดร.เป็นคนเงียบๆ หงิ๋มๆ คะ? นี่ร้ายนะคะ ร้ายใช่ย่อยเลยล่ะ  :-[
พอถึงเวลารุกจีบได้ก็เอาใหญ่ ใจสั่นแทนตัวบุ้งเลยค่ะ ชอบฉากที่คุณพนักงานประจำเคาเตอร์ถามด้วยว่ากำลังจะมีน้องหรอ
ก๊ากกกกกกกกกกก อ่านแล้วขำพรืด แต่ตัวบุ้งก็แสบใช่ย่อยนะคะ แหมๆ มากล่าวหาว่าดร.ธันวาไม่เก่งแบบนี้
ดร.อย่าไปยอมนะคะ !! ของแบบนี้มันต้องพิสูจน์ค่ะ ให้มันรู้กันไปเลย 555555555555

ที่ฟินอีกอย่างก็คือตอนนี้เค้าจูบกันแล้วด้วย แอร๊ยยยยยยยยยยย  :hao5:
เขินหน้าร้อนผ่าวๆ เลย ฮือออออออออ ฟินมากๆ รอคอยฉากนี้มานานแสนนาน 5555

เป็นตอนที่เขินมากๆ ค่ะ ฮือออออออออ อยากเป็นตัวบุ้ง

อ้อ.. จะบอกว่าประโยคนี้พีคมากนะคะ

อ้างถึง
“มีที่ไหนกันเขาน่ะ ก็เห็นอยู่ว่ามีแต่ผม”

ไม่คิดว่าคนอย่างดร.ธันวาจะเล่นมุกอย่างนี้ได้ อยากจะปาหัวใจใส่รัวๆ เลยค่ะ ฮึ่ยยย ทำไมน่ารักกกก TvT


จะรอติดตามตอนหน้าอีกนะคะ


ปล.นี่ก็เดามั่วๆ อีกแล้วว่าคุณอัศวินกับคุณอัศนัยนี่กำลังเล่นสลับตัวกันอยู่รึเปล่า เห็นบอกว่าเป็นฝาแฝดกัน แต่อีกคนก็ทำตัวลึกลับซะเหลือเกิน ดูน่าสงสัยทั้งคู่เลยนะคะ แล้วไหนจะคุณที่ขับรถชนตัวบุ้ง ตามตัวบุ้งตั้งแต่ไปกับคุณอัศนัยนั่นอีก เข้าไปโรงละครร้างนั่นอีก ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกันทั้งสามคนยังไงไม่รู้...

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 16 หลักฐานชิ้นสำคัญ



พนักงานสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาเตอร์ชะเง้อมองเจ้านายหนุ่มหล่อของเธอเป็นระยะ นั่นเพราะตั้งแต่มาถึงเขาหากไม่มองออกไปนอกกระจกก็เอาแต่จ้องสมุดที่เต็มไปด้วยลายมือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ไม่แตะต้องเครื่องดื่มร้อนที่เคยชอบเลยสักนิด ถึงตอนนี้มันคงเย็นลงตามอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศไปเสียแล้ว


นิ่มอาศัยจังหวะที่ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้าน หันไปชงเครื่องดื่มถ้วยใหม่ก่อนจะยกไปเปลี่ยนให้ ซึ่งคันธชาติก็ทำแค่เพียงกล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ตอบแทนความปรารถนาดีของลูกจ้างสาว ก่อนจะทอดตาเหม่อมองผ่านผนังกระจกดูหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนยอดไม้ประดับกระถางเล็ก ๆ ที่วางเรียงรายกันอยู่หน้าร้าน


ฝนเพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน เหนือขึ้นไปบนยอดตึกสุดปลายถนนปรากฏรุ้งกินน้ำเป็นเส้นโค้งเหมือนกับสะพานที่เชื่อมสองฝั่งเข้าหากัน ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ บางครั้งก็เผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง บางครั้งก็อมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้ารัวหันกลับมาเท้าคางก้มลงมองสมุดบันทึกอีกครั้ง


ลมหายใจถูกผ่อนผ่านปลายจมูก ยืดยาว...แต่ไม่พอที่จะรั้งเรื่องราวหนักใจออกจากห้วงของความคิดได้ ยังคงอ่านข้อความที่เขียนด้วยลายมือบนกระดาษสีมอซ้ำแล้วซ้ำอีก ปล่อยใจไปกับตัวอักษรที่สายตาลากผ่าน กระทั่งเสียงเคาะกระจกที่ดังขึ้นใกล้หูเรียกความสนใจขอเขาไปยังร่างสูงที่ยืนยิ้มให้จากด้านนอก


'เป็นอะไร' นั่นคือสิ่งที่สามารถอ่านได้จากปากหยักที่เผยอขึ้น ไม่นานเจ้าของคำถามก็ผลักประตูกระจกเดินมานั่งลงที่ตรงหน้า


"เป็นอะไรหรือเปล่า หน้ายุ่งเชียว"


คันธชาติส่ายหน้าเนือยสบตาคนถาม ริมฝีปากได้รูปยังคงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ที่หากไม่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ก็คงไม่มีใครได้สังเกตเห็น จู่ ๆ ใจเจ้ากรรมก็เผลอนึกถึงความหวานละมุนจากรสจูบนุ่มที่อีกคนมอบให้ พลันเลือดลมก็พร้อมใจมารวมกันอยู่ที่สองแก้มก่อนจะแล่นซ่านไปถึงลำคอและใบหนูจนต้องเบือนหน้าหนีตัวต้นเหตุ


"ไม่สบายหรือเปล่า" ธันวาถามอย่างเป็นห่วงพร้อมกัยยกมือทำท่าจะแตะเพื่อวัดไข้แต่กลีบถูกอีกฝ่ายปัดออก


"ไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า"


"แต่คุณหน้าแดง"


คันธชาติมองคนพูดซื่อ ๆ อย่างขัดใจก่อนจะย้ำอีกครั้ง "ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ"


คนฟังพยักหน้าลอบมองแก้มเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อพอ ๆ กับกลีบปากของผู้เป็นเจ้าของ อดคิดไม่ได้เลยว่ามันจะหวานหอมชวนให้หลงใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสเหมือนกันไหม ยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเองเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังทำให้ความคิดเตลิดไปไกล พลันสายตาก็สังเกตเห็นสมุดบันทึกที่เปิดค้างเอาที่หน้าหนึ่ง พอจะจำเนื้อความข้างในได้บ้าง ปากที่ปกติยากจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำจึงเผลอถามคำถามที่ใจสงสัยออกไป


"คุณ...รักเธอมากเหรอ"


คำถามใหม่เล่นเอาสะอึก ลมหายใจอุ่นถูกถอนทิ้งเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่อาจนับได้ตั้งแต่นั่งอยู่ตรงนี้ คันธชาติยังคงมองออกไปนอกกระจก จุดสิ้นสุดของสายตาอยู่ที่รถราที่กำลังเคลื่อนตัวตามกันไปอย่างช้า ๆ บนถนน


"อืม ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ กิ่งเหมือนกับผมตรงที่เราต่างเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ส่วนผมดีกว่าหน่อยตรงที่เป็นผู้ชาย พ่อกับแม่เลยไม่ห่วงมาก ส่วนกิ่ง...ลุงพิพัฒน์กับป้ากิ่งกาญจน์แทบจะไม่ให้ห่างตาเลย ตอนที่่สอบเข้าเรียนในกรุงเทพฯ ได้ก็ต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมกว่าท่านจะยอมปล่อยลูกสาวให้ห่างอก ผมเลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีลุงพิพัฒน์กับป้ากิ่งกาญจน์แล้วผมก็จะดูแลเธอ ไปเรื่อย ๆ รักเธอให้เท่ากับที่พ่อกับแม่ของเธอรัก"


คำตอบนั้นทำเอาต้องละสายตาจากตัวอักษรขึ้นมองคนพูด ธันวาถอนหายใจแผ่วเบาก่อนนิ่งเงียบไป เงียบผิดปกติจนคันธชาติต้องหันกลับมามอง


“เงียบทำไม”


“ไม่มีอะไรหรอก” อีกฝ่ายตอบเสียงนิ่ง


ใบหน้าเรียบเฉยนั่นทำให้คนมองรู้สึกหวั่นใจแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ให้มากความ เพียงแต่พยักหน้าก่อนจะก้มลงมองข้อความในสมุดบันทึกอีกครั้ง


เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับความสนใจจากที่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันอีกแล้ว ร่างสูงจึงทอดตาออกไปนอกกระจก มองรถราที่แล่นสวนกันอย่างช้า ๆ ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง ในขณะที่ไฟริมทางเดินและป้ายร้านต่าง ๆ ทยอยกันติดขึ้น สักพักก็ได้ยินเสียถอนหายใจยืดยาวอย่างเกลียดคร้าน เมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็พบว่าคันธชาติกำลังยืดตัวบิดขี้เกียจจากนั้นก็ฟุบลงกับโต๊ะจ้องตัวหนังสือที่ถูกเขียนอย่างบรรจง


“ผมเห็นคุณเอาแต่จ้องอยู่ที่หน้านี้ ทั้งที่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลย”


“มีสิ มันมีเรื่องที่ผมยังสงสัย” พูดจบก็เลื่อนสมุดไปใกล้ ๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วจิ้มที่กลางหน้ากระดาษ


ธันวามองตามอีกฝ่ายก่อนจะอ่านข้อความนั้นซ้ำ


“เพิ่งจะรู้...ว่าเขาก็มีผีเสื้อตัวเล็ก ๆ เหมือนกัน มันใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ หรือว่าคนที่พี่อาร์มชอบจะเป็นเขา...แล้วมันยังไงกัน”


“คุณคิดว่าเขาที่กิ่งเขียนถึงคือใคร”


“อืม...ก็ถ้าอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ผมเดาว่าน่าจะเป็นคุณอัศนัย”


คันธชาติพยักหน้า “ผมก็คิดแบบนั้น”


“แล้วคุณยังสงสัยอะไรอีก”


“ผีเสื้อเล็ก ๆ นั่นไง เพราะถ้าอาร์มคืออัญชสิสาซึ่งมีรอยสักรูปผีเสื้อ เพราะฉะนั้นถ้าเขาที่ว่าคือนายอัศนัย นายอัศนัยก็ควรจะมีรอยสักรูปผีเสื้อที่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แต่วันนั้นที่พวกคุณเข้าไปช่วยผม เราก็เห็นกันทุกคนว่าอัศนัยไม่มีรอยสักนั่น”


คนฟังพยักหน้าก่อนจะหมุนสมุดกลับและเริ่มอ่านข้อความนั้นอีกครั้ง มือหนาพลิกกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่ากระทั่งหยุดที่หน้าสุดท้ายตรงที่ตัวอักษรสิ้นสุดลง มันจะจบลงแค่นั้นหากสายตาไม่สังเกตเห็นรอยฉีกขาดของกระดาษที่ชิดแนวสันปก


ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคำพูดแสนแผ่วเบา “ผมเคยพูดในคลาสบ่อย ๆ ว่ากิ่งดาวเป็นคนเขียนหนังสือได้ดี ทุกถ้อยคำของเธอผ่านการกลั่นกรองออกมาแล้ว ทำให้ในการเขียนของเธอแต่ละครั้งแทบจะไม่มีร่องรอยการแก้ไข” พูดจบก็เลื่อนสมุดคืนให้ “ถ้าดูให้ดี จริง ๆ บันทึกมันไม่ได้จบที่หน้านี้ มีอีกหน้าที่ถูกฉีกออกไป”


ตาคมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูพลางหยิบสมุดบันทึกของเพื่อนขึ้นมาดู และก็พบว่ามันจริงอย่างที่ธันวาว่า


“แต่โชคดีที่ปกติกิ่งดาวมักจะเขียนหนังสือด้วยลายมือที่กดหนัก” พูดจบก็ส่งดินสอที่วางอยู่ใกล้ ๆ ให้


คันธชาติเข้าใจดีว่าธันวาหมายถึงอะไรแต่ก็ยังรับดินสอแท่งนั้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ความสงสัยใคร่รู้ที่มีอานุภาพมากกว่าก็ทำให้ตัดสินใจจรดปลายกราไฟรต์ที่เหลาจนแหลมลงบนกระดาษ ออกแรงฝนเพียงเบา ๆ ผงถ่านสีดำที่ระบายทับลงบนกระดาษก็ให้ร่องรอยบางอย่าง


ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ความรู้สึกเย็นวาบจุดขึ้นที่กลางหลังก่อนจะแผ่ซ่านไปทั้งร่าง รู้สึกคล้ายมีบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ตอนที่พบสมุดเล่มนี้ครั้งแรกคิดว่าคงไม่ได้เบาะแสใด ๆ เพิ่มเติมจนเกือบจะถอดใจ มิหนำซ้ำยังมีปมปริศนาใหม่เกิดขึ้นให้ต้องขบคิดอีกด้วย แต่แล้วเวลานี้กลับมีบางสิ่งกำลังปรากฏขึ้นต่อหน้า


....


“ผมว่ามันเหมือนจดหมาย กิ่งอาจจะเขียนแล้วส่งให้ใครสักคน วันเวลากับสถานที่ในนี้ มันคือวันเวลาเดียวกับที่กิ่งตกลงมาจากดาดฟ้า”


เก่งกาจเงยหน้าขึ้นมองทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปากหยักอ่านข้อความนั้นซ้ำเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้นับตั้งแต่ถูกเรียกมา ที่ร้านทานตะวันแห่งนี้ “...โปรดมาพบกิ่งอีกสักครั้ง... แล้วกิ่งจะทำให้เชื่อว่าเรื่องที่กิ่งพูดเป็นความจริง ถ้ายังปล่อยให้เวลาผ่านไป ผีเสื้อตัวน้อยก็จะถูกยึดอิสรภาพ ตัวหนึ่งถูกขังในห้องมืดแห่งความเกลียดชัง ในขณะที่อีกตัวถูกขังอยู่ในวังวนแห่งความรัก...”


คันธชาติก้มจ้องมองมือที่ประสานกันแน่นตรงหน้า ฟันสวยกดลงบนเนื้อปากจนแดงก่ำก่อนจะคลายออกเมื่อไม่อาจเก็บถ้อยคำบางอย่างไว้ได้อีกต่อไป “ฉ...ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า ม...ไม่...ไม่รู้” มือสั่นเทาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก่อนจะเลื่อนหาข้อความที่ได้รับจากกิ่งดาว...


1 2


โทรศัพท์ที่มีข้อความเลขสิบสองถูกวางลงที่กลางโต๊ะ “ถ้ามันไม่ใช่เลขสิบสองอย่างที่เข้าใจมาตั้งแต่แรกล่ะ ต...แต่เป็น หนึ่ง...หรือว่าสอง” เสียงเครือที่ได้ฟังทำให้ธันวาตัดสินใจวางมือบนบ่าของคนข้าง ๆ ออกแรงบีบเบา ๆ เพื่อให้เขาคลายกังวล


“ใจเย็น ๆ บุ้ง คุณอยากจะบอกอะไร”


“รตีบอกว่าอัศนัยมีพี่ชายฝาแฝด มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าหากคนที่อยู่กับเราตั้งแต่ต้นไม่ใช่อัศนัยแต่เป็นพี่ชายของเขา”


“แกหมายถึงคุณอัศวินน่ะเหรอ”


เจ้าของความคิดเพียงแต่พยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นกระดาษที่ถูกฉีกออกไปนั่น แกคิดว่ากิ่งจะส่งให้ใคร”


“อัญชลิสา” เสียงนั้นดังรอดออกจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา


ทั้งธันวาและเก่งกาจต่างก็สบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วก็เป็นนายตำรวจหนุ่มที่โคลงศีรษะไม่เห็นด้วย “ถ้าเป็นอย่างนั้นอัญชลิสาก็ต้องอยู่ที่นั่นในวันเกิดเหตุ แต่จากการสอบสวน มีพยานยืนยันว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นาฏยกาล ทั้งเธอแล้วก็นายอัศนัยไม่มีใครอยู่ที่นั่น ต...แต่...สองคนนั่นอยู่ด้วยกันที่โรงแรมย่านชานเมืองยันสว่าง ซึ่งมันไกลจากนาฏยกาลมาก โอกาสจะลงมือไม่มีเลย”


เหมือนกำลังจะถึงทางตันอีกครั้ง คันธชาติส่ายหัวดิก “นี่มันอะไรกันวะ งงไปหมดแล้ว ทำไมคิดอะไรไม่ออกเลย”


“ใจเย็น ๆ ไอ้บุ้ง เรายังไม่รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง กิ่งอาจจะไม่ได้ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้อัญชลิสาก็ได้”


“แล้วแกจะทำยังไงต่อ”


เก่งกาจนิ่งคิดก่อนจะตอบคำถาม “ช่วงนี้ฉันมีภารกิจต้องอารักขาท่านทูต ระหว่างนี้ฉันจะให้คนตามดูสามคนนั่น อยากรู้เมือนกันว่าจะเกี่ยวข้องกันยังไง เอาเป็นว่าระหว่างนี้ฉันขอสั่งห้ามแกไม่ให้เข้าใกล้ทั้งนายอัศนัยหรืออัญชลิสา ไม่ว่าแกจะเป็นคันธชาติหรือเป็นผู้ช่วยช่างเสื้อก็ตาม แล้วก็ห้ามไปที่โรงละครร้างเด็ดขาด”


คำพูดของเพื่อนเหมือนประกาศิต...ที่นายน้อยคันธชาติไม่มีวันทำตาม...



เมื่อรู้แน่ชัดว่าอัศนัยคือหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ดังนั้นนักสืบสมัครเล่นจึงไม่รีรอที่จะรับนัดของอีกฝ่าย คันธชาติในคราบของบุ๊งไปพบเจ้าของธุรกิจโรงละครหนุ่มหล่อที่ภัตตาคารของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งโดยกำชับให้ผู้ร่วมขบวนการอย่างธันวาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นั่นเพราะเกรงว่าหากเก่งกาจรู้เรื่องเข้าจะทำให้เพื่อนต้องเป็นห่วงจนพลอยเสียการเสียงาน ดังนั้นจึงเป็นธันวาที่แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไรอาสาขับรถให้


เจ้าของดวงตาล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยกกระโปรงยาวกรอมพื้นขึ้นก่อนจะหมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก มือจัดทรงผมที่เกล้าขึ้นเผยให้เห็นต้นคอขาว หยิบปอยผมที่ตกตกมาทับหู ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เห็นว่าในห้องน้ำไม่มีใครจึงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ


“สวยเหมือนกันนะเราน่ะ” ชื่นชมตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก็จัดการขยับซิลิโคนบราให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดจึงรีบสาวเท้าไปตามทางเดินแคบ ๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น


“เดี๋ยวก่อน”


กำลังจะหันกลับไปมองหาต้นเสียงก็ถูกมือหนารั้งตัวเข้าไปแนบอกก่อนจะผลุบหายไปในซอกทางเข้าห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดซึ่งอยู่ริมทางเดิน


“อะไรของคุณเนี่ย” ปากบางบ่นพลางจ้องหน้าชายหนุ่มในชุดสูทที่จู่ ๆ ก็ยึดเอวของตนเองเอาไว้


“ระวังตัวด้วยนะผมเป็นห่วง”


แค่คำพูดแสดงความรู้สึกตรงไปตรงมาก็ทำเอาร้อนฉ่าไปทั้งหน้าแต่ก็ไม่วายทำกลบเกลื่อน “ผมไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า” พยายามจะยันอกของอีกฝ่ายออกแต่ก็ทำได้ยากเสียจริง


“ผมไม่ได้กลัวคุณตาย แต่ผมกลัว...”


“เอาน่า อย่าห่วงไปเลย เจ๊พุดดิ้งให้ทั้งยานอนหลับ นั่งหลับ ยืนก็ยังหลับมา ส่วนรตีก็เตรียมเครื่องช็อตไฟฟ้ากับสเปรย์พริกไทยมาให้ด้วย แต่ถ้าพวกนี้ไม่ได้ผลแล้วขืนมันยังคิดจะทำรุ่มร่ามอีกละก็ ผมเสยปลายคางมันร่วงลงไปกองกับพื้นแน่”


“น่ากลัวจัง” ธันวากระซิบ “แล้วถ้าเป็นผมล่ะ จะทำแบบนั้นไหม”


เอาเข้าไป! นี่ใจคอจะให้ตายอยู่ตรงนี้เลยใช่ไหม?


หน้าสวยส่ายน้อย ๆ ก่อนจะมองอีกคนอย่างหมั่นไส้ “ให้ตายเหอะ ตอนนี้ต่อให้ใครอมพระประธานในโบสถ์มาพูดว่าคุณเป็นคนเงียบ ๆ หงิม ๆ ผมก็จะไม่เชื่ออีกแล้ว ปล่อยได้แล้ว”


คนฟังหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะยอมปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ


คันธชาติในคราบของบุ๊งเดินตัดส่วนต้อนรับของโรงแรมก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปยังภัตตาคารซึ่งอยู่ชั้นสูงสุด จากตรงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหาครอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทันทีที่เดินผ่านกรอบประตูไม้สักก็พบว่าทั้งภัตตาคารถูกจองไว้สำหรับมื้อค่ำแสนพิเศษของคนสองคนเท่านั้น


สาวสวยในชุดราตรียาวสีน้ำเงินเดินตามบริกรหนุ่มไปยังโต๊ะฝั่งที่ติดกับผนังกระจก เสียงเปียโนเริ่มบรรเลงเพลงคลาสสิก ในขณะที่แสงไฟค่อย ๆ เพิ่มกำลังขึ้นได้เปลี่ยนห้องกว้างใหญ่ที่ดูเงียบขรึมเพราะปราศจากผุ้คนให้กลับสว่างอีกครั้ง สว่างพอที่จะมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงที่ยืนถือกุหลาบช่อโตรออยู่ก่อนแล้ว


“ดอกไม้สวย ๆ สำหรับคนสวย ๆ อย่างคุณบุ๊งครับ”


“ขอบคุณนะคะ” สาวสวยกล่าวพร้อมกับรับช่อดอกไม้มากอดไว้ จากนั้นก็นั่งลงตามคำเชิญของอีกฝ่าย


หลังจากเลื่อนเก้าอี้ให้บุ๊งนั่งเรียบร้อย อัศนัยก็เดินกลับมานั่งลงยังที่ของตนเอง จากนั้นอาหารก็ถูกทยอยยกออกมาเสิร์ฟ สองคนเริ่มทานและคุยกันไปท่ามกลางเสียงเพลงจากเปียโนหลังใหญ่ที่ดังแว่วอยู่ไกล ๆ


“เมื่อตอนที่คุณโดนรถชนเห็นคุณพุฒิพงศ์บอกว่าคุณกลับไปรักษาตัวที่ต่างจังหวัด ไม่ทราบว่าที่ไหนเหรอครับ”


“ที่ปากช่องค่ะ พ่อกับแม่บุ๊งอยู่ปากช่อง ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไปตามประสา”


“แต่คุณกลับมาทำงานทางด้านนี้ ดูไม่ค่อยเข้ากันเลยนะครับ”


“บุ๊งสนใจด้านนี้ค่ะ โชคดีตรงที่เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ก็เลยตามใจ ไม่ได้ว่าอะไร”


“ดีจังเลยนะครับ...เป็นลูกคนเดียว” อัศนัยกล่าวพลางยกไวน์ขึ้นจิบ


“ไม่จริงหรอกค่ะ บางครั้งก็เหงานะคะ แล้วคุณอัศนัยล่ะคะ มีพี่น้องกี่คน”


มือหนาวางแก้วไวน์ลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม แววตาวิบวับเมื่อครู่วูบหายราวกับถูกกระชากออกเหลือเพียงความว่างเปล่า ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มก่อนจะตอบ “ผมมีพี่ชายอีกคนครับ"


"ที่ชื่อคุณอัศวินใช่ไหมคะ บุ๊งเคยได้ยินคนที่นาฏยกาลพูดถึงอยู่บ้าง แต่ไม่เคยพบตัวจริงเลยสักครั้ง เธอคงเป็นคนขี้อายสินะคะ"


อัศนัยส่ายหัว "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่เพราะคุณแม่ของผมท่านมีปัญหากับคุณพ่อ ก็เลยแยกพวกเราจากกันตั้งแต่เด็ก คุณแม่ท่านพาพี่ชายของผมไปอยู่ต่างประเทศ ในขณะที่ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่กับคุณพ่อที่นี่”


“แล้วตอนนี้ล่ะคะ พี่ชายคุณอัศวินเธออยู่ที่ไหน”


ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่คุณพ่อบังคับให้หมั้นหมายกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักเขาก็หายหน้าไป”


คันธชาติสังเกตเห็นท่าทางอึดอัดของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่วายถามต่อ “แย่จังเลยนะคะ นี่ก็เลยเป็นสาเหตุให้คุณพ่อของคุณอัศนัยล้มป่วยสินะคะ”


“ครับ” เป็นคำตอบสั้น ๆ ที่ได้รับก่อนที่คู่สนทนาจะกระดกไวน์รวดเดียวหมดแก้ว


เจ้าของหน้าสวยรอให้บริกรรินไวน์เรียบร้อยจึงเอ่ยขึ้น “คุณอัศนัยท่าทางจะเพื่อนเยอะนะคะ โดยเฉพาะสาว ๆ บุ๊งเห็นคราวก่อนที่งานเลี้ยงใคร ๆ ก็พากันเข้ามาทัก ใคร ๆ ก็อยากอยู่ในสายตา”


คนฟังหัวเราะพรืด “ไม่หรอกครับ ไม่เห็นเหรอว่าสุดท้ายในสายตาของผมก็มีแค่คุณคนเดียว” พูดแล้วก็ยกแก้วก้านสูงขึ้นพลางมองคนตรงหน้าตาเป็นประกาย “นี่ใจคอจะปล่อยให้ผมดื่มอยู่เดียวเหรอครับ หรือว่าตั้งใจจะมอมผมอย่างคราวก่อน”


‘ใครมอมใครกันแน่วะ’ คนฟังแสร้งตัดพ้อ “อย่าเข้าใจผิดสิคะ บุ๊งไม่ได้คอแข็งอย่างคุณอัศนัยสักหน่อย”


"ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเป็นเพื่อนกันสิครับ"


บุ๊งยกแก้วไวน์ของตนเองขึ้นชนกับแก้วในมือของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจนเกิดเสียงดังกังวาน จากนั้นจึงดึงกลับก่อนจะแตะริมฝีปากบางลงกับขอบแก้วละเลียดชิมเหล้าองุ่นสีสวย ในขณะที่ดวงตาคู่งามแสนเย้ายวนยังคงสบประสานอีกฝ่ายไม่ลดละ

 
"รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำให้ผมคลั่ง" อัศนัยวางแก้วก้านยาวลงก่อนจะทาบมือหนาลงบนมือเรียวของร่างอรชรตรงหน้า ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ ก็เป็นอันรู้กันว่าเขาปราศนาสิ่งใด


ชายหนุ่มลุกขึ้นจูงมือหญิงสาวเดินออกจากภัตตาคารมุ่งหน้าไปยังปีกด้านขวาของโรงแรม หวังจะไปให้ถึงห้องสูทที่เตรียมเอาไว้เพื่อปลดปล่อยความพลุ่งพล่านในร่างกาย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องมือใหญ่ก็ดันร่างงดงามตรึงเข้ากับผนัง จ้องลึกลงไปในดวงตาไหวระริกราวกับตาของลูกกวางน้อยที่กำลังจะจนมุมต่อเล่ห์เหลี่ยมนายพราน

 
บุ๊งมองหน้าหล่อที่เลื่อนใกล้เข้ามาไม่วางตา ในขณะที่มือยังคงกำหมัดแน่น พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ นั่นเพราะยังมีอีกหลายคำถามที่อยากจะได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากปากของเขา


ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างอดกลั้น และในที่สุดก็คลายออกก่อนจะขยับถาม "คุณอัศนัยทำแบบนี้ไม่กลัวคุณอัญชลิสาจะเสียใจเหรอคะ"


คำถามนั้นทำเอามือที่กำลังปลดเข็มขัดถึงกับชะงัก อัศนัยถอนใจเบา ๆ ยกมือขึ้นเชยคางคนช่างสงสัยก่อนจะกล่าว "ใครก็ตามที่คิดจะเป็นคนของผมเขาจะไม่มีสิทธิ์มาทำตัวมีอำนาจเหนือผม รวมถึงคุณด้วย"

 
"คุณอัศนัยขี้ตู่นี่นา ทำไมเอาบุ๊งไปรวมอยู่ในนั้นล่ะคะ"


"คุณเป็นของผมแล้วคุณก็คือคนของผม นอกเสียจากคุณจะไม่อยากเป็นผมจะปล่อยคุณไป"


"แล้วถ้าบุ๊งบอกว่าไม่อยากเป็นล่ะคะ คุณจะปล่อยบุ๊งไปตอนนี้เลยหรือเปล่า" ตาสวยจ้องเขม็งอย่างท้าทาย


เจ้าของร่างสูงโคลงศีรษะหัวเราะ "ผมปล่อยคุณแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้" พูดจบก็แสยะยิ้มเย็นเยือก


"แน้! ขี้โกงนี่นา" พูดพลางวางมือลงบนแผงอกกว้างก่อนจะลูบไล้ลากลงไปจนถึงหน้าท้องจนอีกฝ่ายต้องกัดฟันแน่น แต่แทนที่จะไปให้ถึงจุดที่กำลังพร้อมรับการสัมผัส สาวสวยกลับดึงมือกลับเอาดื้อ ๆ

 
"ผมจะทนไม่ไหวนะ" อัศนัยกล่าวด้วยเสียงกระเส่าก่อนจะจัดการเอื้อมปลดเข็มขัดอีกครั้ง กำลังจะรูดซิปเพื่อปลดปล่อยเนื้อตัวที่กำลังปวดหน่วงให้เป็นอิสระ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็แผดเสียงให้อามรมณ์สะดุด ปากหยักสบถเบา ๆ ขณะล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่าคนที่โทรมาคือลุงพันซึ่งเป็นคนขับรถนั่นเอง


ดวงตาที่คุกรุ่นด้วยไฟปรารถนาจ้องอุปกรณ์สื่อสารในมืออย่างชั่งใจ ในที่สุดก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อแขนขาวเกี่ยวคล้องลำคอ อัศนัยเงยหน้าขึ้นจ้องมองริมฝีปากเย้ายวนที่กำลังเลื่อนเข้าใก้กระทั่งหยุดกระซิบข้างหู


"รับสิคะ บางทีเขาอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้นะคะ เรื่องของเรา...เมื่อไรก็ได้ตามที่คุณอัศนัยต้องการ"


คนฟังปวดหนึบใจแทบขาดจำต้องละสายตาจากหน้าสวยอย่างเสียมิได้ นิ้วหนากดรับสายจากนั้นจึงเดินเลี่ยงมาอีกทาง สีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายกับเสียงสนทนาที่ได้ยินแว่ว ๆ ทำให้บุ๊งคาดเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่บ้านนาฏยกาล


เมื่อวางสายเรียบร้อยอัศนัยก็เดินงุ่นง่านเข้ามาหาสาวสวยที่กำลังยืนรอเขาอยู่


"ขอโทษนะ ผมต้องไปแล้ว" ชายหนุ่มกล่าวเสียงห้วน


"ไป?...ไปไหนคะ" ถามพลางเกาะแขนแกร่งแน่น


"คนที่บ้านโทรมาบอกว่าคุณพ่อไม่สบาย ผมต้องกลับไปดู" พูดจบก็จัดการใส่เข็มขัดให้เข้าที่ "คืนนี้คุณจะนอนที่นี่ก็ได้นะ แล้วเอาไว้ผมจะหาโอกาสดี ๆ ชดเชยให้คุณก็แล้วกัน" อัศนัยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ดึงมือนิ่มออกก่อนจะเปิดประตูเดินจากไป ปล่อยให้บุ๊งมองตามพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก


"ดีนะที่แกเป็นคนรักพ่อ ไม่งั้นฉันได้เตะของแกหักคาเท้า พ่นด้วยสเปรย์พริกไทยแล้วช็อตด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าให้สูญพันธุ์แน่"


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2015 17:45:53 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)



คันธชาติในคราบของบุ๊งเดินออกจากห้องตรงไปกดลิฟต์เพื่อลงไปยังด้านล่างซึ่งธันวากำลังรอเขาอยู่ หน้าสวยเงยขึ้นมองตัวเลขดิจิทัล ในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดมือหนาของใครคนหนึ่งก็กระชากให้บานโลหะเปิดออกอีกครั้งก่อนจะแทรกตัวเข้ามายืนข้าง ๆ


ตาคู่สวยเลื่อนลงมามองคนแปลกหน้าผ่านเงาสะท้อนบนระนาบโลหะแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น บรรยากาศในกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ เงียบเสียจนได้ยินว่าอีกคนหนึ่งทำอะไร เมื่อคันธชาติลอบมองด้วยหางตาก็เห็นว่าชายคนนั้นล้วงมือลงไปบริเวณเอวซึ่งอยู่ใต้เสื้อนอกบ่อยครั้ง มันน่าแปลกที่เมื่อเขาดึงมือออกก็ไม่เห็นจะมีอะไร โทรศัพท์มือถือก็เหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ ส่วนกระเป๋าสตางค์ก็น่าะอยู่ในกระเป๋ากางเกง


ลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเมื่อถึงชั้นตรงกลางของตัวอาคารสูง นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามาก่อนจะเปิดฉากคุยกันด้วยสำเนียงไม่คุ้นหู แม้จะถูกขั้นด้วยกลุ่มคน แต่คันธชาติก็สังเกตได้ว่าชายร่างใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งของลิฟต์ยังคงมองมาที่เขาเป็นระยะ กระทั่งลิฟต์เปิดออกที่ชั้นล่างสุด ทุกคนก็พากันเดินออก ชายคนนั้นยังคงเดินตามมาไม่ห่าง


ร่างสูงในชุดสวยเร่งฝีเท้าออกสู่ห้องโถงกว้างพลางมองหาคนที่นัดกันเอาไว้แต่ก็ไม่พบ ตัดสินใจเดินออกไปด้านนอกโรงแรมและตรงไปยังลานจอดรถที่คิดว่าธันวาน่าจะกำลังรออยู่ แต่เมื่อไปถึงก็ต้องผิดหวัง แลนด์โรเวอร์สีขาวยังคงปราศจากเงาของเจ้าของ  และเมื่อคันธชาติมองไปยังเงาสะท้อนกระจกรถที่จอดอยู่ก็พบว่าชายแปลกหน้ายังคงเดินตามมาติด ๆ  ยิ่งเร่งฝีเท้าก็ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนที่ฟังดูรีบร้อนไม่ต่างกัน


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มคับขัน จึงตัดสินใจมุดหลบระหว่างรถคันใหญ่ที่จอดข้างกัน แต่สัมผัสอุ่น ๆ จากมือหนาแตะลงที่หัวไหล่กลมกลึงกลับทำให้ต้องสะดุ้งโหยง


"ทำไมมายืนตรงนี้" เสียงที่คุ้นเคยทำให้ความกังวลภายในใจบรรเทาลง เจ้าของหน้าสวยหันกลับมาสบตาคนพูดก่อนจะรั้งอีกฝ่ายให้ก้มลง

 
"คุณเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังรถคันนั้นไหม เขาตามผมมา" เสียงกระซิบชิดริมหูทำให้ธันวาต้องยืดคอมองหาที่มาแห่งอาการตื่นตระหนกของอีกฝ่าย ในที่สุดก็พบชายคนดังกล่าวกำลังยืนเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกำลังหาบางสิ่ง


"ผมเห็นแล้ว เห็นตั้งแต่อยู่ข้างใน ถึงจะไว้หนวดเครารุงรังผมก็จำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับคนที่ตามดูคุณกับคุณอัศนัยเมื่อคราวก่อน"


"ที่แท้ก็มันนี่เอง ถ้าอย่างนั้นผมจะออกไปคุยกับมัน" พูดจบก็พุ่งพรวดออกไปโดยไม่ฟังคำห้ามปรามใด ๆ ขายาวก้าวไปยืนที่กลางลานจอดก่อนจะเอ่ยขึ้น


"คุณเป็นใคร ตามฉันมาต้องการอะไร"


ร่างสูงใหญ่เจ้าของหนวดเครายาวเฟิ้มหันมามองก่อนจะยิ้มเยือกเย็น "ออกมาก็ดีแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาตามหา" พูดจบก็ย่างสามเข้าหา ในขณะที่สาวสวยเองก็ถอยหนีอย่างไม่ลดละ


"ก...แกต้องการอะไร"


คนถูกถามหัวเราะหึก่อนจะตอบ "ก็จะทำให้เธอเลิกยุ่งกับคุณอัศนัยอีกตลอดกาลน่ะสิ"


"ท...ทำไม ทำไมฉันถึงจะยิ่งกับคุณอัศนัยไม่ได้"


ไม่มีเสียงตอบแต่กลับล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อนอกแทน ธันวาเห็นท่าไม่ดีจึงออกจากที่ซ่อนซึ่งอยู่ห่างจากทั้งคู่ไม่ไกลนัก


"แกเป็นใคร" คนตัวโตกระชากเสียงในขณะที่คันธชาติเองก็ตกตะลึงในการกระทำของอาจารย์หนุ่มอยู่ไม่น้อย และก็ต้องตกใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อชายแปลกหน้าดึงทอรัสปืนลูกโม่เล็กราคาหลักหมื่นออกมาจากใต้เสื้อนอกก่อนจะเล็งไปที่ธันวา


เมื่อเห็นดังนั้นคันธชาติก็ตัดสินใจกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปหาร่างสูงที่ยังคงเอาแต่ยืนนิ่งจ้องตาคนที่หมายเอาชีวิต อยากจะถามว่าเขาคิดบ้าอะไรอยู่ จู่ ๆ ก็เอาตัวออกมาล่อกระสุนเสียอย่างนั้น


"ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย"


คนถูกถามไม่ตอบได้แต่รั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ก่อนจะเบี่ยงตัวบังวิถีกระสุนที่จะหลุดออกจากปลายกระบอกปืนเมื่อไรก็ไม่รู้


"ไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรหรอก" ริมฝีปากได้รูปกระซิบแผ่วเบาจนคนในอ้อมแขนต้องเงยหน้าขึ้นมองดวงตาที่ยังคงจ้องไปข้างหน้า


'บ้าไปแล้ว คุณมันบ้าไปแล้ว'


"อยากตายกันมากใช่ไหม ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้" พูดจบก็เหยียดยิ้มในขณะที่นิ้วหนาเตรียมง้างขึ้นนก รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายไร้ซึ่งอาการหวาดกลัว พลันหูก็ได้ยินเสียงสไลลด์ขึ้นลำปืน แน่ใจว่าไม่ใช่จากปืนที่ตนเองกำลังถือแน่ และเมื่อมองด้วยหางตาก็พบว่าต้นเสียงมาจากปืนในมือของร่างบึกบึนซึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหนึ่ง


"นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ วางปืนลงแล้วยกมือขึ้นไม่อย่างนั้นแกนั่นแหละที่จะไส้แตกอยู่ตรงนี้" เสียงนั้นดังกังวานน่าเกรงขามเหมือนฉากไล่ล่าที่เห็นในละครไม่มีผิด ต่างกันก็ตรงสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้คือเรื่องจริงไม่ใช่การแสดง


ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ย่อลงวางปืนกับพื้นก่อนจะยกมือขึ้นตามคำสั่ง จากนั้นตำรวจนอกเครื่องแบบ 3-4 คนก็กรูกันเข้าไปรวบตัวคล้องกุญแจมือแล้วเก็บปืนซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ


"ปล่อยได้แล้ว" คนถูกกอดเอ่ยขึ้นก่อนจะขยับตัวให้หลุดจากอ้อมแขนอุ่นที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดเหตุการณ์เสี่ยงตายที่สุดในชีวิตของคันธชาติก็สิ้นสุดลง ได้แต่หวังว่านี่จะเป็นเหตุการณ์แรกและเหตุการณ์สุดท้าย


ชายหนุ่มถอนใจโล่งออกมองร่างใหญ่ที่กำลังถูกพาตัวไปยังรถติดฟิล์มทึบซึ่งจอดห่างไปไม่ไกล แววตาของเขาไม่ได้แสดงความหวาดกลัวหรือเคียดแค้นเลยสักนิด หากแต่นิ่งสงบเสียจนคนมองอดคิดไม่ได้ว่าหรือชายผู้นี้จะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า สุดท้ายเรื่องราวอาจต้องจบลงเช่นนี้


ผัวะ!!!


มือที่ตบเน้น ๆ ลงบนหัวทุยเรียกสติของคนที่กำลังยืนคิดอะไรเพลิน ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง คันธชาติทำหน้าเบ้ยกมือขึ้นลูบศีรษะป้อย ๆ ร้องโวยวาย "ตำรวจทำร้ายประชาชนนี่หว่า เจ็บนะโว้ย! "


"คงเจ็บไม่เท่ากระสุนที่มันจะเจาะทะลุหัวแกหรอก" นายตำรวจหนุ่มกล่าวอย่างหงุดหงิด จัดการปลดแม็กกาซีน กระชากสไลด์เพื่อเอาลูกกระสุนออก ตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่กระสุนค้างอยู่จึงประกอบเข้าที่ดังเดิม


"อย่าบ่นเลยน่า นี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"


"แล้วถ้าเป็นอะไรจะทำยังไงวะ ดีนะที่ดอกเตอร์จำได้ว่ามันคือคนที่ตามแกกับนายอัศนัยตั้งแต่เมื่อคราวก่อนถึงได้โทรบอกฉัน ท่าทางมันจะรู้ตัวแล้วด้วยว่ามีคนสะกดรอยตาม เพราะลูกน้องที่ฉันสั่งให้เฝ้าจับตาดูแจ้งว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มันแทบไม่ได้ออกไปพบปะใครเลย"


"แกเทศน์จบหรือยังวะ" คันธชาติแสร้งทำหูทวนลม


"โหยยยย! ไอ้บุ้ง! แกนี่มันน่าปล่อยให้โดนเป่าหัวจริงๆ"


คนฟังหัวเราะ "ไม่มีทางหรอก ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ เพราะแค่จับปืนเขาก็มือสั่นแล้ว เป็นมือปืนที่ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย"


"แกหมายความว่ายังไง"


"ถ้าเขาคิดจะทำให้ฉันตาย เขาคงทำไปตั้งแต่คราวก่อนที่ทั้งโอกาสและสถานที่เป็นใจมากกว่านี้ แค่ถอยรถกลับมาเหยียบซ้ำฉันก็คงตายแล้ว แต่นี่สิ่งที่เขาทำมันเหมือนเป็นแค่การขู่"


"เอาละ เดี๋ยวก็รู้ว่าข้อสันนิษฐานของแกจะเป็นจริงหรือเปล่า ฉันจะกลับไปสอบสวนมัน ส่วนแกกลับที่คอนโดรอฟังข่าว แล้วก็อย่าคิดทำอะไรบ้า ๆ ให้ด็อกเตอร์หรือฉันต้องปวดหัวอีก" พูดจบเก่งกาจก็หันไปกำชับธันวาอีกครั้งก่อนเดินไปขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่


....


 
ธันวาพาคันธชาติกลับมาที่คอนโด โดยที่ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบมาตลอดทาง กำลังจะแยกกันที่หน้าห้อง ก็เป็นคันธชาติที่อดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากต่อว่า


"ตอนที่อยู่ที่โรงแรมคุณทำบ้าอะไรของคุณ รู้ไหมว่าทำแบบนั้นมันอันตราย จู่ ๆ ก็เสนอตัวออกมาล่อเป้า คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกละครหรือไง"


ธันวาหันมาสบตาคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบไม่ต่างกับสีหน้าในขณะนี้


"ผมก็แค่เป็นห่วง กลัวว่ามันจะทำอะไรคุณ"


คนฟังถอนใจเฮือก จำต้องกลืนถ้อยคำเหน็บแนมอีกมากมายลงคอ "แล้วมันคุ้มกันไหม ถ้าคุณตายแล้วผมยังอยู่น่ะ"


“เป็นห่วงผมเหรอ”  ธันวาเลือกจะตอบมันด้วยคำถาม ตาคมทอดมองดวงหน้าสวยที่ยังคงยืนนิ่ง ไม่มีคำตอบจากริมฝีปากบางเช่นกัน "สำหรับผม ผมว่ามันคุ้มนะ ถ้าหากได้รู้ว่าคุณเองก็เป็นห่วงผม ผมไม่ได้ต้องการให้คุณรู้สึกกับผมมากกว่าหรือเท่ากับกิ่งดาว แต่ผมจะทำให้คุณเห็นว่าผมจะรู้สึกกับคุณให้มากกว่านั้น"


"ช่วยพูดอะไรให้มันเข้าใจง่าย ๆ หน่อยได้ไหม" คันธชาติทำหน้านิ่วพร้อมกับยกมือขึ้นเกาหัว "หรือว่าผมจะเมา เออ ๆๆๆ ช่างมันเถอะ เลิกทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลกได้แล้ว เอาเป็นว่าขอบคุณก็แล้วกันสำหรับวันนี้" กำลังจะแตะคีย์การ์ดเปิดประตูก็ถูกรั้งไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ


"เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นกาแฟร้อนสักแก้วได้ไหม"


คันธชาติพยักหน้าเปิดประตูเดินนำเข้าไปในห้อง เชินแขกให้นั่งก่อนจะจัดการต้มน้ำร้อนชงกาแฟให้ตามคำขอ จากนั้นก็หายไปพักใหญ่และกลับออกอีกครั้งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสำหรับใส่นอน ชะเง้อมองแก้วกาแฟที่พร่องไปเล็กน้อย แต่ไม่เห็นคนที่ร้องจะดื่ม เมื่อเดินอ้อมมาอีกทางก็เห็นว่าธันวาลงไปนอนเหยียดยาวหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟาเสียแล้ว


เจ้าของห้องโคลงศีรษะน้อย ๆ หันกลับเข้าไปในห้องนอนหยิบหมอนกับผ้าห่ม จากนั้นจึงเดินกลับออกมาอีกครั้ง ขายาวก้าวอย่างเงียบเชียบที่สุดกระทั่งไปหยุดที่โซฟา ตาทอดมองดวงหน้าหล่อเหลาก่อนก้มลงรั้งผ้าห่มให้ และด้วยความที่ไม่ได้ระวังตัวจึงถูกคนแกล้งหลับดึงเข้าไปกอดให้ความอบอุ่นแทนผ้าห่มผืนหนา


“เมื่อไรจะยอมรับสักทีว่าจริง ๆ คุณก็เป็นห่วงผม” เสียงทุ้มรอดผ่านริมฝีปากทั้งที่ยังหลับตาพลางกระชับวงแขนแน่นขึ้น

 
คันธชาติมุ่นคิ้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ พยายามยามจะดิ้นให้พ้นจากพันธนาการ แต่ยิ่งพยายามผลักออกแขนแกร่งก็รัดแน่นจนในที่สุดก็จำต้องยอมอยู่นิ่ง ๆ แนบแก้มลงบนอกฟังเสียงหัวใจของคนใต้ร่างที่กำลังเต้นเร็วและรัวไม่ต่างกัน


แขนแกร่งคลายออกก่อนที่มือหนึ่งจะเลื่อนขึ้นสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่ม สูดลมหายใจที่เจือกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเนื้อตัวของของอีกฝ่ายก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง

   
“ไม่ใช่หมานะลูบหัวอยู่ได้ ปล่อยได้แล้ว อึดอัด” เสียงอู้อี้ทำเอาอีกคนหัวเราะจนแผงอกกระเพื่อม

 
“นี่คุณนอนทับลงมาบนตัวผมยังจะบ่นอึดอัดอีกเหรอ” พูดจบก็จับร่างบางกว่าพลิกนอนหงายสลับตำแหน่งกัน ดวงตาคมจ้องใบหน้าชวนมองพลางสอดเรียวนิ้วทั้งห้าลงกับผมเส้นเล็กลื่นมือ “ถ้าไม่ปล่อยจะช็อตผมด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้า ฉีดสเปรย์พริกไทย หรือต่อยจนผมร่วงลงไปนอนกองกับพื้นหรือเปล่า”


“จะเตะไม่เลี้ยงเลยต่างหาก ปล่อยแล้วก็กลับห้องคุณไปได้แล้ว”


คนถูกไล่คลี่ยิ้ม ไม่มีทีท่าเกรงกลัวต่อคำขู่เลยสักนิด แถมยังเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ราวกับแมลงที่กำลังบินตามกลิ่นหวานจากเกสรดอกไม้เสียอีก


“อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะได้จูบผมเป็นครั้งที่สอง” คันธชาติจ้องเขม็งยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ไม่รู้ตัวเองเลยว่าท่าทางแบบนั้นยิ่งเป็นการเรียกสายตาเอ็นดูจากคนอายุมากกว่า


ธันวาหัวเราะในลำคอก่อนจะรั้งมือเรียวออก จ้องมองกลีบปากสีระเรื่อก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสบตาคนเอาแต่ใจตัวเอง “ผมบอกแล้วไงว่าผมจะทำทุกวันให้เหมือนกับวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายละก็ จูบของผมคงเป็นจูบครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่พันแล้วละมั้ง”


‘มันข้ามครั้งที่สองไปไกลเลยนี่หว่า’


“คุณนี่มัน...” คันธชาติขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ฟันขาวกดลงบนริมฝีปากจนห้อแดงไม่รู้จะทำยังไงกับมนุษย์ผู้ที่ทำให้ใคร ๆ พากันคิดว่าตนเป็นคนเรียบร้อยไม่มีปากไม่มีเสียงแท้จริงแล้วมันเรื่องโกหกทั้งเพ ชายหนุ่มถอนใจเฮือกพร้อมกับเอียงคอเบนสายตาไปทางอื่น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายมองเห็นเนื้อแก้มที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพูจาง ๆ ได้อย่างชัดเจน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นิ้วหนาแตะลงบนเนื้อปากพลอยทำให้คมฟันค่อย ๆ คลายออก เสียงกระซิบที่ข้างหูชวนให้ร้อนวาบไปทั้งร่าง


“ผมช่วยกัดให้เอาไหม”


คนฟังเบิกตากว้างหันขวับมาจ้องหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีอะไรนักหนา แต่ดูตัวเขาสิ ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับขี้ผึ้งที่กำลังอ่อนยวบเพียงเพราะแสงอาทิตย์อุ่น ๆ

 
“อ...ออกไปได้แล้ว” คำสั่งสั้น ๆ นั้นก็ช่างไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย มันหนักแน่นไม่พอที่จะให้อีกคนยอมทำตามได้ ซ้ำหน้าหล่อยังคงยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สาให้เจ็บจี๊ดในใจเล่นเสียอีก


“ปากคุณไล่ แต่ร่างกายของคุณมันไม่ได้บอกให้ผมไปไหนเลยนะ”


ความรู้สึกร้อนวูบวาบแผ่นซ่านไปทั่วเรือนกายอีกครั้ง คำพูดนั้นทำให้หัวใจแทบหลอมละลาย แต่กลับมีบางอย่างบนร่างกายที่ไม่ได้แปรไปตามกัน เสียงหัวเราะยั่วทำให้คนฟังต้องรีบดีดตัวผึงลุกขึ้นนั่ง รั้งผ้าห่มปิดบังอำพรางหลักฐานสำคัญเอาไว้

 
“ออกไปได้แล้ว ไป!” เจ้าของห้องขึ้นเสียงพลางปาหมอนใส่คนที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจ


“แต่ว่า...คุณกำลังต้องการความช่วยเหลือนะ”


“ช่วยเหลือบ้าอะไรเล่า ออกไปได้แล้ว” คันธชาติคว้าผ้าห่มลุกขึ้นก่อนจะรั้งแขนอีกฝ่ายให้ลุกตาม “ผมบอกให้คุณออกไปไง” หน้าขึ้นสีจนไม่อาจแยกได้ว่ากำลังโกรธหรือเขินกันแน่


“ไม่ให้ผมช่วยจริง ๆ น่ะเหรอ” คนพูดน้อยเดินตามแรงรุนหลังไม่วายหันมาถามให้เจ็บ ๆ คัน ๆ


“ไม่ต้อง! คุณกลับห้องไปได้แล้ว!” พูดพร้อมกับดึงประตูเปิดออก ผลักร่างสูงไปด้านนอก จากนั้นก็รีบปิดประตูลงทันที “ไอ้บ้าเอ๊ย” ชายหนุ่มก้มลงมองร่างกายไม่รักดี ก่อนจะเดินงุ่นง่านเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยให้สายน้ำช่วยบรรเทาความร้อนอบอ้าวที่กำลังอัดแน่นอยู่ในตัว


ในขณะที่ธันวา...


ธันวาเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง เลื่อนประตูกระจกออกไปสูดอากาศที่ระเบียง สายลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมของดอกปีบมาทักทายปลายจมูก แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้เขาลืมความหอมจากร่างของคนที่เคยแนบชิดได้แม้แต่วินาทีเดียว ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงท่าทางชวนขบขันของอีกคนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง คงต้องขอบคุณนายตำรวจหนุ่มเจ้าแผนการอีกครั้งที่ช่วยแนะนำวิธีการที่จะรวบตัวคนร้ายขโมยหัวใจให้อยู่หมัดชนิดที่ต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย...ไม่สิ...มันต้องเป็นจับให้มั่นคั้นให้รักแบบที่อารตีว่าถึงจะถูก


....


สวัสดีค่ะ ใกล้แล้ว ๆ ใกล้ถึงตอนจบแล้ว
ถึงตอนนี้หลาย ๆ คนน่าจะพอเดากันได้แล้วนะคะ
ขอบคุณมาก ๆ เลยสำหรับคอมเมนต์และการคาดเดาต่าง ๆ ค่ะ สนุกมาก ๆ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2015 17:29:25 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ mirin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ด็อกเตอร์แอบเจ้าเล่ห์เบาๆนะเนี่ย บุ้งก็ใจอ่อนยอมๆไปเหอะน๊า :z1:

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนนี้ชอบตอนที่ ดร.ธัน มาเคาะกระจกคุยกับบุ้งที่ร้าน เป็นโมเม้นที่น่ารักดีค่ะ

ตอนแรกนึกว่า ดร.ธัน จะแอบร้าย แต่ที่ไหนได้ ผู้กองกาจตะหากที่ร้ายกว่า 5555
ถือว่าคุณผู้กองเป็นตำรวจที่ช่วยเหลือประชาชนอย่าง ดร.ธัน มากๆ เลยค่ะ


ชอบตอนที่ ปริศนาค่อยๆ คลี่คลายออก ลุ้นมากๆๆ
เหมือนจะเห็นเคล้าลางนิดๆ แล้ว และเดาว่าอัญก็คงรู้ แต่ไม่ได้พูดออกมาเพราะเหตุบางอย่าง

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ crystal_on

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-0
    • ไอ้หน้าหวานกับประธานสุดโหด
โอย...จะเป็นลม  :-[ :o8:

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
คุณดอกเตอร์เจ้าขาาาา จะหล่อไปไหนเนี่ย!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด