เดือนเกี้ยวเดือน #51
ไอ้มิ่งมันไม่ปล่อยให้พวกผมนอนอยู่บนหาดทรายจนถึงเช้าหรอกครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็มิตรภาพระหว่างผมกับมันที่มีมานานหลายปีเป็นอันขาดกัน กับผมไม่เท่าไหร่หรอก และพี่ ๆ มันพวกนี้ล่ะ แหมทำกันได้ปล่อยให้นอนกลางดินกินกลางทรายได้ไง
จนเกือบประมาณตีสาม ไอ้เชี่ยมิ่งก็มาปลุก ผมไม่รู้หรอกว่าในห้องนั้นจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างมันกับพี่คิทบ้าง ด้วยความง่วงจัด เมื่อหัวถึงหมอนผมก็หลับลงไปเลยโดยที่ไม่รู้ว่าใครบางคนที่อยู่ใกล้ ๆ ผมตลอดเวลานอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน
เช้าวันต่อมา พวกเราผู้ร่วมทริปทั้งหลายลงความเห็นกันว่าจะเล่นกีฬาริมหาดตั้งแต่สาย ๆ ตอนแดดยังไม่ค่อยออก(ต้องเข้าใจนะครับว่าพวกที่มาเที่ยวเนี่ยหน้าตาดีกันทั้งนั้น เรื่องดูแลผิวนี่ยิ่งกว่าพวกผู้หญิงบางคนอีก...ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ) แต่ก่อนที่จะออกไปทำอะไรอย่างที่คิด ผมกับคนอื่น ๆ พากันไปทานอาหารเช้าที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้
ทันที่ที่ผมกับคนอื่น ๆ ปรากฏตัว สะกดสายตาทุกคนในแถบนั้นกันเป็นอย่างมาก ไม่ต้องนับผมก็ได้ครับ นับแค่คนอื่นก็ได้ บอกเลยว่าเฟดเฟ่อย่างกับบอยแบนด์ ที่แน่ ๆ หนึ่งในกลุ่มคนที่มองคือสาว ๆ กลุ่มแจ่มที่ไม่รู้จะมายุ่งอะไรกับพวกผมอีกรึเปล่า คงพากันคิดในใจล่ะมั้งว่าเสน่ห์ดูมดูมนั้นทำไมใช้ไม่ได้ผลกับคนกลุ่มผม
ขี้หึงกันยกกลุ่ม...รวมถึงตัวผมด้วยนั่นแหละ ขอยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลย
“เลวมากเชี่ยมิ่ง ไล่ออกมานอนข้างนอกได้” ในขณะที่กำลังตักบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า ผมด่าเพื่อนก่อนเลยเมื่อสบโอกาส “กับกูมึงแกล้งได้นะเว้ย แล้วพี่พวกนั้นล่ะ”
“กูไม่รู้ พี่โฟร์ทแม่งแกล้งกูก่อน” ตกลงทริปนี้เป็นทริปแกล้งกันไปมาหรือยังไงครับนี่
“แกล้งไรวะ”
“หลังจากที่กูไปส่งมึงที่ร้านกาแฟเสร็จใช่ป่ะ กูกลับมานี่ให้กูรออยู่ข้างนอกโคตรนาน เป็นชั่วโมงเลยมั้ง”
“หา”
“พี่เขาบอกกูเข้าไปแล้วส่งเสียงดัง พี่บีมนอนไม่หลับ”
ยอมใจพวกนี้จริง ๆ รวมไปถึงไอ้พี่ป่าด้วยครับ เล่นอะไรกันแบบนี้นะ ตั้งแต่เรื่องวิ่งแข่งกันนั่นแล้ว
“ถือว่าเจ๊า ๆ กันไปเหอะ มึงดูดิ ไม่เห็นมีใครโกรธอะไรกูสักคน”
ไอ้มิ่งชี้ไม้ชี้มือไปที่โต๊ะที่รวมบอยแบนด์ ทุกคนก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่คนที่ไม่ยิ้มก็คือ...
...แฟนผม
ผมเพิ่งสังเกตแฮะ
“พี่ป่าเป็นไรวะ” ผมรำพึง
“ก็หล่อเหมือนเดิมนี่ มีไรวะ”
“เหรอวะ หรือกูคิดไปเอง” ผมขมวดคิ้ว ไม่หรอก ผมไม่น่าคิดไปเองหรอก พี่เขามีเรื่องจริง ๆ เรื่องอะไรนะทำไมผมไม่รู้ล่ะ
ผมเดินเข้าไปหาพร้อมวางจานเอาไว้ข้าง ๆ จานพี่ป่า ตักมาเผื่อพี่เขาด้วยครับเพราะไม่เห็นจะเดินไปตักอะไรเลย พี่ป่ายิ้มให้ผมเล็กน้อย และก็ไปทำหน้าเครียดใส่หน้าจอโทรศัพท์ต่อ
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามพี่ป่า
“คะแนนออกแล้วเหรอวะ ไม่นะ!” พี่คิทเอามือปิดหูปิดตาตัวเองไม่อยากรับรู้ ไม่นานนักพี่เขาก็โดนพี่บีมเขกกะโหลกเข้าให้
“ออกเชี่ยไรไวจัง มึงคิดว่าอาจารย์ป้าจะตรวจบล็อกนี้ไวเหรอ หา”
“เออว่ะ”
“แม่ง โดนกระทำจนฟ้าเหลือง สติไปไหนวะ”
“โดนกระทำอะไรของมึง”
“เมื่อคืนไง เชี่ยมิ่งแม่งไม่ยอมให้พวกกูนอนข้างในห้องเพราะมัวแต่เอากับมึง”
“เอาเหี้ยไร!” พี่คิทตวาดเสียงดังลั่น “กูนอนเฉย ๆ เหอะ”
ทุกคนพากันมองไปที่ไอ้มิ่งที่ทำเป็นกินข้าวไม่ทุกข์ร้อนอะไร สรุปก็คือ...มันแม่งไม่ได้ทำอะไรกับพี่คิทครับ แต่ที่มันไล่ผมกับคนอื่น ๆ ไปนอนที่อื่นเพราะความอยากแกล้งล้วน ๆ
มันโดนพี่ ๆ เคาะหัวคนละทีอย่างไม่มีใครเกรงใจมัน(ผมด้วยอีกคน) เล่นอะไรไม่เล่นไอ้สัด
“ก็พี่แกล้งผมก่อน” มิ่งโวยวายใส่พี่โฟร์ท
“ก็มึงเสียงดัง บีมจะนอน”
“ผมก็อยากอยู่กับแฟนผมนะครับ แฟนผมท้องเสีย!”
ทุกคนมองไปที่พี่คิท พี่คิททำหน้างง “กูท้องเสียตอนไหน”
“พี่ป่าบอก”
แม่งเล่นไรกัน ผมเกาหัวมองไปที่พี่ป่าบ้างเผื่อพี่ป่าจะมีความเห็น ซึ่งเขาไม่มีความเห็นครับ กระซิบบอกผมว่าเดี๋ยวมาก่อนที่จะลุกจากโต๊ะไปเลย บรรยากาศบนโต๊ะเย็นยะเยือกขึ้นมาทันทีเพราะรู้กันว่าพี่ป่าไม่ปกติ
“เกิดอะไรขึ้นครับ” ผมถามทุกคน
“ไม่มีไรหรอกโย เรื่องที่บ้านน่ะ” พี่คิทเอ่ย
บ้าน...บ้านพี่ป่าเหรอ อืม จะว่าไปพี่เขาไม่ค่อยจะพูดถึงเรื่องที่บ้านสักเท่าไหร่ครับ ผมจำได้ว่าพ่อพี่ป่าเป็นหมอใหญ่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ส่วนแม่ก็เป็นนักธุรกิจสาวที่ประสบความสำเร็จ สมัยเรียนมอปลายผมก็แอบได้เจอพ่อกับแม่พี่ป่าบ้างเวลาที่ลูกชายของท่านได้ขึ้นเวทีโชว์ความสามารถพิเศษต่าง ๆ บอกได้เลยว่าพ่อหล่อแม่สวยเลยแหละครับ
“เห็นว่าช่วงนี้พ่อกับแม่มันทะเลาะกันบ่อย” พี่บีมพูดเสริม
“พี่ป่าไม่เห็นพูดให้ฟังเลย” ผมเริ่มเครียดแทน เรื่องครอบครัวบางคนก็เป็นเรื่องเปราะบาง บางคนก็เป็นเรื่องที่แข็งกระด้าง แต่สำหรับพี่ป่า...ผมไม่รู้อะไรเลยครับ
“มันไม่พูดหรอก เรื่องอะไรแบบนี้น่ะ มันคงไม่อยากพูดถึง พอพูดถึงแล้วก็พาลจะคิดถึง เลยเลี่ยงที่จะไม่พูด”
“ครั้งนี้คงจะหนักจริง พี่ไม่เคยเห็นมันเครียดออกมาทางหน้าขนาดนี้”
“คุยไรกัน” พี่ป่ากลับมาพร้อม ๆ กับมองไปที่พี่บีมกับพี่คิท ทั้งคู่หุบปากฉับทันทีที่พี่ป่านั่งลง ผมมองพี่ป่า ในขณะที่พี่ป่ามองหน้าผม “มีอะไรเหรอ”
“มีอะไรทำไมไม่เล่าให้ฟังล่ะ”
พี่ป่ามองไปทางอื่น “เล่าอะไร เคล็ดลับความหล่อของพี่เหรอ”
จำได้ว่าเคยเล่นมุกนี้เมื่อนานมาแล้วนี่หว่า “มีอะไรก็เล่ามา นี่แฟนนะเว้ย”
“ก็ใช่ไง แฟนไง ถึงยังไม่อยากเล่าให้ฟัง” พี่ป่าลูบหัวผม “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องที่บ้าน ปัญหาวัยกลางคน”
“ไม่มีอะไรร้ายแรงแน่นะ”
พี่ป่ายิ้มมุมปาก “อืม”
ผมสบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง แม้พี่เขาจะยังไม่พูดอะไรออกมาก็ตาม ผมเลยทำเป็นลืมไปก่อนและก็คิดในใจว่าพี่เขาพร้อมเมื่อไหร่ก็คงจะเล่าเองนั่นแหละ
หวังว่าจะเป็นอะไรอย่างที่พูดเอาไว้จริง ๆ นะ
“เชี่ย มึงโกงนี่หว่า!!”
“โกงเหี้ยอะไรล่ะครับพี่”
“มึงดึงกางเกงกู!”
“ผมเปล่า!”
บอกได้เลยว่าสงครามระหว่างพี่ป่า พี่โฟร์ท และก็ไอ้มิ่งไม่จบง่าย ๆ ตีกันแม้กระทั่งพี่น้องวิศวะด้วยกันนี่แหละครับ หลังจากที่จับฉลากได้คนละทีม เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายก็ดังอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง นี่แค่เตะกันเล่น ๆ ทำไมต้องเอาจริงเอาจังขนาดนี้ฟะ คนที่ทะเลาะกันเมื่อกี้คือพี่ป่ากับไอ้มิ่ง
และที่กำลังเดินมาสมทบด้วยนั่นก็คือพี่โฟร์ท
“อีกนิดนึงกางเกงในกูก็จะโผล่แล้วสัด” พี่ป่าโวยวายเป็นเด็ก ๆ “ใช่มั้ยไอ้โฟร์ท มึงเห็นใช่มั้ยมึงบอกมา อย่ามาโกหกเพื่อน้องคณะมึง”
“กูก็เห็นว่าเชี่ยมิ่งดึงกางเกงไอ้ป่า”
“อ้าวพี่โฟร์ท ทำไมพูดหมา ๆ แบบนี้ล่ะพี่”
“ไอ้เชี่ยนี่ มึงมานี่เลย” เป็นศึกของไอ้มิ่งกับพี่โฟร์ท บอลเบินสามคนนั้นไม่สนใจแล้วล่ะครับกำลังแกล้งฟัดกันนัว ไอ้มิ่งวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนในขณะที่สายเถื่อนอย่างพี่โฟร์ทไม่ยอมง่าย ๆ ไล่ตามอย่างกับเล่นตำรวจวิ่งจับโจร ตอนออกตัวเผลอเตะทรายมาใส่พี่ป่า เพราะงั้น...ไอ้พี่ป่าก็เลยวิ่งตามไปเป็นรายที่สาม
“พวกมันเป็นห่าไรกัน” พี่บีมพูดออกมาอย่างงงวย พี่เขากำลังเดาะบอลเล่นส่งรับกันไปมากับพี่คิท
“กูไม่รู้” พี่คิทเห็นด้วยจากใจจริง
ในนี้ผมหน่อมแน้มที่สุดแล้วล่ะมั้งครับ จะให้ไปเดาะบอลด้วยผมก็คงไม่เก่งถึงขั้นนั้น(เกิดมาเล่นเป็นแค่เตะส่งไปมา...ถุยชีวิต) ผมก็เลยเดินเข้าไปหาพี่เขา เพราะยืนอยู่คนนี้มันโหวงเหวงเหลือเกิน สามคนนั้นวิ่งไล่กันไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้
“ไงดีมึง นี่เครียดแทนมัน” พี่คิทพูดกับพี่บีม
“มึงใจเย็น ยังไม่ได้เกิดขึ้นสักหน่อย และสมมติว่าเกิดขึ้นจริง ๆ” พี่บีมมองหน้าผม “ไอ้ป่ามันเข้มแข็งอยู่แล้ว มันมีวาโยทั้งคน”
“คือ...พวกกูกลัวว่าพ่อกับแม่ไอ้ป่าจะเลิกกันอ่ะ” พี่คิทช่วยอธิบายให้ผมฟัง “แม้ป่ามันจะไม่ค่อยพูดถึงที่บ้าน แต่เรื่องครอบครัวมันให้ความสำคัญที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง”
“ป่ามันก็บอกว่ามันโอเค มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่”
“ก็ไม่รู้ กูก็แค่กังวล”
นี่สนิทกันถึงขั้นไหนถึงมากังวลแทนกันขนาดนี้ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันเป็นเรื่องที่ผมเพิ่งรู้ก็จริง แต่เรื่องมันก็ค่อนข้างใหญ่จนผมเองไม่รู้จะพูดคุยกับพี่ป่าว่ายังไง
ได้แต่มองร่างสูงหน้าหล่อยิ้มร่าตอนที่รวมมือกับพี่โฟร์ทจัดการไอ้มิ่ง ยิ้มที่ไม่รู้ว่าข้างในจะยิ้มด้วยรึเปล่า...
“มึงพาน้องโยเครียดไปด้วยเลยเนี่ยเชี่ยคิท”
“อ้าวเหรอ โย ขอโทษนะเว้ย”
“ไม่เป็นไรครับพี่ ถ้าไม่รู้จากพวกพี่ ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมถึงจะได้รู้จากปากพี่ป่าเหมือนกัน”
“มันไม่อยากให้น้องเครียดไปด้วยไง” พี่บีมช่วยพูด
“ทำเหมือนผมช่วยอะไรเขาไม่ได้”
“อย่าน้อยใจมันเลย” พี่คิทเอ่ย “ถ้ากังวลเรื่องโยอีกคน พี่ว่าไอ้ป่ามันคงแกล้งแฮปปี้ไม่ไหวแล้วล่ะ”
คำพูดพี่คิทเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หนึ่งในโทรศัพท์ที่วางกองรวมกันอยู่แถวนั้นสั่นครืดคราด โทรศัพท์พี่ป่านี่หว่า
ผมมองอย่างลังเล ถามพี่ ๆ สองคนอย่างถามความเห็นว่าเอาไงดี หน้าจอโชว์คำว่า แม่ อย่างเด่นหรา
“โยรับสิ” พี่คิทพูด
ผมพยักหน้า หยิบโทรศัพท์พี่ป่าขึ้นมา รู้สึกแปลก ๆ ที่จะรับสายแม่ให้พี่ป่าในสถานการณ์แบบนี้
“ครับ”
“ป่าอยู่ไหน...กลับบ้านตอนนี้เลยได้มั้ยลูก!” เสียงสะอื้นปนเสียงกราดกร้าวดังมาจากปลายสาย นอกจากเสียงแม่พี่ป่าแล้ว ผมได้ยินเสียงพ่อพี่ป่าที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน “(ผมบอกว่าผมจะอยู่กับลุกเอง!) ลูกก็ลูกฉัน! ป่า รีบกลับบ้าน รีบย้ายข้าวของแล้วย้ายไปอยู่กับแม่”
“คือว่า...” ผมไม่รู้จะสอดแทรกเข้าไปยังไงดีว่าผมไม่ใช่พี่ป่า
“เร็ว ๆ ได้มั้ยลูก ทำวีซ่าไม่ได้ทำง่าย ๆ นะ!”
วะ...วีซ่า...หมายความว่ายังไง
“ป่าต้องเลือก ว่าจะอยู่กับพ่อหรืออยู่กับแม่ แต่แม่เชื่อว่าป่าจะไปอยู่กับแม่ใช่มั้ย (เหลวไหล!)”
“...”
“ที่อเมริกามีมหาวิทยาลัยแพทย์ดี ๆ นะลูก”
ช็อค...
ผมเอามือนวดขมับตัวเองตอนที่พี่ป่ากลับมา พี่ป่างงเล็กน้อยที่ผมเข้ามานั่งอยู่ที่พักคนเดียวโดยที่คนอื่น ๆ อยู่ข้างนอกกันหมด
“ทำไมมานั่งข้างในล่ะ ร้อนเหรอ” พี่ป่าเดินไปเร่งแอร์ให้ ไม่รู้ว่าเพราะผมร้อนหรือตัวเองร้อนเองกันแน่
“พี่ป่า โทรกลับหาแม่พี่เร็ว” ผมบอก
“ทำไมเหรอ” พี่เขาเดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม
“เมื่อกี้แม่พี่ป่าโทรมา”
พี่ป่าชะงัก “แล้ว...”
“โทรกลับเถอะ หรือไม่ก็...เก็บของกลับกัน”
ร่างสูงวางขวดน้ำเข้าที่เดิมแล้วเดินมาหาผมช้า ๆ ผมทำหน้าทำตากังวลในขณะที่พี่ป่านั้นดูกังวลมากกว่า
“เกิดอะไรขึ้น”
“โยว่า...” ผมไม่กล้าพูดคำนั้นออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว “พ่อกับแม่พี่ป่าคงจะ...”
“เดี๋ยวพี่มา” พี่ป่าตัดบทผม ท่าทางจะไม่อยากฟังในสิ่งที่ผมเองก็ไม่อยากพูด “อยู่ตรงนี้ไม่ต้องไปไหนนะ ไม่ต้องกังวลแทนพี่”
“แต่ว่า...”
“เชื่อพี่ พี่ไม่เป็นไรหรอก” พี่ป่าลูบหัวผม การกระทำของพี่เขาอบอุ่นมากแต่ว่าผมสัมผัสได้ว่านัยน์ตาของพี่ป่าสั่นระริก
ผมสงสารพี่เขาจับใจ ผมรู้ว่าลึก ๆ แล้วพี่ป่าต้องเสียใจมากแน่ ๆ เพียงแต่เขาไม่แสดงออกออกมาให้เห็น
“ถึงพี่จะไม่มีครอบครัวนั้นแล้ว แต่พี่ก็มีครอบครัวนี้นะ”
“...”
“ครอบครัวที่มีโย คอยยิ้มให้พี่ คอยอยู่ข้างพี่”
“...”
“พี่ไม่เป็นไร”
เงียบ...
เงียบกันไปหมด
หลังจากเวลานั้นทุกคนก็หมดสนุก แม้ว่าพี่ป่าจะบอกว่าทุกคนอยู่สนุกกันต่อได้แต่ไม่มีใครมีอารมณ์ร่วมด้วย พอพี่ป่าวางโทรศัพท์จากแม่ สิ่งที่พี่เขาทำได้อย่างเดียวคือกลับบ้านให้เร็วที่สุด ผมคือคนแรกที่พี่ป่าบอกให้พักผ่อนที่ทะเลโดยไม่ต้องเป็นห่วงเขา แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ไม่อยากเห็นภาพพี่ป่าต้องนั่งเรือกลับฝั่งไปโดยมีผมมองตามเขาเป็นฉากหลัง
คำว่าอเมริกาทำผมกลัว...ผมกลัวจนหัวหด...
แค่ไม่เจอหน้าปีกว่าตอนที่ผมรอผลแอดมิชชั่นนั้นมันก็หนักหนาสาหัสสำหรับผมมากแล้ว ตอนนั้นผมยังคิดว่าผมรักพี่เขาแค่ข้างเดียว แต่หลังจากนี้ หลังจากที่ผมกับเขาเป็นแฟนกัน ผมคิดว่าถ้าจะห่างกันมันต้องทำให้ผมเจ็บปวดมากกว่าหนึ่งปีกว่านั้นแน่ ๆ
เครียด เครียดชิบหายเลยครับ
“โยกลับด้วยนะ” ผมบอกพี่ป่า ผมเก็บกระเป๋าเสร็จเร็วกว่าพี่ป่าอีก ตอนนี้พี่ป่ากำลังก้ม ๆ เงย ๆ เก็บกระเป๋าอยู่
“ไม่ได้ จองโรงแรมไว้ตั้งอีกคืนหนึ่งแน่ะ”
“บอกที่บ้านมารับที่ฝั่งแล้ว”
พี่ป่ากระพริบตาปริบ ๆ “นี่บังคับพี่กลาย ๆ ใช่มั้ยว่าต้องให้โยกลับด้วย”
“ใช่...ให้โยไปส่งที่บ้านนะ”
พี่ป่านิ่งคิดนิดหน่อย ก่อนที่จะตอบตกลง “ก็ได้”
ใช้เวลาไม่นานเราสองคนก็เก็บของกันเสร็จ โดยจะไปเรือเที่ยวที่เร็วที่สุด ทั้งสี่คนที่เหลือต่างก็พากันเงียบเมื่อรู้ว่าพี่ป่ามีดราม่ามาเยือน โดยเฉพาะหมอเถื่อนอีกสองคน ท่าทางพวกพี่เขาอยากไปอยู่ข้าง ๆ พี่ป่ามาก แต่พี่ป่าเองนั่นแหละที่บอกให้ทั้งคู่อยู่กับแฟนได้เลย พี่เขาไม่เป็นไรหรอก
มีแต่บอกว่าไม่เป็นไร ๆ อยู่นั้น ไม่ได้ดูสีหน้าตัวเองเลยว่ากำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือ พี่ป่ายิ้ม หยิบกล้องมาถ่ายรูปผมทีเผลอเหมือนกับตอนที่พี่เขาทำเสมอตลอดทริป(ที่โคตรสั้น)ของพวกเรา ปากก็บอกให้ผมยิ้มหน่อย แต่ผมยิ้มไม่ออก หลากหลายเรื่องราวมันทำให้ผมเกิดหลากหลายความคิด ทั้งกังวล ทั้งกลัว ทั้งเป็นห่วง ผสมปนเปกันมั่วไปหมด
ผมรู้ว่าพี่ป่ายิ้มก็เพราะกลัวว่าผมจะไม่ยิ้มตาม ทำไมต้องทำตัวเหมือนว่าไม่ ’เป็นไร’ ทั้งๆที่โคตรจะ ‘เป็นไร’
“เจ๋งอ่ะ” พี่ป่ารำพึงเมื่อเห็นรถของที่บ้านผม “โทรกริ๊งเดียวมารอรับทันทีเลย”
“ยังจะมาพูดเล่น” ผมวางกระเป๋าใส่เบาะหลังรถที่มีคนมาเปิดให้ พี่ป่าเองก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน
ตลอดทางบนรถผมกับพี่ป่าพากันเงียบ ผมมองไปนอกหน้าต่างอีกฝั่ง ขณะที่พี่ป่าเองก็มองไปที่อีกฝั่ง เมื่อผมหันกลับไปมองเขา ผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะที่มือของเขา ให้เขารู้ว่าผมยังอยู่ตรงนี้ถึงแม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
พี่ป่าบีบมือผมตอบ ยิ้มให้เบา ๆ และก็กลับไปเหม่อต่อ ผมถอนหายใจขณะที่มองใบหน้าด้านข้างที่แสนหล่อเหลานั้นด้วยความห่วงใย
“พี่ป่ารู้อะไรมั้ย”
“หืม...”
“ถ้าต้องห่างกันจริง ๆ รู้ใช่มั้ยว่าโยก็จะยังเหมือนเดิม”
“...”
“เหมือนตอนพี่โยแอบชอบพี่ป่าตั้งหลายปีไง”
พี่ป่ายิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนที่จะทอดถอนใจยาว
“พูดอย่างกับพี่ไม่ได้แอบชอบโยมาหลายปี”
TBC*