(ต่อค่ะ)
“หนอนบุ้ง...ตื่น ตื่นเร็ว...”
“ยังไม่อยากตื่นเลย อยากนอนตักกิ่งไปแบบนี้แหละ”
“ไม่ได้นะหนอนบุ้ง ตื่นสิ ตื่นเร็ว”
“ลืมตาสิบุ้ง”
“ลืมตาสักที”
“อย่าหลับนะ”
“ห้ามหลับเด็ดขาด”
“ตื่นเร็วหนอนบุ้ง”
ริมฝีปากแห้งผากพร่ำเรียกชื่อ “กิ่ง” กระทั่งร่างบอบช้ำสะดุ้งเฮือกเพราะเผลอสูดควันเข้าเต็มรัก สำลักจนต้องไอแรง ๆ เมื่อร่างกายพยายามขับสิ่งแปลกปลอมออกมา ดวงตาปรือตาขึ้นช้า ๆ แต่ก็แสบเสียน้ำหูน้ำตาไหล กระนั้นก็ยังเห็นว่าลังไม้ตรงหน้าเริ่มติดไฟแล้ว ที่ด้านนอกก็คงจะกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้วเพราะผิวกายรู้สึกถึงความร้อนจากเปลวไฟที่แผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
“ไฟมันลามเข้ามาแล้วนะด็อกเตอร์ คุณหาเจอหรือยัง เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เริ่มทยอยกันออกไปข้างนอกเพราะไม่สามารถควบคุมเพลิงได้แล้วนะ” คนที่กระโดดพรวดขึ้นมาบนเวทีเอ่ยขึ้น
“ลุงพันบอกว่ามีทางที่เปิดลงไปด้านล่างได้ แต่ผมยังหาไม่เจอเลย” ร่างสูงในชุดผจญเพลิงตะโกนบอกอีกคนที่ยืนห่างออกไป
“แล้วตรงไหนล่ะ ด้านล่างนี่ผมก็หาจนทั่วแล้วนะ” เก่งกาจกล่าวอย่างหงุดหงิดขณะเดินไปรอบ ๆ เวที เงยหน้ามองเปลวไฟที่กำลังลามติดผ้าม่านผืนใหญ่ที่ห้อยลงจากโครงเหล็กด้านบน ชั่วพริบตามันก็หลุดล่วงลงมาจนหลบแทบไม่ทัน
“ผู้กองดูนี่ ที่พื้นมีรอยลาก ผมว่ามันอาจจะอยู่ใต้ตู้นี่ก็ได้”
สองหนุ่มสบตากันเหมือนจะรู้ใจก่อนจะออกแรงดันตู้หลังใหญ่ออก ในที่สุดพวกเขาก็พบช่อทางที่กำลังตามหา
เสียงเอะอะที่ดังแว่วมาไกล ๆ เรียกให้คนที่กำลังไอหนักเพราะสำลักควันไฟต้องเงี่ยหูคอยฟัง ชายหนุ่มพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดตัวลุกขึ้นแต่เชือกเส้นใหญ่ที่ตรึงร่างเอาไว้ก็ทำให้กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ ยิ่งหายใจเอาควันเข้าไปมากเท่าไรก็ให้ทรมานยิ่งนัก ทรมาณเสียจนในห้วงความคิดนั้น จู่ ๆ ก็เผลอนึกถึงความตายที่จะช่วยปลดปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระขึ้นมา
“บุ้ง! คุณได้ยินผมไหม”
คันธชาติส่ายหัวดิก ‘ได้ยินสิทำไมจะไม่ได้ยิน’ อยากจะตอบไปแบบนี้แต่กลับไม่มีแรงขยับปาก
“คุณอยู่ที่ไหนบุ้ง!”
นี่จะเป็นลมหายใจสุดท้ายแล้วกระมัง คนที่มกล้จะหมดลมหายใจคิด ถึงไม่ได้เห็นหน้าก็นับว่าโชคดีที่ได้ฟังเสียงกันเป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดคันธชาติก็ปิดเปลือกตาลงเมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจสู้ฤทธิ์ของอัคคีได้อีกต่อไป..
“บุ้ง...”
‘ใครน่ะ กิ่งเหรอ กิ่งมารับบุ้งแล้วใช่ไหม’
“บุ้ง คุณได้ยินผมไหม ลืมตาขึ้นมามองผมสิ”
‘ม...ไม่ใช่ ไม่ใช่กิ่ง’
พลันความรู้สึกปวดระบมก็แล่นไปทั่วร่างอยากจะทำตามที่เสียงนั้นบอกหนังตาก็ช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน รอบกายเย็นเฉียบแต่กลับรู้สึกอุ่นที่มืออย่างบอกไม่ถูก เจ้าของชื่อฝืนปรือตาขึ้นสู้แสงสีขาวจากหลอดไฟนีออนบนเพดานห้อง ไม่สิ! มันไม่ใช่เพดานห้องแต่เป็นภายใต้หลังคารถพยาบาลต่างหาก ถ้าไม่นับแสงไฟแล้วสิ่งที่ได้เห็นต่อมามันช่างดูสว่างไสวกว่าเสียอีก นั่นก็คือรอยยิ้มของคนที่กำลังกุมมือของตนเองอยู่ในขณะนี้
“ช...ช่วย ช่วย ข...เขาได้ไหม ช่วยคุณอัศนัยได้ไหม”
ธันวามองกลีบบางที่กำลังขยับขึ้นลงอยู่ภายใต้หน้ากากออกซิเจน คำพูดของคนเจ็บหนักทำเอาอยากจะจับมาสอนเสียให้เข็ด แต่รอยฟกช้ำและบาดแผลตามตัวนั้นกลับทำให้หัวใจอ่อนยวบ
“ช...ช่วยเขาได้หรือเปล่า”
“เขาปลอดภัยแล้ว เหลือแต่คุณนั่นแหละ จนป่านนี้ทำไมยังมัวแต่ห่วงคนอื่นนะ” ร่างสูงกล่าวน้ำตานองหน้า “ทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้าง หรือห่วงความรู้สึกของผมสักนิดก็ยังดี” ท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน
แต่ก็ยังได้ยินอยู่ดี....
คันธชาติมองหน้ามอมแมมของคนพูด อยากจะหัวเราะแต่ร่างกายที่ระบมเพราะบาดแผลกลับไม่เอื้ออำนวย ทำได้ดีที่สุดก็แค่ยกริมฝีปากช้ำเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะรวบรวมแรงอันน้อยนิดบีบมือของอีกฝ่ายเบา ๆ “ร้องไห้ทำไม ผมยังไม่ตายสักหน่อย”
...
ดวงตาคมมองผ่านม่านน้ำฝนไปยังรถสปอร์ตซีดานที่เพิ่งแล่นมาจอดเทียบบาทวิถี ครู่หนึ่งนายตำรวบร่างสู่ก็เปิดประตูลงจากรถก่อนวิ่งผลักประตูเข้ามาในร้าน มือใหญ่ยกขึ้นปัดละอองน้ำฝนที่เกาะอยู่ยนเส้นผมออก จากนั้นก็เดินมานั่งลงตรงหน้าตามเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ไม่ขาดไม่เกิน
“มีอะไรหรือเปล่าถึงนัดมมาที่นี่” พูดพลางหันไปสั่งกาแฟร้อนกับหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่หลังเคาเตอร์อย่างคนคุ้นเคย
“คุณเจอบุ้งบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่เขาออกจากโรงพยาบาลนี่ก็จะเข้าเดือนที่สี่แล้วนะ ผมยังไม่ได้คุยกับเขาเลย โทรไปก็ปิดเครื่อง”
คนฟังอมยิ้มก่อนจะถามกลับ “มันไม่ได้บอกคุณเหรอว่ามันไปไหน”
ธันวาได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ จะรู้ได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายไม่เคยบอกอะไรเลยสักอย่าง
“คงอายละมั้ง”
“อาย? อายเรื่องอะไรกันครับ” คนพูดน้อยขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ไอ้บุ้งมันถูกลุงทินกฤตส่งไปสำนึกผิด ช่วยลุงมันทำไร่กาแฟที่หลวงพระบางโน่น”
“แล้วจะกลับเมื่อไร คุณรู้ไหม”
“อืม...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณอาจจะได้พบมันที่งานเลี้ยงฉลองรายได้ของละครเวทีเรื่องล่าสุดของนาฏยกาลนะ เห็นอารตีเล่าว่าคุณอนันต์กับคุณอัศนัยไปขอร้องพ่อมันอยู่ เขาอยากให้มันมาร่วมงานให้ได้”
คนฟังถอนหายใจทันทีที่ได้ฟังชื่อนาฏยกาล อดนึกหวนไปถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ ถ้าหากในทะเลเพลิงวันนั้นหากันไม่พบก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ของตนเองจะเป็นเช่นไร เพิ่งเข้าใจทฤษฎีไม่ผูกพันก็ไม่มีวันสูญเสียของคันธชาติก็คราวนี้เอง
“แล้วเรื่องคุณอัศวินล่ะครับ ไปถึงไหนแล้ว”
“ตอนนี้คุณอัศวินถูกส่งไปเข้ารับการรักษาอาการทางจิตในโรงพยาบาล”
“น่าสงสารคุณอัญชลิสานะครับ”
เก่งกาจพยักหน้าเห็นด้วย “อืม อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการทำใจ ผมว่าก็ดีเหมือนกันที่เธอตัดสินใจไปต่างประเทศ เป็นผมเองผมก็คงทำแบบนี้ คนหนึ่งเป็นคนรักแต่กลับยกเธอให้คนอื่น ส่วนคนอื่นที่ว่าสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ผูกพันกัน เฮ้อ! ความรักมันช่างเล่นตลกเนอะด็อกเตอร์ คุณว่าไหม สู้อยู่โสด ๆ แบบผมสบายกว่าตั้งเยอะ” พูดแล้วก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘จะร่วมสมาคมด้วยกันไหม’ แต่คำตอบของอีกฝ่ายก็ยืนยันชัดเจนว่า ‘เชิญโสดไปคนเดียวเถอะ’
...
ในที่สุดวันที่ธันวารอคอยก็มาถึง งานเลี้ยงฉลองรายได้ของละครเวทีเรื่อง ‘หน้ากากดอกไม้’ จัดขึ้นที่โรงละครเก่าแก่ของนาฏยกาลที่เคยถูกปล่อยร้างมาหลายปี บรรดาผู้ที่มาร่วมงานมีทั้งนักธุรกิจ คนในวงการบันเทิงรวมถึงสื่อมวลชน ทุกคนต่างได้รับแจกหน้ากากเพื่อให้เข้ากับธีมงาน พิธีกรหนุ่มหล่อที่กำลังยืนอยู่บนเวทีในขณะนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ อัศนัย นาฏยะ ทายาทผู้สืบทอดธุรกิจของผู้เป็นพ่อนั่นเอง และเนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของอนันต์ ชายวัยใกล้เกษียณจึงถูกเชิญมาบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน ดวงตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปที่ร่างสูงของชายวัยกลางคนที่ก้าวขึ้นมายืนที่จุดกึ่งกลางด้วยไม้เท้าค้ำยัน พลันเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งห้องโถงขนาดใหญ่ ในขณะที่ดวงตานับร้อยคู่จ้องมองไปข้างหน้า แต่ดวงตาคู่หนึ่งกลับพยายามมองหาใครบางคนโดยไม่รู้เลยว่าคนตนเองที่กำลังอยากจะพบหน้าขณะนี้ยืนอยู่ที่หลังเวทีนั่นเอง
“บุ้งขอโทษนะที่โกหกทุกคน” คันธชาติกล่าวกับสามสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“นิกกี้ พี่แคทแล้วก็พี่จีจี้ไม่มีใครโกรธบุ่งบุ๊ง เอ๊ย! คุณบุ้งหรอกค่ะ เจ๊พุดดิ้งเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเราฟังแล้ว” เมื่อกะเทยร่างเล็กกล่าวจบอีกสองคนที่เหลือก็พากันพยักหน้าสนับสนุน
“ไม่โกรธจริง ๆ นะ”
“จริง ๆ” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะที่จะพากันโผเข้าหาชายหนุ่มร่างสูงแต่ก็ถูกเสียงกระแอมของพุฒิพงศ์ห้ามเอาไว้เสียก่อน
“แหมเจ๊! ชักเท้ากลับแทบไม่ทัน จะเก็บไว้กินเองเหรอคะ” แคทค้อนขวับ
“พวกแกนี่คิดอกุศล อย่างฉันน่ะต้องล่ำ ๆ อย่างผู้กองเก่งกาจย่ะ” พูดจบก็เกาะแขนเจ้าของชื่อที่กำลังมัวแต่คุยอยู่กับลูกสาวเจ้าของงาน เกาะแน่นยังกับปลิง
“พูดอะไรเกรงใจแฟนผมบ้างเจ๊” นายตำรวจหนุ่มกล่าวก่อนจะหันไปขยิบตาให้สาวน้อยในชุดราตรียาวที่ยืนยิ้มรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ
“อ้าว ทำไมไปเป็นแฟนกันน้องรตีได้ล่ะ ไหนบอกจะครองโสดไปยันลูกเจ๊บวชไงคะผู้กอง”
“แล้วเจ๊มีได้หรือเปล่าล่ะ”
พุฒิพงศ์ตีมือลงบนแขนล่ำเบา ๆ “ต๊าย! จริงอย่างโบราณเขาว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ไว้ใจไม่ได้”
อารตีปลีตัวออกจากวงสนทนาที่ทุกคนต่างก็กำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเดินไปหยิบหน้ากากที่เตรียมไว้ก่อนจะกลับมายืนตรงหน้าชายหนุ่มที่ช่วยให้เธอได้มีครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง
“สวมหน้ากากสิคะพี่บุ้งจะได้ออกไปข้างนอกกัน จวนได้เวลาที่พี่อันจะขึ้นแสดงบนเวทีแล้ว”
“ขอบคุณครับ” คันธชาติกล่าวก่อนจะรับหน้ากากที่ประดับด้วยดอกไม้ที่เขาชอบมาสวม กลิ่นหอมเย็นของมันนอกจากจะชวนให้คิดถึงเพื่อนคนหนึ่งแล้วยังทำให้นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมารวมถึงการได้เริ่มร็จักใครบางคน
เมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศชื่อการแสดงชุดถัดไป ชายหนุ่มก็ก้าวปะบนไปกับผู้คนจำนวนมากที่ต่างอำพรางใบหน้าของตนเองด้วยหน้ากากแสนสวย ไฟทุกดวงมืดลงพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังขึ้น จากนั้นสปอร์ตไลต์ก็สาดแสงกระทบร่างงามสง่าของสาวสวยที่ปรากฏขึ้นกลางเวที เรียกเสียงปรบมือให้ดังขึ้นอีกครั้ง
ธันวาจ้องมองร่างบางที่กำลังขยับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอ่อนช้อยงดงามไปตามจังหวะเพลง ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีใครสะกิดจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็พบสาวน้อยสวมหน้ากากกำลังส่งยิ้มมาให้
“มายืนหลบมุมอยู่นี่เองค่ะอาจารย์ รตีเดินหาตั้งนาน”
“เสียงดังน่ะ ยืนดูจากตรงนี้ดีกว่า”
“รตีลืมไปว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของรติเป็นคนรักความสงบ แต่ก็ยังอุตส่าห์มางานนี้ เอ๊! หรือว่ามีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่าคะ”
“แซวกันได้นะ” คนเป็นอาจารย์ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันกลับไปยังเวทีที่การแสดงเพิ่งจะจบลง
...
คันธชาติเดินหันหลังให้ความวุ่นวายออกไปที่ด้านนอก เงยหน้าขึ้นมองไปยังดาดฟ้าของอาคารสูงหกชั้นที่ตอนนี้กลับสว่างไสวนึกขอบใจเสียงเรียกของใครยบางคนในวันนั้น พลันเสียงฝีเท้าที่ดังจากด้านหลังก็เรียกให้ชายหนุ่มต้องดึงสายตาหันกลับไปมองร่างบางของสาวสวยในชุดระบำอาหรับที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า งามสง่าราวกับนางหงส์ ยากจะปฏิเสธว่าเธอช่างมีพลังดึงดูดชวนให้หลงใหลแม้ในความเป็นจริงแล้วเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้แต่กำเนิดก็ตาม
“ออกมาทำอะไรที่นี่ แล้วได้ดูอันแสดงหรือเปล่า”
“ดูสิ สวยมากด้วย หนุ่ม ๆ นี่จ้องกันตาเป็นมันเลย”
“แล้วบุ้งล่ะ มองตาเป็นมันกับเขาด้วยหรือเปล่า” รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำเอาคนถูกถามพลอยยิ้มตามไปด้วย
คันธชาติไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นถามในสิ่งที่ตนเองอยากจะรู้แทน “ตัดสินใจดีแล้วเหรอที่จะไปต่างประเทศน่ะ”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ไปเหรอ”
“ก็...อือ ไหน ๆ ก็ได้รู้จักเป็นเพื่อนกันแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวตามความจริง ยอมรับว่ายิ่งนับวันความยโสโอหังที่ใคร ๆ พากันใช้อธิบายตัวเธอนั้นมันไม่เป็นความจริงเลยสักนิด
เจ้าของริมฝีปากสีระเรื่อคลี่ยิ้มอีกครั้งก่อนจะขยับเข้าประชิดร่างสูง พลันสองแขนก็ยกขึ้นคล้องคออีกฝ่ายเอาไว้ “หลงรักอันแล้วละสิ”
“ใครจะกล้าหลงรัก คู่แข่งทั่วบ้านทั่วเมืองขนาดนี้” พูดพลางประคองเอวบางเอาไว้ “อย่าจ้องแบบนี้น่า มันเขิน”
อัญชลิสาหัวเราะร่วน ลดแขนลงรั้งหน้ากากจากมือของคนตัวสูงมาถือเอาไว้เสียเอง สาวสวยยังคงจ้องคนตรงหน้าไม่วางตาก่อนจะยกหน้ากากขึ้นสวมให้ “ถ้าเขินก็สวมไว้ เพราะเดี๋ยวจะมีคนทำให้เขินยิ่งกว่าอันอีก แล้วอย่าลืมมาส่งอันที่สนามบินด้วยล่ะ”
นางเอกละครคนสวยทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางในขณะที่คันธชาติดึงหน้ากากออกหันมองตามบังเอิญสายตาก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมา ร่างสูงในชุดทักสิโด้ที่สวมหน้ากากแบบเดียวกันกำลังเดินตรงเข้ามา การปรากฏตัวของเขาทำให้คันธชาตินึกถามตัวเองว่าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้มันจะใช่ความฝันหรือเปล่า และเมื่ออีกฝ่ายมาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมเย็นจากดอกไม้ประดับหน้ากากที่เขาสวมนั้นก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้มันคือเรื่องจริงไม่ได้ฝันไป
“คุณไปอยู่ไหนมา” แทนที่จะกล่าวคำทักทายกลับมีแต่คำถามเต็มไปหมด
“ทำไมไม่ติดต่อมาบ้าง”
“แล้วทำไมจะมาที่นี่ถึงไม่บอกผม”
คันธชาติมุ่นคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือดึงหน้ากากที่เขาสวมอยู่ออก “คุณเล่นถามเยอะแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบคำถามไหนก่อน”
ธันวาส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามนี้มาก่อน” ถือโอกาสรั้งเอวคนช่างพูดเข้ามาใกล้พร้อมกับถามคำถามที่ตนเองต้องการรู้คำตอบเดี๋ยวนี้
“รู้หรือเปล่าว่าผมคิดถึง”
เป็นอย่างที่อัญชลิสาพูดไว้ไม่มีผิดกระนั้นคันธชาติก็ยังทำเฉไฉเบนสายตาไปทางอื่น
“ว่ายังไงล่ะ หืม?”
“รู้”
“รู้แล้วทำไมไม่บอกให้ผมรู้บ้างว่าคุณอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”
“ก็...อยากลองดูว่าถ้าไม่ได้เจอกันนาน ๆ จะเป็นยังไง”
ธันวาเลิกคิ้วสงสัย “จะพิสูจน์อะไรผมอีก”
“พิสูจน์อะไรเล่า ผมไม่มีอะไรจะพิสูจน์ตัวคุณแล้ว ผมอยากพิสูจน์ตัวผมเองต่างหาก”
เมื่อได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้านิ่งขรึมอีกหน หน้าคมเลื่อนเข้าใกล้พลางกระซิบ “พิสูจน์แล้วเป็นยังบ้าง”
“ก็...” คนถูกถามเกาคอเก้อ ๆ “คิดถึงจนต้องมาหานี่ไง” พูดจบก็หันมาสบตากันตรง ๆ จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มมาให้ ยิ้มเสียจนแก้มแทบปริ
จะยิ้มอะไรนักหนา?
...
คันธชาติก้าวออกจากลิฟท์พลางมองไปรอบ ๆ รู้สึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดินที่ขนาบข้างด้วยห้องพัก หูได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนเดินตามมาไม่ห่าง เมื่อถึงยังหน้าห้องของกันและกันต่างคนก็ต่างหยุด และเป็นคันธชาติที่หยิบคีย์การ์ดออกมาแตะเพื่อเปิดประตูห้องของตนเอง กำลังจะบิดลูกบิดก็ต้องชะงักเมื่อจู่ร่างสูงพอ ๆ กันที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พาดคางทิ้งน้ำหนังลงมาบนบ่า แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้รู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัวได้เท่ากับคำพูดของเขาที่กระซิบลงข้างหู
“ผมอยากดื่มอะไรอุ่น ๆ”
“ถ...ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาก่อน”
“กลัวโดนช็อตด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าหรือวางยานอนหลับอีกน่ะสิ” คนฟังหัวเราะก่อนจะถอยออกพร้อมกับรั้งข้อมือคนที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ให้เดินตามกันไป
ธันวาเปิดประตูพาชายหนุ่มห้องตรงข้ามกันเข้าไปในห้อง ทันทีที่ประตูปิดลงเจ้าของห้องก็ขอกอดให้หายคิดถึง
“ปล่อยได้แล้ว อึดอัด” พูดพลางขยับตัวยุกยิกให้หลุดออกจากวงแขนแกร่ง
เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาก็จำต้องยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ แขนแกร่งคลายออกก่อนจะเลื่อนลงมาโอบเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ
“อยากดื่มอะไรเดี๋ยวผมทำให้”
คนถูกถามคลี่ยิ้มทอดตามองดวงหน้าที่ปรารถนาจะเห็นมาแสนนานก่อนจะตอบคำถามเมื่อครู่โดยการกดจุมพิตลงที่กลีบปากอุ่นอย่างแผ่วเบาแล้วผละออกสบตานิ่ง มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นประคองแก้มนุ่มอย่างทะนุถนอม จำได้ไม่ลืมว่าเหตุการณ์คราวนั้นได้สร้างรอยแผลเอาไว้ตรงไหนบ้าง
“มันก็แค่ข้ออ้างที่จะทำให้ผมได้อยู่กับคุณนานขึ้นก็เท่านั้นเอง”
คนฟังหัวเราะพร้อมกับดึงมือที่ข้างแก้มออก “เป็นเอามาก”
พูดจบก็เตรียมจะเปิดประตูออกจากห้อง แต่ก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เมื่อจู่ ๆ ธันวาก็ดึงร่างของเขาเข้าไปแนบอก มือหนาขยุ้มลงบนกลุ่มผมดันท้ายทอยรอรับรสจูบที่กำลังจะมอบให้ มันต่างจากครั้งแรกเป็นไหน ๆ เดี๋ยวอ่อนโยนเดี๋ยวดุดันแต่ก็หวานหอมและลึกซึ้งเสียจนหัวใจสั่นไหว เรี่ยวแรงกับลมหายใจที่ถูกขโมยไปจนเกือบหมดทำให้มือเรียวต้องรีบคว้าเกาะบ่ากว้างเอาไว้ เผลอเผยอริมฝีปากบางสีระเรื่อไม่ต่างกับกลีบของดอกไม้เปิดทางให้แมลงผู้ซื่อตรงเข้ามาฉกชิมรสหวานของเกสรอย่างย่ามใจ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับโซฟาเสียแล้ว ร่างสูงโถมทาบตามลงมา มือซนสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตตรึงเอวคอดในขณะที่ริมฝีปากหยักผละจากเนื้อปากนุ่มกดลงบนซอกคอขาวดูดดึงอย่างหยอกเย้าจนคนใต้ร่างหายใจหอบเป็นห้วง ๆ
“ธ...ธัน...” ตั้งใจจะให้ทำให้ทุกอย่างหยุด แต่เสียงเรียกชื่อนั้นกลับเหมือนแรงกระตุ้นให้อีกคนรุกหนัก มือข้างที่เหลือค่อย ๆ สะกิดกระดุมเสื้อให้หลุดออกเผยให้เห็นเนื้อตัวที่เจ้าของไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็น
“หยุ...หยุด หยุดก่อน” มือเรียวคว้าหมับเข้าที่มือซึ่งกำลังแตะวนลงบนยอดอกแข็งเป็นไตก่อนจะบิดตัวหนี กระนั้นหูก็ยังได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา
“ไล่ผมสิ ไล่ให้ผมไปแล้วผมจะหยุด แต่ถ้าคุณยังลังเลไม่ทำเสียตั้งแต่วินาทีนี้ ผมก็จะไม่ยอมไปไหนอีก คราวนี้ไม่ใช่จนกว่าจะเช้าแต่เป็นตลอดทั้งชีวิตของผม”
“แต่คุณยังรู้จักผมไม่ดีพอ”
ธันวาหัวเราะในลำคอก่อนจะจับปลายคางของคนใต้ร่างให้กลับมาสบตากันอีกครั้งพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้หัวใจคันธชาติเต้นระส่ำ “ผมก็กำลังจะทำความรู้จักคุณอยู่นี่ไง จะรู้จักให้ทุกซอกทุกมุมเลย”
คนฟังเบิกตากว้างไม่คิดว่าจะได้ฟังคำพุดคลุมเครือกรุ้มกริ่มเช่นนี้จากปากของคนที่ปกติจะวางท่าขรึม จะอ้าปากต่อว่าแต่ธันวาก็ไม่ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจรีบประกบปากลงช่วงชิมความหวานของริมฝีปากเย้ายวนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต่างจากครั้งไหน ๆ ตรงที่คันธชาติตอบรับรสสัมผัสนั้นทันควัน ปลายลิ้นเกี่ยวรัดกันอยู่ในโพรงปากขณะที่สองร่างลูบไล้ก่ายกอดเบียดกันอยู่บนพื้นที่แคบ ๆ
“อึดอัด...”
คำพูดนั้นแผ่วเบาแต่มีพลังพอจะทำให้อีกฝ่ายหยุด ธันวาถอนริมฝีปากออกกล่าวคำขอโทษพร้อมกับมองคนหน้านิ่วคิ้วขมวดที่กำลังเบือนหน้าหนี ได้ยินเสียงอู้อี้ออกจากปากสีระเรื่อ
“ที่โซฟามันอึดอัด”
“แล้วคุณอยากไปที่ไหน”
“ท...ที่เตียง”
คนอายุมากกว่าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะยันตัวขึ้นมองหน้าคนใต้ร่างให้ชัด ๆ พลางแทรกนิ้วทั้งห้าลงยังกลุ่มผมนุ่มมือ ปากหยักยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “ถ้าไปที่เตียง...ผมกลัวว่าคุณจะอึดอัดยิ่งกว่านี้น่ะสิ”
คันธชาติกัดปากแน่นจ้องหน้าคนอายุมากกว่าตาเขม็ง รู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร แต่มาถึงขนาดนี้แล้วจึงยอมให้ปากอยู่ใต้อำนาจของความต้องการภายในจิตใจ “พ...พาผมไปที่เตียงเดี๋ยวนี้”
‘เอาแต่ใจจริง ๆ’ ธันวานึกในใจ
“ทำไมนายน้อยพูดไม่เพราะเลยล่ะครับ ผมอายุมากกว่าคุณนะ” เจ้าของรอยยิ้มแสนอบอุ่นโน้มหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบ “เรียกพี่ธันก่อนแล้วจะพาไป” พูดจบก็เตะปลายนิ้วหัวแม่มือลงบนกลีบปากบางกระทั่งปากนั้นยอมคลายออก พลันเสียงหวานก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทอีกหน
“พ...พี่ธัน พา...พาบุ้งไปที่เตียงนะ...นะครับ”
เพียงเท่านั้นหัวใจคนฟังก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุจากอกเสื้อ ลุกขึ้นช้อนร่าง ‘นายน้อย’ ลอยขึ้นในอากาศก่อนจะตรงไปยังที่ที่เขาต้องการ...
จบ
สวัสดีค่ะ
ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วนะคะ เรื่องนี้อาจจะอ่านยากหน่อย ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนคนเขียนเองก็ปวดหัว
แต่ยังไงก็ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับการติดตาม ขอบคุณคอมเมนต์ และขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนความคิดกันค่ะ
ขอบคุณที่อดทนต่อแนวการเขียนแบบเราที่เนิบ ๆ ช้า ๆ คงต้องฝากไว้เป็นประเด็นในการพิจารณาเลือกอ่านเลือกซื้อกันต่อไปสำหรับหลาย ๆ ท่านที่อาจจะเพิ่งได้มารู้จักกันค่ะ
หลังจากเรื่องนี้คงหยุดเขียนนานหน่อย เพราะภารกิจเยอะแยะไปหมด
ขอบคุณที่ถามถึงเรื่องการรวมเล่มคุณบุรุษไปรณีย์ที่รักกันเข้ามานะคะ สารภาพตามตรงว่ายังไม่มีเวลาตรวจทานหรือเขียนตอนพิเศษเลยค่ะ (แต่มองของที่ระลึกแล้ว 555) ที่เร่งปั่นหน้ากากดอกไม้ให้จบเพราะเกรงว่าอีกหน่อยจะไม่มีเวลาเขียน ตอนนี้เขียนจบซะทีดีใจสุด ๆ ค่ะ
สุดท้ายก็ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาปีกว่า ๆ ที่ผ่านมานะคะ
บางคนอาจจะรู้จักกันมาตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มเขียน
บางคนอาจจะเพิ่งมารู้จักในเรื่องถัด ๆ มา หรือบางคนอาจจะเพิ่งบังเอิญผ่านเข้ามาเมื่อไม่กี่วัน
แต่สำหรับเรามันดีมาก ๆ เลย ขอบคุณมาก ๆ แล้วพบกันใหม่นะคะ ^^