เดือนเกี้ยวเดือน #38 พาร์ทของคิท
สอบเสร็จแล้วโว้ย...
บล็อคนี้สอบพร้อมกับคณะอื่นครับไม่ได้แปลกอะไร แต่แปลกตรงไหนรู้มั้ยครับ แปลกตรงที่ผมได้หยุดสามวัน(นับเสาร์อาทิตย์ด้วย) ขอบคุณสวรรค์ อย่างน้อยก็มีวันหยุดให้ผมบ้าง อ่านหนังสือจนจะอ้วกอยู่แล้วรู้สึกอยากพักชิบหาย ว่าแต่วันนี้หมอเถื่อนมีโปรแกรมไปแด๊กที่ไหนหรือเปล่านะ
และนี่ก็คือคำตอบที่พวกมันให้กับผมตอนที่ผมถามออกไป
เชี่ยป่า “พาโยไปดูหนังฉลองสอบเสร็จ”
เชี่ยบีม “กูไม่ได้นอนเลยเมื่อคืน กูจะไปนอน”
นี่มันวันสอบเสร็จที่ผมปรารถนาจริงๆหรือเปล่า เพื่อนรักทั้งสองแม่งโคตรไม่ให้ความร่วมมือ ผมเดินเซ็งๆมายังรถของตัวเอง เปิดประตูรถเข้าไปนั่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค...
…ไม่มีแฮะ
ให้ตายเถอะ เพราะมันนั่นแหละที่ทักมาบ่อยจนผมเคยชิน กลายเป็นว่าผมต้องดูโทรศัพท์ทุกครั้งว่ามันทักมารึเปล่าไปซะฉิบ ตอนนี้หน้าจอผมราบเรียบว่างเปล่าโชว์วันเวลาและก็วอลเปเปอร์รูปแก๊งหมอเถื่อนสุดเท่ที่ถ่ายกันมาไว้ตั้งนานแล้ว
บทจะหายมันก็หาย...นี่แหละครับมิ่งสไตล์
“ชิ”
อยู่คนเดียวผมไม่ต้องมีฟอร์มอะไรมากโอเคมั้ยครับ หงุดหงิดก็คือหงุดหงิดผมแสดงออกไปเลย เอาเป็นว่าวันนี้ของผมนั้นว่างเปล่า ว่างสุดๆ ว่างชิบหาย ว่างจนผมนึกไม่ออกว่าผมควรทำอะไรดี นึกอยากไปเป็นก้างไอ้เชี่ยป่าที่ไปดูหนังกับน้องโยให้หายว่างชิบเป๋ง
แต่จะว่าไป...มันบอกว่าวิศวะสอบเสร็จช้ากว่าคนอื่นนี่หว่า
จำสมัยไอ้เชี่ยโฟร์ทมันสอบได้ แม่งสอบเยอะชิบหาย เรียนห่าเรียนเหวอะไรหลายตัวมากมาย เพราะฉะนั้นช่วงนี้ที่มิ่งมันเงียบผมก็เข้าใจอยู่แล้วล่ะเพราะผมเองก็ต้องอ่านเหมือนกัน
แม่ง...ตั้งแต่ขึ้นรถมาคิดแต่เรื่องมันล้วนๆ
ผมถอนหายใจยาว ขณะที่จะสตาร์ทรถ แต่ยังไม่ทันที่รถจะเกิดเสียงดังกระหึ่ม โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นก่อน
ม๊า
ชิบหายละ ไม่ได้โทรหานานมาก...(ยกเว้นตอนตังค์จะหมด เป็นลูกที่ดีมาก)...ผมรีบกดรับสายอย่างรวดเร็วก่อนที่จะโดนม๊าตัดออกจากกองมรดก
“ครับ”
“หายหน้าหายตาเลยนะ” คิดไว้แล้วว่าต้องโดนแซะ
“ม๊าอ่ะ ก็คิทเรื่องหนักนี่” ผมง้องแง้งระดับสิบ ใช้ไม้นี้ขอสี่พันได้สี่หมื่น ตลอดโคตรจะได้ผลชะงัดนักแล (ผมคงเป็นลูกที่ดีมากอย่างชิบหาย)
“เรียนหนักก็ควรจะโทรหาม๊ากับป๊าบ้างนะ”
“หนักจริงครับ เวลานอนยังจะไม่มีเลย...” อันนี้พูดจริงนะ ใกล้สอบนี่อย่าว่าแต่นอนเลยเถอะ จะอาบน้ำก็ยังไม่มีเวลา...(?)
“เอาเถอะ เสาร์อาทิตย์นี้กลับมาฉลองวันเกิดป๊าได้รึเปล่า”
“เออใช่! กลับครับกลับ” ผมรีบพูด ผมไม่มีหาเหตุผลอย่างอื่นมาอ้างเพื่อที่จะไม่ได้ไปวันเกิดป๊าแน่ เห็นขอเงินเกินๆแบบนี้ผมกตัญญูมากนะเออ
“ดีมาก”
“งั้นคิทขับรถกลับวันนี้เลยละกัน”
“ไหวเหรอ สอบเสร็จแล้วเหรอ”
“สอบเสร็จแล้วม๊า เมื่อห้านาทีก่อนเอง” ม๊าเก่งมากที่โทรหาผมได้ถูกเวลา
“เออดี กลับมาหาป๊าหาม๊ามั่ง นี่แทบจะเขี่ยออกจากกองมรดกอยู่แล้ว”
“จะกลับเดี๋ยวนี้เลยครับ!”
ตกลงผมกลัวมากใช่มั้ยเรื่องมรดก ผมส่ายหัวให้ตัวเองอย่างขำๆเพราะในที่สุดก็ได้สตาร์ทรถเสียที จะว่าไปผมจะขับกลับไหวหรือเปล่านะ(จากมอผมกลับบ้านคือสุดกรุงเทพฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งเหมือนจะใกล้แต่เชื่อเถอะถือว่าไกลเหี้ย) ผมได้นอนมากกว่าไอ้บีมแค่ครึ่งชั่วโมงเองมั้ง บอกเลยว่าง่วงชิบหาย ตอนนี้ยังหาวแล้วหาวอีก
แต่เอาวะ...เพื่อป๊า ลูกคนนี้ทำได้
ผมขับรถกลับไปที่หอก่อนเพื่อเปลี่ยนชุดนิสิตเป็นชุดไปรเวทสบายๆ(แต่หล่อมากในความคิดตัวเอง) หอบของไปสองสามอย่างยัดลงกระเป๋าเป้ หลังจากนั้นก็เดินลงมาจากหอ
เจอกับไอ้มิ่งพอดี...ที่หลังๆมันชักจะมาหอผมบ่อยเหลือเกิน แต่มันก็เพิ่งโผล่มานี่แหละครับในช่วงสัปดาห์สอบกลางภาคมาราธอนจันทร์ถึงศุกร์
ถีงแม้มันจะชอบบ่นให้ฟังยาวเป็นสตอรี่หลายบรรทัดว่าต้องอ่านหนังสือหนักอย่างงั้นอย่างงี้ บางวันไม่ได้นอน กินน้ำอัดลมทั้งคืนอยู่อย่างนั้นเพื่อที่จะไปสอบ แต่ออร่าของมันก็ยังโดดเด่นเห็นได้ชัดเหมือนเดิม แม้ใต้ตาจะคล้ำไปเพียงนิดเดียวก็เถอะ
อยู่กับไอ้ป่ามานานผมไม่แปลกใจหรอก พวกหล่อแบบฝังอยู่ข้างใน(?) ไม่ว่ายังไงแม่งก็หล่ออยู่ดี
เดือนมหาลัยปีต่อไปมึงต้องหล่อให้ได้เท่าพวกมันนะเออ...
ผมว่าผมชมมันในใจเยอะเกินไปแล้ว มันก็แค่หล่อเหมือนเดิมเหมือนอย่างเคยนั่นแหละ...
…แค่ดูหล่อขึ้นเพราะผมไม่ค่อยได้เห็นหน้าเท่านั้นเอง
“พี่!”
มันร้องเรียกพร้อมกับช็อคโกแลตคิทแคทที่อยู่ในมือของมัน หน้าตายิ้มจนตาหยีท่าทางจะดีใจที่ได้เจอผม นี่ผมไม่ได้หลงตัวเองนะครับ! “จะไปไหนอ่ะ” ถามทันทีเมื่อเห็นท่าทางของผม ใช่ ผมมีเป้อยู่ในมือซ้าย กุญแจรถอยู่ในมือขวา พร้อมออกเดินทางเต็มที่
“กลับบ้าน” เสียงของผมห้วนตามเคยราวกับต้องการคงคอนเซปต์โหดเอาไว้
…แต่ไม่รู้ทำไมแม่งโหดเฉพาะกับมัน
“บ้าน?”
“เออ บ้าน” ผมพูด ตอนแรกว่าจะถามว่าการสอบของมันเป็นไงบ้าง แต่ผมสงบปากสงบคำไว้ดีกว่า เดี๋ยวแม่งปลื้มจนร่ายยาวอีก มิหนำซ้ำยังจะคิดไปเองว่าผมเป็นห่วง
ผมเป็นห่วงมันรึเปล่าวะ...
“ที่ไหน”
“เกือบถึงฝั่งธน”
“ไกลสัดๆ” มันพูด ทำหน้าเหมือนอึ้งอย่างรุนแรง “และนี่ก็เย็นมากแล้วด้วยนะ ไปพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ” มันเด็กกว่าผมครับ แต่หลังๆมันเริ่มจะออกคำสั่งในทางอ้อม
“ไม่ได้ บอกม๊าไปแล้วว่าจะไปวันนี้”
มันทำหน้างอ...น่ารักตายห่าล่ะ ผมเปิดประตูรถ รู้สึกว่าตัวเองชะงักนิดหน่อย แม้จะทำท่าเหมือนอยากไปเร็วๆแต่เอาเข้าจริงๆผมก็ยังไม่อยากไปอยู่ดี
อะไรของกูเนี่ย...
“พี่คิท”
“ว่าไง” ขอบใจมากที่มันชวนผมคุย เพราะไม่งั้นผมก็คงหาข้ออ้างที่จะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไม่ได้
ฟอร์มผมนี่มีเยอะจนอยากจะขายต่อเลยครับ
“ผมขับรถให้ได้มั้ย” หน้าตาของมิ่งดูเฉยๆเอามากๆทั้งๆที่เพิ่งจะสอบเสร็จและก็เพิ่งบอกว่าจะขับรถให้ผม
“หือ”
“ไปส่งพี่ไง” มันพูดอย่างจริงจัง แม้ช็อคโกแลตในมือมันจะทำให้ลดความจริงจังลงมาสิบสี่เลเวลก็ตาม
“มึงไม่มีสอบแล้วหรือไง”
“มีอีกทีก็วันจันทร์ไง นี่วันศุกร์นะพี่”
บ้าไปแล้ว...เยอะชิบหาย “เดี๋ยวๆ มึงจะขับรถไปส่งกู แล้วก็ขับกลับมาที่นี่เนี่ยนะ”
“ใช่ไง”
มันพูดเหมือนเป็นเรื่องชิวๆ แต่ขอทีเถอะ แม่งมันไม่ชิวเลยสักนิด การจราจรกรุงเทพในวันศุกร์ปลายเดือนนี่มันนรกชัดๆเลยนะ ถ้ามันทำอย่างงั้นผมว่ามันต้องกลับมาที่มหาวิทยาลัยตอนตีสี่แหง
“ไม่” ผมรีบพูด “ไปก่อนนะ”
“ครับ ไปด้วยนะ”
ไอ้มิ่งถือวิสาสะนั่งบนที่นั่งคนขับบนรถของผมเฉย นี่มึงเอาจริงเหรอวะ?
“สาด ไม่เล่นนะโว้ยไม่เล่น กูต้องรีบไปจริงๆ” อีกอย่างอย่ามาทำให้กูไขว้เขว...
“งั้นก็ไปกันเลยสิครับ เร็วๆ” มีการมาเร่งผมเหมือนเป็นรถมันเองอีกนะ
“ไอ้สัด ไม่เอา ลงมาเลย” ผมพยายามบอกมัน
“อืม สงสัยจะอยากให้ผมไปเปิดประตูให้” พอมันพูดจบมันก็เดินลงมาจากรถ มีการดึงกุญแจรถออกมาด้วยเพราะอาจจะกลัวว่าผมจะวิ่งเข้าไปที่นั่งคนขับแล้วขับหนี รอบคอบชิบหาย
มันเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พร้อมๆกับขยับหัวไปมานิดๆราวกับให้ผมรีบเดินมาฝั่งนี้
“เร็วสิครับ”
“เอาจริงเหรอ”
“นี่...เหลือแค่ผมไปอุ้มพี่มานั่งแล้วนะ จะให้อุ้มมั้ยอ่ะครับ” มันพูดยิ้มๆ กูจะบ้าตาย ผมถึงบอกไงว่ามันจะเด็กกว่าหรือไม่เด็กกว่าก็ไม่สำคัญ เพราะเหมือนมันจะบังคับผมผ่านคำพูดของมันอยู่กลายๆ
มึงหาเรื่องเหนื่อยของมึงเองนะ...
“ตามใจละกัน” ผมเดินอ้อมไปฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ซึ่งไอ้คนที่เปิดประตูให้มันก็ยิ้มรอเป็นอย่างดี รู้สึกกระดากอายชิบเป๋งที่มีผู้ชายตัวสูงชะลูดมาเปิดประตูรถให้แบบนี้ “ยื่นหน้ามาทำไมเนี่ย...” ผมรีบด่า ยังไม่ทันที่ผมจะได้เข้าไปบนรถเลย ยื่นหน้ามาเหมือนจะหอมแก้มผม
“…เผื่อจะเกิดอุบัติเหตุอ่ะ”
“อุบัติเหตุอะไร”
“ผมหอมแก้มพี่ด้วยความบังเอิญ ผมสูงใช่มั้ย พี่เตี้ย และ...” มันหุบปากไปเมื่อเห็นสีหน้าของผม
“แบบนั้นมันเรียกว่าอุบัติเหตุที่ไหนกัน!”
“อ้าวเหรอครับ” มันยิ้มเหรอหรา
“ถ้าจะแอบทำอะไรกูนะ...เอากุญแจรถคืนมา”
“ไม่อีกแล้วครับพี่” มิ่งยกสองมือขึ้นมาเหมือนคนยอมรับความผิด
“ให้มันจริง”
“ครับผม...”
จะจริงได้สักกี่น้ำ...แทนที่ผมจะกลัวว่ามันจะทำอะไรผม ผมเอาเวลาไปเรียนรู้การป้องกันตัวเองจากมันดีกว่ามั้ยอ่ะครับ...
…ช่วงนี้ยิ่งยอมมันง่าย นี่แค่เรื่องสากกะเบือนะ แล้วถ้าเกิดเรื่องมันลามไปถึงเรือรบหลวงขึ้นมาล่ะ...
ผมก็แค่ระวังตัวเอาไว้ให้ดีจะดีกว่า
บนรถ...
ตอนแรกมันเงียบมาก ผมก็เลยยื่นมือไปเปิดวิทยุให้เสียงเพลงดัง มิ่งฟังทุกเพลง โยกหัวไปกับเพลงทุกเพลงแม้ว่าเพลงนั้นจะเป็นเพลงช้าที่มีจังหวะนิดๆ รถเคลื่อนไปยังเส้นทางที่เป็นทางด่วน สองข้างทางเป็นตึกสูงที่ผมรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง มีท้องฟ้าที่เริ่มเป็นสีส้มเพราะพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้กลับบ้านกับไอ้มิ่ง
“ตอนมอปลายเท่าที่ผมจำได้...ที่บ้านชอบมารับพี่ใช่มั้ยครับ” มันเปิดประเด็น ก็ดีเหมือนกัน ฟังแต่เพลงแล้วมันเขินๆยังไงบอกไม่ถูก
ผมจะเขินทำไมล่ะเนี่ย
“อืม...”
“ปกติเขากลับกันเองไม่ใช่เหรอครับ” มิ่งแหย่เล่น
“เชี่ย ก็บ้านกูเขาเป็นห่วง”
“ฮ่าๆๆ แซวเล่นน่ะพี่ ทำไมผมจะไม่ชินเรื่องนี้ พาไอ้โยไปเล่นที่ไหนดึกๆ ป๊าของมันก็ส่งคนมารับได้ตลอดไม่ว่าจะตีสองตีสามอ่ะ”
“ไม่แปลกหรอก หน้าอย่างโยเป็นลูกกูกูก็หวง” ผมพูดตามความจริง
“อืม...แล้วที่บ้านพี่...หวงลูกชายมั้ยอ่ะครับ” ผมหันมามองใบหน้าด้านข้างที่จมูกโดดเด่นที่สุดของไอ้มิ่ง ดูมันกลืนน้ำลายด้วยท่าทางกังวลแปลกๆ
“อยากรู้ไปทำไมเนี่ย”
“พี่ไม่รู้เหรอ” มันหันมามองหน้าผมแล้วทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ก็...”
“ผมเข้าทางเพื่อนพี่ก็ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ พี่บีมเองก็เหมือนจะรู้สึกแปลกๆกับพี่ใช่มั้ย ยิ่งไอ้พี่ป่านี่ถึงแม้จะติดโยนะ แต่ว่าพอพูดถึงเรื่องพี่ทีไรแม่งไม่ชอบยอมตอบเท่าไหร่”
ผมแอบยิ้ม...มันขนเพื่อนมาเรียนด้วยขนาดนี้มีหรือที่มันจะไม่หวงเพื่อน แต่หลังๆนี้รู้สึกว่ามันจะหวงผมกับบีมเป็นพิเศษ ใครโทรมาก็ต้องบอกมัน ตอนเย็นจะไปไหนกับใครก็ต้องบอกมัน อะไรของมันก็ไม่รู้ครับ
“…เหลือแค่เข้าทางป๊ากับม๊าพี่แล้วอ่ะ” ผมทำหน้าแตกตื่น ตกใจชิบหายชนิดที่ว่าไม่คาดคิดมาก่อน
“มึงว่าไงนะ”
“ผมอาจจะเข้าทางป๊ากับม๊าพี่”
“เชี่ยยยยยย”
“อะไรอ่ะ...” มิ่งทำหน้าไม่เข้าใจที่ผมตกใจมาก
“มึงก็รู้ว่าความรักอย่างเรามันไม่ใช่เรื่องปกติ” มิ่งเงียบ...
ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆสิ่งที่ผมพูดนั้นมันคือความจริงในส่วนหนึ่งของสังคมไทยที่ไม่ว่าจะยังไงก็ยังยอมรับกันไม่ได้ ป๊ากับม๊าของผมลูกหลานเยอะจนเลี้ยงไม่หวาดไม่ไหวก็จริง แต่ยังไม่มีใครในเครือสาคณาญาติที่เป็นชายที่รักชายมาก่อน
แต่ไม่นานนักมันก็ส่งเสียงออกมา...
“เรา...”
“…”
“ความรักอย่างเราเหรอพี่”
ชิบหาย
ผมรู้สึกได้เลยว่าผมเพิ่งพูดอะไรที่ผิดพลาดออกไป
“พี่รักผมเหรอ” “อืม...มึงว่าตึกนั้นมันจะสูงกี่ชั้นวะ” ผมมองไปที่หน้าต่างรถ แต่แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าอย่างแรง ตรงนั้นมันมีแต่บ้านจัดสรรสูงไม่เกินสองชั้นทั้งนั้น
มิ่งไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มและก็ขับรถไปเงียบๆ แต่เชื่อเถอะว่าแค่นั้นผมก็รู้สึกอยากจะเอาหัวของผมยัดเข้าไปในเป้ของตัวเองแล้วรูดซิบ...บ้าบอคอแตกชิบหาย พูดอะไรที่ชวนคนอื่นคิดไปไกลแบบนั้นได้
เอาหัวโขกกระจกหน้าต่างรถซ้ำๆไปมาพร้อมๆกับหลับตาเพราะไม่สามารถยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้
“มึงก็อดทนดีเนอะ” ผมค่อยๆพูด
“อดทน?”
“กับกูเนี่ย”
“หือ...”
“กูไม่ได้มีความอ่อนหวานอะไรแบบน้องโยเลยนะ” นี่ผมพยายามพูดอะไรกับมันอยู่
“ไอ้เชี่ยนั่นน่ะเหรอครับอ่อนหวาน” มิ่งทำหน้าเข้าไม่ถึงในสิ่งที่ผมพูด
มันคงเห็นโยเป็นแค่ท่อนไม้ในขณะที่คนอื่นๆนั้นเห็นโยเป็นแท่งทองคำขาวล้ำค่าสินะ...
“ทำไมพี่ต้องถามแบบนี้ด้วย ผมไม่เห็นต้องอดทนอะไรเลย”
“…”
“ผมก็ชอบพี่ที่พี่เป็นของพี่แบบนี้อยู่แล้วนี่ครับ พี่ไม่เป็นตัวของตัวเองต่อหน้าผมเมื่อไหร่เนี่ยสิ...หายนะสำหรับผมเลยแหละ” มันเอาแต่พูดไปเรื่อยๆ เป็นครั้งแรกที่ผมมองว่ามันเป็นผู้ใหญ่กว่าผมจริงๆ “แต่ผมรู้สึกดีนะ”
“อะไรวะ”
“พี่แคร์ผมด้วย”
เออ...แต่กูไม่ยอมรับเฉยๆหรอก...ก็กูเป็นคนแบบเนี้ย
“เออมึงต้องแวะห้างด้วยอ่ะ” ผมพูดขึ้น
“ครับ?”
“ของขวัญป๊ากู”
“ได้ เอาห้างไหนดีอ่ะ”
“อันไหนก็ได้ หรูๆหน่อย”
“งั้นผมเลี่้ยวข้างหน้านี่เลยละกันนะ”
ไม่เรื่องมากดีแฮะ ปกติเวลาบอกกระชั้นชิดแบบนี้ผมโดนด่าตายห่าแม้คนขับจะซี้ปึ้กกับผมขนาดไหนก็ตาม ผมเหลือบมองดูใบหน้าด้านข้างของไอ้คนขับที่เอาแต่ตั้งอกตั้งใจขับรถจนเกือบลืมนึกไปว่าไอ้เชี่ยนี้มันหน้าตาดีและก็ทำตัวเท่มากมายเพียงใดตอนที่มันขับรถ
แต่ผมจะไม่ชมให้มันได้ยิน...
“เอาอะไรดี” ผมพูด นึกไม่ออกจริงๆ แต่อยากจะรีบซื้อรีบกลับเพราะระยะทางยังอีกค่อนข้างไกลเลยทีเดียว
“ป๊าพี่เป็นคนยังไงอ่ะ”
“ก็...นิ่งๆนะ”
“…”
“เงียบๆ แต่ถ้าดุ ก็ดุชิบหายอ่ะ”
“ทำไมน่ากลัวแบบนี้ล่ะ!” ไอ้มิ่งเอ่ยเสียงดัง
“เสียงดังทำไมเนี่ย”
“ผมตกใจนี่”
“กูนี่สิตกใจกว่า ทำไมต้องตกใจเรื่องที่ป๊ากูน่ากลัวด้วย”
“ผมขับรถไปส่งลูกชายเขาแบบนี้ผมจะโดนลูกซองมั้ยล่ะ”
ผมชายตามองมันด้วยสายตาเฉยเมย “ป๊าไม่มีลูกซองหรอก มีแต่จะหมัดเมาใส่มึงน่ะสิ”
“จริงเหรอ...” มันทำหน้าตกใจมาก
“กูล้อเล่น”
เห็นคนที่มีสีหน้ามั่นอกมั่นใจอย่างมันเสียเซลฟ์ผมนี่โคตรรู้สึกดี ฮ่าๆๆ หลังจากนั้นผมกับมันก็พากันเลือกของขวัญให้ป๊า ซึ่งก็เลือกได้ไม่ยากเมื่อผมตกลงปลงใจจะซื้อเนคไทให้ป๊า ป๊าถึงจะดูแก่แต่อายุจริงๆก็แค่ห้าสิบต้นๆเองครับยังชอบใส่สูทไปที่ออฟฟิศประจำ
“คิท!!!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นตอนที่ผมพยายามแกะมือไอ้มิ่งที่ลองเสื้อให้ผมออกไปห่างจากตัว เป็นเสียงผู้หญิงหวานสวยเชียวหน้าตาเธอก็สวยด้วย ผมต้องหรี่ตามองเธอดีๆว่าเธอเป็นใคร ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ได้เจอกันนานสวยขึ้นเป็นกองก็มีครับ
…แฟนเก่าผม
เธอชื่อปิ่น คบกันตอนอยู่สมัยมัธยมซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้เพราะผมขี้เกียจให้เพื่อนที่โรงเรียนมันล้อ คบได้ไม่ค่อยนานเท่าไหร่ครับเนื่องจากผมก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย(คณะที่ไอ้เชี่ยป่ามันบังคับให้สอบซึ่งยากชิบหาย)พอไม่มีเวลาให้ก็เลยห่างเหินกันไป และก็เพิ่งได้มาเจอวันนี้นี่เอง
ปิ่นสวยขึ้นมากจนผมอดทึ่งไม่ได้ เธอเดินเข้ามาหาผมและก็จับไม้จับมือผมใหญ่
“ไม่เจอกันตั้งนานแน่ะ” เธอสำรวจตัวผมไปทั่ว “หล่อขึ้นตั้งเยอะ”
“แหะๆ ปิ่นก็สวยขึ้นเหมือนกันนะ” ทำไมผมต้องรู้สึกเก้อเขินด้วยเนี่ย ยิ่งมีไอ้ตัวสูงผิวแทนๆยืนมองอยู่ข้างๆผมยิ่งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเข้าไปใหญ่
“มาทำอะไรเหรอ”
“มาซื้อของขวัญวันเกิดให้ป๊าน่ะ”
“จริงอ่ะ วันเกิดป๊าของคิทเหรอ ลืมไปเลย เดี๋ยวปิ่นซื้อของให้ป๊าบ้างดีกว่่านะ”
“บ้า เกรงใจ ไม่ดีกว่า”
“ไม่ได้หรอก ตอนอยู่มอปลายที่บ้านคิทเลี้ยงปิ่นดีจะตาย”
ตอนแรกผมก็กะจะไม่สนใจไอ้เดือนมหาลัยหมาดๆที่อยู่ข้างๆหรอก แต่พอคำพูดชวนให้คิดไปไกลถึงอดีตของปิ่นนั้นดังขึ้นมาแบบนั้นทำให้ผมต้องอดมองไปที่มันไม่ได้
ความรู้สึกเกรงใจ เป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของมันนี่มาได้ยังไง
“เดี๋ยวผมมานะ”
มันบอกผม และไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร แม่งก็เดินไปไกลแล้ว โดยที่ไม่รู้ว่ามิ่งมันจะลืมรึเปล่าว่าผมกับมันอยู่ในช่วงเวลาที่รีบเร่งไปให้ทันวันเกิดของป๊าอยู่
“ใครเหรอ” ปิ่นมองตาม “หล่อจังเลย หล่อกว่าคิทอีก”
แหงสิ...จะหล่อกว่ามันก็ต้องระดับไอ้ป่าโน่น
“รุ่นน้องโรงเรียนเก่า รุ่นน้องที่มหาลัยน่ะ” เอาให้ครบทุกสถานะ
“จริงเหรอ สนิทกับน้องคนอื่นด้วยเหรอ ปกติเห็นชอบไปแต่กับป่าและก็บีมนี่” ปิ่นยิ้มกระเซ้าเย้าแหย่ ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยนะ
“มีอะไรเหรอปิ่น”
“เปล่าหรอก เซนส์มันบอก” ปิ่นพูดอย่างครุ่นคิด “คือปิ่นเจอคิทกับน้องคนนี้เดินมาด้วยกันตั้งนานแล้วไง แต่ปิ่นเพิ่งจะจำคิทได้เลยเข้ามาทัก คือตอนที่ปิ่นมองไกลๆด้วยสายตาคนนอกแบบที่ไม่รู้จักคิท รู้สึกเหมือนคิทกับน้องคนนั้น...”
“ทำไม...”
“…รักกัน” เธอยักไหล่ก่อนจะตอบ
“หา!!!!”
“ก็พูดไปตามที่เห็น ภาพมันบอกจริงๆนะ เด็กคนนั้นดูแคร์คิทจะตาย เดินตามต้อยๆแถมเวลาคุยกับคิทนะยังเอียงคอเข้ามาคุยด้วยตลอดทั้งๆที่คิทเตี้ยกว่าตั้งเยอะ”
“นี่” ผมปรามเธอ “แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงถ้าแฟนเก่าไปกิ๊กกับผู้ชายซะแล้ว”
“สมัยนี้แล้ว” เธอยักไหล่อีกรอบ “อีกอย่างหนึ่ง...น้องคนนั้นก็โคตรจะหล่อ ปิ่นไม่แปลกใจหรอกถ้าคิทจะใจเต้นกับน้องน่ะ”
ผมเถียงไม่ออก ปิ่นเอาแต่ยิ้มและก็มองผมสลับกับมองตามหลังไอ้มิ่งที่เดินไปแล้วไกลโคตรๆ...ผมเริ่มเป็นกังวล ในขณะที่ปิ่นเองก็เริ่มที่จะแซวผมขึ้นมาเรื่อยๆ
“คนพี่นี่ปากแข็งไม่เปลี่ยนเลยนะ” เธอนี่รู้ใจผมจริงๆ “ส่วนคนน้องก้คงจะหึงน่ะ”
ผมไม่พูดอะไร...
“ไม่ง้อสักหน่อยเหรอ หรือปิ่นต้องเป็นคนไปอธิบายเองว่าเราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน?”
“บ้าน่า ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก”
ถ้าจะมีคนไปคุยกับไอ้มิ่งก็ต้องเป็นผมนี่แหละ ผมเกาหัวอย่างเครียดๆในขณะที่ปิ่นเองก็เอาแต่ยิ้มจนกระทั่งเธอตัดสินใจลากผมให้เดินออกไปหาไอ้มิ่ง ซึ่งป่านนี้ไม่รู้เดินไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
ไม่นานนัก...ผมก็เจอตัวมัน ซึ่งมันสูงอยู่แล้วก็เลยโดดเด่นเป็นสง่า แต่ทว่าทำไมต้องไปยืนนิ่งๆให้คนเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยล่ะ
“เดี๋ยวก่อน น้องเป็นดาราเหรอ”
ผมส่ายหน้าให้ปิ่น “เปล่า...มันก็แค่เป็นเดือนมหาลัย”
“แค่ได้ไงยะ ตั้งเดือนมหาลัยเลยนะ!”
ปิ่นมองอย่างตื่นตะลึงในขณะที่ผมมองอย่างเซ็งๆ มันไม่ใช่ดาราแน่ๆแต่ทำไมต้องมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปมันเยอะขนาดนั้นด้วย เออมันหล่อ อันนี้ผมเข้าใจ แต่มันดูปฏิเสธคนไม่เป็นเอาเสียเลย แล้วเมื่อไหร่มันจะถ่ายรูปเสร็จล่ะเนี่ย...
ผมตัดสินใจย่างสามขุมไปหามัน มันตกใจที่เจอผมก่อนที่จะยิ้มแหยๆให้บรรดาแฟนคลับ
“ขอบคุณมากครับ วันหลังไม่ต้องถ่ายก็ได้นะ...แฟนผมหวง”
ผมชะงัก...ทุกคนแหวกทางและก็มองมาที่ผมด้วยสายตางุนงง
“พี่หมอคิท!”
“ใช่ไงแก! กรี๊ด แฟนพี่มิ่งที่เพจXXUคิ้วท์บอยเขาเม้ามอยไง!”
“ถ่ายรูปได้มั้ยคะ!”
ว่าไงนะ...ให้ตายสิ...ผมรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธในขณะที่ไอ้มิ่งเริ่มเอามือมากันตัวผมเอาไว้อย่างกับผมเป็นเซเลปบริตี้
ข้อเท็จจริงที่ควรรู้เกี่ยวกับผมอย่างหนึ่ง...ผมไม่ชอบถ่ายรูป...ยกเว้นในงานเทศกาลใหญ่ๆ นิสัยนี้ได้รับมาอย่างเต็มๆจากไอ้ป่าเพื่อนผมเอง
ก็งานใหญ่ผมมักจะแต่งองค์ทรงเครื่องแบบใส่ใจมากกว่านั่งรถกลับบ้านไปหาป๊านี่...
สาวๆแฟนคลับไอ้มิ่งพากันกรี๊ดกร๊าด ในขณะที่ผมรู้สึกเหมือนอยากเอาปี๊บคลุมหัว กลับมาอีกทีก็ไม่เจอปิ่นแล้ว ไม่ได้บอกลาอะไรเธอเลยด้วยซ้ำและรู้ตัวอีกทีไอ้มิ่งมันก็เอาแต่โอบผม จนพวกเราออกไปถึงลานจอดรถนั่นแหละ
“พี่คิท”
“…”
“พี่คิทครับ”
“อืม”
“ผู้หญิงคนนั้น...ใครเหรอพี่”
ผมที่มองหน้าต่างแล้วเริ่มเห็นวิวทิวทัศน์ใกล้บ้านหันมาหาไอ้มิ่ง “แฟนเก่า”
ผมรู้สึกว่ามิ่งขับรถชะงักไปนิด...
“เคยเข้าบ้านพี่ด้วยเหรอ”
ผมพยักหน้าน้อยๆ... “ใช่”
มิ่งเงียบไป ก่อนที่จะค่อยๆพูดออกมา “สนิทมากเหรอครับ”
“ก็ถือว่าสนิทนะ...เกือบจะเป็นคู่หมั้น”
คราวนี้ไอ้มิ่งถึงขนาดจะเหยียบเบรกจนผมหัวแทบทิ่ม ผมต้องหันมาหามันด้วยสีหน้าตกใจระคนเตรียมโวยวายเต็มที่ แต่เมื่อคิดไปคิดมา ผมก็มีบางสิ่งที่จำเป็นต้องอธิบายกับมัน
“แต่เลิกแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แค่ทักทายกันตามปกติคนเคยรู้จัก มึงนี่ก็นะ เห็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็เดินหนีแล้ว ขี้หึงเหรอ!”
“ใช่ คิดมากด้วย...” มันยอมรับตรงๆ “ผมบ้าป๊ะล่ะ”
“เออบ้า”
“แต่บ้าเพราะพี่ ผมยอมนะครับ” มันพูดติดตลก ในที่สุดไอ้มิ่งก็หันมายิ้มได้อีกครั้ง โคตรน่าปวดหัวกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเด็กคนนี้เลยครับ
เอี๊ยดดดดดดดดด...
มันเบรกอยู่หน้าบ้านถูกหลังด้วย...ผมอึ้งมากถึงมากที่สุด
“มึงเคยมาบ้านกูเหรอ” ผมถาม
มันยิ้ม “เคย แต่ไมไ่ด้เข้าบ้านเหมือนแฟนเก่าพี่”
“มาทำไม...”
“สะกดรอย” มันยักคิ้วให้ผมก่อนที่จะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ “แล้วผมกลับไงล่ะทีนี้”
“ทำไมต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วย” ผมเริ่มขยับตัวหนี ไอ้เด็กบ้านี่มันชอบใช้สายตาหว่านล้อม ให้ผมหยุดนิ่ง และเพื่อที่มันจะได้ทำอะไรตามใจ
และระยะหลังๆผมก็โอนอ่อนตามมันอย่างง่ายดายเหลือเกิน
“กู๊ดบายคิสไง”
“เชี่ย ถอยไปไกลๆ” ผมดันหน้ามันออกไป แต่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ “เดี๋ยวคนในบ้านกูมาเห็น”
“มืดจะตาย ใครจะเห็น”
ไอ้เชี่ยมิ่ง...บอกตามตรงผมแพ้สายตาคมคายของมันชะมัดเลยครับ ร้อยทั้งร้อยมาเห็นเป็นต้องแพ้ ความหล่อล้นทะลักของมันซึ่งการันตีด้วยตำแหน่งเดียวกันแบบไอ้ป่าทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับมันดูง่ายไปหมด
และมันก็ดูยากไปหมดสำหรับผม...แม่งเจ้าชู้กับผมชิบหาย
ผมก็เสือกยอมด้วย นี่สิประเด็น...
“มึง...” ผมรีบดันหน้ามันออก “...ไม่เอา”
“ครั้งเดียวนะ”
“อะไรครั้งเดียว”
“จูบเหมือนคืนนั้น”
จะบ้าตาย...
“ผมขับรถมาไกลนะ” เรื่องของมึง...
“…”
“ผมหึงพี่ด้วย” นั่นก็มึงหึงเองไม่เกี่ยวกับกูนี่...
“ไอ้สาด” ผมเกาหัว กำลังจะพ่ายแพ้ต่อเสียงเว้าวอนและใบหน้าเจ้าชู้ชิบหายของไอ้เชี่ยมิ่ง
“นะ”
“ไม่”
“ครั้งเดียว”
“เดี๋ยวมีคนเห็น”
“ผมดับไฟหน้ารถแล้ว”
มันจะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย...ถ้าผมยอมมันจะคิดกับผมยังไงล่ะ แต่ตอนนี้ใจผมกำลังยอมมันมากกว่าครึ่ง มันขับรถมาไกลมากทั้งๆที่มันก็เพิ่งสอบในวันนี้เสร็จ
เอาไงดี...หลับหูหลับตานิดเดียวปล่อยมันจัดการให้เสร็จๆดีมั้ย
“ช้า...ผมขอเลยละกัน”
มันดึงใบหน้าผมเข้าไปหาพร้อมๆกับจับให้หันหน้ามาก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากผมก่อนที่ผมจะรู้ตัว เป็นอีกครั้งอีกหนที่ผมใจเต้นระรัว จริงๆแล้วผมก็ใจเต้นตั้งแต่ที่มันเหยียบเบรกแล้วล่ะ อยู่ในที่มืดๆเงียบๆกับมันสองคนแล้วผมเป็นอย่างงี้ทุกที
ปากผมไม่ได้เป็นอิสระอยู่นานเนื่องจากอีกฝ่ายคุมเกมอย่างต่อเนื่อง มันอ่อนโยนนุ่มละมุนก็จริงแต่ก็เร่าร้อนมากมายพอดูเนื่องจากลิ้นที่มันส่งเข้ามาเกี่ยวตวัดลิ้นผมนี่แหละ และก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าผมกำลังเคลิ้มและเผลอที่จะจูบตอบ...
เสียงเคาะประตูกระจกรถของผมก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“คิท ใช่ลื้อรึเปล่า?!”
เสียงเฮียเคี้ยง พี่ชายคนโตของผมเอง TBC*
Talk : ตอนหน้าก็ยังเป็นเรื่องราวฝั่งของตี๋คิทกับไอ้น้องมิ่งอยู่นะคะ พอดียาวมากมายแถมยังหลบมาสวีทกันอยู่บ้านฝ่ายเจ้าสาวสองต่อสอง...